คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 13
ภูวนัยในคราบบุรุษพยาบาลหันไปเก็บจานชามเก่าที่กินเสร็จแล้ว
“อาภูไม่ได้มาด้วยเหรอครับ” ม่านเมฆถามไผ่พญา
“ตอนนี้อาภูมีงานที่สำคัญมากต้องทำนะ ไว้อาภูทำเสร็จเมื่อไหร่อาภูบอกว่าจะรีบกลับมาหาเมฆเลย”
ภูวนัยเก็บจานชามไปก็แอบฟังการสนทนาไป เผ่าพงศ์เดินเข้ามาหาไผ่พญา ก่อนจะหันมาคุยกันอย่างเงียบๆ
“ครูไม่ได้อยู่กับเจ้าภูมันเหรอ”
“เปล่าคะ หนูกับเขาแยกกันตั้งแต่ตอนที่หนีจากรีสอร์ตคราวที่แล้วนะคะ” ไผ่พญาตัดสินใจโกหก
“อาภูไม่ได้เป็นผู้ร้ายใช่มั้ยครับ”
ทุกคนสะอึกไปกับคำถามของม่านเมฆ ภูวนัยที่หันหลังเก็บข้าวของอยู่ก็เช่นกัน
“ถามอะไรน่ะเมฆ”
“ก็เมฆได้ยินลุงเสกสรรกับลุงสมหมายคุยกัน เขาบอกว่าอาภูเป็นคนร้ายจะต้องถูกตำรวจยิงตาย”
ทุกคนถึงกับนิ่งงันไป บรรยากาศดูตึงเครียดขึ้นมาทันที
“ไอ้บ้านั่นพูดอย่างนี้ได้ยังไง”
ไผ่พญาเข้ามาพูดกับม่านเมฆ
“แล้วเมฆคิดว่าไงละ” ม่านเมฆคิด แล้วตอบ
“เมฆไม่เชื่อ อาภูเป็นคนดี...อาภูเป็นตำรวจ...ไม่ใช่คนร้าย”
“เมฆมีอะไรอยากบอกอาภูมั้ย เผื่อครูเจออาภูเขาจะได้ฝากบอกไง”
ม่านเมฆคิดก่อนจะพูดขึ้น
“จงดีใจที่ทำดี” ทุกคนมองม่านเมฆงง ม่านเมฆเลยอธิบายให้ฟัง “เมฆเคยแข่งฟุตบอลที่โรงเรียนแล้วแพ้ เพราะพวกนั้นโกงเมฆ แต่อาภูบอกกับเมฆว่า ให้เมฆจำการแพ้ครั้งนั้นเอาไว้เพราะมีค่ามากกว่าชัยชนะที่ได้มาด้วยการโกง”
ทุกคนยิ้มกับสิ่งที่ม่านเมฆพูด ภูวนัยนิ่งไปก่อนจะรีบเข็นรถเดินออกจากห้องระหว่างนั้นปลายฟ้าหันไปลากโต๊ะอาหารเข้ามา
“ทานข้าวดีกว่านะ ทจะได้มีพลังในการทำดีแบบอาภูไง”
ไผ่พญาเปิดฝาชามข้าวออกให้ม่านเมฆ แต่พอม่านเมฆเห็นชามข้าวก็แปลกใจเพราะมันมีการ์ดการ์ตูนวางอยู่ในชามข้าว
“อาภู! อาภูมาด้วยใช่มั้ยครู” ทุกคนงงว่าม่านเมฆพูดอย่างนั้นได้ยังไง ไผ่พญาเองก็แปลกใจที่ม่านเมฆรู้ ม่านเมฆหยิบการ์ดขึ้นมา “นี่ไง...อาภูบอกให้เมฆดีใจที่ทำดี แล้วอาภูก็ให้การ์ดการ์ตูนเรื่องนี้กับเมฆ”
ปลายฟ้าได้ยินอย่างนั้นก็รู้ทันที ปลายฟ้ารีบเดินออกจากห้องไปทันที
ภูวนัยในชุดบุรุษพยาบาลเข็นรถมาตามทางเดิน ปลายฟ้าวิ่งตามมาข้างหลัง
“ภู”
ภูวนัยชะงักไปก่อนจะรีบเข็นรถต่อทำเป็นไม่ได้ยิน ปลายฟ้าวิ่งมาดักหน้าภูวนัย ภูวนัยและปลายฟ้าสบตากัน
ปลายฟ้าพาภูวนัยมาคุยในห้องตรวจ ปลายฟ้าล๊อคประตูห้องก่อนจะหันมาทางภูวนัยที่ถอดหน้ากากและหมวกออกแล้ว
“ทีนี้ภูจะบอกฟ้าได้หรือยังว่าเกิดอะไรขึ้น”
ภูวนัยนิ่งไปไม่อยากบอก
“เรื่องมันซับซ้อนเกินกว่าที่ฟ้าจะเข้าใจ”
“ถึงตอนนี้ฟ้ายังมีอะไรไม่เข้าใจอีก...ภู...ถ้าภูไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมภูไม่ออกมาต่อสู้ตามกฎหมาย ตามความถูกต้องที่ภูเคยบอกละ”
“เราทำอย่างนั้นไม่ได้”
“อย่าบอกนะว่า...ภู”
ภูวนัยเข้ามาเขย่าตัวปลายฟ้า
“ฟ้า เราไม่ได้ทำอะไรผิด ที่เราบอกว่าเราต่อสู้ด้วยกฎหมายไม่ได้ เพราะคนที่ใช้กฎหมายนั่นแหละ คือคนที่ทำให้เราต้องเป็นแบบนี้”
“หมายความว่าไงภู ภูหมายถึงใคร”
ภูวนัยนิ่งไป
เจ้าหน้าที่กำลังทำงานอยู่ที่เคาน์เตอร์ ระหว่างนั้นเสียงของชาติกล้าดังขึ้น
“สวัสดีครับ” เจ้าหน้าที่เงยหน้าขึ้นจึงเห็นชาติกล้ายืนอยู่ “ผมอยากทราบว่าเด็กชายม่านเมฆอยู่ห้องไหนครับ”
ชาติกล้าหรี่ตาลงอย่างหมายมั่นว่าจะต้องเจอภูวนัย
ที่ห้องพักคนไข้ ไผ่พญา เผ่าพงศ์ และม่านหมอกกำลังห้ามม่านเมฆที่พยายามลงจากเตียง
“ปล่อยเมฆ เมฆจะไปหาอาภู”
“เมฆจะไปหาที่ไหน อาภูไม่ได้มาด้วยนะครับ”
“ไม่ได้มาแล้วการ์ดนี่จะมาอยู่นี่ได้ยังไง อาภูต้องอยู่แถวนี้”
ม่านเมฆไม่ยอมจะลงจากเตียงให้ได้ แต่พอลงมาได้ก็เกิดอาการซวนเซ
“เมฆ เชื่อพี่บ้างซิ อยากให้เป็นหนักกว่าเดิมหรือไง”
ม่านเมฆซึมเพราะว่าแม้ว่าอยากจะไปแต่ก็อาการยังไม่หายดี
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวครูไปหาอาภูให้นะ ถ้าเจอครูจะพามานี่เลย”
“จริงๆ นะครูไผ่”
ไผ่พญาพยักหน้าก่อนจะรีบเดินออกไป
ไผ่พญาเดินออกมาจากห้องแล้วบ่น
“บอกให้รออยู่ที่รถดีๆ ไม่รู้เรื่องหรือไง”
ขณะนั้นชาติกล้าเดินมาอีกมุมจนเกือบจะพ้นมุม ไผ่พญาเดินเลี้ยวไปตามทางเดินพอดี เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ชาติกล้าเดินพ้นเข้ามาอีกมุม ทำให้ไม่เห็นกันแบบหวุดหวิด
เผ่าพงศ์กำลังจะเดินออกจากห้อง
“ตาจะไปไหน”
“ก็ไปช่วยครูไผ่หาเจ้าภูอีกคนไง ตาว่าไอ้ภูมันต้องแอบมาหาพวกเราแน่ๆ” ระหว่างนั้นชาติกล้าเปิดประตูเข้ามาในห้อง เผ่าพงศ์ที่หันหลังอยู่รีบหันหลังกลับไปเพราะคิดว่าเป็นไผ่พญา “เป็นไงครูไผ่...เจอเจ้าภู...ชาติ”
ทุกคนในห้องต่างตกใจเมื่อเห็นชาติกล้า
“พอดีผมได้ข่าวว่าเมฆไม่สบายก็เลยมาเยี่ยมน่ะครับ เมื่อกี้คุณลุงว่าอะไรนะครับ ครูไผ่กับภูมานี่เหรอครับ”
เผ่าพงศ์รีบกลับลำทันที
“อะไร ใครมา...ไม่มี”
แต่แล้วม่านเมฆกลับพูดขึ้นเพราะไม่รู้เรื่องที่ชาติกล้าจะมาจับภูวนัยนั่นเอง
“น้าชาติ...น้าชาติมาช่วยอาภูใช่มั้ย...น้าชาติหาอาภูให้หน่อยซิครับ”
“เมฆ” ม่านหมอกพยายามห้ามม่านเมฆ
“เมฆ...หลานพูดอะไร ไม่มีใครมาทั้งนั้น” เผ่าพงศ์รีบพูดกับชาติกล้า “อย่าไปสนใจหลานมันเลยชาติ เมฆเขาละเมอพิษไข้น่ะ”
“อาภูมาจริงๆ นะตา นี่ไงอาภูส่งนี่มาให้เมฆ” ม่านเมฆส่งการ์ดให้ชาติกล้าดู “อาภูต้องมาหาเมฆแน่ๆ เลย”
ชาติกล้ารับการ์ดมาแล้วพลิกดูอีกด้านเห็นลายมือของภูวนัยเขียนให้กำลังใจม่านเมฆเอาไว้ด้วย ชาติกล้ารีบวิ่งออกไปทันที
เผ่าพงศ์กับม่านหมอกถึงกับเครียดขึ้นมาทันที
ไผ่พญาเดินมาตามทางพร้อมกับโทร.หาภูวนัยไปด้วย
“รับสายซิ”
ภูวนัยยังอยู่กับปลายฟ้า ปลายฟ้าตกใจหลังจากรู้เรื่องที่ภูวนัยบอก
“ทำไมชาติถึงได้ทำแบบนี้ แล้วทำไมภูไม่ไปร้องเรียนกับหน่วยงานที่จัดการเรื่องนี้ได้ละ”
“ฟ้าไม่รู้หรอกว่าพวกมันมีอำนาจมากแค่ไหน” ระหว่างนั้นเสียงมือถือของภูวนัยดังขึ้น ภูวนัยมองมือถือแล้วเห็นว่าเป็นไผ่พญาจึงกดรับสาย “มีอะไร”
ไผ่พญาถึงกับฉุนเมื่อถูกถามอย่างนั้น
“ถามอีกว่ามีอะไร ฉันบอกให้นายรออยู่ที่รถแล้วนายตามเข้ามาทำไม ยุ่งเลยเห็นมั้ย แล้วนายอยู่ไหนเนี่ย”
“ผมอยู่ห้องตรวจกับฟ้า”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็มีแอบใจหายวูบ
“แล้วนายจะให้ฉันบอกกับหลานนายว่าไง”
“ก็คุณไม่ได้เจอผม แล้วเราก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน”
คำพูดของภูวนัยทำให้ปลายฟ้าที่ฟังอยู่รู้ได้ทันทีว่าภูวนัยอยู่กับไผ่พญา
ไผ่พญาทำหน้าหมั่นไส้ เดินมาหยุดที่ตู้กดน้ำ
“หึ...ห่วงหลานหรือห่วงหมอปลายฟ้ากันแน่” ไผ่พญาวางสายไปด้วยความหึง ก่อนที่ไผ่พญาจะปรับอารมณ์แกล้งเล่นละคร “เมฆ ครูหาทั่วโรงพยาบาลแล้ว ไม่เจอเลย” ไผ่พญาเล่นละครเสร็จก่อนจะนึกได้ เลยกดน้ำใส่มือก่อนจะปะพรมทั่วใบหน้า “เพื่อความสมจริง...นี่...นี่” ระหว่างนั้นพอไผ่พญากำลังจะเดินไป ก็เหลือบไปเห็นชาติกล้าวิ่งมาอีกมุม “เฮ้ย”
ไผ่พญารีบหลบชาติกล้าทันที แล้วคิด..คิด...คิด...ทำไงดี
ปลายฟ้าลองเลียบๆ เคียงๆ ถามภูวนัย
“นี่ภูอยู่กับครูไผ่เหรอ”
ภูวนัยชะงักไปเพราะไม่อยากให้ปลายฟ้ารู้อะไรเยอะ
“เราต้องไปแล้ว ฝากดูแลทุกคนด้วยนะ”
ภูวนัยหันหลังจะเดินไป แต่ทันใดนั้นปลายฟ้าก็โผเข้ากอดภูวนัยทางด้านหลัง ภูวนัยถึงกับชะงักไป
“ขอเรากอดภูหน่อยได้มั้ย”
“ฟ้า”
จังหวะนั้นไผ่พญาเปิดประตูเข้ามาในห้อง ผัวะ!
“นี่...อุ้ย” ไผ่พญาถึงกับชะงักไปเพราะเห็นภาพที่ปลายฟ้ากำลังกอดกับภูวนัยอยู่ “เอ่อ...โทษที ฉันไม่รู้ว่านายกำลัง...”
ปลายฟ้ารีบปล่อยมือจากการกอดภูวนัย ทำหน้าไม่ถูก ภูวนัยถามไผ่พญาเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ
“มีอะไร”
“นี่...หมวดชาติกล้ามาที่นี่”
“อะไรนะ”
ภูวนัยนิ่งไปอย่างครุ่นคิดว่าจะเอายังไง
ชาติกล้าวิ่งมาตามทางเดินพยายามกวาดสายตามองหาภูวนัย ระหว่างนั้นมีหมอคนนึงเดินผ่านชาติกล้ามา ทำให้ชาติกล้านึกขึ้นมาได้
“ฟ้า”
ปลายฟ้าชะโงกหน้าออกมาจากมุมตึก มองไปตามทางเดินแล้วไม่เห็นชาติกล้า ปลายฟ้าหันมาบอกภูวนัยที่อยู่ด้านหลัง
“ปลอดภัย”
ภูวนัยพยักหน้าแล้วกำลังจะเดินออกไป แต่แล้วทันใดนั้นก็มีมือนึงมาจับที่ไหล่ของภูวนัย ภูวนัยหันไปจะชักหมัด แต่ต้องชะงักไปเมื่อเห็นว่าเป็นไผ่พญา
“โธ่...มีอะไร”
“อะไร จะให้ฉันตะโกนเรียกให้เพื่อนนายรู้ว่านายอยู่ตรงนี้หรือไง”
“มันไม่ใช่เพื่อนผม”
“ไปโต้งๆ อย่างนี้มันไม่เสี่ยงไปหน่อยเหรอ”
“ฟ้า มีทางไหนที่ออกจากที่นี่ได้มั้ง”
ภูวนัยถามปลายฟ้า ปลายฟ้าใช้ความคิดทันที
ชาติกล้าเปิดประตูเข้ามาในห้องตรวจของปลายฟ้าแล้วไม่เห็นมีใครอยู่ ชาติกล้าเดินไปเปิดม่านดูอย่างละเอียดแล้วจึงวางใจ ชาติกล้าพยายามใช้ความคิดทันทีว่าภูวนัยจะหนีไปทางไหน
ปลายฟ้าเข็นเตียงมาตามทางบนเตียงมีผ้าคลุมร่างนอนอยู่ ปลายฟ้าเข็นเตียงมาตามทางมองไปข้างหน้าอีกไม่เท่าไหร่ก็จะถึงประตูแล้ว แต่ทันใดนั้นชาติกล้าก็เดินเข้าประตูบานนั้นมา ปลายฟ้าเห็นถึงกับตกใจ
“ชาติ”
ชาติกล้าเดินเข้ามา มองปลายฟ้าแล้วมองที่เตียงเข็นศพ
“มาได้ไงชาติ”
“เราได้ข่าวว่าเมฆไม่สบายก็เลยมาเยี่ยม” ชาติกล้ามองที่เตียงอย่างไม่ละสายตา “ศพใคร”
“ก็ศพคนไข้ซิ ถามแปลกๆ”
“แต่เราว่าคนที่แปลกน่าจะเป็นฟ้ามากกว่า ถึงขนาดต้องให้คุณหมอเข็นศพเองเลยเหรอ”
ทันใดนั้นชาติกล้าก็เปิดผ้าออกดูพร้อมกับเล็งปืนใส่ทันที แต่แล้วชาติกล้าก็ต้องชะงักไปเพราะศพที่นอนอยู่เป็นศพจริงๆ ของคนอื่น
“อะไรเนี่ยชาติ”
“ไอ้ภูอยู่ไหน”
“ภู...ภูมาที่นี่เหรอ”
“ฟ้า เรารู้ว่าฟ้าเจอมัน บอกมาว่ามันอยู่ไหน”
ระหว่างนั้นมีบุรุษพยาบาลเข็นศพเข้ามาอีกเตียง
“ขอโทษนะครับหมอปลายฟ้า ผมลืมไปแล้วครับว่าเมื่อกี้คุณหมอบอกให้ผมเข็นเตียงนี้ไปทางไหนนะครับ”
ปลายฟ้าถึงกับหน้าเสียที่บุรุษพยาบาลเข้ามาถาม ทำให้เสียแผนกันพอดี ชาติกล้าเห็นสีหน้าปลายฟ้าก็รู้ทันทีว่าที่เตียงนั่นต้องมีอะไร ชาติกล้าเดินเข้าไปที่เตียงเข็นศพนั่น แล้วชาติกล้าก็เปิดผ้าออกพร้อมกับเล็งปืนใส่ทันที แต่แล้วชาติกล้าต้องผิดหวังอีกเพราะศพบนเตียงไม่ใช่ภูวนัยอย่างที่เขาคาดการณ์เอาไว้
“ชาติ...พอได้แล้ว เราบอกแล้วไงว่าเราไม่ได้เจอภู”
ทันใดนั้นก็มีเสียงมือถือดังขึ้น ชาติกล้ากับปลายฟ้าชะงักทันที
ใต้รถเข็นคันแรกที่ปลายฟ้าเป็นคนเข็นมีผ้าคลุมสองชั้น ชั้นบนเป็นศพจริงที่หลอกชาติกล้า แต่มีผ้าคลุมชั้นล่างซึ่งภูวนัยกับไผ่พญานอนกอดกันอยู่
“ใครโทร.มาตอนนี้เนี่ย”
ที่แท้ขิงเป็นคนโทร.หาไผ่พญา และกำลังรอสาย โดยมีกระดังงาคอยฟังอยู่ข้างๆ
“ไอ้ไผ่ไม่รับสายวะ”
“อะไรของมัน ออกไปไหนกับคุณภูไม่เห็นบอก”
“เฮ้ย! แกว่าที่ไอ้ไผ่มันไม่รับสายนี่ เพราะกำลังทำอะไรกับคุณภูหรือเปล่าวะ”
กระดังงาอมยิ้มตามความคิดของขิงเช่นกัน แล้วกระดังงาก็ดึงมือถือของขิงไปกดตัดสายทิ้ง
“แล้วแกจะโทรไปขัดความสุขเพื่อนทำไม”
ไผ่พญาหยิบมือถือขึ้นมาดูแล้วก็เห็นว่าเป็นขิงโทรมาหานั่นเอง ก่อนที่ขิงจะวางหูไป
“ไอ้ขิง...ไอ้จังหวะนรก”
ด้านบน ชาติกล้าค่อยๆ เดินเข้ามาที่รถเข็นศพคันแรก ภูวนัยมองขาของชาติกล้าที่เดินเข้ามาใกล้ขึ้น ใกล้ขึ้น
ปลายฟ้าต้องรีบทำอะไรซักอย่างจึงเข้ามาขวาง
“ชาติ...ชาติก็ดูแล้วนี่ ยังจะดูอะไรอีก”
ชาติกล้าเดินมาหยุดที่รถเข็นคันนั้น กระชับปืนเตรียมพร้อม ทันใดนั้นภูวนัยที่ซ่อนอยู่ใต้รถเข็นก็ตัดสินใจใช้มือดึงขาของชาติกล้า จนชาติกล้าหงายหลังล้มลง ปืนของชาติกล้ากระเด็นหลุดมือไปที่เท้าของปลายฟ้า ภูวนัยรีบบอกกับไผ่พญา
“วิ่ง”
ภูวนัยรีบผลักรถเข็นศพขวางทางชาติกล้า ก่อนที่ตัวเองกับไผ่พญาจะรีบวิ่งไป ชาติกล้ารีบลุกขึ้นมาก่อนจะวิ่งไปหาปลายฟ้า
“เอาปืนมาให้เรา”
ปลายฟ้าซ่อนปืนเอาไว้หลังตัว
“ไม่”
“ฟ้า”
ชาติกล้าเห็นว่ายังไงปลายฟ้าก็ไม่ยอมให้ปืนกับเขาแน่ๆ จึงตัดสินใจวิ่งตามภูวนัยกับไผ่พญาไปทั้งๆ ที่ไม่มีปืน
ภูวนัยพาไผ่พญาวิ่งหนีมาที่ลานจอดรถ ระหว่างนั้นเห็นชาติกล้าวิ่งตามออกมา ภูวนัยเห็นอย่างนั้นก็รีบดึงไผ่พญาให้หลบหลังรถ ชาติกล้าไม่เห็นว่าภูวนัยซ่อนตัวตรงไหนจึงเดินมาตามทาง
“มอบตัวเถอะไอ้ภู แกก็รู้ว่ายังไงแกก็หนีไม่พ้น ออกมาซิ...ฉันไม่มีปืน...แกโกรธฉันไม่ใช่เหรอ...ออกมาซิไอ้ภู”
ภูวนัยมองหาลู่ทาง ขณะที่ชาติกล้ามองหาอาวุธที่จะใช้แทนปืนในยามฉุกเฉินแล้วชาติกล้าก็เห็นท่อนเหล็กท่อนนึงอยู่ที่พื้น
“แกไม่ห่วงพ่อแก หลานๆ ที่กำลังน่ารักทั้งสองคนนั้นหรือไง”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็ว่าชาติกล้ากำลังขู่จะเล่นงานครอบครัวเขา ภูวนัยส่งกุญแจรถให้ไผ่พญา ไผ่พญามองไม่เข้าใจ
“คุณวิ่งไปที่รถ แล้วขับออกไปเลย”
“แล้วนายละ”
“ผมหนีมาพอแล้ว”
“ไม่นะ”
“ไป”
ภูวนัยตวาดเสียงดังทำให้ไผ่พญาต้องวิ่งออกไป ชาติกล้าหันมองไปที่ไผ่พญากำลังวิ่งหนี แล้วทันใดนั้นภูวนัยก็โผล่ออกมา
“ออกมาจากรูแล้วเหรอ...เป็นไง...ไอ้ชีวิตที่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ดีมั้ย”
“ฉันน่าจะถามแกมากกว่า เพราะไอ้การที่เป็นตำรวจโดยหลบใต้อิทธิพลของพวกมาเฟีย แล้วใช้กฏหมายในทางที่ผิด มันยิ่งกว่าการหลบอยู่ในรูซะอีก”
“ไอ้ภู”
ชาติกล้าปรี่เข้ามาหาภูวนัย ภูวนัยเองก็วิ่งเข้าหาชาติกล้าเช่นกัน ชาติกล้าเหวี่ยงหมัดใส่ภูวนัย ภูวนัยยกมือกันเอาไว้ก่อนจะต่อยกลับจนชาติกล้าหน้าหัน ชาติกล้าปรี่เข้าไปหาภูวนัยอีกแต่หมัดของชาติกล้าก็ไม่สามารถทำอะไรภูวนัยได้
ภูวนัยหลบหมัดของชาติกล้าก่อนจะศอกกลับจนชาติกล้าเซถลาไป ชาติกล้าเหมือนเสียหน้าจึงวิ่งเข้ามาหมายเอาคืน ชาติกล้าเตะภูวนัยยกแข้งบังก่อนจะเตะสวนกลับ ชาติกล้าถึงกับเจ็บแปล๊บที่ชายโครง ชาติกล้าทรุดลงกับพื้น ภูวนัยเดินเข้ามาแล้วต่อยชาติกล้า
“หมัดนี้สำหรับที่แกทำกับฉัน” ชาติกล้าหน้าหงายไปตามแรงหมัดของภูวนัย ภูวนัยเงื้อหมัดแล้วต่อย “หมัดนี้สำหรับตำรวจทุกคนที่ต้องเสียเกรียติเพราะแก” ชาติกล้าเลือดกบปาก ภูวนัยเงื้อหมัดจะต่อยอีก “หมัดนี้...”
แต่แล้วทันใดนั้นชาติกล้าก็หยิบทรายขึ้นมาแล้วปาใส่หน้าภูวนัย
“โอ๊ย”
ภูวนัยมองไม่เห็นจึงถอยกรูดออกไป ชาติกล้าเดินเข้ามาแล้วต่อยภูวนัยอย่างใจเย็น ภูวนัยไม่สามารถป้องกันตัวเองจึงโดนชาติกล้าเป็นฝ่ายต่อยอยู่ฝ่ายเดียว ชาติกล้าเดินเข้าไปหยิบเหล็กขึ้นมาก่อนจะตรงเข้ามาหาภูวนัย ชาติกล้าฟาดใส่ภูวนัย ภูวนัยเซไป ชาติกล้าตามไปซ้ำ
“ไอ้ภู ฉันจะทำให้แกรู้ว่า ฉันนี่แหละกฎหมาย”
ชาติกล้าเงื้อท่อนเหล็กขึ้นกำลังจะแทงไปที่หน้าของภูวนัย ทันใดนั้นชาติกล้าก็รู้สึกเหมือนมีบางอย่างพุ่งมา
ชาติกล้ามองไปก็เห็นรถคันนึงพุ่งเข้ามา ชาติกล้ากระโดดหลบได้ทัน รถเข้ามาจอดเทียบข้างภูวนัย ไผ่พญาเปิดประตูออกมา
“ขึ้นรถเร็ว”
ภูวนัยรีบตะเกียกตะกายขึ้นรถ ไผ่พญารีบขับรถออกไปทันที ชาติกล้าพยายามวิ่งตามแต่ก็ไม่ทัน ฮึ่ย!
ปลายฟ้ากำลังทำแผลให้กับชาติกล้า ทั้งสองต่างเงียบไม่พูดอะไร แล้วชาติกล้าก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน
“ฟ้ารู้มั้ย ฟ้าทำอย่างนี้...เราจับฟ้าได้นะ”
ปลายฟ้าที่ทำแผลอยู่ก็ชะงักมือ
“ทำไม ชาติจะใช้กฎหมายเล่นงานเราอีกคนเหรอ”
ปลายฟ้าทำแผลเสร็จก็เดินไปล้างมือ
“หมายความว่าไงฟ้า” ชาติกล้าลุกขึ้นอย่างไม่พอใจ “ไอ้ภูมันพูดอะไรให้ฟ้าฟังใช่มั้ย ฟ้าอย่าไปเชื่อมันนะ ไอ้ภูมันสามารถพูดทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอด”
“พอได้แล้วชาติ” ชาติกล้าถึงกับชะงักไปเมื่อเห็นปลายฟ้าเสียงดังอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ฟ้าว่า...เราต่างคนต่างก็รู้ดี ว่าใครกำลังทำอะไรกันอยู่”
ปลายฟ้าล้างมือเสร็จก็จะเดินออกจากห้อง ชาติกล้าเห็นปลายฟ้าอย่างนั้นก็เปลี่ยนท่าที เรียกปลายฟ้าไว้ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ฟ้า” ปลายฟ้าหันมา “ขอบใจที่ทำแผลให้”
“ไม่ต้องขอบใจหรอก เพราะฟ้าทำไปตามจรรยาบรรณ”
ปลายฟ้าพูดเสร็จก็เดินออกจากห้อง
ชาติกล้ากำหมัดแน่นด้วยความโกรธขึ้นมาทันทีที่ปลายฟ้าพูดกับเขาเหมือนไม่มีเยื่อใยต่อกัน
ขิงกับกระดังงาเดินไปเดินมาอยู่ในบ้าน แล้วขิงก็ตัดสินใจได้
“งา...ฉันว่าเราเก็บของไปจากที่นี่เถอะ”
“ไปจากที่นี่? ทำไมละ”
“เอ้า แกไม่เห็นหรือไงว่าไอ้ไผ่กับคุณภูหายไปเลย”
“แกคิดอะไรอยู่ก็พูดมาซิ”
“ก็บางที ตอนที่เราไม่อยู่อาจจะมีคนเข้ามาตามล่าไอ้ไผ่กับคุณภู ทำให้สองคนนั้นต้องหนีไปจากที่นี่ไง”
“แต่กระเป๋ากับเสื้อผ้าก็ยังอยู่”
“โธ่เมียจ๋า คนโดนไล่ยิงจะให้มานั่งพับผ้าเก็บใส่กระเป๋าเหรอจ้ะ”
กระดังงาได้ยินอย่างนั้นก็ดึงหูขิงแทบหลุด ขิงร้องโอดโอย
“บอกดีๆ ก็ได้ ทำไมต้องประชด...ห๊ะ ไอ้ขิง”
ระหว่างนั้นกระดังงากับขิงก็ต้องชะงักไปเพราะได้ยินเสียงก๊อกแก๊กหน้าบ้าน
“เฮ้ย! หรือว่า ไอ้พวกที่ตามล่าไอ้ไผ่มันกลับมา”
“แล้วเราจะทำไงดี”
ขิงหันซ้ายหันขวาก่อนจะหยิบไม้กวาดส่งให้กระดังงา ส่วนตัวเองก็วิ่งไปหยิบน้ำ
“เดี๋ยวพอมันเข้ามา ฉันจะสาดน้ำใส่หน้ามันแล้วแกก็รีบตีเลยนะ”
ขิงกับกระดังงาวิ่งไปยืนข้างประตูคนละข้าง แล้วก็เห็นเท้าของใครบางคนก้าวเข้ามา ขิงเห็นก็ดีใจเพราะเป็นไผ่พญากับภูวนัย
“ไอ้ไผ่”
ขิงเดินออกมาเข้าที่เป้าที่กระดังงาเล็งเอาไว้ กระดังงาห้ามมือไม่ทันฟาดเข้ากลางกบาลของขิง โป๊ก!
“อะไรของพวกแกเนี่ย”
ไผ่พญาถามอย่างตกใจ
ทุกคนรวมกลุ่มกัน ขิงเอาผ้าห่อน้ำแข็งประคบกลางหัวอยู่ ภูวนัยเองก็กำลังทำแผลอยู่เหมือนกัน กระดังงาตกใจหลังจากที่ได้ยินที่ไผ่พญาเล่าเรื่องราวให้ฟัง
“โห...ถ้ามันไม่เล่นสกปรก ป่านนี้คนที่เจ็บต้องเป็นไอ้บ้านั่นแล้ว เอ่อ...แล้วคุณภูจะไม่ไปหาหมอจริงเหรอคะ”
“นี่ ฉันก็เจ็บ ไม่ถามฉันบ้างละ โธ่...ตีมาได้ไม่ดูตาม้าตาเรือ” ขิงบ่น
“ใครผิด ก็แกบอกให้ตีฉันก็ตีดิ” กระดังงาเถียง ภูวนัยพูดขึ้น
“ช่วงนี้ผมอยากให้ทุกคนอยู่แต่ในบ้าน ตอนนี้ไอ้ชาติมันคงต้องตามหาผมแบบพลิกแผ่นดิน”
“เอ่อ...ที่นี่ปลอดภัยแน่นะ”
“ตราบใดที่พวกมันไม่รู้ว่าเราอยู่ไหน”
ไผ่พญา ขิงและกระดังงาหน้าตาเครียดขึ้นมาทันที
ชาติกล้านั่งครุ่นคิดอยู่ในห้องทำงานของตนเอง ระหว่างนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนจะเห็นวีระเปิดประตูเข้ามา
“ขออนุญาตครับหัวหน้า”
ชาติกล้าหันไปมอง
“ได้เรื่องมั้ย”
วีระยื่นรูปถ่ายปึกนึงให้กับชาติกล้า
“นี่คือภาพจากกล้องซีซีทีวีที่อยู่ตามแยกไฟแดงครับ เราพบรถคันที่หัวหน้าให้ตรวจสอบ...มุ่งหน้ามาจากพระรามสอง...มาลงทางด่วนที่ดินแดง...แล้ววิ่งเส้นบางกะปิ...แล้วภาพสุดท้ายที่เห็นคือแยกไฟแดงที่มีนบุรีครับ”
“ขอบใจมาก”
“เอ่อ...หัวหน้ากำลังตามหาใครเหรอครับ”
ชาติกล้าเหล่มองวีระ
“เราเป็นตำรวจ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราตามหาก็ต้องเป็นคนร้ายใช่มั้ย”
วีระรู้ว่าชาติกล้าอารมณ์ไม่ดี
“แหะๆ ผมก็ไม่น่าถามอะไรโง่ๆ เลย ถ้างั้นผมขออนุญาตกลับก่อนครับ”
ชาติกล้าพยักหน้า วีระทำความเคารพชาติกล้าก่อนจะเดินออกจากห้องไป ชาติกล้ามองดูรูปถ่ายในมือด้วยความแค้นชิงชัง
“ไอ้ภู”
ส่วนที่เซฟเฮาส์ภูวนัย ไผ่พญาอยู่ในห้องตัวเอง กำลังคิดถึงเรื่องภูวนัยต่างๆ นานา
“คุณก็รู้ว่าชีวิตผมมันอันตรายแค่ไหน” ไผ่พญาชะงัก “ผมไม่อยากให้คุณเป็นอะไร”
ตอนที่ไผ่พญาเห็นปลายฟ้ากอดกับภูวนัย ไผ่พญานึกโมโห
“บ้าๆ ห่วงเราแต่กอดคนอื่น...นี่ๆๆ”
แล้วไผ่พญาก็ชะงักเมื่อได้ยินเสียงกระแอมดังขึ้น ไผ่พญาชะงักมือก่อนจะหันไปแล้วก็ตกใจเมื่อเห็นภูวนัยยืนอยู่
“เฮ้ย! นายเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ก็ต้องตั้งแต่ตอนที่คุณเริ่มต่อยหมอนนั่นแหละ ผมเคาะประตูตั้งนานแล้วไม่เห็นคุณตอบซักที”
ไผ่พญาถึงกับทำหน้าไม่ถูกทีเดียว จึงต้องรีบเปลี่ยนเรื่อง
“มีอะไร”
“ทำอะไรให้ผมให้ทานหน่อยซิ”
“ไม่ว่าง” ไผ่พญาบอกอย่างงอนๆ
“อ๋อ ใช่...ผมเห็นคุณกำลังทุบหมอนอยู่”
“นี่”
“น่านะ ลืมแล้วเหรอว่าคุณยังติดสปาเก็ตตี้ผมอยู่นะ”
ไผ่พญาหน้าตึง
อ่านต่อหน้า 2
คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 13 (ต่อ)
ไผ่พญาเลื่อนชามบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปให้ภูวนัย
“มีเท่านี้แหละ”
ภูวนัยสูดควันหอมฉุย
“แค่นี้ก็พอแล้ว” แล้วไผ่พญาทำท่าจะเดินออกไป ภูวนัยรู้ว่าไผ่พญาโกรธอยู่จึงเรียกเอาไว้ “จะไปไหนน่ะคุณ”
“ก็ฉันทำให้แล้วไง นายจะเอาอะไรอีก”
“จะไม่ป้อนให้ผมหน่อยเหรอ คุณยังติดป้อนสปาเก็ตตี้ผมอยู่นะ”
ไผ่พญานึกถึงเรื่องที่ภูวนัยกอดกับปลายฟ้าแล้วยังโกรธ
“ฉันง่วงแล้ว”
ไผ่พญาทำท่าจะเดินออกไป ภูวนัยเลยแกล้งร้องขึ้นมาซะเสียงดัง
“โอ๊ย”
ไผ่พญาตกใจรีบหันกลับไปแล้วก็เห็นภูวนัยกุมแขนแกล้งเจ็บอยู่
“เป็นไร”
“ไม่รู้ซิ ดูข้างนอกเหมือนไม่เป็นไร แต่พอขยับมือแล้วมันปวดข้างใน”
ภูวนัยพยายามจะกินบะหมี่แล้วก็แกล้งปล่อยช้อนตกเหมือนจับช้อนไม่ได้ ไผ่พญาเห็นอย่างนั้นก็ขัดใจ เดินมานั่งแล้วดึงชามบะหมี่ไป
“มานี่...เรื่องมากจริง”
ไผ่พญาม้วนบะหมี่ก่อนจะป้อนให้กับภูวนัย ภูวนัยรับไปกินก่อนจะถามไผ่พญาขึ้น
“โกรธอะไรผม” ไผ่พญาชะงักมือ
“เปล่าซะหน่อย”
“ค่อยโล่งอกหน่อย ผมก็นึกว่าคุณโกรธที่เห็นปลายฟ้ากอดผม”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็ปรี้ดเพราะความเขินพุ่งขึ้นมา
“พูดอะไร ทำไมฉันต้องโกรธด้วย”
“เอ้า...จะรู้คุณเหรอ บางที...คุณอาจจะ” ไผ่พญาตกใจเพราะกลัวภูวนัยบอกว่าเธอชอบเขานั่นเอง เลยรีบกระแทกช้อนอย่างมีอารมณ์แล้วลุกขึ้น “อ้าว เป็นไรน่ะคุณ”
“เมื่อกี้ไม่โกรธ แต่ตอนนี้โกรธแล้ว นายทานเองแล้วกัน”
ไผ่พญาพูดเสร็จก็รีบเดินออกไปเลย ภูวนัยถึงกับงงว่าไผ่พญาเป็นอะไร
ไผ่พญาเข้ามาในห้อง ยังอารมณ์ไม่ดี
“ตาบ้า...กวนจริงๆ เลย”
เช้าวันรุ่งขึ้น ไผ่พญานอนอยู่ภายในห้อง ระหว่างนั้นมีเสียงเคาะประตูดังตึงตังพร้อมกับเสียงเรียกของกระดังงา
“ไผ่...ไอ้ไผ่”
ไผ่พญาสะดุ้งตื่น
“อะไรของแกวะไอ้งา ขอนอนต่ออีกหน่อยนะ”
“นอนต่อไม่ได้ ตำรวจมา”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็ลุกพรวดแล้วเดินมาเปิดประตูให้กับกระดังงาทันที
“แกว่าอะไรนะ ตำรวจมาที่นี่เหรอ”
“เออเด่ะ ไม่รู้ว่ามาทำไม ตอนนี้ไอ้ขิงไปคุยอยู่หน้าบ้าน”
ไผ่พญาแปลกใจและเป็นกังวลขึ้นมาทันที
ขณะนั้นภูวนัยกำลังแอบอยู่มุมหนึ่งดูขิงกำลังคุยกับวีระและราชัยอยู่หน้าบ้าน ไผ่พญาวิ่งเข้ามาพร้อมกับกระดังงา ภูวนัยหันไปเห็นก็ทำไม้ทำมือบอกให้เงียบและให้หลบให้ดีๆ
“ตำรวจมาทำไม” ไผ่พญามองไปแล้วตกใจ “เฮ้ย...นั่นมันลูกน้องนายนี่”
“ตอนนี้เป็นลูกน้องไอ้ชาติแล้ว ไอ้ชาติอาจจะรู้ว่าเราอยู่แถวนี้”
“แล้วเราต้องทำยังไงคะคุณภู”
“ไม่เป็นไร หลบอย่าให้พวกนั้นเห็นก็พอ เพราะเขาเข้ามาไม่ได้ถ้าไม่มีหมายค้น”
วีระยื่นหมายค้นให้กับขิง
“ดูซะหมายค้น พอใจหรือยัง” ขิงกำลังจะอ่าน วีระกลับดึงหมายค้นกลับไป “คราวนี้ให้พวกเราเข้าไปได้หรือยัง”
“เอ่อ...” ขิงลังเล
“หรือว่ามีอะไรในบ้าน”
“ไม่มี...ไม่มีครับ...เอ่อ เข้ามาได้เลยครับ” ขิงรีบบอก
ภูวนัย ไผ่พญา และกระดังงาตกใจเมื่อเห็นขิงเดินเข้ามาพร้อมกับวีระและราชัย
“อ้าว ไหนบอกว่าพวกนั้นเข้ามาไม่ได้ไง”
“พวกมันปลอมหมายค้น”
“ถ้างั้นเราให้งาบอกว่าพวกนั้นมั้ยว่ามันใช้หมายค้นปลอมแล้วให้ออกจากบ้านไป”
“ไม่ทันแล้ว ตอนนี้ผมว่าเราต้องหาที่ซ่อนก่อน”
ภูวนัยใช้ความคิด ไผ่พญาเครียด
ขิงเดินนำวีระกับราชัยเข้ามาในบ้าน วีระกับราชัยเห็นรถของขิงที่จอดอยู่
“มีรถคันเดียวเหรอ”
“ใช่ครับ”
“แล้วเคยเห็นรถ” วีระบอกลักษณะรถของภูวนัยไป “แถวนี้มั้ย”
ขิงรู้ว่าเป็นรถภูวนัย แต่ทำเนียน
“ไม่เห็นเลยครับ วันๆ กลับจากทำงานก็เข้าบ้านเลยไม่ได้ออกไปยืนดูรถน่ะครับ”
“เฮ้ย! ถามดีๆ ทำไมต้องกวนวะ”
ระหว่างนั้นเสียงของกระดังงาดังขึ้น
“มาตรวจอะไรเหรอคะคุณตำรวจ”
ทุกคนหันไปก็เห็นกระดังงาเดินเข้ามา
“อ๋อ นี่แฟนผมครับ” ขิงบอก
“พวกเราสงสัยว่ามีคนร้ายคดีอุกฉกรรจ์หลบหนีอยู่แถวนี้ ก็เลยมาสุ่มตรวจดูตามบ้านละแวกนี้ครับ”
“ต๊าย จริงเหรอคะ น่ากลัวจัง แต่คุณตำรวจไม่ต้องตรวจบ้านดิฉันหรอกคะ เพราะบ้านนี่มีแต่คนดี”
“แล้วอยู่กันสองคนเหรอครับ”
“ใช่ครับ" / "ใช่ค่ะ”
ขิงกับกระดังงาตอบพร้อมกัน แต่ทันใดนั้นเสียงของไผ่พญาก็ดังแหววออกมาจากชั้นสอง วีระกับราชัยหันมองทันที
“แล้วใครอยู่ข้างบนครับ”
“เอ่อ...เอ่อ”
“ถ้าอย่างนั้นเราขออนุญาตตรวจค้นแล้วกัน”
วีระกับราชัยเดินเข้าบ้านไป ขิงกับกระดังงาร้อนรนหน้าเสีย
ไผ่พญากำลังไล่ตีภูวนัยอยู่ในห้องนอน ภูวนัยจับมือไผ่พญาเอาไว้
“เบาๆ ซิคุณ เดี๋ยวพวกนั้นก็ได้ยินหรอก”
“แล้วเรื่องอะไรต้องเข้ามาหลบในตู้กับฉัน นายไปหลบที่อื่นซิ”
“แล้วมันมีที่ไหนให้หลบละ ห้องขิงก็ไม่มี ใต้เตียงก็หลบไม่ได้”
ระหว่างนั้นภูวนัยกับไผ่พญาได้ยินเสียงคนเดินขึ้นมา ภูวนัยกับไผ่พญามองหน้ากัน แย่แล้ว!
วีระกับราชัยเดินขึ้นมา วีระกับราชัยเปิดประตูห้องเข้ามาแล้วพบว่าเป็นห้องของขิงกับกระดังงา วีระกับราชัยมองไปแล้วไม่เห็นใคร
ขิงกับกระดังงาแอบเป่าปากโล่งอกก่อนที่ทั้งสองจะสะดุ้งเมื่อเห็นวีระกับราชัยมองมา ขิงกับกระดังงาเลยทำหน้าตายไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ภายในตู้เสื้อผ้าห้องนอนไผ่พญา ภูวนัยกับไผ่พญาซ่อนอยู่ในตู้ ทั้งสองอยู่ใกล้กันจนหน้าแทบจะชนกัน ไผ่พญาชำเลืองมองภูวนัยแล้วก็เห็นภูวนัยมองมาที่เธอ
“มีอะไร”
“ผมกับฟ้า เราเป็นเพื่อนกัน”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็โล่งอก แต่พยายามทำเนียน
“แล้วนายมาบอกฉันทำไม”
“ก็ผมกลัวว่าคุณจะเข้าใจผิด”
ไผ่พญากำลังจะอ้าปากตอบ แต่ภูวนัยก็บุ้ยปากทำสัญญาณให้ไผ่พญาเงียบไว้เพราะมีเสียงคนเดินมาที่หน้าห้อง วีระ ราชัยเดินมาที่หน้าห้องของไผ่พญา กำลังใกล้จะถึงห้องของไผ่พญา ขิงกับกระดังงารีบวิ่งเข้ามาพยายามรั้งเวลาไว้สุดฤทธิ์
“เอ่อ...ห้องนี้ไม่มีอะไรหรอกคะ”
“ไม่มีอะไรแล้วเสียงเมื่อกี้มาจากไหน”
“คือ...คือ...งั้นบอกก็ได้ครับ คือพวกเราเลี้ยงกุมารทองน่ะครับ”
วีระกับราชัยถึงกับทำหน้างง กระดังงาเห็นขิงไปทางนี้เลยรีบผสมโรงต่อ
“ใช่คะใช่ คือคนอื่นเขาอาจจะเลี้ยงเฟอร์บี้ แต่พวกเราเลี้ยงกุมารทองน่ะคะ”
“เหรอ พอดีอยากเห็นกุมารทองพอดี”
ราชัยเปิดประตูเข้าไปทันที ขิงกับกระดังงาต่างร้องเสียงหลงเพราะคิดว่าเจอไผ่พญากับภูวนัยแล้วแน่ๆ
ราชัยกับวีระเข้ามาในห้องก่อนจะเห็นว่าห้องว่างเปล่า ขิงกับกระดังงาตามเข้ามาแล้วพอเห็นว่าไม่มีภูวนัยกับไผ่พญาก็ทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อน
“เห็นมั้ยละครับว่าไม่มีอะไร”
“นั่นซิคะ ลงไปเถอะคะ เดี๋ยวกุมารทองโกรธแล้วคืนนี้มากวนพวกเราจะว่าไง” กระดังงายกมือท่วมหัว ขิงทำตาม “โถ ลูกแม่อย่าเพิ่งโกรธนะ พี่ๆ เขามาทำตามหน้าที่” แล้วกระดังงาก็ทำเป็นได้ยินกุมารทองพูดด้วย “ให้รีบลงไปเหรอ ได้ๆ...เดี๋ยวแม่บอกให้นะ”
ภูวนัยกับไผ่พญาแอบมองผ่านช่องภายในตู้เสื้อผ้า
“ในเมื่อไม่เจออะไร คุณตำรวจจะลงไปได้หรือยังครับ”
“เดี๋ยว”
ว่าแล้วราชัยก็เดินมาที่ตู้เสื้อผ้า ภูวนัยพร้อมต่อสู้ ราชัยเดินก้าวเข้ามาจนใกล้จะถึงตู้เสื้อผ้าระหว่างนั้นเสียงมือถือของราชัยก็ดังขึ้น ราชัยชะงักมองเบอร์แล้วรับสาย
“สวัสดีครับ...ชื่ออะไรนะ...อภิวัฒน์ไหน “ ราชัยฟังแล้วตกใจ “ครับท่าน” ราชัยรีบยืนตรง “ครับ...ขอโทษด้วยครับ ผมไม่ทราบว่าเป็นบ้านของท่าน...ครับท่าน”
ภูวนัยกับไผ่พญาโล่งอกที่อภิวัฒน์โทรมาได้ทันเวลา
วีระกับราชัยเดินมาที่รถ
“เกือบซวยแล้วมั้ยละ เข้าบ้านไหนไม่เข้า” วีระบ่น
“ใครว่าเกือบซวย ซวยแน่ๆ แกคิดดู ว่าท่านอภิวัฒน์ต้องโมโหแน่ๆ แล้วท่านก็จะหาว่าใครเป็นคนออกหมายค้น แล้วก็รู้ว่าเราใช้หมายค้นปลอม”
“แกคิดว่าหัวหน้ากำลังหาใครวะถึงขนาดต้องใช้หมายค้นปลอมขนาดนี้”
ราชัยกับวีระต่างอยากรู้เหมือนกัน
ขิงชะโงกดูออกไปนอกบ้านก่อนจะวิ่งเข้ามาบอกภูวนัย ไผ่พญาและกระดังงาที่นั่งอยู่
“ไปกันแล้ว โห...โชคดีจริงๆ ที่ท่านอภิวัฒน์โทรมาพอดิ๊บพอดีเลย”
“ผมโทรหาท่าน แล้วให้เบอร์สองคนนั้นไป”
“แล้วลูกน้องนาย รู้ได้ยังไงว่านายอยู่นี่”
ภูวนัยครุ่นคิด
“วีระกับราชัยอาจจะไม่รู้ ผมว่าไอ้ชาติคงจะจำทะเบียนรถวันนั้นแล้วดูจากกล้องซีซีทีวี แล้วตีวงให้แคบลงจนรู้ว่าเป็นพื้นที่แถวนี้ ต่อไปนี้...เวลาไปไหนทุกคนต้องระวังตัวให้มากกว่าเดิม” ระหว่างนั้นเสียงมือถือของภูวนัยดังขึ้น ภูวนัยมองเบอร์ก่อนรับสาย “สวัสดีครับท่าน...เรียบร้อยแล้วครับ” ภูวนัยฟังแล้วทำหน้าแปลกใจ “เดี๋ยวนี้เหรอครับ”
ภูวนัยวางสายไป
“มีอะไรหรือเปล่า”
“ถึงเวลาปฏิบัติภารกิจต่อไปแล้ว”
ไผ่พญา ขิงและกระดังงาถึงกับหายใจไม่ทั่วท้องกันเลยทีเดียว
ภูวนัยมาที่เซฟเฮาส์สมสุข ภูวนัยทำหน้าแปลกใจกับสิ่งที่อภิวัฒน์บอก
“เป้าหมายต่อไปคือกำนันเต่ากับเสี่ยแคนเหรอครับ”
“ถูกต้อง” อภิวัฒน์หันไปทางสมสุข “สมสุข...อธิบายให้หมวดภูฟังหน่อย”
สมสุขกำลังนั่งดูหนังการ์ตูนสคูปปี้ดูอยู่อย่างตั้งใจ
“เอาเลย ท่านรู้เรื่องอยู่แล้ว”
อภิวัฒน์หยิบรีโมทมากดปิด สมสุขถึงกับฉุนขึ้นมาทันที
“เฮ้ย”
“ถ้านายยังไม่อยากให้ฉันยกมันออกไป ก็รีบมาทำหน้าที่นายเดี๋ยวนี้”
สมสุขขัดใจแต่ก็ต้องพยายามเก็บอารมณ์
“ก็ได้ๆ ท่านนี่ชอบทำให้อารมณ์เสียอยู่เรื่อย”
“เท่าที่รู้ กำนันเต่ากับเสี่ยแคนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทำไมเราไม่ให้คนอื่นแตกกับกำนันเต่าละครับ บางทีน่าจะง่ายกว่า”
“โธ่หมวด ยิ่งเพื่อนกันซิดี เวลาเกลียดกันนี่แทบจะอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้เลยนะ” ภูวนัยชะงักไปเพราะนึกถึงเรื่องชาติกล้าขึ้นมา “แหม...รู้สึกโดนมั้งมั้ยหมวด”
“พอได้แล้วสมสุข” อภิวัฒน์หันไปหยิบแผนที่มากาง แล้วชี้ไปที่แผนที่ “บริเวณจังหวัดปราจีนและสระแก้ว เป็นเพื่อนที่คาบเกี่ยวระหว่างอิทธิพลของกำนันเต่าและเสี่ยแคน เราจะใช้พื้นที่ตรงนี้ทำให้มันสองคนแตกกัน”
“โดยวิธีไหนครับ”
อภิวัฒน์ยิ้มมุมปากเหมือนมีแผนในใจอยู่แล้ว
ภายในมุมส่วนตัวของสวนอาหารแห่งหนึ่ง กำนันเต่า ภรรยาน้อย และ อบต.ชื่อ ชัย กำลังนั่งทานอาหารอยู่ที่มุมนั้น โดยมีลูกน้องของกำนันเต่ายืนคุมเชิงอยู่รอบๆ บริเวณ
“นี่เธอ...ตักพุงปลาให้ท่านซิ”
“แหม ท่านเทิ่นอะไรกำนัน”
“ก็ถูกแล้วนี่ครับ ท่านชัยเป็นถึงอบต. ผมเป็นแค่กำนัน เรียกท่านน่ะถูกแล้ว”
“เรียกพี่เหมือนเดิมน่ะดีแล้วกำนัน เราต่างก็รู้กันอยู่ว่าผมมีวันนี้ได้ก็เพราะกำนัน”
ระหว่างนั้นกำนันเต่าหันไปพยักหน้าให้ลูกน้องคนนึง ลูกน้องคนนั้นเดินเข้ามาพร้อมกับกล่องที่เตรียมเอาไว้
“ได้ข่าวว่าพี่ยุทธกำลังจะขึ้นบ้านใหม่ ผมเลยมีของขวัญเล็กๆ น้อยๆ มาให้ครับ” อบต.ยุทธรับมาแล้วเปิดดูเห็นว่าเป็นพระพุทธรูปนั่นเอง “เอาไว้บูชานะพี่ จะได้มีเงินไหลมาเทมา”
อบต.ยุทธยกพระพุทธรูปขึ้นก็เห็นเงินปึกนึงอยู่ใต้กล่อง
“โอ้โห ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ”
“ทานพุงปลาซิคะ”
“พอแล้วครับ ตักให้กำนันเถอะ”
“ไม่เป็นไรพี่ชัย ผมมันกระเพราะใหญ่ กินไอ้กับข้าวพวกนี้มันไม่ค่อยอยู่ท้องหรอก ต้องกินพวกอิฐหินดินทรายน่ะ จะได้หนักท้องหน่อย”
“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้กำนันคงได้อิ่มท้องแน่ๆ เพราะบริษัทของกำนันคงชนะการประมูลบ่อขยะเหมือนเดิม”
กำนันเต่า ภรรยาน้อยและอบต.ต่างก็หัวเราะกันครื้นเครง
อภิวัฒน์เขียนชื่อบริษัทต่างๆ ของกำนันเต่าบนกระดาน มีบริษัท ต.การสร้าง จำกัด บริษัท ยั่งยืนพัฒนา จำกัด และบริษัท T.A.O. เรียลเอสเตท จำกัด
“บริษัททั้งหมดนี่ คือบริษัทของกำนันเต่าที่เข้าร่วมการประมูลบ่อขยะทั้งสิ้น”
“ไม่มีบริษัทอื่นเลยเหรอครับ”
“ทำไมจะไม่มี”
ว่าแล้วสมสุขก็เอาปากกาจากมืออภิวัฒน์ไปเขียน บริษัท แคน ดู อิท จำกัด
“บริษัทใครครับ” ภูวนัยถามอย่างสงสัย
“เสี่ยแคนไง”
“คนในพื้นที่ต่างก็รู้ว่าไอ้บริษัทสามอันนี้ เป็นของกำนันเต่าเพื่อไม่ประเจิดประเจ้อกันเกินไป กำนันเต่าก็เลยให้เสี่ยแคนเข้ามาร่วมประมูลอีกบริษัท เพื่อให้ดูโปร่งใสแต่ที่จริงแล้วสองคนนี้ก็ตกลงกัน เพราะถึงคราวที่เสี่ยแคนต้องการกำนันเต่าก็จะส่งบริษัทเข้าร่วมประมูล แต่ก็ไม่มีผลหรอกเพราะต่างคนต่างก็รู้กันอยู่”
“อย่างนี้เราแจ้งดีเอสไอให้เอาผิดเรื่องการฮั้วประมูลได้นี่ครับ”
“ก็ได้แหละ แต่แผนของเราอยากให้มันแตกกันไม่ใช่เหรอหมวด”
ภูวนัยมองสมสุขที่ยิ้มเจ้าเล่ห์ก็รู้ว่าสมสุขมีแผนอยู่ในใจ
ภูวนัยเดินมาตามทาง ระหว่างนั้นอภิวัฒน์เดินตามออกมา
“เดี๋ยวก่อนหมวด”
ภูวนัยหันไปก็เห็นอภิวัฒน์เดินเข้ามา
“ครับท่าน”
“ผมลืมบอกหมวดไปเรื่องที่ตำรวจเข้าไปค้นที่เซฟเฮาส์เมื่อเช้า ผมตรวจสอบแล้วไม่มีการออกหมายค้นใดๆทั้งสิ้น”
“ถ้าอย่างนั้น เราเล่นงานมันกลับได้มั้ยครับ”
“ผมไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่น ถ้าผมเข้าไปยุ่งเรื่องนี้จะทำให้วศินรู้ทันทีว่าผมปฏิบัติการลับอยู่ แต่วางใจเถอะผมจะทำทุกอย่างให้หมวดกับเพื่อนปลอดภัย”
“ขอบคุณครับ”
“ส่วนอีกเรื่องที่ผมอยากจะถามก็คือ หมวดต้องการทีมในการปฏิบัติภารกิจพรุ่งนี้มั้ย”
“ไม่ต้องครับ ผมเชื่อว่าพวกเขาทำได้”
ภูวนัยตอบอภิวัฒน์อย่างมั่นใจ
วันต่อมากำนันเต่ากำลังคุยโทรศัพท์อยู่ที่มุมหนึ่งภายในบ้าน
“ไม่มีอะไรครับเสี่ย ผมก็กลัวว่าเสี่ยแคนจะนับเงินเพลินแล้วลืมเรื่องการประมูลวันนี้ ได้เลยเสี่ย...เสร็จงานเมื่อไหร่ เสี่ยเช็คยอดเงินในบัญชีได้เลย”
กำนันเต่าคุยเสร็จก็วางสายไป ระหว่างนั้นเห็นภรรยาน้อยเดินเข้ามา
“เสี่ยแคนว่าไงคะ”
“ใกล้ถึงแล้ว” กำนันเต่าหยิบกระเป๋าเอกสารส่งให้ “เสร็จงานเมื่อไหร่ กลับมารับรางวัล”
ภรรยาน้อยรับกระเป๋าเอกสารแล้วเดินออกไป กำนันเต่ามองตามยิ้มตาเป็นประกาย
รถของกำนันเต่าแล่นมาตามทาง ภายในรถภรรยาน้อยกำนันเต่ากำลังดูเอกสารต่างๆ ซึ่งเป็นเอกสารประมูล โดยมีหัวบริษัทเป็นบริษัทต่างๆ ทั้งสามบริษัท
“ขับให้มันเร็วหน่อย ฉันต้องไปเตรียมตัวอีก”
ระหว่างนั้นเห็นรถคันนึงแล่นตามมาทางด้านหลัง ลูกน้องเสี่ยเต่าเหยียบคันเร่งตามคำสั่ง แต่มีรถอีกคันขับสวนมา ระหว่างที่ใกล้จะสวนกันอยู่ๆ รถคันนั้นก็ปาดเข้ามาขวางรถของกำนันเต่าเอาไว้ รถของกำนันเต่าเบรกเอี๊ยดด!
“เกิดอะไรขึ้น”
ทันใดนั้นภรรยาน้อยของกำนันเต่าก็ตกใจเมื่อรถที่ตามมาด้านหลังอีกคันก็มาจอดปิดท้าย ประตูรถตู้ทั้งสองคันเปิดออกก่อนจะเห็นคนชุดดำพร้อมอาวุธครบมือลงมาจากรถทั้งสี่คน
ลูกน้องของกำนันเต่าที่กำลังจะชักปืนยิงสู้ก็ถึงกับชะงักมือเพราะตัวเองมีแค่ปืนพกเท่านั้น คนชุดดำหนึ่งในนั้นเดินเข้ามาพร้อมกับเอาที่จี้ไฟฟ้ามาช๊อตลูกน้องของกำนันเต่าจนลูกน้องสลบไป คนชุดดำอีกคนเปิดประตูฝั่งภรรยาน้อยกำนันเต่าแล้วลากภรรยาน้อยออกมา
“ออกมานี่”
“พวกแกเป็นใคร ต้องการอะไร...อุ้บ”
ภรรยาน้อยโวยวายได้เท่านั้นก็ถูกคนชุดดำสองคน ซึ่งคนหนึ่งเอาผ้ามัดปาก ส่วนอีกคนเอาถุงผ้าคลุมหัวของภรรยาน้อยนั่น
“เอาไปไว้ในรถก่อน” คนชุดดำบอกอีกคน
ภรรยาน้อยของกำนันเต่าร้องอู้อี้แล้วถูกพาขึ้นไปบนรถ คนชุดดำเดินเข้ามาอีกสองคน หยิบกระเป๋าเอกสารของภรรยาน้อยกำนันเต่าออกมา คนชุดดำถอดหน้ากากออก จึงเห็นว่าเป็นภูวนัย และขิง
“ใช่เอกสารการประมูลมั้ย”
คนชุดดำอีกสองคนที่ตามมาสมทบถอดหน้ากากออก จึงเห็นว่าเป็นไผ่พญากับกระดังงา
“ใช่”
ไผ่พญาว่าพลางส่งเอกสารให้ ภูวนัยรับไปดูด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ภายในห้องซึ่งเป็นสถานที่จัดเตรียมไว้สำหรับการจัดการประมูล เจ้าหน้าที่ประจำตามตำแหน่งหน้าที่ของแต่ละคน มุมหนึ่งเห็นอบต.ชัย ดูนาฬิการอการมาของภรรยาน้อยกำนันเต่า
ระหว่างนั้นเสี่ยแคนเดินเข้ามาในงาน อบต.ชัยเห็นก็รีบเข้ามายกมือไหว้
“วันนี้มาเองเลยเหรอเสี่ย”
“พอดีผมมีธุระแถวนี้พอดี ก็เลยแวะมาเที่ยวซะหน่อย” เสี่ยแคนมองไปรอบๆ แล้วก็ถามหาภรรยาน้อยกำนันเต่า “คุณพิม ยังไม่มาเหรอไง”
“นั่นซิครับ ผมก็รออยู่เหมือนกัน นี่ก็ใกล้เวลาแล้วด้วย”
เสี่ยแคนแปลกใจ
ขณะนั้นภูวนัยกำลังใช้เครื่องสแกนแบบพกพา สแกนเอกสารใบเสนอราคาของบริษัทต่างๆ ของกำนันเต่าอยู่ในรถตู้ ภาพของใบเสนอราคาขึ้นภายในคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค ภูวนัยกำลังเร่งมือเปลี่ยนตัวเลขการประมูลจากจำนวนสิบสามล้านบาทก็ใส่เลขหนึ่งลงไปอีกตัวกลายเป็นหนึ่งร้อยสิบสามล้านบาท ภรรยาน้อยของกำนันเต่ายังดิ้นไม่หยุด
“จะดิ้นทำไมเจ้ ไม่เหนื่อยหรือไง”
ภูวนัยสั่งปริ้นท์ใบราคากลางใหม่ แล้วเห็นใบเสนอราคาที่ภูวนัยทำขึ้นมาใหม่ออกมาแทบไม่ต่างจากของเดิม
ภูวนัยมองนาฬิกาเห็นว่าเป็นเวลาเก้าโมงครึ่งแล้ว
“ต้องเร่งมือแล้ว”
ไผ่พญาหันไปหยิบใบเสนอราคาอีกใบของกำนันเต่าขึ้นมาสแกน
เสี่ยแคนนั่งรออยู่ในงานประมูล ระหว่างนั้นลูกน้องยกกาแฟเข้ามาเสิร์ฟ
“ไม่เอาแล้วเว้ย... ทำไมยังไม่มาอีกวะ”
เสี่ยหยิบมือถือขึ้นมากด
ที่รถตู้ภูวนัยกำลังสแกนใบเสนอราคาใบสุดท้าย ภาพขึ้นที่หน้าจอโน๊ตบุ๊ค ภูวนัยกำลังจะเปลี่ยนตัวเลข ระหว่างนั้นเสียงมือถือก็ดังขึ้น ภูวนัยหน้ามองหน้าไผ่พญา ไผ่พญารีบส่ายหน้า
“ไม่ใช่ของฉัน”
ภูวนัยหันมองขิงกับกระดังงา ทั้งสองคนก็ส่ายหน้าเช่นกัน ภูวนัยเลยตั้งใจฟังก่อนจะได้ยินเสียงมือถือดังมาจากกระเป๋าถือของ พิม ภรรยาน้อยของกำนันเต่า ภูวนัยรีบหยิบขึ้นมาดูแล้วก็เห็นว่ากำนันเต่าโทรมา
“ทำไง...รับมั้ย”
ไผ่พญาถาม ภูวนัยคิดๆ ก่อนจะถึงหมวกไหมพรมลงมาปิดหน้า แล้วให้สัญญาณให้ทุกคนปกปิดใบหน้าเช่นกัน พอทุกคนดึงหมวกไหมพรมลงมาปิดหน้าหมด ภูวนัยดึงถุงผ้าที่คลุมหัวของพิมออก
“บอกไปว่าใกล้ถึงแล้ว ทำตามที่ผมบอกแล้วเราจะปล่อยคุณอย่างปลอดภัย...เข้าใจมั้ย”
พิมพยักหน้า ภูวนัยเลยค่อยๆ แกะผ้าที่ปิดปากพิมออก กดรับสายกำนันเต่าแล้วเปิดสปีคเกอร์ให้พิมคุย
“ทำไมยังไม่ถึงอีก”
กำนันเต่าถามหน้าเครียด
พิมพยายามข่มความกลัวแล้วพูดออกไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เอ่อ...ก็รถมันยางแตกนี่”
“ยางแตก! อะไรวะ อยู่ไหนเดี๋ยวให้คนไปเปลี่ยนรถ”
ภูวนัยเอามือปิดโทรศัพท์แล้วบอกกับพิม
“บอกไปว่า ไม่ต้องมาตอนนี้เปลี่ยนเสร็จแล้ว”
“ไม่ต้องหรอกพี่ นี่เปลี่ยนเรียบร้อยแล้วกำลังไป”
“เร็วหน่อยแล้วกัน ถ้างานนี้พลาดละก็ฉันเอาเธอตายแน่”
กำนันเต่าวางสายไปอย่างหงุดหงิด
ทุกคนได้ยินเสียงวางสายไปก็หายใจอย่างโล่งอก แล้วพิมก็เริ่มพูดอีก
“พวกแกเป็นใคร ทำอย่างนี้ไม่กลัวเดือดร้อนหรือไง”
“ถ้ากลัวแล้วพวกเราจะทำเหรอ ไม่ต้องห่วงคุณนาย พวกเราไม่ทำอะไรคุณนายหรอกแค่รอให้งานประมูลมันเสร็จ แล้วให้เสี่ยเขาแน่ใจว่าได้งานประมูลครั้งนี้แน่นอน แล้วเราจะปล่อยคุณนายไป”
พิมได้ยินอย่างนั้นก็อึ้งไป
“เสี่ย...พวกแกเป็นคนของไอ้เสี่ยแคนเหรอ”
พิมพูดได้แค่นั้นก็โดนภูวนัยเอาผ้ามัดปากอีกก่อนที่ขิงจะเอาผ้ามาคลุมหัวพิมไว้เหมือนเดิม ระหว่างนั้นไผ่พญาเอาใบเสนอราคาใบสุดท้ายมาให้ภูวนัย
“เสร็จแล้ว”
ภูวนัยมองแล้วตรวจดูใบเสนอราคาของทั้งสามบริษัทอย่างรอบคอบ
“ตอนนี้ก็เหลือขั้นตอนสุดท้ายแล้ว”
ภูวนัย ไผ่พญา ขิงและกระดังงาอยู่ในชุดนักธุรกิจ เดินเข้ามาตามทางที่หน้าห้องประมูล ภูวนัยกำลังจะเปิดประตูเข้าไปในห้องแต่แล้วภูวนัยก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นเสี่ยแคนนั่งอยู่ในห้อง
“เสี่ยแคน”
“ไหนบอกว่าจะไม่มาไง”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ฉันว่าพวกเราเนียนออก”
“ไม่...เสี่ยงเกินไป เสี่ยแคนต้องดูพวกเราออกแน่นอนว่าเราไม่ใช่คนของกำนันเต่า”
“แล้วทำไงละ”
ภูวนัยครุ่นคิด
เสี่ยแคนนั่งรออยู่ภายในงานอย่างหงุดหงิด ระหว่างนั้นเสียงมือถือของเสี่ยแคนดังขึ้น เสี่ยแคนมองเบอร์ก่อนรับสาย
“เสี่ยแคนพูด” เสี่ยแคนฟังแล้วตกใจ “อ๋อ...โรงพยาบาลเหรอครับ”
ขณะนั้นไผ่พญากำลังใช้โทรศัพท์สาธารณะอยู่ที่มุมหนึ่ง
“คะ จะโทรมาบอกว่าอาการของคุณเคนแย่ลงน่ะคะ”
เสี่ยแคนตกใจ
“แย่ลง แย่ลงได้ยังไง ก็วันก่อนไหนหมอบอกว่าเย็นนี้ก็กลับบ้านได้แล้วไง”
ไผ่พญาคิดก่อนจะตอบ
“ดิฉันก็ไม่ทราบคะ คุณหมอให้ดิฉันโทรมาบอกให้เสี่ยรีบมาดูใจคะ”
“ห๊า! ดูใจ ไอ้เคนมันเป็นอะไร”
“เห็นคุณหมอบอกว่ามีเลือดออกที่อวัยวะภายใน ลำไส้ฉีกขาด...หัวใจไม่ทำงาน...ไตบวม”
ไผ่พญากำลังจะพูดต่อ แต่ภูวนัยที่ยืนอยู่ข้างต้องสะกิด
“พอแล้ว”
“ตอนนี้อยู่ห้องไอซียู ยังไงเสี่ยรีบกลับมานะคะ ดิฉันไม่รู้ว่าจะอยู่ได้อีกแค่ไหน”
เสี่ยแคนวางสายไปสีหน้าเครียด แล้วเสี่ยแคนก็ตัดสินใจลุกขึ้นระหว่างนั้นอบต.ชัยเข้ามาถามเพราะคิดว่าเสี่ยแคนหงุดหงิด
“จะไปไหนครับเสี่ย ผมว่าคุณนายพิมคงใกล้ถึงแล้วละครับ”
“ผมต้องไปแล้ว ส่วนเรื่องนี้ผมฝากซองไว้แล้วกัน ยังไงก็รู้ๆ กันอยู่แล้ว”
เสี่ยแคนพูดเสร็จก็รีบเดินออกไปโดยมีลูกน้องเดินตามเป็นพรวน
อบต.ชัยมองดูด้วยความแปลกใจว่าเสี่ยแคนทำไมดูร้อนรนนัก
อ่านต่อหน้า 3
คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 13 (ต่อ)
เสี่ยแคนกับลูกน้องเดินมาตามอย่างร้อนใจก่อนจะเดินออกจากงานประมูลไป ภูวนัย ไผ่พญา ขิงและกระดังงาแอบมองอยู่อีกมุมหนึ่ง
ภายในห้องประมูล อบต.ชัยและเจ้าหน้าที่กำลังปรึกษากันอยู่ว่าจะเอายังไง
“เลื่อนเป็นวันหลังได้มั้ย”
“ไม่ได้หรอกพี่ เดี๋ยวพวกผมก็โดนสอบซิ”
ระหว่างนั้นภูวนัย ไผ่พญา ขิงและกระดังงาเปิดประตูเข้ามาในห้อง ทุกคนมองแล้วสงสัยว่าคนพวกนี้เป็นใคร
ภูวนัยเดินเข้ามาแล้วยื่นซองให้กับเจ้าหน้าที่
“ผมเป็นตัวแทนจากบริษัททีเอโอ เรียลเอสเตทครับ นี่ซองของบริษัทผม”
ภูวนัยยื่นซองเสร็จแล้วเดินออกไป ไผ่พญาเดินเข้ามายื่นซองเป็นคนต่อไป
“ฉันเป็นตัวแทนจากบริษัทยั่งยืนพัฒนาจำกัดคะ”
ไผ่พญายื่นเสร็จก็เดินออกไป ขิงกับกระดังงาเดินเข้ามา
“ผมมาจากต.การสร้างครับ”
แล้วขิงกับกระดังงาก็เดินไปรวมกลุ่มกับภูวนัยและไผ่พญา อบต.ชัยเห็นก็แปลกใจ
“พวกคุณเป็นคนของกำนันเต่าเหรอ”
ทั้งหมดมองหน้ากัน ก่อนที่ภูวนัยจะหันไปตอบ
“ครับ ก็เห็นที่เรายื่นซองแล้วนี่ครับ”
“แล้วคุณพิมละ”
“พอดีกำนันเต่าอยากให้การประมูลครั้งนี้ดูเป็นมืออาชีพ ก็เลยให้พวกเรามาแทน”
ทั้งหมดยิ้มให้อบต.ชัย ทำให้อบต.ชัยไม่สงสัยอะไร
เวลาต่อมา เจ้าหน้าที่กำลังประกาศ
“สำหรับการประมูลการก่อสร้างบ่อขยะของอำเภอโคกสูง ได้มีบริษัทที่ผ่านการคัดเลือกทั้งราคาและคุณสมบัติทั้งหมดสี่บริษัท ได้แก่...บริษัททีเอโอ เรียลเอสเตท จำกัด” ภูวนัยพยักหน้าให้รู้ว่าเป็นของตน “บริษัท ยั่งยืนพัฒนา จำกัด” ไผ่พญาพยักหน้าเช่นกัน “บริษัท ต.การสร้าง จำกัด และบริษัทสุดท้าย บริษัท แคนดูอิท จำกัด”
ทุกคนนั่งดูเจ้าหน้าที่ที่กำลังประกาศต่อ
“และต่อไปคือขั้นตอนการเปิดซองเพื่อหาบริษัทที่จะได้รับการประมูลในครั้งนี้” เจ้าหน้าที่หยิบซองขึ้นมา “ซองแรกเป็นของบริษัททีเอโอ จำกัด ราคาที่เสนอ” เจ้าหน้าที่เปิดซองแอบมองใบแล้วงงเล็กน้อย “หนึ่งร้อยสิบสามล้านบาท”
ทุกคนถึงกับมองภูวนัยที่เป็นตัวแทน อบต.ชัยรีบเข้ามาถามด้วยความสงสัย
“อะไร กำนันเต่าเสนอราคานี่จริงๆ เหรอ”
“ผมไม่ทราบครับ ผมแค่ถือซองเข้ามาให้”
อบต.ชัยยังงงไม่หาย ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่ประกาศต่อ
“บริษัท ยั่งยืนพัฒนา จำกัด” เจ้าหน้าที่มองซองแล้วงงอีกเหมือนกัน “ห้าสิบเจ็ดล้านบาท”
อบต.ชัยหันมองไผ่พญา ไผ่พญายิ้มให้
“บริษัท ต.การสร้าง จำกัด” เจ้าหน้าที่มองซองแล้วถึงกับอุทาน “เฮ้ย!” แล้วนึกได้ “เอ่อ ขอโทษครับ พอดีผมเห็นราคาตกใจนิดหน่อย แฮ่ม...บริษัท ต.การสร้าง จำกัด เสนอราคาที่ สามร้อยสิบสี่ล้านบาท”
อบต.ชัยตาโตหันมองขิงกับกระดังงา
“พอดีบริษัทเราเป็นบริษัทคุณภาพน่ะครับ เลยต้องแพงนิดหน่อย”
“ส่วนบริษัทสุดท้าย บริษัท แคนดูอิท จำกัด...ราคา...สิบห้าล้านสี่แสน...บาท ถ้าอย่างนั้นผมขอประกาศเลยแล้วกันครับ ว่าบริษัทที่จะได้รับการก่อสร้างบ่อขยะให้กับอำเภอโคกสูง ในครั้งนี้ได้แก่...บริษัท แคนดูอิท จำกัด”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็แอบยิ้มที่มุมปากที่สำเร็จตามแผน
ขณะนั้นกำนันเต่าอยู่ที่บ้านและกำลังคุยกับผู้จัดการรถตักดิน กำนันเต่ากำลังดูรูปรถตักดินรุ่นใหม่อยู่
“เอ่อ...แถมสองคันเลยเหรอครับ แหม กำนันล้อเล่นใช่มั้ย”
“นี่ คุณอาจจะเพิ่งมาอยู่ที่สระแก้วได้ไม่นาน เลยไม่รู้ว่าคนอย่างกำนันเต่าไม่ชอบพูดเล่นซะด้วย”
“ผมเกรงว่า ที่บริษัทจะไม่มีนโยบายแถมน่ะครับ”
“ผู้จัดการก็คิดดูดีๆ แล้วกัน งานก่อสร้างในสระแก้วปราจีน ส่วนใหญ่ก็เป็นบริษัทของผมหรือไม่ก็ของเพื่อนผมทั้งนั้น ไอ้การแถมคันสองคันให้ผม ผมถือว่าไม่มากเลยกับการได้ค้าขายที่สระแก้วนี่ต่อได้”
ผู้จัดการได้ยินอย่างนั้นก็ถึงกับปาดเหงื่อ ระหว่างนั้นโทรศัพท์กำนันเต่าดัง กำนันเต่ามองเบอร์
“แหม ขอโทษนะผู้จัดการ พรรคพวกที่งานประมูลบ่อขยะโทรมา” กำนันเต่ายิ้มก่อนจะกดรับสาย “ว่าไงพี่ชัยงานประมูลเรียบร้อยมั้ย” กำนันเต่าฟังแล้เวสีหน้าเปลี่ยนไป “อะไรนะ ไม่ได้ บริษัทไอ้เสี่ยแคนได้ไปเหรอ” กำนันเต่าหันมองผู้จัดการที่นั่งอยู่ “เอาไว้คุยวันหลังแล้วกันนะผู้จัดการ”
“เท่าที่ผมคิดดูแล้ว”
“ก็บอกว่าคุยวันหลังไง”
กำนันเต่าขึ้นเสียงอย่างหัวเสีย ผู้จัดการถึงกับสะดุ้งรีบเก็บข้าวของแล้วแจ้นออกจากห้องไปทันที ระหว่างนั้นลูกน้องเข้ามา
“กำนันครับ”
“อะไรอีกวะ”
“คุณพิมกลับมาแล้วครับ”
กำนันเต่าได้ยินอย่างนั้นก็ฉุนขาดขึ้นมาทันที
กำนันเต่าเดินอาดๆ หัวเสียออกมาที่หน้าบ้าน ก่อนจะตรงมาดูที่รถ
“อยู่ไหน” ลูกน้องต่างก็มองหากันให้ทั่วแต่ก็ไม่เจอพิมอยู่ในรถ ระหว่างนั้นได้ยินเสียงตึงตังดังมาจากกระโปรงท้ายรถ “ดูซิเสียงอะไร”
ลูกน้องค่อยๆ เปิดฝากระโปรงขึ้น แล้วลูกน้องก็ตกใจ
“กำนันครับ”
กำนันเต่าเดินมาดูที่ท้ายรถแล้วก็ตกใจเมื่อเห็นพิม เมียรักถูกจับมัดมือ ขาและปากอยู่ท้ายรถ
“พิม” กำนันเต่าหันไปบอกลูกน้อง “แก้มัดซิวะ”
กำนันเต่ารีบแก้มัดที่ปาก ส่วนลูกน้องก็ช่วยกันแก้ที่มือและเท้า พอปากเป็นอิสระ พิมถึงกับร้องไห้โฮ
“พี่เต่า พี่ช่วยพิมด้วย”
“ใคร...บอกมาว่าใครทำเธอ”
“ไอ้เสี่ยแคน”
กำนันเต่าได้ยินอย่างนั้นก็กำหมัดแน่นด้วยความแค้นอย่างที่สุด
คืนนั้นที่เซฟเฮ้าส์ภูวนัย ทุกคนเดินลงมาจากรถมีขิงกับกระดังงาเดินนำหน้า ภูวนัยกับไผ่พญาเดินตามมาด้านหลัง ขิงซ้อมท่าทางให้กระดังงาดู
“เป็นไง เท่ห์มั้ย”
“ท่าอะไรของแก”
“เอ้า ก็ท่ารับเหรียญกล้าหาญไง ใช่มั้ยคุณภู” ขิงหันไปถามภูวนัย
“ภารกิจที่พวกเราทำอยู่เป็นความลับ ทางตำรวจเขาไม่รู้เรื่องพวกเราหรอก” ไผ่พญาบอก
“โห...แล้วถ้าเราเป็นอะไรหรือตายขึ้นมา จะทำไง”
ภูวนัยนิ่งไปเหมือนครุ่นคิดที่กระดังงาพูดเหมือนกัน
“ทำไง ถามอะไรไม่เข้าท่า ถ้าแกตายฉันก็หาเมียใหม่ซิ”
“ไอ้ขิง” !
ระหว่างนั้นไผ่พญากำลังจะเปิดประตูบ้าน แล้วไผ่พญาก็ชะงักไปเมื่อเห็นว่าประตูไม่ได้ล๊อค
“เมื่อเช้าไม่ได้ล๊อคประตูเหรอ”
ภูวนัยเห็นอย่างนั้นก็รู้ทันทีว่าต้องมีใครเข้ามาในบ้าน
“พวกคุณหลบไปก่อน”
ภูวนัยดึงปืนขึ้นมากระชับเตรียมพร้อม
ภูวนัยเข้ามาในบ้าน ไผ่พญา ขิงและกระดังงาเดินตามเข้ามา แล้วทุกคนก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นอภิวัฒน์นั่งรออยู่
“ท่านอภิวัฒน์”
อภิวัฒน์หันมาพอเห็นทุกคนก็ยิ้มแย้ม
“สวัสดีทุกคน” ทุกคนกล่าวสวัสดีอภิวัฒน์เช่นกัน “ฉันได้รับรายงานเรื่องภารกิจในวันนี้แล้ว ต้องขอชมพวกเธอทุกคนว่าทำได้ดีมาก” ทุกคนยิ้มให้กัน ยกเว้นภูวนัยที่มีสีหน้าเครียด “เป็นอะไรหมวด”
“ผมแค่รู้สึกว่างานยังไม่เสร็จครับ”
ขิงกับกระดังงาไม่เข้าใจความหมายเลยตกใจ
“เอ้า...เราพลาดอะไรไปเหรอครับ”
“ไม่มีอะไรหรอก หมวดภูเขาแค่ยังไม่บรรลุเป้าหมายที่วางเอาไว้น่ะ” อภิวัฒน์พูดกับภูวนัย “หมวด...ผมไม่ได้พูดให้หมวดรู้สึกดีนะ แต่ผมแค่อยากจะบอกว่าการทำความดีไม่มีวันเสร็จหรอก” ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็คิดตามก่อนจะระบายลมหายใจออกมาเหมือนผ่อนคลายขึ้น “ตอนนี้ เราคงต้องรอดูท่าทีว่าพวกนั้นจะเป็นยังไงหลังจากที่เราล้มงานประมูลของมันได้ ระหว่างนี้พวกเธอทุกคนพักกันก่อนแล้วกัน”
อภิวัฒน์พูดจบก็จะเดินออกไป
“จะกลับแล้วเหรอคะ”
“ไม่มีอะไรแล้วนี่ ฉันมาที่นี่เพื่ออยากขอบคุณด้วยตัวเองเท่านั้น” อภิวัฒน์มองไล่สายตาไปทีละคนก่อนจะพูดอีกครั้งว่า... “ขอบคุณทุกคน”
ทุกคนยิ้มมีความสุข อภิวัฒน์ค่อมศรีษะให้เล็กน้อยก่อนจะเดินออกไป พออภิวัฒน์ออกไป ขิงก็พูดขึ้นอย่างตื่นเต้น
“สุดยอดเลยวะ”
“อะไรของแก”
“แกไม่รู้สึกหรือไง การทำความดีนี่มันมีความสุขกว่าทำความชั่วเยอะเลย”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็แปลกใจ
“ความชั่ว”
“อ๋อ ครูขิง เขาชอบตบยุงน่ะ นั่นก็ชั่วที่สุดของเขาแล้วใช่มั้ยครูขิง” ไผ่พญารีบบอก
“เอ่อ ใช่ๆ” ขิงตอบรับแล้วก็นึกอะไรดีๆ ออก “ผมว่าวันนี้เรามาฉลองกันดีมั้ย ไหนๆ ใครเห็นด้วย”
กระดังงารีบยกมือทันที ขณะที่ไผ่พญาแอบเหลือบมองท่าทีของภูวนัย แต่กระดังงาก็มาจับมือของไผ่พญาชูขึ้นอีกคน
“มติเป็นสามต่อหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพวกฉันไปเตรียมของก่อนนะ”
ว่าแล้วขิงกับกระดังงาก็รีบวิ่งออกไปทันที ภูวนัยมองตามขิงกับกระดังงาก่อนจะหันมาบอกกับไผ่พญา
“ผมรู้แล้วว่าทำไมคุณถึงรักเพื่อน”
“ฮือ”
“ผมว่าขิงกับงา สองคนนี่เขาร่าเริงได้ทุกสถานการณ์นะ”
“ไม่รู้อะไรซะแล้ว”
ไผ่พญาแอบบ่น ระหว่างนั้นเสียงมือถือของไผ่พญาดังขึ้น ไผ่พญามองเบอร์แล้วทำหน้าสงสัย
“ใคร” ไผ่พญากดรับสาย “สวัสดีคะ..หมอกเหรอ”
ไผ่พญาตกใจ ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็แปลกใจ
ม่านหมอกอยู่ที่รีสอร์ตเสกสรร โดยมีเผ่าพงศ์ ปลายฟ้า ม่านเมฆยืนรายล้อมม่านหมอกด้วยความอยากรู้
“หนูจะโทรมาบอกครูไผ่ว่าเมฆหายดีแล้ว”
ไผ่พญาได้ยินม่านหมอกบอกอย่างนั้นก็ดีใจ
“ดีแล้ว ทีหลังก็ห้ามเล่นน้ำนานอีกละ”
“เอามานี่ ขอตาคุยมั้ง”
เผ่าพงศ์กำลังแย่งมือถือกับม่านเมฆ
“อะไรอ่ะตา ให้เมฆคุยก่อนซิ”
“เฮ้ย ให้ตาก่อน” แล้วเผ่าพงศ์ก็ดึงโทรศัพท์ไป “ฮัลโหล...ครูไผ่เหรอ”
“คะ”
“อ๋อ” แล้วเผ่าพงศ์ก็นิ่งไป เหมือนนึกคำถาม แต่แล้วก็หันไปถามทุกคนว่า... “เออ แล้วส่งมาให้ตาคุยทำไม”
ม่านหมอก ม่านเมฆและปลายฟ้าทำหน้าเซ็งกับอาการอัลไซเมอร์ของเผ่าพงศ์ ม่านเมฆเลยดึงโทรศัพท์ไปคุย
“ครูไผ่”
“ว่าไงจ้ะพ่อหนุ่ม ทีหลังอย่าดื้อเล่นน้ำจนเป็นหวัดอีกละ”
“โห...ครูไผ่พูดเหมือนพี่หมอกอีกคนละ เอ่อ...เมฆถามอะไรครูไผ่หน่อยได้มั้ยครับ”
“ได้ซิจ้ะ”
“ครูไผ่อยู่กับอาภูหรือเปล่าครับ”
ไผ่พญาอึ้งไปก่อนจะกระซิบบอกกับภูวนัย
“เมฆถามว่าฉันอยู่กับนายหรือเปล่า” ภูวนัยคิดก่อนจะส่ายหน้า “เปล่าจ้ะ ครูอยู่บ้านแล้วครูก็ไม่รู้ด้วยว่าอาภูของเมฆอยู่ไหน”
ภูวนัยพยักหน้าเชิงบอกกับไผ่พญาว่าทำได้ดี
ม่านเมฆหันไปบอกกับปลายฟ้า
“ครูไผ่ไม่ได้อยู่กับอาภูครับหมอฟ้า”
ไผ่พญาได้ยินที่ม่านเมฆพูดอย่างนั้นก็สงสัย ปลายฟ้าแอบเบาใจ แต่เขิน
“อ้าว แล้วมาบอกหมอทำไมละเมฆ”
“เอ้า...ก็หมอฟ้าชอบอาภูไม่ใช่เหรอครับ”
“นี่ใครบอก มานี่ เอามือถือมาเลย น้าไม่ให้คุยละ”
ม่านเมฆไม่ยอมให้โทรศัพท์ปลายฟ้า จนชุลมุนวุ่นวายกันน่าดู ไผ่พญาชะงักหลังจากได้ยินที่ม่านเมฆพูดอย่างนั้น
ภูวนัยมองไผ่พญาด้วยความแปลกใจเพราะเห็นไผ่พญานิ่งไป
เวลาต่อมาทุกคนรวมตัวกันอยู่ที่เซฟเฮ้าส์ ภูวนัยยกแก้วชนฉลองกับคนอื่นๆ
“เอ้า ชั่ว”
ทุกคนนั่งดื่มฉลองกันที่สนามหน้าบ้าน ขิงมีท่าทางเมากำลังได้ที่
“เขาพูดว่าเชียส ชั่วน่ะแกแล้ว”
“ชั่วน่ะถูกแล้ว เพราะเรากำลังดื่มฉลองให้กับความชั่วที่กำลังจะหมดไปไง เอ้า...ชั่ว”
ขิงยกดื่มแต่คนเดียว ภูวนัยเห็นก็ยิ้มมุมปาก
“ยิ้มอะไรของนาย”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่ตอนแรกผมคิดว่าทำไมพวกคุณชอบดื่ม ทั้งๆ ที่เป็นครู” ไผ่พญากับกระดังงาได้ยินอย่างนั้นถึงกับนั่งตัวแข็ง “แต่พอเห็นครูขิงแล้วก็คิดว่าพวกคุณคงไม่ค่อยได้ดื่ม ถึงได้เมาเร็วอย่างนี้”
“อ๋อ...ใช่คะ วันๆ พวกเราน่ะเอาแต่สอน เราอยากให้เด็กไทยเป็นคนดี”
กระดังงากำลังพูดแก้ให้เป็นเรื่องเป็นราว แต่ขิงกลับแทรกขึ้น
“โอ๊ย...ถูกแล้วที่คุณภูรู้ว่าผมไม่ค่อยได้ดื่ม จะดื่มได้ยังไงละ เพราะผมน่ะคอยทำให้แต่คนอื่นดื่ม”
ด้วยความเมาทำให้ขิงพูดถึงตอนที่ตัวเองเป็นบาร์เทนเดอร์ที่ดิออร์แกน ไผ่พญาที่กำลังยกแก้วน้ำดื่มอยู่ถึงกับพ่นพรวดจนเต็มหน้าภูวนัย
“อุ้ย โทษๆ ขอโทษ”
ไผ่พญารีบเอาผ้าเช็ดตามเนื้อตัวให้กับภูวนัย ไผ่พญาแอบส่งสัญญาณบอกให้กระดังงาพาขิงออกไป
“เมาแล้ว ไปนอนเถอะ” กระดังงาบอกขิง
“เมาอะไร ฉันเพิ่งเริ่มดื่มเอง”
“ว้า...วันนี้อยากเล่นรถไฟเหาะซะด้วย” กระดังงาทำพูดขึ้นลอยๆ ขิงกำลังจะยกแก้วดื่มถึงกับชะงักตาโต “ฉันไปนอนก่อนนะไผ่ ง่วงแล้ว”
ขิงคว้ามือกระดังงาหมับ แล้วทำตากรุ่มกริ่ม
“เปลี่ยนจากรถไฟเหาะเป็นไวกิ้งได้ม้า วันนี้ฉันอยากนั่งไวกิ้งอ่ะ”
“บ้า” กระดังงาสะบัดมือออก เดินไป แล้วหันกลับมา “มาซิ”
ขิงดีใจทำท่าเบ่งกล้ามฟิตเปรี้ยะลุกตามกระดังงาเดินเข้าบ้านไป เหลือภูวนัยกับไผ่พญาที่มองหน้ากันแล้วทำหน้าไม่ถูก
“เหลือเราสองคนแล้ว”
“ใช่ๆ เหลือเราสองคนแล้ว”
พอไผ่พญาพูดจบก็เหมือนเกิดช่องว่างที่ภูวนัยกับไผ่พญาไม่รู้จะพูดอะไรกัน แล้วภูวนัยนึกได้เลยถามขึ้น
“ตอนที่คุณคุยโทรศัพท์กับเมฆ ผมเห็นคุณเงียบไป มีอะไรหรือเปล่า”
ไผ่พญาชะงักเพราะทำให้เธอคิดเรื่องที่ปลายฟ้าชอบภูวนัยขึ้นมาได้
“ไม่มีอะไร” ไผ่พญาลังเล อยากรู้ว่าภูวนัยคิดยังไง “เอ่อ...ฉันถามอะไรหน่อยซิ”
“อืม”
“ถ้านายล้มพวกห้าเสือนั่นได้ แล้วก็พิสูจน์ความบริสุทธ์ให้ตัวเองสำเร็จ...แล้วหลังจากนั้น...นายจะทำอะไร”
ภูวนัยนิ่งครุ่นคิด
“ผมยังไม่ได้คิด เพราะงานที่พวกเราทำอยู่มันอันตราย บางทีพวกเราอาจต้องตายก่อนที่จะทำมันสำเร็จก็ได้”ภูวนัยพูดอย่างนั้นเลยทำให้ไผ่พญาซีเรียสขึ้นมาด้วยอีกคน “คุณมีอะไรที่ยังไม่ได้ทำก่อนตายหรือเปล่า”
ไผ่พญาทำหน้านึกสิ่งที่อยากทำ ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงเอะอะตึงตังดังมาจากห้องขิง ไผ่พญากับภูวนัยมองหน้ากัน ก่อนที่ทั้งคู่ยิ้มแล้วหลุดหัวเราะออกมาทั้งคู่
“เมื่อกี้นายถามฉันว่าอะไรนะ”
“คุณมีอะไรที่อยากทำมากๆ แล้วยังไม่ได้ทำหรือเปล่า”
ไผ่พญาทำหน้านึก ก่อนจะพูดขึ้นโดยไม่คิดอะไร
“อืม...ฉันอยากไปสวนสนุก” ไผ่พญาทำหน้านึกแล้วยิ้มมีความสุข “ฉันว่ามันต้องสนุกแน่ๆ เลย” ไผ่พญาแปลกใจเมื่อเห็นภูวนัยเงียบไป เลยหันมามองภูวนัยที่กำลังตาโตตกตะลึง ไผ่พญาแปลกใจว่าภูวนัยเป็นอะไร “อะไรของนาย ฉันบอกว่าอยากไปสวนสนุก...มันทำไมเหรอ” แล้วทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงตึงตังดังมาจากห้องขิงอีก ทำให้ไผ่พญาคิดออกว่าภูวนัยต้องเข้าใจผิดแน่ๆ “ฉันไม่ได้หมายถึงสวนสนุกที่ครูขิงกับครูงาไปนะ”
“เอ่อ...อ๋อ”
“ฉันหมายถึงสวนสนุกจริงๆ”
“อะไร นี่คุณไม่เคยไปสวนสนุกเลยเหรอ”
“อืม...ฉันต้องหาเงินเลี้ยงแม่แล้วก็เรียนหนังสือตั้งแต่เด็กน่ะ”
ภูวนัยมองไผ่พญาที่มีสีหน้าเศร้าลงก็นึกบางอย่างไว้ในใจ
วันต่อมารถของเสี่ยแคนวิ่งมาตามทาง ภายในรถเสี่ยแคนอยู่ในชุดขาวกำลังคุยโทรศัพท์อยู่
“ฉันมาวัด พักนี้รู้สึกว่าดวงไม่ค่อยก็ต้องมาทำบุญหน่อย” เสี่ยแคนฟังแล้วหัวเราะชอบใจ “ไอ้เรื่องประมูลเมื่อวานน่ะเหรอ อย่าถือว่าเฮงเลย เรียกว่าวาสนาคนมากกว่า เอาละ เดี๋ยวเจอกันตอนเย็นแล้วกัน”
เสี่ยแคนวางสาย ระหว่างนั้นลูกน้องซึ่งเป็นคนขับรถก็พูดขึ้น
“มีคนตามเรามาครับเสี่ย”
“แกแน่ใจนะ”
“ครับ...ผมเห็นมันขับตามเรามาตั้งแต่ออกจากวัดแล้วครับ”
เสี่ยแคนครุ่นคิด
“เดี๋ยวเลี้ยวซ้ายข้างหน้าเลย”
ยังไม่ทันที่ลูกน้องเสี่ยแคนจะเลี้ยวตามคำสั่ง อยู่ๆ ก็มีรถอีกคันพุ่งออกมาแล้วขวางรถของเสี่ยแคนเอาไว้ รถคันที่ตามมาเข้ามาจอดประกบทางด้านหลัง
เสี่ยแคนมองไปรอบๆ เลิ่กลั่กไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่แล้วเสี่ยแคนก็เบาใจเมื่อเห็นกำนันเต่าลงจากรถคันที่มาจอดประกบทางด้านหลัง เสี่ยแคนเปิดประตูลงมาจากรถ ลูกน้องของกำนันเต่าต่างกรูกันลงมาจากรถล้อมเสี่ยแคนเอาไว้
“มีอะไรกำนัน ทำอย่างนี้ไม่ให้เกียรติกันเลยนี่หว่า”
“ให้เกียรติเหรอ หึ...ไอ้แคน มึงกล้าพูดกับกูอย่างนี้เหรอ” เสี่ยแคนงงว่ากำนันเต่าทำไมท่าทีเปลี่ยนไป “แล้วที่มึงทำกับกูเมื่อวานเรียกว่าอะไร”
“ไอ้เรื่องงานประมูลน่ะเหรอ ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น”
“หึ...จะเกิดอะไร แกลักพาตัวเมียฉันแล้วเปลี่ยนราคาที่เสนออีก แกยังกล้าถามฉันอีกเหรอว่าเกิดอะไร”
เสี่ยแคนงงหนักเพราะไม่รู้เรื่องที่กำนันเต่าพูด
“เฮ้ย! กำนัน กำนันพูดเรื่องอะไร ฉันไม่เห็นรู้เรื่อง”
สิ้นคำพูดเสี่ยแคน กำนันเต่าก็หยิบปืนขึ้นมาจ่อหัวเสี่ยแคนทันที
“กูไม่ได้มาหามึงวันนี้เพื่อเคลียร์ แต่กูจะมาบอกกับมึงเอาไว้ว่าคนอย่างกำนันเต่า ไม่เคยให้ใครมาตีกินง่ายๆ”
“กำนัน เรามาคุยกันก่อนดีมั้ย”
“ทำไม คิดว่ากูจะยิงมึงเหรอ หึ...ง่ายไป” กำนันเต่าลดปืนลง “สู้ปล่อยให้แกอยู่ แล้วดูอะไรสนุกๆ ที่ฉันจะทำให้แกดีกว่า”
กำนันเต่าลดปืนลงก่อนจะเดินกลับไปขึ้นรถ ลูกน้องของกำนันเต่าต่างแยกย้ายกันขึ้นรถแล้วขับออกไป เสี่ยแคนกำหมัดอย่างแค้นใจ คำรามในลำคอ
“ไอ้เต่า”
ด้านวศินกำลังเดินมาที่อ่างล้างมือ ระหว่างนั้นเสียงมือถือของวศินดังขึ้นวศินรับสาย
“ว่าไง...อะไรนะ...เสี่ยเขาได้งานไปเหรอ...เปล่า ไม่มีอะไร...แค่แปลกใจนิดหน่อย แต่ไม่ว่าใครจะได้ไป มันก็มีค่าเท่ากัน ขอบใจมากที่โทรมาบอก อั้วจะได้รู้ว่าต้องคุยกับใคร”
วศินวางสายไป แล้วหันมาเปิดก๊อกน้ำล้างมือ ระหว่างนั้นอภิวัฒน์ออกมาจากห้องส้วม วศินเห็นอภิวัฒน์ก็ชะงักไป
“โทษที ผมไม่ได้ตั้งใจแอบฟังนะท่านวศิน”
“แอบฟังอะไร อย่าคิดมากเลยท่านอภิวัฒน์ เพราะผมคงไม่คุยเรื่องสำคัญในที่ที่มันโจ่งแจ้งอย่างนี้หรอก”
“ก็ดีครับ เอ...แล้วที่ท่านวศินพูดถึงเสี่ยเมื่อกี้ ใช่เสี่ยแคนหรือเปล่า” วศินถึงกับชะงักไป “พอดีผมได้ข่าวเรื่องการประมูลที่สระแก้วว่าเสี่ยแคนเขาได้ไป แต่ไม่น่าจะใช่ เพราะตำรวจอย่างเราคงไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกผู้มีอิทธิพลพวกนั้นอยู่แล้ว จริงมั้ย...ท่านวศิน”
วศินยิ้มเก็บอาการ
“แน่นอน”
อภิวัฒน์ล้างมือเสร็จพอดี
“ไว้ประชุมคราวหน้าเราค่อยคุยกันต่อนะครับ พอดีผมมีงานด่วน” อภิวัฒน์ทำท่าจะเดินออกไป ก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “อ้อ...แล้วเรื่องที่ท่านวศินส่งคนไปค้นที่เซฟเฮาส์ผมวันก่อน ผมแค่อยากบอกท่านเอาไว้ว่า ถ้าอยากจะเข้าไปดูก็บอกผมก็ได้ ไม่ต้องถึงขนาดออกหมายค้นปลอมให้ยุ่งยาก”
“ค้นอะไร ผมไม่เห็นรู้เรื่อง”
“ถ้าอย่างนั้น ท่านคงต้องถามลูกน้องนั่นแล้วละ”
อภิวัฒน์ยิ้มให้ก่อนจะเดินออกไปอย่างใจเย็น วศินทุบอ่างล้างหน้าด้วยความโมโหที่โดนลูบคม
วศินตบโต๊ะอย่างไม่พอใจ
“ลื้อคิดว่ามันคุ้มแล้วเหรอที่ทำอย่างนี้” ชาติกล้ายืนเครียดอยู่ต่อหน้าวศิน “ไอ้หมวดภูนั่นมันมีอะไร...ห๊า! ทำไมลื้อถึงต้องให้ความสำคัญกับมันขนาดนั้น”
ชาติกล้าไม่อยากบอกวศินว่าเป็นความแค้นส่วนตัว
“ผมเกรงว่าการปล่อยมันไว้อาจจะทำให้เราลำบากครับท่าน”
“ลำบาก ลำบากตรงไหน อั้วเคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่างมันจะทำอะไรพวกเราได้”
“แต่ว่า...”
“ไม่ต้องแต่แล้ว ลื้อเอาเวลาไปดูไอ้พวกห้าเสือดีกว่า ตอนนี้อั้วว่าชักจะไม่ดีแล้ว”
“หมายความว่าไงครับ”
“ก็ที่เสี่ยแคนได้งานประมูลตัดหน้ากำนันเต่าไปไง ไปดูอย่าให้พวกมันกัดกันเอง เพราะถ้าพวกมันแตกกันเมื่อไหร่ ไอ้ที่ทำมาก็หมดกัน แล้วนั่นก็หมายถึงอนาคตของลื้อด้วย”
ชาติกล้าครุ่นคิดตามวศินสีหน้าเครียด
เซฟเฮาส์ภูวนัย ไผ่พญานอนอยู่ในห้องนอน ระหว่างนั้นได้ยินเสียงเคาะประตูดังอยู่หน้าห้องอยู่สองสามครั้ง ไผ่พญายังไม่ตื่น ภูวนัยจึงเปิดประตูเข้ามาในห้องพอเห็นไผ่พญานอนอยู่ก็ส่ายหน้า แล้วเดินเข้ามาเขย่าขา
“คุณ...ตื่นได้แล้ว...คุณ”
ไผ่พญารู้สึกตัวงัวเงียลืมตาขึ้น พอเห็นภูวนัยยืนอยู่ก็ตกใจ
“เฮ้ย! เข้ามาทำไม”
“ลุกขึ้นแต่งตัวได้แล้ว”
“แต่งตัว? ไปไหน” ไผ่พญาสงสัย
“เอ้า ก็คุณอยากไปสวนสนุกไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวผมลงไปรอข้างล่างนะ”
ภูวนัยพูดเสร็จก็เดินออกไป ไผ่พญาพยายามตั้งสติอีกครั้งเพราะยังไม่ตื่นดี
“ไปสวนสนุก? ไปสวนสนุก”
ไผ่พญารีบลุกพรวดออกจากเตียงทันที
ภูวนัยยืนรออยู่ชั้นล่าง ไผ่พญาวิ่งลงมา ภูวนัยหันไปดูก็แอบอึ้งไปกับลุคใหม่ที่ไผ่พญาใส่ขาสั้น เสื้อเชิ้ต แว่นดำ ดูแล้วสดใส
“นายจะพาฉันไปสวนสนุกจริงๆ เหรอ”
“พูดมากน่า แล้วจะใส่ขาสั้นไปจริงเหรอ ร้อนนะ”
“เอ้า...ฉันอยากไปเล่นล่องแก่ง ใส่ขายาวก็เปียกซิ”
ระหว่างนั้นเสียงมือถือของภูวนัยดังขึ้น ภูวนัยมองเบอร์แล้วหันมองหน้าไผ่พญาครู่นึงก่อนรับสาย
“รับท่าน...เดี๋ยวนี้เลยเหรอครับ เอ่อ...ได้ครับ”
ภูวนัยวางสายไป ไผ่พญารู้ทันทีว่าต้องมีงานด่วน
“มีภารกิจใหม่แล้วเหรอ” ภูวนัยพยักหน้า “งั้นเดี๋ยวฉันขึ้นไปปลุกครูขิงกับครูงาให้”
“ไม่เป็นไร ครั้งนี้ผมทำคนเดียวได้” ไผ่พญาทำหน้าแปลกใจ “แล้วผมจะรีบกลับมาพาคุณไปสวนสนุกนะ”
ภูวนัยพูดเสร็จก็รีบออกไป ไผ่พญายังไม่ทันถามอะไรภูวนัยก็ไปซะแล้ว
“อะไรของเขา”
ไผ่พญามองตามด้วยความเป็นห่วง
ภูวนัยมาที่เซฟเฮาส์อภิวัฒน์
“ที่ผมให้คุณทำภารกิจคนเดียวในครั้งนี้เพราะทุกอย่างมันค่อนข้างจะเร่งด่วน”
“ทำไมครับ”
สมสุขเดินเข้ามาลงนั่งที่โซฟา
“ดูหนังด้วยกันมั้ยหมวดภู”
ว่าแล้วสมสุขก็กดเปิดภาพขึ้นที่โทรทัศน์ เป็นภาพจากกล้องวงจรปิดที่ถ่ายตอนที่กำนันเต่าปิดล้อมเสี่ยแคนได้เมื่อเช้า
“กำนันเต่ากับเสี่ยแคน”
“เราได้ภาพนี้มาเมื่อเช้า”
“เท่าที่ดู...ฉันว่ากำนันเต่ามันคงจะแค้นมากถึงได้เอาปืนจ่อหัวเสี่ยแคนอย่างนั้น” สมสุขบอก
“พวกมันแตกกันแล้วใช่มั้ยครับ”
สมสุขหัวเราะขึ้นแทรกการตอบของอภิวัฒน์
“ยังหรอกหมวด หมวดไม่เห็นเหรอว่าดูแล้วท่าทางเสี่ยแคนมันงงๆ อยู่ว่ามันทำอะไรผิด”
ภูวนัยหันมองอภิวัฒน์
“ภารกิจที่ผมกำลังจะทำ คงต้องการทำให้เสี่ยแคนเข้าใจว่าเป็นฝีมือของกำนันเต่าใช่มั้ยครับ”
อภิวัฒน์พยักหน้า ระหว่างนั้นเสียงมือถือของอภิวัฒน์ดังขึ้น อภิวัฒน์รับสาย
“พร้อมแล้วใช่มั้ย...ได้” อภิวัฒน์วางสายไปแล้วหันมาพูดกับภูวนัย “ถ้าหมวดพร้อมแล้วก็เดินทางได้เลย”
ภูวนัยตั้งใจเต็มที่กับภารกิจครั้งนี้
อ่านต่อหน้า 4
คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 13 (ต่อ)
รองเท้าหนังมันวาวของชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในบริษัทแคนดูอิท พร้อมกับเสียงของสมสุขดังแทรกเข้ามา
“กิจการของเสี่ยแคนที่เราเห็นหลักๆ ก็คือการค้าไม้เถื่อน แต่ที่จริงแล้วเสี่ยแคนมันคือพ่อค้ายารายใหญ่ที่มีอิทธิพลบริเวณอรัญประเทศ เป้าหมายภารกิจครั้งนี้ของเราก็คือ การบุกเข้าทำลายโรงงานผลิตยาบ้าของมัน”
เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ภูวนัยคุยกับอภิวัฒน์และสมสุขอยู่ในเซฟเฮาส์
“แล้วปัญหาของเราคืออะไร”
“การบุกเข้าทลายโรงงานผลิตยาของมัน เราจะทำได้เพียงครั้งเดียว แต่...”
“โรงงานและโกดังของไอ้เสี่ยแคนเท่าที่ฉันรู้มามันมีทั้งหมดแปดแห่ง”
“หมวดจะต้องเข้าไปสืบให้ได้ว่า โรงงานที่ผลิตยาบ้าของมัน ตั้งอยู่ที่ไหน”
ลูกน้องของเสี่ยแคนเดินเข้ามาหาชายที่เดินเข้ามา
“มาหาใคร”
ชายคนนั้นยื่นนามบัตรให้กับลูกน้องซึ่งแท้จริงแล้วก็คือภูวนัยปลอมตัวใส่แว่น ใส่หนวด สวมสูทดูน่าเชื่อถือ
“ผมเป็นเจ้าหน้าที่สินเชื่อจากธนาคารเอสบีแบงค์ อยากจะคุยกับเสี่ยแคนหน่อยครับ”
ภูวนัยยิ้มให้ลูกน้องราวกับเป็นนายแบงค์จริงๆ
เสี่ยแคนยื่นอยู่ริมหน้าต่างด้วยความโมโห
“ทำอย่างนี้มันเท่าประกาศศึกกับฉัน”
ระหว่างนั้นเสียงของพายัพดังขึ้น
“แล้วเสี่ยไม่ได้ทำอย่างที่กำนันเต่ากล่าวหาเสี่ยจริงๆ ใช่มั้ย”
เสี่ยแคนหันขวับกลับมาที่พายัพที่นั่งอยู่ในห้อง
“พายัพ แกถามอย่างนี้ อยากมีเรื่องกับฉันอีกคนใช่มั้ย”
“ใจเย็นน่าเสี่ย เราคนกันเองทั้งนั้น”
“แกก็รู้ว่าฉันเป็นคนยังไง ทำไมฉันต้องไปลักพาตัวเมียมันเพื่อให้ได้งานประมูล ในเมื่อไม่ให้เกียรติกันก็ต้องเห็นดีกันหน่อย”
“เท่าที่ผมฟังมา ถ้าเสี่ยไม่ได้ทำอย่างที่กำนันเขาว่าจริงๆ ก็เป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด”
“แต่เมื่อเช้าที่มันเอาปืนมาจ่อหัวฉัน คงไม่ใช่เรื่องเข้าใจผิดแน่นอน”
พายัพยิ้มมุมปาก
“เสี่ยจำได้มั้ย ตอนที่ผมยังติดตามเสี่ยสมสุข เสี่ยเคยสอนผมว่าทุกเรื่องเราสามารถต่อรองกันได้ ถ้าผมไปคุยกับกำนันเต่าให้ยอมมาขอโทษเสี่ย เสี่ยจะว่ายังไง”
“ฉันขอสิทธิ์ส่งยาตามตะเข็บชายแดนเป็นเวลาหกเดือน”
“หกเดือน อืม...ผมว่าพอรับได้” พายัพลุกขึ้น “เสี่ยรอฟังข่าวจากผมแล้วกัน”
พายัพพูดจบก็เดินออกไป เสี่ยแคนยังมีอารมณ์อยู่
ภูวนัยนั่งรอเสี่ยแคนอยู่ที่โถงล๊อบบี้ ระหว่างนั้นลูกน้องของเสี่ยแคนเข้ามาบอก
“ชิญได้แล้วครับ”
ภูวนัยลุกขึ้นกำลังจะเดินเข้าไป แต่ระหว่างนั้นภูวนัยก็เห็นพายัพเดินผ่านมุมตึกออกมา ภูวนัยเดินหน้านิ่งไม่ได้แสดงออกทางสีหน้าแต่อย่างใดจนภูวนัยกับพายัพเดินสวนกัน พายัพมองภูวนัยแล้วเดินจากไป ก่อนที่พายัพจะทำหน้าสงสัยแล้วเรียกขึ้น
“เดี๋ยว” ภูวนัยชะงักหยุดแล้วหันกลับมา พายัพเดินเข้ามาแล้วจ้องหน้าภูวนัย “ผมคุ้นๆ หน้าคุณจังเลย เราเคยเจอกันที่ไหนหรือเปล่า”
ภูวนัยอมยิ้มก่อนจะหยิบนามบัตรส่งให้กับพายัพ
“ถ้าคุณเคยไปเอสบีแบงค์ ก็แสดงว่าเราเคยเจอกันครับ ผมเป็นเจ้าหน้าที่สินเชื่ออยู่ที่นั่น”
พายัพรับไปดู แล้วยัดใส่มือภูวนัยเหมือนเดิม
“ถ้างั้นก็คงไม่เคย”
แล้วพายัพก็เดินผ่านไป ภูวนัยหันกลับมาแล้วเดินตามลูกน้องเสี่ยไปอย่างโล่งอก
ภูวนัยมาพบเสี่ยแคนที่ห้องทำงาน ภูวนัยยื่นนามบัตรให้กับเสี่ยแคน เสี่ยแคนโบกมือปัด
“บอกมาเลยว่ามีอะไร”
“เสี่ยคงเคยได้ยินชื่อเอสบีแบงค์ที่มาเปิดในอำเภอเมือง คือตอนนี้เรามีสินเชื่อดอกเบี้ยราคาพิเศษมานำเสนอให้กับเสี่ยน่ะครับ”
“ปล่อยเงินกู้ ว่างั้น”
“ครับ”
“เฮ้อ...ธนาคารมันก็อย่างนี้แหละน้า ชอบให้ยืมร่มเวลาอากาศดี แต่พอฝนตกก็จะเอาร่มคืน โทษที...ผมไม่สน”
“แต่เราให้ดอกเบี้ยพิเศษเลยนะครับ ถ้าจะพูดให้ถูกเรามีดอกเบี้ยพิเศษที่มอบให้เสี่ยเพียงคนเดียวในสระแก้ว”
เสี่ยแคนชะงักไปอย่างสนใจ
“แล้วทำไมต้องให้ฉันคนเดียว”
“แหม ใครๆ ก็รู้ว่าคนที่รวยที่สุด ใหญ่ที่สุดในสระแก้ว...ปราจีน...ก็ต้องเป็นเสี่ยแคนคนเดียว แม้แต่กำนันเต่ายังไม่ได้สิทธิพิเศษนี่เลยนะครับ”
เสี่ยแคนได้ยินชื่อกำนันเต่าก็สนใจ แถมภูวนัยพูดอย่างนั้นก็ยิ่งทำให้เหมือนรู้สึกตัวเองมีอำนาจเหนือกว่า
“แล้วถ้าผมจะกู้ซักสองร้อยล้าน”
“ร้อยละหนึ่งจุดห้าต่อปีครับ” เสี่ยแคนสะดุดหู
“ถูกดีนี่”
“ผมบอกแล้วไงครับ ว่ามันเป็นสิทธิพิเศษสำหรับเสี่ยเพียงคนเดียว”
“แล้วผมต้องใช้อะไรบ้าง”
“ถ้าเป็นที่ดินก็ขอแค่โฉนดครับ”
เสี่ยแคนรู้สึกสนใจข้อเสนอขึ้นมาทันที
เวลาต่อมา ภูวนัยกำลังตรวจดูโฉนดที่ดินของเสี่ยแคน
“ทั้งหมดก็...เจ็ดแปลง เอ่อ...เสี่ยไม่มีอีกแปลงเหรอครับ”
เสี่ยแคนได้ยินอย่างนั้นก็ชะงักมองหน้าภูวนัย
“มีเท่านี้แหละ ทำไม”
“ผมเกรงว่าหลักทรัพย์จะไม่พอ แต่ถ้าเสี่ยมีอีกแปลงก็น่าจะพอครับ”
“ไม่มี...มีเท่านี้แหละ ไหนบอกว่าช่วยกันไง แค่เจ็ดแปลงไม่พอหรือไง”
“ขอถามได้มั้ยครับ” เสี่ยแคนพยักหน้า “ที่ดินทั้งเจ็ดแปลงนี่ ตอนนี้เป็นอะไรอยู่ครับ”
“ก็โรงงานบ้าง...โกดังบ้าง...ทำไม”
“เผื่อมันจะเพิ่มมูลค่าขึ้นไงครับ ถ้ายังไงผมคงต้องขอตรวจสอบก่อน”
“ได้ แต่ผมไม่ให้คุณไปหรอกนะ”
“ไม่ต้องหรอกครับ”
ภูวนัยยิ้มก่อนจะหันไปเปิดกระเป๋าพร้อมกับเปิดโน๊ตบุ๊คแล้วต่อที่สแกนแบบพกพา ภูวนัยค่อยๆ สแกนโฉนดแต่ละที่ลงในโน๊ตบุ๊ค โดยมีเสี่ยแคนมองอย่างระวัง ภูวนัยสแกนเสร็จ จึงคืนโฉนดให้กับเสี่ยแคน
“เรียบร้อยแล้วครับ ธนาคารของเราขอประเมินราคาที่ดินของเสี่ยก่อน แต่เสี่ยไม่ต้องห่วงนะครับผมบอกแล้วว่าเสี่ยคือคนพิเศษของเรา” ภูวนัยลุกขึ้น เสี่ยแคนมองตามทุกฝีก้าว “แล้วผมจะติดต่อกลับมาอีกทีนะครับ”
ภูวนัยไหว้ลาเสี่ยแคนอีกก่อนจะเดินออกจากห้องไป โดยที่เสี่ยแคนไม่สงสัยเลยซักนิด
รถของภูวนัยจอดอยู่ตรงที่เปลี่ยวแห่งหนึ่ง ภายในรถภูวนัยกำลังเปิดโน๊ตบุ๊คดูพร้อมกับคุยกับอภิวัฒน์ทางโทรศัพท์
“ได้รับครบหรือยังครับ”
อภิวัฒน์ยืนดูเจ้าหน้าที่ที่กำลังเปิดโฉนดขึ้นดูที่หน้าจอคอม
“มีเจ็ดที่เองนี่” อภิวัฒน์หันไปทางสมสุข “ไหนนายบอกว่ามีแปดไง”
“ก็ที่ที่แปดไงที่ตั้งโรงงานยาบ้าของมัน ใครมันจะกล้าเสี่ยงเอาแหล่งขุมทรัพย์ออกมาโชว์เล่า...จริงมั้ย” อภิวัฒน์เห็นด้วย
“แล้วที่ที่แปดมันอยู่ที่ไหน”
สมสุขหลับตาใช้ความคิด พูดกับตัวเอง
“วังน้ำเปรี้ยว...สอง...นครนายก...หนึ่ง...โคราช...สอง” แล้วสมสุขก็ลืมตาขึ้น “ดูที่สระแก้วซิว่ามีกี่แปลง”
ภูวนัยมองหาในจอคอม เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่ที่กำลังนับให้อภิวัฒน์ฟังเหมือนกัน
“สองแปลง”
“มันอยู่ที่นั่นแหละ เพราะฉันจำได้ว่าที่สระแก้วมันมีโรงงานอยู่สามที่แล้วฉันก็มั่นใจว่าต้องอยู่ที่นั่น เพราะมันคงไม่กล้าปล่อยให้ขุมทรัพย์มันไปอยู่ไกลตัวหรอก”
ภูวนัยอยากรู้ความคิดของอภิวัฒน์
“ตอนนี้เรารู้ที่ตั้งโรงงานยาบ้ามันแล้ว แล้วท่านจะให้ใครเข้าไปจับกุมครับ”
ที่กองกำลังฉก.ป้อมเพชร ผู้บังคับกองพันเดินเข้ามาในห้องวิทยุ
“มีอะไร”
ทหารวิทยุสื่อสารหันมารายงาน
“เราได้รับรายงานว่ามีกองกำลังไม่ทราบฝ่าย ซ่อนตัวอยู่ในโรงงานแห่งหนึ่งใกล้กับอรัญครับผม”
“ทราบที่มาของแหล่งข่าวหรือเปล่า”
“จากกองบัญชาการที่กรุงเทพฯครับ”
ผบ.พันรับเอกสารแฟกซ์ที่ทหารส่งมาให้ดู สีหน้าเครียด
ที่โรงงานแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในป่าทึบ มีชายฉกรรจ์ถืออาวุธสงครามยืนสังเกตการณ์อยู่รอบๆ บริเวณ ภายในโรงงานคนงานกำลังผลิตยาบ้ากันอย่างไม่ลืมหูลืมตา
ภายนอกโรงงานเห็นเหล่ากองกำลังฉก.ป้อมเพชร กำลังโอบล้อมโรงงานเพื่อปิดทางหนี หัวหน้าชุดกำลังประเมินสถานการณ์
“ทิศตะวันตกมีกี่คน”
“สิบถึงสิบห้าคนครับ”
“รอสัญญาณจากผม”
มุมหนึ่งลูกน้องเสี่ยแคนยืนเฝ้าหน้าโรงงานคนนึง เดินปลีกตัวออกมาเพื่อหาที่ทำธุระเบาโดยไม่เห็นทหารที่ซุ่มอยู่ พอลูกน้องคนนั้นเดินเข้ามาก็ได้ยินเสียงกิ่งไม้หักเพราะมีทหารคนนึงตัดเหยียบกิ่งไม้ ลูกน้องคนนั้นหันขวับไปมอง แล้วก็เห็นกลุ่มทหาร ทันใดนั้นลูกน้องคนนั้นก็ยิงใส่ทันที ปังๆๆ! หัวหน้าชุดได้ยินเสียงปืนก็สั่งทันที
“ยิง”
เหล่าลูกน้องของเสี่ยแคนที่เฝ้าอยู่หน้าโรงงานต่างแตกตื่นเมื่อได้ยินเสียงปืน แต่ยังไม่ทันทำอะไรก็เห็นทหารที่ซุ่มอยู่โดยรอบยิงเข้ามาทำให้ลูกน้องของเสี่ยแคนตายเป็นใบไม้ร่วง
อีกมุมหนึ่ง ภูวนัยกำลังดูการเข้าจับกุมของทหารผ่านทางกล้องส่องทางไกล เมื่อภูวนัยเห็นทหารบุกเข้าไปในโรงงานก็เก็บกล้องก่อนจะเดินออกมา
เคนนั่งอยู่นห้องทำงานเสี่ยแคน เคนยังไม่หายดีกำลังโมโห
“ไอ้กำนันเต่ามันทำอย่างนี้ได้ยังไง พ่อ...ผมขอคนซักยี่สิบ...ผมจะไปถล่มมันเอง”
“แกอยู่เฉยๆ เลย ถ้าเกิดไอ้พายัพมันตกลงกับไอ้กำนันเต่านั่นได้ก็เท่ากับว่าเราเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส แกคิดดูซิ ถ้าเราได้ส่งยาเจ้าเดียวในแถบตะวันออกนี่แค่หกเดือน ลูกค้าก็ไม่หนีไปไหนแล้ว”
“แล้วพ่อคิดว่าไอ้กำนันเต่ามันจะยอมหรือไง”
“มันน่ะไม่ยอมหรอก แต่พ่อเชื่อว่าพายัพมันน่าจะคุยได้ เพราะถ้าไอ้กำนันเต่าไม่ตกลง ฉันกับมันก็คงต้องตายกันไปข้าง แล้วคนที่ต้องเสียผลประโยชน์ก็เป็นไอ้พายัพเอง”
“ฮึ่ยย์...พ่อน่าจะให้ผมไปสั่งสอนมันหน่อยก็ดี”
“ไอ้นี่ บอกว่าไม่ต้องก็ไม่ต้องซิวะ เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ ตอนนี้แกน่ะลงพื้นที่ได้แล้ว เพราะตอนนี้พ่อกำลังจะสร้างโรงงานใหม่ รับรองว่าคราวนี้เราจะเป็นเจ้าใหญ่ที่สุดในเขตตะวันออก” ระหว่างนั้นเสียงมือถือของเสี่ยแคนดังขึ้นเสี่ยแคนกดรับสาย “ฉันกำลังจะโทรหาแกเรื่องโรงงานอยู่พอดี” เสี่ยแคนฟังแล้วตกใจ “อะไรนะ” เคนสงสัยว่าเกิดเรื่องอะไร “แล้วทหารมันบุกมาได้ยังไง”
เสี่ยแคนฟังทางปลายสายก่อนจะเห็นเสี่ยแคนถึงกับเข่าอ่อน ทรุดตัวลงมือปล่อยโทรศัพท์อย่างหมดแรง
“พ่อ...พ่อ...มีอะไร”
พายัพนั่งอยู่กับกำนันเต่าในสวนอาหารแห่งหนึ่ง
“พายัพ ฉันบอกตามตรงนะ ทำไมฉันต้องยอมมันด้วยวะ”
“ใจเย็นซิกำนัน”
“ถ้ามันให้แกมาบอกฉันอย่างนี้ ก็เท่ากับว่ามันกำลังว่าเมียฉันโกหกหรือไง”
กำนันเต่าทุบโต๊ะอย่างมีอารมณ์ แต่พายัพกลับยิ้มไม่ยี่หระ
“ถ้าผมตีความหมายไม่ผิด กำนันเลือกผู้หญิงมากกว่าเงิน” กำนันเต่านิ่งไป “กำนันคิดดูดีๆ นะ ทะเลาะกันไปก็ไม่มีประโยชน์ สู้เอาเวลาไปทำมาหากินไม่ดีกว่าเหรอ แล้วเท่าที่ผมจำได้ พิมเองก็เป็นภรรยาคนที่หกของกำนันนี่ ผมไม่ได้บอกว่าจะให้กำนันเลือกอะไรหรอกนะ แต่กำนันก็น่าจะรู้ว่ามีเงินก็มีทุกอย่าง”
กำนันเต่าจำนนต่อเหตุผลของพายัพ ระหว่างนั้นเสียงมือถือของกำนันเต่าดังขึ้น กำนันเต่ารับสายอย่างมีอารมณ์
“อะไร...คุยธุระอยู่” กำนันเต่าฟังแล้วอารมณ์เปลี่ยนทันที “จริงเหรอวะ...เฮ้ย” กำนันเต่าหัวเราะออกมาอย่างสะใจ “ฮ่าๆๆ” กำนันเต่าวางสายไปก่อนจะหันมาบอกกับพายัพเหมือนคนละคน “สงสัยฉันไม่ต้องเลือกแล้ววะ”
“มีอะไรเหรอกำนัน”
“ลูกน้องฉันเพิ่งโทรมาบอกว่าโรงงานยาบ้าของไอ้เสี่ยแคน เพิ่งโดนทหารบุกถล่มไปเมื่อกี้”
“อะไรนะ”
พายัพได้ยินอย่างนั้นก็อึ้งไป
พายัพเดินออกมาจากร้านอาหาร พร้อมกับกำนันเต่าที่ยังยิ้มสะใจไม่หาย
“อย่างนี้เขาเรียกว่าเสียลาภเล็ก เพื่อจะได้ลาภใหญ่” กำนันเต่าหันมองพายัพที่มีสีหน้าเครียด “อะไร...ไม่ดีใจกับฉันหน่อยเหรอไง”
“ผมกำลังสงสัยว่ามันเป็นไปได้ยังไง”
พายัพหันมองกำนันเต่า ทำให้กำนันเต่าถึงกับฉุนขึ้นมาอีก
“มองอย่างนั้นทำไม แกคิดว่าฉันเป็นคนแจ้งให้ทหารเข้าไปจับโรงงานมันงั้นเหรอ”
“ถ้าผมเป็นเสี่ยแคน ผมก็ต้องคิดอย่างนั้น”
“งั้นแกก็กลับไปได้เลย ฉันจะบอกให้ว่าไอ้โรงงานของมันเนี่ย ตั้งอยู่ที่ไหนฉันยังไม่รู้เลย”
กำนันเต่าพูดเสร็จก็เดินออกไปอย่างมีอารมณ์ พายัพมองตามก่อนจะเรียกเอาไว้
“กำนัน” กำนันเต่าหันมา “ผมว่าช่วงนี้กำนันระวังตัวหน่อยก็ดี”
“หึ...ให้มันมาเถอะ”
กำนันเต่าทำหน้าไม่แยแสก่อนจะเดินไปที่รถที่มีลูกน้องเปิดประตูให้ พายัพระบายลมหายใจออกมาอย่างหนักใจ
กำนันเต่าเดินขึ้นรถ ลูกน้องปิดประตูก่อนจะเดินไปขึ้นที่นั่งคนขับ แต่ทันทีที่สตาร์ทรถของกำนันเต่าก็ระเบิดทันที ตูม!
พายัพกำลังจะหันหลังกลับถึงกับตกใจ แล้วพายัพก็เห็นรถของกำนันเต่าเต็มไปด้วยไฟที่กำลังลุกไหม้ พายัพมองภาพนั้นอย่างตกตะลึง...มันเกิดอะไรขึ้น!
คืนนั้นไผ่พญายืนชะเง้อมองอยู่หน้าบ้าน
“ชิ...เดี๋ยวผมจะพาคุณไปเอง หึ...ทีหลังถ้าทำไม่ได้ก็อย่าสัญญา” ไผ่พญาบ่นแล้วหันหลังจะเดินเข้าบ้าน แต่แล้วไผ่พญาก็ต้องชะงักเพราะเห็นขิงกับกระดังงายืนอยู่ “อะไรของพวกแก”
“ฉันต่างหากต้องถามแก นัดคุณภูไปไหน...หืม”
“นัดอะไร เปล่าซะหน่อย”
“แกไม่ต้องมาโกหกพวกฉันเลย แกออกมาหน้าทุกห้านาที ดูนาฬิกาทุกสามนาที”
“แล้วที่สำคัญ แกจะทำจมูกบานเวลาที่แกโกหก”
“เฮ้ย” ไผ่พญารีบเอามือปิดจมูก “พวกแกอย่ายุ่งกับฉันได้มั้ย”
ไผ่พญาทำเป็นหงุดหงิดแล้วเดินเข้าบ้านไป ขิงกับกระดังงาตาม
ไผ่พญาเดินเข้ามาในบ้าน ขิงกับกระดังงาตามเข้ามา
“ไผ่...เดี๋ยวซิ”
“อะไรของพวกแกอีก”
“แกชอบคุณภูใช่มั้ย”
ไผ่พญาถึงกับชะงักไป
“เอ่อ เปล่า ฉันก็เคยบอกพวกแกแล้วนี่”
“ถ้าความรู้สึกแกตรงกับที่แกบอกจริงๆ ฉันจะไม่ห่วงเลย แต่ถ้าแกชอบเขาจริงๆ ฉันว่าแกต้องรีบบอกตัวตนที่แท้จริงของแก” ไผ่พญาถึงกับนิ่งไป
“ใช่...แกคิดว่าพวกเราจะปิดเรื่องที่พวกเราไม่ได้เป็นครูไปอีกนานแค่ไหน”
“ฉันว่ายิ่งพวกเราบอกคุณภูเร็วเท่าไหร่ เขาอาจจะไม่โกรธเรามากก็ได้”
ไผ่พญาหนักใจ
“ไอ้ไผ่ หรือว่าที่แกไม่บอกความจริงกับคุณภูซะที เพราะแกกลัวว่าคุณภูเขาจะรับไม่ได้ที่แกเป็นโคโยตี้ใช่มั้ย”
“ห๊า! ไม่ ไม่ใช่นะ”
“แล้วทำไมแกถึงไม่บอก”
“เอาน่า ฉันจะบอกเขาเอง แต่ฉันไม่ได้ชอบเขา ได้ยินหรือยัง”
ระหว่างนั้นกระดังงาทำหน้าดีใจ
“อ้าว คุณภูกลับมาแล้วเหรอคะ” ไผ่พญาทำหน้าดีใจรีบหันกลับไปแล้วก็ไม่เห็นอะไร “นี่ไง...ดีใจซะขนาดนี้ ยังบอกว่าไม่ได้ชอบคุณภูอีกเหรอ”
ระหว่างนั้นขิงก็ทำหน้าดีใจอีกคน
“อ้าว...คุณภู”
ไผ่พญาเหลืออดเลยหันไปดึงหูขิงเข้าให้
“นี่” ขิงร้องโอดโอย “พอได้หรือยัง สนุกกันมากมั้ย”
“สนุกอะไรกัน”
ไผ่พญาได้ยินเสียงภูวนัยก็ถึงกับชะงักตาโต ไผ่พญาหันกลับไปแล้วก็เห็นภูวนัยยืนอยู่
“เฮ้ย”
“ตกใจอะไรคุณ...ไปกันหรือยัง”
“จะบ้าหรือไง สวนสนุกที่ไหนจะเปิดตอนนี้”
ทันทีที่ไผ่พญาพูดจบ ขิงกับกระดังงาก็อุทานออกมาพร้อมกัน
“สวนสนุก”
ไผ่พญาเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองเผลอหลุดปากไป ขิงกับกระดังงามองไผ่พญากับภูวนัยสายตาเชื่อม
“ไม่ต้องมองอย่างนั้นเลย ฉันไปสวนสนุกจริงๆ ไม่ได้ไปสวนสนุกอย่างพวกแก”
“ผมว่าถ้าเรารีบไปตอนนี้น่าจะยังทันนะ”
“จะบ้าหรือไง สวนสนุกที่ไหนเปิดตอนสองทุ่ม”
ภูวนัยไม่ตอบ ทำให้ไผ่พญาสงสัยว่ามันมีจริงๆ ด้วยเหรอ
ที่ห้างสรรพสินค้า ไผ่พญาหน้าบึ้งขณะกำลังนั่งเครื่องหยอดเล่นอยู่ที่แผนกเครื่องเล่น
“เนี่ยนะสวนสนุกของนาย”
“อืม...ทำไมละ ไม่ต้องห่วง ผมแลกเหรียญมาเยอะเลย”
“ฮึ่ยย์”
ไผ่พญาโมโหกระโดดลงจากเครื่องเล่น แต่เพราะเครื่องเล่นยังทำงานเลยทำให้ไผ่พญาเสียหลัก ภูวนัยเห็นไผ่พญาเสียหลักก็เข้ามาประคองไว้ได้ทัน
“ไม่ต้องมายุ่ง”
ไผ่พญาสะบัดมือออกก่อนจะเดินออกไป ภูวนัยมองตามด้วยความสงสัย
ไผ่พญายังเดินหงุดหงิดมาตามทาง ภูวนัยเดินตามเข้ามา
“เดี๋ยว! คุณเป็นไรของคุณ” ไผ่พญายังเดินต่อไม่สนใจภูวนัย “อ้ะ ก็ได้ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะพาคุณไปสวนสนุกจริงๆ” ไผ่พญาก็ยังเดินต่อ โกรธไม่หาย ภูวนัยเลยต้องดึงมือไผ่พญาเอาไว้ “คุณเป็นอะไร”
“นายไปเสี่ยงอันตรายมาอีกแล้วใช่มั้ย”
ภูวนัยชะงักไปเพราะไม่คิดว่าไผ่พญาจะโกรธเขาเรื่องนี้
“มันไม่อันตรายหรอก”
“นายก็พูดอย่างนี้ทุกครั้ง แต่ที่ฉันไปกับนายมา ฉันไม่เห็นเลยว่าจะมีครั้งไหนไม่อันตราย”
ภูวนัยเข้าใจว่าไผ่พญาเป็นห่วงเขา
“ก็เพราะมันอันตรายไง ผมถึงไม่อยากให้คุณไปด้วย”
ไผ่พญาชะงักไปเพราะคำพูดของภูวนัยทำให้เธอคิดไปไกล แล้วไผ่พญาก็ตัดสินใจจะบอกความจริง
“ฉันมีเรื่องนึงที่อยากทำนอกจากไปเที่ยวสวนสนุก”
“อืม บอกมาซิ”
“ถ้าฉันบอก นายต้องสัญญาก่อนนะว่าจะไม่โกรธ”
“โกรธ...เรื่องอะไร”
“คือ ฉัน...ฉัน...ไม่ใช่”
ไผ่พญากำลังจะบอกว่าตัวเองไม่ใช่ครู แต่จังหวะนั้นเสียงมือถือของภูวนัยก็ดังขึ้น ภูวนัยมองเบอร์แล้วเห็นว่าเป็นอภิวัฒน์โทรมา
“ครับท่าน...เดี๋ยวนี้เลยเหรอครับ” ภูวนัยแอบชำเลืองมองความรู้สึกไผ่พญา แต่ก็ตัดสินใจบอกไปว่า... “ได้ครับผมจะไปเดี๋ยวนี้”
ภูวนัยวางสายไปอย่างหนักใจ ไผ่พญารู้ว่าภูวนัยมีงานด่วน
“มีอะไรหรือเปล่า”
“ยังไม่รู้ แต่ท่านอภิวัฒน์บอกให้ผมไปหาเดี๋ยวนี้ เห็นบอกว่ามีความคืบหน้าเรื่องกำนันเต่ากับเสี่ยแคน”
ภูวนัยพูดจบก็รีบเดินไปขึ้นรถ ไผ่พญาถอนหายใจเพราะอุตส่าห์ตั้งใจจะบอกแล้วแต่ก็ไม่ได้บอกจนได้
ขณะนั้นอภิวัฒน์กำลังนั่งหารือกับสมสุข
“มีอะไรต้องกลุ้มใจอีกท่าน ไม่ดีหรือไงคราวนี้ก็เหลือแค่สี่เสือแล้ว”
“มันไม่เร็วไปหน่อยหรือไง ฉันกลัวว่าสถานการณ์มันจะบานปลายจนคุมไม่อยู่”
สมสุขนิ่งไปเหมือนกำลังใช้ความคิด
ส”ถ้าท่านอยากจะคุมเสือ ก็ต้องใช้เสือตัวที่พวกมันกลัว”
“หมายความว่าไง”
“ผมไง ผมรู้จักพวกมันทุกคนดี ถ้าท่านให้ผมไปคุมพวกมัน รับรองว่างานท่านจะง่ายขึ้นเยอะ”
อภิวัฒน์ได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มอย่างรู้ทัน
“สมสุข...ฉันรู้ว่านายคิดอะไร” อภิวัฒน์จ้องหน้าสมสุข พูดยืนยันหนักแน่น “นายไม่มีทางกลับไปยิ่งใหญ่เหมือนเดิมได้”
สมสุขจ้องหน้าอภิวัฒน์เก็บความไม่พอใจภายใต้ใบหน้าที่เรียบเฉย ก่อนที่สมสุขจะลุกขึ้น
“ถ้างั้น ท่านก็คุยกับหมวดภูเองแล้วกัน”
“สมสุข”
“ไว้ท่านรับข้อเสนอผมเมื่อไหร่ เราค่อยคุยกัน”
สมสุขโบกไม้โบกมือแล้วเดินออกจากห้องไป อภิวัฒน์พยักหน้าให้ตำรวจเดินตามสมสุขไป ก่อนที่จะกลับมาใช้ความคิดกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่
ภูวนัยมาหาอภิวัฒน์ที่เซฟเฮ้าส์ รถของภูวนัยดับไฟหน้า ภายในรถภูวนัยถอดเข็มขัดนิรภัยก่อนจะหันไปเห็นไผ่พญากำลังจะเปิดประตูลงจากรถ
“คุณรออยู่ในรถดีกว่า ผมขึ้นไปไม่นานหรอก” ภูวนัยเปิดประตูรถกำลังจะลง ก่อนที่ภูวนัยจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “แล้วผมจะรีบกลับมาฟังสิ่งที่คุณอยากจะบอกผมแล้วกัน”
ภูวนัยยิ้มน้อยๆ ให้ไผ่พญา ก่อนจะเดินลงจากรถไป
ไผ่พญามองตามด้วยความกังวลว่าภูวนัยเมื่อรู้ความจริงแล้วภูวนัยจะรู้สึกยังไง
สมสุขเดินมาตามทางเห็นตำรวจนอกเครื่องแบบหนึ่งนายเดินตามและอีกนายหนึ่งยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูห้องของสมสุข สมสุขใช้ความคิด แต่แล้วทันใดนั้นสมสุขก็เหมือนหน้ามืดทรุดลงไปกองกับพื้น
“เป็นไร”
ตำรวจรีบถาม สมสุขพยายามจะยันตัวขึ้น
“แกลองโดนยิงจนเส้นประสาทขาดแบบฉันมั้ยละ”
“ไม่ต้องมาย้อน ไป ใกล้ถึงห้องแกแล้ว” สมสุขพยายามยันตัวขึ้นแต่คราวนี้กลับทรุดลงจนหมดสติลงกับพื้น “อ้าวเฮ้ย” ตำรวจบอกกับตำรวจที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องสมสุข “มาช่วยกันหน่อย”
ตำรวจที่เผฝ้าหน้าห้องวิ่งเข้ามาช่วยตำรวจติดตามประคองร่างของสมสุขขึ้น แต่ทันทีที่ตำรวจทั้งสองจับสมสุขหิ้วปีกขึ้นมาได้ สมสุขก็ใช้แขนทั้งสองข้างเหวี่ยงตำรวจเข้าชนกัน ผลั่ก! จากนั้นสมสุขก็หยิบปืนออกจากเอวของตำรวจที่เหน็บเอาไว้ แล้วเอามันฟาดไปที่ท้ายทอย ตำรวจทั้งสองสลบลงกองกับพื้นทันที สมสุขมองตำรวจทั้งสองเหมือนกำลังคิดแผนต่อไป
ไผ่พญาลงมาเดินหน้ารถอย่างกระวนกระวาย
“เราจะพูดยังไงดี จะพูดยังไง อ้ะ...ลองดู เรื่องที่ฉันอยากจะบอกจะนายก็คือ...คือ...โอ๊ย ฉันพูดไม่ได้ นี่ขนาดพูดคนเดียวยังพูดไม่ออก แล้วต่อหน้าจะพูดได้มั้ยเนี่ย โอ๊ย...ทำไงดี” แล้วไผ่พญาก็รู้สึกปวดห้องน้ำขึ้นมา “ตื่นเต้นทีไรปวดท้องทุกที”
ไผ่พญาคิดว่าจะเอายังไงดี
ภูวนัยสีหน้าเครียดหลังจากคุยกับอภิวัฒน์
“ท่านคิดว่าการตายของกำนันเต่าเป็นฝีมือของเสี่ยแคนแน่เหรอครับ”
“คนที่ทำอย่างนี้ได้ ถ้าไม่มีอิทธิพลพอกันคิดว่าจะกล้าเหรอ”
“แล้วท่านคิดว่าเสือตัวอื่นจะเป็นยังไงครับ”
“คงต้องรอดูอีกหน่อย แต่ที่แน่ๆ คนที่เดือดร้อนคงเป็นวศิน เงินหายไปหลายล้านนี่”
“แต่ถ้าเราจะตัวเสี่ยแคนตอนนี้ ผมว่าเป็นโอกาสดีที่สุดนะครับ เรามีทั้งพยานหลักฐาน แรงจูงใจ”
“หมวด อย่าลืมว่าเป้าหมายของเราไม่ใช่ห้าเสือ พวกนั้นน่ะเป็นแค่ทางผ่าน”
ภูวนัยนิ่งคิดก่อนจะลองเลียบๆ เคียงๆ ถามอภิวัฒน์
“แล้วสมสุขรู้หรือยังครับ” อภิวัฒน์พยักหน้า
“ต่อไปนี้ผมอยากให้เราไตร่ตรองเวลาที่แผนออกมาจากปากสมสุข”
“ทำไมครับท่าน”
“เสือ ยังไงมันก็คือเสือ เราไว้ใจมันไม่ได้หรอกนะหมวด”
ภูวนัยรับทราบที่อภิวัฒน์บอก ระหว่างนั้นภูวนัยกับอภิวัฒน์หันไปมองที่ประตูเพราะเหมือนมีใครบางคนกำลังพยายามจะเปิดเข้ามา แล้วภูวนัยกับอภิวัฒน์ก็ตกใจเมื่อเห็นตำรวจนอกเครื่องแบบที่ถูกสมสุขทำร้ายเปิดประตูเข้ามา
ภูวนัยรีบวิ่งเข้าไปดู
“เกิดอะไรขึ้น”
ภูวนัยกับอภิวัฒน์เมื่อเห็นตำรวจนอกเครื่องแบบโดนทำร้ายก็เตรียมพร้อมรับสถานการณ์
อ่านต่อตอนที่ 14