xs
xsm
sm
md
lg

นักสู้มหากาฬ ตอนที่ 2

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


นักสู้มหากาฬ ตอนที่ 2

ในเวลานั้น ผู้สื่อข่าวกำลังรายงานข่าวที่หน้าร้านนวด ด้านหลังเห็นศพของหมอนวดถูกลำเลียงออกไป

“เกิดเหตุฆาตกรรมขึ้นที่ร้านนวดแผนโบราณแห่งหนึ่งในซอยศูนย์วิจัย ผู้ตายคือนางสาวฉวีวรรณ ไม่ทราบนามสกุลเป็นหมอนวดในร้าน สภาพศพถูกแทงด้วยของมีคมจนเสียชีวิต ในที่เกิดเหตุพบรอยเลือดถูกวาดทิ้งไว้คล้ายกับสัญลักษณ์ขององค์กรพรายพิฆาต เบื้องต้นตำรวจสันนิษฐานว่าอาจเป็นเรื่องชู้สาว ส่วนรอยเลือดอาจเป็นการเบี่ยงเบนรูปคดีค่ะ”

ในห้องประชุมกองปราบ...ณัฐชาโวยไมตรีกับปรีดา ต่อหน้าราเมศ
“พวกคุณทำงานภาษาอะไร ฉันสั่งให้เฝ้าพยานเอาไว้ แค่นี้ พวกคุณยังทำไม่ได้ แถมตำรวจท้องที่ยังรู้ก่อนพวกคุณอีกว่าพยานถูกฆ่า”
ปรีดาเถียง
“แหม ผู้หมวดเรื่องมันเกิดขึ้นปุบปับแบบนี้ ใครจะไปรู้ล่วงหน้าได้ละครับ”
ไมตรีเสริม
“นั่นสิครับผู้หมวด ผมเองยังคิดไม่ถึงเลยว่าคนร้ายมันลงมืออุกอาจแบบนี้”
ราเมศตัดบท
“จะไปโทษจ่าไมตรีกับหมู่ปรีดาก็ไม่ถูกหรอกนะผู้หมวด ขนาดผมเองก็ยังคิดไม่ถึงเหมือนกัน”
ณัฐชาครุ่นคิด
“พรายพิฆาต พวกมันต้องการอะไรกันแน่”
โทรศัพท์มือถือของราเมศดังขึ้น เขาดูหมายเลขที่โชว์อยู่
“ท่านนำชัย”

นำชัยกับราเมศสนทนากันตามลำพัง ในห้องรับแขก
“ผมเห็นข่าวฆาตกรรมหมอนวดเมื่อตอนบ่าย เขาบอกว่าเกี่ยวพันกับพวกพรายพิฆาต เรื่องนี้เป็นความจริงรึเปล่าผู้กอง”
“ยังสรุปไม่ได้ครับท่าน ว่าแต่ท่านเชื่อเรื่องพรายพิฆาตด้วยเหรอครับ”
“อายุผมไม่ใช่น้อยๆแล้วนะผู้กอง มีเหรอว่าจะแยกแยะจริงเท็จไม่ได้ แต่ที่ผมปฏิเสธเรื่องนี้กับพวกนักข่าวมาโดยตลอด ก็เพราะไม่ต้องการให้ชาวบ้านแตกตื่น”
“แล้วท่านมีแผนยังไงบ้างครับ”
“ผมได้ยินว่าคุณกำลังติดตามคดีนี้ ก็เลยอยากร่วมมือ ผมยินดีจะให้ความสนับสนุนทีมงานของคุณอย่างเต็มที่ในการติดตามคดี แต่มีเงื่อนไขว่า ถ้าคุณรู้เบาะแสอะไร คุณต้องบอกผม”
ราเมศหนักใจ
“แต่ว่าทำแบบนั้นมันผิดระเบียบนะครับ”
“ผมรู้ แต่จะสู้กับองค์กรใต้ดินพวกนี้ เราต้องหัดคิดนอกกรอบกันบ้าง”

นำชัยเดินออกมาส่งราเมศ
“เอ่อท่านครับ แล้วเรื่องนักเลงที่มีปัญหากับคุณไอริณ ท่านจะให้ผมจัดการยังไงบ้างครับ”
“นายมาวินน่ะเหรอ ก็แค่พวกมาเฟียค้ายา ขยะสังคมอย่างมัน ผมไม่อยากตอแยด้วยหรอก เสียชื่อเปล่าๆ”
ราเมศจะอ้าปากจะโต้แย้งแต่ไอริณก็มาขัดจังหวะเสียก่อน
“คุณพ่อคะ”
“อ้าวไอริณ วันนี้ทำงานเหรอลูก”
“เปล่าค่ะ วันนี้รินมีธุระ” ไอริณหันไปหาราเมศ “สวัสดีค่ะผู้กอง”
ราเมศมองไอริณด้วยแววตาตื่นเต้นชมชอบ

ราเมศขับรถพาไอริณไปส่งยังจุดหมาย พลางชวนคุยอย่างเขินๆ
“คุณไอริณนี่ ตัวจริงสวยกว่าในทีวีอีกนะครับ”
ไอริณขำ
“อะไรกันคะผู้กอง รู้จักกันมาตั้งนาน ทำไมจู่ๆถึงพูดแบบนี้” ไอริณจับผิด “เขินริณหรือไงคะ”
“เอ่อก็ไม่เชิงครับ ผมกลัวว่านั่งเงียบๆเดี๋ยวคุณไอริณจะเบื่อ”
“อ้าว แบบนี้แสดงว่าแกล้งชม”
“ไม่นะครับ ผมพูดความจริง คุณไอริณสวยจริงๆครับ”
ไอริณขำ
“ค่ะ...ขอบคุณค่ะผู้กอง ริณถามจริงๆเถอะ เวลาอยู่กับณัฐชา ผู้กองขี้อายแบบนี้รึเปล่าคะ”
ราเมศยิ้มเขิน
“ไม่หรอกครับ ขานั้นเขาลุยเก่งเหมือนผู้ชาย ไม่มีความอ่อนหวานเลยสักนิด”
“ต้องมีสิคะ แต่ผู้กองไม่เคยเห็นต่างหาก ถ้ามีโอกาสริณจะช่วยเป็นแม่สื่อให้ ดีรึเปล่าคะ”
“อย่าเลยครับ ผมกับเธอเหมาะจะเป็นเพื่อนร่วมงานกันมากกว่า”
ราเมศว่าพลางแอบมองไอริณเป็นระยะ เพราะสนใจเธอมากกว่าณัฐชา

หน้าอาคารเช่าของฤทธิ์มีผู้คนสัญจรผ่านไปมาค่อนข้างบางตา ฤทธิ์รอจนปลอดคนแล้วจึงรีบมาหยิบกุญแจสำรองที่ซ่อนไว้เพื่อไขประตูเข้าไปข้างใน
ใจทิพย์อยู่ที่ออฟฟิศเล็กๆของเธอกำลังนั่งพิมพ์ประวัติของเด็กเร่ร่อนอยู่ โดยเจ้าตัวกำลังนั่งรออยู่ที่โต๊ะก่อนที่เสียงโทรศัพท์จะดังขึ้น ใจทิพย์บอกกับเด็ก
“แป๊บนึงนะจ๊ะ” เธอรับสาย “ฮัลโหล ใจทิพย์พูดค่ะ”
“ใจทิพย์นี่ผมเอง”
ฤทธิ์กำลังโทรศัพท์อยู่ในห้องโถง
“ฤทธิ์ คุณ...คุณกลับมาเมื่อไหร่”
“อย่าเอ็ดไปใจทิพย์ ฟังผมให้ดีนะ เรากำลังถูกตามล่า ผมอยากให้คุณหนีไปกับผม”
ใจทิพย์ปลีกตัวลุกจากโต๊ะเพื่อหลบหามุมคุยเงียบๆ
“เมื่อไหร่คะ”
“เดี๋ยวนี้เลย ออกทางด้านหลัง แล้วไปเจอกับผมที่ร้านหนังสือ”
ใจทิพย์อึ้งไป สถานการณ์เลวร้ายกว่าที่คิด

ใจทิพย์ผลักประตูด้านหลังออฟฟิศออกมา ดูลาดเลาก่อนจะตัดสินใจใช้เป็นเส้นทางกลับบ้าน ตลอดเส้นทางไม่มีอะไร จนกระทั่งเห็นชายคนหนึ่งแบกถุงปุ๋ยเดินเข้ามา ใจทิพย์ชะงัก ชายคนนั้นตรงไปที่ถังขยะแล้วรื้อค้นเก็บขวดและเศษขยะเพื่อนำไปขาย ใจทิพย์ค่อยๆเดินผ่านชายคนนั้นไป ชายคนนั้นมองใจทิพย์ด้วยหางตาก่อนจะหันไปสนใจงานของตนเองต่อ ใจทิพย์รีบเดินหนีไปทันที

รถตู้แล่นมาจอดรอรับหน้าชินโดบาร์ แหลมและสมุนเดินมาขึ้นรถแต่พอเปิดประตูก็ต้องตกใจเมื่อเจอลังไม้วางอยู่บนรถ เมื่อเปิดดูก็พบว่าเป็นลังอาวุธสงคราม แหลมร้องลั่น
“เฮ้ย นี่มันสินค้าของเฮียปาร์กนี่หว่า ทำไมยังอยู่บนนี้วะ”
คนขับเข้ามาบอก
“อ้าว ก็พี่ไม่ได้บอกให้ผมเอาลง”
“โธ่ไอ้สันขวาน แล้วเอ็งจะหิ้วไปด้วยทำไม หิ้วไปฝากป้าเอ็งเหรอ”
คนขับปั้นหน้าเซ็งทำท่าจะลงจากรถเพื่อมายกของแหลมตัดบท
“ไม่ต้องแล้วโว้ย ไม่มีเวลาแล้ว รีบเดินทาง”
แหลมบอกแล้วพาสมุนคนอื่นขึ้นรถ

ฤทธิ์เพิ่งอาบน้ำเสร็จ รีบผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า จัดการเตรียมกระเป๋าสัมภาระ และคว้าปืนพกที่ซ่อนอยู่ออกมาบรรจุกระสุน และพกซองกระสุนสำรองไว้ที่เอว จังหวะนั้นเองที่เขาก็ชะงักเมื่อเห็นบาดแผลของตัวเองที่กระจก บัดนี้ไม่เหลือร่องรอยอะไรอีกแล้ว ฤทธิ์อึ้งไปสักพัก
“น้ำตามัจจุราช”
ฤทธิ์สะพายกระเป๋า ตรงไปที่รถ สตาร์ทเครื่องรถมอเตอร์ไซด์และออกรถไปตามถนนอย่างรวดเร็ว

ใจทิพย์เดินออกมานอกมินิมาร์ทได้สักพัก ได้ยินเสียงมอเตอร์ไซด์แว่วมา เมื่อหันมองไปก็เห็นฤทธิ์กำลังขี่มอเตอร์ไซด์มาหาเธอ บรรยากาศตึงเครียดผ่อนคลายลง ใจทิพย์วิ่งออกไปนอกฟุตบาท
“ฤทธิ์ ฤทธิ์”
“ใจทิพย์ระวัง”
ใจทิพย์อึ้งก่อนจะหันมองไปด้านหลัง เห็นรถตู้ของแหลมพุ่งพรวดเข้ามาจอด ทันทีที่ประตูรถเปิดออกแหลมก็ทิ่มเครื่องช็อตไฟฟ้าเข้าที่ต้นคอของใจทิพย์ทันที ทำให้ร่างของเธอทรุดฮวบไป พวกสมุนของแหลมช่วยกันลากตัวใจทิพย์ขึ้นไปบนรถตู้
“ออกรถ”
รถตู้เลี้ยวไปยังถนนเปลี่ยวอีกเส้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่รถมอเตอร์ไซด์ของฤทธิ์เพิ่งตามมาถึง
“ใจทิพย์”

ปาร์กแค้นใจเมื่อได้รับโทรศัพท์จากแหลม
“อะไรวะ ก็ไหนคนจ้างบอกว่ามันตายไปแล้วไง เอ็งไม่ต้องสนอะไรทั้งนั้นไอ้แหลม ฆ่ามัน
อย่าให้มันรอดไปหาตำรวจเด็ดขาด”

รถตู้ของแหลมแล่นหนี โดยมีมอเตอร์ไซด์ของฤทธิ์ไล่ตามมา แหลมกับสมุนโผล่หน้าไปทางกระจกหน้าต่างเพื่อยิงฤทธิ์
“ไอ้เลวเอ๊ย วันนี้แหละข้าจะคิดบัญชีกับเอ็ง”
ฤทธิ์มองเห็นกระสุนที่กำลังพุ่งมา เขาโยกรถหลบหลีกกระสุนได้ทุกนัด แหลมงง
“อะไรวะ หลบได้หลบดี นี่มันมองเห็นกระสุนหรือไง”
จังหวะนั้นเองฤทธิ์ก็ชักปืนออกมาเล็งบ้าง
“เฮ้ย มันมีปืน”
แหลมรีบหลบ ฤทธิ์ยิงใส่สมุนของแหลมจนตกรถตาย ฤทธิ์ยิงจนกระสุนหมด เขาปลดซองกระสุนสลัดทิ้งไปด้วยมือเดียว ก่อนจะบรรจุซองใหม่ที่เหน็บเอวเตรียมไว้ ฤทธิ์ยิงใส่ล้อรถตู้ของแหลมจนเสียหลัก รถเป๋ไปมา แหลมเสียหลักล้มนั่งและเหลือบเห็นใจทิพย์เริ่มได้สติงัวเงีย แหลมนึกอุบายขึ้นได้ มันกระชากตัวเธอขึ้นมา
“ได้เสียละมึง งานนี้”
ประตูรถตู้เปิดออกเห็นแหลมโผล่หน้ามาตะโกนบอกฤทธิ์
“เฮ้ย ไอ้ซุปเปอร์แมน เอ็งอยากได้แฟนเอ็งคืนใช่มั้ย เอาไปเลย”
แหลมพูดจบก็เหวี่ยงใจทิพย์ออกมาจากรถทันที ฤทธิ์ตกใจ
“ใจทิพย์”
ร่างของใจทิพย์กระแทกพื้นถนนแล้วกลิ้งไปหลายตลบ ฤทธิ์รีบจอดรถเข้าไปดูอาการของเธอซึ่งมีเลือดไหลกบหู กบปาก
“ใจทิพย์...ใจทิพย์ คุณเป็นยังไงบ้าง ใจทิพย์”
“ฤทธิ์…”
ใจทิพย์พูดได้แค่นั้นก็หมดสติไป ขณะที่รถตู้แล่นไปตีโค้งเพื่อเลี้ยวกลับมาอีกครั้ง ฤทธิ์รีบอุ้มร่างคนรักวางนั่งขวางด้านหน้าเขา ก่อนจะออกรถมอเตอร์ไซด์ขับหนีไป แหลมเปิดลังอาวุธสงครามแล้วหยิบเอาเครื่องยิงจรวดออกมาบรรจุลูก
“เอ็งคิดเหรอว่าจะหนีพ้น”
แหลมโดดลงมาจากรถพร้อมเครื่องยิงจรวด
“ล็อคเป้าหมายด้วยระบบจับคลื่นความร้อน หลบได้ก็ให้มันรู้ไป”
แหลมเล็งจรวดไปที่ฤทธิ์แล้วยิงลูกแรกออกไป ฤทธิ์เห็นจรวดพุ่งตามมาก็บิดคันเร่งซิ่งมอเตอร์ไซด์หนี จรวดตามมาใกล้ ฤทธิ์เลี้ยวแฉลบไปหลังต้นไม้ทำให้จรวดลูกแรกพลาดเป้าหมายไป แต่ตอนนั้นแหลมบรรจุลูกที่สองพร้อมแล้ว
“มีก๊อกสองโว้ย”
แหลมเหนี่ยวไกยิงจรวดอีกลูก…คราวนี้ฤทธิ์ไม่สามารถหลบได้ทัน ระเบิดทำงานตูมร่างของฤทธิ์และใจทิพย์กระเด็นคว้างไปกลางอากาศด้วยกัน กลางอากาศนั้นใจทิพย์พยายามยื่นมือไขว่คว้าหาฤทธิ์เช่นเดียวกับที่อีกฝ่ายพยายามจะรั้งตัวเธอเอาไว้ แต่ก็ไม่เป็นผล
“ใจทิพย์”

ภาพความหลังขอฤทธิ์แว่บเข้ามา ชีวิตที่มีแต่บาดแผลของฤทธิ์ ได้มีความสุขอีกครั้งก็เพราะใจทิพย์ ชีวิตที่เคยเงียบเหงาของฤทธิ์ได้เป็นผู้เป็นคนอีกครั้งก็เพราะเธอ
ใจทิพย์อยู่ที่ระเบียงและชื่นชมบรรยากาศยามเช้า ฤทธิ์ตามมากอดเธอ
“ใจทิพย์”
“คะ”
“แต่งงานกับผมนะ”
ใจทิพย์หันมาอึ้ง
“หือ”
“ผมพูดจริงๆ”
“แต่เราเพิ่งรู้จักกันแค่…”
ฤทธิ์ยิ้ม
“ไม่ เราเคยเจอกันมาก่อน ผมรู้สึกอย่างนั้น”
ใจทิพย์นิ่งงันไปเพราะคำพูดนั้น…ก่อนที่น้ำตาจะเอ่อซึมออกมา
“ฉันก็เหมือนกัน ฉันรู้สึกแบบเดียวกับคุณ รู้สึกตั้งแต่วันแรก ที่เห็นคุณมาช่วยฉัน”
ใจทิพย์สวมกอดฤทธิ์เอาไว้

ปัจจุบัน...ฤทธิ์คว้าตัวใจทิพย์เอาไว้ ก่อนจะร่วงลงทะเลไปพร้อมกับเธอ ใต้ท้องทะเลท่ามกลางพรายฟองที่ลอยผุดขึ้นนั้น ใจทิพย์อยู่ในอ้อมกอดของฤทธิ์ เขาลองเขย่าเบาๆเพื่อเรียกสติ ใจทิพย์ลืมตาขึ้น และยิ้มให้เป็นครั้งสุดท้ายอย่างอ่อนแรง ก่อนที่เธอจะค่อยๆหลับไป…ฤทธิ์ตกตะลึง เขาจับชีพจรที่ต้นคอของเธอเมื่อเห็นว่ามันหยุดนิ่งก็แผดร้องคำรามด้วยความแค้น ก่อนจะดึงร่างของใจทิพย์เข้ามากอดไว้แนบแน่น

ชาญมองผ่านกล้องส่องทางไกล เห็นแหลมชะเง้อมองจากหน้าผาลงไปในทะเลจนแน่ใจแล้วจึงบุ้ยหน้าให้สมุนถอนกำลังกลับ ชาญลดกล้องลงก่อนจะขับเรือเร็วมาจอดบริเวณที่ฤทธิ์กับใจทิพย์จมหายไป สักครู่เขาก็คว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรหาเจ้านาย
“นี่ชาญพูด ขอสายมาดามหลิว”

ราเมศกับณัฐชาพูดคุยกันระหว่างชงกาแฟ ที่กองปราบ
“ท่านนำชัยน่ะเหรอคะ จะหนุนหลังพวกเรา”
ราเมศพยักหน้า
“ใช่...ต่อไปนี้คดีที่เกี่ยวกับพรายพิฆาตทั้งหมด จะอยู่ในความดูแลของผมกับท่านนำชัย”
ณัฐชาสงสัย
“เอ...แต่มันก็แปลกนะคะ ทำไมจู่ๆท่านถึงใจดีกับผู้กอง”
“ไม่รู้สิ สงสัยคงอยากตอบแทนที่ผมช่วยคุณไอริณคราวก่อนล่ะมั้ง”
ราเมศว่าแล้วยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบอย่างอารมณ์ดี ขณะที่ณัฐชาอดน้อยใจไม่ได้ที่ราเมศดูมีความสุขทุกครั้งที่พูดถึงไอริณ

ณัฐชายืนจิบกาแฟ แล้วมองไปนอกหน้าต่างเห็นป้ายโฆษณาขนาดใหญ่มีรูปไอริณยืนโพสต์ท่าอยู่อย่างเซ็กซี่มีเสน่ห์ เธอถอนใจปลงๆ
“เฮ้อ ใช่สิ ห่านป่าจะไปสู้อะไรกับหงส์ฟ้า”
ณัฐชาจิบกาแฟต่อไปด้วยความเซ็งชีวิต ระหว่างนั้นโทรศัพท์ดังขึ้น เธอกดรับสาย
“ฮัลโหลหมวดณัฐชาพูดสายค่ะ” ณัฐชาตกใจ “อะไรนะ แล้วใจทิพย์เป็นอะไรรึเปล่า”

ค่ำนั้น...สุชาตินำเอกสารมาให้นำชัยเซ็นที่บ้าน ระหว่างรอรับเอกสารคืนสุชาติก็เอ่ยขึ้น
“ท่านครับ ผมได้ยินว่าท่านจะหนุนหลังผู้กองราเมศ ให้ติดตามคดีพรายพิฆาต”
นำชัยยังง่วนกับเอกสาร
“ใช่ นายมีความเห็นว่ายังไงบ้างสุชาติ”
“เรื่องนี้ความจริงไม่เกี่ยวกับเรา ผมว่าท่านไม่ควรเสี่ยงนะครับ”
นำชัยเงยหน้า
“แต่โดยตำแหน่งหน้าที่แล้ว ฉันต้องรับผิดชอบเรื่องความปลอดภัยของประชาชนในบ้านเมืองไม่ใช่เหรอ ซึ่งนั่นก็หมายถึงการกวาดล้างอาชญากรทุกประเภท”
“พรายพิฆาตไม่ได้เป็นแค่อาชญากรนะครับท่าน มันเป็นลัทธิเป็นความเชื่อในเรื่องที่เหนือธรรมชาติ เราไม่ควรเข้าไปยุ่งกับพวกมัน”
“เหลวไหลน่าสุชาติ นายเป็นเลขาของฉัน ถ้ามีใครรู้ว่านายเชื่อเรื่องพวกนี้ แล้วฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
“แต่ว่า...”
นำชัยแทรกทันที
“หมดเรื่องแล้ว นายกลับไปพักเถอะ”

สุชาติหอบแฟ้มเอกสารมาตามทางเดิน ก่อนจะหยุดเหลียวมองกลับไปที่ห้องทำงานของนำชัยด้วยความรู้สึกแปลกใจ เขาเริ่มนึกสงสัยว่าทำไมนำชัย ถึงได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวของพรายพิฆาต
นำชัยกำลังจมอยู่กับความรู้สึกหนักใจเช่นกัน ขณะที่กำลังนั่งใช้ความคิดอยู่นั้นโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“ฮัลโหล”
เสียงบอสดังมาจากปลายสาย
“ใกล้ค่ำแล้ว มาดินเนอร์กันหน่อยดีมั้ย ท่านนำชัย”
นำชัยไม่ได้ตกใจใดๆทั้งสิ้น มีแค่ความรู้สึกสลดที่ต้องตกเป็นเบี้ยล่างของพวกคนชั่ว

พระอาทิตย์อัศดง...อาคารร้างหลังหนึ่ง บรรยากาศน่ากลัว รถของนำชัยแล่นผ่านมาเมื่อเห็นสัญลักษณ์ของพรายพิฆาตที่ถูกพ่นด้วยสีสเปรย์ปรากฏอยู่หน้าอาคารจึงจอดรถ นำชัยแต่งตัวเรียบๆเหมือนชาวบ้านทั่วไปก้าวลงมาจากรถ ก่อนที่ กรณ์ ลุงโจ และยักษ์จะเดินออกมาต้อนรับ
“ท่านนำชัย บอสกำลังรออยู่ เชิญครับ”
นำชัยรวบรวมความกล้าเดินตรงเข้าไป

กรณ์ ลุงโจ ยักษ์ นำตัวนำชัยมาพบกับบอสหัวหน้าสาขาของพรายพิฆาตซึ่งกำลังยืนรออยู่ในอาคารร้างแห่งหนึ่ง ในตำแหน่งที่สูงเด่นเป็นสง่า นำชัยเงยหน้ามองไป เห็นบอสเป็นชายในชุดเสื้อแจ็คเก็ต มีฮูทคลุมหน้าจนมิดชิดในเงามืด มันหัวเราะในคอเบาๆ เมื่อเห็นหน้าผู้มาเยือน
“บอส”
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่มั้ย ท่านนำชัย”
“ผมทำตามคำสั่งแล้ว ต่อไปนี้คดีพรายพิฆาตจะอยู่ในความดูแลของผม”
“ดีมาก”
“ผมรู้ว่าพวกคุณต้องการให้ผมช่วยปกปิดความผิดต่างๆที่เกิดขึ้น แต่บอกไว้ก่อนนะ ถ้ามันหนักหนาเกินไป ผมก็ช่วยไม่ได้”
บอสฉุน
“ทำไม พูดแบบนี้คิดจะแปรพักตร์เหรอ”
“เปล่า แต่อำนาจของผมมีจำกัด”
“ไม่ต้องห่วง ตราบใดที่คุณยังภักดีต่อพวกเรา อำนาจของคุณจะเพิ่มพูนจนล้นฟ้า แต่ถ้าเมื่อใดที่คุณหักหลัง คุณจะสูญเสียทุกอย่าง แม้แต่…คนที่คุณรัก”
นำชัยมองบอสอย่างไม่พอใจ

ค่ำนั้น ณัฐชากวาดตามองสำรวจไปรอบๆ ห้องโถงอาคารเช่า ขณะที่ไอริณกำลังคุยกับเพื่อนร่วมงานของใจทิพย์
“มีคนบอกว่าเห็นใจทิพย์ถูกอุ้มตัวไปพร้อมกับเพื่อนชาย จนป่านนี้ยังไม่ได้ข่าวเลยค่ะ”
“พวกเราเคยเตือนแล้วเตือนอีกว่าอย่าไปคบกับหมอนี่ แต่ใจทิพย์ก็ไม่ยอมเชื่อ”
ณัฐชาหยิบกรอบรูปถ่ายของฤทธิ์ที่หล่นแตกและวางอยู่ที่โต๊ะขึ้นมาดู
“แปลกจริงๆ”
ไอริณเข้ามาถาม
“อะไรเหรอ”
“ในบ้านนี้ไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับหมอนี่เลย ขนาดรูปถ่ายยังมีแค่รูปเดียว หลบๆซ่อนๆแบบนี้ต้องไม่ใช่คนดีแน่”
ไอริณเหลือบดูรูปถ่ายของฤทธิ์อย่างกังวล

ไอริณกับณัฐชาเดินออกมาขึ้นรถด้วยกัน
“ณัฐชา…เธอเป็นตำรวจ เธอเดารูปคดีออกใช่มั้ย เธอว่าใจทิพย์จะปลอดภัยรึเปล่า”
“ถ้าไม่มีโทรศัพท์เรียกค่าไถ่ ก็แปลว่า…”
ณัฐชาไม่พูดอะไรอีก ไอริณร้องไห้ออกมาเมื่อนึกได้ว่าใจทิพย์คงไม่รอด
“ใจทิพย์เป็นคนดี ใจทิพย์ต้องไม่ตาย ใจทิพย์ต้องไม่ตาย”
ณัฐชากอดไอริณไว้ เธอเองก็ร้องไห้ออกมาเช่นกัน

ในห้องทดลองบริษัทมาดามหลิว...ฤทธิ์ถูกรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ในห้องทดลอง โดยมีทีมแพทย์คอยดูแล และมีโซเฟียคอยเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ ระหว่างนั้นชาญก็เข็นรถพามาดามหลิวเข้ามา โซเฟียรายงาน
“แค่สามชั่วโมงบาดแผลในร่างกายของเขาก็หายจนเกือบหมด เหลือแค่อาการบอบช้ำอย่างเดียวเท่านั้น”
ชาญแปลกใจ
“เขาทำได้ยังไง”
“เปล่าหรอกชาญ เขาไม่ได้ทำ น้ำตามัจจุราชต่างหาก…ที่ช่วยเขาเอาไว้”
มาดามหลิวพูดเรียบนิ่ง

วันต่อมาในออฟฟิศชินโดบาร์...วัฒน์ยืนถือกระเป๋าเอกสารอยู่ต่อหน้าปาร์ก โดยมีแหลมและสมุนรายล้อมอย่างประสงค์ร้าย
“เสียใจด้วยว่ะไอ้น้องชาย แกจ้างฉันให้เล่นงานผู้หญิงแค่คนเดียวแต่แฟนของหล่อนดันโผล่มาแจมด้วย ดังนั้นฉันต้องคิดเงินเพิ่ม”
วัฒน์แปลกใจ
“แฟน...คุณหมายถึงฤทธิ์ ราวีใช่รึเปล่า”
“ไม่รู้โว้ย มันจะชื่ออะไรก็ช่าง แต่มันทำคนของฉันบาดเจ็บ”
“ฤทธิ์ ราวี มันตายไปแล้ว คุณหลอกผม”
ปาร์กโมโห
“นี่แกไม่จ่ายใช่มั้ย”
วัฒน์ท้าทาย
“ก็ควรจะเป็นแบบนั้น”
ปาร์กสั่งสมุน
“เฮ้ยจัดการ”
สมุนของปาร์กสองสามคนกรูเข้าหาวัฒน์ทันที วัฒน์มองไปนอกหน้าต่างอย่างใจเย็น ก่อนจะเอ่ยชื่อๆหนึ่งขึ้นมา
“เอมี่”
กระจกหน้าต่างแตกกระจายด้วยกระสุนที่ถูกยิงจากระยะไกล กระสุนเหล่านั้นสังหารสมุนของปาร์กที่เข้าใกล้วัฒน์อย่างแม่นยำแหลมตาเหลือก
“เย้ย...จ...จ...เจ้านายครับ น...น...นอกหน้าต่าง”
ปาร์กหน้าซีดมองไปนอกหน้าต่างเห็นไกลออกไปมีอาคารสูงอยู่แห่งหนึ่ง เอมี่แต่งตัวเปรี้ยวนุ่งกางเกงขาสั้นเคี้ยวหมากฝรั่ง กำลังประทับปืนเล็งมายังออฟฟิศของพวกมัน
“นี่แก...”
“อย่าว่าแต่จ่ายเพิ่มเลยคุณปาร์ก อันที่จริง…ส่วนที่เหลือเราก็ไม่อยากจ่ายให้คุณอยู่แล้ว หรือว่าง่ายๆ ก็คือ…” วัฒน์ยิ้ม “ชักดาบ”
ขาดคำเอมี่ก็กราดยิงเข้ามาในห้อง ห่ากระสุนทะลวงร่างของปาร์กและสมุนจนพรุน แหลมถูกยิงที่บ่าจนล้มไปขณะที่วัฒน์ยืนนิ่งอยู่อย่างใจเย็น เห็นคมกระสุนฉีกร่างคนรอบข้างจนเลือดกระเซ็นฟู่ๆ เป็นละออง แถมยังเปื้อนหน้าวัฒน์อีกด้วย เขาหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดอย่างเฉยเมย รอสักครู่หลังจากกระสุนหมด เอมี่ก็โทรเข้ามา
“เช็กด้วย มีใครยังไม่ได้กระสุนบ้าง”
วัฒน์กวาดตาดูนิดนึง
“ได้ครบ อีกสองนาทีไปเจอกันที่รถ”

วัฒน์เพิ่งสตาร์ทเครื่องรถได้ไม่นาน เอมี่ก็เดินแบกกระเป๋าปืนมาขึ้นรถก่อนจะขับหายไปโลโก้พรายพิฆาตถูกวาดทิ้งไว้จากบริเวณที่เอมี่เดินออกมา

ในออฟฟิศซึ่งกลาดเกลื่อนไปด้วยซากศพ ทันทีที่ได้ยินเสียงรถแล่นจากไป แหลมซึ่งแกล้งตายก็รีบลุกขึ้นนั่งแล้วคลานไปดูปาร์ก
“เจ้านาย เจ้านายครับ”
แหลมพลิกศพปาร์กและพบว่าตายสนิท เมื่อมองไปยังศพอื่นๆ ก็ยิ่งผวาเพราะแต่ละคนโดนยิงจนเลือดท่วมน่าสยดสยอง
“ฮือ ตายหมดเลยเหรอวะเนี่ย อยู่ไม่ได้แล้วไอ้แหลม เผ่นโลด”
แหลมจะคลานหนี แต่พอเหลือบเห็นกระเป๋าเงินของวัฒน์ก็ชะงักรีบลนลานเปิดดู ทว่ามันต้องตกใจเมื่อพบว่าสิ่งที่อยู่ในกระเป๋ากลับเป็นระเบิดเวลาลูกหนึ่ง ที่กำลังทำงานในอีกห้าวินาที
“เย้ย ระเบิด”
แหลมกระโจนหนีออกมาทางหน้าต่าง ก่อนที่ระเบิดจะทำงานเพียงเสี้ยววินาที

ฤทธิ์ยังนอนไม่รู้สึกตัวอยู่ในห้อพักในบริษัทมาดามหลิว เขาฝันเห็นภาพใจทิพย์ตกจากหน้าผาก่อนที่เขาจะโดดตาม ฤทธิ์ตกใจตื่น
“ใจทิพย์”
ฤทธิ์พบว่าทั้งหมดเป็นแค่ความฝัน พอได้สติเขาก็รีบสำรวจร่างกายตนเองและพบว่าท่อนบนเขาไม่ได้สวมเสื้อ แถมมีอุปกรณ์ทางการแพทย์ติดอยู่รุงรังเต็มไปหมด แต่ว่าบาดแผลที่ถูกยิงนั้นหายไปจนหมดแล้ว ฤทธิ์มองไปรอบๆ จึงพบว่าตนเองอยู่ในห้องพักหรูหราห้องหนึ่ง ซึ่งมีกล้องวงจรปิดติดตั้งเอาไว้

ในห้องสมุดบริษัทมาดามหลิว...คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ครับสัญญาณภาพจากกล้องวงจรปิด ชาญที่นั่งดูอยู่หันบอกมาดามหลิวที่กำลังนั่งอ่านหนังสือ
“เขาฟื้นแล้วครับมาดาม”
มาดามหลิวลดหนังสือในมือลง ขณะที่โซเฟียที่กำลังรินเครื่องดื่มให้ เหลือบมองไปที่จอคอมพิวเตอร์อย่างสนใจ

ฤทธิ์เดินดุ่มๆมาตามทางเดินในบริษัทอย่างร้อนรน แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นหัวหน้ายามรูปร่างสูงใหญ่เดินนำลูกทีมมาขวางทางเขา
“ขอโทษครับ ทางนี้ห้ามผ่าน”
“ใจทิพย์อยู่ที่ไหน”
“ที่นี่เป็นเขตหวงห้าม กรุณากลับไปรอที่ห้องด้วยครับ”
ฤทธิ์ฉุน
“ผมจะไป…จากที่นี่”
ฤทธิ์เดินรี่เข้าใส่ หัวหน้ายามชักกระบองไฟฟ้าออกมากดสวิทซ์ทำงาน พวกลูกทีมรีบทำตาม ก่อนที่ทั้งหมดจนตรงเข้าเล่นงานฤทธิ์ทันที

ชาญดูภาพผ่านทางจอคอมพิวเตอร์อย่างลุ้นระทึก ก่อนโซเฟียจะเข็นรถเข็นพามาดามหลิวเข้ามาสมทบ
“ต้องรีบหยุดเขา ก่อนจะมีคนถูกฆ่า” ชาญบอกอย่างร้อนใจ
มาดามหันมาหาโซเฟีย
“โซเฟีย”
“ค่ะมาดาม” โซเฟียรับคำทันที

ยามหลายนายพยายามเล่นงานฤทธิ์ด้วยกระบองไฟฟ้า ฤทธิ์มองเห็นการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้เหมือนเห็นภาพสไลว์ เพราะเขาเคลื่อนไหวได้รวดเร็วกว่ามนุษย์ทั่วไป เขาปัดป้องเล่นงานพวกยามที่บุกจู่โจมเข้ามาทั้งซ้ายขวาหน้าหลัง จนกระเด็นกระดอนไปคนละทิศละทาง ระหว่างนั้นเองโซเฟียวิ่งมาถึงที่เกิดเหตุ และเห็นกระบองไฟฟ้าอันหนึ่งกลิ้งมาตรงหน้าพอดี เท้าของเธอเดาะกระบองไฟฟ้ามาถือไว้ นิ้วของเธอผลักสวิทซ์เร่งกำลังไฟแรงสุด แล้วควงกระบองไฟฟ้าตรงเข้าเล่นงานฤทธิ์อย่างไม่หวาดหวั่น ประสาทสัมผัสส่วนหูของฤทธิ์ทำงานอย่างรวดเร็ว เขาหันมาปัดป้องกระบองไฟฟ้าของโซเฟีย แล้วพยายามล็อคแขนเธอไว้เพราะเห็นเป็นผู้หญิง
“ผู้หญิงไม่เกี่ยว”
โซเฟียเอาเรื่อง
“ชิ”
โซเฟียปัดแขนฤทธิ์ออกแล้วพยายามจู่โจมติดต่อกันอย่างรวดเร็ว ฤทธิ์ปัดป้องด้วยความไวเกินมนุษย์ทั่วไป แต่ยังไม่ทันรู้ผลแพ้ชนะ ชาญก็เข็นรถพามาดามหลิวมาถึงเสียก่อน
“โซเฟีย พอได้แล้ว” มาดามหลิวห้าม
โซเฟียหยุดมือ ฤทธิ์เหลือบมองมาที่มาดามหลิวอย่างสงสัยว่าเป็นใคร

โซเฟียรินน้ำดื่มให้ฤทธิ์ ที่กำลังนั่งสนทนาอยู่กับมาดามหลิว เธอมองเขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตรเท่าไหร่นัก แต่ในเวลานั้นฤทธิ์ไม่มีอารมณ์จะสนใจ
“โซเฟียเกิดมาจากการโคลนนิ่งในห้องทดลอง DNA ของเธอถูกออกแบบให้มีแต่คำว่าเข้มแข็ง
คุณอย่าถือเลยนะ”
มาดามหลิวบอก ฤทธิ์ตัดบทเข้าเรื่อง
“ผมอยากรู้เรื่องวันนั้น ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น”
“ทีมกู้ภัยของเราช่วยคุณขึ้นมาได้ แต่กระแสน้ำพัดแรงมาก พวกเขาไม่เจอศพของใจทิพย์”
คำว่าศพทำให้ฤทธิ์ชะงักไป ชาญซึ่งนั่งอยู่นอกวงหาข้อมูลบางอย่างจากแท็บเล็ตจนเจอ เขาเดินไปส่งแท็บเล็ตให้ฤทธิ์
“บางทีข่าวนี้อาจจะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น”
ฤทธิ์อ่านเว็บข่าวในแท็บเล็ต…เห็นข่าวของแก๊งเฮียปาร์กที่ถูกสังหารหมู่ “ถล่มมาเฟียข้ามชาติ สังหารโหดยกก๊วน”
“พวกมาเฟียที่ทำร้ายคุณ โดนฆ่าตัดตอนยกแก๊ง”
มาดามหลิวพูดขึ้น
“แต่คนที่บงการยังลอยนวลอยู่ พวกเพื่อนคุณ กับพรายพิฆาต”
ได้ยินชื่อพรายพิฆาต ฤทธิ์ก็บันดาลโทสะผุดลุกจะออกไปจากห้อง
“ผมจะฆ่าพวกมัน”
“ผู้หมวด ฉันเข้าใจความรู้สึกของคุณ แต่คุณต้องวางแผน” มาดามหลิวเตือน
ฤทธิ์หันมาตะโกน
“ไม่...คุณไม่เข้าใจ คุณไม่มีทางรู้สึกแบบผม ในเมื่อคุณไม่เคยสูญเสีย”
โซเฟียกับชาญอึ้งไปเพราะคำพูดนั้นจี้ใจดำมาดามหลิวอย่างแรง มาดามหลิวแค้นสะเทือนใจ
“ขาฉัน ญาติพี่น้อง สามี และลูกสาวของฉัน แค่นั้นยังสูญเสียไม่พออีกเหรอ...ผู้หมวด…พวกเราในที่นี้ทุกคน มีศัตรูร่วมกัน”
ฤทธิ์ชะงักไป ชาญพยักหน้ายืนยันตามนั้น
“ถ้าจะล้างแค้น เราต้องเล่นเป็นทีมผู้หมวด เล่นแบบเดียวกับพวกมัน”

ฤทธิ์ ชาญ โซเฟีย และมาดามหลิวยืนหยัดร่วมเป้าหมายและชะตากรรมเดียวกัน

นักสู้มหากาฬ ตอนที่ 2 (ต่อ)

นักสู้มหากาฬ ตอนที่ 3

ภายในห้องทดลองที่บริษัทมาดามหลิว เจ้าหน้าที่เทคนิคหลายนายกำลังวุ่นวายกับการตระเตรียมโลงศพโลหะขนาดใหญ่ ซึ่งมีสายไฟและสายไฮโดรลิคระโยงระยาง

“ร่างกายคนเรามียีนอยู่ตัวหนึ่งชื่อว่า P21 มันทำหน้าที่ป้องกันการแบ่งตัวของเซลล์ที่ผิดปกติ เพื่อยับยั้งโรคร้าย แต่ขณะเดียวกันมันก็ทำให้อวัยวะของคนเราไม่สามารถงอกใหม่ได้เหมือนสัตว์เลื้อยคลานบางประเภท” มาดามหลิวอธิบาย
“น้ำตามัจจุราชจะทำให้P21 หายไป แล้วสิ่งที่ตามมาก็คือการกลายพันธุ์” ชาญเสริม
โซเฟียอธิบายต่อ
“และนั่นคือสิ่งที่พรายพิฆาตต้องการ นักรบที่ไม่รู้จักความตาย กองทัพที่เป็นอมตะ”
ฤทธิ์อยู่ในชุดเปลือยท่อนบนกำลังนอนอยู่ในโลง ตามร่างกายถูกติดเครื่องมือสำหรับเช็คระบบการทำงานต่างๆ มาดามหลิว โซเฟีย และชาญยืนให้กำลังใจ
“การจำศีลในน้ำยาเคมีจะช่วยให้เซลส์ในร่างกายของคุณปรับสภาพอย่างเต็มที่ นั่นหมายถึงน้ำตามัจจุราชจะพัฒนาร่างกายคุณไปจนถึงขีดสุด” มาดามหลิวให้ข้อมูล
โซเฟียอธิบายต่อ
“ผลข้างเคียงก็คือ กล้ามเนื้อทุกส่วนของคุณจะเกิดการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งกล้ามเนื้อสมอง ซึ่งมันจะทำให้คุณอาจสูญเสียความทรงจำไปบางส่วน บุคลิก และวิธีการคิดของคุณก็อาจจะเปลี่ยนไปด้วย”
“ไม่มีอะไรเปลี่ยนผมได้ ผมจะไม่ลืมความแค้นของผมเด็ดขาด”
ชาญเห็นฤทธิ์มุ่งมั่นเช่นนั้น ก็หันไปพยักหน้าให้เจ้าหน้าที่

สารเคมีถูกฉีดลงเจือจางกับน้ำในกล่อง…ฝาโลงโลหะถูกปิด ฤทธิ์ถูกขังอยู่ในกล่องใบนั้น มองไปเบื้องหน้าด้วยแววตาอาฆาตแค้น

2 สัปดาห์ต่อมา ค่ำนั้น...รถของราเมศเร่งเครื่องเสียงกระหึ่ม เขาขับรถมาอย่างรวดเร็ว แซงซ้ายแซงขวาอย่างน่าหวาดเสียว ระหว่างนั้นก็มีโทรศัพท์เข้ามา เห็นเป็นเบอร์ณัฐชาจึงกดรับสายผ่านบลูทูธ
“ผู้กอง จวนถึงรึยังคะ ตอนนี้พวกมันคลั่งใหญ่แล้ว”

หน้าโรงงาน คนร้ายสองคนกระหน่ำปืนกลยิงใส่เจ้าหน้าที่ ที่รายล้อมอยู่ด้านนอกอย่างดุเดือด พลางตะโกนลั่น
“ไอ้พวกหมาหมู่ แน่จริงก็เข้ามาสิโว้ย มาดวลกับกู”
คนร้ายอีกคนตะโกนเสริม
“มีคนเท่าไหร่ แห่มาให้หมดเลย ไอ้ตำรวจหน้าโง่”
ตำรวจยิงตอบโต้ถูกเข้าที่บ่าของคนร้าย มันผงะมองแผลด้วยความโกรธก่อนจะยิงใส่ตำรวจด้วยความแค้นยิ่งกว่าเดิม
“พวกมึงต้องตาย”

ในโรงงาน ท่ามกลางเสียงปืน บนโต๊ะตัวใหญ่มีอาวุธสงครามและเครื่องกระสุนเพียบเหมือนขนมาเพื่อเปิดศึกโดยเฉพาะ...บนดาดฟ้าของโรงงานปืนของคนร้ายวางพิงผนังอยู่ ขณะที่มันหลบมุมใช้มอร์ฟีนสำเร็จรูปฉีดให้กับตัวเอง พอได้รับมอร์ฟีนก็เกิดอาการเคลิบเคลิ้มขึ้นมาทันที
“หึๆ ฮ่าๆ ฮ่าๆ วู้ว”
คนร้ายคว้าอาวุธปืนแล้วผุดขึ้นหันไปยิงใส่ตำรวจอย่างบ้าคลั่ง

หน้าโรงงานร้าง คนร้ายยังคงกราดยิงใส่ตำรวจอย่างบ้าคลั่ง ณัฐชา ไมตรี และปรีดาและบรรดาตำรวจต่างแยกย้ายกันหลบอยู่ตามที่กำบังในมุมต่างๆ
“ไอ้พวกบ้า มันจะยิงไปถึงไหนกันวะ” ณัฐชาบ่นอุบ
ไมตรีเหลือบเห็น
“ผู้หมวด ผู้กองมาแล้วครับ”
ณัฐชาเห็นรถราเมศแล่นมาจอด ก่อนที่เขาจะเข้ามาสมทบกับทุกคน
“ผู้กอง”
“สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง”
“คนร้ายสามคน ใช้อาวุธสงครามกราดยิงชาวบ้านโดยไม่ทราบสาเหตุค่ะ สันนิษฐานเบื้องต้นว่าคงเป็นเพราะยาเสพติด”
“ใช่ครับ พวกมันไม่ยอมเจรจาอะไรเลย เอาแต่ยิงกับยิงลูกเดียว” ไมตรีเสริม
“ตอนนี้มีชาวบ้านเสียชีวิตไปสามคน บาดเจ็บอีกห้าคนครับ” ปรีดารายงาน
“หน่วยจู่โจมใกล้จะมาถึงรึยัง” ราเมศถาม
“อีกไม่เกินสิบนาทีค่ะ”
ราเมศนิ่วหน้าคิด ก่อนจะดึงกล้องส่องทางไกลจากปรีดามาใช้ ราเมศเห็นโลโก้ของพรายพิฆาตถูกติดอยู่บริเวณเสาหน้าโรงงาน

หน้าโรงงาน คนร้ายทั้งสองยังกราดยิงใส่เจ้าหน้าที่อย่างดุเดือด
“ไอ้พวกกระจอก บุกเข้ามาซะทีสิโว้ย มัวรออะไรอยู่”
“ไอ้ตำรวจตาขาว พวกมึงต้องตาย”
เสียงใครชนข้าวของในโรงงานหล่นดังก๊องๆ เสียงกังวาน คนร้ายคนหนึ่งชะงัก
“เสียงอะไรวะ”
คนร้ายอีกคนกวาดตามองไปแต่ไม่เห็นใคร

คนร้ายที่อยู่บนดาดฟ้า เล็งปืนแล้วยิงใส่ตำรวจอย่างใจเย็น ก่อนที่มันจะรู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังตรงมาทางด้านหลังของมันจนเกือบถึงตัว มันหันปากกระบอกปืนมาด้านหลัง แต่กลับไม่เห็นใคร
“ใครวะ นั่นใคร”
ไม่มีเสียงตอบ แต่เห็นเงาคนเคลื่อนหลบไปไวๆที่หลังแท้งค์น้ำ
“ใครซ่อนอยู่ตรงนั้น โผล่หัวออกมา”
คนร้ายตัดสินใจถือปืนไปหาเงาคนที่ซ่อนอยู่ พอได้จังหวะก็โผล่พรวดไปเหนี่ยวไกยิงทันที กระสุนพุ่งเข้าหาเป้าหมายแต่กลับถูกดาบเล่มหนึ่งปัดออกไปอย่างรวดเร็ว เศษหัวกระสุนกระเด็นไปฝังอยู่ที่ผนัง
“เอ็งเป็นใครวะ”
ฤทธิ์ในคราบของนักสู้มหากาฬ ยืนโดดเด่นอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์

ราเมศ ณัฐชา ไมตรี ปรีดาและตำรวจที่อยู่หน้าโรงงานร้าง ต่างพากันประหลาดใจ เสียงคนร้ายแผดร้องโหยหวนดังขึ้น ตามด้วยเสียงปืนรัวชุดใหญ่ ณัฐชาแปลกใจ
“เกิดอะไรขึ้น”
ราเมศมองไปด้านใน
“ไม่ได้ยิงมาทางพวกเรา เสียงเหมือนยิงกันอยู่ข้างใน”
ไมตรีสงสัย
“หรือว่าพวกมันจะฆ่ากันเองครับผู้กอง”
ราเมศนิ่วหน้าอย่างใช้ความคิด

คนร้ายบนดาดฟ้ากระหน่ำยิงอย่างบ้าคลั่ง ขณะที่ฤทธิ์กวัดแกว่งดาบตรงดิ่งเข้าหามัน กระสุนโดนคมดาบปัดทิ้งไปจนหมด ก่อนที่ฤทธิ์เข้าประชิดตัวแล้วฟันใส่คนร้ายฉับๆ แล้วแทงปิดเกมอย่างรวดเร็ว

คนร้ายสองคนที่อยู่หน้าโรงงานกำลังบรรจุกระสุนเพิ่ม พวกมันรู้ดีว่ามีบางอย่าง ที่ผิดปกติเกิดขึ้นบนดาดฟ้า ทันใดนั้นศพของคนร้ายบนดาดฟ้าก็ร่วงโครมลงมาบนโต๊ะ คนร้ายเงยหน้ามอง
“มันอยู่ข้างบน”
คนร้ายอีกคนมองขึ้นไปแล้วกราดยิงใส่ฤทธิ์ ที่กระโจนหลบไปมาตามโครงเหล็กหลังคา
“หายไปแล้ว มันไปทางไหนวะ”
ฤทธิ์โดดลงมาที่พื้น แล้วกดปุ่มสปริงที่ด้ามดาบคมดาบถูกยิงออกไปโดยมีเส้นใยสังเคราะห์ผูกโยงไว้ เขาสะบัดคมดาบซัดโคมไฟจนแตกไปหลายดวงทำให้ทุกอย่างตกอยู่ในความมืด คนร้ายยิงใส่ ฤทธิ์มองเห็นกระสุนที่พุ่งเข้ามาในยามไร้แสง และสามารถตีลังกาหลบไปได้อย่างว่องไว ก่อนจะเหวี่ยงคมดาบแทงเข้าใส่คนร้ายทันที คนร้ายอีกคน กราดยิงอย่างคลุ้มคลั่ง ฤทธิ์ควงดาบปัดป้องกระสุนก่อนจะตีลังกาหลบ ระหว่างกระชากคมดาบจากอกคนร้ายคนแรก ออกมาแล้วเหวี่ยงไปแทงใส่คนร้ายคนที่สองอย่างรวดเร็ว มันตาค้าง
“พรายพิฆาตจงเจริญ”
ขาดคำคนร้ายคนนั้นทรุดฮวบขาดใจไปกับพื้น ขณะที่ฤทธิ์ยืนมองมันอย่างใจเย็น...ฤทธิ์ใช้อุปกรณ์สำเร็จรูปบางอย่าง เจาะที่ต้นคอคนร้ายเพื่อเก็บตัวอย่างเลือด

เวลาผ่านไป หน่วยจู่โจมบุกเข้ามาในโรงงานและลงมือตรวจค้นตามจุดๆต่าง บางส่วนเข้าตรวจสอบศพของคนร้าย ก่อนที่ราเมศ ณัฐชา ไมตรี ปรีดา และสารวัตรธนาจะตามเข้ามา หน่วยจู่โจมคนหนึ่งลงบันไดมาจากดาดฟ้าแล้วส่งสัญญาณมือว่าไม่พบสิ่งผิดปกติ
“เคลียร์”
หัวหน้าหน่วยจู่โจมเข้ามารายงานราเมศ
“คนร้ายสามคนเสียชีวิตหมดครับผู้กอง”
“พวกมันฆ่ากันเองเหรอคะ” ณัฐชาถามอย่าแปลใจ
“ดูจากตำแหน่งของศพแล้ว ไม่น่าจะใช่ครับ” หัวหน้าหน่วยบอก
ราเมศครุ่นคิด
“แปลว่ามีคนอื่นบุกเข้ามาในนี้เหรอ”
ไมตรีกับปรีดามองหน้ากันอย่างงุนงง ขณะที่ณัฐชามองไปบนดาดฟ้าอย่างสังหรณ์ใจ

ณัฐชาถือปืนขึ้นมาบนดาดฟ้าอย่างระแวดระวัง ฤทธิ์ที่ซ่อนตัวอยู่รอจนได้จังหวะก็รีบวิ่งหนีไปแต่ณัฐชาหันมาเห็นเข้า จึงเล็งปืนใส่
“หยุดนะ”
ฤทธิ์ไม่ยอมหยุด ณัฐชาตัดสินใจวิ่งตามไป ฤทธิ์กระโจนข้ามจากหลังคาโรงงานไปยังอีกอาคารหนึ่ง ณัฐชาตัดสินใจกระโจนตามบ้างแต่เกิดพลาดไปไม่ถึงอีกฝั่ง ฤทธิ์ตกใจหันมองมา เขาเห็นหน้าของณัฐชาที่กำลังร่วงไป ฤทธิ์นึกถึงตอนที่เขากับใจทิพย์กำลังช่วยกันแขวนรูป ทั้งคู่สนทนากันถึงรูปที่ใจทิพย์ถ่ายกับ ไอริณ และณัฐชา
“ไม่รู้เมื่อไหร่ผมจะได้เจอเพื่อนๆของคุณ”
“พี่น้องของฉันต่างหาก ไอริณกับณัฐชา พวกเขาต้องดีใจแน่ ถ้ารู้ว่าฉันจะแต่งงาน”
ฤทธิ์คว้าข้อมือณัฐชาไว้ก่อนจะร่วง
“ณัฐชา”
ณัฐชาชะงักกึก เมื่อฤทธิ์กระชากตัวเธอขึ้นมา ณัฐชาก็รีบชักปืนเล็งใส่เขา
“แก...แกเป็นใครกันแน่ รู้ชื่อฉันได้ยังไง”
“ศัตรูของพรายพิฆาต ผมเป็นพวกเดียวกับคุณ”
เสียงราเมศตะโกนแว่วมา
“ผู้หมวดคุณอยู่ไหน...ณัฐชา”
ณัฐชาหันไป
“ผู้กอง ฉันอยู่ทางนี้”
ราเมศโผล่มาอีกฟาก
“ผู้หมวด คุณไปอยู่ตรงนั้นได้ยังไง”
ณัฐชาหันกลับมา
“ฉันกำลัง…”
ณัฐชานิ่งงันเมื่อพบว่าฤทธิ์หายไปแล้ว…

ฤทธิ์ควบรถมอเตอร์ไซด์มาตามถนนสายเปลี่ยว เขาเห็นรถบรรทุกสินค้าของบริษัทมาดามหลิวจอดอยู่ ชาญซึ่งสวมชุดพนักงานส่งของ นั่งอ่านหนังสือพิมพ์รออยู่บนรถ จำเสียงรถมอเตอร์ไซด์ได้เป็นอย่างดีเขากดปุ่มเปิดประตูไฮโดรลิกท้ายรถโดยไม่ต้องเหลือบตาดู ก่อนที่มอเตอร์ไซด์ของฤทธิ์จะแล่นขึ้นไปจอดบนท้ายรถ...รถบรรทุกแล่นหายไปตามท้องถนนยามราตรี

วันใหม่...ในโทรทัศน์ ผู้สื่อข่าวกำลังรายงานข่าว
“มีข่าวลือว่าบริษัทบลู ฟินิกซ์ ฟาร์ม่าผู้ผลิตเวชภัณฑ์รายใหญ่ของเอเชีย จะมีการปรับโครงสร้างการบริหารโดยเพิ่มผู้ถือหุ้นรายใหม่เข้าไปในรายชื่อบอร์ดกรรมการ”
ภาพข่าวในทีวีเป็นภาพข่าวของฤทธิ์ในมาดเพลย์บอยใจเย็น ที่ใช้ชีวิตอยู่กับสาวงาม และกิจกรรมต่างๆทั้งตีกอล์ฟ ล่องเรือเปิดแชมเปญในงานเลี้ยง เต้นรำ ถ่ายรูป ให้สัมภาษณ์นักข่าว
ผู้สื่อข่าวหญิงกำลังรายงานข่าวอยู่ที่หน้ารั้วบริษัทบลู ฟินิกซ์ ฟาร์ม่า
“ซึ่งแหล่งข่าวยืนยันว่าคนๆนั้นก็คือ มิสเตอร์ โทมัส หลิว หลานชายบุญธรรมของมาดามหลิว ผู้มักตกเป็นกระแสข่าวกับสาวน้อยสาวใหญ่อยู่บ่อยครั้ง จนได้รับสมญาว่าเป็นคาสโนว่าสลาตัน เพราะภายในเวลาไม่กี่อาทิตย์ เขาเปลี่ยนคู่ควงได้ไม่ซ้ำหน้า จนสื่อมวลชนที่ทำข่าว ถึงกับลำดับไม่ทันว่าสาวๆในสต๊อกของเขาคนไหนมาก่อนมาหลังกันแน่ แต่เท่าที่รู้ดูเหมือนจะไม่มีเพื่อนหญิงคนไหนกล้าอ้างตัวว่าเป็นเจ้าของหัวใจของเขาเลยสักราย และนั่นเองที่ทำให้เกิดข่าวซุบซิบว่า บางทีโทมัส หลิวอาจมีรสนิยมทางเพศที่เบี่ยงเบน หรือไม่เขากับมาดามหลิว เศรษฐีนีหม้ายสาว ก็อาจมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกัน จึงต้องปั่นกระแสข่าวเหล่านี้ขึ้นมาเพื่อกลบเกลื่อนข้อเท็จจริง”

ฤทธิ์มาทำงานในบริษัท โดยมีชาญหิ้วกระเป๋าเอกสารให้ในฐานะคนขับรถและผู้ติดตาม พนักงานสาวๆในบริษัทพาออกอาการปลื้ม เมื่อได้เห็นเจ้าชายในฝัน บ้างขวยเขิน บ้างระริกระรี้ตื่นเต้น บ้างแอบซุบซิบกันด้วยความชื่นชม ฤทธิ์ยิ้มโปรยปรายเสน่ห์ให้ทุกคนจนกระทั่งเข้าลิฟต์ไปกับชาญ

โซเฟียยืนรออยู่อย่างสุขุม เธอรู้จากกล้องวงจรปิดว่าฤทธิ์กับชาญมาถึงแล้ว สักครู่สองหนุ่มก็ออกมาจากลิฟต์
“ต้องขอโทษด้วยที่ให้เข้ามาทางด้านหน้าบริษัท แต่มาดามบอกว่าพนักงานไม่เห็นคุณมาหลายวันแล้ว ก็เลยกลัวว่าจะมีคนสงสัย” โซเฟียอธิบาย
ฤทธิ์ล้วงกระเป๋าหยิบหลอดบรรจุเลือดออกมาสามหลอดให้โซเฟีย
“ตัวอย่างเลือดของคนร้าย”
โซเฟียรับมา
“มาดามหลิวกำลังรอคุณอยู่”

ในห้องสมุดในบริษัท...มาดามหลิววางนิตยสารก๊อสซิปเล่มหนึ่งลงบนโต๊ะ หน้าปกเป็นรูปของมิสเตอร์โทมัสกำลังถ่ายรูปกับสาวเซ็กซี่นางหนึ่ง พาดหัวข่าวว่า “มนต์รักคาสโนว่า ไฮโซหนุ่มควงนางแบบออกงาน” มาดามหลิวมองหน้าฤทธิ์
“ฉันรู้ว่านายต้องสร้างภาพตามที่เราเคยตกลงกันไว้ แต่ว่าอีกไม่กี่วันจะมีงานเลี้ยงครบรอบสิบห้าปีของบริษัท ฉันตั้งใจว่าจะแนะนำนายอย่างเป็นทางการกับพวกนักข่าว”
“แล้ว…”
“แล้วก็ช่วยลดการสร้างภาพ เปลี่ยนเป็นมารักษาภาพแทนดีกว่านะ”
“ทุกวันนี้ผมยังไม่เข้าใจเลย ว่าทำไมต้องให้ผมรับบทเป็นญาติของคุณ”
“มันจะช่วยให้เธอแทรกซึมและเข้าถึงศัตรูได้ง่ายขึ้น เชื่อฉันเถอะ”
ฤทธิ์พยักหน้ายิ้มๆขอไปที โซเฟียรู้สึกแปลกใจ

โซเฟียกำลังเข็นรถพามาดามหลิวกลับห้องพัก โซเฟียยังติดใจสงสัย
“ผู้หมวดฤทธิ์ ราวีเขาดูเปลี่ยนไปมาก มาดามคิดว่าเป็นผลข้างเคียงของน้ำตามัจจุราชรึเปล่าคะ”
“เธอรู้ได้ยังไงโซเฟีย ว่าเขาเปลี่ยน”
“เดี๋ยวนี้เขายิ้มเก่งขึ้น แล้วก็ไม่ปั้นหน้าเศร้าเหมือนเมื่อก่อน บางทีเขาอาจจะลืมใจทิพย์ไปแล้วก็ได้”
“เธอยังไม่รู้จักผู้ชายมากพอโซเฟีย เชื่อฉันเถอะ ยิ้มของฤทธิ์ ราวี มีความหมายมากกว่านั้น”

ชาญใช้คอมพิวเตอร์ค้นหาประวัติของณัฐชาให้ฤทธิ์ ขณะที่อยู่ด้วยกันในห้องนอนของฤทธิ์ในบริษัท ส่วนใหญ่จะเป็นภาพข่าวของเธอติดตามราเมศทำคดีพรายพิฆาต
“ตำรวจที่ทำคดีพรายพิฆาตมีตั้งหลายคน ทำไมคุณถึงสนใจตำรวจหญิงคนนี้แค่คนเดียว”
“แล้วผมจะเล่าให้ฟังทีหลัง ตอนนี้ผมอยากได้ข้อมูลของเธอแล้วก็เพื่อนที่ชื่อไอริณ”
“ไอริณ ใช่ดาราที่เป็นลูกสาวนักการเมืองรึเปล่า”
ฤทธิ์ยักไหล่ไม่แน่ใจ ชาญค้นต่อจนเจอข่าวของไอริณเป็นเพื่อนกับณัฐชา และสกรุ๊ปข่าวของไอริณ
“ชีวิตเหมือนฝัน จากอดีตเด็กกำพร้า กลายเป็นซุปเปอร์สตาร์”
ฤทธิ์มองข่าวของทั้งคู่อย่างสนใจ ยิ่งเมื่อคลิ๊กไปเจอภาพในอดีตที่ ณัฐชา ไอริณ และใจทิพย์ถ่ายไว้ด้วยกัน

ราเมศกลับมาที่ดาดฟ้าขอโรงงานร้าง เขาใช้คีมของมีดพับเอนกประสงค์คีบเศษหัวกระสุนที่ฝังอยู่บนผนังออก หัวกระสุนของคนร้าย โดนคมดาบของฤทธิ์ตัดจนขาด ราเมศนำเศษหัวกระสุนนั้นใส่ซองพลาสติกแล้วบอกกับณัฐชา
“ดูเหมือนว่าชายสวมหน้ากากที่คุณเจอเมื่อคืน จะใช้ของมีคมเป็นอาวุธแถมฝีมือขั้นเทพซะด้วย”
ณัฐชาแปลกใจ
“จริงเหรอคะผู้กอง”
“ก็เล่นผ่าหัวกระสุนขาดแบบนี้ จะให้ผมว่ายังไงอีก” ราเมศมองเศษหัวกระสุน “อาวุธที่เขาใช้คงทำจากวัสดุพิเศษ อาจเป็นพวกทังสเตนคาร์ไบด์ หรืออะไรก็ตามที่ตัดเหล็กได้”
ราเมศเดินลงมาสำรวจที่ด้านล่าง ณัฐชาตามลงมาถาม
“นี่ผู้กองเชื่อเหรอคะว่าผู้ชายคนนี้ เขาปัดกระสุนได้จริงๆ”
“โดยทางวิทยาศาสตร์อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นผู้หมวด แต่ที่แน่ๆ…” ราเมศชะงัก คีบหัวกระสุนที่หล่นอยู่ที่พื้นใส่ซอง “เขามีพลาดถูกยิงเหมือนกัน แต่เสื้อเกราะช่วยเขาเอาไว้”
“แต่ที่ฉันเห็นเสื้อเขา เป็นหนังธรรมดานะคะผู้กอง”
“ด้านนอกน่ะใช่ แต่ด้านในคงบุเคฟล่าชนิดพิเศษ คิดดูสิ จากตำแหน่งของรอยเท้านั่น เขาถูกยิงในระยะที่ประชิดมาก ถ้าเป็นเสื้อเกราะทั่วไป ป่านนี้คงซี่โครงหักไปแล้ว ไม่มีทางได้วิ่งหนีคุณแน่”

ราเมศกับณัฐชาเดินกลับมาขึ้นรถ
“เดี๋ยวคุณเอาหลักฐานกลับไปที่กองปราบนะ แล้วลองเทียบข้อมูลกับแผนกอื่นดูว่ามีใครเคยเห็นหมอนี่มาก่อนบ้าง”
“แล้วผู้กองล่ะคะ”
“ผมจะไปรับผลชันสูตรศพคนร้ายที่นิติเวช”
ราเมศกำลังจะขึ้นรถแต่แล้วเสียง sms ดังขึ้น ณัฐชารีบคว้าโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาดูสักพักก็หน้าเจื่อน
“มีอะไรเหรอ” ราเมศถาม
“จ่าไมตรีส่งข้อความมาบอกว่า ไอ้มาวินพ้นโทษแล้วค่ะ”

ในห้องวีไอพีภัตตาคารดอกบัวขาว...สี่ผู้เฒ่าแห่งแก๊งมาเฟียจีน ผู้กุมอำนาจเหนือมาวิน ทั้งหมดกำลังนั่งเล่นไพ่นกกระจอกกันอย่างเงียบๆเหมือนคนแก่ทั่วไป โต๊ะข้างๆมีสำรับของว่างเตรียมไว้แต่ยังไม่มีใครสนใจทาน ในห้องนั้นมีองครักษ์ยืนคุ้มกันตามมุมต่างๆหลายนาย มาวินเดินกร่างเข้ามายืนก้มหน้าอย่างเซ็งๆ เหมือนนักเรียนโดนเรียกพบฝ่ายปกครอง เต่าดำเอ่ยถามขึ้นเป็นคนแรก
“ได้ข่าวว่าไปนอนเล่นในคุกมาไม่ใช่เหรออาตี๋”
เสือขาวคลี่ไพ่ดูแล้วพูดลอยๆ
“เข้าคุกไม่ว่า แต่ดันมีเรื่องกับลูกสาวนักการเมืองนี่สิ น่าเป็นห่วง”
หงส์มองหน้ามาวิน
“อาตี๋ หน้าที่ของลื้อคือหาเงินให้องค์กร ไม่ใช่ก่อเรื่อง”
มังกรไม่ยอมปริปาก มันจั่วไพ่ไปเงียบๆ มาวินพยายามข่มโทสะและอธิบาย
“ผมรู้ว่าผมมันแย่ นิสัยไม่ดี” มาวินหันไปหามังกร “แต่ที่ผ่านมา ผมก็จงภักดีกับองค์กรเสมอ หาเงินให้องค์กรเป็นร้อยๆล้าน ทุกคนก็เห็น”
เต่าดำแย้ง
“พวกอั้วหาเงินจากค่าคุ้มครอง จากบ่อนพนัน แต่เงินของลื้อมาจากยาเสพติด”
มังกรพูดโดยไม่มองหน้า
“ที่อั้วยอมให้ลื้อมีอำนาจทุกวันนี้ ก็เพราะลื้อเป็นคนเก่งมาวิน ถ้าลื้อมีเรื่องกับคนอื่น พวกอั้วจะไม่ยุ่ง แต่ท่านนำชัยเป็นนักการเมืองใหญ่ ลื้อไม่ควรตอแยกับอี”
เสือขาวส่ายหน้า
“มีกินมีใช้ก็ดีอยู่แล้ว อย่าสร้างปัญหานักเลย อาตี๋”

มาวินกลับมาที่เธค พอลงจากรถก็บ่นด้วยความเจ็บแค้น
“ฮึย กะอีแค่ลูกสาวนักการเมือง มันจะใหญ่อะไรกันนักหนาวะ...คอยดูเหอะ จะจับทำเมียซะให้เข็ด”
สมุนเข้ามาหา
“เฮียครับ ลูกน้องของคุณปาร์กมาขอพบครับ”
“ไอ้ปาร์ก มันตายไปแล้วนี่หว่า”
มาวินหันไป แหลมยืนกระลิ้มกระเหลี่ยอยู่
“แหะๆ ใช่ครับคุณมาวิน ก็เพราะแบบนี้ไงครับผมถึงต้องมาสมัครงานถึงนี่”
มาวินนึกอะไรขึ้นได้
“อยากได้งาน ต้องผ่านโปรก่อนนะโว้ย”
แหลมชะงัก
“ผ่านโปร...อ๋อ ได้เลยครับ จะทดลองงานก่อนก็ได้ครับคุณมาวิน มืออาชีพอย่างผมพร้อมเสมอครับ”
ท่าทางประจบประแจงของแหลม ทำให้มาวินแค่นยิ้มออกมาอย่างพอใจ

โซเฟียส่งแฟ้มรายงานผลการตรวจเลือดของคนร้ายให้มาดามหลิว รับไปอ่าน
“พบสารคล้ายน้ำตามัจจุราชในตัวอย่างเลือดของคนร้ายแถมยังมี Mephedrone กับMethylone ในปริมาณสูงมากอีกด้วย”
“สองตัวที่ว่ามันคืออะไร” ชาญสงสัย
“เป็นสารเคมีที่ใช้ผลิตยาเสพติด ออกฤทธิ์กระตุ้นและหลอนประสาท” มาดามหลิวอธิบาย
“ที่เคยเป็นข่าวก็คือ bath salt คนเสพถึงขนาดคลุ้มคลั่งกัดกินเนื้อมนุษย์ด้วยกัน บางคนถึงได้เรียกมันว่ายาซอมบี้” โซเฟียเสริม
มาดามหลิวครุ่นคิด
“ถ้าเดาไม่ผิดเหตุกราดยิงที่โรงงานร้างนั่น คงเป็นการทดลองอย่างหนึ่งของพวกมันในการสร้างนักรบอมตะ”
ชาญอึ้งไป
“แปลว่าคนร้ายสามคนนั่นถูกส่งมาเพื่อทดลองต่อสู้ แล้วก็ทดลองตายเหรอครับมาดาม”
“แถมมีความหวังเล็กๆอีกด้วย ว่าอาจจะเป็นการทดลองฟื้น” โซเฟียเสริม

โซเฟียส่งมาดามหลิวกลับห้อง มาดามหลิวสั่งงานกับชาญ
“เดี๋ยวเธอเอารายงานนี่ไปให้ผู้หมวดฤทธิ์เขาด้วยนะ แล้วเตือนเขาเรื่องงานเลี้ยงครบรอบสิบห้าปีของบริษัทวันพรุ่งนี้ด้วย ฉันตั้งใจจะเปิดตัวเขาต่อหน้าสื่อมวลชน”
“เอ่อคือ…” ชาญอึกอัก
มาดามหลิวเอะใจ
“เขาอยู่รึเปล่า”
ขณะเดียวกัน ฤทธิ์สตาร์ทรถเสียงดังกระหึ่ม ก่อนจะขับออกไปจากบริษัทอย่างรวดเร็วจนใครๆพากันมองตาม

ไอริณหิ้วกระเป๋าเดินคุยโทรศัพท์เข้ามาในฟิตเนส
“ยัยณัฐชา เธอมาสายอีกแล้วนะ ไหนบอกว่าจะซ้อมมวยให้ฉัน ไม่รู้ล่ะ ถ้าวันนี้เธอเบี้ยวอีกล่ะก็ ฉันเอาเรื่องจริงๆด้วย”

ณัฐชาขับรถไปที่ฟิตเนส บนถนนที่ค่อนข้างโล่งเธอคุยโทรศัพท์ไปด้วย
“เออรู้แล้ว กำลังไปเดี๋ยวนี้แหละ แค่นี้ทำเป็นบ่นไปได้ ยัยบ๊อง”
ณัฐชาวางสายลงแล้วขับรถต่อ สักพักเธอก็เห็นรถคันหนึ่งขับตามมา ฤทธิ์สวมหมวกแก๊ป เป็นคนขับรถคันนั้นตามณัฐชาห่างๆ
“ถนนก็โล่ง ทำไมมันไม่แซงวะ หรือว่า…”
ณัฐชาสังหรณ์ใจ เธอลองลดความเร็วลงอีก เพื่อบังคับรถของฤทธิ์ต้องแซงไปข้างหน้า ฤทธิ์เลยจำต้องขับแซงไปเพื่อไม่ให้มีพิรุธ
“ตกลงมันขับตามเรารึเปล่าวะ หรือว่าจะเป็นพวกโรคจิต”

ไอริณซ้อมชกต่อยกระสอบทรายโดยมีณัฐชาคอยเทรนอยู่ ในห้องซ้อมมวยของฟิตเนส...
“นี่ ออกแรงมากกว่านี้ไม่ได้หรือไง ราชินีหนังบู๊มีน้ำยาแค่นี้เองเหรอ”
ไอริณเหนื่อย
“โอ้ย คุณตำรวจขา ชีวิตจริงกับในภาพยนตร์มันต่างกันนะคะ ถ้าจะให้เก่งเหมือนในจอ ฉันขอบายดีกว่า”
“เธอกำลังตกอยู่ในอันตรายนะไอริณ ดังนั้นเธอต้องรีบฝึกหลักสูตรเร่งรัด”
“ขอเปลี่ยนเป็นฝึกวิ่งแทนได้มั้ย ฉันหมดแรงแล้ว”
“โธ่เอ้ย ไม่เอาไหนเลยเธอเนี่ย”
ฤทธิ์จับตามองณัฐชาและไอริณจากมุมหนึ่งด้วยความสนใจ ณัฐชารู้สึกผิดสังเกตจึงหันมองไป เห็นฤทธิ์ซึ่งสวมหมวกแก๊ปกำลังยืนจ้องอยู่ก็เริ่มไม่พอใจ
“นี่นายคนที่สวมหมวกน่ะ จ้องผู้หญิงอยู่ได้ จินตนาการอะไรอยู่หรือไง”
“ผมก็แค่อยากดูมวย”
ฤทธิ์จะเดินหนี แต่ณัฐชารู้สึกผิดสังเกต
“เดี๋ยวก่อน”
ณัฐชารีบไปขวาง
“นายใช่รึเปล่า ที่ขับรถตามฉัน”
“ผมมาฟิตเนสเดียวกับคุณ ใช้เส้นทางเดียวกันมันแปลกตรงไหน”
ไอริณเข้ามาสมทบ
“มีอะไรเหรอ”
“มันยืนจ้องเธออยู่ตั้งนานแล้ว สงสัยเป็นพวกโรคจิต”
ไอริณปรามเพื่อน
“ไม่เอาน่าณัฐชา เขาอาจจะเป็นแฟนคลับของฉันก็ได้” ไอริณหันไปบอกกับฤทธิ์ “ขอโทษด้วยนะคะ เพื่อนฉันใจร้อนไปหน่อย”
ฤทธิ์ยื่นมือ
“ผมชื่อโทมัสครับ ยินดีที่ได้รู้จัก”
“ไอริณค่ะ”
ไอริณจะจับมือแต่ณัฐชารั้งไว้
“อันที่จริงผมไม่ได้ตั้งใจจะจ้องคุณแบบนั้นหรอกครับ แต่เห็นว่าคุณชกไม่ถูกจังหวะก็เลยอยากจะแนะนำ”
ณัฐชาเบ้หน้า
“เธ่อ ตัวเองชกเก่งตายล่ะ”
“ณัฐชา”
“ก็จริงนี่ ท่าทางเจ้าสำอางอย่างหมอนี่ ถ้าชกมวยเป็นล่ะก็ ฉันยอมไหว้เลยก็ได้” ณัฐชามอหน้าฤทธิ์ “ใช้กีฬาบังหน้า หาเรื่องเหล่หญิงมากกว่ามั้ง”
ฤทธิ์ยิ้มใจเย็น
“ผมว่าคุณต่างหากที่ชกมวยไม่เป็น ดีแต่ทำกร่างอวดเพื่อน”
ณัฐชาตาลุกวาวด้วยความโกรธ ไอริณใจหายวาบ

เสียงระฆังดังขึ้น ฤทธิ์กับณัฐชาประจัญหน้ากันบนเวทีมวย ฤทธิ์ยิ้มใจเย็น ขณะที่ณัฐชาท่าทางจริงจังกะจะเล่นงานเขาให้ได้ บรรดาเพื่อนสมาชิกในฟิตเนสต่างมารุมดูด้วยความสนใจ ฤทธิ์ยิ้มขำ
“แค่ซ้อมเล่นๆ ไม่ต้องจริงจังก็ได้ คุณณัฐชา”
“ณัฐชา นี่เธอเอาจริงเหรอ” ไอริณถาม
“งานนี้ต้องมีคนตาย เชื่อฉันสิ”
ณัฐชาว่าแล้วก็ผละไปหาทันที ฤทธิ์ยังสวมหมวกแก๊ปอยู่ เธอแดกดันเขา
“นี่ เป็นรังแคเหรอ หมวกน่ะถอดก่อนก็ได้”
“แค่ซ้อมเล่นๆน่ะคุณ เดี๋ยวผมก็ไปแล้ว”
ณัฐชาได้จังหวะก็เหวี่ยงหมัดใส่ทันที ฤทธิ์หลบได้อย่างว่องไว
“หนอยแก คราวนี้ฉันไม่พลาดแน่”
ณัฐชาออกหมัดต่อเนื่องกัน แต่ฤทธิ์หลบได้ทุกหมัด แล้วถือโอกาสตอนฉากหลบเขกหัวณัฐชาเบาๆ เธอโวยวายใส่เขา
“นี่ เขาให้มาชกมวยนะ ไม่ใช่มาล้อเล่น”
“โทษที แต่ผมไม่ชกผู้หญิง”
“แก”
ณัฐชาไล่ชก แต่ไม่โดนเลยสักหมัด แถมโดนฤทธิ์เคาะหัวจนเฮดการ์ดเลื่อนมาบังตา ไอริณกับคนอื่นหัวเราะกันใหญ่ ณัฐชาหงุดหงิด
“โว้ย ไม่ใช่ลูกนะ เขกหัวอยู่ได้”
“ผมว่าเราพอแค่นี้เถอะคุณ”
“ไม่”
ณัฐชาพุ่งหมัดใส่สุดแรง ฤทธิ์รีบฉากหลบอีก ส่งผลให้ณัฐชาชกโดนเสาเวทีเข้าอย่างจัง
“โอ้ย”
ไอริณตกใจ
“ณัฐชา”

ในห้องอาบน้ำฟิตเนส...ไอริณเพิ่งแต่งตัวเสร็จก็หันมาดูณัฐชาที่กำลังกุมมือครวญครางด้วยความเจ็บปวด
“อูย มือฉัน...มือฉัน...”
“สมน้ำหน้า คนเขามาดีแท้ๆ ดันไปหาเรื่องเขา”
“ไม่มีทางหรอก หมอนั่นต้องไม่ใช่คนดีแน่ ฉันว่าหน้ามันคุ้นๆนะไอริณ บางทีเขาอาจจะเป็นคนร้ายที่ฉันเคยเห็นในแฟ้มคดีไหนสักคดีก็ได้”
“เอา...เอาเข้าไป เรื่องเว่อร์นี่ไม่แพ้ใครเลยเพื่อนฉัน” ขณะเดียวกันนั้นโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ไอริณกดรับสาย “ฮัลโหล ไอริณพูดค่ะ"
มาวินซึ่งนั่งเอนหลังสบายๆอยู่บนรถตู้คันหนึ่งคุยโทรศัพท์
“สวัสดีครับคุณไอริณ”
“นั่นใคร”
“แหม แค่นี้ก็จำไม่ได้ ผมมาวินแฟนคลับของคุณไงครับ”
“ไอ้บ้า นี่แกอีกแล้วเหรอ แกรู้เบอร์ฉันได้ยังไง”
“โธ่...อย่าพูดจาตัดรอนแบบนั้นสิครับ ผมอุตส่าห์โทรมาหาคุณ ก็เพราะอยากร่วมงานด้วย เผอิญผมตั้งใจว่าเดือนหน้าจะเปิด บริษัททำหนังอยู่พอดี ไม่ทราบว่าคุณไอริณสนใจจะเป็นนางเอก
ของผมรึเปล่า”
“บริษัททำหนังเหรอ บริษัทฟอกเงินค้ายาสิไม่ว่า แกฝันไปเถอะ ฉันไม่มีทางลดตัวไปคบกับมาเฟียอย่างแกหรอก ไอ้โรคจิต ไอ้บ้า”
ไอริณรีบกดปุ่มวางสาย ขณะที่มาวินมองโทรศัพท์ของตน
“โอกาสสุดท้ายที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ คุณปฏิเสธมันเองนะคนสวย”
มาวินว่าแล้วก็มองไปที่แหลม ซึ่งนั่งอยู่บนรถพร้อมด้วยสมุนจำนวนหนึ่ง
“พร้อมจะลงสนามสอบรึยังไอ้แหลม”

ณัฐชาลากไอริณ มาซุ่มดูลาดเลาที่ประตูทางออกอย่างนึกระแวง
“นี่ณัฐชา รถเราไม่ได้จอดที่ฉันนี้ซะหน่อย”
“ฉันรู้น่า ว่าแต่เธอแน่ใจนะว่าคนที่โทรมาคือมาวิน”
“ฉันไม่ได้ประสาทหลอนนะเธอ เสียงมันทำไมฉันจะจำไม่ได้ แต่ฉันว่าคงไม่มีอะไรหรอก เราไปกันซะทีเถอะ เมื่อยแล้ว”
“รถจอดอยู่ข้างบน ไปทางบันไดนะ”
ไอริณพยักหน้าเซ็งๆ มองเพื่อนสาวว่าหวาดระแวงเกินเหตุ แต่พอจะเดินไปณัฐชาก็คว้าแขนไว้อีก
“เดี๋ยว”
ณัฐชาว่าก่อนจะย่อตัวลงดึงปืนพกจากซองที่ข้อเท้าส่งให้ไอริณ
“พกติดตัวไว้”
“เฮ้ย...เอาแบบนี้เลยเหรอ”
ณัฐชาพยักหน้าเอาจริง ขณะที่ไอริณมองปืนอย่างกล้าๆกลัวๆ

ณัฐชาเดินนำไอริณไปที่บันไดอย่างรีบเร่ง
“ณัฐชา เดินช้าๆก็ได้ ฉันบอกแล้วไงว่าไม่มีอะไรหรอก”
“เธอยังไม่รู้จักไอ้มาวิน ต่อให้มันเป็นหมาก็ไม่เหมือนหมาตัวอื่น ถ้าเห่าเสร็จเมื่อไหร่ มันกัดเมื่อนั้น”
“แต่ฉันว่า…”
ไอริณชะงักไปเมื่อเหลือบเห็นอะไรบางอย่าง ณัฐชามองตามไปจึงเห็นชายฉกรรจ์ที่สวมไอ้โม่งคลุมหน้าโผล่มาจากที่ซ่อนตามจุดต่างๆ จนล้อมกรอบทั่วทิศทาง พวกมันถือมีดไม้ครบมือ ณัฐชารีบบอก
“ไปที่รถไอริณ...ไป วิ่ง”
ไอริณเลิกลั่กอยู่ชั่วขณะก็รีบทำตามคำสั่ง ณัฐชาชักปืนออกมา
“พวกแกถอยไปนะ ไม่งั้นฉันยิงแน่”

ไอริณวิ่งขึ้นบันไดมายังฉันบนและเห็นรถที่จอดอยู่ เธอรีบควานหากุญแจในกระเป๋าสะพายมากดรีโมท แต่ทันใดนั้นแหลมและสมุนอีกชุดซึ่งสวมหมวกไอ้โม่งก็โผล่ออกมาแล้วตรงรี่เข้าหาเธอทันที
“อยู่นั่นโว้ย จัดการ”
ไอริณตกใจ
“ณัฐชา”

ณัฐชาเผลอตกใจหันไปตามเสียงของไอริณ
“ไอริณ”
จังหวะนั้นเองสมุนของแหลมคนหนึ่ง ปาท่อนเหล็กในมือไปถูกข้อมือณัฐชาจนปืนร่วงหลุดไป ณัฐชาตกใจมองตามปืน แต่ไม่ทันคว้าพวกสมุนของแหลมก็กรูเข้ามาถึงตัวแล้ว ณัฐชารีบต่อสู้อย่างสุดความสามารถ

ไอริณกรี๊ดลั่นก่อนจะชักปืนยิงสมุนของแหลมคนหนึ่งจนหงายล้มไป แหลมและสมุนคนอื่นพากันชะงัก
“เฮ้ย มันมีปืนโว้ยระวัง”
ด้วยความตกใจไอริณกราดยิงเปะปะไปทั่ว พวกแหลมหลบกันจ้าละหวั่น ไอริณยิงจนกระสุนหมดปืนดังแชะๆ แหลมยิ้มย่อง
“กระสุนหมดแล้วโว้ย จัดการ”
พวกแหลมกรูกันออกมาจากที่กำบังตรงเข้าหาไอริณ เธอรีบวิ่งหนีไปที่รถแล้วคว้ากุญแจมากดรีโมทปลดล็อค ไอริณเข้าไปนั่งในรถและกดล็อคหนีพวกแหลมได้อย่างฉิวเฉียด

ณัฐชาสู้เหมือนหมาจนตรอก เธอล็อคสมุนของแหลมคนหนึ่งเอาไว้แล้วใช้อาวุธในมือของมันมาชี้ขู่สมุนคนอื่น
“ไอ้พวกโจรห้าร้อย ฉันเป็นตำรวจนะ ถ้าขืนแกทำอะไรเพื่อนฉันละก็ พวกแกตายแน่”
พวกสมุนของแหลมดูท่าจะไม่กลัวเท่าไหร่ มันพยายามล้อมกรอบณัฐชาเอาไว้เพื่อจัดการปิดเกม

ไอริณกรี๊ดลั่นเมื่อคนของแหลมใช้ท่อนเหล็กทุบกระจกรถอย่างแรง แต่กระจกแค่ร้าวไม่ยอมแตกง่ายๆ แหลมอึ้งไป
“กระจกกันกระสุนนี่หว่า...แค่นี้ขวางพวกผมไม่ได้หรอกคุณหนู ลงมาจากรถดีๆเถอะ อย่าหาเรื่องเจ็บตัวดีกว่า”
ไอริณหน้าถอดสี ยิ่งเมื่อสมุนของแหลมช่วยกันเข็นรถอีกคันมาขวางหน้าเพื่อไม่ให้รถเธอแล่นหนีได้ จากนั้นพวกมันก็มารุมออรอบรถเต็มไปหมดจนไอริณทำอะไรไม่ถูก แต่แล้วฤทธิ์ก็โผล่มา เขาลงมือเล่นงานพวกของแหลมทีละคนอย่างรวดเร็ว กว่าแหลมจะรู้สึกผิดสังเกตและหันมองไปสมุนของมันก็โดนซัดร่วงไปสามรายแล้ว จังหวะที่ต่อสู้อยู่นั้นหมวกแก๊ปของเขาก็หลุดไป
“เฮ้ย เอ็งเป็นใครกันวะ” แหลมพอมองเห็นหน้าฤทธิ์ถนัดก็ตกใจ “เย้ย นี่เอ็ง เอ็งตายไปแล้วนี่หว่า”
ฤทธิ์เดินเข้าหา แหลมตาเหลือก
“ผีหลอก ผีหลอก”
แหลมวิ่งโกยอ้าวไปก่อนเพื่อน ฤทธิ์มองตามอย่างแปลกใจ แต่ไม่รู้ว่าแหลมเป็นใครเนื่องจากสวมไอ้โม่งอยู่

ณัฐชาหลังจากต่อกรกับพวกคนร้ายได้สักพัก ก็กลิ้งไปคว้าปืนของเธอที่หล่นอยู่ขึ้นมายิงใส่พวกมัน พวกคนร้ายพอเห็นปืนก็วิ่งหนีกันไปอย่างไม่เป็นขบวน
“ไอ้พวกหมาหมู่ แน่จริงก็กลับมาสิ” เธอนึกขึ้นได้ “ไอริณ”
ณัฐชารีบวิ่งขึ้นไปดูไอริณ

แหลมกับพวกเพิ่งวิ่งหนีกันไปไม่นานนัก ณัฐชาถือปืนวิ่งขึ้นมายังอาคารจอดรถชั้นบน เธอเห็นฤทธิ์กำลังยืนเกาะรถคุยกับไอริณอยู่ก็รีบเอาปืนจ่อโดยไม่สนว่าใครเป็นใคร
“ยกมือขึ้น แกถูกจับแล้วไอ้พวกมาเฟีย”
ฤทธิ์ชูมือขึ้นอย่างใจเย็น ไอริณรีบอธิบาย
“เดี๋ยวก่อนณัฐชา นี่คุณโทมัสที่เราเจอในฟิตเนส เขาช่วยฉันเอาไว้”
ณัฐชาอึ้งไป
“อะไรนะ”
ฤทธิ์หันมามองหน้าณัฐชาๆจำได้ทันที
“นี่แก แกเองเหรอ”
ฤทธิ์ทำไม่รู้ไม่ชี้
“คุณพูดถึงอะไร”
“ฉันจำแกได้แล้ว แกคือแฟนของใจทิพย์”
ทั้งฤทธิ์และไอริณต่างนิ่งอึ้งตะลึงงัน

สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ...ไมตรีกับปรีดากำลังหารือกันอย่างเคร่งเครียด ขณะที่ราเมศเพิ่งมาถึง
“ว่าไงหมู่จ่า ได้ผลการชันสูตรแล้วรึยัง”
ไมตรีเข้ามาหา
“เอ่อ ผู้กองทำใจดีๆไว้นะครับ คือพวกเรามีข่าวร้ายจะบอก”
ราเมศมองหน้า
“ผิดคิวสิท่า หรือหมอยังไม่ว่างผ่า”
ปรีดาเข้ามาบอกอีกคน
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับผู้กอง หมอว่างแต่ผ่าไม่ได้ครับ เพราะศพหาย”
ราเมศชะงักอึ้ง
“อะไรนะ หายไปได้ยังไง”

ประตูลิฟต์เปิดออก ราเมศรีบก้าวเข้าไปก่อนจะหันมาสั่งไมตรีกับปรีดา
“ผมจะไปเช็กภาพจากกล้องวงจรปิด ระหว่างนี้หมู่กับจ่ารีบตามหาศพโดยด่วน”
ไมตรีหน้าเหวอ
“ตามหาศพ...จะให้ไปตามที่ไหนล่ะครับผู้กอง”
“กลางวันแสกๆ ไม่มีใครขนศพตั้งสามศพออกนอกโรงบาลได้หรอกจ่า มันต้องอยู่แถวนี้แน่”
ไมตรีกับปรีดามองหน้ากันอึ้งๆ

ศพมากมายถูกเก็บอยู่ในห้องดับจิต ระหว่างนั้นไมตรีก็ลากปรีดาเข้ามาในห้อง
“อะไรล่ะหมู่ คนร้ายมันตายไปแล้ว คนตายมันขยับไม่ได้ หมู่จะกลัวทำไม”
“ผ...ผ...ผมไม่ได้กลัวศพครับจ่า แต่ผมกลัวผี”
“เราเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์นะหมู่ หมู่ช่วยรักษาภาพลักษณ์หน่อยได้มั้ย โดยเฉพาะปอดน่ะ อย่าแหกให้มันมากนัก...เอ้ารีบไปหาศพเร็ว”
ปรีดาหวาดๆ
“หาที่ไหนล่ะจ่า”
“ก็ดูๆไปเถอะ เผื่อจะหล่นอยู่ใต้เตียง”
ปรีดาดูแบบแวบๆ
“ไม่มี”
“เออดี งั้นเราไปกันเถอะ”
ปรีดาเห็นไมตรีโกยแน่บก็รีบตาม
“อ้าวเฮ้ยจ่า รอผมด้วย”

ในศูนย์รักษาความปลอดภัยสถาบันนิติเวช...ราเมศนั่งดูเทปอย่างใจจดใจจ่อ โดยมีหัวหน้า ร.ป.ภ.นั่งอยู่ข้างๆ
“เป็นไปไม่ได้หรอกครับผู้กอง บริเวณนั้นมีคนของผมคอยเฝ้าตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ถ้ามีคนร้ายบุกเข้าไปขโมยศพจริงๆก็ต้องมีคนเห็นสิครับ”
ราเมศไม่สนใจ กรอเทปดูไปเรื่อยๆจนสะดุดตาเข้ากับ
“นั่นใคร”
“ไหนครับผู้กอง” หัวหน้า ร.ป.ภ มองแล้วอึ้งไปสักพัก “เฮ้ย”
ภาพที่จอมอนิเตอร์ เห็นคนร้ายทั้งสามที่ถูกฤทธิ์ฆ่าตาย ทยอยกันเดินโงนเงนโซเซออกจากห้องดับจิต ศพแรกเดินนำออกไปก่อน อีกสองศพเดินตามมาเหมือนตามจ่าฝูง

ไมตรีกับปรีดากำลังจะเดินออกจากแผนกห้องเก็บศพของนิติเวชด้วยความงุนงง ทั้งคู่หยุดคุยกันตรงเคาน์เตอร์ยาม
“แปล๊กแปลก” ไมตรีบ่น
“อะไรอีกอ่ะจ่า”
“ก็ศพคนร้ายน่ะสิมันจะหายไปได้ยังไง แล้วทำไมถึงหาย แล้วหายไปตั้งสามศพโดยไม่มีใครเห็น”
“โอ้โห ถามเยอะถามแยะ จ่าถามผมแล้วผมจะไปถามใครล่ะครับ”
“นั่นสิ” ไมตรีมองไปที่เคาน์เตอร์ “อ้าวแล้วยามหายไปไหนวะเนี่ย ว่าจะถามอะไรซะหน่อย”
“สงสัยออกไปกินข้าวมั้งจ่า”
ปรีดาเผอิญชะเง้อข้ามเคาน์เตอร์ไปแล้วตาค้าง เมื่อเห็นคนร้ายทั้งสามที่ตายไปแล้วกำลังรุมกินเนื้อจากศพยาม ปรีดาตาเหลือกแทบหยุดหายใจ
“หืด...”
ไมตรีรีบถาม
“อะไรหมู่ มีอะไร”
ปรีดาค่อยๆถอยออกมา
“ศพ…ศพ…”
“เออ ก็ใช่สิ เรากำลังหาศพอยู่ หรือหมู่คิดว่าหาอย่างอื่น”
ไมตรีพูดไปเรื่อย โดยไม่รู้เลยว่าคนร้ายทั้งสามคนซึ่งกลายเป็นผีดิบกำลังยืนขึ้นมาด้านหลัง ปรีดาตื่นกลัวตัวสั่น
“ย...ยืน...ยืนแล้ว”
ไมตรียังไม่รู้
“ฮือ...ก็ยืนตั้งนานแล้ว ใครบอกว่าผมนั่งล่ะ”
ปรีดาพูดติดอ่างเพราะกลัวมาก
“ส.”.สาม…ศพ ครบเลย”
ไมตรีจ้องหน้า
“สามศพ...ศพคนร้ายเหรอหมู่ อยู่ที่ไหน”
ปรีดาชี้ไปข้างหลัง ไมตรีหันไปเห็นผีดิบของคนร้ายก็ตกใจอ้าปากค้าง ผีดิบทั้งสามอ้าปากแยกเขี้ยวที่เกรอะกรังไปด้วยเลือด

ราเมศวิ่งมาดูที่ทางเดินเพราะเสียงของไมตรีกับปรีดาและเห็นลูกน้องทั้งสองวิ่งพ้นหัวมุมมาในสภาพลนลาน ปรีดาล้มลุกคลุกคลานแทบจะตะกายพื้นหนี ขณะที่ไมตรีก้าวขาไม่ออก ราเมศตกใจ
“หมู่...จ่า”
ไมตรีละล่ำละลักบอก
“ผ…ผีครับผู้กอง ผีหลอก”
ปรีดาตื่นกลัวรนราน
“คนร้ายมันฟื้นขึ้นมาแล้วครับผู้กอง มันเป็นผีดิบทั้งสามตัวเลยครับ”
ราเมศมองไปอย่างแปลกใจ เมื่อเห็นศพคนร้ายทั้งสามเดินโงนเงนมา ไมตรีกลัวตัวสั่น
“อร้ายมาแล้วครับผู้กอง พยานปากสำคัญ เดินมาแล้ว”
ปรีดารีบบอก
“ผู้กองทำอะไรเข้าสักอย่างสิครับ ช่วยพวกผมด้วย”
ราเมศได้สติ
“หมอบลง”
ราเมศตัดสินใจควักปืนออกมาเล็งยิงใส่ศพของคนร้ายรายหนึ่งหลายนัดเห็นมันผงะเซไปเล็กน้อยก่อนจะเดินหน้าต่อได้อีก ไมตรีตะลึง
“ผู้กอง มันยังไม่ตายครับ มันยังไม่ตาย อร้าย กรี๊ด”
ปรีดามองหน้าไมตรี
“โอ้โหแล้วบอกให้ลูกน้องรักษาภาพลักษณ์ ตัวเองกรี๊ดซะแต๋วแตก”
“กูกลัวโว้ย กูควบคุมตัวเองไม่ได้”
ราเมศเมื่อเห็นว่าผีดิบทั้งสามเดินใกล้เข้ามาทุกที ก็เปลี่ยนเป้าหมายมาเล็งที่ศีรษะและเหนี่ยวไกยิงสามนัดซ้อน ผีดิบทั้งสามตัวถูกยิงจนร่วงไป

ในออฟฟิศกองปราบ...ณัฐชาเพิ่งสั่งงานตำรวจในเครื่องแบบ และกำลังจะกลับไปที่ห้องสอบสวน แต่แล้วไอริณที่นั่งรออยู่ก็รีบเข้ามาสอบถาม
“นี่เธอจะทำอะไรกันแน่ณัฐชา ผู้ชายคนนั้นเขาช่วยฉันเอาไว้นะ”
“ฉันรู้ แต่ฉันจำไม่ผิดแน่ เขาคือคนรักของใจทิพย์ คนที่ทำให้ใจทิพย์หายสาบสูญไป”
“แล้วเธอจะทำอะไรกับเขา”
“ฉันจะเค้นความจริงจากเขา ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับใจทิพย์”ณัฐชาบอกอย่างมุ่งมั่น

ฤทธิ์นั่งรออยู่ในห้องสอบสวนอย่างสงบนิ่ง ก่อนที่ณัฐชาจะถือแก้วน้ำมาเสิร์ฟให้
“ทานน้ำก่อนสิคะผู้หมวดฤทธิ์ ราวี...นั่นชื่อคุณใช่มั้ย”
ฤทธิ์ขัดขึ้นเสียงนิ่ง
“ผมชื่อโทมัส เป็นหลานชายของมาดามหลิว”
“ให้การเท็จมีโทษหนักนะผู้หมวด ไม่ว่าคุณจะโกหกยังไงแต่ลายนิ้วมือคุณ มันไม่มีทางโกหกเหมือนคุณแน่”
ฤทธิ์พยักหน้ารับทราบ เขาเอื้อมมือไปจะหยิบแก้วน้ำแต่ณัฐชาก็ชิงคว้าข้อมือไว้เสียก่อน
“บอกฉันหน่อยว่าใจทิพย์หายไปไหน”
ฤทธิ์มองมือณัฐชา
“นี่อะไร เครื่องจับเท็จเหรอ”
“ชีพจรคนเราส่วนใหญ่เต้นถี่ขึ้นเสมอ เวลาพูดโกหก”
“คุณตำรวจ ผมไม่รู้ว่าคุณพูดถึงใคร แต่ที่แน่ๆ ผมไม่ใช่ฤทธิ์ ราวี”
ณัฐชามองฤทธิ์อย่างจับพิรุธ

ราเมศ ไมตรี ปรีดากลับมาที่กองปราบด้วยสีหน้าตึงเครียดจากเหตุการณ์ระทึกขวัญก่อนหน้านี้ ราเมศกำชับกับลูกน้องทั้งสอง
“อย่าบอกใครเรื่องศพเดินได้เด็ดขาด ไม่งั้นเขาต้องหาว่าเราเพี้ยนแน่ๆ”
ไมตรีหนักใจ
“เรื่องใหญ่ขนาดนี้จะปิดเป็นความลับเหรอครับผู้กอง”
ปรีดาเห็นด้วยกับไมตรี
“นั่นสิครับ เรื่องนี้มันเรื่องระดับชาติเลยนะครับผู้กอง”
“ผมรู้ แต่นักข่าวจะทำให้ชาวบ้านแตกตื่นทั้งเมือง เพราะข่าวผีดิบซอมบี้”
ทันใดนั้นเสียงโซเฟียดังขึ้น
“ผู้กองราเมศคะ”
ราเมศหันมองไปเห็นโซเฟียอยู่ในชุดสาวออฟฟิศดูแปลกตา เธอยืนอยู่โดยมีชาญเป็นผู้ติดตาม
“ฉันโซเฟียค่ะ เป็นทนายและคนสนิทของมาดามหลิว”

ณัฐชากระชากคอฤทธิ์ขึ้นมาอย่างเหลืออด
“ฟังนะไอ้ตัวแสบ อีกเดี๋ยวคนของฉันจะโทรเข้ามาในห้องนี้ ทันทีที่เขารู้ผลการพิสูจน์ลายนิ้วมือว่านายเป็นใครกันแน่ ถึงตอนนั้นแกเตรียมตัวเจอข้อหาฆาตกรรมได้เลย”
“ต่อให้ผมเป็นฤทธิ์ ราวี คุณก็ไม่มีสิทธิ์ดำเนินคดีกับผม ในเมื่อคุณยังไม่มีหลักฐานด้วยซ้ำว่าใจทิพย์ตายจริงรึเปล่า”
“ไม่จริง”
“คุณโกหก”
“แกรู้ได้ยังไง”
ฤทธิ์มองมือณัฐชาที่จับคอเสื้อเขาอยู่
“ชีพจรคุณตอนนี้เต้นแรง กว่าผมซะอีก”
ณัฐชาเข่นเขี้ยวก่อนที่โทรศัพท์ภายในจะดังขึ้น เธอรับสาย
“ว่าไง”
“ผู้หมวด ผู้ชายคนที่คุณจับมาคือมิสเตอร์โทมัส หลิว หลานชายของมาดามหลิวเจ้าของบริษัทผลิตย บลูฟินิกซ์ฟาร์ม่า”
“แน่ใจนะ”
“เข้าถึงข้อมูลของเขาได้ยากหน่อย ตามประสาพวกไฮโซจบนอก แต่ยืนยันได้ล้านเปอร์เซ็นต์ว่าเป็นเขา”
ณัฐชาหน้าเจื่อน จังหวะเดียวกับที่ราเมศเคาะประตูแล้วผลักเข้ามาอย่างรีบร้อน
“ผู้กอง” ฌัฐชาชะงัก
ราเมศสั่งเสียงเข้ม
“คุณออกไปรอผมข้างนอก” ราเมศหันมาหาฤทธิ์ “คุณโทมัส ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้คุณเดือดร้อน”
ฤทธิ์ยิ้มรับ ก่อนจะมองไปที่ณัฐชาอย่างกวนๆ

ไอริณจับมือกับฤทธิ์ ก่อนที่เขาจะเดินทางกลับไปพร้อมชาญและโซเฟีย
“ขอบคุณมากค่ะคุณโทมัส หวังว่าฉันคงมีโอกาสได้ตอบแทนคุณบ้างนะคะ”
“ผมรับรองว่าเราต้องได้เจอกันอีกแน่ครับคุณไอริณในฐานะที่ผมเป็นแฟนคลับของคุณ”
ไอริณมองฤทธิ์อย่างรู้สึกดี

ราเมศโวยใส่ณัฐชา ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่หน้าห้องทำงาน
“นี่คุณสติดีรึเปล่าผู้หมวด ผู้ชายคนนั้นเขาช่วยคุณไอริณเอาไว้ แต่คุณดันไปปรักปรำว่าเขาเป็นคนร้าย”
“ก็เจาหน้าเหมือนคนร้ายจริงๆนี่คะผู้กอง”
“ผู้หมวดฤทธิ์ ราวีผมเคยเห็นรูปเขาแล้ว หมอนั่นมีแผลเป็นที่หน้า”
ณัฐชายังเถียง
“นายโทมัสอาจจะทำศัลยกรรมมาก็ได้นี่คะ”
“แต่เราไม่มีข้อมูลเรื่องนั้น ที่สำคัญผลการพิสูจน์ลายนิ้วมือก็ออกมาแล้วว่าเขาเป็นใคร...มาดามหลิวเขารวยมากนะ ทีมทนายของเขาน่ะใหญ่กว่าทีมฟุตบอลซะอีก”
“แล้วผู้กองจะให้ฉันทำยังไงคะ”
“ผมอยากให้คุณไปขอขมาเขา”
ณัฐชาตีหน้าเบ้ทันที

ค่ำนั้น โซเฟียกับชาญพาฤทธิ์มาที่ห้องทานข้าวซึ่งมาดามหลิวกำลังทานอาหารอยู่ก่อน
“นั่งสิ” มาดามหลิวเชื้อเชิญ
ฤทธิ์นั่งตั้งหลักสักครู่
“เรื่องวันนี้…”
มาดามหลิวแทรกขึ้น
“ณัฐชากับไอริณเป็นเพื่อนรักของใจทิพย์ ชาญบอกฉันหมดแล้ว”
ฤทธิ์มองไปที่ชาญเห็นเขายักไหล่ประมาณว่าต้องทำตามหน้าที่ ช่วยไม่ได้
“ความผูกพันจะทำให้เธอยุ่งยากนะโทมัส เชื่อฉันเถอะ”
“สองคนนั่นไม่เกี่ยวกับภารกิจของเรา ผมก็แค่อยากรู้เรื่องของใจทิพย์จากพวกเขา”
“แล้วถ้าฉันบอกว่าเกี่ยวล่ะ”
ชาญเห็นฤทธิ์อึ้งไปก็พูดขึ้น
“มาดามได้เบาะแสมาว่าบางทีท่านนำชัยอาจเป็น สมาชิกของพรายพิฆาต”
ฤทธิ์อึ้งไป โซเฟียได้แต่มองเขาอย่างนึกเห็นใจอยู่ลึกๆ

นำชัยมาพบกับบอสที่อาคารร้างแห่งเดิมตามลำพัง
“ไหนคุณบอกว่าพรายพิฆาตจะปกป้องสมาชิกขององค์กรเหมือนพี่น้องไอ้มาเฟียนั่นมันรังแกลูกสาวผม ทำไมคุณไม่จัดการกับมัน”
“ใจเย็นๆ คุณนำชัย ตำรวจกำลังจัดการเรื่องนี้ ถ้าเราเข้าไปยุ่งคนอื่นอาจสงสัยเบื้องหลังของคุณก็ได้ แล้วที่สำคัญเรากำลังเจอปัญหาใหญ่ ทั้งเรื่องการทดลองคืนชีพที่ล้มเหลว และเรื่องมือสังหารที่ใช้ดาบคู่เป็นอาวุธ”
นำชัยแปลกใจ
“มือสังหาร ตกลงมันมีจริงเหรอ”
“มันอยู่ใกล้เรามากกว่าที่คิด คุณนำชัย แต่ไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะให้คนของผมติดตามคุณ เชื่อว่าเขาจะต้องรับมือกับมันได้”
ทันใดนั้น เงาของชายคนหนึ่งเดินเข้ามาทางด้านหลัง นำชัยหันมองไป
“นี่คุณเองเหรอ”

ภัตตาคารดอกบัวขาว บรรยากาศสงบ เหล่าไฮโซนั่งทานติ่มซำกันเพลินอารมณ์ จู่ๆณัฐชาก็พาตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบเป็นโขยงบุกเข้ามาในร้าน ผู้จัดการพึมพำ
“เวรแล้ว อะไรกันวะ”
ณัฐชาสั่ง
“ค้นให้ทั่วทุกซอกทุกมุม ลูกค้าคนไหนมีพิรุธให้พาไปตรวจปัสสาวะให้หมด”
ผู้จัดการเข้ามา
“เอ่อคุณตำรวจครับ นี่มันเรื่องอะไรกันครับเนี่ย”
ณัฐชาชูหมายค้น
“ขอโทษ เราสงสัยว่าที่นี่เป็นแหล่งจำหน่ายยาเสพย์ติด”
“ที่นี่เป็นภัตตาคารนะครับไม่ใช่บาร์เหล้า ไม่มียาแบบนั้นหรอกครับ”
“นายมาวินเป็นหุ้นส่วนที่นี่ใช่รึเปล่า”
“ครับ”
“นั่นแหละที่ทำเราสงสัย...ค้นให้ทั่ว”

ณัฐชาถีบประตูเข้ามาในห้อง พบมาวินที่นั่งดวดเหล้าอยู่กับแหลม
“เฮ้ย...เข้ามาได้ยังไงวะ” แหลมโวยวาย
ณัฐชาถีบแหลมหงายไปทั้งเก้าอี้ ก่อนจะชักปืนมาฟาดหัวมาวินจนคว่ำ มาวินตกใจโกรธ
“คุณตำรวจ”
“ถึงไม่มีหลักฐานแต่ฉันก็รู้ว่าเป็นแกไอ้มาวิน ฟังให้ดีนะ ถ้าแกยุ่งกับไอริณอีกล่ะก็ ฉันเอาแกตายแน่”
“รักเพื่อนเหลือเกินคุณตำรวจ แต่ข่มขู่กันแบบนี้มันผิดกฎหมายนะ”
“ฉันรู้ แต่เดนมนุษย์อย่างแก มันต้องพูดกันด้วยวิธีนี้”
ณัฐชาเอาจริง มาวินมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความแค้น

ใกล้ค่ำของวันต่อมา ราเมศมาหานำชัยที่บ้านนั่งคุยกันอยู่ในห้องรับแขก ทั้งคู่อยู่ในชุดสูทสำหรับใส่ไปงานเลี้ยง
“งานเลี้ยงครบรอบสิบห้าปีของบริษัทบลูฟินิกซ์ฟาร์ม่า อันที่จริงผมก็ไม่คิดว่าจะไปร่วมงานหรอกนะ แต่เพราะหลานชายของมาดามหลิวเป็นคนช่วยไอริณเอาไว้ ผมก็เลยตั้งใจว่าจะไปขอบคุณเขาซะหน่อย”
“เช่นกันครับท่าน ผมเองก็ตั้งใจว่าจะให้หมวดณัฐชาไปขอโทษคุณโทมัสอยู่เหมือนกัน”
นำชัยดูนาฬิกา
“แล้วนี่สองสาวมัวทำอะไรอยู่นะ ทำไมถึงยังไม่ลงมาอีก”

ณัฐชายืนเซ็งอยู่หน้ากระจกในห้องนอนไอริณ คอยรับชุดที่ไอริณส่งออกมาจากตู้เสื้อผ้า
“เอ้านี่ ชุดนี้ เลิศสุด”
“ฮึย...จะให้ฉันแต่งตัวแบบนี้จริงๆเหรอ ฉันเป็นตำรวจนะ”
“เป็นตำรวจแล้วห้ามสวยหรือไง เชื่อฉันเหอะน่า รับรองผู้กองราเมศต้องตะลึงตาค้างแน่”
ณัฐชายิ้มขำ ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้
“เออนี่ไอริณ เรื่องคุณโทมัสน่ะ ฉันว่า…”
ไอริณตัดบท
“ขอทีเถอะณัฐชา เขาช่วยฉันเอาไว้นะ ฉันว่าเขาไม่ใช่คนร้ายหรอก”
“แต่เขาอาจเป็นแฟนของใจทิพย์ก็ได้นะ”
“เธอพิสูจน์ได้มั้ยล่ะ ถ้าพิสูจน์ได้ ฉันจะเลิกคบกับเขา”
ณัฐชามองไอริณอย่างหนักใจ

ไอริณกระวีกระวาดลงบันไดมาหาราเมศ กับนำชัยที่กำลังนั่งรออยู่
“อะแฮ่ม พร้อมแล้วค่ะ แต่ชมอย่างเดียวนะคะ ห้ามติเด็ดขาด”
นำชัยดูนาฬิกาข้อมือ
“จะเอายังไงก็เอาเถอะลูก นี่จวนถึงเวลาเดินทางแล้ว”
ไอริณหันไปเรียก
“ณัฐชา ลงมาได้แล้ว”
ณัฐชาซึ่งสวมชุดราตรีก็เดินลงมาเขินๆ แต่เธอดูสวยผิดหูผิดตาไปจากเดิมมาก นำชัยชื่นชม
“โอ้โหณัฐชา นี่ถ้าไอริณไม่ยืนยันผมคงไม่เชื่อ ไม่ยักรู้ว่าลูกน้องของผู้กองราเมศจะสวยขนาดนี้”
ราเมศอึ้ง
“ณัฐชา”
ณัฐชายิ้มให้ราเมศเขินๆ ก่อนจะยิ้มให้กับไอริณในฐานะคนที่เป็นแม่สื่อ

ค่ำนั้น แหลมเดินเข้ามาในภัตตาคารบัวขาวและเผอิญเหลือบไปเห็นทีวีที่กำลังถ่ายทอดข่าวของฤทธิ์ แหลมจึงเห็นหน้าของฤทธิ์ถนัดตา
“โทมัส หลิว อ้าวเฮ้ย...มันไม่ใช่ผีนี่หว่า”

มาวินงง กับคำบอกเล่าของแหลม
“อะไรของเอ็งวะไอ้แหลม ตกลงมันเป็นผีหรือเป็นเศรษฐีกันแน่”
“คือผมเคยเข้าใจว่ามันเป็นผีครับคุณมาวิน แต่ว่าตอนนี้มันเศรษฐีครับ”
“เอ็งแน่ใจเหรอวะ ว่าเป็นคนเดียวกัน”
“แน่สิครับ ผมสู้กับมันมาตั้งหลายครั้ง มันนี่แหละครับที่เป็นศัตรูกับพรายพิฆาต และเป็นต้นเหตุที่ให้คุณปาร์กต้องโดนสั่งเก็บไปด้วย”
มาวินครุ่นคิด
“พรายพิฆาต ศัตรูของพรายพิฆาต” มาวินยิ้มออกมา “ฮืม งั้นถ้าเกิดอะไรขึ้นกับมันในงานเลี้ยง ก็อาจเป็นไปได้ว่าเป็นฝีมือของพรายพิฆาตใช่มั้ย”
แหลมนิ่วหน้าไม่เข้าใจว่ามาวินมีแผนอะไรอีก

ฤทธิ์แต่งตัวและมองเงาของตัวเองในกระจกอย่างใช้ความคิด คำพูดที่มาดามหลิวพยายามย้ำเตือนเขาแว่บเข้ามาในหัว
“จำได้มั้ยที่เธอเคยบอกกับฉัน เธอพูดว่าจะฆ่าพวกพรายพิฆาตทุกคน จนกว่ามันจะหมดไปจากโลกนี้ ฉันถามหน่อยเถอะ ถ้าคุณไอริณ กับผู้หมวดณัฐชาเป็นพรายพิฆาต เธอจะฆ่าผู้หญิงสองคนนั่นได้รึเปล่า”
ฤทธิ์รำพึงออกมา
“ขออย่าให้เป็นแบบนั้นเลยใจทิพย์ ผมไม่อยากทำร้ายเพื่อนของคุณ”

นำชัยกับทุกคนกำลังขึ้นรถเพื่อเดินทางไปงานเลี้ยง แต่แล้วณัฐชาก็สะดุดตากับชายท่าทางไม่คุ้นหน้าคนหนึ่งที่กำลังเปิดประตูรถให้เธอ
“เอ่อ คุณคนนี้”
นำชัยยิ้ม
“อ้อลืมแนะนำไป นี่คือบอดี้การ์ดคนใหม่ของลูกไอริณ อดีตนายทหารจากหน่วยรบพิเศษ เขาชื่อว่าคุณกรณ์”

กรณ์หันมายิ้มให้ไอริณกับณัฐชา พรายพิฆาตส่งเขามา เพื่อรับมือกับนักสู้มหากาฬโดยเฉพาะ!

 
อ่านต่อตอนต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น