นักสู้มหากาฬ ตอนที่ 8
ภายในห้องแล็บที่บริษัทมาดามหลิว...ตัวอย่างเลือดสีแดงของฤทธิ์ถูกหยดลงบนแผ่นกระจก ก่อนจะถูกนำไปส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์ ชาญอึ้งๆ
“แปลกมาก เซลส์เม็ดเลือดแดงของคุณเพิ่มจำนวนแต่เซลส์กลายพันธุ์กลับลดลง”
ฤทธิ์แปลกใจ
“พอรู้สาเหตุรึเปล่า”
“ต้องวิเคราะห์ให้ละเอียดกว่านี้ ถ้ามองในแง่ดีมันก็อาจเป็นแค่ ปฏิกิริยาทางเคมีบางอย่าง”
“แล้วถ้าแง่ร้ายล่ะ”
“คุณได้รับสารพิษหรืออะไรก็ตามที่ทำให้การกลายพันธุ์ของคุณหยุดชะงัก หรือว่าง่ายๆก็คือคุณกำลังกลายเป็นคนธรรมดา”
ฤทธิ์อึ้งไปสักพักเขาพับแขนเสื้อลงที่เพิ่งเจาะเลือด
“อย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้กับมาดามหลิว” ฤทธิ์ลุกเดินออกไป
“คุณจะไปไหน”
“ผมต้องรู้ให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
ในร้านอาหารต่างจังหวัด...ณัฐชาใส่แว่นดำและสวมหมวกพรางตัว หิ้วอาหารเสบียงกลับไปที่พัก แต่ระหว่างนั้นเธอก็เหลือบเห็นข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์ เป็นรูปไฟไหม้และรูปของสุชาติ ข่าวพาดหัวว่า
“เผาวอดคฤหาสน์ 100 ล้าน พบเลขาคนสนิทถูกยิงเสียชีวิต คาดพัวพันการหายตัวไปของท่านนำชัย”
ณัฐชาขนลุกซู่ ไม่คิดว่าคุณสุชาติที่เพิ่งเห็นกันเมื่อวานจะมาจบชีวิตลงเช่นนี้
ห้องรับแขกบ้านพักตากอากาศ ณัฐชาเอาเสบียงกับหนังสือพิมพ์มาวาง ไอริณปิดประตู
“ณัฐชา ได้เรื่องรึเปล่า”
ณัฐชาพยักหน้าเครียดๆ
“ผู้กองราเมศจะช่วยประสานงานให้เรา ผู้กำกับเมธาจะมารับหลักฐานด้วยตัวเอง”
ไอริณช่วยถือของ
“ทำไมต้องยุ่งยากด้วยล่ะ เธอฝากหลักฐานให้ผู้กองราเมศไปก็ได้นี่”
“ฉันต้องแน่ใจว่าคนที่ได้หลักฐานไปเป็นคนที่ไว้ใจได้และสามารถจัดการกับเรื่องนี้ได้ทันที”
ไอริณยิ้ม
“เธอนี่ขี้ระแวงตามเคย คิดว่าพรายพิฆาตมันจะรู้เบาะแสของเราหรือไง”
ณัฐชานิ่งเครียด ไอริณรู้สึกแปลกใจ
“มีอะไรเหรอ”
ณัฐชาส่งหนังสือพิมพ์ที่มีข่าวร้ายให้ไอริณรับไปดู ไอริณตกใจ
“คุณสุชาติ”
ณัฐชาเข้ามาในห้องนอนหยิบกระเป๋ามาเก็บเสื้อผ้า และของใช้ที่จำเป็น ไอริณตามมาดู
“พวกมันอาจรู้ว่าเรากบดานอยู่ที่นี่ เธอต้องรีบหนีไปซะ”
ไอริณดึงกระเป๋าจากมือ
“มาถึงขั้นนี้ เธอจะให้ฉันหนีไปไหน พรายพิฆาตมันทำลายชีวิตของฉัน ฉันจะแก้แค้น”
“เลิกโง่ซะทีเถอะ เธอสู้มันไม่ได้หรอกน่า”
“แล้วเธอล่ะ เธอมีปัญญางั้นเหรอ”
“ฉันไม่รู้ แต่ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะขอสู้ตาย”
“ถ้างั้น…ฉันก็เหมือนกัน”
ณัฐชาอึ้งไป ขณะที่ไอริณยื่นมือให้ ณัฐชาลังเลก่อนจะยอมจับตอบ
“ก็ได้ เราจะสู้ด้วยกัน”
เมมเบอร์คลับปิดทำการ มีเทปกั้นพื้นที่ของตำรวจปรากฏอยู่เด่นชัด บนดาดฟ้าเมมเบอร์คลับ ฤทธิ์พาชาญกลับมายังจุดที่เขาพบใจทิพย์ ชาญสงสัย
“เรามาที่นี่ทำไม”
ฤทธิ์หันมา
“ใจทิพย์ที่ผมเห็นไม่ใช่ภาพหลอน เธออยู่กับผมที่นี่ตอนเกิดเรื่อง”
“ตอนนั้นคุณบาดเจ็บอยู่นะ คุณแน่ใจได้ยังไงว่าที่คุณเห็นเป็นใจทิพย์ตัวจริง”
ฤทธิ์ไม่ทันตอบ วินาทีนั้นหูเขาก็แว่วยินเสียงบางอย่าง
“ฤทธิ์ ช่วยฉันด้วย”
ฤทธิ์หันมาหาชาญ
“คุณได้ยินรึเปล่า”
ชาญส่ายหน้าอย่างงุนงง ฤทธิ์รีบเดินไปหาต้นเสียง
“คุณได้ยินเสียงอะไร”
ฤทธิ์รำพึง
“ใจทิพย์”
ฤทธิ์เดินหาใจทิพย์ โดยมีชาญตามมาดูด้วยความเป็นห่วง ลึกๆแล้วเขาคิดว่าฤทธิ์คงมีหูแว่วไปเองหรือมีอาการทางประสาท เสียงใจทิพย์ยังดังแว่วมา
“ช่วยฉันด้วย ฤทธิ์ ฉันอยู่ทางนี้ ฉันอยู่ทางนี้”
ฤทธิ์ตะโกน
“ใจทิพย์ คุณอยู่ที่ไหน ได้ยินผมรึเปล่า ใจทิพย์”
ชาญชักหวั่น
“คุณโทมัส ผมว่าเรากลับกันเถอะ”
“ฤทธิ์ ฉันอยู่ทางนี้”
ชาญตกตะลึง ขณะที่ฤทธิ์รีบวิ่งไปทางต้นเสียงทันที
ฤทธิ์กับชาญลงมาตามทางเดินหน้าห้องเซิร์ฟเวอร์ฉันใต้ดินโรงงาน บริเวณที่เคยโดนระเบิด ทางเดินค่อนข้างมืด ชาญกับฤทธิ์ใช้ไฟฉายปากกาในการเพิ่มแสงสว่าง ทันใดนั้นเองก็มีร่างของหญิงสาวเดินซมซานหนาวสั่นและอ่อนล้าออกมาจากความมืด เสื้อผ้าของเธอเปรอะเปื้อนและฉีกขาดเหมือนถูกทำร้ายมาไม่นานนัก ชาญตะลึง
“นี่คุณ…”
“ใจทิพย์”
ฤทธิ์เดินเข้าไปหาใจทิพย์แล้วมองเธออย่างไม่เชื่อสายตา ใจทิพย์มองเขาอยู่นานเหมือนกับจำไม่ได้ ก่อนที่จะเอ่ยชื่อของเขาออกมา
“ฤทธิ์…”
ฤทธิ์พยักหน้าก่อนจะกอดเธอเอาไว้ด้วยความคิดถึง ขณะที่ชาญยืนมองอย่างงุนงงก่อนจะได้ยินเสียงผิดปกติบางอย่าง เขาชักปืนเตรียมพร้อม
“มีคนมา”
ฤทธิ์มองไปเห็นนักรบพรายพิฆาตกลุ่มหนึ่งใช้ปืนพกแบบติดเลเซอร์นำวิถีปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับยิงใส่เขาทันที กระสุนพลาดเป้าหมาย ชาญรีบยิงตอบโต้ก่อนจะบอก
“พาใจทิพย์หนีไปก่อน”
ฤทธิ์ประคองใจทิพย์กลับมาที่ห้องโถง แต่แล้วก็มีนักรบพรายพิฆาตโผล่ออกมา
“ใจทิพย์หลบ”
ฤทธิ์ดึงใจทิพย์หลบมาด้านหลัง ก่อนจะชักมีดของนักสู้มหากาฬออกมากดปุ่มยิงใบมีดออกสะบัดเล่นงาน นักรบพรายพิฆาตโดนชาญฆ่าตายด้วยการยิงแสกหน้าจนล้มลง ชาญส่องปืนมองจนแน่ใจว่าปลอดภัยแล้วจึงล่าถอยไป
ฤทธิ์เล่นงานนักรบพรายพิฆาตที่อยู่เบื้องหน้าจนตาย แต่แล้วนักรบพรายพิฆาตอีกคนก็โผล่มาทางด้านหลัง ใจทิพย์ตกใจ
“ฤทธิ์ระวัง”
ใจทิพย์โผบังกระสุนจนถูกยิงเข้าที่ไหล่
“ใจทิพย์”
ภาพในอดีตหวนกลับมา วินาทีที่ใจทิพย์ถูกฆ่าตาย ทำให้ฤทธิ์ไม่อาจทนเห็นได้อีกต่อไป เขาประคองร่างของเธอเอาไว้ก่อนจะลงมือสังหารนักรบพรายพิฆาตทันที
“ใจทิพย์คุณเป็นยังไงบ้าง”
ใจทิพย์หมดสติไป
“ใจทิพย์”
ชาญเพิ่งตามมาสมทบและอึ้งไปเมื่อเห็นสภาพของใจทิพย์
สิงหาอยู่ในห้องทำงานนั่งเท้าขมับดูคอมพิวเตอร์ด้วยความกลัดกลุ้มมองหน้าจอเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดของเมมเบอร์คลับ ซึ่งถ่ายภาพคนที่เข้าออกเอาไว้
“ฮึย สวมหน้ากากกันหมดแบบนี้ แล้วจะรู้ได้ยังไงวะว่าใครเป็นใคร”
สิงหากดเอาแผ่น DVD ออกมาอย่างหัวเสีย ครั้นจะหันไปคว้ากาแฟหรือน้ำดื่มก็พบว่าหมดซะแล้ว
สิงหาเดินมาเติมกาแฟ ระหว่างนั้นก็เห็นเมธาเดินโอบบ่าราเมศออกมาจากห้องทำงาน ทั้งสองพูดคุยกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว สิงหาแกล้งโฉบเข้ามาใกล้
“มีอะไรเหรอครับผู้กำกับ”
“อ้อสารวัตร พอดีผู้กองราเมศเขามาบอกลาผมน่ะ ไม่มีอะไรหรอก”
สิงหาแขวะราเมศ
“แค่ถูกพักงาน ไม่ต้องเว่อร์ก็ได้มั้งผู้กอง”
ราเมศสวน
“ถูกพักสามเดือน สารวัตรคิดว่ามันยังน้อยไปเหรอครับ”
สิงหากวนๆ
“ก็คุณพลาดเองนี่นา ช่วยไม่ได้”
ราเมศระงับโทสะ หันไปบอกเมธา
“อย่าลืมที่นัดกันไว้นะครับผู้กำกับ”
เมธาพยักหน้า
“ตกลง ผมจะไปตามนัด”
ราเมศผละเดินหนีไป ทำให้สิงหานึกระแวง
“มีนัดอะไรกันเหรอครับผู้กำกับ ทำไมผมไม่รู้ เกี่ยวกับเรื่องคดีรึเปล่า”
เมธาเซ็ง
“ก็แค่นัดทานข้าวกันน่ะสารวัตร คิดมากไปได้”
สิงหายิ่งรู้สึกระแวงมากขึ้น
สิงหาแอบนำอุปกรณ์ติดตามมาแปะที่ใต้ท้องรถของราเมศ ก่อนจะยืนขึ้นมองซ้ายมองขวา
“ฮึ ไอ้ราเมศ เดี๋ยวก็รู้ว่าแกมีแผนอะไร”
โซเฟียเข้ามารายงานมาดามหลิว ที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุดอย่างร้อนรน
“มาดามคะ คุณโทมัสกลับมาแล้วค่ะ”
มาดามหลิวเอะใจท่าทีโซเฟีย
“มีอะไรผิดปกติรึเปล่า”
โซเฟียพยักหน้า
“เขาพาคนมาด้วย”
มาดามหลิวรู้สึกแปลกใจ ใครที่ว่าทำให้โซเฟียหน้าตื่นขนาดนี้
ใจทิพย์ยังนอนหมดสติอยู่ ได้รับการปฐมพยาบาลบาดแผลแล้ว ชาญกำลังใช้เครื่องมือแสกนหาสิ่งผิดปกติในร่างกายของเธออย่างละเอียด
ขณะที่ฤทธิ์กำลังเฝ้าดูอยู่อย่างเคร่งเครียด ก่อนที่โซเฟียจะพามาดามหลิวเข้ามาสมทบ มาดามหลิวเข้ามาถามชาญ
“อาการเป็นยังไงบ้าง”
ชาญยืนขึ้น
“ปลอดภัยครับมาดาม ตอนนี้เรากำลังตรวจร่างกายเธออยู่”
มาดามหลิวหันมาหาฤทธิ์
“เธอแน่ใจนะ ว่านี่คือใจทิพย์ตัวจริง”
ฤทธิ์หันมา
“ใจทิพย์เป็นคนรักของผม ผมไม่มีวันลืมเธอเด็ดขาด”
มาดามหลิวไม่สักอะไรอีก ขณะที่โซเฟียได้แต่เหลือบมองไปที่ใจทิพย์อย่างเคลือบแคลง
ชาญให้ความเห็นเรื่องนี้กับมาดามหลิว และโซเฟีย ขณะอยู่ด้วยกันในห้องสมุด
“ผมทราบครับว่าเรื่องนี้มันค่อนข้างเหลือเชื่อ แต่มันก็เป็นไปแล้ว ผู้หญิงคนนั้นคือใจทิพย์ตัวจริง”
โซเฟียขัดขึ้น
“ใจทิพย์หายไปตั้งนาน ทำไมเพิ่งมาโผล่เอาตอนนี้ แถมมาอยู่ในรัง ของพรายพิฆาตอีกต่างหาก...เราจะประมาทไม่ได้นะคะมาดาม”
“โทมัสคงไม่ยอมให้เราส่งตัวใจทิพย์ไปที่อื่นแน่” มาดามหลิวนิ่งคิด “สั่งเวรยามให้คอยระวังเต็มที่ ห้ามคลาดสายตาจากใจทิพย์”
ฤทธิ์เฝ้าดูอาการใจทิพย์ด้วยความเป็นห่วง เขาเอื้อมมือมากุมมือของเธอไว้
“ใจทิพย์ คุณจะต้องปลอดภัย ผมจะไม่ยอมให้ใครมาพรากคุณไปจากผมอีก”
ฉับพลันนั้นเองฤทธิ์ก็ได้ยินเสียงวี๊ดแหลมขึ้นในโสตของตน อาการปวดหัวกำเริบขึ้นอย่างรุนแรง เขากุมศีรษะของตัวเองด้วยความเจ็บปวด ใจทิพย์ยังคงนอนนิ่งไม่ได้สติ
ในห้องเก็บยาเสพติดของภัตตาคารจีน มีสมุนสองคนคอยอารักขาอยู่ ทั้งคู่ถูกลูกดอกยาสลบยิงเข้าที่ต้นคออย่างรวดเร็วก่อนจะหมดสติไป เอมี่ปรากฏตัวขึ้นแล้วรีบเข้าไปในห้องเพื่อค้นหาน้ำตามัจจุราช สักครู่เอมี่ก็หาพบ
“น้ำตามัจจุราช”
ทันใดนั้นเสียงบอสดังขึ้น
“มีแผนอะไรเหรอเอมี่”
เอมี่ตัวแข็งทื่อ ก่อนจะหันไปเห็นบอสยืนขวางอยู่หน้าประตู
“บอส”
บอสเดินเข้ามาช้าๆ
“น้ำตามัจจุราชชนิดบริสุทธิ์ ไม่เจือปนสารเสพติดจะส่งผลให้เกิดการกลายพันธุ์ขั้นรุนแรง คนที่ได้รับมันเข้าไป ถ้าไม่ตาย ก็จะกลายเป็นอสูรร้าย หรือไม่ก็เป็นผู้มีพลังพิเศษ อย่างนักสู้มหากาฬ”
เอมี่ใจดีสู้เสือ
“บอส ฉันก็แค่อยากมีของดีติดตัวบ้างเท่านั้นเอง” เอมี่เข้ายั่วยวน “ถ้าฉันมีพลังเหมือนคุณเมื่อไหร่ ก็จะได้คอยรับใช้คุณตลอดไป คุณว่าไม่ดีเหรอ”
เอมี่แสร้งลูบไล้ตัวบอส พอได้โอกาสก็ชักมีดแทงใส่ แต่บอสกลับคว้าไว้ได้เพราะระวังตัวอยู่ก่อน
“ไม่ได้ผลหรอกเอมี่ ลีลาสวยประหารของเธอฉันรู้ไต๋หมดแล้ว”
“แก”
เอมี่ฉวยโอกาสนั้นกระชากหน้ากากของบอสหน้ากากนั้นเลือนหายไปด้วยแท้จริงคือม่านพลังงานที่บอสสร้างขึ้น เผยให้เห็นโฉมหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใน เอมี่ตะลึง
“นี่แก…แกเองเหรอ”
“ใช่...ฉันเอง ฉันนี่แหละคือบอสของพวกแก ฮ่าๆ”
แหลมและสมุนเดินนำกรณ์กับลุงโจมาส่งที่หน้าภัตตาคารจีน
“เชิญครับ”
“แล้วนายล่ะ” กรณ์ถาม
“บอสอยากคุยกับพวกคุณตามลำพัง”
กรณ์ไม่ว่าอะไร เขาปลีกตัวเดินต่อไป ลุงโจแอบกระซิบเตือน
“ท่าทางมันชักยังไงอยู่นะหัวหน้า”
“คอยระวังด้วยละกัน”
กรณ์กับลุงโจเดินลับไป แหลมมองตามแล้วแค่นหัวเราะ ออกมาอย่างเย้ยหยัน
กรณ์กับลุงโจเดินเข้ามาห้องโถง เอมี่ถูกมัดอยู่กับเสาในสภาพถูกซ้อมจนสะบักสะบอมเลือดโทรมกาย ลุงโจเห็นคนแรกต้องตกตะลึง
“หัวหน้าดูนั่น”
กรณ์หันไปมอง
“เอมี่”
เสียงหัวเราะของบอสดังขึ้นก่อนที่มันจะปรากฏตัวออกมา
“ขอบใจที่อุตส่าห์มา ตอนแรกนึกว่าแกจะเผ่นไปแล้วซะอีก”
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น คุณทำร้ายเอมี่ทำไม”
“เด็กของแกพยายามขโมยน้ำตามัจจุราช ดังนั้นมันต้องถูกลงโทษ” บอสเข้ามาพูดใกล้ๆเอมี่ “ยกเว้นแต่ มันจะยอมสารภาพว่าใครที่อยู่เบื้องหลัง บอกมาสิเอมี่ ถ้ายังไม่อยากตาย”
เอมี่มองหน้ากรณ์ก่อนจะหันไปบอกกับบอส
“ไปตายซะ ไอ้ปีศาจ”
บอสผละจากเอมี่อย่างใจเย็น แล้วเดินมายืนข้างหลังกรณ์อย่างคุกคาม
“กรณ์ แกต้องพิสูจน์ว่าแกภักดีต่อฉัน ด้วยการฆ่านังนี่ซะ”
กรณ์หน้าเครียด ขณะที่ลุงโจเห็นท่าไม่ดีก็ออกตัวแทน
“ผมเอง”
กรณ์เสียงแข็ง
“ไม่…” กรณ์ทำใจ “ฉันจัดการเอง”
กรณ์ชักมีดออกมาแล้วเดินไปหาเอมี่ เขากระชากคอเธอเข้ามาใกล้แล้วแอบกระซิบสั่งความ
“เอมี่ ยกโทษให้ฉันด้วย”
“สัญญากับฉันนะหัวหน้า ว่าคุณจะต้องพาฉันกลับมา”
“ฉันสัญญา”
เอมี่ยิ้มให้กรณ์ ก่อนจะชะงักกึกเมื่อได้ยินเสียงมีดจ้วงแทงเข้าที่หัวใจ เอมี่มองคมมีดแล้วยิ้มให้กรณ์ก่อนจะซบหน้าสิ้นใจไปกับบ่าของเขา บอสพอใจ
“ทำได้ดีมาก กลับไปเตรียมตัวให้พร้อม คืนนี้หมวดณัฐชาจะส่งมอบหลักฐานให้ตำรวจ เราต้องไปที่นั่นเพื่อขัดขวางมัน”
กรณ์หันมารับคำสั่ง
“ครับ หัวหน้า”
อ่านต่อหน้า 2
นักสู้มหากาฬ ตอนที่ 8 (ต่อ)
กรณ์อุ้มศพเอมี่ใส่ท้ายรถ โดยมีลุงโจช่วยปิดฝาให้
“เอาไงต่อหัวหน้า จะสู้หรือจะเผ่น”
“ทำตามแผนเดิม เราต้องคืนชีพให้พวกของเราทุกคน”
“แต่เราไม่มีน้ำตามัจจุราชนะ แถมบอสยังเขม่นเราด้วย ท่าทางเสร็จงานนี้เมื่อไหร่ มันสอยเราแน่”
กรณ์คิดสักครู่
“เราต้องยืมมีดฆ่าคน หาคนอื่นมาจัดการกับบอส”
ลุงโจมองด้วยความสงสัยว่ากรณ์จะใช้ใคร
ในห้องทดลองบริษัทมาดามหลิว...โซเฟียแจงผลการตรวจร่างกายของใจทิพย์ให้ฤทธิ์กับชาญฟัง
“สภาพร่างกายของใจทิพย์ตอนนี้เป็นปกติ คิดว่าอีกไม่นานเธอคงฟื้น”
ชาญโล่งใจ
“ถ้างั้นก็หายห่วงใช่มั้ย”
โซเฟียยังไม่ตอบ เธอเหลือบมองมาที่ฤทธิ์
“มีปัญหาอะไร”
“เครื่องสแกนตรวจพบวัตถุบางอย่างฝังอยู่ในสมองของเธอ”
ฤทธิ์อึ้ง โซเฟียส่งฟิล์มเอ็กซ์เรย์ที่ได้จากเครื่องสแกนให้ฤทธิ์รับไปดูและพบว่ามีโลหะชิ้นเล็กๆขนาดเท่าซิมโทรศัพท์ในหัวของใจทิพย์
“เรารู้แค่ว่ามันเป็นโลหะ แต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร”
ชาญครุ่นคิด
“พรายพิฆาตมันทำอะไรกับเธอกันแน่”
ฤทธิ์มองใจทิพย์อย่างหวั่นใจ
ฤทธิ์เดินกลับไปยังห้องพัก เขานวดหัวคิ้วอย่างอ่อนล้าหลังจากตรากตรำติดต่อกันมานาน ระหว่างนั้นเองก็มีคนส่งข้อความเข้ามาทางโทรศัพท์ เขากดอ่าน...
“ไอ้กรณ์”
กรณ์นั่งจิบเครื่องดื่มรออยู่ที่สนามเด็กเล่นแห่งหนึ่ง รอบๆตัวของมันมีเด็กๆวิ่งเล่นกันสนุกสนาน ก่อนจะเหลือบเห็นฤทธิ์เดินมาหาหน้าตาถมึงทึง
“ช้าๆเพื่อน...ช้าๆ” กรณ์ชูมือปราม
กรณ์ว่าพลางบุ้ยหน้าให้มองไปที่ลุงโจซึ่งยืนเต๊ะจุ๊ยอยู่อีกมุมหนึ่ง โดยเอามือซุกในสะพายกระเป๋า
“ในกระเป๋าลุงโจมีระเบิด แกคงไม่อยากเห็นแขนขาเด็กๆ ขาดเรี่ยราดแถวนี้หรอกจริงมั้ย”
“ถ้าขี้ขลาดแบบนี้ แล้วแกนัดเจอฉันทำไม”
กรณ์จิบกาแฟอย่างสบายใจ
“แกอยากจัดการกับบอสรึเปล่า”
“นั่นเจ้านายแกนะ”
“ถ้าฉันจะฆ่า อย่าว่าแต่เจ้านายเลย ต่อให้เป็นญาติผู้ใหญ่ฉันก็ไม่ปล่อยเอาไว้”
กรณ์ว่าแล้วบุ้ยใบ้ให้ลุงโจอธิบายแทน
“คืนนี้ยัยตำรวจหน้าหวาน คู่หูของแก มีนัดจะส่งมอบหลักฐานให้ตำรวจ บอสมีแผนจะไปขัดขวางหล่อน”
“แกเก็บบอส เราจะคอยหนุนหลัง ส่วนเรื่องของเราไว้ค่อยสะสางกัน”
ฤทธิ์มองหน้ากรณ์อย่างไม่ค่อยวางใจ
มาดามหลิวหารือกับฤทธิ์อยู่ในห้องสมุด
“เพื่อนเก่าของเธอเป็นอสรพิษขนานแท้ ขนาดเจ้านายตัวเองมันยังไม่เว้น ฉันไม่เชื่อใจเขา”
“แต่ถึงยังไงผมต้องไปดูลาดเลาที่นั่น อย่างน้อยก็เพื่อป้องกันหลักฐาน”
“เธอจะเสี่ยงไปเพื่ออะไร ในเมื่อใจทิพย์ก็กลับมาแล้ว”
“ผมเคยรับปากคุณเอาไว้ ว่าเราจะสะสางหนี้แค้นด้วยกัน”
ฤทธิ์สบตากับมาดามหลิว
“นี่คือการตอบแทน สำหรับทุกสิ่งที่ผ่านมา”
“หมายถึง…เธอจะไปจากฉันแล้วสิ”
“เสร็จงานเมื่อไหร่ ผมจะพาใจทิพย์ไปจากที่นี่ โลกนี้จะไม่มีนายโทมัส หลิวและนักสู้มหากาฬอีกต่อไป”
มาดามหลิวรู้สึกปวดร้าว และไม่พอใจ
ฤทธิ์เปิดช่องลับหยิบชุดนักสู้มหากาฬและอาวุธมาดูอย่างใช้ความคิด
“บอส ฉันต้องหาทางเอาชนะแกให้ได้”
มาดามหลิวยังนั่งอยู่ที่เดิม เธอจิบไวน์ก่อนจะรำพึงออกมา
“มันยังไม่จบแค่นี้หรอกฤทธิ์ ราวี ความแค้นของฉันต้องมีคนช่วยสะสาง และเธอต้องเป็นโทมัส หลิวของฉันตลอดไป”
ลานจอดรถกองปราบยามเย็น เมธากำลังเดินทางกลับ แต่แล้วก็ชะงัก เพราะราเมศโผล่มา
“อ้าว ไหนว่าจะไปรอที่ร้านอาหารไง”
ราเมศเอาเข็มฉีดยาปักใส่เมธา
“เฮ้ยนี่คุณ คุณทำอะไรเนี่ย...”
เมธาขยับถอย พยายามชักปืนออกมาแต่แล้วก็หมดสติไปก่อน
“ขอโทษด้วยครับผู้กำกับ”
ในห้องโถงภัตตาคารจีน...แหลมและสมุนเดินมาบอกกรณ์กับลุงโจ
“บอสสั่งให้พวกคุณไปรอที่จุดนัด เผื่อเกิดอะไรขึ้นจะได้คอยเป็นกองหนุน”
กรณ์หันไปมองแหลม
“แล้วจุดนัดอยู่ที่ไหน”
ใกล้ค่ำเต็มที...ไอริณเอาสร้อยพระที่บรรจุไมโครดอทเก็บหลักฐานมาห้อยคอ ขณะที่ณัฐชาเตรียมอาวุธปืน
“พร้อมนะไอริณ”
ไอริณพยักหน้า
ไอริณกับณัฐชายืนรอที่จุดนัดก่อนที่ราเมศจะขับรถมาจอด
“ไอริณ...ณัฐชา”
ณัฐชาแปลกใจ
“หมู่ปรีดากับจ่าไมตรีไม่มาด้วยเหรอคะผู้กอง”
“ก็คุณสั่งเองนี่ว่าให้ปิดเรื่องนี้เป็นความลับ” ราเมศมองไอริณ “แล้วคุณเอาหลักฐานมาด้วยรึเปล่า”
“ค่ะผู้กอง”
ราเมศพยักหน้าอย่างพอใจ ไอริณกับณัฐชาขึ้นรถ ก่อนที่ราเมศจะขับไป สักพักก็มีรถคันหนึ่งที่จอดซุ่มอยู่ขับตามไปคนขับคือสิงหานั่นเอง
“ไอ้ราเมศ แกเสร็จฉันแน่”
อุปกรณ์ติดตามของสิงหาที่ติดอยู่กับรถของราเมศ ส่งสัญญาณเป็นระยะ
ฤทธิ์นั่งเก็บตัวใช้ความคิดอยู่ตามลำพัง เขานึกถึงเหตุการณ์ที่เขาสู้กับบอสมาหลายต่อหลายครั้ง ส่วนใหญ่เขามักจะเป็นฝ่ายปราชัย ฤทธิ์ครุ่นคิด
“เป็นไปไม่ได้ ถ้ามันยังเป็นมนุษย์เหมือนเรา มันต้องมีจุดอ่อนอะไรสักอย่าง”
ฤทธิ์พยายามคิดทุกครั้งที่ต่อสู้กันนั้น บอสจะได้เปรียบตรงที่ไวกว่า และสามารถหายตัวได้ด้วยการเคลื่อนย้ายมวลสาร ยกเว้นในครั้งหนึ่งที่บอสถูกไฟช๊อตจนหมดสภาพ ฤทธิ์คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
โทรศัพท์มือถือของเขาได้รับข้อความจากกรณ์ เมื่อกดดูก็พบว่าเป็นแผนที่จุดนัดปฏิบัติการของบอส
ฤทธิ์แบกเป้ใส่ชุดและอาวุธของนักสู้มหากาฬเดินฉับๆ ออกไปข้างนอก พบชาญที่เดินสวนผ่านมาพอดี
“มาดามหลิวบอกว่าคืนนี้คุณมีนัดกับพวกมัน”
“ผมต้องจัดการกับบอสให้ได้”
“คุณมีวิธีเหรอ”
“ผมต้องการอาวุธบางอย่าง คุณช่วยหาให้ผมได้รึเปล่า”
ชาญสงสัยว่าฤทธิ์ต้องการอาวุธแบบไหน
ฤทธิ์วางเป้ไว้ในรถก่อนจะขึ้นนั่งประจำตำแหน่งคนขับ ชาญตามมาส่ง
“แน่ใจนะว่าไม่ให้ผมไปด้วย”
“ผมอยากให้คุณอยู่ทางนี้ คอยดูแลใจทิพย์”
“แต่ทางนี้มีโซเฟียอยู่ทั้งคน”
“ผมไม่เชื่อใจใครทั้งนั้นนอกจากคุณ”
“ผมเข้าใจแล้ว”
ฤทธิ์พยักหน้าก่อนจะออกรถจากไป ชาญมองตามอย่างเป็นห่วง
รถของราเมศแล่นมาจอดหน้าโรงงานร้าง ไอริณและณัฐชาลงมาจากรถ ณัฐชาเห็นสภาพโรงงานก็จำได้
“ที่นี่มัน…”
ณัฐชาจำได้ว่าพรายพิฆาตเคยใช้ที่นี่ทดลองนักรบของตน และเป็นที่ที่นักสู้มหากาฬปรากฏตัว
“ที่นี่คือที่แรกที่เราได้เจอกับนักรบของพรายพิฆาต และนักสู้มหากาฬ” ราเมศยิ้ม “พวกมันต้องคิดไม่ถึงแน่ว่าเราจะนัดเจอกันแถวนี้”
“แล้วผู้กำกับเมธาอยู่ที่ไหนคะผู้กอง”
ราเมศบุ้ยหน้า
“ข้างใน พวกคุณเข้าไปเถอะ ผมจะดูต้นทางให้เอง”
ณัฐชาสบตากับไอริณ เธอรู้สึกสังหรณ์ใจว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น สิงหาขับรถมาจอดห่างๆ เขารีบดับเครื่องแล้วค่อยๆย่องลงมาดูเห็นราเมศยืนเฝ้าอยู่ด้านนอก ขณะที่ไอริณกับณัฐชาเข้าไปในโรงงาน
สิงหาครุ่นคิดก่อนจะอ้อมไปอีกทาง
บรรยากาศในโรงงานเหมือนกับบ้านผีสิงไม่มีผิด ไอริณกับณัฐชาเดินเข้ามาด้วยกัน
“ผู้กำกับคะ ฉันมาแล้วค่ะ”
สิงหาแอบย่องเข้ามาจากทางเข้าอีกด้านแล้วซุ่มรอ สักพักก็เห็นเมธาเดินเข้ามา
“ผู้หมวด คุณไอริณ”
ณัฐชาดีใจ
“ผู้กำกับ”
ไอริณกล่าวอย่างเกรงใจ
“ต้องขอโทษด้วยนะคะท่าน ที่รบกวนกลางดึกแบบนี้”
“เรื่องเล็กน่ะ มันเป็นหน้าที่ของฉันอยู่แล้ว ว่าแต่…พวกเธอเอาหลักฐานมาด้วยใช่มั้ย”
“เอามาค่ะ แต่ว่า…” ไอริณลังเล “ดิฉันมีเงื่อนไขอยากต่อรอง”
ณัฐชาแปลกใจ
“ไอริณ”
“ว่ามาสิ”
“ถ้าท่านได้หลักฐานไปแล้ว ท่านต้องรับปากว่าจะไม่จับกุมณัฐชาเพื่อนของฉัน”
ณัฐชารีบขัด
“ไม่ได้นะไอริณ ถ้าผู้กำกับทำแบบนั้นก็เท่ากับละเว้นการปฏิบัติหน้าที่”
“แต่เธอถูกใส่ร้ายนะณัฐชา ฉันไม่เชื่อหรอกว่าเธอจะฆ่ามาวิน”
เมธาตัดบท
“เอาล่ะๆ ไม่ต้องเถียงกันแล้ว เรื่องนี้ฉันเองก็สงสัยอยู่เหมือนกันตกลง...ฉันรับปาก ฉันจะหาทางช่วยณัฐชาให้ถึงที่สุด”
ณัฐชาแปลกใจ
“แต่ว่า…”
“เรื่องอื่นไว้ค่อยว่ากันทีหลัง” เมธาแบมือ “ตอนนี้ขอหลักฐานให้ฉันก่อนเถอะ”
ไอริณเอื้อมมือแตะที่สร้อยพระแต่แล้วสิงหาก็ถือปืนโผล่ออกมา
“ทำแบบนี้มันไม่ถูกนะครับท่าน”
เมธาชะงัก
“สารวัตร”
“ตำรวจอย่างเราไม่ควรใจอ่อนกับคนร้าย” สิงหาเล็งปืนใส่ณัฐชากับไอริณ “คุณไอริณ ส่งหลักฐานมาให้ผมเดี๋ยวนี้”
ไอริณไม่ยอม
“ไม่...ถ้าคุณจับณัฐชาล่ะก็ ฉันไม่ยอมเด็ดขาด”
“ไอริณ อย่าทำแบบนี้เลย เชื่อฉันเถอะ”
เมธาหันมาปรามสิงหา
“สารวัตร ผมว่าคุณอย่ายุ่งดีกว่า”
“เสียใจด้วยครับท่าน ตำรวจอย่างผม ความชอบธรรมต้องมาก่อนเสมอ ผมไม่ยอมให้ท่านต่อรองกับคนร้ายเด็ดขาด”
เมธาเครียด
“สารวัตร”
“ว่าไงครับ”
เมธาตะปบข้อมือของตน…เห็นใบมีดกลพุ่งออกมาณัฐชาเอะใจ
“ระวัง”
เมธาจ้วงแทงใส่ สิงหาคว้ามือเมธาไว้ แต่กระนั้นคมดาบก็ยังปักเข้าที่อกไปสองสามนิ้ว สิงหากัดฟัน
“ผู้กำกับ”
เมธาค่อยๆกลายร่างเป็นบอส
“ฉันไม่ใช่เจ้านายของแกไอ้งั่ง แกมันแส่หาเรื่อง”
ณัฐชาตะลึง
“บอส นี่แกเองเหรอ”
“ถูกต้อง ฉันนี่แหละเป็นคนฆ่าไอ้มาวินกับท่านนำชัย”
ไอริณตะลึง
“แก...แกนี่เองที่ฆ่าพ่อฉัน”
สิงหาตั้งสติออกแรงยึดข้อมือบอสเอาไว้แล้วหันไปตะโกนบอกณัฐชากับไอริณ
“รีบหนีไป”
“ไปเร็วไอริณ”
ณัฐชาพาไอริณหนีไป บอสใช้มืออีกข้างเหวี่ยงร่างสิงหากระเด็นไปหมดสติทันที ก่อนจะหายตัวไปดักข้างหน้าณัฐชากับไอริณ
ณัฐชารีบยกปืนกระหน่ำยิงใส่บอสจนหายตัวไปอีกครั้ง และมาโผล่ทางด้านไอริณแต่ไอริณไหวตัวอยู่ก่อนรีบชักปืนยิงใส่จนมันหายไปอีก ไอริณกับณัฐชาหันหลังชนกัน ต่างช่วยกันเล็งปืนหาบอส
“ณัฐชา” ไอริณหวั่นๆ
ณัฐชามองตั้งสติสักพัก
“วิ่ง”
ไอริณกับณัฐชาวิ่งไปที่ประตูทางเข้าออกโรงงาน ระหว่างนั้นบอสกระโจนตามหลังมาพลางหายตัววูบวาบเร็วเหมือนดาวตก ณัฐชากับไอริณหยุดวิ่ง สองสาวหันมายิงพลางถอยพลาง แต่กระสุนไม่โดนบอสที่หายตัววูบวาบไปมา ระหว่างนั้นไอริณที่มัวแต่เล็งปืนซ้ายขวาก็เสียหลักล้มลง ณัฐชาตกใจ
“ไอริณ”
ณัฐชารีบเข้าไปพยุงไอริณ ขณะที่บอสก็โผล่พรวดเข้ามา
“แกตาย”
ณัฐชากับไอริณช่วยกันกระหน่ำยิงใส่บอสแบบไม่นับ บอสใช้ดาบปัดกระสุนจนไฟแลบ อารามจวนตัวนั้นไอริณเหลือบเห็นสะพานไฟที่ผนังก็เหนี่ยวไกยิงตูมจนไฟฟ้าดับวูบลง กว่าไฟฉุกเฉินจะทำงานบอสก็พบว่าสองสาวหายตัวไปแล้ว
ไมตรีกับปรีดาเดินมาที่ลานจอดรถในกองปราบกำลังจะกลับบ้านด้วยกัน ไมตรีถอนใจเป็นระยะ
“เป็นอะไรจ่า ถอนใจเฮือกๆอยู่ได้” ปรีดาสงสัย
“ก็เป็นห่วงผู้หมวดณัฐชาเขาน่ะสิหมู่ เห็นหมู่บอกว่าวันนี้ผู้หมวดเขานัดส่งหลักฐานให้ผู้กำกับเมธาไม่ใช่เหรอไม่รู้ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง”
“นั่นสิ ผู้กองราเมศก็แปล๊กแปลก ทำไมถึงไม่ให้เราไปด้วย”
ไมตรีชะงัก
“หมู่ได้ยินเสียงอะไรรึเปล่า”
ปรีดาเงี่ยหูฟัง
“คล้ายๆเสียงโทรศัพท์”
ไมตรีกับปรีดามองหาต้นเสียงจนพบว่ามาจากท้ายรถของเมธา ทั้งสองเปิดฝาท้ายรถขึ้น แล้วพบเมธานอนสลบเหมือดอยู่โดยที่โทรศัพท์กำลังมีสายเรียกเข้า ไมตรีกับปรีดาตกใจ
“ผู้กำกับ”
ณัฐชากับไอริณวิ่งกระหืดกระหอบกลับมาที่รถ แต่ไม่พบราเมศ ไอริณหน้าตื่น
“แย่แล้ว ผู้กองไม่อยู่”
มือราเมศตะปบบ่า ณัฐชาตกใจรีบหันไปยกปืนเล็งใส่ ราเมศยกมือขึ้น
“เดี๋ยว นี่ผมเอง”
“ผู้กอง คุณไปไหนมา”
“ผมได้ยินเสียงปืนก็เลยจะอ้อมไปดูข้างหลัง แต่พวกคุณโผล่มาซะก่อน”
ไอริณรีบบอก
“รีบไปจากที่นี่เถอะค่ะผู้กอง เราอยู่ไม่ได้แล้ว”
ราเมศหันมาถามไอริณ
“แล้วหลักฐานล่ะ หลักฐานอยู่ที่ไหน”
ณัฐชาสงสัย
“เวลานี้คุณยังจะห่วงหลักฐานอีกเหรอ”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นณัฐชาพลิกดูหมายเลข
“จ่าไมตรี” เธอรับสาย “ว่าไงจ่า”
“ผู้หมวด ตอนนี้ผู้หมวดอยู่ที่ไหนครับ”
“มีอะไรเหรอจ่า”
“ผมกับหมู่ปรีดาเจอผู้กำกับนอนสลบอยู่ครับ พอฟื้นขึ้นมาแกก็บอกว่าถูกผู้กองราเมศทำร้าย ที่สำคัญผู้กองราเมศไม่ได้บอกแกเลยครับเรื่องส่งมอบหลักฐาน”
ณัฐชาหน้าถอดสีมองไปที่ราเมศ
“มีอะไรเหรอณัฐชา”
ณัฐชารีบพูดสายกับไมตรี
“เดี๋ยวฉันโทรกลับนะจ่า”
ณัฐชาวางสาย ไอริณรู้สึกผิดสังเกต
“ณัฐชา เธอเป็นอะไรรึเปล่า”
“ผู้กอง ฉันว่าเราควรแยกกันตรงนี้ ส่วนหลักฐานฉันจะส่งไปที่กองปราบ”
“คุณฝากไว้ที่ผมก็ได้นี่”
ราเมศแบมือมาตรงหน้า ณัฐชาตัดสินใจชักปืนเล็งใส่ราเมศแล้วดึงไอริณถอยออกมา
“เธอจะบ้าเหรอไอริณ นั่นราเมศนะ เขาเป็นพวกเดียวกับเรา”
“เขาไม่ใช่ราเมศ”
ไอริณงงๆ
“เธอพูดอะไรของเธอ”
ราเมศแสยะยิ้ม
“คุณพูดผิดแล้วณัฐชา ผมคือราเมศ…แต่ราเมศจริงๆแล้วเป็นใครต่างหาก”
ไอริณหันกลับมามองที่ราเมศอย่างไม่เชื่อสายตา เมื่อเขาตะปบปุ่มกลไกที่ข้อมือส่งใบมีดออกมา ก่อนที่ร่างของราเมศจะกลายสภาพเป็นบอส
“พรายพิฆาต” ไอริณอึ้ง
“รู้ตอนนี้ ก็สายไปแล้ว”
บอสควงดาบจะเข้าจัดการกับไอริณณัฐชา แต่แล้วคมมีดของนักสู้มหากาฬก็ถูกยิงออกมาขวางหน้ามันจนต้องหยุดชะงัก
“นักสู้มหากาฬ”
นักสู้มหากาฬปรากฏตัวอยู่บนที่สูงบริเวณนั้น ณัฐชาชะงัก
“คุณโทมัส”
“พาไอริณหลบไปก่อน”
ณัฐชารีบดึงแขนไอริณหลบไปทางหนึ่ง บอสหัวเราะในลำคอ
“แกคิดว่าแกจะทำอะไรฉันได้นักสู้มหากาฬ ในเมื่อแกเป็นฝ่ายแพ้ฉันมาตลอด”
“เดี๋ยวก็รู้ บอส”
นักสู้มหากาฬควงมีดคู่ออกมาแล้วกดปุ่มกลไกยิงใบมีดออกไปเล่นงานบอสอย่างรวดเร็ว บอสปัดป้องก่อนจะกระโจนขึ้นไปต่อสู้กับนักสู้มหากาฬในระยะประชิด คมดาบของบอสเฉือนเข้าที่แขนของนักสู้มหากาฬจนเลือดสีแดงหลั่งริน บอสหัวเราะลั่น
“ฮ่าๆ เลือดสีแดง เหมือนที่พรายพิฆาตบอกไว้ แกไม่ได้เป็นอมตะอีกแล้วนักสู้มหากาฬ วันนี้แกตายแน่”
“แกต่างหากที่ต้องตายก่อนฉัน”
นักสู้มหากาฬควงมีดเก็บคืนที่ แล้วชักกระบองไฟฟ้าออกมาเล่นงาน บอสพยายามใช้กลยุทธเดิมที่เอาชนะอีกฝ่ายมาครั้งแล้วครั้งเล่านั่นก็คือการหายตัว ขณะที่บอสกำลังเคลื่อนย้ายอณูของมันเพื่อหายตัวนั้น นักสู้มหากาฬก็ทิ่มกระบองไฟฟ้าเข้าไป กระแสไฟทำให้บอสไม่สามารถหายตัวได้ บอสถูกนักสู้มหากาฬจู่โจมด้วยกระบองไฟฟ้าครั้งแล้วครั้งเล่า กลยุทธใหม่นี้ทำให้มันตั้งหลักไม่ทันสุดท้ายก็ถูกซัดจนร่วงลงมาที่พื้น บอสตะโกนลั่น
“ไอ้กรณ์ แกอยู่ที่ไหน”
บอสโซซัดโซเซหนีกลับเข้ามาในโรงงาน
“กรณ์ ช่วยฉันด้วย นักสู้มหากาฬมันตามมาแล้ว”
กรณ์เรียก
“บอส ทางนี้”
บอสหันไปและคาดไม่ถึงว่ามันจะโดนลุงโจยิงด้วยปืนไฟฟ้าหัวฉมวกเข้าเต็มรัก ทันทีที่หัวฉมวกปักเข้าที่หน้าอก กระแสไฟก็ถูกปล่อยผ่านเส้นลวดจนช็อตร่างของมันอย่างรุนแรง บอสโดนช็อตจนล้มตึงหมดสติไปกับพื้น ลุงโจดีใจที่ทำสำเร็จ
“ได้ตัวแล้วหัวหน้า”
“ไอ้ปีศาจแกต้องตาย”
กรณ์ชักมีดออกมาแล้วโผไปหมายจะตัดศีรษะของบอส แต่แล้วนักสู้มหากาฬก็คว้าข้อมือมันเอาไว้
“พอได้แล้ว”
“แกจะบ้าหรือไง ถ้ามันรอดไปเมื่อไหร่ มันเอาแกตายแน่”
“ฉันรู้ แต่ถ้าจะจับพรายพิฆาต ตำรวจต้องใช้เบาะแสจากมัน”
“ก็ได้ ถ้างั้นเราจบเกมกันแค่นี้”
นักสู้มหากาฬตวัดมีดมาที่คอของกรณ์ ลุงโจตกใจรีบบ่ายปืนมา
“จะผิดคำพูดหรือไง” กรณ์คำราม
“ไม่...ตอนนี้ฉันไม่อยากแก้แค้น เพราะฉันได้ใจทิพย์กลับมาแล้ว”
กรณ์ชะงัก
“อะไรนะ”
“ถอนตัวจากพรายพิฆาตซะ ไม่อย่างนั้นคราวหน้าแกเสร็จฉันแน่”
นักสู้มหากาฬลดมีดลง กรณ์มองเขาอย่างแปลกใจก่อนที่ลุงโจจะรีบลากตัวให้หนีไปทางอื่นหลังจากนั้นไม่นานสิงหาก็ถือปืนมือหนึ่ง อีกมือกุมแผลที่อกโผล่มาดู
“นักสู้มหากาฬ”
“ทุกอย่างมันจบแล้วสารวัตร หัวหน้าสาขาของพรายพิฆาตตอนนี้อยู่ในมือคุณ ตั้งแต่วันพรุ่งนี้จะไม่มีนักสู้มหากาฬอีกต่อไป”
สิงหามองไปที่บอสอย่างงุนงง และยิ่งตกใจเมื่อเห็นบอสค่อยๆกลายร่างเป็นราเมศ
ไอริณกับณัฐชาประคองกันมาที่หน้าทางเข้าและเห็นนักสู้มหากาฬเดินสวนออกมาพอดี นักสู้มหากาฬมองสองสาว ก่อนจะถอดแว่นดำที่ปิดบังโฉมหน้าของตนออก ไอริณตะลึง
“เป็นคุณจริงๆด้วย โทมัส หลิว”
“ฤทธิ์ ราวีต่างหาก ภารกิจของผมมันจบลงแล้ว นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเราจะได้พบกัน”
ณัฐชามองผู้ชายที่อยู่เบื้องหน้า…อย่างสลดใจ จนไอริณรู้สึกได้ถึงความผูกพันระหว่างทั้งสอง
“ไม่ว่าคุณจะเป็นโทมัส หลิว นักสู้มหากาฬ หรือว่าฤทธิ์ ราวีคุณก็คือเพื่อนของฉันเสมอ”
ไอริณยิ้มให้บางๆ
“หวังว่าเราคงได้เจอกันอีกนะคะ”
“ผมจะไม่ลืมพวกคุณ”
ฤทธิ์หรือนักสู้มหากาฬล่าถอยหายไปในความมืด ณัฐชามองตามอย่างใจหาย
อ่านต่อหน้า 3
นักสู้มหากาฬ ตอนที่ 8 (ต่อ)
ในห้องทดลองบริษัทมาดามหลิว...ใจทิพย์ที่ยังหลับอยู่ จิตของเธอได้รับคลื่นสัญญาณจากราเมศ
“ท่านพรายพิฆาต ได้โปรด...ได้โปรดช่วยสาวกของท่านด้วย พรายพิฆาต พวกมันจับข้าเอาไว้ พรายพิฆาต...ช่วยข้าด้วย”
โซเฟียกับมาดามหลิวปรึกษากันในห้องสมุด โซเฟียค่อนข้างหนักใจเมื่อทราบแผนการของมาดามหลิว
“มันจะดีเหรอคะมาดาม คราวก่อนก็ครั้งหนึ่งแล้ว มาคราวนี้…”
“เธอต้องเข้าใจฉันนะโซเฟีย เราจะปล่อยให้โทมัสไปจากที่นี่ตอนนี้ไม่ได้ เราต้องถ่วงเวลาเขาเอาไว้”
มาดามหลิวยื่นสารพิษในขวดให้โซเฟีย
“แค่ทำให้ใจทิพย์ป่วยหนักกว่าเดิม ไม่ถึงตายหรอก”
โซเฟียรับขวดยามาอย่างหนักใจ
ร่างของใจทิพย์นอนอยู่ในห้องทดลองตามลำพัง โซเฟียผลักประตูเข้ามา เธอใช้สลิงดูดยาจากขวดก่อนจะตรงเข้าไปหมายจะฉีดยาให้ใจทิพย์ วินาทีนั้นเองที่ใจทิพย์ลืมตาโพลงขึ้น ทำเอาโซเฟียตกใจหน่อยๆ ใจทิพย์ค่อยๆหันมองมาที่โซเฟียยกฝ่ามือขึ้น และปล่อยพลังบางอย่างดันร่างของโซเฟียลอยละลิ่วไปชนข้าวของล้มโครม
พนักงานกะดึกกำลังทยอยกันกลับบ้าน เวรยามที่ผลัดเปลี่ยนเวรกำลังสนทนากันแต่แล้วจู่ๆไฟฟ้าก็ดับวูบลง แม้แต่ระบบไฟสำรองก็มีอาการกระพริบติดๆดับๆเหมือนถูกรบกวนด้วยพลังงานบางอย่าง
ในห้องทดลองดูมืดสลัวด้วยระบบไฟสำรอง ชาญเปิดประตูเข้ามาอย่างร้อนรน
“โซเฟีย มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆระบบไฟฟ้าถึงได้…”
ชาญชะงักเมื่อเห็นโซเฟียนอนสลบอยู่กับพื้น ขณะที่ใจทิพย์กำลังยืนจ้องอยู่
“คุณใจทิพย์”
ใจทิพย์หันมามองชาญก่อนจะแสยะยิ้มอย่างน่ากลัว ชาญเห็นท่าไม่ดี เขาเลื่อนมือไปแตะที่ปืนช้าๆ อย่างลังเล
เมธาเดินนำไมตรีปรีดามาหาไอริณที่รออยู่กับณัฐชา
“ผู้กำกับ”
“สารวัตรสิงหาเล่าทุกอย่างให้ผมฟังหมดแล้ว เสียใจด้วยนะผู้หมวด ผมคิดไม่ถึงเลยว่าราเมศจะเป็นพรายพิฆาตซะเอง”
ไมตรีก็ยังแปลกใจไม่หาย
“นั่นสิครับ แถมเป็นระดับหัวหน้าซะด้วย”
ปรีดาถอนใจ
“ถึงว่าสิ พวกเราไม่เคยจับพรายพิฆาตได้ซะที ที่แท้ก็เพราะมีหนอนบ่อนไส้”
ไอริณหันมาหาเมธา
“แล้วเรื่องหลักฐานผู้กำกับจะจัดการยังไงคะ”
“ผมทำรายงานไปแล้ว พรุ่งนี้ศาลจะมีคำสั่งอายัดบัญชีทั้งหมดของพรายพิฆาตและจับกุมทุกคนที่เกี่ยวข้อง” เมธาหันมองณัฐชา “ณัฐชา งานนี้ผมต้องการให้คุณช่วย”
“แปลว่าฉันได้กลับเข้าทำงานแล้วเหรอคะ”
เมธาพยักหน้า
ราเมศถูกสวมกุญแจมือถูกคุมขังอยู่ในห้องขังของกองปราบ เขาถูกสวมเสื้อกั๊กที่ต่อขั้ววงจรไฟฟ้าอ่อนๆเอาไว้ สิงหาโผล่หน้ามาเยี่ยมหน้าตาเย้ยหยัน
“ชอบเสื้อกั๊กไฟฟ้าที่ผมออกแบบให้รึเปล่าผู้กอง นักสู้มหากาฬเป็นคนบอกผมเองว่าชุดนี้จะทำให้คุณแผลงฤทธิ์ไม่ออก”
“ก็แค่ชั่วคราวเท่านั้นสารวัตร ไม่มีอะไรหยุดผมได้หรอก”
“เฮอะ เก็บไว้โม้ต่อที่ลานประหารดีกว่ามั้ง ดูซิว่าเพชฌฆาตจะหยุดคุณได้รึเปล่า”
ราเมศจ้องหน้าสิงหาด้วยความแค้น ระหว่างนั้นก็มีเสียงประตูดังขึ้นเห็นเจ้าหน้าที่พาณัฐชาเข้ามา
“อ้อ...ผู้หมวด คุณยังไม่กลับไปพักอีกเหรอ”
“ฉันมีเรื่องต้องสอบถามผู้ต้องหาค่ะ”
สิงหาหันมามองราเมศ เห็นเขากำลังจ้องหน้าณัฐชาอย่างใจเย็น...
ณัฐชานั่งสอบปากคำราเมศตามลำพัง ราเมศเห็นณัฐชานิ่งมองตนอยู่นาน
“ยังแปลกใจไม่หายสิท่า”
ณัฐชาพยักหน้า
“ก็ยังช็อกอยู่นิดหน่อย ที่ผ่านมาคุณเล่นละครได้แนบเนียนมาก ทั้งเรื่องตามจับพรายพิฆาต แล้วก็แกล้งจีบฉันกับไอริณ”
“เสียดายนะ ที่ผมไม่ใช่สเปคของคุณกับไอริณ”
ณัฐชาเสียใจ
“ฉันเคยชอบคุณ เคยนับถือ ศรัทธาคุณ คุณไม่รู้หรอกว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน ที่เรื่องมันลงเอยแบบนี้”
ราเมศยื่นหน้ามาใกล้
“ยัง…ยังหรอกณัฐชา นี่ไม่ใช่บทสรุปของบอส พรายพิฆาตจะต้องมาช่วยฉัน และล้างแค้นพวกแก คอยดูสิ”
ราเมศจ้องหน้าณัฐชาอย่างท้าทาย
จอมอนิเตอร์ถ่ายทอดภาพจากกล้องวงจรปิดบริเวณทางเดิน เห็นใจทิพย์กำลังเดินผ่านไป มาดามหลิวเข้ามาเห็นภาพพอดีก็รีบกดอินเตอร์คอม
“โซเฟีย ชาญ มีใครอยู่บ้าง...โซเฟีย ชาญ มีใครได้ยินฉันรึเปล่า”
มาดามหลิวเห็นท่าไม่ดีรีบกดปุ่มแจ้งเหตุร้าย
“เรียกศูนย์รักษาความปลอดภัย ส่งคนขึ้นมาที่เพนท์เฮาส์ด่วน”
ใจทิพย์เดินไปทางใดทางหนึ่ง ขณะที่พวกยามแห่กันมาขวาง
“คุณใจทิพย์ กรุณากลับไปที่ห้องแล็บด้วยครับ”
ใจทิพย์หันมามองพวกยามเหล่านั้น ก่อนจะยกฝ่ามือขึ้น พวกยามทั้งหมดโดนคลื่นพลังผลักจนกระเด็นไปคนละทาง
โซเฟียเริ่มได้สติและเหลือบเห็นชาญนอนสลบอยู่ข้างๆ ในสภาพที่มือยังถือปืนอยู่ จึงรีบคลานเข้าไปปลุก
“ชาญ...ชาญ”
ชาญตื่นขึ้นมา
“โซเฟีย แล้วคุณใจทิพย์ล่ะ”
“เธอหายไปแล้ว”
ชาญเอะใจ
“มาดาม”
มาดามหลิวนำปืนที่ซ่อนอยู่ออกมาป้องกันตัว แต่แล้วร่างของยามคนหนึ่งกระเด็นชนประตูจนเปิดอ้า มาดามหลิวหันมาด้วยความตกใจ เมื่อเห็นใจทิพย์เดินเข้ามา
“มาดาม…คุณตามหาฉันอยู่ไม่ใช่เหรอ”
“แกเป็นใคร”
“คนที่สั่งฆ่าสามีกับลูกสาวของคุณ”
มาดามหลิวตะลึง
“พรายพิฆาต…”
ใจทิพย์แสยะยิ้มน่ากลัว มาดามหลิวยกปืนขึ้นเล็งอย่างลังเล
“เป็นไปไม่ได้ เธอคือใจทิพย์ ฤทธิ์ราวียืนยันว่าเธอคือคนรักของเขา”
“ก็แค่ร่างกายเท่านั้นที่ยังเป็นใจทิพย์” ใจทิพย์ชี้ที่ขมับ “ในนี้ ไม่มีอีกแล้ว”
มาดามหลิวตัดสินใจเหนี่ยวไกยิงใส่ทันที แต่ใจทิพย์กลับใช้พลังสะกดกระสุนทุกนัดเอาไว้กลางอากาศ ระหว่างนั้นเองชาญกับโซเฟียก็โผล่มาพร้อมอาวุธปืน
“มาดาม”
ใจทิพย์รีบสะบัดกระสุนของมาดามหลิวใส่โซเฟีย ชาญรีบโผกำบังร่างเขาเอาไว้
“โซเฟียหลบ”
กระสุนหลายนัดซัดเข้าที่กลางหลังชาญจนล้มไปพร้อมกับโซเฟีย มาดามหลิวตกใจ
“ชาญ”
โซเฟียกระหน่ำยิงใส่ใจทิพย์ แต่ใจทิพย์ก็หยุดกระสุนไว้ได้อีก
“กระสุนของพวกแกทำอะไรข้าไม่ได้หรอก เตรียมตัวตายได้แล้ว”
มาดามหลิวตกตะลึง ขณะที่ชาญแข็งใจหันมายิงสู้ ใจทิพย์ใช้ฝ่ามืออีกข้างหยุดกระสุนเอาไว้อีก ชาญเหลือบเห็นมุมเหลี่ยมด้านหลังของใจทิพย์จึงตัดสินใจเบนปืนยิงไป กระสุนนั้นชิ่งกลับมาปักเข้าที่บ่าด้านหลังของใจทิพย์เต็มๆ กระสุนที่ลอยอยู่กลางอากาศร่วงลงพื้น ขณะที่ใจทิพย์เซไป
“แก…บังอาจ”
ใจทิพย์ใช้พลังกระชากร่างของชาญให้ลอยขึ้นมาเหนือพื้น โซเฟียตกใจ
“ชาญ”
มาดามหลิวหน้าตื่น
“ชาญ”
ใจทิพย์แสยะยิ้ม
“การแก้แค้นไม่เคยมีคำว่าจบสิ้น...มาดาม คราวนี้เป็นทีของฉัน”
“อย่า”
ใจทิพย์ใช้พลังของเธอเร่งอุณหภูมิในร่างกายของชาญจนร้อนระอุ ชาญแผดร้องโหยหวนเมื่อเลือดในกายเขาเดือดพล่านจนเกิดการระเบิดขึ้นตามจุดต่างๆ ราวกับถูกกราดยิง โซเฟียตะลึง
“ชาญ...ชาญ”
ร่างของชาญร่วงไปกับพื้นอย่างหมดสภาพ โซเฟียจะหันมายิงใส่ใจทิพย์แต่ก็ถูกอีกฝ่ายใช้พลังผลักไปกดตรึงไว้กับผนัง ใจทิพย์หันไปยิ้มให้มาดามหลิวที่ปืนหลุดจากมือเพราะตกใจกับสภาพของชาญ ภาพเหตุการณ์ที่สามีกับลูกของเธอเสียชีวิตแว่บเข้ามา มาดามหลิวร้องไห้
“ทำไมถึงทำแบบนี้ ทำไมถึงทำกับฉันแบบนี้”
ใจทิพย์ตะปบคอมาดามหลิว
“การแก้แค้นของแกทำให้เขาต้องตายนังง่อย ฉันจะไม่ฆ่าแกตอนนี้ ลิ้มรสความเจ็บปวดต่อไปเถอะ”
มาดามหลิวกรีดร้องออกมาเหมือนสติขาดหาย…ขณะที่โซเฟียได้แต่เจ็บใจที่ทำอะไรไม่ได้
ฤทธิ์ขับรถเข้ามาจอดและยกมือกุมแผลที่ถูกบอสทำร้ายด้วยความระบม เขามองหน้าตัวเองในกระจกอย่างคิดขึ้นได้
“ในที่สุดแกก็กลับมาเป็นฤทธิ์ ราวีคนเดิมจนได้”
ฤทธิ์รู้สึกเหนื่อยแต่ก็โล่งใจที่ทุกอย่างผ่านมาจนถึงจุดนี้
รถคันหนึ่งแล่นมาจอดหน้าบริษัท นักรบพรายพิฆาตสี่ถึงห้านายลงจากรถ และใช้ปืนพกยิงยามและพนักงานจนล้มตายยามที่บาดเจ็บคนหนึ่งคลานไปกดปุ่มฉุกเฉิน
ไฟลิฟต์ดับวูบหยุดการทำงาน ประตูนิรภัยตรงทางเดินหลายบานปิดลงอย่างแน่นหนาจนยากที่ใครจะฝ่าขึ้นมาได้...ใจทิพย์เพ่งพลังมองไปที่แผงควบคุมระบบต่างๆของอาคารจนระเบิด ลิฟต์ทำงานเป็นปกติ ประตูนิรภัยเปิดออกอีกครั้ง
ฤทธิ์เพิ่งเดินมาถึงหน้าอาคาร และเห็นนักรบพรายพิฆาตกำลังอุ้มมาดามหลิวที่หมดสติออกมาจากลิฟต์ โดยมีใจทิพย์ยืนคุมอยู่
“มาดาม...ใจทิพย์”
ใจทิพย์แผ่ฝ่ามือมาที่ฤทธิ์ กระดาษในห้องโถงปลิวว่อนราวกับมีพายุพัด ร่างของฤทธิ์ถูกอัดจนกระเด็นไปติดกับเสา นักรบพรายพิฆาตพามาดามหลิวไปขึ้นรถ ส่วนตนเองเดินไปหาฤทธิ์ที่พยายามดิ้นรนจากพลังของใจทิพย์แต่ไม่สำเร็จ
“ฉันเตือนแกแล้วฤทธิ์ ราวี”
“คุณเป็นอะไรของคุณ ใจทิพย์”
“ไม่มีใจทิพย์ ไม่…จนกว่าแกจะยอมรับพรายพิฆาต”
ฤทธิ์พยายามขัดขืน
“พรายพิฆาต แกทำอะไรกับใจทิพย์”
“ตอนนี้แกสูญเสียความเป็นอมตะไปแล้ว และแกจะต้องสูญเสียมากกว่านี้ ถ้าแกยังคิดต่อต้านเรา”
ฤทธิ์มองใจทิพย์อย่างตื่นตะลึง
“ก่อนเที่ยงคืนวันพรุ่งนี้ แกต้องพาตัวบอสมาหาฉัน ไม่อย่างนั้นโลกนี้จะไม่มีมาดามหลิวหรือใจทิพย์อีกต่อไป”
โซเฟียพยายามออกแรงสู้กับพลังที่ใจทิพย์สะกดร่างของเธอไว้ ในที่สุดก็ทำสำเร็จ…ร่างของเธอร่วงลงทรุดกับพื้น พอตั้งหลักได้เธอก็รีบคลานไปหาชาญทันที
“ชาญ คุณเป็นยังไงบ้าง ชาญ”
“โซเฟีย ช...ช่วยมาดามหลิว รีบไป…”
ชาญค่อยๆหลับตาลงสิ้นใจ โซเฟียตะลึง
“ชาญ...ชาญ”
ณัฐชากำลังขับรถมาทำงาน บนรถของเธอเปิดวิทยุฟังข่าวไปด้วย
“นับเป็นความสูญเสียครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบสิบปีที่ผ่านมา เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับหลักฐานเชื่อมโยงไปถึงขบวนการฟอกเงินขององค์กรพรายพิฆาต จนเป็นเหตุให้ศาลมีคำสั่งอายัดบัญชีในธนาคารมากถึงสามสิบสามบัญชีในวันนี้ และที่น่าตกใจกว่านั้นก็คือ สาวกของพรายพิฆาตที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบัญชี แท้จริงกลับเป็นบุคคลชั้นนำในสังคมของเรา และนี่เองจึงเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ของประเทศชาติ”
ณัฐชาปิดวิทยุและหยิบบัตรพนักงานตำรวจมาคล้องคอ เธอกลับเข้าทำงานอีกครั้ง
ตำรวจคุมตัวผู้ต้องสงสัยว่าเป็นพรายพิฆาตเข้ามาสอบสวนในกองปราบ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้มีอันจะกิน บางคนนิ่งเฉย บางคนดิ้นรน บางคนมีเมียตามมาร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลังขณะที่บางคนเหมือนพวกคลั่งลัทธิตะโกนโหวกเหวกลั่น
“พรายพิฆาตจงเจริญ พรายพิฆาตจงเจริญ”
ณัฐชายืนดูสภาพของผู้ต้องหาเหล่านั้นอย่างหดหู่ใจ ก่อนที่ไมตรีกับปรีดาจะเข้ามาสมทบ ไมตรียิ้มแย้มทักทาย
“ยินดีต้อนรับกลับเข้าทำงานครับผู้หมวด”
“ขาดเหลืออะไรบอกพวกเราได้เลยครับ”
“ตกลงเคลียร์บัญชีได้หมดรึเปล่า”
“สามสิบสามบัญชีอายัดไว้หมดครับ แต่บัญชีธนาคารต่างประเทศยังอยู่ระหว่างดำเนินการ”
“แค่นี้ก็มากมายมหาศาลแล้วครับผู้หมวด เห็นเขาบอกว่าเกือบๆจะพันล้าน”
“เอาไปสร้างโรงเรียน สร้างถนนยังมีประโยชน์กว่านี้เลยครับ ไม่รู้คนพวกนี้คิดอะไร ถึงได้งมงายขนาดนี้”
ณัฐชาหนักใจ
“ไม่รู้สิ เขาคงนึกว่าพรายพิฆาตเป็นพระเจ้าล่ะมั้ง”
ไอริณเซ็นชื่อรับทราบลงในเอกสารที่เมธายื่นให้
“เสียใจด้วยนะคุณไอริณ แต่ทางเราจำเป็นต้องอายัดบัญชีของท่านนำชัยเอาไว้จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าเกี่ยวพันกับพรายพิฆาตรึเปล่า”
“ฉันเข้าใจค่ะ”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามา”
ณัฐชาแง้มประตูมองเข้ามาและเห็นไอริณยิ้มให้เศร้าๆ
ณัฐชากับไอริณเดินคุยมาด้วยกัน
“ไม่ยุติธรรมเลย คุณลุงกับเธออุตส่าห์เสียสละขนาดนี้ ทางตำรวจน่าจะลดหย่อนโทษกันบ้าง”
“กฎหมายละเว้นคนผิดไม่ได้หรอกณัฐชา ฉันเข้าใจ”
“แล้วต่อไปเธอจะทำยังไง”
ไอริณคิด
“คงหายตัวไปสักพัก ชื่อเสียงฉันตอนนี้ คงไม่มีใครอยากจ้างไปเล่นหนังหรอก”
ณัฐชากุมมือให้กำลังใจ
“ฉันเอาใจช่วยนะไอริณ สักวันหนึ่ง ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น”
ไอริณยิ้มรับก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้
“จริงสิ...มีเรื่องนึง ฉันอยากให้เธอช่วย”
ราเมศนั่งยิ้มกริ่มขณะที่ณัฐชากับไอริณเข้ามาเยี่ยม
“ว้าว...มีแฟนคลับมาเยี่ยมด้วยแฮะ สงสัยวันนี้คงต้องฉลองกันหน่อย”
ไอริณหันไปจะกระชากปืนของณัฐชาออกมา แต่ณัฐชายื้อไว้ก่อน
“ไอริณไม่เอาน่า”
“ปล่อยฉัน มันฆ่าพ่อฉัน ฉันจะฆ่ามัน”
“นั่นสิณัฐชา ไอริณเขาอยากแก้แค้น เธอจะไปห้ามเขาทำไม”
ณัฐชาตะคอก
“หุบปากเดี๋ยวนี้เลย สักวันแกจะต้องชดใช้ในสิ่งที่แกทำลงไป”
ราเมศกวนๆ
“โฮะๆ ชดใช้เหรอ ฉันว่าตอนนี้พวกแกต่างหากที่ต้องชดใช้ให้กับพรายพิฆาต”
ไอริณจ้องหน้า
“แกพูดถึงอะไร”
“ฮืม…ก็ฉันถูกจับมาแบบนี้ พรายพิฆาตคงไม่อยู่เฉยแน่...ลองเช็กข่าวดูดีๆ บางทีเพื่อนของเธอบางคนอาจจะลาโลกนี้ไปแล้วก็ได้”
ไอริณกับณัฐชามองหน้ากันอย่างเอะใจ
ประตูภัตตาคารจีนแขวนป้าย close ภายในเหล่าสมุนของแหลมกำลังยืนทื่อกันอยู่ แหลมถูกกรณ์ใช้ปืนขู่บังคับไว้เป็นตัวประกัน แหลมปั้นหน้าเซ็ง สักครู่ลุงโจก็โผล่ออกมาจากด้านในพร้อมขยับกระเป๋าสะพาย
“เรียบร้อยหัวหน้า ได้น้ำตามัจจุราชมาแล้ว”
กรณ์พอใจ
“ดี เอากลับไปที่เซฟเฮาส์ เราจะได้ชุบชีวิตให้พวกของเราซะที”
แหลมขัดขึ้น
“ทำแบบนี้มันไม่สวยนะคุณกรณ์ ถ้าบอสรู้เข้าล่ะก็ คุณโดนเจี๋ยนแน่”
กรณ์ตวาด
“ตอนนี้บอสถูกตำรวจจับไปแล้ว แกต่างหากที่ต้องระวังถ้าขืนพูดมาก แกจะโดนเจี๋ยนก่อนใครเพื่อน”
แหลมหน้าเสียรีบหุบปาก
“ไปนั่งรถเล่นกับฉัน ฉันมีเรื่องจะถามแก”
กรณ์ดึงแหลมออกไป
ลุงโจกำลังขับรถ โดยมีกรณ์ถือปืนคุมตัวแหลมอยู่ที่เบาะหลัง แหลมมองปืนอย่างระแวง
“ตอนที่คนของฉันให้แกเล่นงานใจทิพย์ แกเห็นรึเปล่าว่าเธอตายยังไง”
“เห็นสิ นังนั่นตกหน้าผาไปพร้อมกับไอ้ฤทธิ์ ราวี”
“แล้วหลังจากนั้น”
“ก็จมน้ำหายไปทั้งคู่ ไม่มีใครเจอศพ”
“แน่ใจนะ”
“เอ่อ ก็ไม่เชิงนะ คือ...”แหลมมองกรณ์ “ถ้าบอกแล้วปล่อยผมแน่นะ”
“ว่ามา”
“ผมได้ข่าวว่าหลังจากนั้นก็มีคนไปป้วนเปี้ยนแถวนั้นหลายคน คนแรกหน้าตาดีใส่สูทมากับเรือเล็กๆลำหนึ่ง ส่วนอีกหลายคนมากับเรือลำใหญ่พร้อมทีมนักประดาน้ำ”
ลุงโจเอะใจ
“พวกมันเป็นใคร”
“ใครจะไปสนล่ะลูกพี่ เสร็จงานแล้วก็รับเงิน ส่วนศพคนตายใครจะเอาไปทำอะไรก็ช่างมันเหอะ”
“ว่าแล้วเชียว”
“อะไรเหรอหัวหน้า”
“คนที่เอาตัวไอ้ฤทธิ์ไปคือมาดามหลิว ส่วนคนที่เอาใจทิพย์ไป...คือพรายพิฆาต”
ลุงโจไม่เข้าใจ
“พรายพิฆาตจะเอาตัวใจทิพย์ไปทำไม”
กรณ์ครุ่นคิดด้วยความสงสัย แหลมรีบหันมาถาม
“เอ่อ...พี่รูปหล่อครับ ถามอะไรก็ตอบแล้วทุกอย่าง ตกลงปล่อยผมไปได้รึยังครับ”
กรณ์หันมามองแหลมก่อนจะเปิดประตูแล้วถีบแหลมกลิ้งลงไปจากรถ
“โอ้ยหลังกู ไอ้เวร...จอดก่อนไม่ได้หรือไงโว้ย อู๊ย”
ลุงโจขับรถด้วยสีหน้าตึงเครียด
“เกมนี้มันชักจะไปกันใหญ่แล้วนะหัวหน้า ตกลงเราจะอยู่ฝ่ายไหนกันแน่ ตำรวจ พรายพิฆาต หรือนักสู้มหากาฬ”
“เราเป็นอิสระลุงโจ ในเมื่อพระเจ้าหักหลังเรา เราก็หักหลังพระเจ้าได้เหมือนกัน”
บนดาดฟ้าบริษัทมาดามหลิว...ฤทธิ์ยืนเหงาท่ามกลางบรรยากาศเศร้าๆและท้องฟ้าสีหม่น ภาพความผูกพันระหว่างเขากับชาญผู้คอยช่วยเหลือและให้คำปรึกษามาตลอด ชาญผู้ชอบมาใช้เวลาว่างถ่ายรูปบนดาดฟ้าแห่งนี้
ห้องนอนชาญมีรูปถ่ายฝีมือของชาญมากมายถูกแปะจนเต็มผนัง โซเฟียนั่งกอดเข่าอยู่เศร้าๆบนเตียงของเขาเธอดูรูปถ่ายเหล่านั้นและเห็นมุมมองที่ดีงามของตากล้อง ชาญเฝ้ามองทุกสิ่งอย่างมีความหวังเสมอ และหนึ่งในจำนวนนั้นก็มีรูปที่เธอถ่ายคู่กับเขาอย่างสนิทสนม ด้านหลังมีลายมือจดวันที่เอาไว้และระบุว่า “โซเฟีย น้องสาวสุดที่รัก” โซเฟียร้องไห้ออกมา
“ไม่ต้องห่วงนะชาญ ฉันรู้ว่าคุณรักมาดามแค่ไหน ฉันจะพาเธอกลับมาให้ได้ ฉันสัญญา”
ณัฐชาเข้ามาในบริษัทและเห็นเจ้าหน้าที่กำลังเก็บกวาดซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดจากใจทิพย์เมื่อคืน เธอถามยามที่เดินมาต้อนรับ
“เกิดอะไรขึ้น”
“เชิญขึ้นไปที่เพนท์เฮาส์เถอะครับ คุณโซเฟียกำลังรออยู่”
ณัฐชามองไปที่กล้องวงจรปิด โซเฟียคงรู้แล้วว่าเธอมาที่นี่
ในห้องทดลองบริษัทมาดามหลิว...ร่างไร้วิญญาณของชาญกำลังนอนอยู่บนเตียง โดยมีโซเฟียยืนดูอย่างเลื่อนลอย ก่อนที่ณัฐชาจะเข้ามาในห้องแล้วอึ้งไป
“คุณชาญ”
“เขาตายแล้ว ตอนนี้มาดามหลิวถูกพรายพิฆาตจับตัวไป”
“พวกมันบุกมาได้ยังไง”
โซเฟียยิ้มเคียดแค้น
“มันใช้ใจทิพย์เป็นไส้ศึกทำลายระบบป้องกันของเรา”
ณัฐชาตะลึงงัน
“ใจทิพย์…ใจทิพย์ยังไม่ตายงั้นเหรอ”
“ก่อนเที่ยงคืนของวันนี้ ถ้าคุณโทมัสไม่พาตัวบอสไปให้มัน มันจะฆ่ามาดาม”
“แล้วตอนนี้โทมัสอยู่ที่ไหน”
โซเฟียไม่ตอบคำถามอีก ณัฐชาเริ่มเอะใจ…
ราเมศนั่งดูนาฬิกาที่ผนังอย่างใจเย็น รอเวลาที่ตนกำลังจะได้รับอิสรภาพ สักครู่ตำรวจนอกเครื่องแบบนายหนึ่งก็เปิดประตูให้สิงหาก้าวเข้ามา
“อีกเดี๋ยวเราจะพาแกไปฝากขังที่เรือนจำ หวังว่าคงพร้อมนะ”
ราเมศเชิดหน้าอย่างใจเย็น
ใบมีดถูกยิงมาพันกับขอบระเบียงดาดฟ้าอาคารละแวกกองปราบ นักสู้มหากาฬโหนตัวมาบนยอดอาคารสูงแห่งนี้แล้วมองไปยังที่ทำการกองปราบ
ซึ่งมีตำรวจมากมายเตรียมจะขนย้ายนักโทษราเมศ
อ่านต่อหน้า 4
นักสู้มหากาฬ ตอนที่ 8 (ต่อ)
ขณะที่นักสู้มหากาฬเฝ้าสังเกตการณ์อยู่บนดาดฟ้า เขาเห็นพวกตำรวจเตรียมการขนย้ายราเมศไปยังเรือนจำอย่างเข้มงวด หน่วยคอมมานโดถูกส่งมาเคลียร์พื้นที่เพื่อความปลอดภัย
นักสู้มหากาฬค่อนข้างหนักใจที่ต้องปะทะกับตำรวจ แต่ระหว่างนั้นเขาก็เหลือบเห็นไอริณที่เพิ่งเสร็จธุระเดินกลับออกมาจากกองปราบพอดี
ขณะเดียวกันที่ลานจอดรถซึ่งค่อนข้างเปลี่ยว ไอริณกำลังเดินมาขึ้นรถ แต่แล้วนักสู้มหากาฬก็โหนตัวลงมาด้านหลังก่อนจะดึงเธอหลบไปที่หลังรถตู้คันหนึ่งเพื่อให้อยู่ลับตาคุณ ไอริณตกใจก่อนจะได้สติเมื่อเห็นนักสู้มหากาฬกำลังเอานิ้วจุ๊ปากไม่ให้ส่งเสียง
“นี่คุณเองเหรอ”
“ผมมีเรื่องอยากจะให้คุณช่วย”
ณัฐชาผลุนผลันจะลงลิฟต์ โซเฟียรีบตามมาขวาง
“เสียใจด้วยคุณโซเฟีย แต่เรื่องนี้ฉันคงช่วยคุณไม่ได้”
“ฉันไม่ได้ขอให้คุณชิงตัวผู้ต้องหา แค่อย่าเข้าไปขวางก็พอ คุณโทมัสเขาไม่ต้องการให้คุณเดือดร้อน”
“แต่ราเมศเป็นผู้ต้องหาคนสำคัญ เขาต้องได้รับโทษ”
ณัฐชาจะปลีกตัวหนี โซเฟียรีบคว้าตัวไว้ ณัฐชารีบแก้ทางมวยแล้วชักปืนออกมาขู่
“จะเอายังไง”
“ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับมาดาม ฉันยอมตายดีกว่า”
แววตาที่มุ่งมั่นของโซเฟีย ทำให้ณัฐชาลังเล แต่จังหวะที่เผลอนั้นโซเฟียกลับฟาดสันมือที่ก้านคอณัฐชาจนสลบไป
“ขอโทษนะผู้หมวด”
ในห้องโถงโรงงานร้าง มาดามหลิวรู้สึกตัวขึ้นแล้วพบว่าตนกำลังถูกมัดอยู่กับโต๊ะ โดยมีนักรบพรายพิฆาตคอยเฝ้าอยู่รอบๆ มาดามหลิวหันมองไปรอบๆจนเห็นใจทิพย์ที่กำลังยืนมองเธออยู่
“สายัณห์สวัสดิ์มาดาม”
“พรายพิฆาต”
“แน่นอน...คุณคงสงสัยสินะ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับใจทิพย์”
“แกทำแบบนี้ได้ยังไง แกควบคุมร่างของใจทิพย์ด้วยวิธีไหนกันแน่”
“ฉันมีอำนาจพิเศษ ฉันเกิดมาเพื่อเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้”
“แกมันปีศาจ ฉันจะต้องหยุดแกให้ได้”
ใจทิพย์หัวเราะออกมาอย่างเห็นเป็นเรื่องสนุก
ไอริณไม่ค่อยพอใจนักเมื่อทราบแผนการของนักสู้มหากาฬ
“จะชิงตัวราเมศ คุณคิดดีแล้วเหรอ”
“ความปลอดภัยของมาดามหลิวต้องมาก่อน เชื่อผมเถอะไอริณ ไม่ว่ายังไงราเมศต้องชดใช้ในสิ่งที่เขาทำลงไป แต่มันยังไม่ใช่ตอนนี้”
ไอริณมองหน้านักสู้มหากาฬอย่างลังเล
ไอริณเดินกลับเข้ามาในกองปราบ ก่อนจะหยุดที่ถังขยะใบหนึ่ง เธอกวาดสายตามองไปรอบๆอย่างระแวดระวัง เธอมองถังขยะอีกครั้งอย่างลังเล
“หวังว่าฉันคงคิดถูกนะที่เชื่อใจคุณ คุณโทมัส”
ไอริณหยิบระเบิดออกจากกระเป๋าสะพายแล้วทิ้งลงไปในถังขยะ และกระถางต้นไม้ จังหวะนั้นเองที่ไมตรีกับปรีดาผ่านมาเห็นเข้าพอดี
“อ้าวคุณไอริณ ยังไม่กลับอีกเหรอครับ” ไมตรียิ้มแย้มทักทาย
ไอริณตกใจ
“อ๋อ พอดีฉันลืมของค่ะ เลยกลับมาเอา”
“ถ้าเสร็จธุระแล้วก็รีบไปดีกว่าครับ แถวนี้ไม่ค่อยปลอดภัย” ปรีดาเตือน
“อีกสิบนาทีเราจะพาผู้ต้องหาไปส่งที่เรือนจำครับ สารวัตรสิงหาเพิ่งสั่งให้เรามาเคลียร์พื้นที่”
“ค่ะ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”
ไอริณรีบจากไปด้วยท่าทางมีพิรุธ จนไมตรีกับปรีดารู้สึกผิดสังเกต
“เอ คุณไอริณเขาเป็นอะไรรึเปล่าจ่า ท่าทางหลุกหลิกชอบกล” ปรีดาคิดๆ
ไมตรียิ้มกริ่ม
“ฮึ...ไม่แปลกหรอกหมู่ กับคนหน้าตาดีอย่างผม ผู้หญิงที่ไหนก็ต้องเขินเป็นธรรมดา ฮ่าๆ”
ไมตรีขำ แต่ปรีดามองหน้าแบบขำไม่ค่อยออก
ไอริณปลีกตัวมาในห้องน้ำ พอเห็นว่าปลอดคนเธอก็รีบดูนาฬิกาข้อมือ เข็มนาฬิกากระดิกไปจนถึงจุดหนึ่ง ไอริณหยิบโทรศัพท์ต่อสายหานักสู้มหากาฬ
“คุณโทมัส ทุกอย่างพร้อมแล้ว”
ราเมศนั่งรออยู่ในห้องคุมขังอย่างใจเย็นก่อนที่ประตูจะเปิดออก สิงหาเข้ามาในห้องพร้อมทีมตำรวจคุ้มกัน
“ลุกขึ้นผู้กองราเมศ ได้เวลาออกเดินทางแล้ว”
ราเมศยิ้มอย่างรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ไมตรีกับปรีดายืนรออยู่ สิงหากับทีมตำรวจคุมตัวราเมศออกมา
“มาแล้วจ่า”
ไมตรีมองไปเห็นราเมศยิ้มใจเย็น ก็อดบ่นไม่ได้
“โอ้โห ยิ้มแย้มแจ่มใส ท่าทางไม่ได้สำนึกผิดเลยนะหมู่”
ปรีดามองปลงๆ
“เฮ้อ...ไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ ว่าอดีตหัวหน้าของเราจะกลายเป็นคนร้าย”
ไมตรีพยักหน้าอย่างเห็นด้วย สิงหากับตำรวจคุมตัวราเมศผ่านไปบริเวณถังขยะที่ไอริณซ่อนระเบิดควันเอาไว้ ทันใดนั้นระเบิดควันก็ทำงานตูม บังเกิดเป็นม่านควันคละคลุ้งไปทั่วสิงหาตะโกนสั่งดังลั่น
“ระวัง มีคนจะชิงผู้ต้องหา”
เหล่าตำรวจหันหลังเข้าหากัน พลางยกปืนขึ้นป้องกันผู้บุกรุก แต่ละคนเริ่มสำลักควันกันยกใหญ่ จังหวะนั้นเองนักสู้มหากาฬก็ทะลวงผ่านม่านควันเข้ามาก่อนจะจู่โจมพวกตำรวจด้วยด้ามมีดอย่างรวดเร็ว สิงหาตกใจ
“นักสู้มหากาฬ”
สิงหาหันปืนไปที่นักสู้มหากาฬ แต่กลับโดนอีกฝ่ายปลดอาวุธแล้วใช้ด้ามมีดกระทุ้งจนผงะไป นักสู้มหากาฬหันมาคว้าคอราเมศ
“มากับฉัน”
ราเมศยิ้มกริ่ม ตามไปด้วยท่าทีสบายๆ
โรงชำแหละเนื้อแห่งหนึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลผู้คน ประตูรั้วแขวนป้ายปิดกิจการ อดีตคนงานของโรงชำแหละเนื้อสามคนพากรณ์มาสำรวจดูสถานที่
“นี่ไงที่คุณถามถึง โรงชำแหละเนื้อเก่า”
คนงานอีกคนมองไปในโรงงานแล้วบอก
“ที่นี่ปิดกิจการมาปีกว่าแล้ว แต่เครื่องมือเครื่องไม้ยังใช้ได้อยู่”
“เครื่องมืออย่างอื่นฉันไม่สน ฉันต้องการแต่ห้องแช่เย็น”
“คุณจะใช้ทำอะไร”
“ไม่ใช่เรื่องของพวกนาย”
“อ้าว พวกเรารับจ้างเฝ้าที่นี่อยู่นะคุณ ถ้าเกิดอะไรขึ้นเราจะบอกเจ้าของเขายังไง”
กรณ์หยิบเงินจำนวนหนึ่งที่เตรียมไว้โยนให้คนงานรับไป
“ฉันขอเช่าที่นี่ พวกแกหุบปากไว้ก็แล้วกัน”
คนงานทั้งสามมองหน้ากันอย่างลังเล คนหนึ่งยักไหล่ทำนองว่ายังไงก็เอาเงินไว้ก่อน
เครื่องยนต์ของห้องแช่ทำงาน ลุงโจแบกศพเอมี่มาวางรวมกับศพของวัฒน์ และยักษ์
“นอนสบายเชียวนะพวกแก เมื่อไหร่จะฟื้นขึ้นมาช่วยกันบ้างวะ”
ลุงโจปาดเหงื่อด้วยความเหน็ดเหนื่อย
ยามของบริษัทมาดามหลิว ช่วยกันพันธนาการราเมศไว้กับเก้าอี้ ราเมศยังคงใจเย็น ขณะที่ฤทธิ์กับโซเฟียหารือกัน
“ยังมีเวลาอีกห้าชั่วโมง คุณไปพักก่อนเถอะ” โซเฟียดูนาฬิกา
“แล้วเธอล่ะ”
โซเฟียมองราเมศ
“ฉันจะเค้นความลับจากมัน ฉันต้องรู้ให้ได้ ว่าพรายพิฆาตเป็นใครกันแน่”
ราเมศได้ยินคำพูดของโซเฟีย มันเชิดหน้ายิ้มให้เธออย่างเย้ยหยัน
ณัฐชาเซ็งจัด ขณะโดนมัดให้นั่งจับเจ่าอยู่ห้อง ฤทธิ์เดินเข้ามาในห้องพร้อมถาดอาหาร
“คุณหิวรึยัง”
ทันทีที่ฤทธิ์วางถาดอาหาร ณัฐชาก็พุ่งตัวชนเขาจนล้มไปกับเตียง
“นี่คิดถึงผมขนาดนี้เลยเหรอผู้หมวด”
“ไม่ต้องมาทำไก๋ นายมันตัวแสบ ปากก็บอกว่าเห็นฉันเป็นเพื่อน แล้วทำแบบนี้ได้ยังไง”
“ผมทำเพราะเป็นห่วงคุณนะ”
“ไม่เชื่อ ฉันจะเล่นงานนาย”
“เหรอ โดนมัดอยู่แบบนี้ คุณทำอะไรผม จะต่อย หรือว่าจะเตะ”
ณัฐชาดิ้นรน
“ฉันจะกัดนาย”
ฤทธิ์เห็นณัฐชาทำท่าจะกัดจริงๆ
“เฮ้ยๆ อย่าผู้หมวด อย่าเล่นบ้าๆนะ”
ณัฐชาพยายามกัดหูฤทธิ์จนอีกฝ่ายต้องหลบเป็นพัลวัน จนในที่สุดทั้งคู่ก็กลิ้งตกไปจากเตียง ฤทธิ์คร่อมตัวณัฐชาเอาไว้
“มองอยู่ได้ ดึงฉันลุกขึ้นหน่อยสิ”
ฤทธิ์ดึงณัฐชาลุกขึ้น
“เอาล่ะ เดี๋ยวคุณทานข้าวก่อน แล้วผมมีอะไรจะให้ดู”
ณัฐชามองฤทธิ์ด้วยความสงสัย
เมธาประหลาดใจเมื่อทราบรายงานจากสิงหา ไมตรี ปรีดา
“อะไรนะนักสู้มหากาฬเป็นคนร้าย ก็เขาเป็นคนจับราเมศมาให้เรา แล้วนี่จะชิงตัวไปอีกทำไม”
“ไม่ทราบครับ แต่คิดว่าคงมีเหตุผลจำเป็นบางอย่าง”
“เท่าที่สังเกต ผมว่านักสู้มหากาฬพยายามหลีกเลี่ยงการปะทะอยู่นะครับผู้กำกับ พวกเราทุกคนถึงได้ปลอดภัย” ไมตรีบอก
ปรีดาเสริม
“นั่นสิครับ ถ้านักสู้มหากาฬมีเจตนาร้าย พวกเราคงไม่ได้มายืนหัวโด่กันอย่างงี้หรอกครับ”
เมธาคิดๆ
“ต้องมีคนช่วยเขาแน่ ก่อนเกิดเรื่องพวกคุณเห็นใคร น่าสงสัยบ้างรึเปล่า”
ไมตรีกับปรีดามองหน้ากัน สิงหามองทั้งสอง
“ว่าไงหมู่จ่า เห็นหรือไม่เห็น”
ไมตรีลังเลนิดหนึ่งก่อนจะบอก
“เห็นอยู่คนหนึ่งครับ แต่ไม่แน่ใจว่าควรสงสัยรึเปล่า”
“ใคร” เมธาเสียงเข้ม
ปรีดาโพล่งออกมา
“คุณไอริณครับ”
ค่ำนั้น ไอริณมากดลิฟต์คอนโดณัฐชา ซึ่งเธอใช้เป็นที่พักชั่วคราวระหว่างรอการขยับขยาย ระหว่างยืนรอลิฟต์ เธอมองไปรอบๆตัวอย่างรู้สึกผิดสังเกต บรรยากาศค่อนข้างเงียบเชียบจนน่ากลัว จนเมื่อลิฟต์มาเธอก็รีบเข้าไปทันที
ไอริณไขกุญแจเข้ามาในห้องแล้วเดินไปหาน้ำดื่มที่ตู้เย็น จังหวะนั้นเองเธอถึงสังเกตว่าบนพื้นห้องมีรอยเท้าเปื้อนอยู่ เป็นรอยเท้าของคนที่สวมบู้ธแบบทหาร นักรบพรายพิฆาตคนหนึ่งโผล่มาด้านหลัง
“คุณไอริณ”
ไอริณคว้าขวดฟาดใส่หัวนักรบรายนั้นจนแตก ก่อนจะรีบหนีออกไปจากห้อง นักรบพรายพิฆาตอีกคนโผล่มาขวางทางแล้วคว้าคอเธอเอาไว้ ไอริณดิ้นรนต่อสู้สุดฤทธิ์เธอพยายามชกหน้ามัน เลยโดนมันจับเหวี่ยงกระเด็นไปทางหนึ่งจนจุก ครั้นมันจะตามเข้ามาซ้ำ เธอก็ฉวยโอกาสยกเท้าถีบยอดอกมันจนหงายล้มไป ไอริณรีบหนีไปจากห้องทันที นักรบพรายพิฆาตคนแรกที่โดนแจกันฟาดหัว เพิ่งได้สติพยายามคว้าเสื้อเธอเอาไว้
ไอริณดิ้นจนเสื้อขาดแล้วหนีไป
ไอริณวิ่งหนีออกมาจากห้อง และมุ่งหน้าตรงไปที่ลิฟต์แต่แล้วก็เห็นนักรบพรายพิฆาตอีกสองคนโผล่มาดักทางไว้ เธอชะงักก่อนจะหันหลังกลับเพื่อหนีไปอีกทาง แต่แล้วเธอก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นใจทิพย์ยืนอยู่
“ใจทิพย์”
“ไอริณ...เพื่อนรัก”
ใจทิพย์ยื่นฝ่ามือออกมาแล้วปล่อยพลังไฟฟ้าช๊อต ไอริณเนื้อตัวสั่นเทิ้มเพราะพลังไฟฟ้า ขณะจวนเจียนหมดสติ สิ่งสุดท้ายที่เธอเห็นคือใจทิพย์เดินมาจ้องหน้าแล้วยิ้มให้อย่างเหี้ยมเกรียม
“เซอร์ไพรซ์”
ในห้องสมุดบริษัทมาดามหลิว...คลิปวิดีโอในแท็บเล็ตแสดงภาพของใจทิพย์ตอนที่ใช้พลังจิตต่อสู้กับพวกยามและฤทธิ์ที่หน้าอาคาร ณัฐชาอึ้งๆ
“ไม่น่าเชื่อ นั่นใจทิพย์จริงๆเหรอ”
ฤทธิ์พยักหน้า
“ใจทิพย์ถูกครอบงำโดยพรายพิฆาต”
“ถ้างั้นถึงช่วยมาดามหลิวมาได้ แต่พวกมันก็ยังมีใจทิพย์เป็นตัวประกันอยู่ดี แล้วคุณจะทำยังไง”
“ผมไม่รู้ แต่ตอนนี้ต้องเล่นตามเกมของพวกมันไปก่อน”
ฤทธิ์หน้าเศร้าหมองทำให้ณัฐชารู้สึกเห็นใจ
“คุณปกป้องทุกคนไม่ได้หรอกคุณโทมัส ไม่อย่างนั้นคุณนั่นแหละที่กลายเป็นเหยื่อของพวกมัน”
ฤทธิ์นิ่งงันไป ณัฐชาเอื้อมมือมาลูบที่บ่าของเขาอย่างปลอบโยน ทั้งคู่สบตากันอย่างมี ความหมายจังหวะนั้นเองที่กระแสไฟเกิดตกวูบติดๆดับๆ ณัฐชาตกใจ
“เกิดอะไรขึ้น”
ฤทธิ์ครุ่นคิดสักพักก็พอเดาได้ว่าเป็นฝีมือของใคร
ราเมศยังคงสวมกุญแจมือ โซเฟียต่อพ่วงสายไฟพ่วงระหว่างเสื้อกั๊กไฟฟ้าของเขากับอุปกรณ์ควบคุมกระแสไฟของห้องทดลอง
“ขอเทสต์หน่อยนะ”
โซเฟียปรับความแรงของกระแสไฟ ราเมศถึงกับผงะขบกรามแน่นเหมือนโดนแทงเข้าที่กลางหลัง โซเฟียยิ้มพอใจ
“ใช้ได้นี่”
“ก็แค่แสบๆคันๆ”
โซเฟียยิ้มแล้วเร่งความแรงของกระแสไฟขึ้นอีก ราเมศร้องออกมาอย่างมีน้ำอดน้ำทน ซึ่งถ้าเป็นคนธรรมดาคงดิ้นพล่านตกเก้าอี้ไปแล้ว
“จะเอายังไง” ราเมศโกรธ
“ฉันจะปรับลดกำลังไฟฟ้าให้กึ่งนึง แต่แกช่วยแสดงวิชาแปลงโฉมของแกให้ฉันดูหน่อยได้มั้ย”
โซเฟียว่าแล้วก็ปรับลดกำลังไฟฟ้า ราเมศเริ่มแปลงโฉมทันทีกลายเป็นฤทธิ์
“เธออยากรู้อะไร” เขากลายเป็นมาดามหลิว “ถามฉันมาได้เลย” กลายเป็นณัฐชา “ไม่ต้องเสียเวลา”
โซเฟียมองหน้า
“คำถามแรก นายเป็นแบบนี้ได้ยังไง เพราะถ้าฉันจำไม่ผิดตอนที่นายปรากฏตัวครั้งแรก ฤทธิ์ ราวีกับพวกยังไม่เจอน้ำตามัจจุราชเลยด้วยซ้ำ”
กลายเป็นราเมศตามเดิม
“อดีตของฉันก็เหมือนฤทธิ์ ราวี ฉันเคยผ่านสนามรบมาก่อน และได้รับสารพิษของน้ำตามัจจุราชเข้าโดยบังเอิญ”
ราเมศเล่าเรื่องในอดีตเมื่อหลายปีก่อน ราเมศซึ่งถูกยิงบาดเจ็บกำลังปักหลักยิงต่อสู้กับพวกทหารป่าอย่างบ้าคลั่ง
“ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่า มีสารเคมีนั่นอยู่ในคลังเก็บอาวุธของข้าศึก”
ทหารป่ายิงมาถูกถังบรรจุสารเคมีที่อยู่ใกล้เขาจนระเบิด น้ำตามัจจุราชในถังสาดกระเซ็นถูกราเมศและบาดแผลของเขาราเมศแผดร้องโหยหวนผิวเนื้อถูกเผาไหม้เพราะสารเคมี
“ตอนนั้นน้ำตามัจจุราชยังอยู่ในขั้นทดลอง แต่มันก็ส่งผลให้ร่างกายของฉันเกิดการกลายพันธุ์อย่างรุนแรง”
ราเมศเล่าอดีตของตนให้โซเฟียฟังอย่างเคียดแค้น
“ฉันกลายเป็นตัวประหลาด สภาพผิวหนังของฉันเปลี่ยนแปลงไปตามอุณหภูมิเหมือนสัตว์เลื้อยคลาน ไม่มีใครช่วยฉันได้นอกจาก…”
โซเฟียพูดต่อให้เมื่อเขานิ่งไป
“พรายพิฆาต”
ราเมศยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม เขานึกถึงอดีตตอนที่เขามีผ้าพันแผลเต็มตัวเหมือนผีดิบกำลังนั่งปลงอยู่บนเก้าอี้รถเข็นที่มุมหนึ่งของโรงพยาบาลทหารผ่านศึก จู่ๆก็พลันมีแสงสว่างดวงใหญ่เคลื่อนใกล้เข้ามา เขามองไปอย่างหวาดกลัว
“พรายพิฆาตใช้อำนาจพิเศษเยียวยาฉัน ทำให้ฉันสามารถควบคุมสภาพของตัวเองได้ เขาบอกฉันว่าโลกนี้จะไม่มีสงครามอีกต่อไป ถ้าเราศรัทธาในสิ่งเดียวกัน”
ราเมศแสยะยิ้มอย่างสะใจเมื่อเล่าถึงจุดนี้
“เขาพูดถูกแล้ว พรายพิฆาตจงเจริญ”
โซเฟียปรับปุ่มปล่อยกระแสไฟอย่างแรงเข้าร่างราเมศจนอีกฝ่ายดิ้นพล่าน
“ขอโทษ แต่ฉันเลี่ยนประโยคนี้เต็มทีแล้ว พรายพิฆาตก็เป็นแค่ผู้ป่วยทางจิตในสายตาของฉัน”
“ใช่สิ เธอไม่นับถือพระเจ้า ฉันรู้เรื่องของเธอ เธอมันก็แค่ตัวโคลนนิ่งที่มาดามหลิวเลี้ยงไว้แทนลูกสาวที่ถูกฆ่าตาย”
โซเฟียเอามือแตะที่ปุ่มปรับไฟ
“ขืนพูดเรื่องนี้อีก นายถูกย่างสดแน่”
“แปลว่าเธอหมดคำถามแล้วสิ”
ทันใดนั้นเสียงฤทธิ์ดังเข้ามา
“แต่ฉันมี”
โซเฟียกับราเมศมองไปเห็นฤทธิ์เข้ามาสมทบในห้อง
“ใจทิพย์กลายเป็นพรายพิฆาตได้ยังไง”
ราเมศแค่นหัวเราะ
“หึๆ แกคงอยากช่วยคนรักของแกสิท่า ไม่มีทางหรอก ใจทิพย์ตายไปแล้ว ที่เธอยังเดินเหินอยู่ได้
ก็เพราะไมโครชิพที่ฝังอยู่ในสมองของเธอ และนั่นล่ะคือสิ่งที่พรายพิฆาตใช้ควบคุมร่างของใจทิพย์”
“แกหมายถึงโลหะที่เราสแกนเจอใช่รึเปล่า”
“ถูกต้อง ฝังอยู่ในสมองส่วนที่สำคัญที่สุด ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย” ราเมศยิ้มเย้ย “แต่ถ้าเอาออกเมื่อไหร่ ใจทิพย์จะต้องตายทันที”
ฤทธิ์ขบกรามด้วยความแค้น
มือเท้าของไอริณถูกมัดขึงพืดอยู่กับเตียง และถูกเทปกาวปิดปาก เธอพยายามดิ้นรนด้วยความตื่นกลัว ขณะที่ใจทิพย์กำลังถือโหลแก้วใบเล็กๆอยู่ในมือ ไอริณพยายามส่งเสียงวิงวอนขอความเมตตา ใจทิพย์ขยับมาใกล้
“ไม่ต้องกลัวไอริณ ในฐานะที่เธอเป็นทายาทของท่านนำชัย อดีตสาวกพรายพิฆาต ฉันจะไม่ฆ่าเธอ” ใจทิพย์ยื่นหน้ามาใกล้ “แต่จะให้โอกาสเธอ เริ่มต้นชีวิตใหม่”
ไอริณส่งเสียงร้องด้วยความหวาดหวั่น ขณะที่ใจทิพย์วางโหลแก้วในมือไว้ข้างๆในโหลนั้นมีหนอนบางชนิดซึ่งมีสีสัน รูปร่างค่อนข้างแปลกตา คลานยั๊วเยียะหลายตัว
“โลกนี้มีปรสิตอยู่ชนิดหนึ่ง ที่ชอบชอนไชเข้าทางจมูกของสัตว์เลือดอุ่นเพื่อจะได้ฝังตัวในสมอง...ข่าวดีคือมันมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานเท่าไหร่ แต่ข่าวร้าย...ของบางอย่างที่เราฝังอยู่ในตัวของมัน จะอยู่ในสมองของเธอไปตลอดชีวิต”
ไอริณมองไปที่โหลใส่หนอนปรสิตนั้น มันอยู่ใกล้หน้าของเธอจนได้ยินเสียงเฉอะแฉะเวลามันคืบคลาน ไอริณดิ้นพล่านด้วยความหวาดผวา เมื่อนักรบพรายพิฆาตช่วยกันยึดตัวเธอไว้ และคนหนึ่งได้คีบหนอนปรสิตขึ้นมา
กรณ์นั่งอยู่ที่โซฟาเก่าๆขาดๆตัวหนึ่ง พลางมองดูหลอดบรรจุน้ำตามัจจุราชอย่างใช้ความคิด ก่อนที่ลุงโจจะเข้ามารายงาน
“หัวหน้า มีคนชิงตัวบอสไปจากกองปราบ”
กรณ์ชะงัก
“ใคร”
“นักสู้มหากาฬ”
กรณ์ครุ่นคิด
“ฤทธิ์ ราวี มันจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร”
“ไม่มีใครรู้หรอกหัวหน้า แต่ถ้าบอสรอดไปเมื่อไหร่ พวกเราจบเห่แน่”
กรณ์มองน้ำตามัจจุราชในมืออย่างตัดสินใจได้
“ต้องรีบลงมือ”
คืนนี้ฉันจะชุบชีวิตพวกเราทุกคน ลุงโจพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
ดึกคืนนั้น โซเฟียกับฤทธิ์กลับออกมาจากห้องทดลอง ฤทธิ์มีท่าทีกลัดกลุ้ม
“ร่างกายของบอสมีน้ำตามัจจุราชคอยปกป้องอยู่ ยากล่อมประสาทคงใช้กับเขาไม่ได้ผล” โซเฟียออกความเห็น
“สรุปว่าตัวตนของพรายพิฆาต ก็ยังคงเป็นความลับต่อไป”
โซเฟียดูนาฬิกา
“นี่ใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว คุณรีบเตรียมตัวเถอะ”
ฤทธิ์พยักหน้า แต่แล้วก็มีเจ้าหน้าที่ห้องแลปคนหนึ่งมาพร้อมกับซองเอกสาร
“คุณโซเฟียคะ”
“ว่าไง”
“ที่คุณชาญให้ทางแลปวิเคราะห์ตัวอย่างเลือดของคุณโทมัส ตอนนี้เราทราบผลแล้วค่ะ”
เจ้าหน้าที่ว่าพลางมองมาที่ฤทธิ์ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ฤทธิ์รู้สึกผิดสังเกตและมองซองเอกสารนั้นอย่างสังหรณ์ใจ รู้สึกว่าคงไม่ใช่ข่าวดีแน่
ณัฐชาถือแก้วกาแฟไปดื่มในห้อง แต่อีกมือกำลังถือโทรศัพท์คุยกับสิงหา
“โธ่สารวัตร ก็ฉันบอกแล้วไงคะว่าเรื่องนักสู้มหากาฬชิงตัวคนร้ายฉันไม่ทราบจริงๆ ไอริณ...ไอริณพักอยู่กับฉันที่คอนโดค่ะ เธอไม่ได้อยู่แถวนี้... ติดต่อไม่ได้ สารวัตรแน่ใจเหรอคะ”
สิงหามาส่งไมตรีกับปรีดาขึ้นรถ
“พวกคุณรีบไปเช็กที่คอนโดของผู้หมวดณัฐชา บางทีคุณไอริณอาจจะอยู่ที่นั่น”
ไมตรีแย้ง
“โธ่สารวัตร ทำแบบนี้ไม่ระแวงกันเกินไปหน่อยเหรอครับ”
“ไม่ใช่ระแวง แต่ผมเป็นห่วง เรื่องชิงตัวผู้ต้องหาวันนี้ พรายพิฆาตอาจชักใยอยู่เบื้องหลังก็ได้”
ณัฐชาเดินกลับมาที่ห้อง เธอเห็นฤทธิ์กับโซเฟียอยู่ในห้องสมุดด้วยกัน โซเฟียกำลังอ่านเอกสารแล้วส่งต่อให้ฤทธิ์
“ห้องแลปสรุปว่าอาการป่วยของคุณเกิดจากไวรัสชนิดหนึ่ง มันได้รับการตัดแต่งพันธุกรรมให้ทำลายเซลกลายพันธุ์ของคุณโดยเฉพาะ”
“แปลว่ามันไม่มีผลกับคนทั่วไป”
โซเฟียพยักหน้า
“ถ้าฉันเดาไม่ผิด คนที่แพร่เชื้อให้คุณก็คือใจทิพย์”
ฤทธิ์นึกถึงตอนที่เขาจูบใจทิพย์บนดาดฟ้าเมมเบอร์คลับ
“พอมีทางรักษารึเปล่า”
“ถ้าจะผลิตวัคซีนคงต้องใช้เวลา แต่ฉันเกรงว่า...เราอาจไม่มีเวลามากขนาดนั้น”
ฤทธิ์อึ้งไป โซเฟียพยายามระงับความสะเทือนใจและอธิบายให้ฟัง
“ไวรัสเพิ่มจำนวนเร็วมาก คุณอาจมีชีวิตอยู่ได้อีกแค่…หนึ่งเดือน”
ฤทธิ์อึ้งไปเขารับรู้จุดจบของตัวเองอย่างสงบ ณัฐชาที่แอบฟังอยู่ถึงกับตะลึงไปเช่นกัน
อ่านต่อตอนที่ 9