โปรดทราบ : เพื่อให้นิยายจากบทโทรทัศน์เรื่อง "แค้นเสน่หา" เข้าใจง่าย และสะดวกต่อการเรียบเรียง ทีมงานจึงขอสงวน "คำราชาศัพท์" ไว้เฉพาะ ในบทสนทนาของตัวละคร เท่านั้น!
แค้นเสน่หา ตอนที่ 3
6 ปี ผ่านไป...
ตอนบ่ายวันศุกร์ ที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำ แลเด็กชาย 2 คน เดินออกมาจากตึกไล่ๆ กัน พูดคุยกันเบาๆ ท่าทีสุภาพเรียบร้อย มาหยุดยืนที่มุมหนึ่งของ ที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง
ที่แท้เป็นคุณชายศักดินา ซึ่งเติบโตขึ้น อายุ 6 ขวบ ขณะที่ ฉัตต์ อายุ 10 ขวบแล้ว
มีเด็กคนอื่นๆ เดินถือกระเป๋ากำลังจะกลับบ้าน เด็กเล็กบางคนมีผู้ปกครองคอยรับ หรือบางคนมีพี่เลี้ยงรอรับ ท่าทางพี่เลี้ยงนอบน้อมขณะรับกระเป๋า
“รถคุณยังไม่มา” ฉัตต์มองไป
“โน่น รถพี่ฉัตต์มาจอดรออยู่โน่น น้องหน้างอแล้ว” ศักดินาชี้ไป
เห็นจริมาวัย 6 ขวบ เท่ากับศักดินาหน้ามุ่ยโผล่มามอง
“วันไหนไม่หน้างอ ไมใช่เขา คอยอะไรไม่ได้เลยใจร้อน” ฉัตต์ว่า
“พี่ฉัตต์ไปก่อนเถอะครับ เดี๋ยวนายสนก็มา” คุณชายเดียวบอกเสียงเบาๆ สุภาพมาก
“มาโน่นแล้ว เสาร์อาทิตย์นี้ ทำอะไรบ้างชายเดียว”
“อ่านหนังสือให้ท่านพ่อฟัง กับไปวัดกับท่านแม่ครับพี่ฉัตต์”
ฉัตต์ตบไหล่เบาๆ อย่างสุภาพ “เด็กดี ไป เดินไปด้วยกัน”
สองเด็กชายเดินไปด้วยกัน ผ่านรถฉัตต์ ศักดินาสบตากับจริมาจังๆ จริมาหน้ามุ่ย มองตาคว่ำ ศักดินาหน้าเฉยนิ่ง แท้จริงขี้อาย กลัวท่าทางเอาเรื่องของจริมาด้วย จึงทำหน้านิ่งไว้ก่อน และนี่คือสาเหตุที่จริมาไม่ถูกชะตากับศักดินาตั้งแต่เล็ก
จริมาเมินหน้าไปทางอื่นอย่างน่าขำ ฉัตต์ขึ้นรถ ชายเดียวเดินผ่านไปขึ้นรถที่สนยืน-คอยอยู่
“พี่ฉัตต์ ทุกทีเลยต้องให้น้องนั่งรอ”
“ไม่นานนี่”
“พี่ฉัตต์น่ะ คุยกับเค้าทุกทีเลย ริมาไม่ชอบขี้หน้าเล๊ย ทำเก๊กมองริมา อย่างเงี้ยะ...เงี้ยะ” พลางจริมาทำท่ามองด้วยหางตาของศักดินา
รถแล่นออกไป
เด็กๆ ทุกคนมีกระเป๋าใบเล็กๆ ใส่ของ เป็นกระเป๋าผ้าสีดำบ้าง สีน้ำเงินก็มี เพราะเป็นนักเรียนประจำกลับบ้านเสาร์-อาทิตย์
รถแล่นตรงมาจะเข้าบ้านปัณณธร ในเวลาเดียวกับที่รถแล่นเข้ามาจอดหน้าตึกวังรังสิยา
กระจกประตูเปิด ขณะรถแล่นเข้า จริมาแลเห็นรุ้งพอดี
“รุ้ง...ตาแนบ จอด...จอดก่อน”
จันทร์จูงรุ้งวัย 6 ขวบ ที่เรียนอยู่โรงเรียนอนุบาลแถวบ้านปัณณธร เดินมาตามถนน
“ตัวเล็ก ...เร็ว มานี่”
ส่วนที่วังรังสิยา รถแล่นเข้ามาจอดหน้าตำหนักวังรังสิยา สนลงมาเปิด คุณชายศักดินาก้าวลงมาเดินขึ้นบันไดวัง สนร้องเรียก
“คุณชายเดียวครับ”
ศักดินาเหลียวมายิ้มบางๆ ใบหน้านั้น สะสวย คมสัน แต่ดูนิ่ง และแห้งแล้งไม่สดชื่นเอาเลย
เวลาเดียวกัน เด็กหญิงรุ้ง ซึ่งมีเค้าหน้าคล้ายกับคุณชายเดียวมาก แต่ไม่ได้เหมือนกันเป๊ะ เพราะเป็นฝาแฝดไข่คนละใบ ยิ้มน้อยๆ เหมือนกัน ให้จริมา“ขึ้นรถ ตัวเล็ก” จริมาสั่ง
ฉัตต์นั่งคอแข็ง
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณริมา ดิฉันกับรุ้งเดินไปเองดีกว่าค่ะ แค่นี้เอง” จันทร์บอก
“ไม่ได้ ต้องขึ้นรถ ตัวเล็กฟังไม่รู้เรื่องเหรอ”
รุ้งขยับจะขึ้น
ฉัตต์สั่งเสียงขุ่น “ตาแนบ...ไปได้แล้ว ฉันจะรีบไปทำการบ้าน โอ้เอ้จริง”
รุ้งชะงักถอยไปชนจันทร์
“พี่ฉัตต์ อย่าใจร้ายนะ หนูจะฟ้องคุณย่า” จริยาโมโห
“ริมา อย่ายุ่ง เดินไป 5 ก้าวก็ถึงแล้ว ตาแนบ ฉันสั่งให้ออกรถ”
รถเคลื่อนออกไป จริมายังชูมือไหวๆ จันทร์สีหน้าสงสารลูก รุ้งยืนหน้าเสีย
“รุ้ง...”
รุ้งเงยหน้าเหยเกมองแม่
“รุ้ง...” จันทร์เข้ากอดตามหลังปลอบโยนเบาๆ ด้วยกิริยานุ่มนวล รุ้งนิ่งกับอกแม่ สักครู่จันทร์เปลี่ยนเสียงเป็นปกติ “เดินไหวมั้ยลูก”
“ไหวค่ะแม่ แต่มันไม่ใช่ห้าก้าวนี่จ๊ะ”
“อ๋อ” จันทร์ยิ้มนิดๆ จูงรุ้งเดินไป “เป็นคำเปรียบเทียบ เดินจากนี่ไปโน่นน่ะไม่ไกล”
“ไม่ไกลก็ต้องพูดว่าไม่ไกลสิ คุณฉัตต์บอกว่าห้าก้าว ลูกว่า..” รุ้งทำหรี่ตามอง “ตั้ง 20กว่าก้าวแน่ะ”จันทร์หัวเราะชอบใจ เพราะคิดว่ารุ้งเสียใจที่โดนฉัตต์รังแก พอรู้ว่าไม่ใช่ก็โล่งใจ
“จริงจ้ะ ตั้งยี่สิบกว่าก้าว แค่นี้เอง แข่งกันมั้ยลูก”
รุ้งพยักหน้า จันทร์ออกเดิน รุ้งหน้าขรึมลง เหลือบมองไปที่หน้าบ้าน
นี่คือนิสัยของรุ้ง ทำไมจะไม่รู้ว่าฉัตต์ไม่ชอบตัวเอง แต่ไม่อยากให้แม่ไม่สบายใจจึงหาทางกลบเกลื่อนเสมอ
รุ้งเห็นคุณหญิงย่ายืนทักทายหลานสาวอยู่หน้าตึกใหญ่ ฉัตต์ยืนอยู่ด้วยมองมาที่รุ้งตาแข็ง รุ้งหน้าไม่สู้ดี ออกเดินตามแม่ไปถึงหน้าตึก คุณหญิงเพ็งยิ้มทักทายรุ้งและจันทร์ แต่ฉัตต์ยืนหน้าบึ้งมองมา
“ตัวเล็กมานี่” จริมาเรียกไว้
รุ้งเหลือบมองฉัตต์ สบตากัน สั่นหน้ากับจริมา
จริมาวิ่งมาดึงข้อมือรุ้ง “มาน่ากลัวอะไร มาทานขนม พี่ฉัตต์...ไหน...ขนม”
“อยู่นี่..ไปทานบนตึก” ฉัตต์บอก
“น้องจะเอาไปทานที่เรือนจันทร์ จันทร์เค้าจะทำตุ๊กตาเปลือกส้มโอ จะแบ่งให้ตัวเล็กทานด้วย” จริมาว่า
“ถ้าอย่างนั้นก็อย่ากงอย่ากินเลย” ฉัตต์หันหลังเดินไปทันทีถือถุงขนมไป
จันทร์หน้านิ่งสงบ ซ่อนความไม่สบายใจไว้ลึกที่สุด รุ้งหน้าเสีย แต่นิ่ง เก็บอารมณ์เหมือนกัน
จริมาหน้าคว่ำมองตามฉัตต์ คุณหญิงถอนใจเดินตามหลานชายเข้าตึกไป
“ไปตัวเล็ก เขาไม่ให้ก็ไม่เอา” จริมาว่า
“คุณริมา ขึ้นตึกเถอะค่ะ ทำตุ๊กตาเสร็จจะฝากสารภีไปให้ค่ะ” จันทร์ว่า
“ไม่เอา จะไปดูจันทร์ทำ” จริมาเรียกจันทร์เฉยๆ ด้วยยุคสมัยนี้ไม่มีการนับญาติกับพวกบ่าว แม้เด็กๆก็ให้เรียกชื่อเฉยๆ
“ยังไม่ใช่เวลาเหมาะสมค่ะ เพิ่งกลับจากโรงเรียนอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะคะ” จันทร์ปัด
“โธ่ จันทร์ให้ริมาไปดูเถอะ”
สีหน้าจันทร์อ่อนโยน แต่สายตามั่นคงขณะบอก รุ้งก็เหมือนกัน จันทร์เดินไปทันที รุ้งเดินตาม
จริมามีสีหน้าขัดเคือง หันกลับไปหน้าคว่ำ มองเข้าไปในตึก
ฝ่ายคุณหญิงเพ็ง ต่อว่าฉัตต์อยู่ในห้องโถง
“ฉัตต์...กิริยาไม่ดีเลยลูก”
“ถ้าพวกเขาไม่มาวันนั้น แม่ราตรีก็ไม่ตาย พวกเขาสิต้องตายไม่ใช่แม่ราตรีของผม” ฉัตต์เสียงสั่น “ผมไม่มีวันดีด้วย” เด็กชายยืนประกาศอย่างมั่นคง
คุณหญิงเพ็งนิ่งเงียบไป ยืนอึ้งพูดไม่ออก
จริมาแอบฟังอยู่ อึ้งไปเหมือนกัน
ทางด้านท่านหญิงแขไขเจิดจรัสเดินเร็วๆ ออกมาหน้าห้อง เรียกหาผ่อง
“ผ่อง ทำไมคุณชายยังไม่กลับ สนยังไม่ไปรับรึ” ท่านหญิงเห็นคุณชายศักดินาเดินเข้ามา “มาแล้วหรือลูกทำไมกลับช้าจริงชาย” พลางอ้าแขนรับ
ศักดินาเข้าหาท่านหญิง ให้จูบที่แก้ม ยิ้มหวานกับแม่ “ชายออกมาที่รถช้าไปหน่อยค่ะท่านแม่ มัวแต่คุยกับพี่คนหนึ่ง เค้าชื่อพี่ฉัตต์ค่ะ”
“ทานขนมก่อนไปอ่านหนังสือถวายท่านพ่อนะลูก”
“ค่ะ ท่านแม่ วันนี้ชายจะอ่านขุนช้างขุนแผนถวายค่ะ ท่านแม่”
“ไหนลูกบอกแม่ว่าท่านพ่ออยากฟังนิราศลอนดอน” ท่านหญิงท้วง
ภายในห้องบรรทม ท่านชายรังสิโยภาสนอนนิ่งอยู่ ลืมตามองเพดาน ท่านชายป่วยเป็นอัมพาตครึ่งตัว ตั้งแต่เอวลงไปขยับไม่ได้ แต่เหนือเอวขึ้นมายังปกติ และยังพูดได้ปกติ
“นิราศลอนดอนกระหม่อม” ศักดินายกนิราศลอนดอนให้ดู “ชายยังอ่านไม่ค่อยออก...มันยาก ท่านพ่อทรงฟังขุนช้างขุนแผนได้มั้ยกระหม่อม ชายจะอ่านต่อจากวันก่อน”
ท่านชายจ้องมองคุณชายเดียว สายตานิ่งๆ ไร้อารมณ์
“ท่าน...พ่อกระหม่อม” ศักดินาเริ่มอึกอัก สีหน้าดูกลัวๆ
ท่านชายพยักหน้า ศักดินาเปิดหนังสืออ่าน
“ลำดวนเอ๋ยจะด่วนไปก่อนแล้ว
เกดแก้วพิกุลยี่สุ่นสี
จะโรยร้างห่างสิ้นกลิ่นมาลี
จำปีเอ๋ยกี่ปีจะมาพบ
ที่มีกลิ่นก็จะคลายหายหอม...”
ขณะที่คุณชายเดียวอ่าน ท่านชายกลับคิดถึงบุหลัน
ภาพเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในห้องนอนบนเรือนบุหลัน เวลานั้นบุหลันยังไม่ตั้งท้อง และยังเป็นสาวรุ่นมากๆ
มือของบุหลันหยิบดอกจำปีร้อยเป็นดอกสุดท้าย เพื่อทำเป็นอุบะ แล้วผูกอุบะเป็นพวงมาลัยดอกพุด ทูลถวายท่านชายรับมา พลางดึงมือบุหลันเข้ามาอ้อมกอด
“มาลัยดอกพุด มังคะ”
ทว่า...ภาพเหล่านั้นดูเลือนๆ เหมือนกับว่าท่านชายนึกภาพบุหลันได้อย่างเลือนลางเต็มที
ปลายตาท่านชาย น้ำตาหยดริน
ศักดินายังอ่านอยู่
“...ที่มีดอกก็จะวายระคายครบ
จะเหี่ยวแห้งเซาซบสลบไป…”
ภาพบุหลันในวันที่ท่านชายจะไปเยี่ยมแม่ ใบหน้าละห้อยหา น้ำตาเต็มตา ผุดขึ้นมาแว่บหนึ่ง
ขณะที่ศักดินาพลิกหน้ากระดาษจะอ่านต่อ
“พอ” ท่านชายบอกเสียงเบาหวิว
ศักดินาเงยหน้ามองอย่างพิศวง ก้มลงจะอ่านต่อ
“บอกให้พอ”
ศักดินายังงงอยู่ “แต่...”
ท่านชายตะเบ็งสุดเสียง “พอแล้ว...ออกไป”
ศักดินาเปิดประตูพรวดออกมาหน้าห้อง ยินเสียงไล่ตะเพิดดังออกมา
“ไป...ไปให้พ้น”
คุณชายเดียวพุ่งตัวเข้าหาผ่องที่อ้าแขนวิ่งมา สะอื้นฮักๆ
ท่านหญิงยืนมองอยู่ในมุมมืด จ้องนิ่ง นัยน์ตาอ่านไม่ออก ว่ารู้สึกอย่างไรแน่ สงสารหรือสะใจ สักครู่ท่านหญิงก็หันหลังกลับ แล้วชะงักเหมือนเผชิญหน้ากับใครคนหนึ่ง จ้องหน้าคนๆ นั้นนิ่ง
ผ่องพาคุณชายศักดินาเดินไป ปลอบโยนไปพลาง
ส่วนด้านหลัง ไม่มีใครเห็นว่านางเฟืองโอบท่านหญิงเดินไปอีกทาง
บริเวณท่าน้ำวังรังสิยา ศักดินาเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าอยู่บ้าน ดูดีมาก กำลังยืนมองสายน้ำ สายตาครุ่นคิดกังวลว่าท่านพ่อไม่ชอบตัวเอง น้อยใจจนน้ำตาคลอๆ
คุณชายศักดินา สะบัดหน้า ด้วยคิดว่าเป็นผู้ชายต้องไม่ร้องไห้ จากนั้นจึงวิ่งลงจากท่าน้ำ โดยไม่รู้ว่าในคลอง มีเรือลำหนึ่งลอยอยู่ และมียอดถือเบ็ดเหมือนตกปลา แต่นัยน์ตาลอบมองดูคุณชายขึ้นมา
ศักดินารีบร้อนจนสะดุด หน้าคะมำคว่ำลง แล้วลุกขึ้นเองอย่างรวดเร็ว เดินไปบนทางเดินที่ทอดยาว
ส่วนที่บริเวณท่าน้ำ บ้านปัณณธร เวลาเดียวกัน รุ้งมองสายน้ำ ด้วยความรู้สึกเดียวกันกับศักดินาว่าฉัตต์ไม่ชอบตัว รุ้งน้ำตาคลอๆ
สักครู่หนึ่งรุ้งวิ่งลงจากท่าน้ำ รีบร้อนจนสะดุด แล้วล้มคว่ำคะมำลงเหมือนกัน และรุ้งก็รีบลุกอย่างเร็วเหมือนกัน
สองพี่น้องฝาแฝดต่างคนต่างเดินไปบนทางเดินที่ทอดยาว
รุ้งเดินเร็วๆ มาตามทางเดิน จะไปเรือนเล็กของจันทร์ จริมาเห็นเรียกไว้
“ตัวเล็ก...มานี่..เร็ว”
“ทำไมหรือคะ”
“ไปเล่นกัน” จริมาบอก
นัยน์ตารุ้งวาววามขึ้น “เล่นอะไรคะคุณริมา”
“เอ๊ะ ตัวเล็ก บอกให้เรียกพี่ริมา”
“ไม่ได้ค่ะ แม่สั่งไว้ ไม่ให้เรียกอย่างนั้น”
“แต่ฉันสั่งให้เรียก” จริมาบอก
“เราอายุเท่ากันนะคะ”
“ไม่เป็นไร ริมาอยากเป็นพี่ ตัวเล็กน่ะตัวกะจิ๊ดเดียว เป็นน้องน่ะดีแล้ว เรียกซิ..พี่ริมา”
“แม่ไม่ให้เรียกค่ะ”
“ต้องเรียก อย่าดื้อนะตัวเล็ก”
“ไม่ได้ดื้อค่ะ”
“ดื้อ”
“ไม่ดื้อ แต่รุ้งเชื่อแม่ค่ะ”
สองคนวิ่งมาแล้วชะงัก เมื่อเห็นฉัตต์ยืนขวาง วางหน้าเข้ม จริมาชวนรุ้งวิ่งหลีกไปทางหนึ่ง ฉัตต์คว้าหางเปีย จนรุ้งหน้าหงาย
“พี่ฉัตต์รังแกตัวเล็กอีกแล้ว ไม่เป็นสุภาพบุรุษเลย”
“ไม่เป็น ไม่อยากเป็นกับคนบางคน” ฉัตต์จ้องหน้า รุ้งหน้าม่อย
“รู้มั้ย”
“รู้ค่ะ” รุ้งไหว้แล้วเดินไป
จริมาเดินตาม ฉัตต์หน้าบึ้ง
ด้านจันทร์กับยอดนั่งคุยกันมุมลับตาในบ้าน
“ไปไหนมาน่ะยอด”
“ผมพายเรือทวนน้ำขึ้นไปครับ ไม่ไกลเท่าไหร่หรอกครับหม่อม ก็ถึงวัง” ยอดบอก
จันทร์อดตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้ “จริงหรือยอด...ฉันอยู่ใกล้ลูกชายแค่นี้เองหรือ”
“ครับ” ยอดมองสายตาเหมือนจะรอให้จันทร์ถามถึงลูกชาย
“ยอด...เห็น..ลูกชายบ้างไหม”
“ผมเคยไปหลายครั้งแล้วครับหม่อม แต่ไม่เคยเห็นคุณชายเลยครับ” ยอดว่า
จันทร์หน้าสลดลง “ฉันอยากรู้หรือเกินว่าลูกชายอยู่ยังไง ท่านพ่อ...” จันทร์เหมือนจะสะอึก ก้มหน้าข่มอารมณ์สักครู่ “ของคุณชายรักเธอหรือไม่ ท่านหญิงทรงเลี้ยงลูกชายฉันยังไง รัก…คงไม่รัก แต่เกลียดหรือเปล่า ท่านทรงเกลียดฉันมาก ท่านอาจจะไม่รักลูกชาย”
“เพิ่งวันนี้ที่ผมเห็นคุณชาย”
“จริงหรือยอด ยอดเห็นจริงหรือ เป็นยังไง ตัวแค่ไหน เหมือนรุ้งรึเปล่า” จันทร์ซักใหญ่
“ผมไม่เห็นว่าเหมือนคุณหญิงรึเปล่า ผมอยู่ไกลครับ แต่พอเห็นว่าคุณชายดูน่าจะสบายครับ”
“แต่งตัวยังไง”
“แต่งตัวดีครับหม่อม เสื้อผ้าแพงเหมือนที่คุณฉัตต์ใส่”
“ไกลแค่ไหนจากนี่ไปวัง”
“พายเรือประมาณครึ่งชั่วโมงครับหม่อม”
“วันหนึ่งฉันจะไปดูลูกชาย พาฉันไปนะยอด”
จันทร์กับยอดแม้จะระวังแล้ว แต่ไม่รู้ว่าฉัตต์เดินมาเห็นและแอบดูสองคนคุยกัน
ขณะเดียวกัน พจน์ คุยอยู่กับคุณหญิงเพ็งในโถงตึกใหญ่
“พ่อพจน์ ต่อไปนี้พ่อพจน์ซื้อหนังสือพิมพ์สยามรัฐมาด้วยได้มั้ยลูก”
“คุณแม่ จะอ่านเรื่องอะไรหรือครับ”
“แม่จะอ่านเรื่องสี่แผ่นดิน คุณหญิงจรวยบอกแม่ว่าสนุกเหลือเกิน คุณชายคึกฤทธิ์เขียนลงสยามรัฐรายวันน่ะลูก”
“เป็นเรื่องอะไรหรือครับ...”
“นางเอกชื่อแม่พลอย เกิดสมัยรัชกาลที่ 5 ชื่อ สี่แผ่นดิน เธอก็คงเขียนถึงรัชกาล...” คุณหญิงนับนิ้ว “ถึงรัชกาลที่ 8 สิ้น ร.8 กระมัง”
“คุณแม่ไม่ได้อ่านตั้งแต่ต้นจะอ่านรู้เรื่องหรือครับ”
“รู้ คุณหญิงจรวยเขาเล่าไว้ ละเอียดละออ ว่าตอนนี้แม่พลอยออกจากบ้านเจ้าคุณพ่อมาอยู่วังหลวงแล้ว”
“ผมจะพยายามหาฉบับย้อนหลังมาให้นะครับ เขาลงตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”
“ลงตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ปีนี้แหละ เห็นเขาว่าตั้งนานแล้วยังไม่พ้นแผ่นดินที่หนึ่ง ปีนี้ปีเก้าสี่ อาจจะไปถึงปีสองพันห้าร้อยกระมัง” คุณหญิงเพ็งหัวเราะมองไป “เอ๊ะ นั่นพ่อฉัตต์”
ฉัตต์เดินผ่านห้องไปอย่างรวดเร็ว
“พ่อฉัตต์...หยุดก่อน”
ฉัตต์เดินย้อนกลับมา “ครับ คุณย่า”
“รีบร้อนไปไหนลูก” คุณหญิงถาม
ฉัตต์นิ่งยืนเม้มปากแน่น
“ฉัตต์ เป็นอะไรหรือลูก” พจน์ถาม
“กิริยาไม่ดีเลยฉัตต์” คุณหญิงตำหนิ
ฉัตต์ยืนหน้าคว่ำ
“ฉัตต์” พจน์ถาม น้ำเสียงปลอบประโลม “เป็นอะไรลูก”
“ผมเห็นเค้าคุยกะไอ้ใบ้อีกแล้ว” ฉัตต์มองหน้าพ่อกับย่า “แต่..ช่างเถอะครับ ผมบอกกี่ครั้งก็ไม่มีใครเชื่อ ลืมไปก็ได้” ทำท่าจะเดินไป
“เดี๋ยว กลับมานี่ ฉัตต์..ย่าบอกให้กลับมา..อย่าให้ย่าเห็นกิริยาที่ทำกับผู้ใหญ่อย่างนี้อีกเป็นอันขาด นี่พ่อ...นี่ย่า ถ้ากับพ่อกับย่ายังทำได้ คงจะทำกับคนทั้งโลกได้ แล้วจะมีใครคบหาสมาคมด้วย
ฉัตต์นิ่ง
“ฉัตต์”
“ครับผม...จะไม่ทำอีก” ฉัตต์นิ่งไปอึดใจ “ถ้าพบมันคุยกันก็จะไม่พูดอะไรเลย” แล้วเดินไปทันที
สองคนนั่งเล่นตุ๊กตาอยู่กลางห้องของจริมาบนตึก จริมาหัวเราะเสียงดัง โดยสมมุติตัวเองเป็นแม่ดุลูก ตุ๊กตาที่รุ้งถืออยู่
ฉัตต์เดินผ่านหน้าห้อง ได้ยินเสียงหัวเราะ เหลียวเห็นประตูแง้มอยู่ เปิดประตูผางเข้าไป สองคนตกใจหันมา โดยเฉพาะรุ้ง
รุ้งกำลังพูดเสียงแจ๋วว่า “หนูกลัวแล้วค่ะ คุณแม่ กลัวแล้ว”
ฉัตต์ตวาด “เล่นอะไรกันหนวกหู” ตามองจ้องรุ้งเขม็ง
รุ้งก้มหน้างุด
“หนวกหูเหรอคะ งั้นปิดประตู” จริมาว่า
“ยังกะเสียงค่อยนักนี่ มาเล่นบนตึกทำไม ข้างบนนี้มีแต่คุณย่า คุณพ่อ พี่และก็ริมาเท่านั้นที่จะอยู่ได้” ฉัตต์วางอำนาจ
“ตัวเล็กก็อยู่ได้ คุณพ่อคุณย่าอนุญาตแล้ว”
ฉัตต์สวนคำ “แต่พี่ไม่อนุญาต”
“พี่ฉัตต์ใหญ่กว่าคุณย่ากับคุณพ่อเหรอ” จริมาย้อน
“ใช่ ใหญ่กว่า พี่เป็นเจ้าของบ้าน พี่ออกคำสั่ง ต้องเชื่อ...” ฉัตรเสียงดังขึ้น “โยนยายโสโครกคนนี้ทิ้งไป”
รุ้งน้ำตาหยดเผาะ ก้มหน้าดูพื้น
“เฮ้อ...ตัวเล็กไม่ได้ชื่อโสโครกซักหน่อย” จริมาเสียงปลงๆ เหมือนผู้ใหญ่ ลุกขึ้นช้าๆ ดึงแขนรุ้ง “ไปเล่นข้างล่างดีกว่า”
“ไม่ได้ เธออยู่นี่ ให้มันไปคนเดียว”
จริมาเหล่ๆ พี่ชาย แล้วยืนจูงรุ้งเดินผ่านไป ฉัตต์ผลักรุ้ง จนกระเด็นไปกระแทกตู้ จริมาร้องหวีด สีหน้ารุ้งตื่นตกใจ แต่ไม่ร้อง ฉัตต์เองก็ตกใจ
“เลือดออก...ตัวเล็กเลือดออก พี่ฉัตต์รังแกอีกแล้ว...ใจร้าย...แย่มาก”
คุณหญิงเพ็ง สารภี ได้ยินเสียง วิ่งพรวดเข้ามา
“คุณริมา..เป็นอะไร...ร้องทำไมคะ” สารภีถาม
จริมาโผเข้าไปกอดคุณย่า “คุณย่าขา”
“ริมาร้องทำไม ย่าตกใจหมด”
“พี่ฉัตต์ผลักตัวเล็ก หัวแตกเลือดไหลด้วยค่ะ เมื่อกี้ก็ดึงผม ตอนนี้ผลัก...”
คุณหญิงตกใจ “โอ๊ย ย่าวิ่งมาจะเป็นลมตาย...รุ้งไหนมาดูซิ เจ็บมั้ย”
“ไม่เจ็บค่ะ” รุ้งบอก
“ไม่เจ็บได้ไง ต้องเจ็บ ตัวเล็กรู้มั้ยเลือดออก” จริมาว่า
“ใครทำ” คุณหญิงถาม
“รุ้งหกล้มค่ะ” รุ้งบอก
คุณหญิงผู้เป็นย่าอ่อนใจ รู้นิสัยรุ้ง “ทำไมถึงหกล้ม”
รุ้งเงียบ
“นี่ตัวเล็ก บอกไปเลยว่าพี่ฉัตต์ผลัก” จริมาว่า
“ฉัตต์อยู่ไหน” คุณหญิงถาม
ฉัตต์คอยแอบฟังอยู่หน้าห้อง
“หนีไปแล้วค่ะ” จริมาตอบ
“งั้น...ให้พ่อเขาตัดสินแล้วกัน เดี๋ยว สารภีเชิญคุณพจน์มาหรือจะลงไปเล่าให้เขาฟังก็ได้ อยู่ข้างล่างในห้องหนังสือ”
ฉัตต์กลับเข้าห้องตัวเอง พูดระบายอยู่กับรูปราตรีผู้เป็นแม่
“คุณแม่ครับ คุณแม่อยู่ไหน สบายดีมั้ย คุณแม่หิวไหม ฉัตต์คิดถึงคุณแม่ สงสารคุณแม่ บ้านนี้ไม่มีที่ให้คุณแม่อยู่ แต่พวกมันอยู่สบายใจ ใครๆ ก็ชอบมัน มันน่ะไว้ใจไม่ได้ มีเล่ห์เหลี่ยมเยอะ ไอ้คนหูหนวกเป็นใบ้ มันพูดได้นะครับคุณแม่ มันพูดอะไรไม่รู้แต่มันไม่ได้เป็นใบ้ มันหลอกเรา คุณพ่อก็เชื่อมันด้วย”
เสียงสารภีเรียกดังเข้ามา “คุณฉัตต์...คุณพ่อให้หาค่ะ”
ฉัตต์เดินมาที่ห้องหนังสือ
“ฉัตต์ เข้ามาสิลูก”
“ครับ”
พจน์หยิบพจนานุกรมลงมาจากหิ้งอ่านชื่อตามปก “พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน”
“ครับ”
“ชื่อของลูกสะกดยังไง”
“ฉ.ฉิ่ง ไม้หันอากาศ ต.เต่า สองตัว การันต์ครับ”
“พ่อมาหาคำแปลชื่อฉัตต์...ลืมไปแล้วว่าความหมายอะไร ไหนบอกพ่อซิ”
ฉัตต์ตอบน้ำเสียงมั่นคง สะกดกลั้นความรู้สึกน้อยใจว่าพ่อลืม “ชื่อฉัตต์ คุณแม่ตั้งให้ คุณแม่จะให้ชื่อฉัตร ที่แปลว่า ของสูง แต่เพราะวันเดือนปีเกิดของผมไม่ถูกกับ “ร” ก็เลยเปลี่ยนอักษรเป็น ต.เต่า แทน”
“อืมม์ จริงสินะ พ่อแก่แล้ว เริ่มจะหลงลืมไปเหมือนกัน ทีนี้ฉัตต์ รู้ไหมว่าทำไมคุณแม่ถึงตั้งชื่อฉัตต์อย่างนั้น”
“ทราบครับ เพราะว่า ฉัตร เหมือนร่ม ซ้อนกันเป็นชั้นๆ เป็นของสูงครับ คุณพ่อจะให้ฉัตต์เหมือนร่มกางให้คนในบ้านร่มเย็นครับ”
“ใช่แล้ว คุณแม่ตั้งชื่อลูก เพราะมีความหมายที่ดี แต่เวลานี้ลูกได้ทำในสิ่งที่คุณแม่ตั้งใจไว้หรือยัง พ่อหมายถึงให้ความร่มเย็นกับคนในบ้านว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน”
พจน์พูดเนิบๆ เชื่องช้า แต่ชัดเจนทุกถ้อยคำ
“คุณพ่อ”
“เขาหนีร้อนมาพึ่งเย็น เราก็ควรเมตตาเขาตามสมควร เขาก็ทำงานตอบแทนให้เรา หรือลูกคิดว่าไม่ใช่”
“ผมไม่ชอบ” ฉัตต์บอกหน้าบูดบึ้ง
“ไม่ชอบเพราะเขาบังเอิญมาในวันที่คุณแม่ตาย ลูกอยู่กับคุณย่าวันนั้น เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เขาเองก็แทบจะเอาชีวิตไม่รอดอยู่แล้ว ใช่ไหม”
ฉัตต์เม้มปากแน่น ไม่อยากตอบ
“ถ้าฉัตต์ไม่พอใจ...พ่อก็คงต้องหาทางแก้ไข”
“คุณพ่อจะทำอย่างไรครับ”
“ให้เขาไป ให้เงินเขาสักก้อนหนึ่งไปตั้งตัว ลูกจะได้สบายใจ”
พจน์กล่าวเรียบๆ เหมือนไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ ฉัตต์สะดุ้งในใจ ทั้งๆ ที่น่าจะยินดี
“พวกเขาก็แข็งแรงดีแล้ว ยายรุ้งก็เติบโตรู้ภาษา ช่วยเหลือแม่เขาได้แล้ว”
“เขาจะไปทำงานอะไร เป็นคนใช้บ้านไหน เผื่อเจ้าของบ้านไม่ดี” ฉัตต์ท้วง
“ก็ไม่ใช่เรื่องของเรา”
“แต่คุณพ่อชอบช่วยคน นักโทษคุณพ่อก็ยังช่วยให้เขามาทำงานบ้านเรา”
“แต่ฉัตต์ไม่ชอบคนพวกนี้ พ่อต้องเลือกลูกของพ่อ”
ฉัตต์ลุกขึ้นยืนทันที ความละอายใจแผ่ไปทั่วใบหน้า
“คุณพ่อครับ ผมผิดเอง ผมผลักตัวเล็ก” ฉัตต์สารภาพออกมา
พจน์มีสีหน้าสมใจ แต่พยายามซ่อนเร้นไม่ใช้ลูกชายเห็น “จะให้พ่อทำยังไง ฉัตต์ทำผิดแต่เป็นลูกพ่อ พ่อตัดสินลูกไม่ได้เพราะพ่อจะมีอคติอย่างแน่นอน”
“คุณพ่อเป็นผู้พิพากษา คุณพ่อตัดสินเถอะครับ”
“ผู้พิพากษาตัดสินได้ แต่ลงโทษไม่ได้ แต่ถ้าฉัตต์ยืนยันที่จะรับโทษ พ่อจะหาคนทำหน้าที่นั้นให้เอง”
“ครับ คุณพ่อ”
พจน์เดินผ่านลูกชายไปที่ประตูห้อง แล้วเรียกคนรับใช้
“สารภี มานี่หน่อย”
สารภีรีบเข้ามา “คะ คุณพจน์”
“ไปบอกเจ้ายอดตัดไผ่แล้วเหลาให้เป็นไม้เรียว เสร็จแล้วเรียกจันทร์กับรุ้งขึ้นมานี่ ฉันจะให้รุ้งเฆี่ยนตาฉัตต์”
สารภีสะดุ้งเฮือก หน้าซีดทวนคำว่า “เฆี่ยนคุณฉัตต์หรือคะ”
จันทร์อยู่ในห้อง มีรุ้งและสารภีอยู่ด้วย ตกใจมากพอรู้เรื่อง
“ให้รุ้งตีคุณฉัตต์ ทำไมเรื่องไปกันใหญ่อย่างนั้น นี่ได้ยินจากคนอื่นฉันไม่เชื่อหรอก”
“เชื่อเถอะพี่จันทร์ อยู่ที่ห้องหนังสือนะ คุณฉัตต์อยู่ด้วย คุณฉัตต์เธอก็ผิดจริงๆ”
จันทร์มองรุ้งที่นั่งพับเพียบแต้อยู่ที่นั่น
“ไม่นอนล่ะลูก หนูยังตัวรุมๆ อยู่เลย”
รุ้งสั่นศีรษะไอแค็กๆ
“รุ้งไม่สบายหรือ หน้าซีดเชียว กินยาหรือยัง” ไม่รอคำตอบ สารภีรีบพูดต่อไป “ฉันจะไปล่ะ ต้องเรียนคุณหญิงอีก ไม่รู้ท่านจะว่ายังไงบ้าง พี่ก็รีบๆ เข้าล่ะ อย่าให้ท่านรอนาน”
จันทร์นั่งลงอย่างอ่อนใจและจนปัญญา รุ้งคลานเข้ามาเกาะเข่ามารดาเอาไว้
“เราต้องไปบนตึกใช่ไหมจ๊ะ”
“ไม่รู้ว่าสารภีฟังผิดหรือเปล่า ทำไมถึงจะให้รุ้งตีคุณฉัตต์ ไม่น่าเป็นไปได้เลย”
“ก็คุณฉัตต์รังแกลูก” รุ้งตอบชัดถ้อยชัดคำ แสงในดวงตาเปล่งประกายขึ้นมาแวบหนึ่ง
จันทร์จ้องลูกอย่างไม่เชื่อสายตา น้ำเสียงนั้นหนักแน่นจริงจังผิดไปกว่าทุกครั้ง
“แล้วรุ้งกล้าตีคุณฉัตต์หรือลูก”
เด็กหญิงรุ้งพยักหน้ารับทันที “กล้า...รุ้งกล้า”
จันทร์ไม่เห็นด้วยกับลูกสาวตัวน้อย
“ไม่ได้นะ ทำอย่างนั้นไม่ได้ ลูกไม่รู้หรือว่าท่านบนตึกทุกคนเป็นผู้มีพระคุณกับเรา แม่เคยเล่าให้ลูกฟังหลายครั้งแล้ว”
“ท่านให้ลูกตี เดี๋ยวท่านจะให้คนอื่นตี เจ็บตายเลยแม่”
จันทร์หันขวับมามองรุ้ง สายตาแจ่มแจ๋วมองแม่เป็นการย้ำคำพูด จันทร์สายตาอ่อนละมุนลง อ้าแขนโอบร่างของลูกเข้ามา คิดในใจด้วยความตื้นตัน
“ลูกหญิงของแม่ ลูกช่างคิดเหลือเกิน แต่คุณฉัตต์ล่ะ จะยิ่งเกลียดลูกมากขึ้นอีกรู้มั้ย”
สักครู่ต่อมา พจน์มองไปเห็นรุ้งยืนแอบๆ ประตู จึงเรียก
“รุ้ง...เข้ามา”
รุ้งเดินไปคุกเข่าข้างโต๊ะทำงานพจน์
พจน์ทอดเสียงอย่างปรานี “ฉันจะไม่ถามว่าเกิดอะไรขึ้น คุณฉัตต์สารภาพผิดแล้ว ฉันจะให้รุ้งตีคุณฉัตต์ คิดว่าทำได้ไหม”
“ได้ค่ะ”
ทุกคนต่างแปลกใจที่ได้ยินเด็กหญิงตอบฉะฉาน
“ดี ถ้าอย่างนั้นก็ลุกขึ้นยืน ตีให้เต็มที่ ไม่ต้องออมแรง คิดว่ากี่ทีถึงจะพอ”
“สิบทีค่ะ” เด็กหญิงบอก
“ว่ายังไงฉัตต์”
ฉัตต์กอดอกหน้าบูดบึ้ง แต่ตอบอย่างไม่ยี่หระ “ยังไงก็ได้ครับคุณพ่อ”
“สิบทีอย่างที่รุ้งบอก...จันทร์ยังไม่เอาไม้เรียวขึ้นมาอีกรึนี่”
จันทร์ยังอยู่ที่ห้องในเรือนเล็ก รอยอดที่เหลาไม้เรียวอยู่
ยอดยื่นไม้ไผ่ เกลาจนเกลี้ยงเรียบให้
“ผมเหลาจนเล็กที่สุด แล้วครับหม่อม”
“ยิ่งเล็กยิ่งตีเจ็บน่ะสิ”
“อ้าว เหรอครับ งั้นผมไปทำใหม่” ยอดหันหลังตั้งท่าวิ่ง
“ไม่เป็นไรยอด ฉันจัดการเอง”
“โธ่เอ๊ย ไม่น่าให้คุณหญิงต้องตกที่นั่งลำบากเลย”
“คุณหญิงตัดสินใจเอง เธอมีเหตุผล” จันทร์บอก
“คุณฉัตต์ไม่ชอบเราสามคน ผมคิดว่าต่อไปเราอาจจะยุ่งยาก”
“โดยเฉพาะ...” จันทร์มองหน้ายอด
“ครับ ผมทราบ” ยอดก้มหน้าพูด “ผมต้องระวังตัวมากขึ้น”
จันทร์เปิดหีบเครื่องเย็บ
“หม่อมจะทำยังไงครับ” ยอดแปลกใจ
เวลาอยู่กันในที่มิดชิด ดูแล้วว่าไม่มีใครเห็นแน่ๆ ยอดพูดกับจันทร์ด้วยท่าทีสบายๆ แบบปกติ แต่หากอยู่ในที่แจ้ง ยอดจะคอยระวังตัวมากเป็นพิเศษ
มีเพียงฉัตต์ที่เห็นหลายครั้ง แต่พูดไปไม่มีใครเชื่อ ทำให้ฉัตต์ยิ่งไม่ชอบขี้หน้ายอด
แค้นเสน่หา ตอนที่ 3 (ต่อ)
ภายในครัวบ้านปัณณธรเวลานั้น กำลังวิพากษ์เรื่องรุ้งเฆี่ยนฉัตรกันขรม สำเนียงนั้นถึงกับตบอก ดังปุ...ปุ
“อุแม่จ้าวเอ๋ย อกอีปุกจะแตก ให้หนูรุ้งเฆี่ยนคุณฉัตต์”
สำลีท้วง “อกอีเนียงแม่ ไม่ใช่อีปุก”
“นังสำลี...กำเริบมั้ยล่ะ แม่ไม่สั่งสอน”
“ถ้าจะจริง” สำลีย้อน
“ก็จริงสิวะ ลืมสอนเอ็งไป ไม่กี่ปี ปากมันเสียซะ นังอ่อน เอามะนาวมา”
อ่อนเอามะนาวมาส่งให้ แต่สำลีคว้ามาเสียก่อน อ่อนบ่นพึมพำ
“หนอยรีบหยิบเชียวนะ”
ละเมียดเอ่ยขึ้น “ฉันเห็นเจ้ายอดมันเหลาไม้เรียวแล้วจะเป็นลม”
“เป็นไงคะ คุณเมียด” สำเนียงสนใจ
“มันเหลาจนบางเฉียบ เฆี่ยนไม่เป็นเนื้อแตกได้นะนั่น”
“ต๊าย...อกอีปุกแตกอีกหน”
สำลีท้วงอีก “อีเนียง แม่…บอกว่าอีเนียง”
ไม้เรียวที่จันทร์นำมาให้ถูกวางลงบนโต๊ะในห้องหนังสือ พจน์จ้องไม้เรียวเหมือนไม่เคยเห็น
คุณหญิงเพ็งก็จ้องเขม็ง
จริมาจ้องเหมือนกัน “อย่างเนี้ยจะเจ็บมั้ย”
ทุกสายตาจ้องไปที่ไม้เรียวหน้าตาประหลาด เพราะถูกหุ้มด้วยผ้าสีเทา เย็บจนเนียน
“ไม่เจ็บหรอก” จริมาว่า
“ริมา...” คุณหญิงย่าส่ายหน้าปราม
“รุ้ง...มานี่” พจน์หยิบส่งไม้เรียวให้ “ตีได้ ฉัตต์ยืนขึ้น”
ฉัตต์ลุกยืน กอดอก หน้านิ่งเฉย แต่นัยน์ตามองรุ้งเข้มจัด
“ริมาว่า...”
“ริมา” พจน์เสียงดังปราม “จะขอโทษให้พี่เขาเหรอ ไม่ได้ พี่เขาทำผิด”
“เปล่าค่ะ แต่ริมาอยากตีพี่ฉัตต์ด้วย ให้ริมาตี 5 ที ตัวเล็ก 5 ทีดีมั้ยคะ”
“ไม่ใช่เรื่อง...ตัวไม่เกี่ยวนะริมา” ฉัตต์หันมาดุ
“แหม แค่นี้ต้องดุ” จริมาเดินไปนั่งตักจันทร์ “ตีเจ็บๆ เลยนะตัวเล็ก พี่ฉัตต์ทำตัวเล็กเจ็บตั้งหลายหนแล้ว เอาคืนให้หมด”
รุ้งกำไม้เรียวแน่น ไปยืนข้างฉัตต์ รวบรวมสติ ฉัตต์ยืนมั่นคง รุ้งสั่นไปทั้งตัว แต่ควบคุมไว้ไม่ไห้ใครเห็น
“รุ้ง...ถ้ามัวโอ้เอ้ ฉันจะตีเอง”
ขาดคำพจน์ รุ้งเงื้อไม้แล้วหวดทันที ที่ก้น
“โธ่เอ้ย อย่างนี้ยิ่งไม่เจ็บใหญ่” จริมานับ บ่นพึมพำ “1...2...3...4..5”
จู่ๆ ร่างรุ้งโงนเงน
จริมาแปลกใจ “อ้าว ตัวเล็ก เป็นอะไร”
รุ้ง เซแล้วล้มลง
“รุ้ง...เป็นอะไร” จันทร์ถลาเข้าไปหาลูกอย่างตกใจ
พจน์เข้าไปแตะจับบ่าจันทร์ให้ถอยไป
จันทร์ไม่รู้สึกอะไรด้วยห่วงลูก “รุ้ง...เป็นอะไรลูก”
“ฉันอุ้มเอง” พจน์แตะหน้าผาก “ตัวร้อนมาก สงสัยจะเป็นไข้ครับ” พลางหันมาถามจันทร์ “จันทร์ รุ้งไม่สบายอยู่หรือ”
“ไอค่ะ ดิฉันให้ยาแล้ว”
“ไม่สบายอยู่ก่อน แล้วคงกลัวว่าจะต้องตีตาฉัตต์ด้วย ไม่ทำก็คงกลัวพ่อพจน์ อิหลักอิเหลื่ออยู่นี่เลยเป็นลม” คุณหญิงดูออก
รุ้งเริ่มขยับตัวเล็กน้อยลืมตาเห็นคนมุงดูเต็ม พร้อมทั้งจริมาที่ยิ้มฟันขาว
“ตัวเล็ก เป็นไง”
รุ้งไม่ได้ตอบ ขยับตัวได้ก็จริง แต่ศีรษะร้าวหนักยกไม่ได้ น้ำตาคลอ
“แม่จ๋า”
“ไม่เป็นไรแล้วลูก เดี๋ยวแม่อุ้มหนูกลับไปกินยา หนูลุกไม่ไหวใช่ไหม”
รุ้งพยักหน้ายกแขนทั้งสองเพื่อจะกอดคอให้แม่อุ้ม
“อุ้มไหวหรือ รุ้งตัวโตแล้ว มาเถอะฉันจะอุ้มไปส่งที่เรือนให้” พจน์อาสา
โดยไม่ฟังคำตอบ พจน์ช้อนร่างที่เบาเหมือนสำลีของรุ้งขึ้นมามาอ้อมแขน ก้มหน้ามองยิ้มๆ
“อย่าดื้อนะ เดี๋ยวตกไม่รู้ด้วย”
พจน์อุ้มรุ้งเดินออก จันทร์เดินตาม ฉัตต์มีสีหน้ารู้สึกผิดเล็กๆ
ละเมียดเปิดประตูห้องตัวเองที่อยู่ใกล้ห้องจันทร์ออกมาพอดี มองมาอย่างตกใจ
“รุ้งเป็นอะไรคะนั่น”
“เป็นลม...ละเมียดเปิดประตูด้วย”
“ดิฉันเปิดเองค่ะ” จันทร์บอก
พจน์เดินเข้า ทำหน้าถามว่าวางตรงไหน
“วางพิงๆ ตรงนี้ก่อนค่ะ ดิฉันจะปูที่นอน”
ที่นอนถูกพับเก็บไว้เรียบร้อย
จันทร์เข้าไปรับตัวรุ้ง มือ แขน สองคนแตะกันอย่างเป็นธรรมชาติ จันทร์ไม่รู้สึกอะไร กุลีกุจอช่วยลูก แต่พจน์...มีสีหน้าประหลาดแว่บหนึ่ง
จันทร์ไหว้ “กราบขอบพระคุณค่ะ”
“หายาให้ลูกกินเถอะ ทำไมไม่บอกก่อนนะว่าเด็กไม่สบาย ละเมียดช่วยดูหยูกยาให้เขาด้วย ถ้าไข้ยังไม่ลดให้ขึ้นไปบอกจะได้ให้ไปรับหมอ”
“ค่ะคุณพจน์”
พจน์จ้องรุ้งอยู่สักครู่ เลื่อนสายตาออกมาที่หน้าจันทร์ จันทร์ลูบเนื้อลูบตัวลูก
“ปูที่นอนสิจันทร์”
“ค่ะ” จันทร์กุลีกุจอ
พจน์จับตัวรุ้งคอยอยู่ จันทร์ปูเสร็จ พจน์อุ้มไปวางเรียบร้อย วางมือบนหัวรุ้งเบาๆ แล้วลุกเดินออกไป
“รุ้ง....เป็นไงบ้าง..รุ้ง”
ละเมียดมองตามพจน์ สังเกตเห็นว่าสายตาพจน์มีแววประหลาด
พจน์เดินเข้าในห้องบนเรือน ฉัตต์ทำหน้าตากระวนกระวายถามทันที
“ไม่พาไปหาหมอหรือครับคุณพ่อ”
“ดูอาการไปก่อน ไม่ดีขึ้นก็คงต้องเชิญหลวงแพทย์ แต่หวังว่าคงไม่เป็นอะไร”
“สงสารตัวเล็กจัง” จริมาบ่นแล้วหันไปค้อนพี่ชาย “เขาไม่สบายแล้วยังโดนแกล้งอีก”
“พี่ไม่รู้ว่าเขาไม่สบาย” ฉัตต์แย้งเสียงเข้มจัด ดุจริมา
“รู้หรือไม่ก็ไม่สมควรทั้งนั้น พ่อไม่อยากพูดซ้ำ คนเราควรมีให้ครบทั้งเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา พวกเขาเสียอีกด้อยกว่าเราทุกทาง แต่เขาคิดถึงเราตลอด คิดดูซิ ไม้เรียวหุ้มผ้าตีจะได้ไม่เจ็บ แล้วเจ้าตัวเล็กของริมาเลือกตีก้นแทนน่อง พ่อหวังว่าฉัตต์คงจะเข้าใจ” พจน์อบรมลูกชาย
ฉัตต์เม้มปาก สีหน้าไม่ได้เย่อหยิ่งอย่างเคย แต่มีแววละอายอย่างปิดไม่มิด ทำไมเขาจะไม่รู้ถึงความปรารถนาดีของรุ้ง แต่เพราะมีทิฐินั่นเอง
คืนนั้นภายในห้องนอน คุณชายศักดินานอนเป็นไข้อยู่
ในหูคุณชายวัย 6 ขวบ ได้ยินสียงท่านชายรังสิโยภาสดังก้อง “ไป......พอแล้ว ออกไป”
ศักดินาสะอื้นเฮือก
ท่านหญิงแขไขเจิดจรัส บรรทมหลับสนิทอยู่บนเตียง มือนางเฟือง ยื่นมาแตะแขน วางไว้นิ่งๆ เป็นมือเหี่ยวแห้งกรังของคนตาย
ท่านหญิงตื่น พลิกตัว มองหน้านางเฟือง สายตาเป็นคำถาม แล้วพยักหน้าเหมือนเข้าใจแล้ว
ในวังรังสิยาไม่มีใครรู้ว่าท่านหญิงติดต่อกับนางเฟืองได้ มองเห็น พูด สื่อสารกับนางเฟือง โดยไม่ต้องเห็นเฟือง บางครั้งอาจเห็นตัวเฟือง
ครู่หนึ่งท่านหญิงเปิดมุ้งก้าวออกมา ร่างของนางเฟือง เห็นลางๆ ในมุ้งข้างเตียง มองตามท่านหญิงไป
ศักดินายังนอนกระสับกระส่าย ขณะที่ท่านหญิงยืนอยู่ข้างเตียง
“ท่านพ่อ....ท่านพ่อกระหม่อม” ศักดินาเพ้อ
เสียงท่านชายตะเพิดไล่ดังตลอดเวลา
“ท่านแม่...ท่านแม่ขา”
ท่านหญิงก้มลงโอบอุ้มคุณชายเข้ามาในอก ศักดินาเข้าซุกอกท่านหญิง กอดท่านหญิงแน่น
“ท่านแม่”
“ชายไม่สบาย กินยานะลูก”
ขณะเดียวกันจันทร์ป้อนยาลูก รุ้งเป็นไข้กระสับกระส่าย
“กินยาแล้ว พรุ่งนี้ก็หายนะลูก”
ด้าน ฉัตต์ ปัณณธร ยืนเครียดอยู่ที่หน้าต่าง มองออกไปในความมืด สายตาจดจ้องอยู่ที่เรือนเล็กของจันทร์ เห็นมีแสงไฟวับแวม
รุ่งเช้าจริมาหลับสนิทอยู่ในห้อง
ฉัตต์เข้ามาปลุก “ริมา”
จริมายังเงียบ
“ตื่น...ริมา...ตื่นได้แล้ว”
จริมาเสียงงัวเงีย “เรียกทำไม.....สารภี”
“พี่เอง ตื่นเถอะ” ฉัตต์บอก
“ไม่เอา ง่วงน่า”
ฉัตต์เขย่าแขนแรงๆ “ริมา ยังไงก็ต้องตื่น”
จริมาพลิกตัวหนีงอแง “ม่ายเอ๊า...ไม่ตื่น”
“น้องไม่ห่วงตัวเล็กหรือ เขาไม่สบายอยู่นะ”
ได้ผล จริมาทำตาขยุกขยิกแล้วลืมขึ้น
“ตัวเล็กหรือ”
“ใช่ จำได้ไหมเมื่อวานเขาไม่สบายเป็นลม คุณพ่อต้องอุ้มไปไงล่ะ”
“จริงด้วย”
“ไม่ไปดูเขาเหรอ ป่านนี้ตายแล้วมั้ง” ห่วงแสนห่วง แต่ไม่วายกระทบกระแทกทั้งที่ใจไม่ได้คิดเช่นนั้น หลุดปากแล้วยังนึกเสียใจ
จริมาลุกขึ้นนั่งฉุนๆ “พี่ฉัตต์น่ะ..แช่ง แช่งเค้าไม่สงสารเค้าเหรอ ตัวเองนั่นแหละทำให้เค้าไม่สบาย”
“สงสารก็รีบไปดูเขา”
จริมาหย่อนตัวลงจากเตียงอย่างว่าง่าย
“ไปด้วยกันนะ”
“น้อยๆ หน่อย แค่มาบอกก็ดีแล้ว”
ฉัตต์เดินออกจากห้องทันที แต่ยังเหลียวมาดู พอจริมาเข้าห้องน้ำ ฉัตต์ก็วางถุงท๊อฟฟี่สีสวยบนเตียงแล้วออกไป
ส่วนพจน์เดินมุ่งหน้าไปที่เรือนจันทร์ เดินเร็วๆ มา แล้วฝีเท้าก็ผ่อนลงตามลำดับ จนหยุดนิ่ง ลังเล
สีหน้าครุ่นคิด ต่อสู้กับความรู้สึกในใจ
จันทร์เช็ดตัวให้รุ้งอย่างนุ่มนวล รุ้งมองแม่นัยน์ตาแจ๋ว จันทร์ก้มลงจูบแก้มสองข้าง รุ้งโอบรอบคอแม่ กอดแม่
“วันนี้ก็หายนะลูก แต่หนูต้องอยู่ในห้อง ออกไปเล่นไม่ได้”
“ค่ะแม่ ลูกจะไม่ออกไปไหน นอนทั้งวันนะคะ”
“คนดีของแม่”
รุ้งมองไปที่ประตู จันทร์เหลียวมองตาม ตะลึง
“คุณพจน์” จันทร์คลายตัวรุ้ง ให้นอนอย่างเดิม
พจน์แต่งตัวจะไปทำงานเรียบร้อย “ฉันมาถามอาการของรุ้ง ดีขึ้นไหมหรือจะให้รับหมอมาดู”
“ไม่..ไม่ต้องค่ะ ขอบพระคุณ รุ้งดีขึ้นมากแล้วแต่ยังไออยู่บ้าง พรุ่งนี้ก็คงหาย”
“ได้ยินอย่างนี้ก็โล่งใจ แล้วเธอล่ะ สบายดีหรือเปล่า หรือจะไม่สบายตามลูกไปด้วยอีกคน”
หางเสียงเย้าแหย่รวมทั้งรอยยิ้มน้อยๆ ทำให้ใบหน้าซึ่งปกติเคร่งขรึมแลดูผ่อนคลายชวนมอง
จริมาโผล่มาดูที่ประตู มองสักครู่แล้วถอยไป วางห่อขนมไว้ริมๆ ประตู
จันทร์มองอย่างแปลกใจ..นี่เป็นครั้งแรกที่พจน์ยิ้มให้ “ดิฉันไม่เป็นไรค่ะ”
“ฉันไม่เคยไต่ถามทุกข์สุขของเธอเลย ยังตำหนิตัวเองจนทุกวันนี้ที่ทำเป็นคนไม่มีน้ำใจทั้งๆ ที่เธอทำอะไรให้พวกเราสารพัด ยายริมาเติบโตแข็งแรงก็เพราะเธอช่วยเลี้ยงดู คุณแม่มีความสุขขึ้นเพราะเธอเอาใจใส่ดูแลเรื่องอาหารการกิน แต่ฉันเสียใจที่ลูกชายฉันทำตัวเป็นเด็กยุ่งยาก ฉันคงปล่อยปละละเลยเขาเกินไป”
จันทร์นิ่งเงียบ ก้มหน้า พจน์จ้องจันทร์เงียบๆ สายตาลึกซึ้งมาก จันทร์เงยหน้า พจน์เปลี่ยนสายตาไปทางอื่นทันทีอย่างเร็ว
จันทร์ไม่พูดอะไร พจน์เดินไปจากตรงนั้น สีหน้าปกติ
ที่ห้องนอนคุณชายศักดินา ค่ำวันนั้น ท่านหญิงแขไขคอยดูแลไม่ห่าง
“ตัวเย็นขึ้นแล้ว กินยาอีกช้อนนะชาย”
“ค่ะท่านแม่ แต่ยาขมจังค่ะ”
“หวานเป็นลม ขมเป็นยา ไม่งั้นก็ไม่ใช่ยาสิลูก” ท่านหญิงป้อนยา
ศักดินาอ้าปากรับยา เบ้หน้า “ชายหายแล้วนะคะท่านแม่”
“ชาย ท่านพ่อรับสั่งว่ากระไรหรือ”
ชายเดียวนิ่งไปสักครู่ อ้าแขนเข้ากอดท่านหญิงซุกตัวเข้าไปเงียบๆ แล้วสะอื้นแรงๆ
“ชาย” ท่านหญิงครางเสียงแผ่ว รู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น กอดปลอบใจ สงสารมาก “อย่าร้องไห้ลูก...นิ่งเสียนะ”
“ท่านพ่อไล่ชายค่ะ”
“ไล่หรือลูก”
“ไล่ว่าไป๊...ไปให้พ้น” ศักดินาบอกด้วยสีหน้าน่าสงสารมาก จ้องท่านหญิง
ไม่นานต่อมา ท่านชายรังสิโยภาสจ้องมองท่านหญิง ด้วยสายตาไม่พอใจลึกๆ
“เจ้าพี่คิดว่าชายเดียวเป็นลูกใครหรือคะ ถึงได้จงเกลียดจงชังแบบนี้”
ท่านชายมองด้วยสายตารำคาญ แล้วหันไปทางอื่น
“อย่าทรงทำอะไรที่ทำลายจิตใจเด็กเลยค่ะ หญิงขอยืนยันว่า ชายเดียวเป็นลูกชายเจ้าพี่กับบุหลัน อย่าสงสัยว่าใครจะเอาลูกโจรที่ไหนมาย้อมแมวเป็นลูกเจ้าพี่เลยค่ะ เพราะถ้าเจ้าพี่คิดอย่างนั้นหญิงจะเสียใจมาก เสียใจที่ทุ่มเทเลี้ยงดูลูกชายของเจ้าพี่มา แต่พ่อจริงๆ ของชายเดียวกลับไม่ใยดี”
“พี่ไม่ได้ว่าอะไรหญิง อย่าตีตนไปก่อนไข้เลย”
“ตีตนก่อนไข้หรือคะ หญิงจะต้องทำทำไม ไม่ใช่เรื่องราวอะไรของหญิง เจ้าพี่ไม่รักชายเดียว หญิงก็ไม่แคร์ ตัวหญิงเองก็รักเขาได้แค่เป็นแม่เลี้ยง ถ้าพ่อจริงๆ ไม่ทรงรักไม่ทรงห่วงใย ชายเดียวก็คงเหมือนตัวคนเดียวในโลก”
“จะให้พี่แน่ใจได้อย่างไรว่าคนอุบาทว์ชาติชั่วอย่างนังเฟืองจะไม่ทำอุบาทว์ ไปเอาลูกไอ้อีขี้ข้าพรรคพวกมันคนไหนมายัดเยียดให้เป็นหม่อมราชวงศ์”
ท่านหญิงนิ่งอึ้งไปอึดใจ “ตามทัยเถอะค่ะ” แล้วเดินไปทันที
ท่านชายหน้านิ่งขึง
เวลานั้นในเงามืดตรงมุมห้อง ผีนางกาลีเฟืองที่ยืนหันหลังอยู่ ค่อยๆ เอี้ยวหน้ามา มองท่านชายสายตาอาฆาตจัด ท่าทีน่ากลัวมากๆ
ปีศาจนางเฟืองเดินไปอย่างแรงสุดขีดด้วยความแค้น ร่างของมันชัดเจนขึ้นแว่บหนึ่ง แต่แล้วกลับ
เลือนๆ ไป แล้วชัดขึ้น สลับกับเลือนๆ เหมือนกับว่ามันพยายามรวบรวมพลังงาน จึงเห็นชัดบ้างไม่ชัดบ้าง แต่ท่าเดินของมันนั้นเป็นแบบมุ่งร้ายหมายขวัญ
นางเฟืองเงยหน้ามองตรงไป เห็นสาลี่อยู่ที่เรือนพัก
สาลี่ประแป้งตัวลาย นั่งอยู่ที่นอกชานหน้าบ้าน จู่ๆ กิ่งไม้ใบไม้โยกโยนเหมือนฝนจะตก เสียงลมพัดหวีดหวิว สาลี่มองฟ้าแล้วเก็บข้าวของมีเชี่ยนหมากและของอื่นๆ
เหมือนมีสายตาคู่หนึ่ง พุ่งเข้าไปหาสาลี่ เข้าไปเรื่อยๆ มือสาลี่รีบเร่งยิ่งขึ้น
จู่ๆ มือผ่องแตะไหล่สาลี่เบาๆ สาลี่สะดุ้งสุดตัว ร้องวี๊ดแล้วนั่งตัวแข็ง
“เป็นอะไร พี่สาลี่”
สาลี่หันขวับมา “แม่ผ่อง โอ๊ยแม่มหาจำเริญ ทีหลังอย่ามาเงียบๆ อย่างนี้นะยะ ขวัญหนีดีฝ่อหมด”
“ทำไม กลัวอะไรเหรอพี่”
“เฮ้อ...มันก็กลัวล่ะ มีคนตายโหงอยู่ในวัง ค่ำๆมืดๆอย่างนี้มันก็หวาดๆ อยู่”
สองคนออกเดิน
“อย่ากลัวเลยพี่ พี่เฟืองแกก็ตายแล้ว คงไม่มารังควาญคนอยู่หรอก” ผ่องว่า
“โอ๊ย คนอย่างนังเฟือง แกไม่รู้หรอกว่ามันร้ายกาจขนาดไหน ทั้งปากร้าย ใจก็ร้าย ไม่เคยเห็นใครดี มีเรื่องกับคนเขาไปทั่ว ตายไปอย่างนี้ก็รู้ว่าตัวเองจะไปอยู่ที่ไหน”
“พี่สาลี่ ฉันว่าอโหสิให้แกเถอะนะ”
“เฮอะ อโหสิเรอะ” สาลี่ชะงัก
ยินเสียงกรี๊ดๆ ร้องดัง ฟังน่ากลัวแว่วมาไกลๆ
สาลี่หยุดกึก “เสียงอะไร”
“เสียงอะไร ไม่ได้ยินเลย”
“ฟังดีๆ แม่ผ่อง นั่นไง เสียงกรี๊ดๆ”
“เออ ฉันไม่ได้ยินหรอกพี่”
“เสียงออกดัง แกหูตึงรึไงแม่ผ่อง นั่น กรี๊ด...กรี๊ด ได้ยินมั้ย”
ผ่องขมวดคิ้วมุ่น
“เหมือนเสียงเปรต” สาลี่บอก
“ฮ้า...” ผ่องร้อง
“จริง เปรตมันมาขอส่วนบุญ เอากระด้งหมากไปเก็บในครัวให้ฉันหน่อยเถอะแม่คุณ..ขอบใจล่ะ”
“ได้...ได้...” ผ่องเดินไป
“ลั่นดาลประตูให้แน่นๆ นะ”
สาลี่กำชับ ยืนโดดเดี่ยวอยู่กลางลานเหลียวซ้ายแลขวาสักครู่เสียงกรี๊ดดังมาอีกแล้ว
“ผ่อง...เร็วสิวะ”
“มาแล้ว...มาแล้ว” ผ่องเดินกลับมาเร็วๆ แต่เห็นความผิดปกตินิดหน่อย ตัวตรงนิ่งแข็ง
“ไปเร็วๆ ฝนจะลงเม็ดแล้ว” สาลี่เดินนำไป
ผ่องเดินตาม
สาลี่เดินจ้ำไป เห็นเป็นนางเฟืองเดินตามไปอย่างรวดเร็ว
สาลี่จ้ำพรวดมาจนถึงหน้าห้อง หยิบกุญแจพวงใหญ่มา หาดอกจะไข
“เออ ผ่อง ฝนจะตกแล้ว แกปิดหน้าต่างห้องแกรึเปล่า”
พอหันมาไม่มีใคร ข่างหลังว่างเปล่า
“ผ่อง...แม่ผ่อง ไปไหน เอ๊ะก็เดินมาด้วยกัน” สีหน้าสาลี่เริ่มกลัวๆ
สาลี่เปิดประตูห้องตัวเอง ในห้องมืด พอมองเห็นทุกอย่างลางๆ
นางเฟืองนั่งอยู่บนเตียง ค่อยๆหันมา หน้าตาคือภาพที่ทุกคนเห็นตอนตาย นัยน์ตาโหดเหี้ยม จ้องมาที่สาลี่เขม็ง สาลี่ ช็อก แข็งไปทั้งตัว
ผ่องเดินขึ้นมาหา “พี่สาลี่....พี่ เป็นอะไรไป”
สาลี่นัยน์ตาเบิกโพลง จ้องที่นางเฟืองที่นั่งอยู่ ผ่องมองไป ทุกอย่างว่างเปล่า ไม่มีอะไร
“ไม่เห็นมีอะไรเลยพี่สาลี่ ตกใจอะไร”
สาลี่พยายามชี้
“อะไรพี่ ไหน”
ผีนางเฟืองลุกขึ้น เดินเข้ามาหา สีหน้าถมึงทึงน่ากลัวสุดๆ
สาลี่ร้องวี๊ด หันหลังกลับ โกยแน่บทันที
นางเฟืองตามไป พร้อมเสียงขู่เรียกฟังน่าสยดสยอง ปีศาจนางเฟืองตัวเหมือนลอยได้ แล่นตามไป
“อะไร...พี่สาลี่เป็นอะไร”
พิกุลซึ่งนอนอยู่พรวดขึ้นมา “ป้าแกเป็นอะไรน้าผ่อง ร้องบ้านแทบแตก”
“ไม่รู้ เหมือนเห็น...อะไรไม่รู้ ตามไปดูซิพิกุล”
สาลี่วิ่งเตลิดมา ถึงต้นไม้ใหญ่ เข้าหลบ หันไปดูไม่มีอะไรตามมา สาลี่หายใจหอบเหนื่อย จวนจะหมดแรง
นางเฟืองยืนอยู่ด้านหลัง สาลี่ยังไม่เห็น
“ป้า...ป้าอยู่ไหน” เสียงพิกุลเรียกดังขึ้น
สาลี่ดีใจ ร้องบอกไป “อยู่นี่ พิกุล ข้าอยู่นี่”
“ป้าเห็นอะไรเหรอ”
พิกุลเห็นว่าสาลี่ยืนอยู่คนเดียว แต่สาลี่ก้มลงปัดตัวอะไรที่มาเกาะขา แล้วชะงักกึก เห็นขานางเฟืองยืนอยู่ข้างๆ สาลี่จะช็อก! อีกหน ตัวแข็ง แล้วแข็งใจเงยหน้าขึ้น สบตากันเต็มๆ หน้าตาเฟืองน่ากลัวเหลือประมาณ คนกับปีศาจจ้องตากัน
สาลี่ รวบรวมกำลัง หันหลังกลับ เรียกพิกุลเสียงโหยหวน
“ป้า”
สาลี่วิ่งเข้าหาพิกุล ซุกเข้าไปหาพิกุล ทว่าหน้าพิกุลกลายเป็นหน้านางกาลีเฟือง หัวเราะเสียงห้าวดุดันใส่หูสาลี่
สาลี่เห็นหน้านางเฟืองจังๆ สลบเหมือดไปทันที
อีกวันหนึ่ง ภายในห้องโถง วังรังสิยา ท่านหญิงแขไขนั่งอยู่ สาลี่ซึ่งตาลึกโหล โทรมไปทันตาก้มกราบ
“ทูลลามังคะ”
“สาลี่ จะไปทำอะไรกับใคร พ่อแม่ญาติพี่น้องไม่มี”
สาลี่ก้มหน้านิ่ง ถอนใจ
“คิดดูให้ดี”
“หม่อมฉันขอไปตายดาบหน้า ถ้าอยู่ที่นี่ต้องถึงตายมังคะ แม่เฟืองไม่ไว้ชีวิตหม่อมฉันแน่ๆ เพราะว่า...”
ท่านหญิงมองคอยฟัง
“หม่อมฉัน เคยมีเรื่องกับแกไว้มาก”
“สาลี่ ถ้าจะมีวิญญาณของเฟืองจริง ฉันคิดว่า เขาไม่ทำร้ายแกถึงตายหรอก อย่างดีก็มาสั่งสอนครั้งสองครั้งก็คงหยุดไปเอง แต่ถ้าแกออกไปจะไปอยู่กับใคร อย่างแกจะอยู่กับใครได้ฮึ นางสาลี่ แกเคยเป็นใหญ่ในครัวของแกจนแก่ป่านนี้ จะไปเป็นลูกน้องให้ใครเขาจิกหัวใช้ คนอย่างแกไม่ยอมหรอกฉันรู้”
“แต่...หม่อมฉันกลัวเหลือเกินเจ้าประคุณเอ๋ย”
“ตามใจ มีที่คุ้มหัวไปจนตายจะดิ้นรนไปหาความลำบากก็ตามใจแก ฉันไม่ขัดแกแล้ว” ท่านหญิงลุกไปทันที เดินขึ้นบันไดไป
ท่านหญิงเปิดประตูห้องบรรทมเข้าไป แล้วชะงักนิดหนึ่ง เห็นนางเฟืองอยู่ในห้อง
ท่านหญิงนั่งบนเตียง พูดกับนางเฟือง โดยไม่เห็นตัวนางเฟือง
ท่านหญิงพูดเสียงเบาๆ แต่หนักแน่นทุกคำ “ไม่อยากให้ทำอย่างนั้นเลยนะ ตอนนี้มีทุกข์อยู่เต็มที่แล้วจะหาทุกข์มาเพิ่มทำไม...ทำคนอย่างนางสาลี่จะได้อะไร ปล่อยมันไปเถอะ” มองเหมือนฟัง “ก็รู้แล้วว่าไม่ชอบกันเป็นศัตรูกัน แต่เวลานี้มันกลัวเต็มที่แล้ว อีกอย่างขาดมันไปที่นี่ก็เดือดร้อน”
ท่านหญิงมองที่เฟือง ประหนึ่งว่าเฟืองจะยอมแล้ว ท่านหญิงฉุกใจคิดนิดหนึ่ง
“ไปทำมันขนาดนั้นทำไม...ฮึ หรือว่า ได้ยินใช่มั้ย ได้ยินท่านชายรับสั่งใช่มั้ย แล้วไปลงกับนางสาลี่มัน”
เห็นผ้ามุ้งปลิวสะบัดไหว ม่านหน้าต่างโบกไปมา
หน้าต่างกระแทกเข้ามาดังสนั่นอีกโครมใหญ่ เป็นสัญญาณว่าปีศาจ นางเฟืองกำลังโกรธจัด ท่านหญิงนั่งนิ่งบนเตียง ท่าทางวิตกกังวล
แค้นเสน่หา ตอนที่ 3 (ต่อ)
วันหนึ่ง บนโต๊ะอาหารที่วังรังสิยา คุณชายศักดินาหายป่วยแล้ว ทานอาหาร่วมโต๊ะกับท่านหญิงแขไข มีผ่องกับพิกุล คอยรับใช้ดูแลอยู่
“หม่อมแม่ขา” ศักดินาตักอาหารให้เอาใจ “เหวยค่ะ”
“ขอบใจจ้ะ”
“วันนี้วันเสาร์ ชายขออนุญาตเล่นน้ำในคลองนะคะ”
“ชายยังเล็ก แม่ไม่อยากให้ว่ายน้ำเลยลูก”
“แต่ว่า...”
ท่านหญิงจับแขนบอก “เคี้ยวข้าวให้หมดก่อนค่อยพูด น้ำในแม่น้ำเชี่ยว เด็กๆ ว่ายไม่แข็ง อันตรายแม่เป็นห่วง”
คุณชายศักดินากลืนข้าวจนหมด “ให้สนหัด ให้พิกุล ละมัย ผ่องไปอยู่กับชายทุกคนเลยนะคะหม่อมแม่” คุณชายสายตาละห้อย “พี่ฉัตต์เขาว่ายน้ำเป็นแล้ว เขายังจะหัดให้น้องเขาเลยค่ะ”
ตอนกลางวัน ท่านหญิงแขไขอยู่ในห้องบนตำหนัก เพิ่งหวีผมเสร็จ กำลังหาของบางอย่างในลิ้นชัก พอเงยหน้าขึ้นใบหน้านางเฟืองอยู่เคียงกัน สีหน้าเป็นกังวล
“มีอะไรหรือเฟือง”
“อย่าให้คุณชายเล่นน้ำ”
“อะไรนะ”
“อย่าให้คุณชายเล่นน้ำ” ผีนางเฟืองย้ำ
คุณชายศักดินาหัวเราะเริงร่า โผจากบันไดท่าน้ำไปหาสนที่คอยอยู่ห่างออกไปหน่อย
ผ่อง ละมัย พิกุล นั่งอยู่บนท่าน้ำ พลอยหัวเราะไปด้วย
ท่านหญิงลงบันไดมาอย่างรวดเร็ว ดำเนินมาอย่างรวดเร็วตรงมาที่ท่าน้ำวังรังสิยา
ศักดินายกมือสองข้างยื่นไปข้างหน้า กำลังจะโผ สนคอยอยู่ พอคุณชายโผมา สนสะดุ้งสุดตัวเพราะเหยียบเศษแก้วในน้ำตัวงอลง หน้านิ่วเพราะเจ็บคุณชายเดียวจึงเคว้งคว้าง คว้าลมวืด ตาเหลือก
ด้านรุ้งเสียงดังตกใจมาก “คุณริมา จับแน่นๆ ค่ะ ช่วยด้วย”
รุ้งนั่งหมิ่นๆ ที่ท่าน้ำ ยื่นมือให้จริมาจับ จริมาจะโผไปที่หลักไม้ ที่ปักอยู่ในน้ำ แต่น้ำพัดแรงมาก พัดจนตัวจริมาโยกโยน และรุ้งก็จะจับไม่อยู่อยู่แล้ว
“น้ำมันแรง... รุ้งดึงสิ...ดึง” จริมาบอก
ศักดินาหน้าคว่ำลงในน้ำ
พิกุล ละมัย ผ่อง ตะโกนพร้อมๆ กัน “น้าสน” / “พ่อสน”
ฟากรุ้งตะโกนลั่นท่าน้ำบ้านปัณณธร
“ช่วยด้วย...คุณริมาตกน้ำ”
ที่ท่าน้ำวังรังสิยา ท่านหญิงวิ่งมาถึงท่าน้ำใจหล่นวูบ
“ชายเดียว” ตกใจมาก “ไอ้สน” ตะโกนเสียงดัง “จับคุณชาย...จับคุณชายก่อน.. ไอ้สน.....”
สนพลิกตัวจับชายเดียวไว้ทัน
เสียงร้อง “ช่วยด้วย” ดังไปทั่วท่าน้ำบ้านปัณณธร มือรุ้งอ่อนแรงเต็มทีแล้วน้ำไหลเชี่ยวเหลือเกิน ไหลโยกโยนจนจริมาตัวแกว่งไปมา
รุ้งตะโกนสุดเสียง ตัวเองจะหมดแรงอยู่แล้ว “ช่วยด้วย... คุณริมาตกน้ำ”
จันทร์วิ่งมากับสารภี พจน์กับฉัตต์วิ่งตามมาติดๆ จันทร์วิ่งลงน้ำแน่
“จันทร์...พี่เอง” พจน์ตะโกน
จันทร์ไม่ฟังเสียง จะถึงอยู่แล้ว แขนจันทร์ถูกจับเหวี่ยงไปด้วยฝีมือยอดซึ่งพุ่งหลาวลงน้ำ เป็นจังหวะเดียวกับจริมาหลุดจากมือรุ้งพอดี ลอยตามน้ำไปอย่างรวดเร็ว
“คุณริมา” รุ้งหวีดร้อง
ทุกๆ คนตกใจ วิ่งพรวดมาที่ท่าน้ำ ยอดรวบตัวจริมา พาว่ายเข้ามาถึงฝั่ง
ส่วนที่ท่าน้ำวังรังสิยา คุณชายศักดินาปลอดภัยแล้ว อยู่ในอ้อมอกท่านหญิงแม่
ท่านหญิงกริ้วจัด “ไอ้สน เอ็งดูลูกข้ายังไงปล่อยให้ตกน้ำ”
สนฝ่าเท้าถูกแก้วบาดเป็นแผลลึก เลือดไหลนอง “กระหม่อม” สนพนมมือ “ขอประทานอภัยกระหม่อม แก้วบาด...ตกใจกระหม่อม”
“ตกใจยังไงก็ต้องนึกถึงคุณชายก่อน เอ็งเจ็บแค่นี้แต่คุณชายจมน้ำตายเอ็งไม่นึกเลยรึ”
สนก้มหน้ากลัวขาดใจ
“นังพวกนี้ก็นั่งเป็นก้อนหิน นังผ่อง แทนที่จะไปอยู่ในน้ำคอยช่วยคุณชาย กลับนั่งลอยหน้ากันอยู่บนฝั่ง”
ทุกคนก้มหน้านิ่ง
“ถ้าคุณชายเป็นอะไรไป พวกเอ็งทุกคนต้องรับผิดหมด ไปหาที่อยู่ใหม่เลย ไม่ต้องมาเหยียบวังข้าอีก”
บรรยากาศเงียบกริบ ทุกคนหวาดหวั่น
“รู้ไว้ด้วยว่า เฟืองเขามาเตือนข้า” ท่านหญิงเสียงดัง
ทุกคนเงยหน้าขวับ หน้าตาตระหนกบ้าง แปลกใจบ้าง
“ไม่ต้องทำหน้าอย่างนั้น คนตายแล้วยังเป็นห่วงคอยดูแล พวกเอ็งยังไม่ตายแต่ไม่มีใครจิตใจเป็นห่วงลูกข้า ไอ้สนไม่อดทน อีพวกนี้ก็ระริกระรื่นหน้าเป็นอยู่บนฝั่ง เพราะฉะนั้นต่อไปนี้อย่ามาร้องทุกข์ข้าเรื่องเฟืองอีก จำไว้ถ้าไม่ได้เฟืองลูกข้าตาย เพราะฉะนั้นใครกลัวเฟืองนักก็ออกไปจากวังข้าได้”
ทุกคนเงียบกริบ ได้แต่ลอบมองตากัน
ท่านหญิงก้มลงช้อนตัวคุณชายเดียว อุ้มขึ้น ผ่องเข้าไปช่วย
“ไม่ต้อง ลูกข้าข้าอุ้มเอง เอ็งไม่ใยดีคุณชายไม่ต้องยุ่ง”
ที่ท่าน้ำบ้านปัณณธร จริมาอยู่ในอ้อมแขนจันทร์ จันทร์จับพาดบ่าให้น้ำไหลออกจากปากให้หมด พจน์ ฉัตต์ คอยดูอยู่ ส่วนรุ้งตัวสั่นอยู่ในอ้อมแขนสารภี
สักครู่จริมาสำลักออกมา หันกลับมองหน้าพ่อ ฉัตต์ และมองจันทร์ ยิ้มแหยๆ
“ไม่เป็นอะไรซักหน่อย”
ทุกคนโล่งใจ
“คุณริมา...เกิดอะไรขึ้น...รุ้ง”
“อย่าโทษรุ้งนะ” จริมามองไปเห็นฉัตต์หน้างอมองรุ้ง “พี่ฉัตต์ อย่านะ อย่าว่ารุ้งนะ ริมาผิดเอง”
“สารภี ฉันบอกให้สารภีคอยดูให้เด็กสองคนนั่งเล่นท่าน้ำเท่านั้น รอฉันกับฉัตต์กลับมา ทำไมปล่อยให้คุณริมาลงน้ำ สารภีไปไหน” พจน์ถาม
สารภีตอบเร็ว “ไปเอาน้ำให้คุณริมาค่ะ คุณริมาหิวน้ำ”
“คุณพ่อขา ริมาผิดเอง ริมาหลอกสารภีไปเอาน้ำให้ริมา แล้วริมาก็ลงน้ำคนเดียวค่ะ”
“เราล่ะ” ฉัตต์หันมาถามรุ้ง “ทำไมปล่อยริมาลงน้ำ รู้อยู่ว่าว่ายน้ำไม่เป็น”
“รุ้ง..ห้าม..ไม่ได้”
“ทำไมจะห้ามไม่ได้ อย่ามาพูดดี ไม่ห้ามเอง อยากให้ริมาตายใช่มั้ยล่ะ” ฉัตต์พาลมาก
“เปล่าค่ะ”
“ไม่เชื่อ...ตัวดี”
“คุณริมาดีกะรุ้ง จะให้ตายทำไมคะ”
รุ้งเถียง เงยหน้าจ้องฉัตต์เขม็ง
“จะพูดว่าอะไร”
“พูดแล้วไงคะ”
“เดี๋ยวเถอะ” ฉัตต์ขยับเข้าไป
“ฉัตต์” พจน์เสียงดังมาก
จันทร์หน้าเสีย รุ้งก็เสียใจ
“ไม่มีเหตุผล ฟังแค่นี้ไม่รู้เหรอว่าใครผิด”
ฉัตต์ฮึดฮัด “แล้วแกล่ะ แกเป็นใบ้หูต้องหนวก แกได้ยินได้ไง แกวิ่งมาจากไหน”
ยอดชี้ไปทางหนึ่ง
“ทำไมแกได้ยิน แกไม่หูหนวกรึไง”
ยอดหน้าตาน่าสงสาร มองจันทร์
“ยอดเขาได้ยินแว่วๆ ค่ะ ไม่ได้หนวกสนิท เพราะเขาไม่ได้หูหนวกแต่เกิดค่ะ”
ยอดพยักหน้า
“ไม่เชื่อ...โกหก” ฉัตต์ว่า
“ฉัตต์” พจน์ปราม
“คุณพ่อ...ไม่เชื่อลูกเหรอ มันหลอกลวง เห็นหลายหนแล้ว มันพูดกัน...ให้มันอยู่บ้านเราทำไม”
ขาดคำฉัตต์ ทุกคนเงียบกันไปหมด สักครู่จริมาจึงขัดขึ้น
“เขาช่วยริมา พี่ฉัตต์อย่าไล่เขาเลย”
จันทร์ก้มหน้า น้ำตาหยด ได้แต่กอดริมาอย่างซึ้งใจ
“คุณพ่อไม่เชื่อ คอยดูไปแล้วกัน” ฉัตต์หันมาทางยอด “หลอกลวง ฉันไม่เชื่อแกหรอก”
ยอดจะทำท่าว่าไม่หลอก ก็อึกอักอยู่ เลยเป็นท่าน่าสงสัย ฉัตต์หันไปสบตากับจันทร์เขม็ง จันทร์สบตาสักครู่ก็หลบตา
“ฉัตต์ อย่างที่ริมาพูด เขาช่วยชีวิตริมา จะยังไงก็ตามเขามีบุญคุณ เรื่องเขาหลอกหรือไม่หลอก เราไม่ต้องใส่ใจ”
ฉัตต์หน้าบึ้ง กระแทกเท้าไปมา
“เวลาหลายปีที่เขาอยู่ที่นี่ เขาทำความเดือดร้อนให้เรารึเปล่า เขาเป็นอันตรายกับเรารึเปล่า ตรงกันข้าม เขาทำประโยชน์ให้เราแลกกับข้าวกินไปแต่ละมื้อเท่านั้น ถ้าจะพูดไปเราน่ะเอาเปรียบเขา ใช้แรงงานเขาค่าตอบแทนอะไรก็ไม่เคยให้”
ฉัตต์นิ่งเงียบ
“อายุแค่นี้คิดแค่นี้ไม่เป็นไร ต่อไปโตกว่านี้ ถ้าไม่เปลี่ยนความคิด ใจตัวเองจะไม่มีความสุข พ่อจะบอกไว้”
ฉัตต์มองจันทร์ มองรุ้ง และมองยอด
เวลาวันต่อมา จันทร์กับยอด นั่งคุยกัน อยู่บริเวณมุมลับตาคน
“วันที่คุณริมาตกน้ำ ยอดอยู่ที่ไหนนะ”
“ผมอยู่แถวนั้น คอยดูอยู่ เป็นห่วงคุณหญิง”
“ที่คุณฉัตต์พูดอะไรทุกอย่างอย่ากังวลเลยนะ คุณพจน์เธอรู้แล้วคนหนึ่ง..ไม่เป็นไรหรอก”
ยอดนิ่งเป็นการรับคำ
“คุณพจน์จะช่วยเรา..เชื่อฉัน เธอเป็นคนดี”
พจน์นั่งเขียนคำพิพากษาอย่างคร่ำเคร่ง อยู่ในห้องทำงาน จริมาสวมชุดนอน หัวยุ่ง เดินโซเซเข้ามา
“ริมา...” พจน์อ้าแขนรับ อุ้มมานั่งตัก “เป็นอะไรหรือลูก ทำไมยังไม่นอน”
“คุณพ่อทำอะไรคะ”
“พ่อเขียนคำพิพากษา”
“ประหารชีวิตหรือคะ”
พจน์หัวเราะเบาๆ “ใครน่าจะถูกประหารชีวิต ริมารู้มั้ยลูก”
“ผู้ร้ายค่ะ”
“ผู้ร้ายแบบไหน”
“ผู้ร้ายที่ร้ายๆ ค่ะ”
“ถ้าเขาร้ายเพราะเขาจำเป็นล่ะลูก”
จริมามองพ่องงๆ
“อย่างเช่นเขาโดนโกงหมดตัว เขาเลยไปทำร้ายคนโกงเขา”
จริมาคิด ตรึกตรอง สมกับเป็นลูกผู้พิพากษา “ก็ไม่ถูกค่ะ เพราะคนโกงอาจจะมาทำร้ายเขาอีกที”
“จบมั้ยลูก”
“ไม่จบ...จบมั้ยคะ”
“ไม่จบซิลูก ถึงต้องมีกฎหมายแล้วก็มีผู้รักษากฎหมาย พ่อเคยบอกแล้ว คือ...”
“ตำรวจค่ะ”
“แล้วก็มีคนตัดสิน คือ...”
“ผู้พิพากษา...คุณพ่อไงคะ”
“เอ๊ะ ริมา ตัวรุมๆ นะลูก มีไข้นิดๆ มั้งเนี่ยเพราะหนีไปเล่นน้ำ สารภีหายาให้ทานหรือยังลูก”
“สารภีหลับแล้วค่ะ”
“งั้นพ่อไปหยิบให้ เอ้า ลงก่อนนะ”
สองแขนจริมาโอบรอบคอทันที “ไม่ลงค่ะ ให้พ่ออุ้ม”
พจน์อุ้มจริมาเดินออกจากห้องทำงาน จริมาโอบรอบคอ ซุกหน้ากับไหล่พ่อ
“ริมาอยากไปนอนกับตัวเล็ก”
“รุ้งเป็นหวัด ริมาก็กำลังจะเป็นเห็นมั้ย พ่อพาไปนอนนะ”
“ไม่เอาค่ะ คุณพ่อกล่อมไม่เป็น ต้องจันทร์ ร้องเพลงเพราะ เกาหลังให้ด้วย” จริมาอ้อน
“พ่อก็ทำเป็น”
“ทำอะไรเป๊น...” จริมาลากเสียงเหมือนผู้ใหญ่
“ทั้งสองอย่าง”
จริมาหัวเราะชอบใจ ใส่หูพ่อ “ฮะ...ฮะ ขำจัง”
“ขำอะไร”
“ตลกคุณพ่อสิคะ”
พจน์เลยหัวเราะไปด้วย “เดี๋ยวคอยดู” แล้วพากันเดินไป
“ตัวเล็กน่ะ เค้ามีแม่ ริมาอยากมีแม่มั่ง”
พจน์นิ่งอึ้งไปทันที
จริมาหลับสนิทแล้ว พจน์มองลูกสาว สารภีหลับอยู่ที่พื้นมุมห้อง
“ตัวเล็กน่ะเค้ามีแม่ ริมาอยากมีแม่มั่ง” เสียงจริมาดังก้องในหู
ที่สนามเล็กๆ ข้างบ้าน จันทร์เดินช้าๆ อยู่ตรงนั้น ท่าทางครุ่นคิด ส่วนที่หน้าต่างห้องจริมาชั้นบน พจน์ยืนมองจันทร์อยู่
จันทร์เดินมานั่งที่ม้านั่ง สีหน้ายังครุ่นคิดตรึกตรอง สักครู่ลุกขึ้นจะกลับห้อง เห็นพจน์อยู่ตรงหน้า จันทร์ทำท่าจะเดินเลี่ยงไป
“จันทร์”
“คะ”
พจน์อึกอักนิดหน่อย เพราะความจริงไม่มีเรื่องอะไร “ริมาไม่สบาย ตัวร้อน ไอนิดหน่อย”
จันทร์รีบเดินไป
“จะไปไหน”
“งั้นดิฉันจะไปดูเธอค่ะ”
“ไม่ต้องหรอก ฉันให้กินยาแล้ว...หลับแล้วด้วย”
“ค่ะ” จันทร์หลบตา มองไปทางอื่น
พจน์จดจ้องมองจันทร์อย่างเพลินตา มองเพ่ง สายตาไล่ไปตามใบหน้าที่ผุดผ่องอยู่ในแสงจันทร์ ผมยาวสลวย ริมฝีปากอิ่มเต็ม เลื่อนไปที่แก้ม แล้วเลื่อนมาที่ไหล่
เป็นอารมณ์ผู้ชายที่มีเลือดเนื้อ และเหงา ว้าเหว่ อยู่หลายปี พอสายตาเลื่อนต่ำลงมาอีก พจน์ถอนสายตาอย่างฉับพลัน สีหน้าละอายนิดๆ ขยับตัว
จันทร์ขยับตัวเหมือนกัน สีหน้าระทึกใจนิดๆ “เอ้อ...จะไปดูคุณริมา”
“จันทร์”
“คะ”
“ยังคิดถึงเรื่องอดีตที่ทำให้เป็นทุกข์ใจอยู่มั้ย ...ลืมบ้างหรือยัง”
จันทร์รู้สึกตื้นตันขึ้นมาในใจ ที่พจน์อุตส่าห์ถาม เหมือนจะร้องไห้
“ฉันขอโทษถ้าถามเรื่องที่ไม่ควรถาม”
“ไม่ค่ะ...ไม่ ดิฉันคิดอยู่เสมอว่า บุญยังคุ้มครองดิฉันที่ได้มาพบ...ที่นี่”
“ไม่จริง ต้องเรียกว่าเรามีบุญมากกว่า เพราะอยู่ๆ เธอก็มา...มาทำให้พวกเราสบายกันทุกคน”
จันทร์ส่ายหน้าน้อยๆ แต่ไม่พูดอะไร
“ถ้าจะขอบใจใคร ก็คงจะเป็นสายน้ำกระมังที่พัดพาเธอให้หยุดตรงท่าน้ำบ้านนี้ ไม่พัดเธอไปที่บ้านอื่น ไม่อย่างนั้นฉันคงอิจฉาเขามากๆ” พจน์ทำเสียงสบายๆ เป็นกันเอง
จันทร์ค่อยหายประหม่า
“ค่ะ...ขอบพระคุณค่ะ”
จันทร์ไหว้พจน์นิ่งไปอีก มองนิ่งๆ จันทร์รู้ตัวว่าถูกมอง
“บางทีคงจะถึงเวลาแล้ว ที่เธอสองแม่ลูกจะสุขสบายขึ้น”
จันทร์มองพิศวงมาก พจน์ยิ้มให้นิดๆ ก้าวเท้าเดินไป
“ดึกแล้ว ไปนอนเถอะ ไม่ต้องห่วงริมา” พจน์เดินจากไป
ยังไม่ทันที่จันทร์จะทำอะไร สารภีวิ่งกระเหือดกระหอบมา
“คุณพจน์คะ...คุณริมาตัวร้อนจี๋เลยค่ะ”
ครู่ต่อมาจันทร์โอบอุ้มจริมาที่กระสับกระส่ายเพราะไข้ขึ้นสูงขึ้นนั่ง พิงอกตัวเอง ป้อนยา จริมาสำลักนิดหน่อย
จันทร์บอกเบาๆ เสียงปลอบโยน “ค่อยๆ นะคะ ค่อยๆ กลืน”
แล้วจันทร์จึงประคองจริมาลงนอน รับผ้าจากสารภีมาเช็ดหน้า เช็ดแขน ห่มผ้าให้อย่างนุ่มนวล ทุกอย่างข้างต้นอยู่ในสายตาพจน์ที่ยืนมองอยู่ห่างออกไป
“จันทร์...จันทร์จ๋า”
“คะ”
“อยู่กับริมานะ” จริมาอ้าแขนหาจันทร์
จันทร์ก้มตัวลงไป จริมากอดคอจันทร์แน่น
“ค่ะ..ค่ะ คืนนี้ดิฉันจะนอนกับคุณริมาค่ะ”
จริมายิ้มออกได้ หลับตาลง จันทร์ห่มผ้าให้เรียบร้อย หันมาเห็นพจน์ยืนจ้อง สายตาประหลาดไป
จันทร์ใจสั่นนิดๆ เดินก้มตัวผ่านไป “ดิฉันจะไปเอาหมอนกับผ้าห่มค่ะ”
“จันทร์” จริมาพูดทั้งยังหลับตา “เอาตัวเล็กมานอนกับริมานะ”
รุ้งนอนหลับสนิท หน้าตาสงบนิ่งน่าเอ็นดู ถุงขนมของฉัตต์วางอยู่ข้างๆ สองคนยืนจ้องมอง พจน์เหลือบมองจันทร์ ด้วยสีหน้าอ่อนละมุน เต็มไปด้วยความรัก
“รุ้งเป็นเด็กดีมากนะจันทร์ เธอเลี้ยงลูกได้ดีมาก”
“ขอบคุณค่ะ” จันทร์พนมมือไหว้
“ฉันเชื่อว่าต่อไปรุ้งจะเป็นสุภาพสตรีที่ดีพร้อม ฉันจะคอยดูต่อไป”
พจน์อุ้มรุ้งเดินไปจากห้องเรือนเล็กไปตึกใหญ่ จันทร์เดินตามไปด้วย สายตาจันทร์ที่มองพจน์ เต็มไปด้วยความประทับใจ
ละเมียดยืนที่หน้าห้องตัวเอง มองตาม มีรอยยิ้มนิดๆในดวงตาแต่สีหน้าสงบนิ่ง
วันหนึ่ง คุณชายศักดินายืนอยู่หน้าตำหนัก สีหน้าสงบเฉย ยืนตัวตรง มือสองข้างไขว้หลัง
ท่านหญิงแขไขเจิดจรัส เดินสง่างามออกมา เพ่งมองชายเดียวพินิจพิเคราะห์ สายตามีแววคล้ายลังเลนิดหน่อย พอศักดินาหันมา ท่านหญิงมีสายตานุ่มนวลรักใคร่อย่างเดิม
“ชาย”
ศักดินาหันไป ยิ้มน้อยๆ “ท่านแม่ งามจังค่ะเด็จไหนหรือคะ”
“ไปวังน้าหญิงเล็ก ชายคอยใครอยู่หรือลูก”
“ชายขอไปกับท่านแม่ค่ะ ท่านแม่กับน้าหญิงเล็กจะเด็จวัดอรุณผ่านบ้านพี่ฉัตต์ หลานของคุณหญิงปัณณธร ชายขอแวะ”
“ชายต้องเร็วนะลูก เพราะแม่” ท่านหญิงดูนาฬิกา “ต้องไปให้ทันเพล” พลางจูงมือศักดินาลงบันได
“พี่ฉัตต์บอกว่ามีขนมจะถวายท่านแม่ด้วยค่ะ ขนมฝีมือชาววังค่ะ”
จันทร์อยู่ในครัวบ้านปัณณธร ทำขนมช่อม่วง จีบว่องไว สวยงาม ใส่รังถึง
สำลีชะโงกดูจนใกล้มาก “เอาดอกอัญชัญอีกมั้ยพี่จันทร์”
“พอแล้ว”
“ใครตั้งชื่อช่อม่วงนะเนี่ย เพราะเนอะพี่จันทร์” สำลีว่า
สำเนียงหมั่นไส้ “นังลี น้ำลายกระเด็นเป็นฝอยฝาแล้ว ถอยออกมาเลยเว๊ย”
สำลีย้อน “น้ำลายแม่จะกระเด็นแทนเหรอ”
สำเนียงเขกหัวป๊อกทันที แล้วลากออกไป สำลีร้องโอ๊ย..โอ๊ย
“อ่อน เอ้าเอาไปตั้งเตา ไหวมั้ย” จันทร์ว่า
“ไหวค่ะ เอาซึ้งอีกใบมั้ยคะ”
“ได้ เอามาอีกใบ”
ละเมียดเดินเข้ามาหา “คุณฉัตต์ถามว่าเสร็จหรือยัง เพื่อนเธอกำลังมา เธอจะให้เพื่อน”
“เดี๋ยวเดียวค่ะคุณเมียด..ซึ้งโน้นเสร็จแล้วถ้ารีบก็ไม่ต้องรอ แต่น้อยไปหน่อยนะคะน้าเนียง” จันทร์ลุกขึ้นเดินไปล้างมือ “คุณเมียดเห็นรุ้งมั้ยคะ”
“เห็นคุณฉัตต์ให้ไปพบ”
“ทำไมคะ” จันทร์หน้าตื่น นึกแปลกใจ “คุณฉัตต์เรียกรุ้งทำไม”
แค้นเสน่หา ตอนที่ 3 (ต่อ)
ที่ห้องฉัตต์บนตึกใหญ่เวลานั้น ฉัตต์มองรุ้งที่นั่งพับเพียบตรงหน้า นัยน์ตาแจ่มแจ๋วมองหน้าฉัตต์เป็นคำถาม ฉัตต์หน้าบูดบึ้งถามเสียงห้วน
“หายรึยัง”
“ไม่สบายหรือคะ ...หายแล้ว ขอบคุณขนมด้วยค่ะ” รุ้งบอก
“เอาล่ะ” ฉัตต์นิ่งไปอึดใจ “ฉันถามดีๆ นะ แล้วตอบมาตรงๆ อย่าโกหกด้วยว่าวันนั้นทำไมถึงกล้าตีฉัน”
รุ้งนิ่ง
“ว่าไง... ตอบ”
“คุณฉัตต์ผิด”
ฉัตต์กัดฟันแน่น “กล้ามากนะ...กล้ามาก”
“กล้าตรงไหนคะ”
“ที่ตีฉัน” ฉัตต์เสียงห้วน
“ก้อ...ท่านสั่ง”
“นั่นแหละ กล้าทำฉัน”
“ถ้ารุ้งไม่ตี คุณฉัตต์จะเจ็บกว่าเสียอีก”
“รู้ได้ไง” ฉัตต์สวนคำ
“ท่านเป็นผู้พิพากษา ท่านตัดสินแล้ว ไม่งั้นท่านก็ตีเอง”
“ทำเป็นรู้ดี”
“ท่านเป็นผู้ชาย ตีเจ็บ...แล้วท่านก็ต้องตี 10 ที”
“อ้อ...แกล้งทำเป็นลมเหรอจะได้ตีไม่ครบ”
“เปล่าค่ะ...เป็นจริงๆ”
ฉัตต์เถียงอะไรก็ฟังไม่ขึ้นเลยพาล “ที่หลังไม่ต้องมาสงสาร ไม่ได้ขอร้อง...อย่ามายุ่ง จุ้นจ้าน”
รุ้งก้มหน้างุด น้ำตาคลอ
“ทีหลังจำไว้ ฉันอยากให้คุณพ่อตีเอง ตัวเองอย่ามายุ่ง ต่างคนต่างอยู่”
รุ้งเงียบ น้ำตาหยดเผาะ
“เข้าใจมั้ย”
รุ้งยังนิ่ง
“ถามว่าเข้าใจมั้ย”
รุ้งเงยหน้า จ้องฉัตต์นิ่ง น้ำตาเต็มตา สะอื้นนิดๆ พยักหน้า
“เสียมารยาท ผู้ใหญ่ถามพยักหน้า”
“เข้าใจค่ะ” รุ้งรับแต่เสียงเบามาก
“ไม่ได้ยิน”
รุ้งทำท่าจะลุก ไม่อยากร้องไห้
“บอกว่าไม่ได้ยิน”
รุ้งหันหลังกลับ จะออก สะอื้นถี่ๆ
“รุ้ง...”
รุ้งชะงัก
คุณชายศักดินาเดินตามสารภีเข้ามา ถือหนังสือ 2-3 เล่มอยู่ในมือ เผชิญหน้ากับรุ้ง
สองคนพี่น้องจ้องมองหน้ากัน
ศักดินามีสีหน้าพิศวง ขณะที่รุ้งก็ยังสะอื้น
ศักดนาเดินไปใกล้ “เป็นอะไรครับ”
เสียงจริมาดังขึ้น “จะทำอะไรรุ้ง”
ทั้งหมดหันไป จริมาหน้าตาเอาเรื่องเดินเข้ามาจ้องหน้าชายเดียว
“จะทำอะไร”
“ริมา...เอ๊อ...เข้ามาเอะอะจริง นี่เพื่อนพี่...ชายเดียว ขอโทษเขาซะพูดจาไม่ดี”
จริมาหันไปค้อน “ขอโทษ พี่ฉัตต์ให้เขาบอกด้วยว่าจะทำอะไรรุ้ง”
“พอ...ชายเดียวเขาจะไปทำอะไร เขาไม่รู้จักซะหน่อยว่าเป็นใคร”
“เขาเดินหยั่งกะจะไปตีรุ้งนี่” จริมาไม่ลดละ
“หาเรื่อง...สุภาพบุรุษจะตีผู้หญิงได้ไง ชายเดียว นี่น้องสาวชื่อจริมา เรียกริมาก็ได้” ฉัตต์แนะนำเป็นทางการ
ศักดินาก้มหัวทักทาย จริมามองค้อนๆ ฉัตต์ชวนไปนั่ง
“พี่ฉัตต์ แล้วรุ้งล่ะ ไม่แนะนำเหรอ”
ฉัตต์ไม่สนที่น้องถาม “ไหน เอาหนังสืออะไรมาให้มั่ง ชายเดียว”
จริมาจ้องมองนัยน์ตาคว่ำ ฉัตต์พูดคุยกับชายเดียว
“รุ้งไปเถอะอย่าอยู่ตรงนี้เลย เจ้าของบ้านไม่มีมารยาท”
รุ้งมองไปที่ศักดินา
ชายเดียวเองก็มองมา สบตากัน แล้วเลื่อนสายตามาที่จริมา
จริมาดึงรุ้งไป ศักดินามองตาม
“แขกก็ไม่มี...ไป”
ศักดินาหน้าเหวอไปเลย
“มาคนเดียวหรือชายเดียว”
“มากับท่านแม่ครับ..ต้องรีบกลับด้วย ท่านแม่คอยอยู่”
สนจอดรถหน้าตึกใหญ่ ที่บริเวณใต้ต้นไม้ ห่างจากหน้าตึกขนาดพอมองเห็นคน ท่านหญิงแขไขนั่งสงบ เหลือบสายตาต่ำอ่านหนังสือเล่มเล็ก ๆ
จันทร์เดินมาตามทางจากหลังตึก จะมาขึ้นบนตึก ผ่านท่านหญิงไป ชนิดว่าถ้าเงยหน้าก็เห็นเต็มๆ
นายสนยืนอยู่แถวนั้น มองฟ้ามองยอดไม้อยู่
ท่านหญิงอ่านหนังสือ จันทร์เดินมา ใกล้ถึงมุมที่ต้องเลี้ยวมุมตึก
สนมองผ่านๆ ไม่ตั้งใจ เห็นใบหน้าจันทร์ที่กำลังจะเลี้ยวพอดี
“เอ๊ะ”
ท่านหญิงเงยพักตร์ ด้วยได้ยินเสียงสน จันทร์เลี้ยวพอดี เดินขึ้นตึกไป เห็นด้านหลังอึดใจหนึ่ง
ท่านหญิงคลับคล้ายคลับคลา เพ่งมอง พลางเรียก
“สน”
“กระหม่อม”
“แกเห็นอะไรร้องเอ๊ะ”
“เอ้อ...เปล่ากระหม่อม”
ท่านหญิงพิงพนักเก้าอี้ สีหน้ายังครุ่นคิดอยู่
สองคนอยู่ในห้องเดิม ฉัตต์ปิดหนังสือ
“พี่อ่านเสร็จแล้วจะคืนนะชายเดียว”
“ครับ พี่ฉัตต์”
“เสียดายจังชายเดียวรีบกลับ ไม่อย่างนั้นจะให้ดูหนังสือของคุณพ่อ มีแผนที่ WORLD ATLAS ด้วย”
“อยากคุยกับพี่ฉัตต์ แล้วจะขออนุญาตท่านแม่มาอีก มาทั้งวันได้มั้ยครับ”
“ได้สิ มาเล่นทายความรู้รอบตัวกัน ให้อ่านก่อนคนละชั่วโมง แล้วถาม-ตอบ เอามั้ย”
ศักดินายิ้มน้อยๆ ท่าทีสุภาพ “ครับพี่ฉัตต์ ผมกลับนะครับ”
ฉัตต์พาลุกขึ้น เดินออก
“น้องแท้ๆ หรือครับ เด็กผู้หญิงคนเมื่อกี้” ศักดินาถามถึงจริมา
“อ๋อ..ริมา..ใช่น้องแท้ๆ ริมาเกิดคุณแม่ก็ตาย” หน้าตาฉัตต์ขัดเคืองแค้นใจขึ้นมารำไรๆ
“แล้วเด็กอีกคนล่ะครับ” ศักดินาถาม
ฉัตต์หน้าเคร่ง
“ขอโทษครับพี่ฉัตต์ ถ้าผมถามอะไรไม่เหมาะสม”
“ไม่เป็นไร..ไปเถอะ” ฉัตต์เดินนำออกไป
ศักดินามีสีหน้าพิศวง ว่าทำไมฉัตต์ไม่ตอบ
“ชายเดียว เร็ว”
ชายเดียวเดินตาม
จันทร์เข้ามาจังหวะนี้ ฉัตต์หน้าบึ้ง มองสบตาจันทร์แล้วสะบัดตัวเดินออกไป
“สำลีเอาขนมไปที่รถแล้วนะคะ” จันทร์พูดเบาๆ ตามหลังฉัตต์ แล้วหันมา
จันทร์เผชิญหน้ากับศักดินา มองด้วยสีหน้าอ่อนโยน รู้สึกนิดหน่อยว่ามีอะไรแปลกๆ
สองแม่ลูกยืนมองกันอยู่อึดใจ
ศักดินายิ้มนิดๆ มองจันทร์ด้วยแววตาอ่อนโยน
“ชายเดียว...เร็ว” ฉัตต์เร่ง
ศักดินายิ้มร่ำลา แล้วออกไป
“ชายเดียว”
จันทร์พึมพำ โดยยังไม่รู้ว่าเด็กชายหน้าสวยคนนี้เป็นลูกชายแฝดของตน!
แค้นเสน่หา ตอนที่ 3 (ต่อ)
พจน์เพิ่งกลับมาจากทำงาน เดินมาที่บริเวณหนึ่งในตัวตึกปัณณธร จริมาตรงเข้ามาหาเพื่อฟ้องพ่อ ฉัตต์เข้ามาเห็นพอดี จึงแอบฟัง ได้ยินเสียงดังแว่วๆ เห็นเป็นภาพไกลๆ และเห็นพจน์ส่งเสื้อนอกที่ถอดให้แนบ เหลือแต่เสื้อตัวใน แนบเดินเข้าตึก
“คุณพ่อถามตัวเล็กด้วยนะคะ ต่อหน้าพี่ฉัตต์เลยค่ะ” จริมาว่า
“ต่อหน้าพี่เขา แล้วรุ้งจะพูดหรือลูก”
“พูดค่ะ”
พจน์จับหัวโยกเบาๆ “ รู้ได้ไงว่ารุ้งจะกล้าพูด”
“ทีคุณพ่อให้ตี ตัวเล็กยังตี ตัวเล็กเขาไม่กลัวหรอกค่ะ พี่ฉัตต์น่ะเกเรจริงๆ เลย ชอบแกล้งตัวเล็ก เป็นอะไรไม่รู้...” จริมาลากเสียงยาวน่าขัน
สีหน้าฉัตต์ หมายมั่นปั้นมือมาก
ฉัตต์เดินดุ่มๆ มาอีกบริเวณหนึ่ง มองหารุ้ง เห็นแล้วว่ารุ้งเก็บดอกไม้จะไปร้อยมาลัย จึงเดินเข้าไปหา ดอกไม้บานสะพรั่ง มือรุ้งเอื้อมเข้าไปจะเด็ด ทว่ากิ่งไม้นั้นถูกดึงไปด้วยมือฉัตต์ ที่มองหน้ารุ้งนิ่งๆ
รุ้งมองฉัตต์อยู่อึดใจ จะไปเด็ดอีกกิ่ง ไม้กิ่งนั้นถูกดึงไปอีก รุ้งจะไปเด็ดอีกกิ่ง กิ่งนั้นก็ถูกฉัตต์ดึงไป
“จะเก็บไปร้อยมาลัยให้คุณย่าคุณฉัตต์ค่ะ”
“ไม่ได้ว่าอะไรนี่” ฉัตต์บอกกวนๆ
“ไม่ว่าหรือคะ” รุ้งถามเสียงซื่อ หน้าซื่อมาก
“ถ้าคุณพ่อมาถามตัวว่าฉันแกล้งตัว ตัวจะตอบว่าไง”
“ตอบเรื่องจริงค่ะ” รุ้งก้มหน้าตอบ เพราะกลัวอยู่เหมือนกัน
ฉัตต์หน้าบึ้งฉับพลันทันที แล้วเดินพรวดไปกระแทกไหล่รุ้งเล็กๆ เบาๆ เพราะรู้เหมือนกันว่าไม่ดี
“ดีฟ้องกันเข้าไป พวกช่างฟ้อง”
แล้วเดินกระแทกไปเต็มแรง
เสียงพจน์ดังขึ้น “ฉัตต์”
ทั้ง 4 คน พจน์ ฉัตต์ รุ้ง และจริมาที่รู้เรื่องแล้วอยู่ในห้องบนตึกใหญ่ พจน์เอ่ยขึ้นกับฉัตต์
“นั่งลง”
“ผมยืนได้ครับคุณพ่อ”
“อย่าเลยฉัตต์ เพราะพ่อจะพูดหลายอย่างเดี๋ยวจะเมื่อย”
“ผมยืนได้ครับ เพราะถ้าคุณพ่อให้ใครตีผมจะได้ไม่เสียเวลา” ฉัตต์ลุกขึ้นยืน
พจน์หน้าขรึมขณะมองดูฉัตต์ ฉัตต์สบตาพ่ออยู่อึดใจ จึงนั่งลง
“เอาล่ะ รุ้งกับริมาออกไปได้แล้ว” พจน์บอกรุ้งกับจริมา แล้วหันมาทางฉัตต์ “ฉัตต์โตแล้วพ่อไม่ตีหรอก”
“คุณพ่อ ยังไม่ถามตัวเล็กเลยค่ะ” จริมาทักท้วง
ฉัตต์เหลียวขวับ “อย่ายุ่งได้มั้ย”
รุ้งไหว้แล้วออกไปอย่างรวดเร็ว
“ตัวเล็ก..อย่าเพิ่งไป..เดี๋ยว”
พจน์ดุ “ริมา หนูฟังที่พ่อพูดไม่รู้เรื่องจริงหรือลูก”
จริมานัยน์ตาตก “ค่ะ..คุณพ่อ”
จริมาเดินออก สบตากับฉัตต์อีกแว่บหนึ่ง ฉัตต์ทำท่าจะเข้าไปหา จริมาทำท่าสู้
“ริมา ไม่มีอะไรต้องพูดกับพี่เขาแล้ว”
“ริมาเปล่าค่ะคุณพ่อ พี่ฉัตต์ต่างหากทำท่าจะตีริมา”
“เชอะ...ใครอยากตีตัว” ฉัตต์เยาะ
จริมาย้อน “หรือไม่ก็อยากตีตัวเล็ก”
“ยิ่งไม่อยากใหญ่...ไม่อยากยุ่ง ไม่อยากมองด้วยซ้ำ”
“แหม...อย่างเชื่อนี่”
พจน์ดุอีก “ริมา”
คราวนี้จริมาออกไปอย่างรวดเร็ว
“เมื่อไหร่จะเข้าใจเสียทีว่าที่แม่ของลูกตายไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยกับจันทร์หรือรุ้ง”
ฉัตต์นิ่ง
“โตแล้วนะลูก เรื่องนี้เข้าใจไม่ยาก หรือว่าจะต้องรอให้โตเป็นหนุ่มถึงจะยอมเข้าใจ”
ฉัตต์กัดฟันพูด “มันมา...คุณแม่ก็ตาย คุณแม่ตายเพราะมันมา โตไม่โตฉัตต์ก็รู้แค่นี้”
แล้วฉัตต์ก็วิ่งพรวดออกไปอย่างเร็ว
พจน์ร้องเรียกตาม “ฉัตต์”
ในเวลาต่อมา พจน์แวะมาหารือกับคุณหญิงเพ็งเรื่องความดื้อรั้นของฉัตต์
“อย่าโกรธลูกนะ แม่ว่าเขารับรู้แล้วล่ะ แต่ทิฐิไงเลยไม่ยอมรับมากกว่า ลูกชายพ่อพจน์เป็นคนดื้อนะ ตอนแม่ตายเขาสะเทือนใจมากเพราะกะทันหันเหลือเกิน พอไม่รู้จะโทษใคร...พวกนี้โผล่เข้ามาเป็นแพะรับบาปพอดี ปากเสียงไม่มีอยู่แล้ว พ่อฉัตต์เลยสนุกใหญ่”
“คุณแม่จะให้ตาฉัตต์เที่ยวหาเรื่องทั้งจันทร์ทั้งรุ้งอยู่อย่างนี้หรือครับ หาเรื่องกับรุ้งมาตั้งแต่เด็กจนโต” พจน์ปรารภ
“นั่นสิ...ทั้งแม่ทั้งลูกก็ตัวลีบเต็มทนเวลาเจอะกับตาฉัตต์…แม่ก็กลุ้มนะ”
“ผมสังเกตว่า ถ้ายิ่งเราชอบเขาจะยิ่งขวาง แต่ถ้าเราทำเฉยกับใครเขาถึงจะดีกับคนนั้น”
“คนที่ทำเฉยไม่ได้คือลูกสาวพ่อพจน์นั่นแหละ เลือดผู้พิพากษาแรงผิดเป็นผิดถูกเป็นถูก ไม่ผิดอย่ามาว่ากันเชียวเถียงหัวชนฝา หารู้ไม่ว่าปกป้องรุ้งยิ่งทำให้รุ้งโดนหนักขึ้น” คุณหญิงบ่น
จริงดังที่คุณหญิงย่าว่า จริมา รุ้งและฉัตต์ อยู่ที่กลางสนามข้างตึกใหญ่ จริมาบ่นว่าและเอาเรื่องพี่ชายไม่ยอมเลิก
“พี่ฉัตต์นั่นแหละผิด...หาเรื่อง ตัวเล็กเขาเก็บมะลิอยู่ดีๆ พี่ฉัตต์ก็ไปแกล้งเขาทำโทษก็ไม่โดน ลอยนวล..สบาย”
“รู้ได้ไง”
“ตัวเล็กบอก”
ฉัตต์หันขวับมาทางรุ้ง ที่ยืนหน้าเป๋อเหลออยู่ รุ้งพุ่งตัวเขาแอบหลังจริมาโดยอัตโนมัติ เป็นภาพที่ตลกและน่าขำ จริมากางแขนปกป้องรุ้ง
“ปากบอนนัก” ฉัตต์ชี้หน้า
“พี่ฉัตต์ นิสัยไม่ดีนะคะ”
“จริงนี่..แค่นี้ก็ฟ้องคนไปทั่ว”
“ตัวเล็กไม่ได้ฟ้องนะ..แกล้งผู้หญิงแบบเนี้ยไม่เป็นสุภาพบุรุษเล้ย...” จริมาลากเสียงยาวอีก ราวกับผู้ใหญ่
“คุณพ่อยังไม่ถามซะหน่อย”
“คุณพ่อไม่ถามก็ฟ้องได้” จริมาหันไปทำเสียงใส่รุ้งที่พยายามดึงเสื้อ “ฮื้อ..อย่าน่า ถ้าเป็นพี่ฉัตต์น่ะเหรอ.. เฮ่อฟ้องทันที..ฮื้อ ตัวเล็กดึงทำไม” จริมาหันมามองหน้าตัวเล็กของเธอพลางบอก “ไม่ต้องกลัว ตัวเป็นคนถูกจะกลัวทำไม”
รุ้งส่ายหน้าพยายามดึงจริมาไปที่อื่นกัน
“ไม่ต้องมาทำเป็นคนดี เอาสิอยากฟ้องใครก็ไปฟ้องเลย ฟ้องเลย นั่นไง โห...มาเป็นพรวน...เอาเลย”
สำเนียง สำลี และอ่อน เดินหน้าตื่นมาเป็นแถว
“ไหน...ไหน คุณฉัตต์อาละวาดอยู่ทางไหน” สำเนียงนำร่อง
“อยู่นี่ยายเนียง แกจะมารุมฉันใช่มั้ย มาเลย มา นังลี นังอ่อน คอยอะไร..เข้ามา” ฉัตต์ท้าใหญ่
“พี่ฉัตต์ จิกหัวเรียกเขาอย่างนี้ ริมาจะฟ้องคุณย่า”
“ทำไมจะเรียกไม่ได้ ยายเนียง ยังเรียกนังลีเลย แล้วนังลีก็เรียกนังอ่อน” ฉัตต์เถียง
“เขาเรียกกันเองนี่” จริมาโต้
“แล้วทำไมฉันเรียกแล้วเป็นไง”
“คุณย่าไม่ให้จิกเรียกใคร คุณย่ายังไม่เคยเรียก เรียก เนียง ลี อ้อยเฉยๆ สารภีก็เรียกเฉยๆ” จริมาว่า
ฉัตต์พาลไปใหญ่ “จะเรียก..นัง..นัง..นัง” พร้อมกับขี้หน้าไปทุกคนแต่ไม่ออกชื่อ สุดท้ายชี้ไป จันทร์กับละเมียดที่เดินลับพุ่มไม้มาพอดี ฉัตต์ชี้ค้าง เหลียวมาดูหน้าจริมาท่าทีน่าขำ
“เอาสิ” จริมาท้า
“คุณฉัตต์ขา ไม่เป็นไรค่ะ เรียกได้... เรียกได้ เนียงกะนังลี นังอ้อยเป็นบ่าวค่ะ เรียกยังไงก็ได้” สำเนียงบอก
“เรียก “นัง” ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่คะ คุณริมา ใครๆ ก็เรียกลีว่านังลีทั้งนั้น” สำลีว่า
“นังอ่อนด้วยค่ะ” อ่อนเสริม
ละเมียดเอ่ยขึ้น “คุณฉัตต์คะ คุณย่าให้หาคุณฉัตต์ค่ะ”
ฉัตต์หน้าบึ้งจัด มองจันทร์เหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ จันทร์หลบตาเลี่ยงไปหารุ้ง
“ถึงคุณย่าแล้วเหรอ ใครสาระแนล่ะคราวนี้” ฉัตต์จดสายตายังมองจันทร์ไม่วางตา
รุ้งหลบหลังแม่ แต่มองหน้าแม่เป็นเชิงถามว่าแม่ฟ้องหรือเปล่า จันทร์ส่ายหน้าปฏิเสธ
“คราวนี้ใครฟ้องล่ะ อย่ามาทำหน้าไม่รู้เรื่องหน่อยเลย ตั้งแต่เข้ามาอยู่มีแต่เรื่อง”
ฉัตต์เดินหน้าเข้าไปหารุ้ง ยอดโผล่พรวดออกมา แบบฟังอยู่นานแล้ว มาถึงกางกั้นรุ้ง
“ไอ้ใบ้ อ๋อ จะปกป้องเจ้านายแกรึ เอาสิวะ”
“พี่ฉัตต์ อย่านะ”
ละเมียดพูดพร้อมๆ กันกับจริมา “คุณฉัตต์ อย่าค่ะ”
ใบ้ทำท่าเงอะงะ ส่ายมือว่าไม่ใช่ ในเวลาเดียวกัน ฉัตต์กระโดดแล้วถีบยอดอกยอดเต็มแรงจนตัวลอย ผู้คนร้องวี้ดว้ายกันใหญ่ ยอดเซไปแล้วล้มลง
รุ้งหวีดร้อง แล้วเข้าไปประคองยอดให้ลุกขึ้น รุ้งหันมามองฉัตต์ เสียใจด้วย...เคืองด้วย
ฉัตต์ก็มองรุ้ง ด้วยความตกใจ สีหน้ารู้สึกผิดบางๆ
ไม่นานต่อมา ไม้เรียวในมือพจน์ซึ่งยืนอยู่กับคุณหญิงเพ็ง ฟาดขวับเข้าที่ขาฉัตต์ จนฉัตต์สะดุ้งสุดตัว
จริมา รุ้ง และยอด อยู่ใกล้ๆ ในฐานะคู่กรณี ส่วนคนอื่นอยู่ไกลๆ
พอไม้เรียวที่สองฟาดลง พวกอยู่ไกลๆ ก็เสียงฮือ
“คุณเมียดคะ ฉันว่าเราไม่ควรอยู่ตรงนี้นะคะ” จันทร์เอ่ยขึ้น
“ใช่” ละเมียดเห็นด้วย ทำท่าให้ทุกคนไป “สงสารคุณฉัตต์”
คนอื่นๆ เดินไปแล้ว เหลือแต่จันทร์กับละเมียด หันไปมองฉัตต์ เจอฉัตต์มองมานัยน์ตาเข้ม จันทร์กับละเมียดชวนกันไป
“ตาฉัตต์ มองเขาอย่างนั้นจะทำอะไรเขาหรือลูก” คุณหญิงดุ
ฉัตต์พูดเสียงอุบอิบ “เปล่าครับคุณย่า”
“ฉัตต์ ลูกจะทำยังไงกับยอด จะขอโทษเขามั้ย”
“ไม่ครับ” ฉัตต์ตอบทันควัน
พจน์ขยับปากจะพูดสวน คุณหญิงแตะแขนไว้ บอกด้วยกิริยาให้ค่อยๆพูด
“แต่ลูกผิดนะ นอกจากยอดจะไม่ได้ทำอะไรลูกเลย เขายังเป็นคนพิการ รังแกคนพิการไม่ใช่ลูกผู้ชายเลย”
“มันไม่ได้พิการ มันพูดได้ คุณพ่อน่ะถูกมันหลอก มันหลอกคุณย่า หลอกคุณพ่อหลอกเราทุกคน” ฉัตต์บอกเสียงดัง
“จนกว่าลูกจะมีหลักฐานที่ชัดเจน พ่อถึงจะเชื่อ ตอนนี้พ่อต้องคิดว่ายอดเป็นใบ้จริงๆ เพราะฉะนั้นฉัตต์ผิดอย่างไม่น่าให้อภัย”
สีหน้ายอดดูไม่สบายใจเลย ทำท่าไม่เป็นไร ไม่เอาเรื่อง แล้วกราบลงกับพื้น
พจน์ไม่ยอม “ยอด..ไม่ได้หรอก ลูกชายฉัน ฉันจะไม่ยอมให้ประพฤติตัวไม่ดี ฉัตต์ต้องยอมรับโทษ” พจน์หันมาจ้องหน้าฉัตต์ “ถูกต้องมั้ยลูก”
ฉัตต์สบตาพ่อ อย่างแรง แล้วเหลือบไปเห็นยอดกำลังทำกิริยาไม่เอาเรื่อง
“เฮ้ย ไอ้ยอดแกไม่ต้องมายกโทษให้ฉัน เพราะฉันอยากให้แกเจ็บ สาสมกับที่มาตบตาพวกเรา ฉันถูกตีแค่นี้คุ้มโว๊ย..แล้วระวังตัวไว้” ฉัตต์ชี้หน้า คาดโทษ “ไม่ได้มีแค่นี้หรอก”
พจน์และคุณหญิงเพ็งเสียงดังขึ้นพร้อมกัน “ฉัตต์”
คุณหญิงพูดเสียงเบาๆ เหมือนเอือมเต็มทน “มากเกินไปแล้วลูก” สายตาคุณหญิงเพ็งจ้องดุฉัตต์แว่บหนึ่ง แล้วเดินออกไป ฉัตต์ หน้าขุ่นมัวมาก
“พ่อก็ว่าอย่างนั้นเหมือนกัน ฉัตต์”
ฉัตต์ยังยืนหน้าตาขุ่นมัวอยู่อย่างนั้น
“ทำกับเขาอย่างนั้นเพราะคิดว่าเขาต่ำกว่าเรางั้นรึ”
ฉัตต์ยืนนิ่ง
“หรือคิดว่าเขาไม่ใช่คนเหมือนเรา”
ฉัตต์ยังนิ่ง
“ไม่ตอบพ่อ แสดงว่าคิดเป็นอย่างอื่น คิดว่าเขาเป็นอะไร”
ฉัตต์นิ่ง
“เขาเป็นคนเหมือนเรารึเปล่า”
คราวนี้ฉัตต์ตอบเบาๆ “ครับ”
“แค่นั้นแหละ คิดแค่นั้นแหละก็ทำกับเขาอย่างที่ทำไม่ได้ จำคำพ่อไว้ เพราะฉะนั้นอย่าให้พ่อเห็นอีก” พจน์เดินหนีไป
ฉัตต์จ้องยอดที่นั่งก้มหน้าด้วยสายตาเกลียดชัง ยอดก้มหน้าต่ำลงไปอีก
“ไอ้ยอด”
ยอดทำหน้าตอบรับ
ฉัตต์เสียงเข้ม “ใช่ แกเป็นคน ฉันก็เป็นคน แต่ฉันไม่ใช่คนอย่างแกน่ะ โกหก หลอกลวง เจ้าเล่ห์”
ยอดทำหน้าเสียใจมาก
“แกเป็นตัวเวรตัวกรรม พวกแกทั้งสามคนนั่นแหละ” ฉัตต์เดินพรวดไปทันที
ยอดนั่งนิ่ง รุ้งก็นิ่งงันไปสีหน้าน่าสงสารมาก หันมาทางยอด ยอดทำหน้าปลอบโยนอย่างน่าสงสารเช่นกัน พยายามพยักหน้าให้กำลังใจ
ทั้งนี้รุ้งไม่รู้ว่ายอดไม่ได้เป็นใบ้
เวลาต่อมารุ้งหลบผู้คนมานั่งซุกตัวอยู่ตรงศาลาท่าน้ำ สายตามองทอดไปในพื้นน้ำ หมองจัด ฉัตต์เดินเข้าไปใกล้เรื่อยๆ จนเกือบถึงตัวแล้ว ฉัตต์เดินขึ้นศาลาเต็มแรง
รุ้งรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าฉัตต์มา นั่งนิ่งแต่เหลือบไปดูนิดหนึ่ง
ฉัตต์เขม้นมองถามเสียงขุ่นเช่นทุกครั้ง “ทำไม”
รุ้งนิ่ง
“ทำเป็นไม่รู้ว่ามีคนมา...ฮะ” ฉัตต์เข้ามาใกล้ทำท่าขู่คุกคาม “เห็นรึเปล่า นี่คนนะไม่ใช่ลม”
“รุ้งต่างหากที่เป็นลม”
ฉัตต์ฉงน เหล่มากๆ “หมายความว่าไง”
“คุณฉัตต์ไม่ต้องเห็นก็ได้ค่ะ”
ฉัตต์นิ่งไปอึดใจ “จะว่าอะไรฉัน”
“ไม่กล้าว่าหรอกค่ะ”
“พูดทำไม”
“พูดถึงรุ้งเอง”
ฉัตต์ย้อน “ไม่จริง จะพูดว่าฉัน ฉันรู้หรอก”
รุ้งเหลียวมามองหน้าฉัตต์นิ่ง
“มองอะไร”
“คุณฉัตต์รู้”
“รู้...ทำไมจะไม่รู้”
“แล้วถามรุ้งทำไมคะ” เด็กหญิงจ้องหน้าฉัตต์ สายตาเป็นคำถาม
ต่างคนต่างจ้องกัน แล้วรุ้งก็จะเดินหลีกไป ฉัตต์ขวาง
“ปากดีนัก...ไม่ให้ไป”
“เกลียดก็ให้ไปพ้นๆ สิคะ”
ฉัตต์อึ้ง ตอบไม่ถูกเลย มองหน้าคว่ำ “ใช่ เกลียด ไป...ไปเลย”
รุ้งเดินก้มหน้าออกไป
ฉัตต์ ยืนนิ่งอยู่อีกสักครู่ ก่อนจะหันไปมองดูสายน้ำ
“คุณแม่...คิดถึงคุณแม่” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มสั่นสะท้าน
รุ้งเดินก้มหน้าก้มตามา แล้วเงยหน้าเหลียวไปมอง เห็นฉัตต์ยืนอยู่ จ้องมองหน้าเข้ม ต่างคนต่างจ้องกัน รุ้งจะไป ฉัตต์ขวาง
“ขอไปนะคะ”
“ไอ้ยอดเป็นใบ้รึเปล่า”
“เป็นค่ะ”
“ไม่จริง...โกหก”
“ไม่ได้โกหกค่ะ เป็นจริงๆ”
ฉัตต์นิ่งอึ้งอยู่สักครู่ พยายามสงบใจรำพันเสียงหมอง “คุณแม่ฉันไม่ได้เป็นอะไรเยอะเลย...ทำไมถึงตาย”
รุ้งมองอย่างเห็นใจ
ฉัตต์คิดขึ้นมาอีก “วันที่พวกเธอมาพอดี”
รุ้งมอง เห็นใจมาก
ฉัตต์หน้าเศร้า พยายามไม่ร้องไห้ สบตารุ้ง แล้วอารมณ์เคียงขึ้งขึ้นมาอีก
“อย่ามาเล่นละครเลย รู้ทันหรอก”
“เล่นละคร...เรื่องอะไรหรือคะ”
“ทำไมต้องทำหน้า...แบบ...เป็นคนดีตลอดเวลา ฮะ”
“ไม่...รุ้งไม่ได้ทำ...ทำไมว่าแบบนั้นคะ”
“ว่าแบบนี้แหละ...จริงมั้ยล่ะ”
“ไม่จริง” รุ้งเริ่มเสียงแข็งเหมือนกัน ตอบทันที
“อย่าเถียงนะ...”
“เถียงค่ะ...เพราะไม่จริงนี่”
“จริง”
“ไม่จริง”
“จริง...จริง...จริง”
ฉัตต์ตะโกนเสียงดังแล้ววิ่งหนีไปทันที
สองแม่ลูกอยู่ด้วยกันในห้อง จันทร์มองลูก สงสารลูกเหลือเกิน รุ้งนั่งหน้าเสียเหมือนกำลังจะร้องไห้ จันทร์อ้าแขนออก รุ้งเข้าหาอ้อมเขนแม่ จันทร์โอบรุ้งไว้แนบอก รุ้งสะอื้นเงียบๆ
“รุ้ง..ฟังแม่นะลูก”
ละเมียดอยู่หน้าห้องจันทร์ที่ประตูแง้มไว้นิดหน่อย มองเข้าไป ได้ยิน
“คนเรา...จะทุกข์จะสุขอยู่ที่ไหน..แม่เคยบอกลูกหลายทีแล้ว”
รุ้งพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้น “อยู่ที่ใจเราจ้ะ”
“ตอนนี้ใจของลูกทุกข์หรือสุข” จันทร์ถาม
รุ้งร้องไห้มากขึ้น เสียงสะอื้นถี่ขึ้น..ถี่ขึ้น เป็นคำตอบ
“แม่รู้แล้ว ลูกไม่ต้องตอบแม่หรอกลูก”
รุ้งยิ่งร้องไห้มากขึ้น จันทร์กอดลูก โยกตัวเหมือนจะกล่อมให้นอน
“คุณฉัตต์ว่าลูกอย่างนั้น ลูกร้องไห้เสียใจ แม่ไม่ว่าเลยแม่จะคอยเช็ดน้ำตาให้รุ้งด้วยซ้ำ”
“ลูกคิดว่าแม่จะว่าลูกขี้แย”
“ไม่ว่า เพราะคุณฉัตต์ว่าลูกจริงๆ รุ้งเสียใจก็ถูกแล้วนี่ลูก”
รุ้งพยักหน้า
“แต่แม่อยากให้ลูกคิดอะไรมากกว่านั้น” ขณะพูดจันทร์มองหน้าลูกตลอดเวลา
รุ้งเองก็ฟังแม่อย่างตั้งใจตลอดเวลา
“คุณฉัตต์เป็นลูกหลานคุณพจน์ กับคุณหญิง เป็นพี่ชายคุณริมา”
สายตารู้คิดตาม
“ทั้งคุณพจน์ ทั้งคุณหญิง ทั้งคุณริมา รักลูก ดีกับลูกที่สุด ทั้งๆ ที่เราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกับท่านเลย เราแค่เป็นคนพเนจรมาพึ่งใบบุญท่าน...จริงมั้ย”
“จริงจ้ะแม่”
“แค่นี้ลูกคิดออกหรือยังว่าแม่จะพูดอะไรต่อ”
“รู้จ้ะแม่ ..ลูกรู้แล้ว” นัยน์ตารุ้งบอกว่าเข้าใจแล้วจริงๆ
จันทร์จูบแก้มลูกเบาๆ กิริยานุ่มนวลเหลือเกิน “บอกแม่ได้มั้ยจ๊ะลูกรัก”
“ลูกจะไม่โกรธคุณฉัตต์ แต่คุณฉัตต์พูด...ลูกจะไม่ฟัง” รุ้งว่า
“ถ้ารุ้งทำได้อย่างนั้น ลูกรู้มั้ยว่าใครจะมีความสุข” จันทร์บอก
รุ้งจ้องแม่...จันทร์จ้องลูก
รุ้งอ่านสายตาแม่ที่บอกโจ่งแจ้งว่าคือตัวแม่เอง สองมือประคองหน้าแม่
“แม่”
จันทร์น้ำตาคลอเต็มตา ยิ้มชื่นใจ “ขอบใจนะลูก...ขอบใจที่ฟังแม่”
“ลูกรักแม่จันทร์...ลูกรักแม่จันทร์ที่สุด” รุ้งย้ำคำรัก
ละเมียดมองจันทร์กับรุ้งด้วยสายตาซาบซึ้ง น้ำตาคลอๆ
10 ปีผ่านไป...
รุ่งเช้าของวันนี้พระอาทิตย์แรกขึ้นส่องแสงเรื่อเรืองสวยงาม ฝูงนกบินออกจากรัง
ยินเสียงเพลงดังนำมาก่อนตัวเจ้าของเสียงจากสวนสวยบ้านปัณณธร จากแว่วๆ ไกลๆ จนดังขึ้นเต็มๆ เสียง น้ำเสียงใสๆ นั้นเป็นเสียงของ จริมา สาวน้อย วัย 16 ปี ที่ร้องเพลงเดินแกมวิ่งมาเลี้ยวลับพุ่มไม้ มุ่งตรงมาที่หน้าห้องจันทร์ ในเรือนเล็ก แล้วหยุดยืนร้องเรียก
“ตัวเล็ก...ตัวเล็ก”
ละเมียดที่ยืนมองอยู่เอ็ดเอา “คุณริมา เดี๋ยวเถอะค่ะ คุณย่าได้ยินหรอก”
จริมาแกล้งเรียก “ตัวเล็ก...ตัวเล็ก” เรียกไม่มีเสียง ทำปากพะงาบๆ “หยั่งงี้เหรอ จะได้ยินมั้ยเนี่ยสงสัยต้องเรียกถึงเย็น”
“แหม... คุณริมา ไม่งั้นก็ไม่ใช่คุณริมาสิเนี่ย” ละเมียดเย้าอย่างเอ็นดู
“ไม่งั้นก็ไม่ใช่เมียด ตัวเล็ก” เสียงจริมาดังจนละเมียดสะดุ้ง
“โอ๊ย” ละเมียดยกมืออุดหู
“เรียกเค้าตัวเล็ก เค้าน่ะตัวโตกว่าคุณริมาแล้ว”
“จะเรียก เมียดจะทำไม”
สักครู่หนึ่งรุ้งเปิดประตู แล้วออกมา เห็นใบหน้างดงามอ่อนหวาน ยิ้มแอร่มแจ่มใสสวยสมวัยสาว 16
“เสร็จแล้วค่ะ”
“เร็วๆ เดี๋ยวคุณฉัตต์เธอจะหงุ่ยเอาอีก”
รุ้งหน้าเหวอ “อะไรคะหงุ่ย”
“ไม่รู้ คิดเอง แปลว่าหงุดหงิดงุ่นง่านงอแง” จริมาว่า
รุ้งหัวเราะชอบใจ “ทำไมยาว”
“นั่นแหละ คิดศัพท์ใหม่สั้นๆ ได้ใจความ หงุ่ย” จริมาหัวเราะชอบอกชอบใจ
จันทร์แต่งตัวสวยงามสมวัย เดินตามออกมา
“จันทร์... ริมาจะเอาตัวเล็กไปส่งโรงเรียน”
“อุ้ย ไม่ต้องค่ะคุณริมา ให้รุ้งไปรถรางเอง”
“ไม่...ริมาจะเอารุ้งไปใครอย่าขัดขวางนะ”
“ถ้ารุ้งขวางเองล่ะคะ... รุ้งกลัวคุณหงุ่ย” รุ้งพูดเสียงพึมพำ แต่หน้าขำๆ
“อะไรนะ อ๋อ ฮ่ะ..ฮ่ะ..ฮ่ะ” จริมาหัวเราะโลกแตก “ไม่ต้องกลัว.. ไป” แล้วคว้าตัวรุ้งวิ่งไป
ทันที
เสียงหัวเราะสดใสของสองสาวดังกังวานแว่วห่างไปตามลำดับ
จันทร์ส่ายหน้าอ่อนใจ “เดี๋ยวเจอฤทธิ์คุณ...เอ๊ะ รุ้งเรียกคุณฉัตต์ว่าไงนะ พี่เมียดได้
ยินมั้ย”
ฉัตต์ ปัณณธร เติบโตเป็นหนุ่ม ยืนหันหลังอยู่มองดูตัวตึก มีเสียงหัวเราะแว่วๆ มา ฉัตต์หันหน้ามา ใบหน้าหล่อเหลาเคร่งจ้องมองสองสาวที่เดินมากันแบบร่าเริงเต็มพิกัด พอเจอะ “คุณหงุ่ย” เข้า รุ้งจ๋อย จริมาจ๋อยบ้างแค่นิดเดียว สองคนทำท่าเดินหงอยจะไปขึ้นรถ
ฉัตต์ร้องเรียกไว้ “เดี๋ยว”
สองคนหยุด รุ้งนั้นรู้แกว ถอยไปมากกว่าจริมา 2 ก้าว
“จะทำอะไรกัน” ฉัตต์ถาม
“ไปส่งตัวเล็กที่โรงเรียนนะ พี่ฉัตต์นะ...นะคะ”
ฉัตต์นิ่งไปอึดใจหนึ่งแล้วบอก “ไปเอง”
รุ้งหน้าเฉยเมยไม่หวั่นไหว ด้วยว่าชินเสียแล้ว
“โธ่ พี่ฉัตต์มันทางผ่านนี่คะ” จริมาอ้อน
“ไม่ใช่ทางผ่าน”
“ไม่ผ่านแต่เลี้ยวไปนิดเดียว”
“ถ้าให้ไปส่ง...ไม่เลี้ยว ถึงหัวมุมก็ลง เดินไปเอง” ฉัตต์มีข้อแม้
“โอ๊ยคุณหงุ...” จริมายั้งปากไว้ทัน
“อะไร” ฉัตต์คาใจ
“เปล่าค่ะ ตัวเล็กเดินไหวมั้ยจากหัวมุมไปโรงเรียน...กระติ๊ดเดียว” จริมาถาม
รุ้งรับปากทันที “ไหวค่ะ”
ฉัตต์หันขวับมามอง หน้าเขม็ง
“แต่...เอ่อ รุ้งไปเองดีกว่าค่ะ” รุ้งหันหลังเดินไปตามทางออกประตูใหญ่
รุ้งเดินดุ่มๆ มา รถแนบขับแล่นมาเลยรุ้งไปแล้วจอด ฉัตต์เปิดประตูคอย รุ้งเดินไปขึ้นรถ หน้าตาสงบเสงี่ยม สบตาฉัตต์แล้วหลบวูบ ใบหน้าฉัตต์นิ่งเฉย
“ขอบคุณค่ะ” รุ้งไหว้ฉัตต์
คุณหงุ่ยของรุ้งและจริมายิ่งเมินไป
รุ้งอมยิ้มสบตาจริมาอย่างรู้กัน จริมาทำท่า “หงุ่ย” คือหน้าง้ำ ทำมือเป็นจวักคว่ำลง
รถแล่นออกไป ประตูบ้านปัณณธรเปิดกว้าง รถแนบแล่นออกนอกประตูมาค่อนข้างเร็ว จังหวะนี้รถสนขับแล่นมาพอดี ต่างคนต่างเบรก
ฉัตต์ร้องขึ้น “อ้าว... ชายเดียว” แล้วลงรถไป
จริมามองเหล่ๆ “เจอกันอีกแล้ว”
“ใครคะ อ๋อ...คุณชายเดียว” รุ้งร้องอ๋อ
“เจอกันตรงเนี้ย ครั้งนี้สิบครั้งได้แล้วมั้ง” จริมาบ่น
“ก็วังเค้าอยู่เลยบ้านเราไปทางนี้ เค้าจะไปโรงเรียนนี่คะ” รุ้งท้วง
จริมาไม่ยอมอยู่ดี “นั่นแหละ...เจอบ่อย...เบื่อ”
ประตูรถเปิดศักดินาก้าวลงมา ใบหน้าสะสวยยิ้มสุภาพมองไปที่รถผ่านกระจกใส จริมากับรุ้งมองมาเช่นกัน รุ้งยิ้มน้อยๆ ส่วนจริมาหน้าคว่ำมอง
“พี่ฉัตต์ ผมขอโทษครับ...นายสนขับรถแถ อีกแล้ว” ศักดินาหมายถึงเฉไฉ
“ไม่เป็นไรชายเดียวไปรถพี่เถอะ ให้นายสนกลับวังได้”
ฉัตต์เปิดประตูให้ศักดินาขึ้นข้างหน้า ชายเดียวก้าวขึ้นมองหน้ารุ้งเต็มๆ รุ้งยิ้มให้นิดๆ สีหน้าเป็นมิตร ชายเดียวเลื่อนสายตาไปที่จริมา เจอจริมาจ้องเขม็งขณะถาม
“คนขับรถเค้าขับมากี่ปีแล้วคุณชาย”
ฉัตต์ก้าวขึ้นข้างหลัง พอดีนั่งใกล้รุ้ง รุ้งขยับไปเบียดริมา
“ริมาหาเรื่องชายเดียวอีกแล้ว” ฉัตต์ว่า
“ไม่หาเรื่องแต่เรื่องมันมี” จริมาบ่น
“ผมขอโทษครับริมา ต่อไปจะบอกนายสนว่าขับรถมาถึงหน้าบ้านนี้ให้จอดรถ คอยให้รถที่ออกมาจากบ้านไปก่อน” ศักดินาบอกเสียงสุภาพ
รุ้งหัวเราะเบาๆ หันไปดูฉัตต์ ฉัตต์ก็หัวเราะเหมือนกัน พอฉัตต์สบตารุ้ง แล้วรอยยิ้มก็เปลี่ยนเป็นเฉยสนิท รุ้งจ๋อย
“คุณชายตอบหาเรื่องทำไม
“ผมตอบจริงๆ ไม่ได้หาเรื่องเลย ถ้าผมหาเรื่องผมก็ต้องตอบว่า นายสนขับมากี่ปีแล้วริมาจะทำไม”
ฉัตต์หัวเราะเสียงดัง
“ตาแนบไปได้แล้วฟังเพลินเลยนะ” จริมาดุ
“ครับ... ฟังเพลินดีครับคุณริมา” แนบรีบไป
“ฮึ” จริมาหันมาเอ็ดรุ้ง “จะไม่พูดอะไรมั่งเลยหรือ”
รุ้งสบตากับศักดินาแล้วยิ้มให้อย่างแจ่มใส ชายเดียวยิ้มละมุนตอบในท่าทีนุ่มนวล
ฉัตต์เห็น และจริมาก็เห็น
อ่านต่อตอนต่อไป