นักสู้มหากาฬ ตอนที่ 1
บริเวณสนามหญ้าหน้าคฤหาสน์มาดามหลิว มีปาร์ตี้เล็กๆ ในหมู่ญาติมิตร ทุกคนมาเพื่อฉลองวันเกิดให้กับเหมย ลูกสาววัย 4 ขวบของมาดามหลิว ขณะนั้นเหมยกำลังอวดหน้ากากแฟนซี ซึ่งเป็นของขวัญวันเกิดให้ปีเตอร์ พ่อของเธอได้ชม
คนรับใช้หลายคนยกถาดอาหารเดินเสิร์ฟแขกที่มาร่วมงาน มาดามหลิวเดินออกมาจากบ้านและมองสามี ลูก ญาติๆ ด้วยความอิ่มเอมใจ เหมยพอเห็นแม่ก็ผละลุกวิ่งไปหา
“แม่คะ หนูมีหน้ากากด้วย”
เวลานั้นเองที่เหมยชนกล่องของขวัญกล่องหนึ่งร่วงจากโต๊ะ การ์ดที่ผูกมากับกล่องมีเครื่องหมายโลโก้ของพรายพิฆาต มาดามหลิวเอะใจตะโกนลั่น
“ระวัง”
กล่องนั้นมีแสงเรืองขึ้น ราวกับมีลูกไฟซ่อนอยู่ข้างใน วินาทีมรณะมาเยือน เมื่อระเบิดที่ซ่อนอยู่ในกล่องของขวัญทำงาน ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบรัศมีถูกทำลายไม่เป็นชิ้นดี รวมทั้งชีวิตของมาดามหลิวกับครอบครัว เมื่อควันระเบิดจางลง ร่างของมาดามหลิวนอนจมกองเลือด หน้ากากของลูกสาวลอยละลิ่วอยู่ในอากาศโดยมีเปลวเพลิงติดอยู่
เมืองพัทยายามค่ำคืน...ในห้องเช่าโรงแรมจิ้งหรีดสภาพซอมซ่อ คับแคบ สกปรก เกลื่อนไปด้วยขวดเหล้า กล่องอาหาร และเศษขยะ...ทีวีถูกเปิดทิ้งไว้ ขณะที่ฤทธิ์ กำลังนอนตะแคงไม่เป็นสภาพอยู่บนเตียง ภาพที่จอทีวี นักข่าวกำลังรายงานข่าว
“ช่วงที่ผ่านมาได้เกิดเหตุลอบสังหารนักธุรกิจ นักการเมือง รวมไปถึงบุคคลที่มีชื่อเสียงหลายท่านในบ้านเรา โดยมีเบาะแสว่า บุคคลเหล่านั้นกำลังมีปัญหากับองค์กรลึกลับที่ชื่อพรายพิฆาต”
ร้อยตำรวจเอก ราเมศ แสงธรรม กำลังให้สัมภาษณ์ในรายการ
“เท่าที่เราสืบทราบ ตอนนี้ชื่อพรายพิฆาตได้ปรากฏอยู่ทั่วทุกมุมโลก โดยไม่มีใครรู้ว่านายใหญ่ขององค์กรเป็นใครและมีสมาชิกจำนวนเท่าไหร่...เหยื่อที่รอดตายบางคนให้การว่า เป้าหมายของ พวกมันก็คือ สร้างโลกใหม่ที่เป็นเอกภาพ โดยการทำลายล้าง”
“หมายถึงอะไรบ้างคะ” ผู้สื่อข่าวถาม
“ระบบ...ความเชื่อ…โครงสร้างเดิมของสังคม ไม่ว่าจะเป็นการปกครอง เชื้อชาติ หรือศาสนา ทำลายทุกอย่างเพื่อสร้างโลกใหม่ที่ทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยไม่มีความแตกต่างอีกต่อไป”
ฤทธิ์ลืมตาขึ้น…แววตาเหม่อมองไปอย่างว่างเปล่า เขาเริ่มครุ่นคิดว่าตัวเองเป็นใคร แล้วมาทำอะไรอยู่ที่นี่...ฤทธิ์เปิดตู้เย็นแล้วควานหาเหล้าดื่ม แต่กลับเจอกระป๋องเบียร์เปล่าๆ กับเหล้าที่เหลือติดก้นขวดเท่านั้น
พัทยาเต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายสัญชาติ ฤทธิ์เดินกอดอกมาหนาวๆ ไม่ได้หนาวเพราะอากาศ แต่หนาวเพราะความอยากสุรา หน้าของเขา ดวงตาเต็มไปด้วยความโศกเศร้า และว่างเปล่า เหมือนชีวิตถูกสาปไว้กับความหลัง ระหว่างทางฤทธิ์เดินสวนกับชายสวมเสื้อแจ็คเก็ตแบบมีฮู้ดคลุมศีรษะคนหนึ่ง ในความมืดฤทธิ์ไม่อาจเห็นหน้าชายคนนั้น หมอนั่นเดินผ่านเขาไปก่อนจะเหลียวมามองแวบหนึ่ง
ฤทธิ์เข้ามาในมินิมาร์ท...เขายืนอยู่ที่ตู้แช่เครื่องดื่มคว้าทุกอย่างที่ทำให้เมาได้ใส่ลงในตะกร้า แต่แล้วทันใดนั้นเองใจทิพย์ก็จูงเด็กเร่ร่อนคนนึงวิ่งแจ้นหนีเข้ามาข้างใน นั่นเป็นวินาทีแรกที่ฤทธิ์เห็นใจทิพย์ หญิงสาวอยู่ในอารามตื่นกลัว เธอชะงักสบตากับเขาเสี้ยววินาทีหนึ่ง ก่อนจะรีบคว้าโทรศัพท์มือถือมาโทรหาตำรวจแต่โทรไม่ติด เธอกลัวจนมือไม้สั่น ใจทิพย์หันไปบอกกับพนักงาน
“คุณคะ ช่วยโทรเรียกตำรวจให้ที มีคนตามฉันมา”
“อะไรคุณ อย่ามีเรื่องในนี้นะ ออกไปที่อื่น”
ใจทิพย์มองไปด้านนอก
“พวกมันมาแล้ว”
แหลม คนไทยซึ่งทำงานให้แก๊งมาเฟียข้ามชาติ เดินนำพวกนักเลงนานาชาติประมาณ 3-4 คนตามเข้ามาในร้าน
“ส่งเด็กมา” แหลมตะคอก
“ไม่...ฉันจะพาเด็กกลับบ้าน”
“อย่าจุ้นดีกว่ามั้ง เราจ่ายเงินให้พ่อแม่เด็กไปแล้ว มันต้องไปหาลูกค้ากับเรา”
แหลมเดินเข้ามา ใจทิพย์ถอยกรูด ดึงเด็กไปหลบข้างหลัง ฤทธิ์มองเด็กคนนั้นและมันทำให้เขาได้สติ
“ถอยไปนะ...ตำรวจกำลังมา ฉันโทรตามแล้ว” ใจทิพย์ขู่
แหลมมองไปที่พนักงานเป็นเชิงถาม พนักงาน รีบส่ายหน้าด้วยความกลัว
“นางตัวแสบ”
แหลมยื่นมือไปคว้าคอเสื้อใจทิพย์ แต่แล้วไม่ทันถึงที่หมาย มือของฤทธิ์ก็คว้าข้อมือมันไว้เสียก่อน
“เอ็งเป็นใครวะ”
“ออกไป” ฤทธิ์ตวาดไล่เสียงแข็ง
แหลมมองหน้าฤทธิ์อย่างคาดคะเน หน้าแดงก่ำ ท่าทางเมาแบบนี้ไม่น่าจะเท่าไหร่ ดังนั้นมันจึงเหวี่ยงหมัดอีกข้างใส่ทันที วินาทีนั้นฤทธิ์กลับหลบหมัดของแหลมได้อย่างว่องไว เขาตอบโต้ด้วยการบิดแขนอีกข้างของแหลมซึ่งเขากุมไว้ตอนแรกจนดังกร๊อบ ทั้งใจทิพย์และทุกคนพากันตกตะลึงขณะที่แหลมแผดร้องเสียงหลง ทรุดล้มไปกุมแขนกับพื้น
“อ๊าก...แขน...แขนกู...แขนกู” แหลมหันไปตวาดสมุน “มัวยืนทำซากอะไรอยู่วะ กระทืบมันสิโว้ย”
พวกสมุนพากันกรูเข้าหาฤทธิ์...สมุนของแหลมคนหนึ่งถูกถีบทะลุลอยออกไปกลิ้งที่ฟุตบาทหน้าร้าน ในร้านฤทธิ์เปิดฉากชกกับสมุนของแหลมแบบสองต่อหนึ่งด้วยความว่องไวที่ได้รับการฝึกฝนมา ขณะที่ปัดป้องการจู่โจมของคู่ต่อสู้รายหนึ่ง เขาก็สามารถเล่นงานคู่ต่อสู้อีกรายไปพร้อมๆกัน สมุนคนหนึ่งโดนถีบคว่ำไปกับพื้น ขณะที่อีกรายถลาชนชั้นวางของจนล้ม ฤทธิ์ตั้งการ์ดมวย ด้วยท่วงท่าที่บ่งบอกชัดเจนว่า ไม่ใช่นักสู้ข้างถนนธรรมดา แหลมฉวยโอกาสนั้นชักปืนออกมาจะยิงฤทธิ์ด้านหลัง มันใช้สันปืนไถกับต้นขาเพื่อกระชากลูกเลื่อน หูของฤทธิ์ได้ยินเสียงปืนชัดเจน เขาหันมาเตะปืนหลุดจากมือของแหลม ก่อนจะซัดมันจนกระเด็นข้ามไปหลังเคาน์เตอร์ที่พนักงานยืนลนลานอยู่ ฤทธิ์สั่งเสียเข้ม
“เรียกตำรวจ”
พนักงานรีบพยักหน้าแล้วคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาทันที ขณะที่ใจทิพย์ยังกอดเด็กอยู่ด้วยความตกตะลึง ระหว่างนั้นสมุนคนที่ถูกถีบทะลุกระจกไปนอกร้าน กลับเข้ามาสมทบกับพวกมันอีกสามคน ทั้งหมดมองหน้ากัน ก่อนที่คนหนึ่งจะบุ้ยหน้าไปที่ชั้น นักเลงร่างบึกทั้งสามช่วยกันผลักชั้นโชว์สินค้าอัดเข้าใส่ทำเอาฤทธิ์ถอยกรูด แต่เมื่อเห็นใจทิพย์กับเด็กยังนิ่งทื่ออยู่ จึงร้องเตือน
“หลบไป”
ใจทิพย์พาเด็กฉากออกไป ขณะที่ฤทธิ์โดนพวกนักเลงอัดก๊อปปี้ด้วยชั้นวางของจนร่างถูกเบียดไว้กับตู้แช่เครื่องดื่ม แหลมโผล่หัวมาเห็นเข้าพอดี
“เสร็จละมึง”
แหลมคว้ามีดหั่นของที่เคาน์เตอร์ขึ้นมา ก่อนจะกระโจนไปสมทบกับลูกน้อง
“มึงตาย”
แหลมกุมมีดสองมือเงื้อทิ่มลงไปสุดแรง
ฤทธิ์ละมือข้างหนึ่งคว้าข้อมือมันไว้แต่ก็ต้านไม่อยู่ ปลายมีดปักที่บ่าตรงเกือบจะต้นคอด้วยซ้ำ จังหวะนั้นฤทธิ์จึงกัดฟันคำรามผลักชั้นโชว์ออกจากตัว พวกของแหลมล้มกลิ้งไม่เป็นท่า
สมุนทั้งสามคนของแหลมทำท่าจะลุยกับฤทธิ์ต่อ ถ้าใจทิพย์ไม่หยิบปืนของแหลมที่หล่นอยู่ขึ้นมาง้างนกเสียก่อน อารามลนลานเธอกลับเผลอกดไกปืนลั่นปังๆ แหลมกับสมุนโกยอ้าวออกไปนอกร้านด้วยความตกใจ หมดสภาพนักเลงโต พนักงานมินิมาร์ท เด็กจรจัด พากันตื่นตระหนก ขณะที่ฤทธิ์กุมแผลทรุดลงนั่ง...กล้องวงจรปิดในร้านบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไว้ทั้งหมด
เสียงไซเรนส์รถตำรวจใกล้เข้ามา ใจทิพย์เข้ามาดู
“คุณ อย่าเป็นอะไรนะ...คุณ”
ฤทธิ์ค่อยๆหมดสติไป
“คุณ ฟื้นสิ คุณ”
สามเดือนต่อมา...ตำรวจหญิงสาว สวย ณัฐชาซ้อมยิงปืนอย่างดุดันอยู่ในสนามยิงปืนในร่ม กระสุนเข้าเป้าหมายอย่างแม่นยำ โทรศัพท์มือถือมีสายเข้า ณัฐชารีบรับสาย
“ณัฐชาพูดค่ะ...ที่ไหนนะ”
ราเมศเดินมาตามระเบียงทางเดินของอาคารที่เกิดเหตุ มีเจ้าหน้าที่ทำงานกันขวักไขว่และมีกลุ่มไทยมุงสามสี่คนจับกลุ่มสนทนากันอยู่อีกมุมหนึ่ง
ในห้องรับแขกแฟลตนักวิทยาศาสตร์ ศพนักวิทยาศาสตร์ถูกมัดมือไพล่หลังอยู่กับเก้าอี้หน้าโต๊ะกินข้าว ซึ่งยังมีสำรับอาหารวางอยู่ แต่เน่าจนแมลงวันตอมหึ่ง ศีรษะของผู้ตายมีถุงผ้าคลุมไว้ มีรอยสำลักเลือดเปื้อนอยู่ที่ถุงและ พื้นโดยรอบมีคราบเลือดเจิ่งนอง เจ้าหน้าที่กำลังเก็บหลักฐานอยู่ ณัฐชาตำรวจหญิงยืนกอดอกมองศพอย่างใช้ความคิด ก่อนที่ราเมศจะเข้ามาสมทบ เจ้าหน้าที่จะยืนเคารพ
“ผู้กอง”
ราเมศห้าม
“ทำงานต่อเถอะ”
ณัฐชาเข้ามา
“ผู้กองคะ”
“ได้ข้อมูลรึยัง”
“ผู้ตายเป็นนักเคมีค่ะ เคยทำงานให้บริษัทยาแห่งหนึ่ง แต่ถูกเลิกจ้างเพราะปัญหาเรื่องเงิน
ตรวจสอบที่เกิดเหตุแล้ว เราพบว่าเอกสารกับข้อมูลในคอมพิวเตอร์ของเขาถูกโจรกรรม”
“แล้วทรัพย์สินอย่างอื่นล่ะ”
“เงินสด นาฬิกายังอยู่ค่ะ ก็เลยคิดว่าคนร้ายไม่ได้แตะสนใจของมีค่า”
ราเมศกวาดสายตาสำรวจไปรอบๆก่อนจะชะงักที่โต๊ะกินข้าว เขาเลื่อนแก้วที่บังตาออกไป และเห็นโลโก้ของพรายพิฆาตถูกเขียนไว้ด้วยเลือด
“พวกมันไม่ใช่คนร้ายธรรมดา”
ณัฐชาชะงัก
“เครื่องหมายนี่มัน…”
ราเมศพยักหน้า
“พรายพิฆาต”
ชายฉกรรจ์ในชุดสูทกลุ่มหนึ่ง ถือดาบซามูไรเดินเรียงแถวมาอย่างเร่งรีบ ตรงมาที่สระน้ำ ไอริณเดินขึ้นจากสระแล้วมาหยิบผ้าเช็ดตัว จังหวะนั้นเองพวกชายฉกรรจ์ก็มาถึงบริเวณสระ พวกมันกระจายกำลังไปโดยรอบบริเวณนั้น ขณะที่ไอริณเพิ่งสวมเสื้อคลุมและหยิบแก้วเครื่องดื่มมาจิบอย่างใจเย็น แล้วหันมาท้าทายกับหัวหน้าของพวกมัน
“ไม่ต้องรอ ลงมือได้เลย”
หัวหน้าซามูไรชักดาบออก พลางแผดร้องคำราม เท่านั้นเองบรรดาซามูไรก็กรูกันเข้าเล่นงาน ไอริณตีลังกาเข้าต่อสู้กับคนร้ายก่อนจะแย่งดาบมาเล่มหนึ่งแล้วจัดการสังหารพวกคนร้ายอย่างไม่หวาดหวั่น หัวหน้าซามูไรเห็นลูกน้องล้มตายมากมายก็สุดทน มันแผดร้องอีกครั้งก่อนจะบุกเข้าจู่โจมเธอทางด้านหลัง ไอริณหันกลับมาฟันฉับใส่มัน เสียงผู้กำกับดังลั่น
“คัท...โอเคเยี่ยมมากครับคุณไอริณ”
ทีมงานปรบมือด้วยความพอใจ ไอริณยิ้มปลื้มก่อนจะเหลือบไปเห็นณัฐชาที่กอดอกยืนมองอยู่ ก็พยักหน้าทักทาย ณัฐชาอดไม่ได้ที่จะคิดถึงเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา
สนามหญ้าบ้านเด็กกำพร้าแสงอรุณ...เด็กหญิงวัย 11-12 ปี สามคนกำลังเล่นน้ำอยู่ด้วยกัน ทั้งสามยื้อแย่งสายยางฉีดน้ำใส่กันอย่างสนุกสนาน เสียงครูดังมา
“ใจทิพย์ ณัฐชา ไอริณ”
นำชัยหัวหน้าพรรคเทิดธรรม กับสุชาติและคณะ เดินออกมาจากที่ทำการพรรค กำลังจะเดินไปขึ้นรถหลังเสร็จงาน นำชัยคุยโทรศัพท์กับไอริณไปด้วย
“คราวหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะลูก หนูจะไปไหนมาไหนกับเพื่อนพ่อไม่ว่า แต่ไม่ควรไล่บอดี้การ์ด
ให้กลับมาก่อนแบบนี้”
“โธ่พ่อขา ไม่มีอะไรหรอกค่า ริณอยู่กับณัฐชา รับรองว่าปลอดภัยหายห่วง”
“ดื้อนักนะเรา คอยดูเถอะ จะโดนทำโทษเข้าสักวัน”
“ค่าท่านหัวหน้าพรรค ท่านนักการเมืองใหญ่ เอาไว้ตอนเย็นจะรีบไปกราบขอขมานะเจ้าคะ บ๊ายบาย”
ไอริณวางสายแล้วหันมาทานอาหารต่อ แต่แล้วก็ณัฐชาที่กำลังนั่งเท้าคางเอาส้อมจิ้มอาหารเล่นอยู่ก็รำพึงออกมา
“เฮ้ออิจฉาจริงๆ คนอะไรทั้งสวยทั้งรวย แถมพ่อยังเอาใจอีกต่างหาก”
“ทำบุญมาดีย่ะ”
“ใช่...ในกลุ่มพวกเราสามคน เธอโชคดีที่สุดไอริณ”
เรื่องราวในอดีตผุดขึ้นในห้วงคิด เวลานั้นใจทิพย์ ณัฐชา และไอริณ ต่างหยุดชะงักจากการเล่น เมื่อครูแม่บ้านพานำชัยกับสุดา เข้ามาหาพวกเธอ
“นี่ไงคะ สามใบเถาที่ฉันเล่าให้ฟัง รักกันมากจนใครๆ ก็นึกว่าเป็นพี่น้องกัน”
สุดายิ้มเอ็นดู
“น่ารักทั้งนั้นเลย...เราเลี้ยงไว้ทั้งสามคนได้รึเปล่าคะ”
“อย่าเลยคุณ ถ้าเราจะมีลูก เราก็ควรให้ความรักเขาอย่างเต็มที่ เพื่อให้เขารู้สึกรักเราเหมือนเป็นพ่อแม่แท้ๆ”
สุดาอึ้งไปก่อนจะมองมาที่เด็กทั้งสาม แล้วสะดุดตากับเด็กคนที่สวยคมที่สุด
“หนูชื่ออะไรจ๊ะ”
“หนูชื่อไอริณค่ะ”
ณัฐชาหันไปมอง ใจทิพย์อย่างเศร้าๆ
ใจทิพย์ซึ่งทำงานอยู่ในมูลนิธิแสงอรุณ ที่ช่วยเหลือเด็กเร่ร่อน เตรียมกลับบ้านหลังจากที่เสร็จงาน เพื่อนๆสองคนตามมา
“ใจทิพย์รอก่อน”
ใจทิพย์ชะงัก
“มีอะไรเหรอ”
“ยัยอ้อยเขาบอกว่าเธอ ลงหุ้นเปิดร้านกับหมอนั่นเหรอ”
“อ๋อ ฤทธิ์...เขาจะเปิดโรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้น่ะ”
เพื่อนอีกคนเข้ามาถาม
“นี่เธอจะคบหมอนั่นเป็นแฟนจริงๆเหรอใจทิพย์”
“พวกเราเป็นห่วงเธอนะ คนไม่มีหัวนอนปลายเท้าแบบนั้น แต่ก่อนเขาทำงานอะไร ขนาดเธอยังไม่รู้เลย”
“เขาอาจจะเป็นคนร้าย เป็นฆาตกรโรคจิตก็ได้”
ใจทิพย์นิ่งไป…ไม่ปริปากโต้แย้ง เธอนึกถึงเหตุการณ์วันนั้นในมินิมาร์ท...พนักงานมินิมาร์ท เด็กจรจัด พากันตื่นตระหนก ขณะที่ฤทธิ์กุมแผลทรุดลงนั่งเสียงไซเรนส์รถตำรวจใกล้เข้ามา ใจทิพย์เข้ามาดูฤทธิ์
“คุณ อย่าเป็นอะไรนะ...คุณ”
ฤทธิ์ค่อยๆหมดสติไป
“คุณ ฟื้นสิ...คุณ”
ฤทธิ์นอนอยู่ที่เตียงในห้องพักฟื้นของโรงพยาบาล เขาฝันถึงเรื่องราวในอดีต...ขณะที่ยกกำลังเข้าจู่โจมบ้านพ่อค้ายาเสพติด ทุกอย่างสับสนอลหม่าน มีการยิงต่อสู้ ผ.บ.หมู่สั่งเสียงเข้ม
“ทหาร นี่ไม่ใช่การฝึก หน้าที่ของคุณคือสังหารเป้าหมายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”
ฤทธิ์มองเห็นลูกสาวพ่อค้ายากระหน่ำยิงปืนใส่ เสียงปืนดังน่ากลัวเหมือนเสียงเครื่องจักร ฤทธิ์ผวาตื่น กวาดตามองไปรอบตัวก่อนจะเห็นใจทิพย์
“คุณ...เป็นยังไงบ้างคะ”
“ผมอยู่ที่ไหน”
“โรงพยาบาลค่ะ”
“แล้วผมฆ่าใครรึเปล่า”
คำถามสุดท้ายทำเอาใจทิพย์อึ้งไปก่อนจะส่ายหน้า ฤทธิ์มองเธอด้วยแววตาว่างเปล่า
“นี่ผมฝันหรือว่าตื่นอยู่กันแน่”
ใจทิพย์สังเกตเห็นมือฤทธิ์กำแน่นจนสั่นระริก เหมือนคนตกอยู่ในความตึงเครียดอย่างรุนแรง ด้วยความสงสงสารเธอตัดสินใจเอื้อมไปกุมมือเขาเอาไว้
“ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนคุณ…ไม่ต้องกลัวนะ”
ในสายตาฤทธิ์ เขาเห็นใจทิพย์ช่างมีเมตตา…มีรอยยิ้มให้กับเขา รอยยิ้มของแม่พระที่พร้อมจะชำระบาปให้อสูรร้าย
รถสองแถววิ่งมาตามถนนเลียบชายหาด ใจทิพย์นั่งครุ่นคิดอยู่บนรถสองแถวคันนั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอเองก็สงสัยว่าฤทธิ์เป็นใครกันแน่ แต่ความสงสารเขาและความซาบซึ้งในบุญคุณมันบดบังให้เธอมองข้ามเรื่องนี้ไป...
รถของกรณ์แล่นแซงรถสองแถวไป เขาขับรถอย่างใจเย็น แม้ว่าจะใช้ความเร็วอยู่พอสมควรก็ตาม ที่เบาะข้างๆเขา มีหนังสือพิมพ์เก่าๆ วางอยู่ฉบับหนึ่ง พร้อมด้วยภาพข่าวจากกล้องวงจรปิดเป็นรูปฤทธิ์ซึ่งต่อสู้กับพวกของแหลมในมินิมาร์ท “ยอดนักสู้ปะทะแก๊งทรชน หนึ่งต่อสี่” รถของกรณ์แล่นหายลับไปตามโค้งถนน
ในห้องโถงอาคารเช่าของฤทธิ์ที่ทำเป็นโรงเรียนสอนการต่อสู้ ที่ผนังห้องมีภาพถ่ายของใจทิพย์ในวัยเด็กที่ถ่ายกับณัฐชาและไอริณ กับที่ถ่ายล่าสุดตอนเป็นสาว แต่ไม่มีภาพถ่ายของฤทธิ์เลยสักรูปเดียว...ฤทธิ์กำลังควบคุมการฝึกซ้อมของเด็กนักเรียน
“ทุกคนจำไว้ ศิลปะการต่อสู้มีไว้เพื่อปกป้อง ไม่ใช่เพื่อคุกคาม”
ฤทธิ์ยืนอบรมนักเรียนที่ยืนเรียงแถวก่อนเลิกเรียน
“นั่นคือข้อแตกต่างระหว่างนักสู้กับอันธพาล วันนี้ขอให้ทุกคนกลับไปทบทวนบทเรียน แล้วอย่าลืมฝึกซ้อมด้วย”
ฤทธิ์มาส่งนักเรียนที่หน้าทางเข้า มีผู้ปกครองมารอรับกลับบ้าน เขาร่ำลาเด็กๆ ทักทายผู้ปกครอง ระหว่างนั้นก็เหลือบเห็นใจทิพย์ที่มายืนรออยู่ หญิงสาวโบกมือทักทายยิ้มๆ
“ใจทิพย์” ฤทธิ์ดีใจ
ฤทธิ์ขับมอเตอร์ไซด์โดยมีใจทิพย์ ซ้อนท้ายมาด้วยกัน ไปตามเส้นทางของชายหาด ใจทิพย์โอบเอวเขาไว้และซบหน้าลงกับแผ่นหลังของเขาอย่างมีความสุข ฤทธิ์ก็เช่นกัน ชีวิตเขาเปลี่ยนไปเมื่อมีเธอ
ฤทธิ์กับใจทิพย์เดินคุยกันบนชายหาด
“ฉันอยากรู้เรื่องของคุณ อยากรู้ว่าคุณเป็นใครกันแน่ เมื่อไหร่คุณจะบอกฉันสักที”
“คุณเคยสัญญากับผมแล้วนะใจทิพย์ ว่าคุณจะไม่ถามเรื่องนี้”
“อดีตของคุณมันเลวร้ายขนาดนั้นเลยเหรอ ขนาดที่คุณต้องเก็บไว้เป็นความลับ”
“ผมแค่อยากเริ่มต้นชีวิตใหม่ โดยไม่ต้องคิดถึงมัน ให้โอกาสผมเถอะนะใจทิพย์”
ใจทิพย์มองฤทธิ์อย่างลังเล แต่แล้วในเวลานั้นเองฤทธิ์ก็เหลือบไปเห็นผู้ชายสูงวัยคนหนึ่งท่าทางมอซอเหมือนนักดนตรีเพื่อชีวิตไว้หนวดสกปรก ยืนอยู่ที่แผงขายของชำ ชายคนนั้นคือลุงโจกำลังจิบเหล้าจากกระติกพกพลางจ้องมาที่เขา ขณะที่วัฒน์ชายหนุ่มอีกคนนั่งอยู่บนรถจี๊ปซึ่งเปิดประตูทิ้งไว้ และจ้องฤทธิ์ผ่านทางกระจกข้างโดยไม่สนว่าเขาจะรู้ตัวหรือไม่ อีกด้านหนึ่งยักษ์ชายร่างใหญ่ กำลังเล่นอยู่กับหมาแมวจรจัดแถวนั้น และชำเลืองมองมาที่ฤทธิ์อย่างเอาเรื่อง ฤทธิ์พบว่าเขากับใจทิพย์กำลังถูกล้อมโดยชายสามคนนี้ ใจทิพย์เห็นสีหน้าขอเขาแล้วสงสัย
“มีอะไรเหรอ”
“เราไปกันเถอะ”
ฤทธิ์รีบจูงมือใจทิพย์ไปจากที่นั่น
ฤทธิ์จูงมือใจทิพย์หนีมาในทางเดินแคบๆ ข้างอาคารเพื่อหวังจะหลบหนีการติดตาม
“ฤทธิ์นี่มันเกิดอะไรขึ้น คุณจะพาฉันไปไหน”
ฤทธิ์หยุดชะงัก ไม่ใช่เพราะคำพูดของใจทิพย์ แต่เป็นเพราะหญิงสาวท่าทางเย้ายวนคนหนึ่งยืนขวางทางอยู่ข้างหน้า เอมี่ยิ้มให้ฤทธิ์ด้วยแววตาที่มีเสน่ห์ แต่ฤทธิ์รู้สึกว่ามีความเหี้ยมโหดแฝงเร้นอยู่ ที่นี่อาจมีกับดัก เขาทำท่าจะจูงใจทิพย์กลับออกไป แต่วัฒน์ก็เดินนำลุงโจ กับยักษ์ตามเข้ามาเสียก่อน ฤทธิ์จ้องหน้าพวกมัน
“พวกแกต้องการอะไร”
“ผู้หมวดฤทธิ์ ราวี…ใช่นายรึเปล่า” วัฒน์ถาม
ใจทิพย์อึ้ง
“ผู้หมวด”
“มันเป็นอดีตไปแล้ว อย่ายุ่งกับฉัน”
วัฒน์ส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ ขณะเดียวกันเอมี่ก็เดินใกล้เข้ามาทางด้านหลังมากขึ้นเรื่อยๆ เธอยิ้มให้ใจทิพย์อย่างเหี้ยมๆ
“ฤทธิ์” ใจทิพย์ชักกลัว
เอมี่หยุดเดินเมื่อได้ตำแหน่งที่เหมาะสม ทันใดนั้นเองวัฒน์ และยักษ์ก็พร้อมใจกันเข้าไปเล่นงาน ฤทธิ์รีบผลักใจทิพย์ไปทางอื่น
“ใจทิพย์หลบ”
ใจทิพย์เซไปพิงกำแพง เฝ้ามองดูฤทธิ์ที่ต่อสู้กับยักษ์และวัฒน์ ก่อนจะมองไปลุงโจ ซึ่งยืนกอดอกดื่มเหล้าจากกระติกพกอยู่หน้าตาเฉย พอเห็นเธอมองอยู่ก็ยังชูกระติกเชื้อเชิญอีก เอมี่มองหน้าใจทิพย์อย่างเย้ยหยัน ก่อนจะมองไปที่วงต่อสู้ตามเดิม วัฒน์สู้ฤทธิ์ไม่ได้ จึงชักมีดออกมาทุ่นแรง ฤทธิ์ไม่ทันระวังเลยถูกมีดเฉี่ยวเข้าที่แขน ใจทิพย์ตกใจ
“ฤทธิ์”
ฤทธิ์ถีบวัฒน์จนเซไป ก่อนจะหันไปคว้ามือใจทิพย์เพื่อวิ่งหนี แต่เอมี่ชักปืนออกมาขู่เสียก่อน ทันใดนั้นเสียงกรณ์ดังขึ้น
“พอได้แล้วเอมี่”
กรณ์ปรากฏตัวขึ้นทางด้านหลังของเอมี่ แล้วเดินเข้ามาสมทบกับทุกคน ฤทธิ์ชะงัก
“กรณ์”
“ไม่เจอกันซะนานเลยนะเพื่อน”
กรณ์ว่าแล้วก็หันไปชกวัฒน์จนเซ มีดร่วงหลุดมือ
“หัวหน้า” วัฒน์อึ้ง
กรณ์ไม่พอใจ
“ฉันสั่งแล้วไง ว่าอย่าให้เขาบาดเจ็บ”
ใจทิพย์ได้แต่งุนงงว่ากรณ์กับพวกเป็นใคร ที่จริง...เธอเริ่มไม่แน่ใจแล้วด้วยว่าฤทธิ์เป็นใคร
กรณ์ขับรถมาจอดหน้าอาคารเช่า ฤทธิ์นั่งอยู่เบาะหลังกับใจทิพย์แขนฤทธิ์มีผ้าเช็ดหน้าพันแผลไว้
“นี่ถ้าไม่มีข่าวของแกลงหนังสือพิมพ์ ฉันก็คงไม่รู้หรอกว่าแกกบดานอยู่นี่”
“ฉันวางมือแล้ว”
“แต่ฉันเป็นหัวหน้าของแก คนที่อนุมัติให้แกอยู่หรือไป ก็คือฉัน” กรณ์ส่งซองเอกสารให้ “พรุ่งนี้รีบไปรายงานตัวแต่เช้า ไม่อย่างนั้นฉันจะถือว่าแก ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่”
ใจทิพย์ได้แต่งุนงง ในขณะที่ฤทธิ์ยังนั่งนิ่ง
ค่ำนั้น ฤทธิ์กำลังอาบน้ำ เขาเอื้อมมือไปลูบแผลที่ยังมีเลือดไหลไม่หยุด และเลือดที่ติดมือมาถูกน้ำชะไหลจนแดงฉานไปทั่วพื้น...ใจทิพย์กำลังนั่งสับสนลึกๆ ในใจ เธอเริ่มสงสัยที่มาของฤทธิ์จนอดใจไม่อยู่
ฤทธิ์อยู่ในห้องนอนเพิ่งเย็บแผลเสร็จ เขาใช้ผ้าก๊อซพันไว้บางๆแต่ระหว่างนั้นก็เหลือบเห็นใจทิพย์มายืนเงียบๆอยู่ที่หน้าประตูห้องซึ่งเปิดทิ้งไว้
“อย่าเพิ่งถาม ผมยังไม่พร้อม”
“แต่ฉันต้องรู้ให้ได้ คุณทำอะไรผิด ทำไมถึงไม่ยอมพูดเรื่องอดีตกับฉัน หรือว่าคุณไม่เชื่อใจฉัน...”
ฤทธิ์นิ่งไปนาน ใจทิพย์หมดความอดทนทำท่าจะเดินหนี แต่แล้วฤทธิ์ก็หลุดปากออกมา
“ผมฆ่าคน”
ใจทิพย์ชะงักหันมองกลับมา
“ผมเคยอยู่หน่วยล่าสังหาร ภารกิจของผมคือตามฆ่าพวกศัตรู”
เขาปวดร้าวใจ เมื่อระลึกถึงความหลัง หันมามองใจทิพย์
“เป้าหมายคนสุดท้ายของผม เป็นพ่อค้ายาเสพติดรายหนึ่ง”
อ่านต่อหน้า 2
นักสู้มหากาฬ ตอนที่ 1 (ต่ิอ)
ฤทธิ์เล่าเรื่องในอดีตให้ใจทิพย์ฟัง...ในเวลานั้น ฤทธิ์ในชุดทหารบุกเข้ามาในบ้านของเป้าหมายพร้อมกับเพื่อนทหารอีกสองนาย และกราดยิงสมุนทุกคนที่ขวางทาง
พ่อค้ายาซึ่งเป็นเป้าหมายของฤทธิ์โผล่มาจากห้องนอนพร้อมอาวุธ และจะยิงใส่แต่ถูกฤทธิ์กราดยิงจนทรุดไปต่อหน้า
“ทีมของผมช่วยกันยิงเปิดทาง เพื่อให้ผมกับเพื่อนเข้าไปจัดการกับเป้าหมาย แต่ว่า...”
ทันใดนั้นเองเพื่อนทหารของฤทธิ์ ถูกยิงเข้าทางด้านหลังจนล้มไป เขารีบหันปืนไปเพื่อยิงตอบโต้ใส่คนร้าย…แต่แล้วก็ต้องชะงักไปเมื่อพบว่าคนที่ยิงเป็นเด็กสาวอายุแค่ 14-15 ปี แววตาดุดันของเธอเจิ่งนองไปด้วยน้ำตา เธอเหนี่ยวไกยิงใส่เขาอีกหลายนัด แต่ด้วยความไม่คุ้นมือกระสุนจึงพลาดเป้าหมาย ฤทธิ์ไม่มีทางเลือก เขายกปืนขึ้น และเหนี่ยวไกยิง
ฤทธิ์เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ใจทิพย์ฟังด้วยความหดหู่ใจ เขาน้ำตาคลอด้วยความโกรธตัวเอง
“ลูกสาวของพ่อค้ายาคนนั้น ยังมีชีวิตหลอกหลอนอยู่ในหัวใจของผม ไม่มีคืนไหนที่ผมนอนหลับ โดยไม่เห็นหน้าเธอ”
“แต่คุณทำไปเพราะหน้าที่ คุณทำเพื่อประเทศชาติอยู่นะ”
“ผมพยายามจะคิดแบบนั้น แต่ก็ทำไม่ได้ ทุกวันนี้ผมไม่กล้าจับปืนอีกเลย ผมต้องทิ้งทุกอย่างมาที่นี่ ก็เพราะอยากลืมเรื่องนี้”
มือฤทธิ์มีอาการสั่นขึ้นมาอีกครั้งเหมือนที่ใจทิพย์เคยเห็น เธอรีบรวบมือเขามากุมเอาไว้พูดอย่างอ่อนโยน
“คุณทำดีที่สุดแล้ว คุณเป็นคนมีเมตตานะฤทธิ์ เพราะแบบนี้…ฉันถึงได้รักคุณ”
ฤทธิ์มองใจทิพย์…
“ไม่มีใครทำถูกไปหมดทุกอย่าง แม้แต่ฉันหรือว่าคนอื่น คุณต้องให้อภัยตัวเอง…ต้องยกโทษให้ตัวเองบ้าง”
ฤทธิ์กลั้นน้ำตาไม่อยู่ เขากอดใจทิพย์แล้วร้องไห้ออกมา ใจทิพย์ลูบหลังปลอบเขาราวกับเด็กไร้เดียงสาคนหนึ่ง
ชินโดบาร์เป็นบาร์สไตล์เกาหลีของนายปาร์ก มีพนักงานสาวเต้นโชว์บนเวทีหน้าตาบ๊องแบ๊วเหมือนหลุดมาจาก MV ท่ามกลางลูกค้ามากมายหลายเชื้อชาติ แหลมซึ่งเพิ่งออกจากคุกเดินเข้ามาในร้าน ก่อนจะผ่านพนักงานการ์ดขึ้นบันไดไปยังชั้นบน
ในออฟฟิศชินโดบาร์ชั้นบน ปาร์กเช็ดปืนไปพลาง บ่นกับแหลมไปพลาง
“ติดคุกซะเพลินเลยนะไอ้แหลม อยู่ดีไม่ว่าดี ดันรับจ๊อบหาเด็กส่งให้ไอ้พวกค้ามนุษย์...สมน้ำหน้า”
แหลมยิ้มแหยๆ
“ งานนี้ผมโดนทั้งขึ้นทั้งล่องครับคุณปาร์ก รับรองว่าคงเข็ดไปอีกนาน”
ปาร์กมองขำๆ
“แล้วไอ้คนที่เล่นงานแก รู้รึยังว่ามันเป็นใคร”
“กำลังสืบอยู่ครับ ถ้าเจอเมื่อไหร่ ผมต้องแก้แค้นมันแน่”
“ยังไม่ใช่ตอนนี้ ตำรวจกำลังจับตาแกอยู่ แล้วอีกอย่าง…ฉันมีงานอื่นจะให้ช่วย”
เช้าวันต่อมา กรณ์เดินมาส่งลูกทีมที่นั่งโดยสารกันอยู่บนรถจี๊ปของยักษ์
“พวกนายกลับไปรอที่จุดนัด ได้ตัวฤทธิ์แล้วฉันจะรีบตามไป”
เอมี่ไม่มั่นใจ
“แน่ใจเหรอว่าเขาจะรับงาน”
“เดี๋ยวก็รู้”กรณ์บอกยิ้มๆ
ฤทธิ์นอนอยู่บนเตียง เขาฝันเห็นภาพเด็กสาวลูกพ่อค้ายายังคงถือปืนยิงใส่ฤทธิ์ แต่ภาพของเธอเหมือนกับค่อยๆเลือนหายไปในที่สุด ฤทธิ์ลืมตาตื่นขึ้น และหันมาดูใจทิพย์ที่นอนอยู่ข้างกาย แต่เธอไม่ได้อยู่ที่นั่น
ใจทิพย์ชื่นชมบรรยากาศยามเช้าอยู่ที่ระเบียง ฤทธิ์ตามมากอดเธอ
“ใจทิพย์”
“คะ”
“แต่งงานกับผมนะ”
ใจทิพย์หันมาอึ้ง
“หือ”
“ผมพูดจริงๆ”
“แต่เราเพิ่งรู้จักกันแค่…”
ฤทธิ์ยิ้ม
“ไม่ เราเคยเจอกันมาก่อน ผมรู้สึกอย่างนั้น”
ใจทิพย์นิ่งงันไปเพราะคำพูดนั้น…ก่อนที่น้ำตาจะเอ่อซึมออกมา
“ฉันก็เหมือนกัน ฉันรู้สึกแบบเดียวกับคุณ รู้สึกตั้งแต่วันแรก ที่เห็นคุณมาช่วยฉัน”
ใจทิพย์สวมกอดฤทธิ์เอาไว้
ฤทธิ์มาบอกคำตอบกับกรณ์ที่จุดนัดที่ชายหาด เขาส่งซองเอกสารคืนให้กรณ์
“ฉันมีเงื่อนไข”
“ว่ามาเลยเพื่อน”
“งานสุดท้าย...ฉันต้องการอยู่อย่างสันติ”
“ไม่เหมาะกับแกหรอกมั้ง”
“ฉันกำลังมีครอบครัว ขอร้องเถอะเพื่อน ให้จบสิ้นกันแค่นี้”
กรณ์นิ่งคิด
ภายในห้องโถงอาคารเช่า...ใจทิพย์วางโทรศัพท์มือถือที่ตั้งระบบถ่ายรูปอัตโนมัติเอาไว้ก่อนจะวิ่งมาหน้ากล้องเพื่อยืนเคียงข้างกับฤทธิ์ สักพักระบบก็ทำงาน
“ในที่สุดคุณก็ยอมถ่ายรูปซะที”
รูปถ่ายถูกปริ้นท์และนำมาใส่กรอบ ฤทธิ์แขวนรูปของเขากับใจทิพย์ไว้ใกล้ๆ รูปที่ใจทิพย์ถ่ายกับไอริณ และณัฐชา ทั้งตอนเด็กและตอนโต
“ไม่รู้เมื่อไหร่ผมจะได้เจอเพื่อนๆของคุณ”
“พี่น้องของฉันต่างหาก ไอริณกับณัฐชา พวกเขาต้องดีใจแน่ ถ้ารู้ว่าฉันจะแต่งงาน”
“แล้วคุณจะให้ใครเป็นเพื่อนเจ้าสาว”
ใจทิพย์ยิ้ม
“อันนี้ต้องขอคิดดูก่อน”
ฤทธิ์ยิ้มรับเศร้าๆ...อดไม่ได้ที่จะใจหายเมื่อต้องเดินทาง ใจทิพย์ก็เช่นกัน
บ่ายวันนั้น ใจทิพย์มาส่งฤทธิ์เพื่อขึ้นรถของกรณ์ที่จอดรอยู่หน้าอาคารเช่า
“แล้วผมจะรีบกลับ”
“ฉันจะรอค่ะ”
ฤทธิ์ดึงตัวใจทิพย์มาจูบที่หน้าผากเบาๆ ก่อนจะหิ้วสัมภาระไปที่รถของกรณ์ซึ่งยืนรออยู่
“ไม่ต้องห่วง ผมจะดูแลเขาเอง”
ใจทิพย์พยักหน้าให้กรณ์อย่างวางใจ รถของกรณ์แล่นจากไป ใจทิพย์มองตามฤทธิ์จนลับตา
ในห้องพักของโรงแรมแห่งหนึ่ง มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับเอมี่ มาเปิดประตูให้ฤทธิ์กับกรณ์ ด้วยชุดที่ค่อนข้างยั่วยวนตามสไตล์ดอกไม้มรณะ ใครเชยชมเมื่อไหร่ตายเมื่อนั้น
“เอาล่ะ ได้เวลาแนะนำตัวอย่างเป็นทางการซะทีนะ...นี่เอมี่ ลูกศิษย์ฉันเอง ตอนนี้เธอเป็นผู้ช่วยของฉัน”กรณ์บอกทุกคน
เอมี่ยิ้ม
“ในที่สุด พ่อรูปหล่อของเราก็มาจนได้”
กรณ์ปราม
“เลิกหื่นได้แล้วเอมี่ เพื่อนฉัน เขาจะแต่งงานแล้ว”
กรณ์เดินนำฤทธิ์เข้ามาในห้องซึ่งยักษ์ ลุงโจ และวัฒน์กำลังรออยู่ วัฒน์กำลังนั่งใช้มีดพกเฉือนผลไม้ทานแก้เซ็งกรณ์แนะนำ
“นั่นวัฒน์คนที่เชือดนายคราวก่อน เขาเป็นหน่วยกล้าตาย”
กรณ์ชี้ไปที่ลุงโจที่นังดวดเหล้าแต่หัววัน
“ส่วนลุงโจเป็นคนจัดการเรื่องระเบิด และนำทาง”
กรณ์บุ้ยหน้าไปที่ชายร่างใหญ่ที่กำลังนั่งเล็มหนวดตัวเองอยู่
“แล้วก็ยักษ์ เป็นหน่วยกล้าตายหมายเลขสอง คอยดูแลเรื่องพาหนะ...นี่ฤทธิ์เพื่อนเก่าของฉันเอง ใครมีอะไรจะถามมั้ย”
วัฒน์มองหน้าฤทธิ์
“เขาบอกว่านายใช้มีดเก่งกว่าปืน จริงรึเปล่า”
“ฉันไม่ถูกโรคกับปืน”
“ว่างๆขอลองวิชาหน่อยนะ พอดีฉันเองก็ชอบมีดเหมือนกัน”
ฤทธิ์มองแผลที่แขนตัวเอง
“ฉันจำได้”
กรณ์มองหาลูกน้องคนอื่นๆ
“คนอื่นล่ะ”
เอมี่มองอย่างเสียดาย
“คุณจะแต่งงานแล้วจริงๆเหรอ”
ฤทธิ์พยักหน้า
“เร็วๆนี้”
“แหม เสียดายจัง”
ลุงโจกับยักษ์หลิ่วตากันขำๆ ขณะที่วัฒน์มองเอมี่กับฤทธิ์อย่างไม่พอใจ
“เอาล่ะ ทีนี้ก็เริ่มประชุมกันซะที” กรณ์ชี้ “ลุงโจ หยุดดื่มได้แล้ว”
ลุงโจกระดกเหล้าที่เหลือ แล้วคว่ำแก้วเซ็งๆ
กรณ์กางแผนที่ลงบนเตียงซึ่งใช้แทนโต๊ะประชุม สมาชิกทั้งหมดมายืนรุมล้อมกัน
“เราจะเดินทางด้วยเรือไปถึงบริเวณนี้ จากนั้นค่อยเดินเท้าข้ามภูเขาลูกนี้ไป โรงงานของมันจะตั้งอยู่ในหุบเขา มีกำลังคนดูแลอยู่ไม่ต่ำกว่าสามสิบคน นอกนั้นเป็นเจ้าหน้าที่กับคนงาน...งานนี้พวกเราต้องปิดบังฐานะ ห้ามพกเอกสารบัตรอุปกรณ์สื่อสาร หรือสัมภาระใดๆ ที่ไม่ใช่อาวุธติดตัวไปเด็ดขาด ถ้าเกิดอะไรผิดพลาด ทางหน่วยงานของเราจะดูแลครอบครัวของพวกคุณเป็นอย่างดี ภารกิจเริ่มตอนรุ่งสางวันพรุ่งนี้...รับทราบ”
ทุกคนตอบพร้อมกัน
“รับทราบ”
กรณ์พยักหน้าอย่างพอใจ
ในห้องวีไอพีภัตตาคารดอกบัวขาว...มาวิน นักธุรกิจหนุ่ม กับแหลมนั่งดื่มกินกันอยู่ ก่อนที่ลูกน้องจะหิ้วกระเป๋าเอกสารมาวางแล้วกระซิบบอก
“เงินโอนเข้าบัญชีแล้วครับเจ้านาย”
มาวินยิ้มพอใจก่อนจะส่งกระเป๋าเอกสารให้แหลมที่รีบเปิดเช็คดูสินค้าข้างใน
“ฝากขอบใจคุณปาร์กเจ้านายแกด้วยนะไอ้แหลม ในฐานะที่เป็นลูกค้าขาประจำ”
แหลมยิ้มรับ
“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณมาวิน น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่าครับ เออ ว่าแต่ทำไมดูเหมือนสินค้าของคุณจะน้อยลงละครับ”
มาวินหนักใจ
“มีคนตัดหน้าฉัน ใครก็ไม่รู้มันกว้านซื้อทั้งยาทั้งสารตั้งต้นในการผลิต ไปจนเกือบหมดตลาด”
“สงสัยมันคงอยากลองดีมั้งครับคุณมาวิน ไม่ต้องห่วงครับ เจอตัวเมื่อไหร่ มันเละแน่”
“เออพูดดี ถ้างั้นคืนนี้เราฉลองกันให้เต็มที่ ฉันเลี้ยงแกเอง”
มาวินหัวเราะชอบใจ
บรรยากาศยามค่ำคืนภายในเธคแห่งหนึ่ง มีนักเที่ยวมาเที่ยวกันหนาตา ไอริณกับณัฐชาเพิ่งมาถึง นักเที่ยวมองไอริณซึ่งเป็นดาราด้วยความสนใจ ณัฐชามองสถานที่อึ้งๆ
“โอ้โห เนี่ยนะรีแล็กซ์แบบของเธอ”
“ก็ใช่สิ เห็นเธอเครียดเรื่องงานหรอกนะ ถึงพามาเที่ยวนี่ยังจะบ่นอีกเหรอ”
“แต่ฉันทำคดีอยู่นะแม่คุณ ถ้าเกิดสารวัตรราเมศมาเห็นเข้า”
“โอ้ยหายห่วง ขานั้นน่ะ ฉันโทรตามให้แล้ว”
ณัฐชาหน้าตื่น
“เย้ย...เธอชวนสารวัตรมาเที่ยวกับฉันเนี่ยนะ”
ไอริณยักไหล่ยิ้มๆ เหมือนไม่เห็นจะยากเย็นตรงไหน
เหล่านักเที่ยวสนุกกับการเต้นรำ ไอริณจูงณัฐชาเข้ามาในเธค พวกของมาวินกับแหลมเห็นเข้าพอดี
“เอ...นั่นมันดารานี่ครับคุณมาวิน”
“ไหนวะ”
“คนนั้นไงครับ ดูเหมือนจะชื่อไอริณ”
มาวินมองไอริณแล้วรู้สึกประทับใจ
“สวยว่ะ หุ่นน่าฟัดเป็นบ้า”
มาวินกับพวกเดินเข้าไปทักทายไอริณกับณัฐชา มาวินยื่นมือ
“สวัสดีครับคุณไอริณ ผมมาวิน เป็นหุ้นส่วนของที่นี่”
“ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก”
ไอริณจับมือมาวินตามมารยาท แต่อีกฝ่ายกลับคว้าหมับไม่ยอมปล่อย
“ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากครับที่มีโอกาสได้ต้อนรับคุณ ถ้าไงขออนุญาตเลี้ยงเครื่องดื่มสักแก้วนะครับ”
ณัฐชาขัดขึ้น
“ฉันว่าอย่าเลยค่ะ คุณไอริณต้องรีบกลับ”
“นี่คุณ ผมถามคุณไอริณอยู่นะ ไม่ใช่คุณ” มาวินเอานิ้วจิ้มบ่า “ถ้าไม่อยากเจอดีก็ถอยไปซะ”
“พวกคุณต่างหากที่ควรถอยไป” ณัฐชาดึงไอริณ “ไอริณ เรากลับกันเถอะ”
ณัฐชาคว้าแขนไอริณจะกลับออกไปแต่ก็ถูกสมุนของมาวินขยับมาขวางทางเอาไว้ มาวินจ้องหน้าณัฐชา
“เธอไปได้ แต่คุณไอริณต้องอยู่ที่นี่”
ณัฐชาดันไอริณหลบไปแล้วเปิดฉากบู๊กับสมุนของมาวินอย่างดุเดือด พวกนักเที่ยวต่างพากันแตกตื่น บ้างหนีออกไปข้างนอก ในขณะที่ไอริณทำอะไรไม่ถูกเพราะเธอก็ได้แค่ต่อสู้แต่ในการแสดงเท่านั้น...มาวินเห็นสมุนของตนโดนณัฐชาเล่นงานก็เริ่มนึกสนุก
“ก็ได้ ถ้างั้นผมขอยืดเส้นยืดสายบ้างก็แล้วกัน”
มาวินถอดเสื้อตัวนอกออกแล้วตรงเข้าต่อสู้กับณัฐชา ด้วยชั้นเชิงที่เหนือกว่ามาวินสามารถจับณัฐชากดล็อกไว้กับผนัง ไอริณตกใจ
“ณัฐชา”
“เสร็จฉันล่ะนังม้าพยศ”
ราเมศโผล่มาจ่อปืน
“ถ้าผมเป็นคุณ ผมจะไม่ทำแบบนั้น”
มาวินชะงัก
“แก…แกเป็นใครวะ”
“ผมผู้กองราเมศ เป็นผู้บังคับบัญชาของหมวดณัฐชา”
มาวินมองณัฐชา
“อ้อที่แท้ก็เป็นตำรวจ ไม่ยักรู้”
“ยังมีอีกเรื่อง ที่ผมสงสัยว่าคุณคงจะไม่รู้ คุณไอริณเธอเป็นลูกสาวของท่านนำชัย หัวหน้าพรรคเทิดธรรม งานนี้ผมว่าคุณเจอปัญหาใหญ่แน่” ราเมศพูดด้วยน้ำเสียงกวนๆ
ราเมศเดินออกมาส่งไอริณกับณัฐชาที่หน้ากองปราบหลังจากเสร็จธุระเรื่องคดี
“งานนี้นายมาวินนั่นคงโดนขังยาวแน่” ไอริณสะใจ
“แต่ผมว่าคงไม่หรอกครับ หมอนั่นเขามีเส้นสายอยู่พอตัว อย่างเก่งก็คงไม่เกินสามวัน” ราเมศบอกเซ็งๆ
ณัฐชาแปลกใจ
“แค่นั้นเองเหรอคะผู้กอง ทั้งๆที่มันลวนลามผู้หญิงในที่สาธารณะ”
“กฎหมายมันมีช่องโหว่น่ะผู้หมวด ทำไงได้”
ณัฐชาได้แต่หงุดหงิดใจ ระหว่างนั้นก็เห็นสุชาติพาบอดี้การ์ดเดินตรงเข้ามา ไอริณหันไปถาม
“คุณสุชาติ แล้วพ่อล่ะ”
“ท่านนำชัยให้ผมมารับคุณกลับบ้านครับ”
ไอริณมองหน้าณัฐชาอย่างเซ็งๆ
“เที่ยวสนุกมากเลยนะคืนนี้”
ณัฐชายิ้มขำ
“นั่นสิ รีแล็กซ์จริงๆ”
นำชัยเช็คข้อมูลผ่านทางคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คอยู่ในห้องทำงาน ขณะเดียวกันนั้นโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เขาดูหมายเลขแล้วกดรับสาย
“ฮัลโหล ว่าไงสุชาติ ไอริณปลอดภัยรึเปล่า”
“ปลอดภัยครับท่าน ตอนนี้กำลังเดินทางกลับครับ”
“แล้วเรื่องคดีล่ะเป็นยังไงบ้าง...ฮัลโหล...ฮัลโหล”
โทรศัพท์เหมือนมีคลื่นแทรก เสียงของสุชาติขาดหายไป ก่อนจะมีสายของบอสซ้อนเข้ามาเป็นเสียงสังเคราะห์
“สบายดีเหรอท่านนำชัย”
“นั่นใคร”
“อะไรกัน ไม่ทันไรก็ลืมผู้มีพระคุณแล้วเหรอ ฮึๆๆ อย่าลืมสิว่าเพราะมีพรายพิฆาต คุณถึงได้มีวันนี้”
“พรายพิฆาต แกต้องการอะไร”
นำชัยถามเครียดๆ
ภายในห้องพักเวลานั้น...กรณ์เอาถุงอาวุธทั้งสั้นยาวและมีดดาบ มาวางกองตรงหน้าฤทธิ์
“นี่สำหรับแก”
ฤทธิ์มองปืนอย่างหนักใจ กรณ์ถาม
“ไม่เช็คดูหน่อยเหรอ”
ฤทธิ์เอื้อมมือมาแตะที่ปืน แล้วทอดถอนใจเพราะรู้สึกเหมือนไม่ถูกโรคกับมัน
“ท่าทางแกคงมีปัญหากับปืนจริงๆว่ะเพื่อน” กรณ์คว้าปืนขึ้นมา “ปืนมันก็เป็นแค่โลหะ เป็นแค่สิ่งของอย่างหนึ่งที่คนเราประดิษฐ์ขึ้น แต่สิ่งที่ฆ่าคนได้จริงๆ ก็คือใจคนต่างหาก”
ทันใดนั้นกรณ์ก็จัดแจงถอดแยกชิ้นส่วนปืนออกเป็นชิ้นๆ วางเรียงลงบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว เมื่อกรณ์วางชิ้นส่วนสุดท้ายเสร็จ เขาก็ชักปืนพกของตัวเองออกมาเล็งใส่ฤทธิ์ทันที
“นี่แกทำบ้าอะไรของแก”
“รักษาอาการปอดแหกให้แกไงเพื่อน แกมีหน้าที่เช็คปืน ส่วนฉันมีหน้าที่ต้องเช็คแก ถ้าแกไม่พร้อม ภารกิจนี้จะต้องถูกยกเลิก”
“แกไม่ยิงฉันหรอก”
“ก็ลองดูสิ” กรณ์ดูนาฬิกาข้อมือ “สิบวินาที ถ้าไม่ทัน ฉันระเบิดหัวแกทิ้ง เริ่ม”
ฤทธิ์อึ้งไปอึดใจหนึ่ง แต่เมื่อเห็นแววตาของกรณ์ที่เอาแน่ เขาก็จึงมองมาที่ชิ้นส่วนปืนและเริ่มคว้ามันขึ้นมาต่อประกอบอย่างรวดเร็ว
“5 4 3 2 1”
ฤทธิ์ตบซองกระสุนเข้าที่ ก่อนจะตวัดปากกระบอกปืนเล็งใส่กรณ์บ้าง
“โอเค แกผ่าน” กรณ์ยิ้มพอใจ
ฤทธิ์ยังเล็งปืน มาดเข้ม
“อย่าเล่นบ้าๆแบบนี้อีก ฉันไม่ชอบ”
กรณ์ยิ้ม ก่อนจะลดปืนของตัวเองลง
โทรศัพท์มือถือมีสายเข้าขณะที่ใจทิพย์กำลังนอนหลับอยู่ เธอกดรับสายทั้งๆที่ตายังหลับ
“นี่ผมเอง คุณเป็นยังไงบ้าง”
“คนใจร้าย วันนี้ฉันโทรหาคุณทั้งวันเลยรู้มั้ย”
“ผมต้องปิดเครื่องน่ะ มันเป็นกฎ”
“แล้วตอนนี้เค้าอนุญาตให้เปิดเครื่องได้แล้วเหรอ”
“เปล่า ผมแหกกฎน่ะ ทนคิดถึงคุณไม่ไหว”
“ฉันก็คิดถึงคุณ คิดถึงทั้งวันเลย”
“ผมก็เหมือนกัน”
ใจทิพย์เหลือบไปดูนาฬิกา
“แต่ว่าตอนนี้มันตีสองแล้วนะ พรุ่งนี้ฉันต้องทำงานแต่เช้า เอาไว้คิดถึงต่อทีหลังได้รึเปล่า”
ฤทธิ์ยิ้ม
“ไม่เป็นไร คุณนอนเถอะ แต่อย่าวางสายนะ ถือไว้ใกล้ๆที่หน้าอกคุณ”
“ทะลึ่งรึเปล่าเนี่ย”
“เปล่าหรอก ผมแค่อยากได้ยินเสียงหัวใจคุณเต้น”
ใจทิพย์ยิ้มรับในความอ่อนโยนของฤทธิ์
“ฉันรักคุณ”
“ผมก็รักคุณ”
ใจทิพย์กุมโทรศัพท์ไว้แนบอกจนหลับไป ฤทธิ์เฝ้าฟังเสียงหัวใจของคนรัก ก่อนจะเหลือบมองไปที่ขอบฟ้าเห็นแสงทองของอรุณรุ่งรำไร
เรือเร็วแล่นมาตามลำน้ำ ผ่านเทือกเขากลางป่าแห่งหนึ่ง โดยมียักษ์ทำหน้าที่เป็นพลขับ ฤทธิ์นั่งเหม่อมองสายน้ำโดยมีเอมี่เฝ้าจับตามองเขาอยู่ ส่วนวัฒน์ควงมีดแก้เซ็ง ขณะที่กรณ์กำลังหลับงีบโดยมีหมวกปิดหน้าอยู่ ระหว่างนั้นลุงโจก็แอบล้วงกระติกเหล้าออกมาจิบ กรณ์พูดโดยไม่ต้องลืมตา
“ลุงโจ”
ลุงโจรีบซ่อนกระติกเหล้า
“ว่าไงครับหัวหน้า”
“บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าพกมา”
ลุงโจทำซื่อๆ
“พกอะไรที่ไหน”
“วิสกี้ อยู่ใต้ลมแบบนี้ ฉันได้กลิ่นนะลุง”
ลุงโจยิ้มสู้
“หึๆๆ โทษทีหัวหน้า แต่ของมันขาดไม่ได้”
กรณ์เลิกหมวกขึ้นมองหน้าลุงโจเซ็งๆ แล้วแบมือขอกระติกจากลุงโจไปปาทิ้งลงน้ำ ลุงโจได้แต่มองตามด้วยความเสียดาย ฤทธิ์ขยับไปถามยักษ์
“ยังอีกไกลรึเปล่า”
“ไม่เกินสิบนาที เดี๋ยวได้บู๊กันมันหยดติ๋งแน่”
ยักษ์หัวเราะชอบใจ ด้วยความกระหายที่จะเข่นฆ่าวัฒน์เห็นเอมี่จ้องฤทธิ์ไม่วางตา
“เธอชอบเขามากหรือไง เห็นจ้องอยู่ได้”
เอมี่หันมายั่ว
“หึงเหรอไงจ๊ะ หนุ่มน้อย”
“ฉันไม่ใช่หนุ่มน้อย ฉันติดยศเดียวกับเธอ”
“งั้นเหรอ มาพนันกันมั้ย ว่าฝีมือใครจะเหนือกว่า”
วัฒน์มองเอมี่อย่างไม่พอใจ
ลุงโจนำทางทุกคนไปตามเส้นทางข้ามป่าเขา แต่แล้วกรณ์ก็เหลือบเห็นอะไรบางอย่างเขาส่งสัญญาณมือให้ทุกคนหยุดเดิน ก่อนจะแยกกันหลบหาที่ซ่อน หน่วยลาดตระเวนของทหารป่ากลุ่มหนึ่งเดินผ่านไป พวกกรณ์ต่างกุมอาวุธของตัวเองกันแน่นในสภาพพร้อมใช้งาน ส่วนใหญ่เป็นอาวุธสำหรับเก็บเงียบประเภทมีดพก มียักษ์เท่านั้นที่ใช้ดาบสปาต้า ส่วนเอมี่ใช้ปืนติดที่เก็บเสียง พอได้จังหวะทุกคนก็ลงมือเก็บเงียบทันที เป้าหมายถูกสังหารในเวลาไม่กี่วินาที กรณ์หันมาบอกกับทุกคน
“จวนถึงที่หมายแล้ว ทุกคนระวังด้วย”
พวกของกรณ์เดินทางมาถึงเนินเขา ซึ่งจากจุดนี้เมื่อมองลงไปจะเห็นทุกสิ่งที่อยู่ด้านล่างชัดเจน กรณ์ใช้กล้องส่องทางไกลจับตาดูฐานที่มั่นของพวกศัตรู
“ระวังหน่อยมียามที่พื้นดินสองคนเฝ้าปากทางเข้า อีก 4 - 5 คนอยู่บนเนินเขาตรงข้ามกับเรา”
ฤทธิ์รับกล้องจากกรณ์มาส่องดูบ้าง แล้วก็รู้สึกผิดสังเกต เมื่อพบว่าฐานที่มั่นของศัตรูกลับตั้งอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง ด้านหน้ามีเต็นท์กองบัญชาการ และมีทหารกระจัดกระจาย
“แน่ใจนะว่าข่าวกรองไม่ผิดพลาด”
ลุงโจแปลกใจ
“ทำไม”
“สภาพไม่เหมือนโรงงานยาเสพติด มันเหมือนเหมืองแร่ซะมากกว่า”
“ใครจะรู้ มันอาจใช้ถ้ำเพื่อหลบเลี่ยงดาวเทียมของทางการก็ได้” กรณ์สั่งการ “เอมี่เธอหาฐานยิงแล้วจัดการกับพวกยามบนหอคอย ที่เหลือพยายามรุกคืบเข้าไปให้ใกล้ที่สุด รอเอมี่เปิดฉากแล้วค่อยบุกเข้าไป”
เอมี่ยกนาฬิกาข้อมือดู
“เจ็ดโมงสี่สิบสามนาที ทุกคนเทียบเวลา”
ทุกคนยกนาฬิกาข้อมือของตนขึ้นเช็คเวลา
เอมี่ปีนขึ้นบนโขดหินใหญ่อย่างคล่องแคล่ว และจัดการประกอบปืนเข้ากับกล้องเล็ง ขณะที่กรณ์ ฤทธิ์ ลุงโจ วัฒน์ ยักษ์ ต่างคืบคลานเข้าไปใกล้หน้าฐาน กรณ์ส่งสัญญาณมือเพื่อแบ่งกำลังให้กระจายกันไปจัดการพวกยาม ฝ่ายเอมี่ก็หยิบผ้าจากเป้มาปูที่โขดหินอย่างอารมณ์ดี เอมี่ผิวปากวี้ดวิ้วให้กับความละเมียดของตัวเอง ก่อนจะนอนหมอบลงตั้งปืนในสภาพพร้อมยิง
กรณ์ ฤทธิ์ ลุงโจ วัฒน์ และยักษ์ ต่างมองที่นาฬิกาข้อมือของตน เพื่อรอเวลา
อ่านต่อหน้า 3
นักสู้มหากาฬ ตอนที่ 1 (ต่ิอ)
เอมี่ตั้งปืนเล็งหาเป้าหมายคือพวกยามที่อยู่ตามที่สูงทั้งหลาย นาฬิกาข้อมือของเธอเริ่มกะพริบเพราะจวนถึงเวลาปลุกที่ตั้งไว้ และแล้วเสียงปลุกเป็นเพลงจิงเกิ้ลเบลก็ดังขึ้น
เอมี่เหนี่ยวไกยิงยามคนแรกทันที จากนั้นพวกกรณ์ ฤทธิ์ ลุงโจ วัฒน์ ยักษ์ ก็ลงมือเก็บพวกทหารป่า ซึ่งพวกมันแทบไม่มีโอกาสตั้งตัว เนื่องจากถูกโจมตีจากทุกทิศทาง เอมี่เมื่อเก็บยามบนหอคอยจนหมดก็เริ่มทำหน้าที่คอยยิงคุ้มกันให้พวกเพื่อน ส่วนลุงโจก็งัดระเบิด pipe bomb ที่ประกอบขึ้นเองออกมา
“แบบนี้มันต้องเจอเครื่องทุ่นแรง”
pipe bomb ของลุงโจไม่มีห่วงเชือกสำหรับดึงสลัก แต่ใช้วิธีบิดตรงหัวเกลียวครั้งหนึ่ง ก่อนจะขว้างออกไป ระเบิดกลิ้งไปที่ข้าศึกก่อนจะทำงาน ส่งผลให้ข้าศึกมากมายต้องสังเวยชีวิต ลุงโจภูมิใจในผลงานขอตน
“เจ๋งเป้ง pipe bomb ยี่ห้อลุงโจผลิตเองโว้ย ฮ่าๆ”
ทหารป่าคนหนึ่งเห็นเงาสะท้อนจากเลนส์กล้องปืนของเอมี่ มันจึงโดดไปที่ฐานปืนแล้วใช้ปืนกลหนักกราดยิงใส่เอมี่จนต้องพลิกตัวกลิ้งหลบไป วัฒน์ตกใจ
“เอมี่”
วัฒน์ปามีดใส่ทหารป่าจนตายคาปืนกล ยักษ์ทิ้งปืนของตัวเองแล้วโดดไปที่ปืนกลหนัก ก่อนจะกราดยิงพวกทหารป่าอย่างเมามัน
“เข้ามาสิโว้ย ไอ้พวกนักรบปลายแถว มาเจอมืออาชีพหน่อยโว้ย ข้าจะสอนงานให้เอง ฮ่าๆ”
ผู้คนล้มตายเป็นผักปลา เลือดสาดและชิ้นเนื้อสาดกระจุยไปทั่วบริเวณ จนฤทธิ์สุดทนเมื่อเห็นยักษ์กราดยิงใส่แม้แต่พวกทหารที่กำลังหลบหนีก็ตาม ฤทธิ์ตะโกนห้าม
“พอได้แล้ว พวกมันหนีไปแล้ว”
ยักษ์ยังคงแผดร้องและกระหน่ำยิงอย่างบ้าคลั่ง โดยไม่ทันสังเกตว่ามีทหารป่าคนหนึ่งยังไม่ตายสนิท มันลุกขึ้นโงนเงนก่อนจะเล็งปืนยิงใส่ด้านหลังของยักษ์เข้าเต็มๆจนทรุดไป ลุงโจตกใจ
“ไอ้ยักษ์”
ลุงโจหันปากกระบอกปืนไปเล่นงานทหารป่ารายนั้นทันที มันล้มลงขาดใจ ฤทธิ์อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสังเวชใจกับพิษภัยของสงคราม แต่เขาก็มีเวลาเพียงแค่ชั่วอึดใจเท่านั้น เมื่อเหลือบเห็นรถบรรทุกคันหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาพร้อมกำลังเสริม วัฒน์ตะโกนบอก
“กำลังเสริมของพวกมัน”
กรณ์หงุดหงิด
“บ้าเอ๊ย”
เอมี่รีบจัดการยิงพลขับของรถบรรทุกคันนั้นนัดเดียวฟุบคาพวงมาลัย บรรดาทหารที่โดยสารมารีบตั้งแนวรบอย่างรวดเร็ว พวกมันใช้เครื่องยิงจรวด RPG เล่นงานพวกของกรณ์ชุดใหญ่ ทุกคนต่างหลบตายกันจ้าละหวั่น กรณ์เห็นเป้าหมายต่อไปของจรวดคือเอมี่ก็รีบร้องเตือน ขณะที่จรวดกำลังพุ่งหาเป้าหมาย
“เอมี่ หลบไป”
เอมี่รีบหอบปืนหนีไปจากฐานยิงของเธอ โดยคล้องตะขอกับกิ่งไม้แล้วโรยตัวลงเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว ก่อนที่บริเวณดังกล่าวจะถูกระเบิดเป็นจุณ แรงระเบิดทำให้ต้นไม้หักครืน เอมี่หลุดจากเชือกร่วงลงไปกระแทกกับพื้นกลิ้งหลุนๆ ยักษ์กุมแผลกระเสือกกระสนหาที่กำบัง
“ไอ้เลว แน่จริงอย่าเล่นของหนักสิโว้ย”
ฤทธิ์พยายามยิงตอบโต้พวกกำลังเสริม แต่ก็ถูกพวกมันยิงจรวดซ้ำมาอีกจนไม่เป็นกระบวน เมื่อควันระเบิดจางลง ฤทธิ์ตัดสินใจโดดเข้าบังคับปืนกลแทนยักษ์และกราดยิงใส่แนวรบของพวกกำลังเสริมอย่างดุเดือด พวกทหารนับสิบยิงตอบโต้สวนมา แต่ถูกฤทธิ์กราดยิงใส่ไม่ยั้ง พลยิงระเบิดฝ่ายตรงข้ามตัดสินใจยิงจรวดถล่มฐานปืนกลหนักของฤทธิ์จนแหลกเป็นจุณ เคราะห์ดีที่ยักษ์เหลือบเห็นเข้าเสียก่อนจึงรวบตัวฤทธิ์หลบไป
“หมอบ”
แรงระเบิดทำให้ลุงโจล้มลงไปกับพื้น ระเบิด pipe bomb ของลุงโจกลิ้งออกมาจากเป้หลายแท่ง...วัฒน์กับกรณ์พยายามยิงสกัดพวกทหารป่า จนวัฒน์ถูกยิงล้มไป
“วัฒน์” กรณ์ตะลึง
“หัวหน้า พวกมันมีมากกว่า รีบถอนกำลังเหอะ”
กรณ์ขบกรามด้วยความแค้น ขณะที่ฤทธิ์มองลุงโจเก็บลูกระเบิดแล้วรีบบอก
“เอาระเบิดมาให้ผม ผมจัดการเอง”
“ไกลขนาดนี้ แกโยนไม่ถึงหรอก”
“ผมจะบุกเข้าไป”
ยักษ์ขัดขึ้น
“พวกมันมีเป็นฝูง อย่างต่ำต้องใช้ pipe bomb หกแท่ง แกจะจุดชนวนพร้อมกันยังไง”
ฤทธิ์มอง pipe bomb
“มันตั้งเวลาได้ใช่มั้ย”
“แค่หนึ่งนาที”
ฤทธิ์เป่าปากเรียกกรณ์ ก่อนจะส่งสัญญาณมือให้กรณ์รู้ว่า จะบุกเข้าให้ช่วยยิงคุ้มกัน ระหว่างนั้นเอมี่กับวัฒน์ก็เข้ามาสมทบที่แนวกำบังเดียวกับกรณ์
“เขาจะทำอะไร” เอมี่ถามอย่างสงสัย
“เราต้องยิงคุ้มกันให้เขา”
เอมี่ชะงัก
“จะฝ่าเข้าไปงั้นเหรอ”
วัฒน์ส่ายหน้า
“ฆ่าตัวตายชัดๆ”
กรณ์นิ่งเงียบเพราะเชื่อว่าฤทธิ์ทำได้
ลุงโจ ยักษ์ และฤทธิ์ช่วยกันกดปุ่มตั้งเวลาpipe bomb ก่อนจะยัดทั้งหมดกลับลงเป้ ลุงโจกำชับฤทธิ์
“หนี่งนาที วิ่งเต็มที่นะไอ้หนุ่ม”
ยักษ์เป็นห่วง
“อย่าระเบิดกลางทางซะก่อนล่ะ”
ฤทธิ์รับเป้ระเบิดมาสะพาย ก่อนจะหันไปชูสัญญาณฝ่ามือเป็นสัญญาณ ทุกคนมองฝ่ามือของฤทธิ์ ทันทีที่เขากำมือหมับ กรณ์ วัฒน์ ลุงโจ เอมี่ ยักษ์ เปิดฉากยิงใส่พวกศัตรูทันที จังหวะนั้นฤทธิ์ก็แบกเป้ระเบิดของลุงโจวิ่งไปที่แนวรบของพวกศัตรู พวกทหารป่าพยายามยิงใส่ แต่ฤทธิ์ก็อาศัยความว่องไวหลบเลี่ยงวิถีกระสุนไปได้ กระสุนปืนเจาะพื้นจนฝุ่นตลบ แต่นั่นก็ทำให้ฤทธิ์เสียเวลาซึ่งกำลังเดินหน้าไปเรื่อยๆ ยักษ์ดูนาฬิกา
“ไม่ทันแน่ จวนหมดเวลาแล้ว”
ลุงโจได้แต่ขบกรามด้วยความลุ้นระทึก พลยิงจรวดเมื่อเห็นฤทธิ์ใกล้เข้ามาก็ตัดสินใจยิงระเบิดเข้าใส่ ระเบิดตกตรงหน้าฤทธิ์พอดี กรณ์ตะลึง
“ไอ้ฤทธิ์”
ลุงโจหน้าสลด
“ไปสู่ที่ชอบที่ชอบเหอะวะไอ้หนุ่ม”
เอมี่เหลือบเห็น
“เขาอยู่โน่น”
เมื่อควันระเบิดจางลงกลับเห็นฤทธิ์โหนเถาวัลย์มาจากต้นไม้ต้นหนึ่ง ก่อนจะสะบัดเป้ระเบิดออก ใส่แนวรบของพวกข้าศึก pipe bomb ที่อยู่ในเป้หลุดกระจายออกมากลางอากาศ ก่อนระเบิด pipe bomb ร่วงถึงพื้น โหมดตั้งเวลาก็ทำงาน ส่งผลให้เกิดการระเบิดตูมๆไปทั่วบริเวณ พวกข้าศึกจบชีวิตลงในพริบตา ขณะที่ฤทธิ์โหนเถาวัลย์ไปดูเหตุการณ์อยู่บนต้นไม้อีกต้น
ห้องโถงของบริษัทบลูฟินิกซ์ฟาร์ม่าของมาดามหลิว ถูกตกแต่งอย่างล้ำสมัย มีพนักงานและผู้คนมาติดต่อหลายคน โซเฟีย ซึ่งเป็นผู้ช่วยเดินตามทางเข้าไปในห้องสมุดของบริษัทเดินมาหามาดามหลิวที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนรถเข็น
“โรงงานเป้าหมายที่เราตามสืบ ถูกจู่โจมแล้วค่ะมาดาม คนลงมือเป็นกองกำลังไม่ทราบฝ่าย”
“บางทีศัตรูของเราอาจอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ให้ชาญไปสืบข่าว ฉันอยากรู้ว่าคนพวกนั้นเป็นใคร”
“ค่ะมาดาม”
โซเฟียกลับออกไป มาดามหลิวในปัจจุบันทอดสายตามองไปนอกหน้าต่างอย่างเคร่งขรึม เธอรำพึงในใจ
“พรายพิฆาต พวกแกหนีฉันไม่พ้นหรอก”
มาดามหลิว มองรูปของของตนเอง ที่ถ่ายกับสามีและลูกสาวอย่างเศร้าๆ
ผนังถ้ำมีเศษดินร่วงลงมาเพราะแรงระเบิด ภายในห้องทดลองนั้น เป็นห้องโถงขนาดกลางที่ซ่อนอยู่ภายในถ้ำ บรรดานักวิทยาศาสตร์กำลังจับกลุ่มกันอยู่ด้วยความหวาดหวั่น ไม่มีใครสนใจทำงานค้นคว้าอีกต่อไป สักครู่ก็มีทหารระดับผู้บังคับบัญชา เดินเข้ามาพร้อมกับพลทหารสองนาย
“ทุกท่าน ผมได้รับคำสั่งจากเบื้องบนให้ปกปิดทุกอย่างภายในห้องแล็บนี้เป็นความลับ ต้องขออภัยด้วย”
หัวหน้านักวิทยาศาสตร์เอะใจ
“เดี๋ยว ผู้กอง”
สายเกินไป พลทหารที่ติดตามมาก็ยกปืนกลกราดยิงพวกนักวิทยาศาสตร์ทันที พวกนักวิทยาศาสตร์ตายทั้งหมด ผู้กองสั่งเสียงเข้ม
“วางระเบิด แล้วเอาตัวจุดชนวนมาให้ผม”
“ครับท่าน”
ไม่มีใครรู้เลยว่านักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งยังอยู่ที่หน้าห้องทดลอง และเห็นเหตุการณ์ภายในห้องผ่านทางช่องกระจกเขารีบทิ้งแฟ้มในมือ แล้วโกยแน่บไปทันที
ทหารป่าซึ่งปักหลักสู้คนสุดท้ายถูกพวกของกรณ์ยิงตาย ขณะที่คนอื่นๆก็หนีตายไปตามป่าตามเขา กรณ์มองดูสักพัก
“เคลียร์”
พวกกรณ์ออกจากที่กำบัง มาสมทบกันที่หน้าถ้ำ
“ลุงโจ ยักษ์ วัฒน์ เข้าไปข้างในกับฉัน ส่วนฤทธิ์...นายกับเอมี่คอยเฝ้าปากถ้ำเอาไว้ ถ้ามีอะไรผิดปกติรีบวิทยุรายงาน” กรณ์สั่งการ
ฤทธิ์พยักหน้ารับทราบ
ขณะที่วัฒน์มองไปมาระหว่างฤทธิ์และเอมี่ด้วยความไม่พอใจ
ผู้กองและเหล่าทหารป่ากลุ่มสุดท้าย ตั้งแนวรบเตรียมรับมือกับพวกกรณ์ ผู้กองของพวกทหารป่ามองตัวจุดชนวนระเบิดในมือก่อนจะกล่าวขึ้น
“พวกเราจะต้านข้าศึกจนวินาทีสุดท้าย ถ้าตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเมื่อไหร่ ผมจะระเบิดที่นี่ แล้วส่งพวกศัตรูไปนรกพร้อมเรา”
ในความเงียบนั้น ได้ยินเสียงฝีเท้าของพวกกรณ์ใกล้เข้ามา
“เห็นเป้าหมายเมื่อไหร่ให้ยิงได้ทันที ไม่ต้องรอคำสั่ง”
แต่แล้วเสียงฝีเท้าก็หยุดเงียบไป ทำให้พวกทหารป่าพากันประหลาดใจ สักครู่ก็ได้ยินเสียงบางอย่างกลิ้งมาแทนที่ สิ่งที่เห็นก็คือ…ระเบิดpipe bomb ของลุงโจที่กลิ้งมาตรงหน้า ผู้กองตะโกนลั่น
“ระวัง”
ระเบิดทำงาน พวกทหารป่าต่างบาดเจ็บล้มตายเพราะแรงระเบิด ก่อนที่กรณ์จะนำ ลุงโจ วัฒน์ และยักษ์กราดยิงพวกที่เหลือจนดับดิ้น ตัวจุดชนวนหล่นอยู่ที่พื้น ผู้กองของพวกทหารป่าพยายามคลานไปคว้าขึ้นมาแต่แล้วกรณ์ก็โผล่มาเหยียบข้อมือของมันเอาไว้ แล้วชิงตัวจุดชนวนระเบิดไปต่อหน้า กรณ์เหลือบดูยศที่บ่าของฝ่ายตรงข้าม
“เสียใจด้วยผู้กอง แต่คุณเป็นฝ่ายแพ้”
กรณ์ว่าก่อนจะยิงศัตรูคนสุดท้ายตายคาที่
ฤทธิ์กับเอมี่อยู่โยงเฝ้าปากถ้ำ เอมี่บรรจุกระสุนชุดใหม่พลางมองฤทธิ์ด้วยแววตายั่วเย้า ฤทธิ์เพียงแค่ยิ้มรับและกวาดตามองไปรอบๆ เขารู้สึกว่ามีอะไรผิดที่ผิดทางบางอย่างในบริเวณนั้น จึงเริ่มออกเดินสำรวจไปรอบๆ เอมี่มองตามฤทธิ์ที่เดินพ้นไปสีหน้าหยาดเยิ้มเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นเหี้ยมเกรียมทันที
ประตูห้องทดลองเปิดออกเห็นซากศพนักวิทยาศาสตร์นอนตายเกลื่อน ทหารป่าที่ยืนยามอยู่สองนายทำท่าจะยิงต่อสู้เมื่อเห็นพวกกรณ์โผล่มา แต่ก็ถูกวัฒน์ยิงทิ้งเสียก่อน กรณ์กวาดตามองแล้วสั่งการ
“วัฒน์แบ็คอัพข้อมูลทุกอย่างในคอมพิวเตอร์ ลุงโจตรวจดูระเบิดของพวกมัน ถ้าเดาไม่ผิดมันคงตั้งเวลาเอาไว้ ยักษ์ นายเช็คสารเคมีในคลัง ดูว่ามีของที่เราต้องการรึเปล่า...”
ทุกคนแยกย้ายกันทำงาน วัฒน์เปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมาก็พบว่าคอมพิวเตอร์ลงพาสเวิร์ดเอาไว้ ป้องกันคนนอกใช้งาน วัฒน์หักข้อนิ้วกร๊อบๆ เปิดฉากลุย
“ได้เลย มาดวลกันสักตั้ง เดี๋ยวก็รู้ว่าใครหมู่ใครจ่า”
ลุงโจตรวจค้นไปไปรอบๆห้องแล็ปจนเจอระเบิดที่ตั้งเวลาเอาไว้เหลือเวลาแค่ไม่กี่นาที ลุงโจดูนาฬิกาข้อมือ ก่อนจะหยิบซองเครื่องมือออกมาจากกระเป๋ากางเกง แล้วนั่งลงจัดการกับมัน ระหว่างนั้นก็ผิวปากเป็นเพลงอย่างใจเย็น ยักษ์รื้อตู้แช่ค้นดูสารเคมีต่างๆ แต่ไม่พบสารที่ต้องการ ยักษ์โยนสารเคมีที่ไม่ต้องการทิ้งไปอย่างไม่ใยดี
กรณ์รื้อตู้เอกสารและค้นดูบันทึกการทดลองต่างๆ เห็นบางแฟ้มมีรูปภาพของเหยื่อที่ได้รับพิษจากสารเคมีประเภทเดียวกับฝนเหลือง ทำให้เกิดการกลายพันธุ์และพิกลพิการต่างๆนานา กรณ์นำกระเป๋านิรภัยกันน้ำกันกระแทกที่เตรียมมาออกจากเป้ แล้วเลือกเฉพาะเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการทดลองจริงๆ ใส่ลงไป
ฤทธิ์เดินมาดูซากรถคันหนึ่ง เห็นของที่บรรทุกมาเป็นสารเคมีหลายชนิดด้วยกัน เอมี่เข้ามาสมทบ
“มีอะไรเหรอ”
“สารเคมีพวกนี้ ใช้ทำยาเสพติดไม่ได้”
“ไม่รู้สิ อาจเป็นสูตรใหม่ก็ได้มั้ง”
ฤทธิ์มองเอมี่อย่างคลางแคลง ฉับพลันนั้นเขาก็เห็นนักวิทยาศาสตร์คนสุดท้ายเล็ดรอดหนีออกมาจากถ้ำ
“นั่นใคร”
เอมี่ยกปืนเล็ง
“ฉันจัดการเอง”
ฤทธิ์คว้าปากกระบอกปืนผลักออก
“เราฆ่ามาพอแล้ว ผู้ชายคนนั้นไม่มีอาวุธ”
เอมี่ได้แต่นิ่งเฉย ปล่อยให้ฤทธิ์รีบวิ่งตามนักวิทยาศาสตร์รายนั้นไป
นักวิทยาศาสตร์กำลังวิ่งหนีมาอย่างลนลาน ก่อนจะถูกฤทธิ์ที่ซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้โผล่ออกมาเล่นงานจนล้มไปกับพื้น นักวิทยาศาสตร์กลัวรนราน
“อย่า...อย่าฆ่าผม ผมเป็นพลเรือน”
“พวกนายทำงานให้ใคร ผลิตยาเสพติดแบบไหนกันแน่”
“ยาเสพติด นี่คุณพูดเรื่องอะไร ผมทำงานให้กองทัพนะ งานทดลองของพวกเราคืออาวุธเคมีต่างหาก”
ฤทธิ์ชะงัก
“อะไรนะ”
“น้ำตามัจจุราช คุณไม่รู้หรือไง…”
“น้ำตามัจจุราช มันคืออะไร”
กระสุนจากปืนของเอมี่ถูกยิงจากระยะไกล พุ่งเข้าเจาะศีรษะของนักวิทยาศาสตร์นัดเดียวล้มตึงไปกับพื้นทันที ฤทธิ์อึ้งไปก่อนจะเห็นเอมี่ถือปืนเดินมาอย่างใจเย็น
“เธอยิงเขาทำไม”
“สงสัยมันคงกลัวจนเป็นบ้า ถึงได้พูดเพ้อเจ้อ”
ฤทธิ์นิ่งอยู่สักพักเขาอ่านแววตาของเอมี่และรู้ดีว่าอีกฝ่ายโกหก เขารีบปลีกตัวกลับไปที่ถ้ำทันที เอมี่คุยวิทยุ
“หัวหน้า เรามีปัญหาแล้ว”
กรณ์คุยวิทยุกับเอมี่
“ว่าไงเอมี่”
“ท่าทางฤทธิ์ไม่เอาด้วยกับพวกเรา จะให้ฉันทำยังไง”
“ถ่วงเวลาเขาเอาไว้ เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
เอมี่ลดวิทยุลง
“ถ่วงเวลา...ฮึ...ฉันว่าฉันทำได้ดีกว่านั้นนะหัวหน้า”
ฤทธิ์กำลังเดินมุ่งหน้ากลับไปยังถ้ำ แต่แล้ว…กระสุนจากปืนของเอมี่นัดนึงก็เฉี่ยว เส้นผมของเขาไป ฤทธิ์รีบหลบหลังต้นไม้
“เอมี่”
“ถ้าไม่อยากตาย ก็วางอาวุธซะ”
สายตาเอมี่มองผ่านกล้องเล็งของปืน เห็นฤทธิ์ได้ชัดเจน
ด้านวัฒน์เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ได้สำเร็จ แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่าเขาผลักคอมพ์ทิ้ง
“ไอ้เลว มันจะลงพาสเวิร์ดหาหอกอะไรวะ”
กรณ์กระชากคอ
“นี่แกทำบ้าอะไรของแก”
“มันถ่วงเวลาพวกเรา ในคอมไม่มีข้อมูลอะไรสักอย่าง มันลบทิ้งไปหมดแล้ว”
กรณ์อึ้งไป ลุงโจพยายามหยุดเวลาระเบิดซึ่งใกล้ทำงานเต็มที เขาตัดสายไฟไปเส้นหนึ่งมันก็ยังทำงานต่อ…เวลายังคงเดินหน้าและเหลืออีกไม่กี่นาที
“อ้าว...เฮ้ย อะไรของมันวะ” ลุงโจหน้าเหวอ
ฤทธิ์วิ่งหลบหาที่กำบัง แต่ไม่ว่าเขาจะไปหลบหลังต้นไม้ต้นไหน เอมี่ก็ตามยิงได้อย่างแม่นยำ อานุภาพปืนของเอมี่มีแรงทะลวงสูง เกินกว่าฤทธิ์จะหลบอยู่นิ่งๆ
“พอได้แล้วเอมี่ ผมไม่อยากทำร้ายคุณ”
“ใครทำร้ายใครกันแน่ ฉันต่างหากที่ถือไพ่เหนือกว่า”
เอมี่ปรับปืนเป็นยิงชุดแล้วกระหน่ำใส่ต้นไม้ที่ฤทธิ์หลบอยู่ แต่แล้วฤทธิ์หายไป เอมี่สอดสายตามองหาผ่านกล้องเล็ง
“คุณหนีฉันไม่พ้นหรอก ฉันจับตาคุณอยู่นะ”
ฤทธิ์โผล่มาด้านหลังเอมี่
“ผมต่างหากที่จับตาคุณ”
เอมี่ใจหายวาบรีบหันปากกระบอกปืนไปด้านหลัง แต่ก็ถูกฤทธิ์เล่นงานปลดอาวุธไป เอมี่ยังไม่ยอมแพ้ชักมีดออกมาเล่นงานอีกทั้งคู่ต่อสู้กันอึดใจหนึ่ง เอมี่ก็ถูกฤทธิ์จับล็อคไว้ ทำให้ทั้งคู่ประชิดตัวกันจนแทบจะหายใจรดหน้า
“อยากเจ็บตัวหรือไง”
“แน่นอน แล้วคุณล่ะ อยากทำให้ฉันเจ็บรึเปล่า”
เอมี่พยายามยั่วยวนเพื่อฉวยโอกาสเล่นงานภายหลัง ฤทธิ์ไม่ตกหลุมพราง เขาคว้าต้นคอเอมี่แล้วกดหัวแม่มือลงไปที่เส้นประสาทต้นคออย่างแรง ทำให้เธอหมดสติไป
ลุงโจตัดสายไฟอีกเส้น ระเบิดเวลาจึงหยุดทำงาน ลุงโจถอนหายใจก่อนจะหันไปบอก
“เรียบร้อยหัวหน้า ถ้าไม่มีเครื่องจุดชนวนระเบิดจะไม่ทำงานเด็ดขาด”
กรณ์มองไปที่ตัวจุดชนวนซึ่งวางอยู่แล้วพยักหน้า แต่แล้วทุกคนก็ได้ยินเสียงโครมครามดังขึ้นเห็นยักษ์ผลักตู้แช่สารเคมีจนล้มไป
“เจอแล้ว หัวหน้า”
ทุกคนไปสมทบกับยักษ์ และพบว่าหลังตู้แช่สารเคมี มีตู้เซฟซ่อนอยู่ และมีช่องสำหรับสแกนรหัสเปิด ลุงโจเอามือทาบ ลองเคาะดู
“ไม่น่าจะมีระเบิด ลองเปิดดูเถอะ”
กรณ์หันไปถามวัฒน์
“คิดว่าเปิดได้มั้ย”
วัฒน์ชี้
“ช่องกระจกเล็กๆนั่นมีไว้สแกนม่านตา ต้องเป็นระดับหัวหน้า ถึงจะเปิดได้”
กรณ์มองไปที่กองศพของนักวิทยาศาสตร์จนมาสะดุดตากับศพของหัวหน้าที่ดูแก่สุดในกลุ่ม จึงบุ้ยหน้าให้ยักษ์
“ลากศพไอ้แก่นั่นมาตรงนี้”
ยักษ์เดินไป ศพของหัวหน้านักวิทยาศาสตร์โดนยักษ์หิ้วด้วยมือเพียงข้างเดียว วัฒน์จับแหกตามาจ่อกับช่องแสกน พอล็อคเปิดยักษ์ก็ผลักศพทิ้งไปอย่างไม่ใยดี กรณ์ลงมือเปิดตู้นิรภัยและพบกระบอกอลูมิเนียมที่แช่เย็นอยู่ ภายในกระบอกมีหลอดแก้วบรรจุน้ำตามัจจุราชสีฟ้าเรืองแสงเอาไว้
“ใช่มันรึเปล่า” ลุงโจถาม
กรณ์มั่นใจ
“ใช่...นี่แหละ น้ำตามัจจุราช”
ทันใดนั้นเสียงฤทธิ์ดังขึ้น
“อะไรคือน้ำตามัจจุราช”
กรณ์ ลุงโจ วัฒน์ ยักษ์หันไปและเห็นฤทธิ์ยืนอยู่พร้อมปืน วัฒน์เอื้อมมือไปแตะที่ปืนของตน ฤทธิ์รีบยิงขู่ทันที
“ถ้าขยับอีกนิดเดียว แกตายแน่”
กรณ์รีบบอก
“ไม่เอาน่าฤทธิ์ เราพวกเดียวกันนะ”
“ใครส่งพวกเรามาที่นี่”
“รัฐบาล”
“รัฐบาลของเราไม่ยุ่งเรื่องอาวุธเคมี...บอกมา...มันเป็นใคร ไม่งั้นฉันเด็ดหัวแกทิ้ง”
ทุกคนเงียบกริบ ฤทธิ์ง้างนกปืนอย่างเอาจริง กรณ์มองลูกทีมคนอื่นอย่างชั่งใจก่อนจะบอกฤทธิ์
“พรายพิฆาต”
ฤทธิ์อึ้งไป ลุงโจเสริม
“องค์กรแห่งภราดรภาพ ซึ่งจะทำให้ประชาคมในโลกนี้เป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีความแตกต่างเรื่องเชื้อชาติ หรือศาสนาอีกต่อไป”
ยักษ์ตะโกนขึ้น
“พรายพิฆาตจงเจริญ”
วัฒน์ร้องตาม
“พรายพิฆาตจงเจริญ”
ฤทธิ์อึ้ง
“พวกแกมันบ้า พวกแกถูกล้างสมอง” ฤทธิ์ยื่นมือไป “ส่งมันมานี่”
“อย่าเพื่อน แกไม่รู้หรอกว่าน้ำตามัจจุราชมีอานุภาพแค่ไหน”
“ส่งมา”
กรณ์มองฤทธิ์อย่างเหี้ยมเกรียม ก่อนจะเก็บหลอดแก้วบรรจุน้ำตามัจจุราชลงในกระบอกอลูมิเนี่ยมตามเดิม
“แกจะต้องเสียใจที่ทำแบบนี้”
กรณ์โยนน้ำตามัจจุราชให้ฤทธิ์ จังหวะนั้นเองวัฒน์ก็ชักปืนออกมากระหน่ำยิงทันที ฤทธิ์รีบหลบหาที่กำบัง
ทำให้กระบอกอลูมิเนียมหล่นไปกับพื้น แล้วกลิ้งไปทางหนึ่ง
อ่านต่อหน้า 4
นักสู้มหากาฬ ตอนที่ 1 (ต่ิอ)
ชาญยืนรออยู่ที่ ล็อบบี้โรงแรม พนักงานจะนำรูปจากกล้องวงจรปิดที่ปริ๊นซ์มาส่งให้ ปรากฏว่าเป็นรูปของกรณ์ เอมี่ วัฒน์ ยักษ์ ลุงโจ และฤทธิ์เดินทางออกจากโรงแรม
“ทั้งหมดมีแค่หกคนครับ ผู้ชายคนตัวสูงๆหล่อๆเพิ่งมาถึงทีหลัง”
“เช็คเอาท์ไปนานรึยัง”
“เมื่อเช้านี้เองครับ เห็นหอบเครื่องไม้เครื่องมือออกไปด้วย” พนักงานมองซ้ายมองขวา “แต่ท่าทางเหมือนจะเป็นอาวุธนะครับ”
ชาญมองดูคนในรูปอย่างใช้ความคิด
ภาพถ่ายของพวกกรณ์ถูกส่งเข้าคอมพิวเตอร์ของโซเฟีย เธอรีบรายงานมาดามหลิว
“ชาญส่งรูปของพวกมันมาแล้วค่ะมาดาม ตอนนี้โปรแกรมกำลังสแกนใบหน้า”
โปรแกรมสุ่มใบหน้าของแต่ละคนและค้นหาจนได้ประวัติ โซเฟียอ่าน
“คนพวกนี้เคยอยู่หน่วยรบพิเศษ เชี่ยวชาญด้านการล่าสังหาร แต่จู่ๆก็พร้อมใจกันลาออกจากราชการเมื่อหลายเดือนก่อน”
มาดามหลิวหันไปคุยกับชาญ ผ่านจอคอมพิวเตอร์
“ชาญ เธอแน่ใจรึเปล่าว่าเป็นพวกมัน”
ภาพของพวกกรณ์บนจอคอมพิวเตอร์หายไป ปรากฏเป็นภาพของชาญที่คุยกับมาดามหลิวด้วยระบบ face time
“ครับมาดาม ผมแกะรอยพวกมันตั้งแต่กรุงเทพจนมาถึงนี่”
“แล้วพวกมันแวะที่ชลบุรีทำไม”
“รับผู้ชายคนที่อยู่ริมซ้ายสุดของรูปถ่ายครับ”
โซเฟียคลิ๊กดูประวัติ
“เขาชื่อฤทธิ์ ราวี ถูกให้ออกจากราชการไปเมื่อหลายปีก่อน ชื่อของเขาอยู่ในกลุ่มหายสาบสูญ”
มาดามหลิวสงสัย
“แล้วทำไมเพิ่งมาโผล่ตอนนี้”
ชาญออกความเห็น
“ท่าทางเขาอาจเพิ่งเป็น หรือยังไม่ได้เป็นพวกเดียวกับพรายพิฆาตนะครับมาดาม”
มาดามหลิวมองรูปของฤทธิ์อย่างสนใจ
กรณ์ ลุงโจ วัฒน์ ยักษ์ดวลปืนกับฤทธิ์อย่างดุเดือด โดยมีกระบอกใส่น้ำตามัจจุราชเป็นเดิมพัน
“ยักษ์ ฉันกับคนอื่นจะยิงคุ้มกัน นายรีบไปเอาของมา” กรณ์สั่งการ
กรณ์ วัฒน์และลุงโจ กระหน่ำยิงใส่ฤทธิ์เพื่อเปิดทางให้ยักษ์วิ่งไปเอาน้ำตามัจจุราช ฤทธิ์เห็นยักษ์คว้ากระบอกอลูมิเนียมได้ก็ยิงใส่น่องจนล้ม กระบอกอลูมิเนียมหลุดมือ ลอยคว้างในอากาศ วัฒน์กับกรณ์พยายามยิงใส่แต่ฤทธิ์พลิกตัวหลบไปแล้วหันไปยิงกระหน่ำใส่กระบอกอลูมิเนียมที่กำลังจะร่วงลงมา กระสุนทุกนัดเฉี่ยวกระบอกนั้นจนหมุนติ้วๆหลายครั้งโดยไม่ร่วง จนไปค้างอยู่บนรางแขวนหลอดไฟ กรณ์ตกใจตะโกนลั่น
“ไอ้ฤทธิ์ บอกแล้วไงว่าในนั้นเป็นสารเคมี ถ้ามันแตกขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบ”
“ฉันไม่สน ฉันไม่ยอมให้พวกแกเอามันไปเด็ดขาด”
ลุงโจตะโกนขอสงบศึก
“นี่ไอ้หนุ่ม มาเจรจากันหน่อยดีมั้ย”
“ไม่”
"ฟังความเห็นผู้เฒ่าหน่อยก็ไม่เสียหายหรอกมั้ง แกคนเดียวจะสู้กับพวกเราสี่คนได้ยังไง ที่สำคัญปืนของแก มีกระสุนเหลือกี่นัดกันวะ”
ฤทธิ์ชะงักมองปืนอย่างนึกขึ้นได้ ลุงโจยิ้มอย่างเหนือกว่า
“กรณ์ให้ฉันเป็นคนจัดกระสุนให้แก ตอนรบอยู่ข้างนอกก็ยิงไปมากโขอยู่นา ฉันว่าตอนนี้คงเหลือไม่ถึงครึ่งแม๊กด้วยซ้ำ”
วัฒน์ตะโกนขึ้นบ้าง
“แต่ของฉันตุนมาเพียบ”
กรณ์บอกบ้าง
“ฉันก็เหมือนกัน”
ยักษ์กุมแผลแค้นๆ
“มันยิงขาฉัน ใครก็ได้ช่วยเอาคืนให้ทีโว้ย”
ฤทธิ์เงียบเพื่อใช้ความคิด ทุกคนพาลเงียบไปด้วย ต่างคนต่างมองกระบอกอลูมิเนียมที่ค้างเติ่งอยู่บนที่สูงนั้นเหมือนรอจังหวะที่จะเข้าไปช่วงชิง เวลานั้นเองที่ฤทธิ์เหลือบเห็นถังออกซิเจนในห้องที่ใช้สำหรับการทดลองหลายถัง
พวกกรณ์พากันแปลกใจเมื่อได้ยินเสียงแก๊สถูกปล่อยออกจากถัง เมื่อชะเง้อมองออกไปก็เห็นถังอ๊อกซิเจนหลายถังถูกถีบกลิ้งออกมา กรณ์โมโห
“บ้าเอ๊ย อย่ายิง เดี๋ยวระเบิด”
วัฒน์ขบกรามด้วยความเจ็บใจเมื่อรู้ว่าฤทธิ์มีแผนอะไร มันเหวี่ยงปืนทิ้งแล้วโผล่จากที่กำบังทันที ก่อนจะเจอกับฤทธิ์ที่ยืนจังก้าอยู่
“หมดปัญหาเรื่องกระสุน”
วัฒน์โกรธมาก
“แกมันบ้า”
ยักษ์วางปืนยืนขึ้น
“ยังไงก็สี่ต่อหนึ่งอยู่ดี มันสู้พวกเราไม่ได้หรอก”
ลุงโจมองไปทางกรณ์อย่างขอความเห็น
“อย่าประมาท เกมนี้มันชำนาญกว่าพวกเรา”
กรณ์พูดไม่ทันขาดคำฤทธิ์ก็วิ่งพุ่งขึ้นไปบนโต๊ะแล้วกระโจนคว้ากระบอกอลูมิเนียม วัฒน์พุ่งเข้าสะกัดจึงเกิดการต่อสู้กับฤทธิ์ ลุงโจฉวยโอกาสนั้นจะปีนขึ้นไปคว้ากระบอกอลูมิเนียม ฤทธิ์ที่ต่อสู้ติดพันกับวัฒน์อยู่เหลือบเห็นเข้า จึงชักมีดปาออกไปสกัดเอาไว้ มีดปักผนังตรงหน้าลุงโจพอดี ทำให้ลุงโจที่กำลังปีนอยู่ตกใจร่วงลงไปกับพื้น ฤทธิ์เล่นงานวัฒน์จนคว่ำไป ก่อนที่ยักษ์โผเข้ามาพยายามใช้กำลังคว้าตัว แต่ฤทธิ์ก็ใช้เชิงมวยต่อยเข้าที่คอหอยของยักษ์ ซึ่งต่อให้แข็งแรงแค่ไหนก็เปราะบางในส่วนนั้น ลุงโจคว้าของแข็งจะมาฟาดฤทธิ์ด้านหลังแต่ก็ถูกฤทธิ์หันมาเตะจนหัก ก่อนจะชกลุงโจคว่ำไป ในเวลานั้นกรณ์ยังยืนดูเชิงอยู่อย่างใจเย็น ฤทธิ์มองหน้า
“แกก็รู้ ไม่มีใครขวางฉันได้”
ฤทธิ์ว่าพลางถอดเสื้อออกห่อกระบอกอลูมิเนียม แล้วมัดไว้กับหลัง กรณ์แสยะยิ้ม
“ไม่แน่”
กรณ์ว่าพลางชักมีดพกของตนออกมา ทำให้วัฒน์ทำตามบ้าง ยักษ์ถอยไปที่สัมภาระของตนแล้วดึงดาบเดินป่าออกมาเช่นกัน ลุงโจใช้เสือซ่อนเล็บเป็นอาวุธ ฤทธิ์ควานหามีดของตนก่อนจะนึกได้ว่าตนซัดมีดไปปักอยู่ที่ฝาก่อนหน้านี้ กรณ์ตะโกนลั่น
“ฆ่ามัน”
สิ้นเสียงคำสั่งของกรณ์ รอบกายของฤทธิ์ก็ถูกรุมล้อมด้วยคมอาวุธทันที
ฤทธิ์พยายามพลิกตัวหลบไปรอบๆห้องทดลองนั้น แต่ก็พลาดถูกคมมีดของวัฒน์เฉือนเข้าจนล้มไป
จังหวะนั้นเองที่เห็นฤทธิ์เห็นศพของทหารป่าที่นอนกองอยู่คาปืน จึงปลดดาบปลายทั้งสองเล่มของมันออกมา ฤทธิ์ควงดาบปลายปืนทั้งสองเล่มอย่างคล่องแคล่วด้วยความชำนาญ ทำเอาพวกของกรณ์ต่างพากันเหงื่อตก เพราะเมื่อฤทธิ์ได้อาวุธคู่กายก็ไม่ต่างอะไรกับพยัคฆ์ร้ายติดปีก การต่อสู้พลิกผันไป ฤทธิ์เป็นฝ่ายเปิดศึกกับทุกทิศทางรอบด้าน ใครที่ขยับเข้าใกล้ต่างโดนคมดาบของฤทธิ์แทงเข้าไปคนละแผลสองแผลเป็นอย่างน้อย แม้แต่กรณ์เองก็ถูกกรีดหน้าจนเป็นรอย กรณ์แค้นมาก
“ไอ้ฤทธิ์”
“ถ้าใครตามมาอีกล่ะก็ ฉันไม่ยั้งมือแน่”
ฤทธิ์รีบหนีออกไปจากห้องทดลอง วัฒน์ ลุงโจกับยักษ์มองหน้ากันไม่มีใครกล้ารีบตามไปเพราะยังขยาดกับฝีมือของฤทธิ์และยังเจ็บแผลที่เพิ่งได้มา กรณ์ได้แต่ขบกราม ลูบแผลที่หน้าด้วยความแค้น
ฤทธิ์ถือดาบปลายปืนวิ่งมุ่งหน้าไปยังปากถ้ำ อิสรภาพอยู่ใกล้แค่เอื้อมอีกเพียงไม่กี่อึดใจทุกอย่างก็จะจบสิ้นลง แต่แล้วเอมี่ก็ปรากฏตัวขึ้นที่ปากทางอย่างรวดเร็ว เอมี่ประทับปืนและเหนี่ยวไกยิง กระสุนจากปืนของเอมี่เจาะทะลุอกของฤทธิ์อย่างแม่นยำ และทะลวงไปถูกกระบอกใส่น้ำตามัจจุราชที่ฤทธิ์สะพายไว้ด้านหลังจนเป็นรูโหว่ ฤทธิ์ทรุดเข่าลงตาค้าง…กระสุนไม่ได้ตัดขั้วหัวใจ แต่อานุภาพของมันร้ายแรงพอจะส่งเขาไปยมโลกในไม่ช้า เวลานั้นเองที่พวกของกรณ์ ลุงโจ วัฒน์ และยักษ์เพิ่งตามมา เอมี่ยิ้มสมใจ
“เสร็จฉันจนได้”
กรณ์รีบปลดกระบอกใส่น้ำตามัจจุราชออกจากหลังของฤทธิ์ แต่พอเห็นกระบอกถูกยิงจนรั่ว ก็หันไปตบหน้าเอมี่อย่างแรง
“หัวหน้า”
“น้ำตามัจจุราชมีอยู่แค่ยูนิตเดียว แต่เธอยิงมันเละไปหมดแล้ว”
“ไม่เป็นไรหัวหน้า แค่นี้ก็พอถมถื่น”
ลุงโจหยิบเครื่องมือมาเก็บตัวอย่างน้ำยาไปจากกระบอก
“อีกไม่ช้านักวิทยาศาสตร์ของเรา จะแยกส่วนประกอบของมัน และสังเคราะห์ขึ้นมาใหม่”
ระหว่างนั้นฤทธิ์ก็กระอักเลือดออกมา ยักษ์เห็น
“มันยังไม่ตาย”
“ฉันจัดการเอง”
วัฒน์ทำท่าจะปาดคอฤทธิ์แต่กรณ์คว้าข้อมือไว้
“อย่า มันเป็นเพื่อนฉัน ฉันจัดการเอง...ประคองมันขึ้นมา”
ยักษ์กับวัฒน์ประคองร่างของฤทธิ์ไปพิงผนัง กรณ์หยิบดาบปลายปืนสองเล่มของฤทธิ์ที่หล่นอยู่ขึ้นมา และใช้ปลายดาบเขี่ยปากแผล ฤทธิ์กัดฟันด้วยความเจ็บปวด
“กระสุนห่างหัวใจไปแค่ไม่กี่นิ้ว แกนี่มันดวงแข็งจริงๆ”
ฤทธิ์อ่อนแรง
“ทำไม…ทำไมต้องเป็นฉัน”
“บอส…หัวหน้าสาขาของพรายพิฆาต เขาบอกว่ารู้จักแก”
ฤทธิ์อึ้งไป
“เขาเฝ้าดูแกมานานมาก และทนไม่ได้ที่ต้องเห็นนักสู้ฝีมือดีอย่างแกต้องวางมือ เขาขอร้องให้ฉันพาแกเข้าทีม และปลุกสัญชาติญาณนักฆ่าของแกขึ้นมาอีกครั้ง”
“ฉันไม่มีทางเป็นพวกเดียวกับแก”
“ฉันรู้ แต่บอสยืนยันว่ามีวิธี เขาสั่งให้ฉันพาแกไปพบหลังเสร็จภารกิจ แต่ดูท่า…มันคงสายไปแล้ว”
กรณ์ควงดาบข้างนึงแล้วแทงใส่บ่าของฤทธิ์จนทะลุไปถึงกำแพง ฤทธิ์คำรามออกมาด้วยความเจ็บปวด กรณ์มองฤทธิ์ทุรนทุรายอย่างใจเย็น
“ฉันเป็นนักรบ เป็นนักสู้ ไม่ใช่ฆาตกรเหมือนพวกแก”
กรณ์เหยียดยิ้ม
“ฉันรู้ว่าแกมันดื้อด้าน แต่บอสไม่ยอมเชื่อฉัน เขาบอกว่านักสู้ที่ดีต้องยืนหยัดบนความศรัทธาของตัวเองจนวินาทีสุดท้าย...และฉันจะให้แกเป็นแบบนั้น ยืนจนวินาทีสุดท้าย”
กรณ์ปักดาบอีกเล่มใส่บ่าอีกข้างของฤทธิ์ คมดาบทะลุไปถึงผนังถ้ำ คราวนี้ฤทธิ์แผดร้องเสียงหลง กรณ์ผายมือ...ให้ยักษ์กับวัฒน์ปล่อยแขน ร่างของฤทธิ์โดนตรึงในท่ายืนอยู่กับผนัง กรณ์มองอย่างเหี้ยมเกรียม
“คิดว่าแกจะตายอย่างภาคภูมิใจงั้นเหรอไม่เลย ฉันจะทำให้แกตายตาไม่หลับ” กรณ์เข้าไปพูดกรอกหู “ฟังนะ ทันทีที่ฉันกลับไป ฉันจะส่งคนไปบดขยี้แฟนสาวของแก ฉันจะทำให้หล่อนทรมานยิ่งกว่าแกเป็นร้อยๆเท่า ทรมานจนต้องร้องขอความตายจากฉัน” กรณ์ยื่นหน้ามาใกล้ “โอเค ทีนี้ มีอะไรจะสั่งเสียอีกมั้ย”
ฤทธิ์แค้นสุดๆ
“ฉ…ฉันจะกลับมาจากขุมนรก ฉันจะกลับมาเด็ดหัวแก”
“ฮ่าๆๆ”กรณ์หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
ส่วนภายในถ้ำ ระเบิดทำงาน ทุกอย่างในห้องทดลองระเบิด...ฤทธิ์ยังถูกตรึงอยู่กับผนังถ้ำ แรงระเบิดทำให้เพดานถ้ำเริ่มถล่มลงมา ฤทธิ์มองไปเห็นเปลวไฟจากระเบิดพุ่งอัดมาตามทางเดินในถ้ำ และมุ่งหน้ามาทางเขา
“ใจทิพย์…ผมขอโทษ…ผมเสียใจ”
ฤทธิ์หลับตาลงขณะที่เปลวไฟพุ่งมาถึงตรงหน้า
ค่ำคืนนั้นฝนตกกระหน่ำ ใจทิพย์สะดุ้งตื่นขึ้นกลางดึกบนที่นอน เมื่อได้ยินเสียงแก้วแตก เธอย่องลงมาดูที่ห้องโถงเห็นกรอบรูปบานนึงหลุดลงมาแตก จะว่าเพราะแรงลมก็ไม่น่าจะใช่ ใจทิพย์ตกใจ
“ตายจริง”
ใจทิพย์รีบหยิบกรอบรูปขึ้นมาและพบว่ามันคือรูปถ่ายของฤทธิ์ที่ถ่ายก่อนไป
“ฤทธิ์…”
ฟ้าแลบแปลบปลาบเป็นประกาย ใจทิพย์ไม่มีทางรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับชายคนรัก
วันต่อมา...นำชัยให้สัมภาษณ์บรรดานักข่าวอยู่ที่หน้าที่ทำการพรรคเทิดธรรม โดยมีสุชาติคอยยืนเคียงข้าง
“เรื่องการบุกจู่โจมโรงงานผลิตอาวุธเคมี ผมยังไม่ได้รับรายงานแต่เชื่อว่าคงเป็นข่าวโคมลอยซะมากกว่า”
“แล้วที่ลือกันว่าพรายพิฆาตมีเอี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่ทราบว่าท่านมีความเห็นยังไงบ้างคะ”
“เรื่องเหลวไหลทั้งเพ องค์กรลึกลับปัญญาอ่อนแบบนั้นไม่มีอยู่จริงหรอกครับ ผมยืนยันได้”
นักข่าวระดมคำถามเรื่องอาวุธเคมีกับพรายพิฆาตอีกเซ็งแซ่ สุชาติเห็นนำชัยเริ่มหงุดหงิด รีบตัดบท
“เอ่อ...ถ้ายังไงคงต้องยุติการสัมภาษณ์แค่นี้ก่อนนะครับ พอดีท่านนำชัยติดประชุม ถ้ามีความคืบหน้ายังไงแล้วเราจะแถลงข่าวภายหลัง”
นำชัยนั่งอยู่บนรถ ขณะที่เดินทางกลับ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ไอ้พวกบ้า ผมอยากรู้จริงๆว่าใครเป็นคนให้ข่าว วุ่นวายไม่เข้าเรื่อง”
“แหล่งข่าวคงมาจากประเทศเพื่อนบ้านของเราครับท่าน บางทีโรงงานอาวุธเคมีนั่นกับเรื่องพรายพิฆาตอาจจะเกี่ยวพันกันจริงๆก็ได้”
นำชัยคิดสักพัก
“นายพอจะรู้รึเปล่าว่า ใครรับผิดชอบคดีพรายพิฆาต”
“รู้สึกจะเป็นผู้กองราเมศ เจ้านายของหมวดณัฐชาครับท่าน”
นำชัยครุ่นคิดแผนการบางอย่างขึ้นเงียบๆ
ราเมศพาณัฐชาเข้ามาในห้องประชุมของกองปราบ พบจ่าไมตรี กับหมู่ปรีดานั่งรออยู่
“อรุณสวัสดิ์ครับผู้หมวด อรุณสวัสดิ์ครับผู้กอง” ไมตรีทำความเคารพ
ปรีดาทำความเคารพแล้วยิ้มแหยๆ
“ผู้หมวด ผู้กองสบายดีเหรอครับ”
ณัฐชาแปลกใจ
“จ่าไมตรี หมู่ปรีดา พวกคุณมาที่นี่ทำไม”
“อ๋อ...คือทางเบื้องบนส่งพวกผมมาช่วยงานผู้กองราเมศกับผู้หมวดครับ” ไมตรีตอบฉะฉาน
ณัฐชาหันไปถามราเมศ
“จริงเหรอคะผู้กอง”
ราเมศถอนใจ
“ทางผู้ใหญ่เขาสั่งมาแบบนั้น ทำไงได้”
ปรีดามองสองคน
“ท่าทางผู้กองกับผู้หมวด ดูเหมือนจะไม่ดีใจเลยนะครับ”
ณัฐชาประชด
“ดีใจสิหมู่ ได้คนมีความสามารถอย่างหมู่กับจ่ามาร่วมงาน น้ำตาจะไหลเลยล่ะ”
ณัฐชาปลีกตัวไปหาที่นั่ง ไมตรีกับปรีดามองหน้ากันเจื่อนๆ ขณะที่ราเมศแอบยิ้มขำ
การประชุมเริ่มต้นขึ้น มีการฉายภาพด้วยเครื่องโปรเจ็คเตอร์ประกอบการประชุม ณัฐชาอธิบาย
“เท่าทีสืบทราบมา นักวิทยาศาสตร์ที่ถูกฆ่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับโรงงานอาวุธเคมีที่ถูกจู่โจมเมื่อคืนก่อน เพราะแหล่งข่าวยืนยันว่าหลายเดือนที่ผ่านมา ผู้ตายเดินทางไปที่ชายแดนทุกเดือน และจะพักอยู่ที่นั่นสองถึงสามสัปดาห์เป็นอย่างต่ำ”
“แน่ใจเหรอผู้หมวด” ราเมศถาม
ณัฐชาพยักหน้า
“แหล่งข่าวยืนยันมาแบบนั้นค่ะ”
“ไม่ทราบว่าแหล่งข่าวของผู้หมวดเป็นใครเหรอครับ” ไมตรีถามบ้าง
ณัฐชาอึกอัก
“เอ่อ...เนื่องจากผู้ตายไม่มีครอบครัว คนที่สนิทกับเขามาก ที่สุดก็คือ…”
ก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมง ณัฐชามาที่ร้านนวดแผนโบราณโทรมๆแห่งหนึ่ง เธอสอบปากคำหมอนวดรายหนึ่ง หมอนวดดูรูปถ่ายของนักวิทยาศาสตร์ที่ตายแล้วส่งรูปคืน
“ใช่ค่ะ คนที่ตายเป็นขาประจำของฉันเอง เขาบอกว่าเป็นคนจัดหาสารเคมีให้กับห้องทดลองที่ต่างประเทศ”
“แล้วรู้รึเปล่าว่าทดลองเกี่ยวกับอะไร”
หมอนวดคิดอยู่นาน
“เคยมีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาดื่มจนเมาแล้วก็หลุดปากออกมาว่าเขาไม่สบายใจ ที่คนพวกนั้นทดลองกับมนุษย์ มันทำให้เขานอนไม่หลับ”
ณัฐชาแปลกใจ
“ทดลองกับมนุษย์งั้นเหรอ”
ราเมศ ไมตรี ปรีดาต่างแปลกใจเมื่อได้ยินเรื่องที่ณัฐชาเล่า ราเมศมองณัฐชา
“คุณแน่ใจนะว่าเขาไม่ได้พูดเล่น”
“ค่ะ แถมผู้ตายยังพูดถึงสารเคมีที่ชื่อน้ำตามัจจุราชอีกด้วย”
ราเมศสงสัย
“มันคืออะไร”
“ตอนแรกฉันเองก็ไม่ทราบค่ะ ก็เลยค้นในอินเตอร์เน็ตจนได้ข้อมูลพวกนี้”
ณัฐชาฉายภาพที่โปรเจ็คเตอร์ เป็นรูปคนที่ได้รับผลกระทบจากอาวุธเคมีประเภทฝนเหลืองในสงครามจนต้องเจ็บป่วยพิการ
“น้ำตามัจจุราช เป็นอาวุธเคมีชนิดหนึ่ง มันคล้ายๆ กับฝนเหลืองที่เคยใช้ในสงครามเวียดนาม แต่ถูกยกเลิกไปเพราะมีผลข้างเคียงบางอย่าง”
ราเมศอึ้ง
“ผลข้างเคียงประเภทไหน”
“มันทำให้ร่างกายของมนุษย์เกิดการกลายพันธุ์” ณัฐชาบอกเครียดๆ
ที่บริเวณถ้ำ ฝนตกลงมาอย่างหนัก ซากศพมากมายกองเกะกะอยู่ท่ามกลางกระแสน้ำ คราบเลือดถูกฝนชะมาไหลรวมกันเป็นทาง ศพของฤทธิ์นอนฟุบหน้าอยู่ในซอกหิน น้ำฝนที่ซึมผ่านผนังถ้ำหยดลงมาที่ตัวเขา บาดแผลของฤทธิ์ด้านหลัง นอกจากรอยเลือดแล้วยังมีรอยคราบเรืองแสงของน้ำตามัจจุราชที่แปดเปื้อนอยู่บริเวณปากแผล มันถูกน้ำฝนเจือจางและค่อยๆไหลซึมลงไปในแผลของเขา น้ำตามัจจุราชเข้าไปในร่างกายของฤทธิ์และทำปฏิกิริยาเปลี่ยนแปลงเซลส์ในร่างกายอย่างรวดเร็ว
เสียงหัวใจของฤทธิ์ค่อยๆดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะแรงขึ้นเรื่อยๆ มือของเขาเริ่มขยับกระตุกขึ้น
พายุฝนโหมซัดบริเวณปากถ้ำ ฤทธิ์เดินโซซัดโซเซออกมาในสภาพที่เนื้อตัวยังมีบาดแผล ใบหน้าขาวซีดเหมือนผีดิบ แต่แววตากลับมีประกายเรืองแสง ผิวหนังของเขาร้อนฉ่า มีไอระเหิดขึ้นยามสัมผัสถูกน้ำฝน ฤทธิ์มองดูรอยโหว่จากการถูกยิงบนหน้าอกของตัวเอง เขาควรจะตาย แต่กลับยังมีชีวิตอยู่
ฤทธิ์ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองกันแน่ เขาแผดร้องคำรามออกมาด้วยความเจ็บปวด
ภายในร้านนวดแผนโบราณมีลูกค้าประปราย คนเชียร์แขกกำลังยืนเชียร์แขกอยู่ ขณะที่หมอนวดคู่ขานักวิทยาศาสตร์นั่งปั้นหน้าอ่อยลูกค้าอยู่ในตู้ ไมตรีกับหมู่ปรีดานั่งกระสับกระส่ายอยู่ที่โต๊ะใกล้ๆ
“เฮ้อ ทำไมต้องมาเฝ้าพยานในนี้ด้วยวะ แอร์ก็เย๊นเย็น แต่รู้สึกข้างในมันรุ่มร้อนนะเนี่ย” ไมตรีบ่น
“เหมือนกันเลยจ่า ตอนมายังดีๆอยู่เลย แต่ตอนนี้รู้สึกเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวอย่างบอกไม่ถูก”
“แบบนี้มันต้องเอาทางพระเข้าข่มไว้ อย่าวอกแว่กเด็ดขาด”
ปรีดาหันไปมองตู้ ไมตรีจิกหัวให้หันกลับมา
“ก็อย่าไปมองสิหมู่ เดี๋ยววอกแวก”
ระหว่างที่ไมตรีปรีดามัวเถียงกันอยู่นั้น ลูกค้าก็เลือกหมอนวดรายอื่นไปขึ้นห้อง ทำให้หมอนวดคู่ขาของนักวิทยาศาสตร์ปั้นหน้าเซ็งๆ ก่อนจะลุกไปเข้าห้องน้ำ
หมอนวดกำลังแต่งหน้าอยู่ในห้องน้ำพนักงานในนวด
“ทำไมช่วงนี้ถึงได้มีแต่เรื่องวะ เงินก็ไม่มี แถมขาประจำยัง dead ซะอีก สงสัยต้องไปรดน้ำมนต์ล้างซวยหน่อยแล้วมั้ง”
หลอดนีออนที่ชำรุด ดับวูบลง
“อะไรอีกวะเนี่ย”
หลอดนีออนสว่างขึ้นกระพริบๆก่อนจะติดๆดับๆ ซ้ำไปมา หมอนวดแหงนคอมองมันอย่างหวั่นๆ ก่อนจะมองไปที่กระจกอีกครั้ง และต้องตกใจเมื่อเห็นบอสที่สวมแจ็คเก็ตแบบมีฮู้ดคลุมศีรษะยืนอยู่ในมุมมืด
“นี่แก…”
บอสตะปบที่ข้อมือของตน เสียงปุ่มกลไกทำงานดังแกร๊ก ดาบซึ่งซ่อนไว้แขนเสื้อดีดสปริงออกมาเสียงกังวาน
กรณ์อยู่ในอาคารร้างแห่งหนึ่ง กำลังสนทนากับบอสที่ยืนอยู่บนตำแหน่งที่สูงเหนือศีรษะของเขา เสียงของบอสถูกแปลงด้วยเครื่องแปลงเสียงที่ติดตั้งอยู่ ทำให้ดูคล้ายเสียงพูดของเครื่องจักรมากกว่าที่จะเป็นมนุษย์
“ตอนนี้น้ำตามัจจุราชมาถึงห้องแล็บของเราแล้ว เจ้าหน้าที่ของเรากำลังทำการวิเคราะห์กันอยู่แต่ในระหว่างนี้ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่นายต้องจัดการ”
“ว่ามาเลยบอส”
“ตำรวจกำลังตามสืบเบาะแสของพวกเรา เราต้องรีบเก็บกวาดก่อนที่พวกมันจะรู้”
“ถ้าหมายถึงแฟนสาวของไอ้ฤทธิ์ล่ะก็ ผมส่งเอมี่กับวัฒน์ไปจัดการแล้ว”
แหลมเข้าไปที่ออฟฟิศชินโดบาร์ เคาะประตูแล้วโผล่เข้ามาในห้อง เห็นปาร์กนั่งคุยอยู่กับวัฒน์ และเอมี่
“เจ้านายครับ”
ปาร์กบุ้ยหน้ากับวัฒน์
“นั่นไง คนที่พวกคุณหาอยู่”
แหลมยิ่งงุนงง เอมี่บุ้ยหน้าให้วัฒน์วางกระเป๋าเอกสารลงบนโต๊ะแล้วเปิดให้ปาร์กเห็นเงินที่อัดแน่นเต็มกระเป๋า
“เราได้ข่าวมาว่า คุณเคยมีปัญหากับครูสอนศิลปะการต่อสู้ที่ชื่อฤทธิ์ ราวี”
แหลมระแวง
“เผอิญมันเป็นศัตรูกับเจ้านายฉัน”
แหลมเข้าใจทันที
“อ้อ ก็เลยจะให้ผมจัดการกับมันสิท่า”
เอมี่ส่ายหน้า
“เปล่า แฟนสาวของมันต่างหาก ผู้หญิงที่ชื่อใจทิพย์”
ปาร์กเห็นแหลมลังเล
“เอ็งไม่ต้องคิดมากไอ้แหลม งานนี้เงินถึงเว้ย ข้าให้ผ่าน”
แหลมอึ้ง ไม่กล้าตัดสินใจ ขณะที่เอมี่อมยิ้มออกมา
รถบรรทุกคันหนึ่งมุ่งหน้ากลับมาจากชายแดน ของบนรถถูกส่งไปหมดแล้ว ท้ายรถฤทธิ์โดยสารมาด้วย คนขับชะเง้อมองฤทธิ์ผ่านทางกระจกหน้าด้วยความเป็นห่วง เพราะกลัวฤทธิ์จะมาตายบนรถของตน
ฤทธิ์นั่งหลับสนิทด้วยความอ่อนล้า ระหว่างนั้นบาดแผลของเขาก็ค่อยๆ สมานตัวมากขึ้น ด้วยอานุภาพของน้ำตามัจจุราช
อ่านต่อตอนที่ 2