หากจะอยู่กับทุน ต้องอยู่กับความจริงมิใช่ความเชื่อ
มุมมองเกี่ยวกับ “ทุน” หรือ Capital กับการเปลี่ยนของอำนาจทางการเมืองเริ่มมีความแตกต่างกัน ไม่เฉพาะระหว่างนักเศรษฐศาสตร์กับนักรัฐศาสตร์ แต่หากหมายรวมถึงระหว่าง 2 ขั้วทางการเมืองที่ขอเรียกย่อๆ ผ่าน “สี” คือ เหลือง กับ แดง
ที่สำคัญก็คือ ความแตกต่างดังกล่าวส่วนใหญ่ตั้งอยู่บนความเชื่อมากกว่าความจริง กล่าวคือเชื่อในสิ่งที่แกนนำบอกมากกว่าข้อเท็จจริงที่ในบางครั้งอาจจะยากที่จะเข้าใจหรือหามายืนยัน
ประเด็นเรื่อง “ไพร่-อำมาตย์” ของฝ่ายแดงนั้นชัดเจนว่าตั้งอยู่บนความเชื่อมากกว่าความจริง ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี 2475 ยังมีอำมาตย์แท้หลงเหลืออยู่อีกหรือ เห็นมีแต่อำมาตย์เทียมที่ฝ่ายแดงในปัจจุบันหลายๆ คนที่บอกกับมวลชนว่าตนเองเป็นไพร่แต่กลับพยายามจะเป็นอำมาตย์อยู่ก็เท่านั้นเอง
แม้แต่นิติราษฎร์ที่เป็นแกนนำทางความคิดก็ยังก้าวข้ามไม่พ้น เช่นเดียวกับที่ฝ่ายแดงยังถือเอาการรัฐประหารเมื่อ 19 ก.ย. 49 เป็นต้นเหตุสำคัญที่ต้องเข้าไปแก้ไข ทั้งๆ ที่มีรัฐธรรมนูญไทยฉบับใดบ้างที่ไม่ได้มาด้วยการปฏิวัติ เพียงแต่จะด้วยประชาชนหรือไม่ต่างหาก
การสะสม “ทุน” ด้วยวิถีทางของ ทุนนิยม หรือ Capitalism โดยการอาศัยอำนาจรัฐในการผูกขาดตัดตอนการเข้าถึงและใช้ทรัพยากรแต่เพียงผู้เดียวต่างหากที่แม้แต่ฝ่ายแดงก็พยายามกลบเกลื่อนมองข้าม เพราะพูดอย่างทำอย่าง
ในอีกทางหนึ่ง ไพร่ใหม่ ในปัจจุบันก็คือ คนชั้นกลางล่าง มวลชนที่ไม่ใช่คนจนที่ฝ่ายแดงพยายามเอาใจในแนวทางที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองและไม่ได้รับการสนับสนุนให้มีขีดความสามารถที่จะสะสมทุนให้ได้เหมือนกับแกนนำที่เป็นนายทุนในคราบของอำมาตย์ของพวกเขาเพื่อให้เกิดการพึ่งพาอุปถัมภ์อยู่ตลอดเวลา
ปฏิเสธไม่ได้ว่าสังคมทั้งในเมืองและชนบทเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่พึ่งพาการอุปถัมภ์มากกว่าเดิมจากนโยบายประชานิยม การสร้างและเลี้ยง ไพร่ใหม่ ด้วยการอุดหนุนจากรัฐจึงปรากฏให้เห็นจากนโยบายประชานิยมในรูปแบบต่างๆ ที่ดำเนินการมาโดยตลอด เช่น กองทุนหมู่บ้าน หนึ่งตำบลหนึ่งทุน หวยบนดิน จำนำข้าวทุกเมล็ด ค่าจ้าง 300 บาทต่อวัน นโยบายรถคันแรก และฯลฯ
ทั้งหมดล้วนชัดเจนว่าเพิ่มแต่ “เงิน” แต่ไม่ได้สร้างงานเพิ่ม “รายได้” ให้กับ ไพร่ใหม่ เหล่านี้แต่อย่างใด ตัวเลขในภาพรวม เช่น การเพิ่มในรายได้หรือจำนวนคนจนที่ลดลงจึงเป็นภาพมายาที่ลวงตาเพราะหนี้สินที่เพิ่มขึ้นของ ไพร่ใหม่ ที่มีมากกว่าในช่วงเวลาปี 2545-54 มันฟ้อง ประสิทธิภาพในการผลิตที่มาจากความสามารถของ ไพร่ใหม่ จึงมิได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด
ไพร่ใหม่ ในปัจจุบันจึงไม่ต้องสักเลข-มีสังกัด หากจะเป็นกุมารทองก็สร้างขึ้นมาจากความหลอกลวงและเลี้ยงด้วย “เงิน” แต่ที่สำคัญคือจะทำไปได้สักเท่าไร เพราะการเลี้ยงคนชั้นกลางล่างเพื่อให้เป็น ไพร่ใหม่ ต้องใช้ทรัพยากรที่ต้องโอนมาจากคนชั้นอื่นๆ ไม่ยอมควักกระเป๋าตนเองแม้แต่บาทเดียว
แม้แต่กษัตริย์และอำมาตย์แท้ในสมัยโบราณก็ยังเลี้ยงได้ลำบาก ถึงจะได้อำนาจรัฐแต่จะกระเตงอุ้ม เลี้ยงไข้ เลี้ยงต้อย ไปได้สักกี่น้ำ ข้อจำกัดทางการคลังภายในประเทศและวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลายๆ แห่งในโลกดูจะไม่เอื้ออำนวยให้ทำแต่อย่างใด หายนะอย่างอาร์เจนตินา กรีซ ที่หายนะทางเศรษฐกิจทำให้ประเทศล้มทั้งยืนกำลังจะเป็นปลายทางที่มองเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆหากฝืนทำเช่นนี้ต่อไป
หากจะบอกว่าวิธีการสร้างและเลี้ยง ไพร่ใหม่ ที่เป็นมวลชนฝ่ายแดงที่เป็นพวกโง่จนเจ็บ เป็นการคอร์รัปชัน เป็นเผด็จการนายทุน จากฝ่ายเหลืองก็คงไม่ผิดสักเท่าไร ดูจากพฤติกรรมและข้อเท็จจริงที่ปรากฏจะให้เชื่อได้อย่างไรว่าคนชั้นกลางล่างก็มีความสามารถและฉลาดพอที่จะหลอกล่อหลอกแดกเพื่อให้รัฐบาลมาเอาใจ
มุมมองเกี่ยวกับทุน ของฝ่ายเหลืองที่ผิดพลาดดูจะอยู่ที่วิธีการอยู่กับทุน ว่าจะอยู่อย่างไรให้มีความสุขไม่ถูกทุนนิยมเอาเปรียบ ระหว่างการควบคุมผูกขาดกับการเปิดให้แข่งขัน สิ่งที่พิสูจน์แล้วก็คือแข่งขันใช่หรือไม่ที่เพิ่มสวัสดิการของสังคม ราคาเครื่องหรือค่าบริการโทรศัพท์มือถือที่ลดลง หรือบริการเคเบิลทีวีเจ้าดังที่ผูกขาดจนทำให้คุณภาพแย่ราคาแพง ล้วนเป็นตัวอย่างที่ยืนยัน
บริบทสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ไม่เอื้อระบบอื่นนอกจากประชาธิปไตยโดยนักการเมืองเป็นตัวแทน ฝ่ายเหลืองที่พลาดก็คือไม่พยายามคิดหาเครื่องมือหรือแนวทางในการควบคุมนักการเมืองที่เป็นตัวแทนมิให้ทำในสิ่งที่ประชาชนไม่ต้องการ อย่าไปยืนอยู่บน “คุณธรรมและความดี” ของคนแต่เพียงลำพัง หลวงจีนก็ทุศีลได้หากศาสนาหรือวัดไม่มีกฎระเบียบ
กิจการห้างร้านบริษัทยังถูกบริหารงานโดย “ผู้จัดการ” ให้เป็นไปตามที่ “ผู้ถือหุ้น” ที่เป็นเจ้าของต้องการได้ ไม่จำเป็นที่ “ผู้ถือหุ้น” ต้องการบริหารเองแต่อย่างใด ทำไมจึงทำกับประเทศไม่ได้ การหันหลังให้ด้วยโหวตโน หรือ แนวคิดในการเว้นวรรคนักการเมืองเป็นตัวอย่างที่ดีที่ชี้ให้เห็นว่า “ไม่เข้าถ้ำเสือ ก็ไม่ได้ลูกสาวเสือมาครอง” จริงไหม ฝ่ายเหลืองคงต้องเรียนรู้ที่จะอยู่และใช้การเมือง/นักการเมืองให้มากกว่านี้
ข้อเท็จจริงหลายๆ อย่าง เช่น คนชุดดำ ปราสาทพระวิหาร MOU 43 ก็กำลังคลี่คลายเปิดเผยตัวตนหลายๆ คนหลายๆ ฝ่ายที่แท้จริงออกมาทั้งเหลือง แดง และสีอื่นๆ หากละซึ่งความเชื่อส่วนตนมายอมรับยืนอยู่บนความจริง ความปรองดองก็จะเกิดขึ้นได้ กฎหมายจึงเป็นเครื่องมือเป็นเรื่องตามหลังข้อเท็จจริงที่หาใช่สิ่งที่จะทำให้เกิดความปรองดองแต่อย่างใดไม่
ปัญหาที่ยากที่สุดในขณะนี้มิได้อยู่ที่คนชั้นกลางล่างที่เป็นไพร่ใหม่ ของฝ่ายแดงจะตื่นรู้หรือยังว่าถูกแกนนำที่เป็นอำมาตย์เทียมหลอกใช้แต่เพียงลำพัง หากแต่อยู่ที่ฝ่ายตรงข้ามแดงโดยเฉพาะสีเหลืองแก่ที่ยืนอยู่บนความเชื่อที่สุดขั้วอีกด้วย
มุมมองเกี่ยวกับ “ทุน” หรือ Capital กับการเปลี่ยนของอำนาจทางการเมืองเริ่มมีความแตกต่างกัน ไม่เฉพาะระหว่างนักเศรษฐศาสตร์กับนักรัฐศาสตร์ แต่หากหมายรวมถึงระหว่าง 2 ขั้วทางการเมืองที่ขอเรียกย่อๆ ผ่าน “สี” คือ เหลือง กับ แดง
ที่สำคัญก็คือ ความแตกต่างดังกล่าวส่วนใหญ่ตั้งอยู่บนความเชื่อมากกว่าความจริง กล่าวคือเชื่อในสิ่งที่แกนนำบอกมากกว่าข้อเท็จจริงที่ในบางครั้งอาจจะยากที่จะเข้าใจหรือหามายืนยัน
ประเด็นเรื่อง “ไพร่-อำมาตย์” ของฝ่ายแดงนั้นชัดเจนว่าตั้งอยู่บนความเชื่อมากกว่าความจริง ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี 2475 ยังมีอำมาตย์แท้หลงเหลืออยู่อีกหรือ เห็นมีแต่อำมาตย์เทียมที่ฝ่ายแดงในปัจจุบันหลายๆ คนที่บอกกับมวลชนว่าตนเองเป็นไพร่แต่กลับพยายามจะเป็นอำมาตย์อยู่ก็เท่านั้นเอง
แม้แต่นิติราษฎร์ที่เป็นแกนนำทางความคิดก็ยังก้าวข้ามไม่พ้น เช่นเดียวกับที่ฝ่ายแดงยังถือเอาการรัฐประหารเมื่อ 19 ก.ย. 49 เป็นต้นเหตุสำคัญที่ต้องเข้าไปแก้ไข ทั้งๆ ที่มีรัฐธรรมนูญไทยฉบับใดบ้างที่ไม่ได้มาด้วยการปฏิวัติ เพียงแต่จะด้วยประชาชนหรือไม่ต่างหาก
การสะสม “ทุน” ด้วยวิถีทางของ ทุนนิยม หรือ Capitalism โดยการอาศัยอำนาจรัฐในการผูกขาดตัดตอนการเข้าถึงและใช้ทรัพยากรแต่เพียงผู้เดียวต่างหากที่แม้แต่ฝ่ายแดงก็พยายามกลบเกลื่อนมองข้าม เพราะพูดอย่างทำอย่าง
ในอีกทางหนึ่ง ไพร่ใหม่ ในปัจจุบันก็คือ คนชั้นกลางล่าง มวลชนที่ไม่ใช่คนจนที่ฝ่ายแดงพยายามเอาใจในแนวทางที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองและไม่ได้รับการสนับสนุนให้มีขีดความสามารถที่จะสะสมทุนให้ได้เหมือนกับแกนนำที่เป็นนายทุนในคราบของอำมาตย์ของพวกเขาเพื่อให้เกิดการพึ่งพาอุปถัมภ์อยู่ตลอดเวลา
ปฏิเสธไม่ได้ว่าสังคมทั้งในเมืองและชนบทเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่พึ่งพาการอุปถัมภ์มากกว่าเดิมจากนโยบายประชานิยม การสร้างและเลี้ยง ไพร่ใหม่ ด้วยการอุดหนุนจากรัฐจึงปรากฏให้เห็นจากนโยบายประชานิยมในรูปแบบต่างๆ ที่ดำเนินการมาโดยตลอด เช่น กองทุนหมู่บ้าน หนึ่งตำบลหนึ่งทุน หวยบนดิน จำนำข้าวทุกเมล็ด ค่าจ้าง 300 บาทต่อวัน นโยบายรถคันแรก และฯลฯ
ทั้งหมดล้วนชัดเจนว่าเพิ่มแต่ “เงิน” แต่ไม่ได้สร้างงานเพิ่ม “รายได้” ให้กับ ไพร่ใหม่ เหล่านี้แต่อย่างใด ตัวเลขในภาพรวม เช่น การเพิ่มในรายได้หรือจำนวนคนจนที่ลดลงจึงเป็นภาพมายาที่ลวงตาเพราะหนี้สินที่เพิ่มขึ้นของ ไพร่ใหม่ ที่มีมากกว่าในช่วงเวลาปี 2545-54 มันฟ้อง ประสิทธิภาพในการผลิตที่มาจากความสามารถของ ไพร่ใหม่ จึงมิได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด
ไพร่ใหม่ ในปัจจุบันจึงไม่ต้องสักเลข-มีสังกัด หากจะเป็นกุมารทองก็สร้างขึ้นมาจากความหลอกลวงและเลี้ยงด้วย “เงิน” แต่ที่สำคัญคือจะทำไปได้สักเท่าไร เพราะการเลี้ยงคนชั้นกลางล่างเพื่อให้เป็น ไพร่ใหม่ ต้องใช้ทรัพยากรที่ต้องโอนมาจากคนชั้นอื่นๆ ไม่ยอมควักกระเป๋าตนเองแม้แต่บาทเดียว
แม้แต่กษัตริย์และอำมาตย์แท้ในสมัยโบราณก็ยังเลี้ยงได้ลำบาก ถึงจะได้อำนาจรัฐแต่จะกระเตงอุ้ม เลี้ยงไข้ เลี้ยงต้อย ไปได้สักกี่น้ำ ข้อจำกัดทางการคลังภายในประเทศและวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลายๆ แห่งในโลกดูจะไม่เอื้ออำนวยให้ทำแต่อย่างใด หายนะอย่างอาร์เจนตินา กรีซ ที่หายนะทางเศรษฐกิจทำให้ประเทศล้มทั้งยืนกำลังจะเป็นปลายทางที่มองเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆหากฝืนทำเช่นนี้ต่อไป
หากจะบอกว่าวิธีการสร้างและเลี้ยง ไพร่ใหม่ ที่เป็นมวลชนฝ่ายแดงที่เป็นพวกโง่จนเจ็บ เป็นการคอร์รัปชัน เป็นเผด็จการนายทุน จากฝ่ายเหลืองก็คงไม่ผิดสักเท่าไร ดูจากพฤติกรรมและข้อเท็จจริงที่ปรากฏจะให้เชื่อได้อย่างไรว่าคนชั้นกลางล่างก็มีความสามารถและฉลาดพอที่จะหลอกล่อหลอกแดกเพื่อให้รัฐบาลมาเอาใจ
มุมมองเกี่ยวกับทุน ของฝ่ายเหลืองที่ผิดพลาดดูจะอยู่ที่วิธีการอยู่กับทุน ว่าจะอยู่อย่างไรให้มีความสุขไม่ถูกทุนนิยมเอาเปรียบ ระหว่างการควบคุมผูกขาดกับการเปิดให้แข่งขัน สิ่งที่พิสูจน์แล้วก็คือแข่งขันใช่หรือไม่ที่เพิ่มสวัสดิการของสังคม ราคาเครื่องหรือค่าบริการโทรศัพท์มือถือที่ลดลง หรือบริการเคเบิลทีวีเจ้าดังที่ผูกขาดจนทำให้คุณภาพแย่ราคาแพง ล้วนเป็นตัวอย่างที่ยืนยัน
บริบทสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ไม่เอื้อระบบอื่นนอกจากประชาธิปไตยโดยนักการเมืองเป็นตัวแทน ฝ่ายเหลืองที่พลาดก็คือไม่พยายามคิดหาเครื่องมือหรือแนวทางในการควบคุมนักการเมืองที่เป็นตัวแทนมิให้ทำในสิ่งที่ประชาชนไม่ต้องการ อย่าไปยืนอยู่บน “คุณธรรมและความดี” ของคนแต่เพียงลำพัง หลวงจีนก็ทุศีลได้หากศาสนาหรือวัดไม่มีกฎระเบียบ
กิจการห้างร้านบริษัทยังถูกบริหารงานโดย “ผู้จัดการ” ให้เป็นไปตามที่ “ผู้ถือหุ้น” ที่เป็นเจ้าของต้องการได้ ไม่จำเป็นที่ “ผู้ถือหุ้น” ต้องการบริหารเองแต่อย่างใด ทำไมจึงทำกับประเทศไม่ได้ การหันหลังให้ด้วยโหวตโน หรือ แนวคิดในการเว้นวรรคนักการเมืองเป็นตัวอย่างที่ดีที่ชี้ให้เห็นว่า “ไม่เข้าถ้ำเสือ ก็ไม่ได้ลูกสาวเสือมาครอง” จริงไหม ฝ่ายเหลืองคงต้องเรียนรู้ที่จะอยู่และใช้การเมือง/นักการเมืองให้มากกว่านี้
ข้อเท็จจริงหลายๆ อย่าง เช่น คนชุดดำ ปราสาทพระวิหาร MOU 43 ก็กำลังคลี่คลายเปิดเผยตัวตนหลายๆ คนหลายๆ ฝ่ายที่แท้จริงออกมาทั้งเหลือง แดง และสีอื่นๆ หากละซึ่งความเชื่อส่วนตนมายอมรับยืนอยู่บนความจริง ความปรองดองก็จะเกิดขึ้นได้ กฎหมายจึงเป็นเครื่องมือเป็นเรื่องตามหลังข้อเท็จจริงที่หาใช่สิ่งที่จะทำให้เกิดความปรองดองแต่อย่างใดไม่
ปัญหาที่ยากที่สุดในขณะนี้มิได้อยู่ที่คนชั้นกลางล่างที่เป็นไพร่ใหม่ ของฝ่ายแดงจะตื่นรู้หรือยังว่าถูกแกนนำที่เป็นอำมาตย์เทียมหลอกใช้แต่เพียงลำพัง หากแต่อยู่ที่ฝ่ายตรงข้ามแดงโดยเฉพาะสีเหลืองแก่ที่ยืนอยู่บนความเชื่อที่สุดขั้วอีกด้วย