คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 9
ภูวนัยเดินออกมาที่บ้านกำลังนั่งใส่รองเท้าอยู่ ระหว่างนั้นเสียงของตะวันฉายดังขึ้น
“สวัสดีครับคุณภู”
ภูวนัยเงยหน้าขึ้นก็เห็นตะวันฉายเดินเข้ามา ภูวนัยแปลกใจเมื่อเห็นตะวันฉายตัดผมสั้น
“รู้สึกว่าพักนี้คุณตะวันจะมาที่ฟาร์มผมบ่อยเหลือเกินนะครับ ทรงผมใหม่หล่อดีนะครับ”
ตะวันฉายทำตัวไม่ถูก เพราะคิดว่าภูวนัยกำลังแซว
“เอ่อ ขอบคุณครับ พอดีผมเห็นว่าพักนี้คุณไผ่แกดวงไม่ค่อยดีก็เลยอยากพาไปวัดสะเดาะเคราะห์หน่อยน่ะครับ”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็ไม่พอใจ แต่ต้องพยายามเก็บอาการเอาไว้
“ไปวัด ทำไมเขาไม่เห็นบอกอะไรผมเลย”
สิ้นคำพูดของภูวนัย ก็เหลือบไปเห็นขิงกับกระดังงาเดินเข้ามา
“เอ่อ สวัสดีครับคุณภู”
ตะวันฉายหันมา
“อ้าว สวัสดีครับ”
ขิงกับกระดังงามองตะวันฉายงงๆ สักพัก ประมาณว่าจำไม่ได้เพราะตะวันฉายตัดผมใหม่ แล้วกระดังงาก็จำได้
“เฮ้ย คุณตะวันนี่”
ไผ่พญาเดินเข้ามาเห็นขิงกับกระดังงาโวยวายก็สงสัย ภูวนัยกับตะวันฉายหันไปก็เห็นไผ่พญา ขิงและกระดังงาเดินเข้ามาหาตะวันฉาย
“โห หล่อมากเลยอ่ะคุณตะวัน”
“เหรอ งั้นฉันไปตัดทรงแบบคุณตะวันบ้างดีมั้ย” ขิงบอก
“อย่างแกน่ะต้องตัดหัวทิ้งเลย” กระดังงาลืมไปว่าภูวนัยอยู่ด้วย “อุ้ย...แหม เราชอบล้อเล่นกันอย่างนี้แหละคะ”
ตะวันฉายไม่สนใจคนอื่นนอกจากไผ่พญา
“อรุณสวัสดิ์ครับ”
ไผ่พญาเห็นตะวันฉายตัดผมก็แปลกใจ
“คุณตะวันตัดผมทำไมคะ หรือว่าใครทำคุณตะวันอกหักคะ”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ มันร้อนแล้วผมก็แค่อยากรู้สึกเปลี่ยนทรงผมน่ะครับ”
“ผมเพิ่งรู้ว่าเดี๋ยวนี้คุณจะไปไหนมาไหนก็ได้ตามอำเภอใจ” ภูวนัยต่อว่าไผ่พญา ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็ชะงักรู้ทันทีว่าภูวนัยกำลังหาเรื่องเธอ
“คนกำลังจะไปวัด อย่าทำให้หงุดหงิดได้มั้ย”
“ใครอนุญาตให้เธอไป”
ตะวันฉายเห็นอย่างนั้นก็รีบเข้ามาไกล่เกลี่ย
“เอ่อ ต้องขอโทษคุณภูด้วยครับ คือผมเห็นว่าแค่ทำบุญที่วัดคงไม่นานอะไร”
“ไม่ต้องขอโทษหรอกคะคุณตะวัน อย่างนี้แหละคะที่เขาบอกว่าเวลาคนจะทำความดีมักจะมีมารผจญ”
“ถ้าอย่างนั้นก็เพิ่มไปด้วยว่า มารคนนี้คือนายจ้างคุณ”
“นายเป็นอะไรของนาย ฉันแค่ไปวัดสะเดาะเคราะห์ทำบุญ ทำไมต้องโมโหอย่างนี้ด้วย”
ภูวนัยชะงักไปที่โดนไผ่พญาสวนมาอย่างนั้น เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องไม่ชอบใจที่ไผ่พญาจะไปกับตะวันฉายนั่นเอง
“ก็...ก็ถ้าเธอไปแล้วใครจะสอนเมฆกับหมอก”
“เอ่อ เรื่องนั้น นี่ไง ครูขิงกับครูงาไง”
“ห๊า”
“เธอสองคนบอกเองไม่ใช่เหรอว่าจะสอนเพื่อแลกข้าวแลกน้ำ นี่ไง”
ขิงรีบเข้ามากระซิบ
“ไอ้ไผ่ แกก็รู้ว่าพวกฉันสอนไม่เป็น”
“กระซิบอะไรกัน”
“อ๋อ ครูขิงเขาบอกว่.เห็นนายดีกับพวกเขาก็เลยอยากจะสอนแทนฉันจริงๆ ใจจริงฉันก็ไม่ได้อยากไปเท่าไหร่หรอกนะ แต่เห็นว่าไฟแห่งความเป็นครูกำลังลุกโชนก็เลยไม่อยากขัด”
“หึ...ได้ ถ้าอย่างนั้นเชิญครูขิงกับครูงาข้างในเลยครับ เพราะถ้าพวกคุณสอนดีบางทีผมอาจจะจ้างพวกคุณแทน”
ภูวนัยพูดจบก็เดินออกไป ขิงกับกระดังงาต่างอ้าปากหวอพยายามจะส่งสายตาให้ไผ่พญาช่วย ไผ่พญาโบกมือให้ ยิ้มสบายใจแต่ตะวันฉายกลับไม่สบายใจ
“ดูท่าทางคุณภูจะไม่พอใจนะครับ ผมว่าเราไปวันหลังดีมั้ยครับ”
“ไม่ต้องสนใจหรอกคะ” ไผ่พญามองตามภูวนัยอย่างหมั่นไส้ “คนอะไร ไม่มีเหตุผลเลย”
ตะวันฉายพาไผ่พญามาทำบุญที่วัด
“อภิวาทะ...มะสี...ลิสะ...นิจจัง...” ตะวันฉายกับไผ่พญาเทน้ำลงในถ้วย “วุฑฒาปะจายิโน...จัตตาโล...วัฑฒันติ...อายุวรรณโณ...สุขขังพะลัง...”
ตะวันฉายพนมมือยกขึ้นจบ ไผ่พญาที่ไม่เคยเข้าวัดมาก่อนพอเห็นตะวันฉายยกมือขึ้นจบ เธอก็ยกมือขึ้นจบทำตามบ้าง ตะวันฉายยื่นถ้วยน้ำที่เพิ่งกรวดให้กับไผ่พญา
“เชิญเลยครับ”
“จะดีเหรอคะ”
“ดีซิครับ”
เอ่อ ก็ได้คะ”
ไผ่พญายกถ้วยน้ำมาก่อนจะเอามือลงไปจุ่มแล้วเอาน้ำกรวดน้ำมาปะพรมใบหน้า ตะวันฉายกับหลวงพ่อถึงกับมองไผ่พญาตาโตตกใจ ไผ่พญาเทน้ำลงในมือแล้วปาดหน้าซ้ำอีกที
“ฮ้า สดชื่น” แล้วไผ่พญาก็งงที่เห็นตะวันฉายกับหลวงพ่อทำหน้าตกใจ “เอ่อ ฉันทำอะไรผิดเหรอ”
ตะวันฉายกับไผ่พญาเดินมาตามทางในวัด ตะวันฉายยังขำกับสิ่งที่ไผ่พญาทำไป
“ขำอะไรอ่ะ ก็ฉันไม่ได้เข้าวัดมาตั้งแต่เด็กแล้วนี่”
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมไม่บอกเรื่องนี้กับคุณภูหรอกครับ”
“ทำไม กลัวอะไร”
“ขืนบอกไปก็เป็นเรื่องซิครับ คุณภูต้องกลัวว่าคุณจะสอนให้เมฆกับหมอกเอาน้ำที่กรวดมารดตัวเอง”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็แอบหมั่นไส้ตะวันฉาย
“คุณนี่เริ่มกัดฉันเหมือนเขาอีกคนแล้วนะ”
“ขอโทษครับ” ตะวันฉายเหลือบไปเห็นในศาลาที่มีพระพุทธรูปและเซียมซี “คุณไผ่อยากเสี่ยงเซียมซีมั้ยครับ”
ไผ่พญาสงสัยว่าตะวันฉายถามทำไม
ลูกพูลถูกแทงระเบิดกระจายเต็มโต๊ะ ขิงกับกระดังงากำลังสอนม่านเมฆกับม่านหมอกเล่นพูล
“อันนี้เขาเรียกว่าพลู 9 ลูก ให้ตบเรียงตามเลขหนึ่งถึงเก้า แต่ถ้าใครตบเก้าลงเลยก็ถือว่าชนะไปเลย เมื่อกี้ฉันเปิดไม่ลง ตาพวกเธอ”
ม่านหมอกคว้าไม้มาก่อนจะเริ่มแทงลูกแรกก็ลงเลย
“หึ ไม่มีอะไรสอนแล้วหรือไง มาสอนอะไรเด็กๆ” ม่านหมอกตบลงอีกสองลูก ม่านเมฆร้องดีใจ ม่านหมอกตบไปจ่อให้แล้วยิ้มเยาะขิงกับกระดังงา “ในฐานะที่ฉันเป็นเจ้าบ้าน ฉันต่อให้”
“ขอบคุณมาก ดีแล้ว ฉันเล่นไม่ค่อยเป็นซะด้วย”
ว่าแล้วกระดังงาก็ค่อยๆ ตบลงทีละลูก ทั้งสกูร ทั้งไซร้โค้ง ทั้งใช้แคนน่อน ม่านหมอกกับม่านเมฆถึงกับตะลึง จนสุดท้ายกระดังงาตบลูกเก้าลงกลางหลุม บ๊อก
“อุ้ย ตบลงหมดได้ไงเนี่ย ฟลุ้คจริงๆ”
“โห ครูทำได้ไงเนี่ย เก่งจัง”
พรรษาเข้ามาในห้องพูล
“ของว่างได้แล...ทำอะไรกันคะเนี่ย”
ขิงกับกระดังงาหันไปเห็นพรรษาก็ตกใจ แต่ก็ต้องทำเนียน
“พวกเรากำลังสอนวิชาคณิตศาสตร์น่ะครับ ให้เมฆกับหมอกเขารู้จักนับเลข แต่ไม่ใช่แค่นั้นน่ะครับ นี่ยังเป็นวิชาวิทยาศาสตร์ด้วยเหมือนกัน”
“วิทยาศาสตร์ยังไงคะ”
“เอ้า ก็มุมสะท้อนมุมกระทบของลูกพลูไงครับ ไม่เพียงแค่นั้น การเล่นพลูยังช่วยเรื่องพุทธศาสนาด้วยนะครับ” ขิงหยิบลูกเบอร์ 3 ขึ้นมา “พระรัตนตรัย” ขิงวางลงแล้วหยิบลูกเบอร์ 4 “อริยสัจ 4” วางลงแล้วหยิบลูกเบอร์ 5 “ศีล 5”
“โอ๊ย พอแล้วคะ เดี๋ยวจะไปถึงกาลามสูตร10 ไม่น่าเชื่อนะคะว่าการเล่นพลูจะได้ประโยชน์มากขนาดนี้”
“แน่นอนคะ ไม่ต้องห่วงนะคะรับรองว่าพวกเราจะสอนเมฆกับหมอกอย่างดีที่สุดเลยคะ”
พรรษาพยักหน้าก่อนจะเดินออกไปอย่างงงๆ ขิงกับกระดังงาเห็นอย่างนั้นก็หยิบชอล์คขึ้นมาฝนหัวคิว
“มาๆ เมื่อกี้วอร์มเรียบร้อยแล้วนะ ต่อไปเอาจริง”
ขิงกับกระดังงามั่วนิ่มเล่นพูลกับม่านหมอก ม่านเมฆอย่างสนุก
เวลาเดียวกัน ตะวันฉายหยิบกระบอกเซียมซีขึ้นมาก่อนจะหันไปบอกไผ่พญาที่นั่งอยู่ข้างๆ
“เราอยากรู้เรื่องอะไร ก็อธิษฐานแล้วก็เขย่าจนกว่าไม้ในกระบอกนี่จะหล่นออกมา”
“ฉันรู้น่า”
“ครับ ผมบอกไว้ก่อน เห็นคุณว่าไม่ได้เข้าวัดมานานแล้ว”
“แซวไม่เลิกนะ” ตะวันฉายยิ้มขำๆ “คุณตะวันลองเสี่ยงเซียมซีแบบของฉันมั้ยคะ”
“ยังไงครับ”
ว่าแล้วไผ่พญาก็วางกระบอกไม้ก่อนจะเอามือมาควานที่ไม้ในกระบอกแล้วหยิบขึ้นมาอันนึง
“แบบนี้ไงคะ เร็วดี”
ตะวันฉายอมยิ้มกับความน่ารักของไผ่พญา
“ดีเหมือนกันครับ”
ตะวันฉายทำแบบไผ่พญาบ้าง ตะวันฉายหยิบเสร็จก็ดูเลข
“เบอร์สาม แล้วคุณไผ่เบอร์อะไรครับ”
ไผ่พญามองแล้วอึ้งๆ ไป
“อุ้ย” ตะวันฉายแปลกใจว่าตกใจอะไร “เบอร์สามคะ”
ตะวันฉายได้ยินอย่างนั้นก็เหมือนดีใจแบบคิดไปเองว่าเป็นบุพเพสันนิวาส
“ดีเลยครับ จะได้ไม่เปลืองคำทำนาย” ตะวันฉายลุกไปที่ช่องเสียบคำทำนาย ไผ่พญาตามมา ตะวันฉายหยิบมาแล้วอ่าน “ใบที่สามครั่นคร้ามให้คิดหนัก ที่ประจักษ์มักไม่เป็นอย่างที่หวัง เซียมซีนี้อ่านให้ดีเงี่ยหูฟัง สิ่งที่หวังจะไม่เป็นอย่างหวังใจ ถามถึงคู่ชู้รักสลักจิต อย่าไปคิดเพราะไกลเกินจะหวัง ถ้าให้ดีสิ่งที่ควรระวัง จะผุพังคือญาติผู้ใหญ่เอย”
ตะวันฉายอ่านแล้วเศร้าไป
“ฟังแล้วไม่ค่อยดีเลยเนอะ”
ตะวันฉายอยากให้ไผ่พญาสบายใจ
“ถ้ามองโลกในแง่ดี ก็ให้เราไม่ประมาทแหละครับ เราไปปล่อยปลากันมั้ยครับ เผื่อไอ้ที่ไม่ดีจะได้เบาลง”
“เอ่อ คุณตะวันไปก่อนได้มั้ยคะ”
“ทำไมละครับ”
“ฉันขอไปห้องน้ำก่อน แล้วเดี๋ยวตามไปนะคะ”
“ครับ”
ตะวันฉายยิ้มให้ก่อนจะเดินออกไป ไผ่พญามองตามก่อนจะหันมองหาบางอย่าง
ไผ่พญากำลังโทรศัพท์อยู่ในตู้โทรศัพท์สาธารณะ
“แม่ รับหน่อยซิ”
ไผ่พญาก็ได้ยินเสียงสัญญาณโทรศัพท์ตัดสายเพราะรอนานเกินไป ไผ่พญาวางหูโทรศัพท์ด้วยความกังวล
“เป็นไรหรือเปล่านะ”
ส่วนที่ฟาร์มสุข ขณะนั้นขิงกับกระดังงาเดินชมนกชมไม้ภายในสวน
“แกพวกเราอยู่ที่นี่เลยดีมั้ย”
“เฮ้ย คิดยังไงของแก อยู่ที่นี่แล้วจะทำอะไร”
“เอ้า...ก็เป็นครูไง แกไม่เห็นเหรอว่าเป็นครูมันง่ายแค่ไหน ถ้ารู้ว่าการเป็นครูเป็นอาจารย์มันง่ายอย่างนี้ ฉันเป็นไปนานแล้ว”
“เออ ก็ดีเหมือนกัน ถ้าแกเป็นอาจารย์ ฉันก็เป็นผอ.”
“ผอ.อะไรของแก”
“ผัวอาจารย์ไง”
“ไอ้บ้า”
กระดังงาจะยกมือตีขิง ขิงกระโดดหลบโดยไม่ได้มองข้างหลังว่ารถของพรรณรายขับเข้ามา รถของพรรณรายบีบแตรดังลั่น แป๊นนน! ขิงกับกระดังงาตกใจ รถคันนั้นจอดนิ่งสนิท ขิงรีบเดินเข้าไปเอาเรื่อง
“เฮ้ย! อะไรวะ จะชนแล้วยังจะบีบแตรอีก”
ขิงเคาะกระจก พรรณรายลงจากรถ เอาเรื่อง
“ทำบ้าอะไรของพวกแก”
ขิงกับกระดังงาตกใจเมื่อเห็นพรรณรายลงจากรถเอาเรื่อง
“เธอนั่นแหละ ขับยังไงไม่ระวัง”
ขิงเห็นความสวยของพรรณรายก็เปลี่ยนท่าทีทันที
“เอ่อ ไม่เป็นไรหรอกงา ฉันต่างหากที่ไม่ระวัง”
“อ้าว”
“รถก็สวยคนก็งามนะครับ”
“ไอ้ขิง” พรรณรายเดินวนรอบรถดูร่องรอย “ไม่ต้องดูหรอก ยังไม่ได้ชน”
“ถึงจะไม่ได้ชน แต่แค่พวกแกเอาลมหายใจจนๆ มาพ่นใส่ รถฉันก็หมองแล้ว” กระดังงงากับขิงถึงกับเหวอเมื่อโดนพรรณรายเหวี่ยง “แล้วพวกแกเป็นใคร ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน คนงานใหม่เหรอ”
“จะบอกให้ว่าพวกเราเป็นใคร พวกเราเป็นเพื่อนกับครูไผ่”
“ใช่ ฉันก็เป็นเพื่อนกับครูไผ่เหมือนกัน”
พรรณรายได้ยินอย่างนั้นก็เหมือนจุดไต้ตำตอ พรรณรายมองขิงกับกระดังงาตั้งแต่หัวจรดเท้า
“หึ...เป็นอย่างที่พ่อฉันว่าจริงๆ”
“โห นี่เราดังขนาดนั้นเลยเหรอไอ้ขิง”
“พ่อคุณรู้จักพวกเราด้วยเหรอครับ แล้วท่านว่าพวกเราเป็นยังไงครับ”
“จน” ขิงกับกระดังงาถึงกับผงะ “ไร้การศึกษา” ขิงกับกระดังงาผงะอีก “ปัญญาอ่อน”
ขิงกับกระดังงาได้ยินที่พรรณรายว่าอย่างนั้นก็โมโห
“จะมากเกินไปแล้วนะ แกเป็นใครถึงได้เที่ยวดูถูกคนอื่นแบบนี้”
“หึ...นี่พวกแกไม่รู้จริงๆ เหรอว่าฉันเป็นใคร จะบอกให้เอาบุญ ฉันก็เป็นคนอีกระดับที่ดูถูกพวกแกได้ไง”
พรรณรายพูดเสร็จก็เดินไป ขิงกับกระดังงายังอึ้งไม่หาย
“โห หน้าตาก็ดี ทำไมปากเสียอย่างนี้วะ”
กระดังงาหันไปบิดหูขิง
“นี่ๆ แกว่าใครหน้าตาดี ถ้าอย่างนั้นหน้าตาดีฉันก็เป็นนางงามจักรวาลแล้ว”
กระดังงาตีขิงก่อนที่ทั้งสองจะมองตามพรรณรายไป
ภูวนัยกำลังเดินตรวจอยู่ที่เล้าหมู พรรณรายเดินมาแล้วก็เห็นภูวนัยกำลังทำงานอยู่ พรรณรายยิ้มกรุ่มกริ่มก่อนจะเดินเข้ามาด้านหลังภูวนัยแล้วเอามือปิดตาภูวนัย
“ทายซิ”
พรรณรายยังพูดไม่ทันจบก็ต้องตกใจเพราะภูวนัยจับมือของพรรณรายออกแล้วบิดตัวหนี ภูวนัยเงยหน้าขึ้นก่อนจะมองหาต้นเสียง ก่อนที่ภูวนัยจะเหลือบไปเห็นพรรณรายยืนห่างออกไปจากเล้าหมู เอามือปิดจมูกท่าทางขยะแขยงเต็มทน
“เข้ามาซิพั้นซ์”
“เอ่อ ไม่ดีกว่าคะ ภูมาหาพั้นซ์ซิคะ”
ภูวนัยยื่นแฟ้มให้คนงานถือก่อนจะเข้ามาหาพรรณราย
“มีอะไรพั้นซ์”
“วันนั้นพั้นซ์เมาไปหน่อย ภูโกรธพั้นซ์เหรอ”
“ไม่หรอก ผมต้องขอบใจพั้นซ์ต่างหากที่อุตส่าห์เอารถมาคืนให้”
พรรณรายลองหยั่งถามถึงไผ่พญา
“แล้วครูไผ่ละคะ”
“ทำไม”
“นี่ภูไม่รู้เหรอคะว่าภูทำอะไรลงไป ภูให้เพื่อนครูไผ่เข้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ”
“มีอะไรหรือไง”
“ภูไม่เห็นเหรอคะว่าสองคนนั่นดูแล้วไม่น่าไว้ใจเท่าไหร่ ภูว่ามั้ยคะว่าสองคนนั่นดูยังไงก็ไม่เหมือนครู”
“พั้นซ์มีอะไรอีกหรือเปล่า”
“ทำไมคะ”
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมไปทำงานก่อนนะ”
พรรณรายเจอตัดบทเลยไปไม่ถูก
“เอ่อ คะ”
ภูวนัยเดินจากไป พรรณรายหน้าขึงไม่พอใจที่ภูวนัยไม่สนใจเธอ
ภูวนัยเดินเข้ามาในบ้าน เห็นเผ่าพงศ์กำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่
“ดูอะไรอยู่พ่อ” เผ่าพงศ์ไม่ตอบ ภูวนัยแปลกใจจึงลองเรียกอีกครั้ง “พ่อ”
เผ่าพงศ์ก็ยังไม่ตอบ ภูวนัยสงสัยเลยเดินเข้าไปแล้วภูวนัยก็ยิ้มส่ายหน้าเพราะเผ่าพงศ์นั่งหลับอยู่ภูวนัยเอื้อมมือไปหยิบรีโมทจะมาปิดโทรทัศน์ที่กำลังเสนอข่าวอยู่ ภูวนัยกำลังจะกดปิดก็เห็นข่าวนึงที่ทำให้ภูวนัยถึงกับชะงักมือ
ภาพในโทรทัศน์คือข่าวของชาติกล้ากำลังถูกสัมภาษณ์ที่หน้าปปส.โดยนักข่าว
“ชาติ”
“จริงหรือเปล่าคะที่การตายของผู้กำกับมารุตมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติด” นักข่าวถามชาติกล้า
“ผมคงบอกไม่ได้ครับเพราะมันเกี่ยวกับรูปคดี แต่เบื้องต้นเราพบความเกี่ยวข้องอย่างที่เป็นข่าวออกไปจริงๆ”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็เครียดขึ้นมาทันที
หน้าสำนักงานหน่วยปราบปรามยาเสพติด ชาติกล้าจะเดินเข้าด้านในแต่นักข่าวยังตามมาถามไม่เลิก
“เดี๋ยวก่อนครับหมวด แล้วอย่างนี้จะมีตำรวจชั้นผู้ใหญ่เกี่ยวข้องอีกมั้ยครับ”
“ผมบอกแล้วว่าตอนนี้ผมพูดเท่าที่ได้...” เสียงมือถือของชาติกล้าดังขึ้น ชาติกล้าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วชะงักไป “ขอโทษนะครับ วันนี้พอแค่นี้แล้วกัน”
ชาติกล้ารีบตัดบทพวกนักข่าวแล้วรีบเดินเข้าไปในสำนักงาน ชาติกล้าเดินถือโทรศัพท์ที่ยังดังมาที่มุมหนึ่งที่ปลอดผู้คนแล้วกดรับสาย
“ว่าไงภู”
ภูวนัยอยู่ในที่ที่ลับตาคนเช่นกัน ภูวนัยถามชาติกล้าด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“ชาติ แกบอกนักข่าวอย่างนั้นได้ยังไง”
“เรื่องอะไร”
“ก็เรื่องที่ผู้กำกับเป็นพวกเดียวกับไอ้พายัพนั่นไง แกก็รู้ว่าผู้กำกับไม่มีทางทำอย่างนั้น”
“ภู แกต้องการอะไร แกอยากให้ฉันอธิบาย แต่แกก็รู้ว่าฉันทำไม่ได้เพราะตอนนี้แกถูกพักราชการ ภูตอนนี้ฉันบอกแกได้คำเดียว อย่าเชื่อใจใครทั้งนั้น ฉันต้องเข้าประชุมแล้ว”
ชาติกล้าตัดบท ภูวนัยพยายามรั้งชาติกล้าไม่ให้วางสาย
“เดี๋ยวชาติ ชาติ”
ภูวนัยมองโทรศัพท์อย่างหัวเสีย ตอนนี้ภูวนัยร้อนใจอกแทบระเบิด
ไผ่พญากับตะวันฉายลงมาจากรถ ไผ่พญามีท่าทางกลุ้มใจเพราะเป็นห่วงลำใย
“คุณไผ่ครับ”
“เอ่อ คะ”
“คุณไผ่เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ผมเห็นคุณท่าทางกลุ้มใจ”
“ไม่มีอะไรหรอกคะ ฉันแค่เป็นห่วงแม่”
ตะวันฉายได้ยินอย่างนั้นก็ทำหน้าแปลกใจ
“แต่...แต่แม่คุณเสียไปแล้วไม่ใช่เหรอครับ”
ไผ่พญาถึงกับสะอึก ลืมที่ตัวเองโกหกเอาไว้
“อ๋อ ฉันจะกลับไปทำบุญร้อยวันน่ะคะ”
“คุณไผ่คงจะคิดถึงแม่คุณมากใช่มั้ยครับ”
“ทำไมเหรอคะ”
“เพราะแม่คุณเพิ่งเสียไปยังไม่ถึงเดือนเลย” ไผ่พญาผงะอีก “เอาอย่างนี้มั้ยครับ ถ้าพรุ่งนี้ผมลางานได้ ผมจะพาคุณไผ่ไปกรุงเทพฯเอง”
“จริงเหรอคะ” ไผ่พญาดีใจ ตะวันฉายมองตามไผ่พญายิ่งรู้สึกดีที่ไผ่พญามีจิตใจที่ดีงาม
“ครับ”
“เอ่อ...แต่จะดีเหรอคะ”
“ไม่ต้องเกรงใจผมหรอกครับ พรุ่งนี้เจอกันนะครับ”
ตะวันฉายพูดแล้วก็ยิ้มให้ก่อนจะกลับไปที่รถแล้วขับออกไป ไผ่พญามองตามแล้วเหนื่อยใจ
“ขอโทษที่ฉันต้องโกหก แต่ฉันเป็นห่วงแม่จริงๆ”
ไผ่พญาเดินเข้ามาในบ้าน ระหว่างนั้นขิงกับกระดังงาเดินเข้ามาแล้วพูดขึ้นลอยๆ
“ไง คราวนี้เบาเนื้อเบาตัวขึ้นบ้างหรือยัง”
ไผ่พญาหันมาก็เห็นขิงกับกระดังงายืนอยู่
“เบาเนื้อเบาตัวอะไรของพวกแก”
“เอ้า ก็เห็นออกไปกันตั้งครึ่งวัน”
กระดังงาพูดแล้วก็หันไปทำหน้ากรุ่มกริ่มกับขิง ไผ่พญาเท้าสะเอวตาขวาง
“พูดดีๆ นะ ฉันไปวัดทำบุญไหว้พระ ไม่ได้ไปทำอะไรอกุศลอย่างที่แกคิด อยากไปอยู่ที่อื่นมั้ย”
ขิงกับกระดังงาเห็นไผ่พญาหงุดหงิดก็เปลี่ยนทีท่าทันที
“ก็ใช่ไง ก็ไปทำบุญไว้พระมันก็โล่งใจ พอใจสบายเนื้อตัวก็สบายไปด้วยไง ไอ้ไผ่แกต่างหากที่คิดอกุศล พวกเรายังไม่คิดอะไรเลย”
ไผ่พญาชี้หน้าขิงกับกระดังงา ก่อนที่ไผ่พญาจะเดินออกไป ขิงกับกระดังงาเป่าปากโล่งอก แต่แล้วไผ่พญาเหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงหันขวับกลับมา ขิงกับกระดังงาเลยสะดุ้งเฮือกตกใจ
“นี่”
“เอ่อ อะไร”
“แม่ฉันสบายดีมั้ย”
“แม่แกอยู่กับเฮียกวงก็น่าจะสบายดี ทำไมเหรอไผ่”
“เปล่าหรอก เมื่อตอนกลางวันฉันโทรหาแม่ไม่ติดก็เลยสังหรณ์ใจว่าจะเกิดอะไรไม่ดีกับแม่หรือเปล่า”
“โอ๊ย จะมีอะไร แม่แกคงไพ่เต็มมือเลยไม่มีมือกดรับสายแกเท่านั้นเอง”
“ไอ้ขิง ฉันซีเรียส”
ว่าแล้วไผ่พญาก็หยิบใบเซียมซีส่งให้ขิงกับกระดังงาอ่าน
“โห...เขียนอย่างนี้ไม่บอกว่าตายโหงเลยละ”
ไผ่พญาได้ยินขิงบ่นอย่างนั้นก็ยิ่งเป็นห่วงลำไย กระดังงาสะกิดขิงให้รู้ตัว
“ปากนะแก” กระดังงาพูดกับไผ่พญา “ก็แค่กระดาษ แกอย่าคิดมากน่าไผ่ ตอนนั้นแม่เขาอาจไม่ว่างก็ได้ แกลองโทรอีกทีซิ”
กระดังงาหยิบมือถือของตัวเองส่งให้ไผ่พญา ไผ่พญาหยิบมือถือขึ้นมากดหาลำไยอีกครั้งแต่ลำไยก็ยังไม่ยอมรับสาย
“ฉันบอกแล้วว่าแม่แกสบายดี” ขิงบอก
“ยังไม่ได้รับ” กระดังงาบอกแล้วหันไปทางไผ่พญา “ยังไม่รับอีกเหรอ”
ไผ่พญาพยักหน้าพร้อมกับรอสายอย่างร้อนใจ
“ทำอะไรอยู่น่ะแม่”
ทันใดนั้นก็มีเสียงจากปลายสายดังขึ้นเป็นเสียงผู้ชายที่ฟังดูโหดมาก
“ฮัลโหล”
ไผ่พญาตกใจ
“เฮ้ย”
“อะไร”
“เสียงผู้ชายรับ”
ขิงมองหน้ากระดังงางงๆ
“อาจจะเป็นเพื่อนใหม่แม่แกก็ได้ ถามไปดิ”
“เอ่อ นี้ใช่เบอร์ลำไยหรือเปล่าคะ”
“ลำไยอะไร ไม่มี”
“เอ่อ แล้วพี่ได้เบอร์นี้มาจากไหนคะ”
“เว้ย ถามจังเว้ย บอกว่าไม่มีไง”
แล้วชายคนนั้นก็รีบกดตัดสายทิ้งทันที ก่อนจะยื่นโทรศัพท์ไปให้ลำไยที่อยู่ข้างๆ
“ดีมาก...ไอ้พวกนี้บอกว่าไม่มีๆ ยังโทรมาทวงอยู่ได้ ขอบใจมากเว้ยปึ้ด เดี๋ยวถ้าได้จะกลับมาให้ค่าเหนื่อยนะ”
ว่าแล้วลำไยก็เดินเข้าไปในบ่อนไปเล่นต่อทันที ขิงกับกระดังงารีบเข้ามาถามไผ่พญาที่กำลังเครียด
“ว่าไง”
“ฉันว่าแม่ฉันต้องเป็นอะไรแน่ๆ ไม่อย่างนั้นมือถือแม่จะไปอยู่กับผู้ชายได้ยังไง” ไผ่พญาบอกอย่างร้อนใจ
“เอ่อ แม่แกอาจจะหมดตัวแล้วเอาโทรศัพท์ไปจำนำใครไว้ก็ได้นี่”
“ไม่...ผู้ชายคนนั้นพูดเหมือนไม่รู้จักแม่ฉันเลยนะงา”
“หรือว่า ไอ้ผู้ชายคนนั้นจะเป็นฆาตกร พอฆ่าแม่แกเสร็จแล้วก็เอาโทรศัพท์มาใช้ไง”
“ไอ้ขิง หุบปากไปเลย”
ไผ่พญายิ่งได้ยินขิงพูดอย่างนั้นก็ยิ่งห่วงลำไย ระหว่างนั้นภูวนัยกำลังจะเดินออกจากบ้าน ภูวนัยเห็นไผ่พญา ขิงและกระดังงาจับกลุ่มกันก็สงสัย
“อ้าว คุณภูจะไปไหนคะ”
“เข้ากรุงเทพฯครับ” ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็ทำให้เธออยากไปกรุงเทพฯเหมือนกัน “ระหว่างที่ฉันไม่อยู่ อย่าอู้ละ” ภูวนัยบอกไผ่พญา แล้วหันไปพูดกับขิงและกระดังงาต่อ “ฝากดูเด็กๆ ด้วยนะครับ”
“ไม่ต้องห่วงครับ”
ภูวนัยกำลังจะเดินออกไป แล้วไผ่พญาก็ตัดสินใจพูดขึ้น
“ขอฉันไปด้วย”
ภูวนัยชะงักหันมองไผ่พญา ขิงกับกระดังงาก็มองไผ่พญาด้วยความแปลกใจเหมือนกัน
“ไผ่ แกจะไปทำไม แล้วเด็กๆ ละ”
ไผ่พญาเข้าไปพูดกับภูวนัย
“เมื่อกี้แม่ฉันโทรมาบอกว่าไม่สบายมาก ฉันกำลังจะขอนายกลับกรุงเทพฯพอดี เอ่อ...ให้ฉันไปด้วยนะ”
“แต่คุณเพิ่งไปงานศพแม่คุณมาไม่ใช่เหรอ”
ไผ่พญา ขิงและกระดังงาต่างสะดุ้งเฮือกที่โกหกอะไรไว้ดันลืมหมด
“อ๋อ คือ แม่ฉันมาเข้าฝันน่ะ ท่านบอกว่าคิดถึงฉัน”
ไผ่พญาแถต่อ
คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 9 (ต่อ)
กระดังงาเห็นอย่างนั้นก็รีบพูดขึ้นเพื่อช่วยไผ่พญา
“จริงเหรอไผ่” ไผ่พญางง “เมื่อคืนคุณน้าก็มาหาฉัน ฉันเห็นนะว่าคุณน้าทรมานมาก ท่านแหวกว่ายอยู่ในน้ำ
ฉันก็พยายามมองว่าทำไมท่านถึงได้ดูเหนื่อยแล้วก็ร้อนอย่างนั้น พอฉันถอยออกมามองดีๆ ฉันก็เห็นว่าคุณน้า
ว่ายน้ำอยู่ในกระทะทองแดง”
ไผ่พญากำลังดีใจที่กระดังงาช่วย แต่พอได้ยินที่กระดังงาพูดอย่างนั้นก็ถึงกับหน้าหุบ ขิงพยายามช่วยพูดอีก
คน
“เออๆ แล้วพอขึ้นจากกระทะทองแดง แม่แกก็มาเข้าฝันฉันต่อนะ ฉันเห็นเลยว่าท่านยมกำลังหอกแทงคุณน้าอยู่...ฉึก...ฉึก...แต่คุณน้าก็ร้องไม่ได้นะ เพราะปากคุณน้าถูกเย็บอยู่ ได้แต่ร้อง...”
“ถูกเย็บปากแล้วร้องได้ยังไง”
“ทำไม่จะไม่ได้ คุณน้าเขาร้องอย่างนี้ไง” ขิงทำปากจู๋ “ฮู...ฮู...” แล้วขิงก็เข้าท่อนเพลงก่อนที่จะเข้าเพลงในคาราโอเกะ “ฮูวีฮูวีฮูวีฮู่...” กระดังงารับพร้อมกับขิง “ฮ้า...”
แล้วขิงกับกระดังงาก็ถึงกับหน้าเจื่อนเพราะไผ่พญากับภูวนัยไม่ขำด้วย
“นะ ให้ฉันกลับไปหาแม่หน่อย ฉันอยากไปทำบุญให้แม่” ไผ่พญาอ้อนวอนภูวนัย
ภูวนัยมองไผ่พญา ไผ่พญาก็มองภูวนัยลุ้นเหมือนกันว่าภูวนัยจะตอบว่าไง
อีกด้านหนึ่ง ขณะนั้นญาติของรัชนีกำลังติดป้ายประกาศตามหารัชนีซึ่งก็คือป้าคนนั้น อยู่หน้าทางเข้ารีสอร์ตของเสกสรร รถสปอร์ตของพรรณรายขับเข้ามาก่อนจะเลยป้าคนนั่นไปแต่แล้วพรรณรายก็เบรกเอี๊ยดดด! ก่อนจะถอยหลังกลับมา ญาติของป้ารัชนีมองพรรณรายที่ลงจากรถ
“ทำอะไรน่ะป้า” พรรณรายเห็นกระดาษที่ญาติรัชนีติดก็ดึงออกมา “นี่อะไร ประกาศตามหาคนหาย”
“เอ่อ คุณเป็นเจ้าของที่นี่เหรอคะ”
“ก็ใช่น่ะซิ เอาออกให้หมดเดี๋ยวนี้เลยนะ ใครเห็นเขาจะหาว่ารีสอร์ตฉันทำคนหาย”
“ขอโทษจ้ะหนู เอ่อ...ถ้าหนูไม่ให้ติด งั้นป้าขอถามหน่อยได้มั้ยว่าหนูเคยเห็นผู้หญิงคนนี้มั้ย แกเป็นพี่สาวป้าเอง”
ญาติของรัชนียื่นกระดาษให้กับพรรณราย พรรณรายรีบปัดทันที
“ฉันไม่เห็นอะไรทั้งนั้นแหละ”
“หนูดูก่อนซิ พี่สาวป้าแกเป็นครู เห็นบอกว่าคนแถวนี้จ้างแกมาสอนเมื่อเดือนที่แล้ว”
“ฉันบอกว่าไม่เห็นก็ไม่เห็นซิ ไปได้แล้ว”
ญาติรัชนีพ่นลมหายใจอย่างหัวเสียก่อนจะเดินไปขึ้นรถแล้วขับออกไป พรรณรายมองตามอย่างโมโห
“บ้าจริงๆ คิดได้ยังไงมาตามหาคนหายที่นี่”
พรรณรายกำลังจะเดินกลับไปขึ้นรถ ระหว่างนั้นพรรณรายดันไปเหยียบกระดาษประกาศคนหายที่ตัวเองขยำทิ้งเอาไว้ แล้วพรรณรายก็ชะงักไปเหมือนฉุกใจบางอย่าง
“เดือนที่แล้วเหรอ เวลาเดียวกับที่ยัยครูไผ่นั่นมาสอนที่ฟาร์มภูเลยนี่”
พรรณรายหยิบกระดาษประกาศคนหายขึ้นมาดู แววตาของพรรณรายเริ่มสงสัยบางอย่าง
รถของภูวนัยแล่นเข้ามาจอดที่หน้าโรงแรม
“คุณลงตรงนี้แล้วกัน”
ภูวนัยบอกไผ่พญาแต่เงียบไม่มีเสียงตอบรับจากไผ่พญา ภูวนัยหันไปก็เห็นไผ่พญาหลับอยู่ ภูวนัยทำหน้าเซ็ง แล้วเดินลงจากรถไป ภูวนัยเดินลงจากรถมาเปิดประตูฝั่งไผ่พญา ไผ่พญาที่เอาหัวพิงกับประตูพอภูวนัยเปิดออกก็เกือบตีลังกาลงมา
“เฮ้ย”
ไผ่พญาตกใจตื่น ระหว่างนั้นกล้องวงจรปิดของโรงแรมจับภาพไผ่พญากับภูวนัยที่หน้าโรงแรม
“เรียกดีๆ ก็ได้ เกิดฉันเสียโฉมไปนายรับผิดชอบไหวเหรอ” ไผ่พญาหันไปเห็นว่าเป็นหน้าโรงแรมก็ตกใจ “เฮ้ย”
ไผ่พญาหันไปจะตี ภูวนัยรู้ว่าไผ่พญาจะตีเพราะเข้าใจผิดเลยชิงพูดขึ้นก่อน
“หยุดเลย” ไผ่พญาชะงัก “ผมพาคุณมานี่เพราะตอนนี้มันมืดแล้ว กว่าผมจะเสร็จธุระก็คงดึก คืนนี้เราจะนอนที่นี่”
“ห๊า”
“ตกใจทำไม ผมไม่ได้บอกว่าผมจะนอนห้องเดียวกับคุณ...เดี๋ยวคุณไปเปิดห้องละกัน”
“อ้าว แล้วนายละ”
“ก็ผมบอกแล้วไงว่าผมต้องไปทำธุระ”
ภูวนัยพูดจบก็เดินไปขึ้นรถแล้วขับออกไป ปล่อยไผ่พญาให้เมาขี้ตาอยู่
“อะไรของเขาวะ”
ที่ลานจอดรถหน่วยปราบปรามยาเสพติด ชาติกล้าเดินมาที่ลานจอดรถแล้วชาติกล้าก็ชะงักไป
“ยังรั้นเหมือนเดิมนะแกเนี่ย”
ชาติกล้าชะงักไปเพราะภูวนัยมายืนขวางทางอยู่
“ไอ้ชาติ”
ชาติกล้ารู้ว่าภูวนัยมาเรื่องอะไรเลยพูดดักทันที
“ฉันรู้ว่าแกมาเรื่องผู้กำกับ”
“ชาติ ฟังฉัน ผู้กำกับไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกพายัพ”
“แกรู้ได้ยังไง”
“แกจำตอนที่ผู้กำกับโดนยิงได้มั้ย” ชาติกล้าพยักหน้า “ผู้กำกับนัดพบกับฉันเพราะผู้กำกับสงสัยว่าจะมีหนอนบ่อนไส้ในหน่วยของเรา”
ชาติกล้าได้ยินอย่างนั้นก็สนใจขึ้นมาทันที
“แล้วผู้กำกับบอกแกหรือเปล่าว่าเป็นใคร”
“พวกมันยิงผู้กำกับก่อนที่จะบอกฉัน” ชาติกล้าเปลี่ยนสีหน้าเป็นไม่เชื่อทันที “ชาติ ผู้กำกับไม่ได้เป็นพวกมัน แกต้องเชื่อฉัน”
“ภู...ฉันช่วยแกไม่ได้”
“ชาติ”
“แกก็รู้ว่าฉันเชื่อคำพูดลอยๆ ของแกไม่ได้ นอกจากว่าแกจะมีหลักฐานที่แสดงความบริสุทธ์ของผู้กำกับ”
“แล้วแกมีหลักฐานว่าผู้กำกับเกี่ยวข้องกับพวกพายัพหรือไง”
“ใช่”
ภูวนัยชะงักไป
“ไหนละ หลักฐานแกคืออะไร...ไหน”
ภูวนัยเข้าไปกระชากคอเสื้อชาติกล้าเขย่าแรง ชาติกล้าสะบัดออก
“ภู” ภูวนัยชะงักไป “แกก็รู้ว่าฉันทำอย่างนั้นไม่ได้ ภู...ฉันขอเตือนแกในฐานะเพื่อน เลิกยุ่งกับคดีนี้ซะ ปล่อยให้ฉันจัดการเอง”
“จัดการ...แกรู้มั้ยว่าแกกำลังใส่ผู้บริสุทธ์ที่ตายไปแล้ว ผู้กำกับบริสุทธ์”
ภูวนัยพูดจบก็หุนหันออกไป
“ภู แกจะไปไหน”
“ฉันจะหาหลักฐานที่จะพิสูจน์ความบริสุทธ์ของผู้กำกับมาให้แกดู”
“ภู...ภู”
ชาติกล้ามองตามภูวนัยด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป
ลำไยเดินบิดเนื้อบิดตัวด้วยความเมื่อยขบออกมาจากบ่อนเฮียกวง ลำไยเดินสวนกับลูกค้าที่เดินเข้าไปอย่างไม่ขาดสาย ระหว่างนั้นคนคุมบ่อนที่ยืนเฝ้าประตูอยู่ก็ดึงลำไยเอาไว้
“จะไปไหน”
“ไปนอนซิวะ แจกไพ่มาสามวันสามคืนไม่ได้นอน กะให้ตายคาบ่อนเลยใช่มั้ย”
พายัพเดินเข้ามาพร้อมกับลูกน้อง พายัพเข้ามาถามนักเลงที่ยืนคุมประตูอยู่
“เฮียกวงอยู่ไหน”
นักเลงคุมบ่อนหันมาเห็นพายัพก็ตกใจรีบปล่อยมือลำไย
“ออฟฟิศเลยพี่”
พายัพกำลังจะเดินไป แต่แล้วก็ชะงักไปเพราะลำไยขวางทางอยู่ ทั้งพายัพและลำไยต่างมองหน้ากัน ลูกน้องของพายัพคนนึงก็จ้องหน้าลำไยเหมือนเคยเห็นหน้ากันมาก่อน ลำไยเลี่ยงเดินออกมา พายัพก็เดินต่อ
“เคยเห็นที่ไหนวะ” ลำไยหันไปมองพายัพเป็นจังหวะเดียวกับที่ลูกน้องของพายัพหันมามองลำไยเหมือนกัน แล้วลำไยก็นึกออก “เฮ้ย! พวกนั้นนี่หว่า”
ลูกน้องพายัพก็นึกออกเหมือนกัน
“พี่ นั่นแม่ของผู้หญิงคนที่เราหาอยู่”
“แล้วจะยืนหาอะไร ก็จับมันมาซิวะ”
ลำไยได้ยินที่พายัพพูดอย่างนั้นก็รีบวิ่งหน้าตั้งทันที ลูกน้องพายัพบางส่วนออกวิ่งตาม
แท็กซี่คันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดหน้าซอยบ่อนเฮียกวง ไผ่พญาเปิดประตูรถก้าวลงมา
“ใช่บ่อนเฮียกวงเหรอพี่”
แท็กซี่หันมาบอกไผ่พญา
“นี่แหละ เดินเข้าไปสุดซอยก็เจอแล้ว”
ไผ่พญาจ่ายเงินแล้วลงจากรถก่อนจะเดินตรงเข้าไปในซอย ลำไยวิ่งมาอีกทาง ลำไยมองซ้ายมองขวาแล้วลำไยก็เห็นเหลือบไปเห็นด้านหลังของไผ่พญา ลำไยมองอย่างแปลกใจ
“ไอ้ไผ่” ลำไยกำลังจะเรียกไผ่พญา แต่ได้ยินเสียงของลูกน้องพายัพวิ่งตามมา “ว้าย”
ลำไยลืมเรื่องไผ่พญาทันที นาทีนี้ต้องเอาชีวิตรอด ลำไยรีบวิ่งไปอีกทาง
นักเลงคุมบ่อน เดินเข้ามาหานักเลงคุมบ่อนคนอีกคน
“ออกมาทำไมวะ”
“โห...พี่ให้ฉันออกมาเห็นเดือนเห็นตะวันมั้งเหอะ”
“มึงอยากเห็นใช่มั้ย ดี...งั้นกูฝากด้วย ชักง่วงต้องไปหาอะไรเติมซะหน่อย”
นักเลงเดินออกไป ปล่อยให้นักเลงอีกคนยืนบิดขี้เกียจ ระหว่างนั้นไผ่พญาเดินเข้ามา ไผ่พญาพยายามชะโงกมองเข้าไปข้างใน
“ทำอะไร” นักเลงคุมบ่อนถามอย่างสงสัย
“เอ่อ...นี่บ่อนเฮียกวงหรือเปล่าพี่” นักเลงพยักหน้า “คือฉันมาตามหาแม่น่ะ พี่รู้จักแม่ฉันมั้ย แม่ฉันทำงานอยู่ที่นี่”
“คนเป็นร้อย พี่ไม่รู้หรอกคนไหนแม่น้อง” ไผ่พญาคิดๆ เอาไงดี แล้วไผ่พญาก็ทำท่าจะเดินเข้าไปข้างใน นักเลงคว้ามือเอาไว้ “จะไปไหน”
“ก็เข้าไปหาแม่ฉันไง”
“ไม่ได้ บ่อนเฮียกวงเข้าได้เฉพาะคนที่มาเล่นเท่านั้น”
“โถ พี่ ให้ฉันเข้าไปเถอะนะ ฉันมาตามหาแม่จริงๆ”
“ไม่ได้ เกิดน้องเป็นพวกชูคลิปพวกพี่ก็แย่ซิ” ไผ่พญาเศร้าลง ทำท่าจะหันหลังกลับไป แต่แล้วไผ่พญาก็ตัดสินใจหันหลังกลับก่อนจะวิ่งเข้าไปทันที “เฮ้ย”
นักเลงคุมบ่อนรีบวิ่งตามไผ่พญาเข้าไป
ไผ่พญาวิ่งเข้ามาในบ่อน เห็นคนเล่นจำนวนมากกำลังเมามันเพราะผีพนันเข้าสิงอยู่ ไผ่พญาพยายามกวาดสายตามองหาลำไยและทางหนีทีไล่ ระหว่างนั้นนักเลงคุมบ่อนวิ่งตามเข้ามา
“เฮ้ย! หยุดนะ”
ไผ่พญาตกใจรีบวิ่งเบียดผู้คนหลบไปตามโต๊ะที่เล่นแล้วมุดๆ เอาตัวรอด
พายัพรับผ้าเช็ดหน้าจากลูกน้องก่อนจะเอามาเช็ดมือที่เปื้อนเลือด
“ถ้าแกไม่สัญญากับฉันว่าจะคืนเงินฉันวันนี้ ฉันก็คงไม่ทำขนาดนี้หรอกเฮีย” เฮียกวงนอนจมกองเลือดอยู่ที่โต๊ะ พายัพเดินเข้ามาแล้วก้มลงไปพูดกับเฮียกวง “แล้วตกลงจะคืนให้ฉันได้เมื่อไหร่”
เฮียกวงพยายามพูดแต่ก็เบาเหลือเกิน พายัพเอาผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นที่ใช้แล้ว ค่อยๆ เช็ดเลือดที่กลบปากเฮียกวง เพื่อให้เฮียกวงพูดใหม่
“อาทิตย์...อาทิตย์ครับ”
“ฉันเป็นรักษาคำพูด ถ้าสัญญากับฉันแล้วต้องทำให้ได้ อาทิตย์หน้าก็อาทิตย์หน้า”
พายัพโยนผ้าเช็ดหน้าทิ้งก่อนจะเดินมาที่ประตู
ด้านนอกไผ่พญากำลังหนีนักเลงคุมบ่อนมาตามทาง ไผ่พญาหันไปเห็นออฟฟิศที่น่าจะหลบได้จึงวิ่งไปที่ประตูนั่นทันที ระหว่างที่ไผ่พญากำลังจะถึงประตู ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก ไผ่พญาเห็นพายัพเช่นเดียวกับที่พายัพก็เห็นไผ่พญา ไผ่พญาอึ้งไป...หนีเสือปะจระเข้จริงๆ ทั้งหมดนิ่งกันไปชั่วขณะ
“เฮ้ย”
ไผ่พญาตกใจแล้วรีบกลับตัววิ่งไปอีกทาง พายัพรีบบอกกับลูกน้อง
“จับตัวมันมา”
ลูกน้องพายัพรวมทั้งพายัพรีบวิ่งตามไผ่พญาไป นักเลงคุมบ่อนวิ่งตามเข้ามาแล้วงงว่าทำไมพายัพต้องตามไผ่พญาด้วย
ไผ่พญาวิ่งหนีพายัพกับลูกน้องมาตามทางในบ่อน ไผ่พญาวิ่งเข้ามาในบ่อนแล้วมุดทั้งโต๊ะโดนทั้งขาทั้งคนล้มระเนระนาด บรรยากาศภายในบ่อนเริ่มวุ่นวาย พายัพพยายามมองหาไผ่พญาแล้วพายัพก็เห็นไผ่พญามุดออกมาจากโต๊ะ
“นั่น”
พายัพชี้ไปที่ไผ่พญาให้ลูกน้องดู ก่อนที่พายัพกับลูกน้องจะรีบตามไผ่พญาไป ไผ่พญาคิดวิธีออกจึงลุกขึ้นแล้วตะโกนว่า...
“ตำรวจจจจ!”
ได้ผลเพราะมันเป็นคำต้องห้ามของสถานที่แห่งนี้ บรรยากาศเริ่มวุ่นวายผู้คนต่างวิ่งพล่านจนชนพายัพทำให้ตามไผ่พญาไม่ได้ถนัดนัก
ไผ่พญาวิ่งหลบเข้ามาในซอยภายในบ่อน ไผ่พญาวิ่งมาที่ประตูหลัง แต่แล้วความหวังไผ่พญาก็ดับวูบลงเพราะประตูหลังดันล็อก
“เฮ้ย”
ไผ่พญารีบหันหลังกลับวิ่งกลับไปทางเดิม แต่แล้วไผ่พญาก็ต้องชะงักเพราะเห็นพายัพกับลูกน้องเดินเข้ามา
“อุตส่าห์ตามหาตั้งนาน อยู่ดีๆ ก็เจอกันอย่างไม่น่าเชื่อนะ อย่างนี้เขาเรียกว่าบุพเพสันนิวาสหรือเปล่า”
ไผ่พญาพยายามมองไปรอบๆ แล้วไผ่พญาก็พบกับประตูห้องๆ นึง ไผ่พญาพยายามพูดถ่วงเวลา
“นี่แกจะตามฉันทำไม พระฉันก็คืนให้แล้ว”
“คิดว่าฉันโง่หรือไง ไอ้พระบ้านั่นมันของปลอมเว้ย”
พายัพของขึ้น ไผ่พญาตัดสินใจพุ่งเข้าประตูที่อยู่ข้างๆ ทันที พายัพกับลูกน้องรีบวิ่งตามเข้ามาที่ประตู
ไผ่พญาเข้ามาในห้องแล้วก็พบว่ามันเป็นห้องน้ำ ไผ่พญารีบล็อกประตู ได้ยินพายัพบอกลูกน้องอยู่หน้าห้อง
“พังเข้าไปซิวะ”
ไผ่พญาพยายามเอามือดันประตู แต่ก็เห็นประตูสั่นสะเทือนอย่างแรง ไม่นานก็คงพังเข้ามาจนได้
“นี่ฉันต้องมาตายที่นี่หรือเนี่ย”
ไผ่พญาสิ้นหวัง จังหวะนั้นเสียงนึงก็ดังขึ้น
“นังไผ่...ไผ่”
ไผ่พญาชะงัก จำได้ทันที
“แม่” ไผ่พญารีบวิ่งไปตามเสียงแล้วก็เห็นลำไยโผล่ขึ้นมาที่หน้าต่างที่ห้องส้วมห้องนึง ไผ่พญาดีใจอย่างหาที่สุดมิได้ “แม่”
ลูกน้องของพายัพกำลังกระแทกประตู แต่พายัพใจร้อนผลักลูกน้องออก
“ถอย”
ลูกน้องหันไปก็เห็นพายัพชักปืนออกมา พายัพยิงใส่ลูกบิดประตู ปังๆ! ลูกบิดพังทำให้ประตูเปิดออก พายัพรีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำ พายัพกวาดสายตามองไปรอบๆ ไม่เห็นไผ่พญา พายัพรีบวิ่งไปดูตามห้องส้วมแล้วพายัพก็พบห้องส้วมห้องนึงที่มีหน้าต่าง
“โธ่เว้ยยย”
พายัพเจ็บใจอย่างแรง
ไผ่พญาพาลำไยเดินเข้ามาในโรงแรม
“แกนะนังไผ่ ไม่วายหาเรื่องเดือดร้อนมาให้ฉันจนได้ แล้วอย่างนี้ฉันจะกลับไปที่นั่นได้อีกมั้ย”
“นี่แม่ยังคิดจะกลับไปอีกเหรอ”
“แล้วจะให้ฉันไปอยู่ไหน นี่ไอ้ไผ่ ไหนว่าคุยกับไอ้พวกนั้นรู้เรื่องแล้วไง”
ไผ่พญาชะงัก ไม่อยากบอกว่าส่งพระปลอมให้
“เอ่อ นั่นดิ ฉันว่าฉันคุยรู้เรื่องแล้วนะ ยังจะเอาอะไรอีก”
“แล้วแกมาฉันทำไม อย่าบอกนะว่าจะมายืนตังค์”
“โทรศัพท์แม่อยู่ไหน”
ลำไยหยิบขึ้นมาโชว์
“ก็อยู่นี่ไง”
“แล้วเมื่อตอนบ่ายฉันโทรมาทำไมเป็นเสียงผู้ชายรับ อย่าบอกว่าแม่มีกิ๊กนะ”
ลำไยเขกหัวไผ่พญา
“กิ๊กบ้าอะไร อ๋อ เมื่อตอนบ่ายที่มีคนโทรมายิกๆ น่ะแกเองเหรอ” ไผ่พญาพยักหน้า “ฉันก็นึกว่าพวกเจ้าหนี้ เลยให้คนในบ่อนรับแทนน่ะ”
“โธ่เอ๊ย ไอ้ฉันก็คิดว่าแม่เป็นอะไร”
“อ้าว นังนี่ อยู่ดีๆ มาแช่งฉันทำไม”
ไผ่พญาทำหน้าเซ็งที่ลำไยตีความไปโน่น ไผ่พญาเดินหนีแล้วก็เจอกับภูวนัยที่เดินเข้ามาพอดี
“นังทรพี มาแช่งให้ฉันตาย...ไอ้ลู(ก)”
ลำไยกำลังจะพูดต่อ ไผ่พญารีบดึงลำไยเข้ามากอด
“ไม่ต้องห่วงนะจ้ะ เดี๋ยวฉันจะดูแลป้าเอง”
ลำไยอยู่ในอ้อมกอดไผ่พญา งงๆ
“ป้า ป้าอะไรของแกวะนังไผ่”
ภูวนัยเดินเข้า ไผ่พญาแกล้งทำเป็นเพิ่งเห็น
“อ้าว มาแล้วเหรอ” ไผ่พญารีบแนะนำลำไยให้ภูวนัยรู้จัก “นี่ไงป้าลำไย นายเคยเจอแล้วนี่”
ภูวนัยยกมือไหว้
“สวัสดีครับ ได้ข่าวว่าคุณป้าไม่ค่อยสบายเหรอครับ”
“ไม่สบาย” ลำไยงง ไผ่พญาแอบเอามือหยิกก้นลำไย ลำไยร้องโอ๊ย
“อุ้ย เป็นไรป้า ปวดท้องอีกแล้วเหรอ”
“ให้ผมพาไปโรงพยาบาลมั้ย”
“ไม่ต้องหรอก นอนพักแป๊ปเดียวก็หาย ยิ่งได้นอนห้องแอร์รับรองพรุ่งนี้หายเป็นปลิดทิ้ง เอ่อ...ถ้าอย่างนั้นฉันพาป้าขึ้นไปพักที่ห้องก่อนนะ”
ภูวนัยพยักหน้า ไผ่พญารีบจับลำไยแกมบังคับให้เดินตาม ภูวนัยมองตามรู้สึกแปลกๆ ระหว่างนั้นเสียงมือถือของภูวนัยดังขึ้น ภูวนัยหยิบมือถือขึ้นมาดูแล้วแปลกใจเมื่อเห็น SMS
“ผู้กำกับฝากของเอาไว้ให้คุณ”
ภูวนัยเห็นอย่างนั้นก็สงสัยว่าคนที่โทร.มาเป็นใคร แต่ก็ดีใจที่จะได้หลักฐานจากมารุต
ภูวนัยเดินเข้ามาที่ริมน้ำเปลี่ยวที่เป็นสถานที่ที่เคยนัดพบกับมารุต ภูวนัยมองไปรอบๆ มองหาชายลึกลับคนนั้น ระหว่างนั้นเห็นเท้าใครคนหนึ่งก้าวเข้ามา
ภูวนัยได้ยินเสียงก็รีบหันขวับไปมองทันทีแล้วภูวนัยก็ต้องแปลกใจ
“ชาติ” ชาติกล้าเดินเข้ามาหาภูวนัย “ชาติ...แกก็ได้รับโทรศัพท์เหมือนกันเหรอ”
ชาติกล้าแค่นยิ้ม ภูวนัยแปลกใจ
“เปล่า”
“แล้วแกมาที่นี่ได้ยังไง”
“ภู ฉันเตือนแกแล้วนะว่าอย่ายุ่งกับคดีนี้”
“ไอ้ชาติ บอกมาว่าแกมาที่นี่ได้ยังไง ใครบอกแก”
“ทำไมฉันจะมาไม่ได้ ก็ในเมื่อฉันเป็นคนส่งแมสเสสบอกแกเอง”
ภูวนัยเริ่มเอะใจบางอย่าง
“แกทำอย่างนี้ทำไม”
“ก็แกอยากรู้ไม่ใช่เหรอว่าใครเป็นหนอนบ่อนไส้ในหน่วยเรา”
“แกรู้เหรอ”
“ทำไมจะไม่รู้ เรื่องนี้ทำไมแกไม่ถามฉัน แกถามผู้กำกับจะไปรู้จริงเท่าฉันได้ยังไง”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็รีบเข้ามาหาชาติกล้าแล้วจับแขนเขย่าด้วยความอยากรู้ทันที
“ใคร...ใคร...บอกฉันมา”
ชาติกล้ายิ้มเหี้ยม
“ฉันเองไง”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็เหมือนโดนฟ้าผ่า ทันใดนั้นเสียงปืนเก็บเสียงก็ดังขึ้น ปุ๊! ภูวนัยสะอึก ก่อนจะก้มลงดูที่ท้องตัวเองก็เห็นชาติกล้าใส่ถุงมือดำพร้อมกับปืนเก็บเสียงที่ยิงเข้าที่ท้องของภูวนัย ภูวนัยเอามือกุมท้องเห็นเลือดไหลออกมาไม่หยุด ภูวนัยถอยกรูดไปพยายามหนี
“ชาติ แก...ทำอย่างนี้ทำไม”
ภูวนัยพยายามเหวี่ยงหมัดใส่ชาติกล้าด้วยความโกรธ แต่มันก็ทั้งช้าและเบาเหลือเกิน ชาติกล้าหลบแล้วค่อยๆเฉลยความจริง
“ไอ้ภู แกรู้มั้ยว่าฉันรอวันนี้มานานแค่ไหน วันที่ฉันจะออกจากเงาของแก”
“แกพูดอะไร”
ชาติกล้าเดินเข้ามาก่อนจะเตะไปที่ท้องของภูวนัย
“เจ็บละซิ” ภูวนัยกุมท้อง เจ็บจนพูดไม่ออก “แต่ความเจ็บของแก คงไม่เท่ากับที่แกทำกับฉัน”
“ฉันไปทำอะไรให้แก ไอ้ชาติ”
“แกทำให้ฉันเป็นที่สองไง” ภูวนัยมองชาติกล้าด้วยความสับสน ไม่ว่าจะเรื่องเรียน...เรื่องงาน...หรือเรื่องปลายฟ้า...แกทำให้ฉันเป็นรองแกมาตลอด”
ชาติกล้าพูดจบก็ต่อยภูวนัยระบายแค้นอีก
“ชาติ เราเป็นเพื่อนกัน ทำไมแกไม่คุยกับฉัน”
“คุยเพื่ออะไร แกมีศักดิ์ศรี แล้วฉันไม่มีหรือไงวะ”
ภูวนัยพยายามลุกขึ้น แล้วพูดให้ชาติกล้ากลับใจ
“ชาติ แกกลับใจตอนนี้ยังไม่สายนะ ฉันจะกันแกไว้เป็นพยานเอง” ทันใดนั้นชาติกล้าก็ยิงใส่ที่หัวไหล่ภูวนัยอีก ปุ๊! “อ้าก”
“แกคิดว่าฉันเป็นตำรวจทำไม ฉันไม่ได้รักความยุติธรรมเพ้อฝันอย่างแก ที่ฉันเป็นตำรวจเพราะอำนาจ แกไม่รู้เหรอว่าพวกเราน่ะมีอำนาจมากแค่ไหน”
“ชาติ ฉันขอร้อง”
“ที่จริงฉันไม่ใช่แค่หนอนบ่อนไส้อย่างที่แกกล่าวหาฉันหรอกนะ เพราะฉันเป็นคนฆ่าพวกมันเองกับมือ ไม่ว่าจะเป็นไอ้สมสุข...เมียมัน...แล้วก็ผู้กำกับที่เคารพรักของแก”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็ยิ่งโกรธจนแทบบ้า ภูวนัยใช้แรงเฮือกสุดท้ายพยายามเหวี่ยงหมัดใส่ชาติกล้าอีก ชาติกล้าหลบทำให้ภูวนัยเสียหลักพุ่งไปหยุดที่ริมน้ำ ภูวนัยหันมาแล้วภูวนัยก็ชะงักไปเมื่อเห็นชาติกล้าเล็งปืนมาที่เขา
“โชคดีไอ้ภู”
ชาติกล้าลั่นไกใส่ภูวนัยทันที กระสุนพุ่งเข้าที่ร่างของภูวนัย
ภูวนัยถูกกระสุนของชาติกล้าเข้าที่หัวไหล่อย่างจัง ร่างของภูวนัยเซไปตามแรงกระแทกของกระสุนจนร่วงหล่นลงน้ำ ร่างของภูวนัยหล่นกระแทกพื้นน้ำดังตูม!
ศรีษะของภูวนัยกระแทกเข้ากับเสาปูนที่อยู่ใต้พื้นน้ำร่างของภูวนัยค่อยๆจมลงสู่เบื้องล่าง
ชาติกล้าเดินเข้ามาที่ริมน้ำมองหาภูวนัย ชาติกล้ากำลังจะยิงซ้ำ แต่มีคนเดินเข้ามาทำให้ชาติกล้าชะงักแล้วรีบเก็บปืน ชาติกล้ามองไปที่ผืนน้ำที่เชี่ยวกรากคิดว่าภูวนัยคงไม่รอดแน่ๆ
ชายหญิงคู่หนึ่งกำลังนั่งพลอดรักกันที่ริมน้ำสุดแสนโรแมนติคตรงบันไดท่าน้ำที่เป็นที่ปลอดคน ฝ่ายชายพยายามเล้าโลม ขณะที่ฝ่ายหญิงพยายามปัดป้อง
“พี่อ่ะ อย่าซิ เดี๋ยวใครมาเห็นหรอก”
“ไม่มีหรอก”
ทันใดนั้นภูวนัยก็โผล่พ้นน้ำขึ้นมาตรงหน้า ชายกับหญิงเห็นอย่างนั้นก็ตกใจทั้งคู่รีบลุกขึ้นแล้วถอยกรูดขึ้นบันไดท่าน้ำ ภูวนัยตะเกียกตะกายขึ้นมาฟุบอยู่ที่บันไดในอาการสาหัสพยายามร้องขอความช่วยเหลือ
“ช่ว...”
ภูวนัยพูดได้แค่นั้นก่อนจะหมดสติไป
อีกด้านหนึ่งที่โรงแรม ไผ่พญาเดินลงมาบริเวณล็อบบี้ ก่อนจะมองไปรอบๆ เพื่อมองหาภูวนัย
“หรือว่าขึ้นห้องไปแล้ว” ไผ่พญาสงสัยก่อนจะเดินไปที่เคาน์เตอร์แล้วถามพนักงานต้อนรับ “โทษนะคะ คือคนชื่อภูวนัยพักอยู่ห้องไหนค่ะ”
“แล้วคุณเป็นอะไรกับเขาค่ะ”
“เอ่อ ฉันเป็นเมียเขาน่ะคะ พอดีช่วงนี้เรางอนๆ กันนิดหน่อย”
“อ๋อ ค่ะ รอซักครู่นะคะ”
พนักงานกดดูรายชื่อในคอมพ์แล้วทำหน้าแปลกใจ
“ภูวนัยเหรอคะ...ไม่มีนะคะ”
“อ้าวเหรอคะ”
ไผ่พญาเดินออกมางงๆ แล้วนั่งลงที่ล็อบบี้ดูโทรทัศน์รอภูวนัยกลับมา ระหว่างนั้นโทรทัศน์เสนอข่าว
“ขณะนี้พบชายไม่ทราบชื่อถูกยิงบริเวณท่าน้ำสะพานพระราม8”
ไผ่พญาเห็นหน่วยอาสาฯ กำลังลำเลียงชายคนนึงผ่านหลังผู้สื่อข่าว ไผ่พญามองไปที่ชายคนนั้นแล้วก็ต้องตกใจเพราะเขาคือภูวนัย
ชาติกล้านั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในหน่วยที่ปิดไฟกันหมดแล้ว มีเพียงโต๊ะทำงานของเขาเท่านั้นที่เปิดไฟอยู่ ชาติกล้าทบทวนเรื่องที่ตัวเองยิงภูวนัยไป ชาติกล้าหยิบมือถือขึ้นมาแล้วกดดูเบอร์โทรศัพท์ของภูวนัย ชาติกล้ากดลบเบอร์ภูวนัยทิ้ง ก่อนจะพิงเก้าอี้อย่างโล่งใจ
ระหว่างนั้นไฟในห้องสว่างขึ้น ชาติกล้าระวังตัวก่อนจะได้ยินเสียงวีระกับราชัยเดินเข้ามา
“อ้าว หัวหน้ายังไม่กลับเหรอครับ”
ชาติกล้ารีบจัดข้าวของเหมือนเพิ่งทำงานเสร็จ
“กำลังจะกลับพอดี แล้วพวกนายกลับมาทำไม”
“หัวหน้ายังไม่รู้เรื่องหมวดภูเหรอครับ”
ชาติกล้าชะงักไปก่อนจะเก็บอาการแล้วทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“มีอะไร ไอ้ภูทำไม”
“ก็มีคนพบหมวดภูถูกยิงที่สะพานพระราม8 น่ะครับ”
“ไอ้ภูถูกยิง! แล้ว...เป็นไง”
ชาติกล้าถามเหมือนอยากได้ยินว่าภูวนัยเป็นศพไปแล้ว แต่วีระกลับพูดขึ้นว่า
“สาหัส แต่ไม่ตายครับ ตอนนี้หมวดภูถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลแล้วครับ นี่พวกเรากลับมาเอาของแล้วจะไปหาหมวดภูกัน...หมวดไปด้วยกันมั้ยครับ”
“ได้ เดี๋ยวผมขอจัดการอะไรให้เรียบร้อยก่อน แล้วผมจะรีบตามไปแล้วกัน”
วีระกับราชัยทำความเคารพชาติกล้า ก่อนที่ทั้งสองจะรีบเดินออกไป ชาติกล้าอึ้งกับสิ่งที่ได้ยินแววตาเหี้ยมขึ้นมาทันที
“ไอ้ภู”
ภายในห้องไอซียูของโรงพยาบาล ไฟในห้องผ่าตัดสว่างขึ้น ภูวนัยนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงผ่าตัด หมอมองภูวนัยเพื่อวิเคราะห์อาการ
“คนไข้ถูกยิงสามจุด ที่ท้องและที่หัวไหล่”
พยาบาลดูที่ศรีษะของภูวนัยแล้วรายงาน
“ที่ศรีษะมีแผลแตกยาวด้วยค่ะ”
“ตัดผมคนไข้ได้เลย ผมขอเอาหัวกระสุนออกก่อน”
หมอกับพยาบาลต่างพยายามช่วยชีวิตภูวนัยกันเต็มที่
ไผ่พญารีบวิ่งเข้ามาที่ประตูโรงพยาบาล จังหวะเดียวกันนี้ก็เห็นชาติกล้าเดินมาอีกมุม ไผ่พญาเดินมากำลังจะถึง ชาติกล้าเองก็เดินมาใกล้เกือบจะเจอกัน
แต่แล้วทันใดนั้นก็มีตำรวจสองนายเดินออกมาจากประตู ไผ่พญาเห็นตำรวจก็ชะงักแล้วทำเป็นหันหลังเหมือนยืนรอใครบางคน ขณะที่ตำรวจทั้งสองทำความเคารพชาติกล้าแล้วเดินออกไป ชาติกล้าจึงเดินเข้าไปก่อน
ตำรวจเดินผ่านหลังไผ่พญาไป ไผ่พญาจึงค่อยๆ หันกลับมาแล้วเดินเข้าประตูไป ชาติกล้าเดินผ่านเข้าไปด้านใน ขณะที่ไผ่พญาเข้ามาที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์
“ฉันมาหาชายคนที่ถูกยิงน่ะคะ”
“พบที่สะพานพระราม8 หรือเปล่าคะ”
“ค่ะ”
“ดูเหมือนว่ายังไม่ออกจากห้องผ่าตัดเลยค่ะ”
“แล้วห้องผ่าตัดไปทางไหนค่ะ
“ตรงไปแล้วเลี้ยวขวาค่ะ”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็รีบวิ่งออกไป
ราชัยนั่งรออยู่ที่เก้าอี้ ตำรวจในเครื่องแบบยืนรอกันบ้างบางส่วน ระหว่างนั้นชาติกล้าเดินเข้ามา ราชัยเห็นก็ลุกขึ้น ชาติกล้ายกมือห้าม
“ไม่ต้องมากพิธี ภูอยู่ไหน”
“ยังไม่ออกจากห้องผ่าตัดเลยครับ”
ไผ่พญาเดินเข้ามาพอเห็นตำรวจก็ตกใจ
“ทำไมมากันเยอะแยะอย่างนี้เนี่ย”
ไผ่พญาหันหลังจะเดินกลับ แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นตำรวจกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาอีก ไผ่พญานึกกลัวไปเองเลยหันมองรอบๆ ก่อนจะตัดสินใจพุ่งเข้าไปในห้องนึงที่อยู่ตรงหน้า
ไผ่พญาเข้ามาในห้อง แล้วก็เห็นว่าเป็นห้องตรวจโรคห้องหนึ่ง ไผ่พญาเหลือบไปเห็นชุดกราวด์แล้วไผ่พญาก็ได้ความคิดบางอย่างขึ้นมา
ไผ่พญาใส่เสื้อกราวด์พร้อมกับผ้าปิดจมูกเดินออกมาจากห้อง ไผ่พญาเดินผ่านตำรวจที่ยืนเรียงรายกันมาตามทางพร้อมกับใจตุ่มๆ ต่อมๆ ไผ่พญาเดินมาจนใกล้จะถึงที่ชาติกล้ากับราชัยยืนอยู่ ระหว่างนั้นชาติกล้าหันมา ไผ่พญาตกใจเมื่อเห็นชาติกล้าเพราะจำได้ว่าเป็นตำรวจแล้วก็เป็นเพื่อนภูวนัย ชาติกล้ามองมาแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนทันที ชาติกล้ารีบเดินเข้ามาหาไผ่พญา
“ได้เรื่องว่าไง”
ไผ่พญาที่ใส่หน้ากากอยู่ถึงกับงงที่อยู่ๆ ชาติกล้าก็มาถามเธอ แต่แล้วไผ่พญาก็เพิ่งถึงบางอ้อว่าชาติกล้าไม่ถามเธอเพราะเสียงของวีระดังขึ้นด้านหลังไผ่พญา
“พยานเจอหมวดหลังจากที่ถูกยิงแล้วครับ”
ไผ่พญาโล่งอกที่ชาติกล้าไม่ได้คุยกับเธอ ไผ่พญารีบเดินผ่านก่อนจะสวนกับพยาบาลที่เดินเข้ามา พยาบาลแจ้งกับราชัยที่นั่งคอย
“ตอนนี้คนไข้ปลอดภัยแล้วนะคะ”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็ดีใจ แต่ต้องเก็บอาการเอาไว้ ผิดกับชาติกล้าที่ต้องเก็บความเจ็บใจเอาไว้ ชาติกล้ารีบเดินเข้ามาหาพยาบาล
“เยี่ยมได้หรือยังครับ”
“ยังค่ะ ถึงคนไข้จะพ้นขีดอันตรายแล้วแต่ก็ยังต้องอยู่ในห้องไอซียู”
ไผ่พญาได้ยินว่าภูวนัยอยู่ห้องไอซียูก็รีบเดินออกไป
“ขอบคุณครับ” พยาบาลเดินออกไป ชาติกล้าหันไปบอกวีระกับราชัย “พวกเรากลับไปก่อนเถอะ อยู่ไปก็เยี่ยมไม่ได้”
“แต่พวกเราเป็นห่วงหมวดเขาน่ะครับ”
“ห่วงทำไม เมื่อกี้พยาบาลก็บอกแล้วว่าพ้นขีดอันตรายแล้ว ทางที่ดีเราควรกลับไปพักผ่อนแล้วตามล่าไอ้คนที่มันทำหมวดภูจะดีกว่า”
“หมวดภู...อย่าให้รู้นะว่าใครทำ”
ชาติกล้า วีระและราชัยต่างเดินออกไป
ภูวนัยนอนอยู่บนเตียงภายในห้องไอซียู มีเครื่องชีวิตและอุปกรณ์ต่างๆ ระโยงระยางเต็มไปหมด ไผ่พญายืนอยู่
มองภูวนัยอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“ทำไม ทำไมนายถึงเป็นแบบนี้ได้” ไผ่พญาตัดสินใจค่อยๆ เอื้อมมือไปจับมือของภูวนัยขึ้นมา “นี่ฉันเองนะ นายได้ยินฉันมั้ย”
ทุกอย่างเงียบสนิท ไม่มีการตอบรับใดๆ ไม่ว่าจะเป็นปฏิกิริยาของภูวนัยหรือเครื่องมือต่างๆ ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ระหว่างนั้นไผ่พญาเหลือบไปเห็นคนเดินมา ไผ่พญาตกใจรีบหาที่ซ่อน
ด้านนอกเห็นว่าเป็นชาติกล้านั่นเองที่เดินมา ชาติกล้าหยุดหน้าห้องไอซียูก่อนจะมองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครจึงเปิดประตูเข้าไปในห้องไอซียู
ชาติกล้าเข้ามาในห้องแล้วมองไปรอบห้องเห็นว่าไม่มีใครอยู่ ซึ่งขณะนั้นไผ่พญาหลบอยู่ใต้เตียงที่ภูวนัยนอนอยู่ ไผ่พญาลุ้นระทึก
“ไอ้ภู...” ไผ่พญาพยายามทำตัวเงียบที่สุดเพราะคิดว่าเพื่อนกำลังจะซึ้งกัน “ทำไมแกไม่ตายวะ”
ไผ่พญาตกใจที่ได้ยินคำพูดแบบนั้น ไผ่พญาหลบอยู่ใต้เตียงเลยไม่เห็นว่าเป็นใคร ไผ่พญาเลยค่อยๆ ชะโงกหน้าออกมาเพื่อมองดู พอไผ่พญาชะโงกหน้าออกมาก็เป็นจังหวะที่ชาติกล้าหยิบปืนออกมาพร้อมกับที่เก็บเสียง ไผ่พญาตกใจเมื่อเห็นปืน
ไผ่พญารีบมุดกลับไปใต้เตียงแล้วคิดๆๆ ว่าจะช่วยภูวนัยยังไง แล้วไผ่พญาก็เหลือบไปเห็นที่กดเรียกพยาบาล ไผ่พญารีบกดปุ่มทันที ชาติกล้ากำลังหมุนที่เก็บเสียงติดที่ปลายปืน ชาติกล้าเล็งปืนไปที่ภูวนัยกำลังเหนี่ยวไกแต่แล้วระหว่างนั้นพยาบาลก็เดินมา ชาติกล้าได้ยินเสียงคนเดินมาก็รีบเก็บปืนพยาบาลเข้ามาภายในห้องไอซียูพอดี
“มีอะไรคะ”
ชาติกล้างงที่พยาบาลถามอย่างนั้น เพราะพยาบาลเข้าใจว่าชาติกล้าเรียก ไผ่พญาโล่งอกที่พยาบาลเข้ามาได้ทันเวลา พยาบาลนึกได้
“อ้าว...แล้วนี่คุณเข้ามาได้ยังไง ยังเยี่ยมไม่ได้นะคะ”
“เอ่อ ได้ครับ แล้วพรุ่งนี้ผมจะมาเยี่ยมใหม่”
ชาติกล้ารีบเดินออกไป ไผ่พญาโล่งอก
ชาติกล้าเดินออกมาจากห้องไอซียู ชาติกล้าเดินไปตามทางก่อนจะเลี้ยวไปตามทาง ไม่นานชาติกล้าก็โผล่หน้าออกมาเพื่อแอบดูหน้าห้องไอซียู ระหว่างนั้นพยาบาลเดินออกมาจากห้องไอซียู ชาติกล้ารอให้พยาบาลเดินไปจนลับสายตาก่อนจะรีบเดินมาที่ห้องไอซียู
ชาติกล้าเดินมาถึงหน้าห้องไอซียู กำลังจะเปิดประตูเข้าไปเป็นจังหวะเดียวกับที่ไผ่พญาเปิดประตูออกมา
ไผ่พญาใจหายวาบเมื่อปะหน้ากับชาติกล้าอย่างจัง
“ว้าย”
ชาติกล้าตกใจเหมือนกัน
“เอ่อ ขอโทษครับหมอ”
ไผ่พญาเพิ่งนึกได้ว่าเธอแต่งเป็นหมอ แถมปิดหน้าปิดตาอย่างนี้เลยทำให้ชาติกล้าจำไม่ได้
“มีอะไรคะ พยาบาลไม่ได้บอกเหรอคะว่าห้ามเยี่ยม”
“ครับ ผมจะกลับแล้วพอดีผมนึกขึ้นได้ว่าผมลืมของเอาไว้”
ไผ่พญารู้ได้ทันทีว่าชาติกล้าคือคนที่จะเข้าไปยิงภูวนัย ไผ่พญารีบคิดหาทาง แล้วก็นึกออก
“แล้วคุณเป็นอะไรกับคนไข้คะ”
“ผมเป็นเพื่อนหมวดภูครับ”
“ถ้าอย่างนั้นดีเลยคะ เดี๋ยวช่วยไปเซ็นต์เอกสารยินยอมตรงโน้นก่อนได้มั้ยคะ”
“เอ่อ...”
“ไม่นานหรอกค่ะ”
ชาติกล้าจำยอมต้องไปเพราะไม่อยากให้สงสัย ไผ่พญามองตามชาติกล้าไปแล้วครุ่นคิดว่าจะช่วยตัวเองและภูวนัยจากการสังหารของชาติกล้ายังไง
ชาติกล้าเดินมาที่หวอด เห็นพยาบาลอยู่เวรเพียง 2 คน
“อ้าว ยังไม่กลับเหรอคะ” พยาบาลถามชาติกล้า
“คุณหมอให้ผมมาเซ็นต์เอกสารครับ”
“คุณหมอ...คุณหมออะไรคะ ตอนนี้คุณหมอแกกลับบ้านกันไปหมดแล้วละค่ะ”
ชาติกล้าได้ยินอย่างนั้นก็เฉลียวใจขึ้นมาจึงรีบวิ่งกลับไปทันที พยาบาลมองตามกันงงๆ
ชาติกล้าวิ่งเข้ามาที่ห้องไอซียูแล้วชาติกล้าก็ตกใจเมื่อเห็นว่าภูวนัยหายไปแล้ว
“ฮึ่ย”
ไผ่พญาเข็นภูวนัยที่นอนอยู่บนเตียงมาตามทาง ไผ่พญาวิ่งอย่างเร็วจนเกือบชนกับคนที่ตามทางเดินหลายครั้ง
“ขอโทษคะ ขอโทษคะ ฉุกเฉินคะฉุกเฉิน หลบๆ”
ผู้คนแตกกระเจิง ชาติกล้าวิ่งมาก่อนจะมองซ้ายและขวาแล้วชาติกล้าก็หันไปเห็นไผ่พญากำลังเข็นภูวนัยไปตามทาง ไผ่พญาเข็นภูวนัยต่อมาแล้วไผ่พญาก็เหลือบไปเห็นเงาสะท้อนภายในกระจกเห็นชาติกล้าตามมาด้านหลัง
“เฮ้ย”
ไผ่พญาตกใจ รีบเข็นภูวนัยเลี้ยวไปอีกทาง ชาติกล้ารีบวิ่งตามไป
ไผ่พญาเข็นภูวนัยเลี้ยวมาตามทาง ไผ่พญามองทางที่ทอดยาวแล้วคิดว่าถ้าวิ่งต่อไปชาติกล้าต้องไล่ทันแน่ๆ ไผ่พญาจึงตัดสินใจเข็นภูวนัยหลบเข้าไปในห้องข้างๆ ทันที
ชาติกล้าวิ่งตามมาแล้วมองทางตรงเพื่อมองหาไผ่พญา แต่ชาติกล้าไม่เห็นในเมื่อทางตรงไม่มีไผ่พญา เพราะฉะนั้นเธอต้องเลี้ยวไปอีกทางแน่นอน ชาติกล้ารีบวิ่งตามไปทันที
หลังจากชาติกล้าไปไม่นาน ไผ่พญาก็เข็นภูวนัยออกมาจากห้องแล้วรีบเข็นกลับไปทางเก่า
ชาติกล้าวิ่งมาตามทางเดิน ชาติกล้าหยุดวิ่งแล้วใช้สายตากวาดมอง ชาติกล้าไม่เห็นไผ่พญาก็เริ่มใช้ความคิด
ชาติกล้ารู้ทันทีว่าไผ่พญาไม่ได้มาทางนี้จึงรีบวิ่งกลับไป
ไผ่พญาเข็นภูวนัยวิ่งเต็มฝีเท้ามาตามทางเดิน ชาติกล้าวิ่งตามเข้ามา ไผ่พญาหันไปมองเป็นระยะ
“หลบหน่อยคะ หลบหน่อย”
ไผ่พญาเข็นภูวนัยเลี้ยวไป ชาติกล้าวิ่งตามมาแล้วเลี้ยวตามไป
ไผ่พญาเข็นภูวนัยวิ่งเข้ามาที่หน้าลิฟต์ก่อนจะกดปุ่มเรียกลิฟต์อย่างถี่รัว ชาติกล้าวิ่งเข้ามา ไผ่พญาก็ยิ่งลน
“มาเร็วซิ...เร็ว”
ทันใดนั้นประตูลิฟต์เปิดออก ไผ่พญารีบเข็นภูวนัยเข้าไปในลิฟต์ทันที ชาติกล้าวิ่งตามมาไม่ทันประตูลิฟต์ปิดลงซะก่อน ชาติกล้าหันมองไปเห็นบันไดหนีไฟจึงตัดสินใจวิ่งลงทางบันไดหนีไฟไป
ชาติกล้าวิ่งออกมาจากประตูหนีไฟชั้นล่าง แล้วรีบวิ่งออกมา ชาติกล้าวิ่งออกมาแล้วก็เห็นผู้หญิงที่เหมือนไผ่พญากำลังเข็นเตียงคนไข้ ชาติกล้าวิ่งเข้าไปที่ด้านหลัง
“พอได้แล้ว”
ชาติกล้าจับไหล่คนที่คิดว่าใช่ไผ่พญาเอาไว้ แต่พอผู้หญิงคนนั้นหันมากลับไม่ใช่ไผ่พญา
“อะไรกันคุณ”
“เอ่อ...ขอโทษครับ”
ชาติกล้าใช้ความคิดทันทีว่าทำยังไงถึงจะไปดักหน้าไผ่พญาได้
ไผ่พญาเข็นภูวนัยมาตามทางที่วังเวง แล้วเธอก็หยุดพัก
“ไม่ไหวแล้ว ขอพักหน่อยนะ” ไผ่พญามองภูวนัยที่หมดสตินอนไม่รู้เรื่อง “นายจะรู้มั้ยเนี่ยว่าฉันต้องเหนื่อยแค่ไหน”
ไผ่พญาบ่นบ้าเป็นเชิงตัดพ้อกับภูวนัย แต่ทันใดนั้นไผ่พญาก็เหลือบไปเห็นป้ายหน้าห้องที่อยู่หน้าเธอว่า “ห้องดับจิต” ไผ่พญาขนลุกซู่รีบลุกขึ้นจะเข็นภูวนัยไปต่อ แต่แล้วไผ่พญาก็หยุดแล้วหันไปมองที่ห้องดับจิตเหมือนมีความคิดดีๆ
รถคันนึงจอดอยู่ด้านหลังของโรงพยาบาล ชายคนนึงลงจากรถแล้วเดินมาเปิดท้ายรถขนของ ระหว่างนั้นไผ่พญาเข็นภูวนัยที่เอาผ้าปิดหน้าออกมา ชายคนนั้นเห็นไผ่พญาเข็นศพออกมาอย่างนั้นก็รีบเข้ามาทัก
“สวัสดีครับ ผมมาจากสุริยาหีบศพครับ”
ไผ่พญางงๆ และยังลนอยู่
“หือ”
“ใช่ศพคุณผดุงหรือเปล่าครับ”
“อ๋อ ใช่...ใช่คะใช่...เอาขึ้นไปเลยคะ”
ชายคนนั้นรับช่วงต่อจากไผ่พญา ไผ่พญามองคนรับศพกำลังลำเลียงภูวนัยขึ้นไป เมื่อไผ่พญาเห็นว่าเรียบร้อยแล้วก็เดินไปจะขึ้นรถ
“อ้าว คุณหมอจะไปไหนครับ”
“เอ่อ ก็เขาเป็นพี่ชายฉัน ฉันก็ต้องไปด้วยซิ”
คนรับศพเพิ่งถึงบางอ้อจึงไม่ว่าอะไร ไผ่พญาขึ้นรถ อีกมุมหนึ่งเห็นชาติกล้าวิ่งออกมา ชาติกล้ามองไปก็เห็นไผ่พญากำลังขึ้นรถ ชาติกล้ารีบวิ่งเข้ามาแต่ไม่ทันเพราะรถของสุริยาหีบศพขับออกไปซะแล้ว
“โธ่เว้ย”
ที่โรงแรม ลำไยเดินลงมาที่ล็อบบี้แล้วมองหาไผ่พญา
“ไปไหนของมันวะ”ลำไยไม่เห็นไผ่พญาจึงเดินเข้าไปถามพนักงานที่อยู่ที่เคาน์เตอร์ “นี่ เห็นลูกสาวฉันมั้ย”
“หน้าตาเป็นยังไงคะ”
“ผมยาวๆ ตาคมๆ”
“ไม่เห็นเลยค่ะ”
ลำไยเดินออกมาด้วยความสงสัย แล้วลำไยก็นึกขึ้นได้
“หรือว่านังไผ่มันจะให้ฉันจ่ายค่าโรงแรม หนอย...นังลูกคนนี้”
ระหว่างนั้นเสียงมือถือของลำไยดังขึ้น ลำไยตกใจก่อนจะมองเบอร์ที่ไม่คุ้น
“เบอร์ใครวะ” ลำไยตัดสินใจกดรับ “ฮัลโหล...นังไผ่ นี่แกอยู่ไหน...แกคิดจะให้ฉัน” ลำไยชะงักไป “อะไรนะ ให้ฉันไปไหนนะ”
ที่วัดแห่งหนึ่ง ไผ่พญาเดินกลับมาที่ศาลาก่อนจะแอบมองไปที่ศาลาอย่างระวัง ไผ่พญาจ้องไปที่โลงศพที่ถูกวางเอาไว้ข้างศาลามีพระกำลังคุยกับสัปเหร่อ
“แป๊ปนึงครับหลวงพี่ เดี๋ยวผมไปตามพวกเด็กๆ มาช่วยยก”
“ก็รีบไปซิ. เดี๋ยวญาติเขามาเห็นว่าวางโลงไว้อย่างนี้มันไม่ดี”
สัปเหร่อได้ยินอย่างนั้นก็รีบไปตามที่หลวงพี่สั่ง ก่อนที่หลวงพี่จะเดินออกไปอีกทาง
“รอก่อนนะ เดี๋ยวฉันจะช่วยนายออกมาเอง” ไผ่พญามองไปทางหน้าวัด “ทำไมยังไม่มาอีกเนี่ย”
ไผ่พญาหันกลับมาแล้วเห็นว่าไม่มีใครอยู่แล้ว จึงรีบวิ่งเข้ามาที่โลง ไผ่พญามองซ้ายมองขวาเมื่อไม่เห็นใครก็รีบเปิดโลงออกก่อนจะเห็นภูวนัยนอนเจ็บอยู่ข้างใน ไผ่พญาพยายามจะดึงภูวนัยออกจากโลง จังหวะนั้นหลวงพี่เดินกลับมา ไผ่พญาได้ยินเสียงฝีเท้าเลยรีบปิดฝาโลงเอาไว้เหมือนเดิมก่อนที่ตัวเองจะรีบก้มหลบหลังโลง
หลวงพี่เดินกลับมากำลังจะผ่านโลง ระหว่างนั้นลำไยเดินเมียงมองหาไผ่พญาเข้ามาพอดี ลำไยเดินมาเจอกับหลวงพี่ก็รีบเรียกเอาไว้
“หลวงพี่คะ”
“ว่าไงโยม”
“ศาลาสี่อยู่ไหนคะ”
หลวงพี่ยิ้มแล้วชี้ไปด้านหลัง
“เป็นญาติคุณผดุงเหรอโยมน่ะ”
“หือ”
ไผ่พญาที่หลบอยู่ด้านหลังของโลงก็พยายามเรียกลำไยเอาไว้เพราะกลัวว่าลำไยจะตอบผิดๆ ถูกๆ
“แม่”
ทั้งลำไยและหลวงพี่ต่างชะงักเพราะเสียงของไผ่พญา
“หลวงพี่เรียกอิฉันเหรอคะ”
หลวงพี่ส่ายหน้า ไผ่พญาพยายามเรียกอีก
“แม่”
ทั้งลำไยและหลวงพี่หันมองไปที่โลง เริ่มขนลุก
“เอ่อ อาตมาไปนะ อยู่กับสีกาสองต่อสองมันไม่ดี”
ว่าแล้วหลวงพี่ก็รีบเดินออกไป
“อ้าว หลวงพี่ หลวงพี่”
ไผ่พญาเห็นหลวงพี่ไปแล้วก็รีบออกจากที่ซ่อนเข้ามาหาลำไย
“แม่”
ลำไยหันกลับมาเห็นไผ่พญาก็ตกใจ
“ว้าย ตาเถรป๊อกเก้า”
ไผ่พญารีบเข้ามาปิดปากลำไย
“เบาๆ ซิแม่”
ลำไยตั้งสติได้ก็เอามือไผ่พญาออก
“ไอ้ไผ่ อยากให้ฉันหัวใจวายตายหรือไง แล้วเรียกฉันมานี่ทำไม อย่าบอกนะว่าแกปลงตกคิดจะบวชตลอดชีวิต”
“โว้...ไปใหญ่แล้วแม่ มานี่ แม่ช่วยฉันหน่อย”
ไผ่พญาพูดจบก็ไปดันฝาโลง ลำไยเห็นก็ตกใจ
“เฮ้ย! แกจะทำอะไร หยุดเลยไม่งั้นฉันวิ่งจริงๆ ด้วย”
ไผ่พญารู้ว่าลำไยกลัว เลยเดินเข้ามาจับลำไยแล้วดึงมาที่โลง
“ไม่ได้มีใครตาย แต่ถ้าแม่ไม่ช่วย เขาต้องตายแน่ๆ”
ลำไยสงสัยในคำพูดของไผ่พญา เลยชะโงกมองเข้าไปในโลงแล้วลำไยก็ตกใจเมื่อเห็นภูวนัยนอนอยู่ในโลง
“เฮ้ย! นี่มัน”
ลำไยหันมองไผ่พญาทั้งสงสัยทั้งตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น
วศินตบโต๊ะเสียงดังด้วยความโมโหเมื่อรู้ว่าชาติกล้าทำอะไรลงไป
“ลื้อปัญญาอ่อนหรือไง ทำอะไรทำไมไม่ปรึกษาอั้วก่อนวะ”
ชาติกล้าหน้าเครียด
“ท่านไม่รู้จักมันเหมือนผม ไอ้ภูมันเหมือนหมาบ้า ผมเกรงว่าถ้าปล่อยไว้มันจะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว”
“แล้วไง ก็เลยจะปิดปาก ลื้อกลัวอะไรวะมันก็แค่ตำรวจเล็กๆ คนนึง ต่อให้มันรู้เรื่องลื้อเรื่องอั้วหรือจะรู้มากไปกว่านี้ มันก็ทำอะไรไม่ได้” ชาติกล้ายืนนิ่งไม่ตอบ วศินทิ้งตัวลงนั่งอย่างมีอารมณ์ “แล้วลื้อมาหาอั้วทำไม คงไม่ได้ให้อั้วลงไปยุ่งด้วยใช่มั้ย”
“ไม่ต้องหรอกครับท่าน ผมมีแผนของผมอยู่แล้วครับ ผมแค่มาบอกท่านเพื่อให้ท่านรับรองในสิ่งที่ผมกำลังจะทำ”
“ลื้อจะทำอะไร”
“ในเมื่อเรารับบทคนดี มันก็ต้องมีคนที่รับบทเป็นผู้ร้ายใช่มั้ยครับ”
วศินได้ยินอย่างนั้นก็รู้ว่าชาติกล้าจะทำอะไร
ที่ฟาร์มสุข ม่านหมอกเดินมาที่ต้นไม้ใหญ่ที่เป็นที่ประจำของเธอ แต่พอม่านหมอกเดินพ้นมุมต้นไม้มา ม่านหมอกก็ต้องชะงักเพราะเห็นผจญนั่งอยู่ ผจญได้ยินเสียงคนเดินมาก็หันไปดูพอเห็นว่าเป็นม่านหมอก ผจญถึงกับกระเด้งตัวเองลุกขึ้นทันที
“คุณหมอก”
ม่านหมอกทำหน้าเซ็ง
“ไม่รู้หรือไงว่าตรงนี้เป็นที่ประจำฉัน”
“รู้ครับ แต่ผมเห็นว่าตรงนี้มันมีแดด เลยคิดว่าจะให้คุณหมอกนั่งอีกฝั่งน่าจะเย็นกว่านะครับ”
“ไม่ต้องมาคิดแทนฉัน ไปไหนก็ไป” ม่านหมอกเดินเข้ามา ผจญหลีกทางให้ ม่านหมอกนั่งลงแต่ยังเห็นผจญยืนละล้าละลังอยู่ “บอกว่าไปไหนก็ไปไง” ผจญก้มหน้างุดก่อนจะเดินมาอยู่อีกฝั่งของต้นไม้ ม่านหมอกเห็นอย่างนั้นก็โมโหเดินเข้ามาหาผจญ “กวนฉันหรือไง”
“เปล่าครับ ก็คุณหมอกบอกว่าผมอยากไปไหนก็ไป ก็ผมอยากอยู่ตรงนี้ผมก็เลยมายืนตรงนี้ไงครับ”
“อ๋อ...อย่างนี้เรียกว่าไม่ได้กวนเหรอ”
ม่านหมอกทำท่าจะต่อยผจญ ผจญหลับตาปี๋ ระหว่างนั้นเสียงตะวันฉายดังขึ้น
“หมอก”
ม่านหมอกกับผจญหันไปตามเสียงก็เห็นตะวันฉายเดินเข้ามาด้วยการแต่งตัวเต็มยศ ม่านหมอกเห็นตะวันฉายก็รีบเอากำปั้นลง
“พี่มาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่า”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะ”
“พี่ล้อเล่น เออ ครูไผ่ล่ะ”
ม่านหมอกได้ยินที่ตะวันฉายถามหาไผ่พญาก็แอบจี๊ดในใจ
“ครูไผ่ไปกรุงเทพฯกับอาภู”
ตะวันฉายได้ยินอย่างนั้นก็ถึงกับอึ้งไป คล้ายๆ กับโดนกระชากใจ ระหว่างนั้นเสียงของพรรณรายก็ดังแหววขึ้นมาอีกคน
“นี่...นี่”
ตะวันฉาย ม่านหมอก ผจญหันไปมองก็เห็นพรรณรายวิ่งเข้ามาอย่างทุลักทุเล
“ไปทำเสียงแหลมที่รีสอร์ตคุณเถอะ อาภูไม่อยู่”
“ฉันรู้แล้ว ถึงได้รีบมาไง” ทั้งหมดไม่เข้าใจที่พรรณรายพูด พรรณรายเห็นทุกคนทำหน้างงก็รู้ทันทีว่าทุกคนยังไม่รู้เรื่องรู้ราว “อะไร นี่ยังไม่รู้ข่าวของภูอีกเหรอ”
ทุกคนได้ยินที่พรรณรายพูดอย่างนั้นก็ชะงักไปเพราะรู้ว่าต้องมีอะไรแน่นอน
ทางด้านขิงกับกระดังงา กำลังนั่งหน้าซีเรียสอยู่ภายในบ้าน
“เอาไงดี”
“ฉันว่าเราอยู่อย่างนี้ไม่ได้แล้ว”
“ได้...เป็นไงเป็นกัน”
ขิงลงตัวโดมิโน่ไว้ที่โต๊ะมีเผ่าพงศ์และม่านเมฆนั่งเล่นอยู่ด้วย เผ่าพงศ์เห็นขิงลงเสร็จปั้ป ตัวเองก็ลงปิดท้าย
“ย้าก! นี่แน่ะ ฉันชนะ...เยส...เยส”
ขิง กระดังงาและม่านเมฆต่างร้องเสียงดายกันยกใหญ่ พรรษายกขนมนมเนยเข้ามา
“แหม ครูขิงกับครูงานี่มีวิธีสอนแปลกๆ นะคะ”
“เอ่อ ไอ้ที่ว่าแปลกนี่. มันดีหรือไม่ดีครับ” ขิงหันมองหน้ากระดังงาอย่างกลัวๆ
“ก็คงดีมั้งคะ เห็นคุณเผ่ากับคุณเมฆยิ้มได้หัวเราะได้อย่างนี้ ก็น่าจะดีค่ะ”
ขิงกับกระดังงาโล่งอก
“แน่นอนค่ะ เพราะเราถือคติที่ว่าการเรียนต้องอยู่บนพื้นฐานความสนุกค่ะ” พรรณรายเดินเข้ามาในบ้าน ทุกคนหันไปมอง “อ้าว คุณพั้นซ์” แล้วทุกคนก็สงสัยอีกเมื่อเห็นม่านหมอก ผจญและตะวันฉายเดินตามเข้ามา “มีอะไรกันเหรอคะ”
“อะไร นี่ป้า ถึงไอ้ฟาร์มนี่มันจะอยู่หลังเขา แต่ไม่ต้องทำตัวงมโข่งให้เหมือนกับที่อยู่ก็ได้นะ”
เผ่าพงศ์ได้ยินอย่างนั้นก็ไม่พอใจ
“อ้าว นี่หนูพั้นซ์ ไอ้ฟาร์มของฉันเนี่ยมันอยู่หน้าเขาน่ะ แต่ที่อยู่หลังเขาน่ะมันรีสอร์ตพ่อหนู”
ตะวันฉายเห็นอย่างนั้นก็รีบขัดขึ้นก่อนที่จะบานปลาย
“อย่าเพิ่งทะเลาะกันเลยครับ รีบดูข่าวเถอะ”
“ข่าว...ข่าวอะไรคะ”
ตะวันฉายไม่ตอบ ม่านหมอกเดินเข้ามาแล้วหยิบรีโมทกดเปิดโทรทัศน์ ม่านหมอกเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ ทุกคนสงสัยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แล้วม่านหมอกก็มาหยุดที่ช่องนึงที่เห็นนักข่าวกำลังรุมสัมภาษณ์ชาติกล้าอยู่
“นั่นน้าชาตินี่ครับ”
ทุกคนตั้งใจดูโทรทัศน์อย่างตั้งใจ
“จริงเหรอครับเรื่องที่หัวหน้าปปส.กลับเป็นคนค้ายาเอง”
“ถามให้ดีหน่อยนะครับ หัวหน้าปปส.ปัจจุบันคือผม ส่วนหมวดภูวนัยเป็นแค่อดีต” ทุกคนได้ยินที่ชาติกล้าพูดถึงภูวนัยก็ยิ่งสนใจ “ส่วนเรื่องค้ายาหรือเปล่า เรายังให้คำตอบไม่ได้แต่ในเบื้องต้นเราพบว่าหมวดภูวนัยมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้กำกับมารุต ซึ่งเป็นสายให้กับพวกค้ายาที่แฝงตัวเข้ามาอยู่ในกรมตำรวจ”
ทุกคนได้ยินอย่างนั้นก็ถึงกับอึ้งไป
“เอ่อ ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด เขากำลังบอกว่าคุณภูเป็นคนร้ายในแก็งค์ค้ายาหรือเปล่าครับ”
ขิงถามขึ้นมา แต่ทุกคนนิ่งสนิทเพราะยังช็อคอยู่ กระดังงาต้องสะกิดขิงให้สงบปากสงบคำ
ชาติกล้าเดินเข้ามาในหน่วยงาน เห็นว่าทุกคนกำลังจับกลุ่มคุยกับเรื่องที่เกิดขึ้น พอทุกคนเห็นชาติกล้าเดินเข้ามาต่างก็แยกย้ายกันไปด้วยท่าทางมึนตึงใส่ ชาติกล้าเดินผ่านทุกคนเข้ามาก็สัมผัสได้ว่าทุกคนนิ่งเงียบเหมือนไม่พอใจ ชาติกล้าเดินมาที่โต๊ะตัวเองแล้วหยุด ก่อนจะตัดสินใจหันมาพูดกับทุกคน
“ผมรู้ว่าทุกคนคงไม่เชื่อเรื่องที่หมวดภูมีส่วนเกี่ยวข้องกับพายัพ”
ทุกคนหันมาสนใจ
“ใช่ครับ พวกเราไม่เชื่อเด็ดขาดว่าหมวดภูจะไปร่วมสังฆกรรมกับไอ้คนที่หมวดภูเกลียดเข้าไส้อย่างนั้น” วีระบอก
“หัวหน้าก็รู้นี่ครับว่าหมวดภูตั้งใจจะจับไอ้พวกพายัพมาตลอด”
“แล้วเคยจับได้หรือเปล่าละ” ชาติกล้าสวนขึ้น ทุกคนได้ยินที่ชาติกล้าพูดอย่างนั้นก็ถึงกับสะอึกไป “ผมเข้าใจว่าทุกคนยังรักและมองหมวดภูเป็นคนดีมาตลอด พวกคุณคงทำใจกันไม่ได้ที่มีเรื่องแบบนี้ แล้วทำไมพวกคุณไม่นึกถึงหัวอกผมบ้าง” วีระ ราชัยและทุกคนได้ยินที่ชาติกล้าพูดอย่างนั้นก็เริ่มคลายท่าทีลง “ทุกคนรักหมวดภู แต่คงไม่เท่าผมลืมแล้วเหรอว่าหมวดภูเป็นเพื่อนรักผม แล้วถ้าพวกคุณถูกเพื่อนที่คุณรักที่สุดหักหลัง จะเป็นยังไง”
ทุกคนได้ยินที่ชาติกล้าพูดอย่างนั้นก็เริ่มเห็นใจชาติกล้า ชาติกล้าทำหน้าเศร้าเล่นละครได้อย่างแนบเนียน
แต่วีระและราชัยก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี
“ขอโทษนะครับหัวหน้า พวกเราอาจจะเข้าใจหัวหน้าผิด เพราะพวกเรายังไม่อยากจะเชื่อว่าหมวดภูจะเป็นพวกเดียวกับพายัพ”
“แล้วทำไมผมถึงได้กล้าบอกว่าไอ้ภูเป็นพวกเดียวกับพายัพ พวกคุณไม่สงสัยบ้างเหรอ”
ทุกคนเริ่มอยากรู้ว่าชาติกล้าได้หลักฐานอะไรมา ระหว่างนั้นพายัพเดินเข้ามาในหน่วย
“สวัสดีครับ คุณตำรวจ”
ทุกคนหันไปก็เห็นพายัพเดินมาพร้อมกับลูกน้องและทนาย
“ไอ้พายัพ แกมาที่นี่ทำไม”
พายัพนั่งจิบกาแฟสบายใจ
“ฉันก็เป็นคนไทยคนนึงที่จ่ายภาษี สร้างตึกนี้ให้พวกนายแล้วทำไมฉันจะขอมานั่งกินกาแฟที่นี่หน่อยไม่ได้หรือไง”
“ไอ้บ้านี่ กวนนักใช่มั้ย”
ราชัยปราดเข้าไปหาพายัพ ชาติกล้าต้องรีบห้าม
“ใจเย็น ทุกคนใจเย็นก่อน”
พายัพเห็นอย่างนั้นก็อมยิ้มแล้วลุกขึ้นก่อนจะเดินเข้ามาหาชาติกล้าและเหล่าตำรวจอย่างท้าทาย โดยมีทนายของพายัพพูดขึ้น
“คุณตำรวจ ถ้าขืนทำร้ายลูกความผม ผมฟ้องได้นะครับ”
“หัวหมอเหรอ หัวหน้าครับ หัวหน้าจะไม่ทำอะไรเลยเหรอครับ”
ชาติกล้านิ่งไป แล้วทำหน้าลำบากใจ พายัพยื่นมือให้
“ทำไม อยากใส่กุญแจมือเหรอ เอาซิ...แต่ก่อนจะใส่น่ะ ช่วยบอกด้วยนะว่าผิดอะไร นี่...เด็กน้อย...ถ้าฉันมีความผิดเนี่ย หัวหน้าแกคงจับฉันเข้าห้องขังเรียบร้อยแล้ว”
ชาติกล้าหันไป เสียงกร้าว
“ที่ฉันไม่จับแกเพราะฉันไม่มีหลักฐานต่างหาก”
พายัพยิ้มแล้วเดินกลับไปนั่งที่เดิม
“เชิญผมมาให้ข้อมูลไม่ใช่เหรอ ว่าไง อยากรู้อะไร”
ชาติกล้าวางกล่องใบนึงลงกับโต๊ะก่อนจะหยิบปืนที่อยู่ในซองพลาสติกขึ้นมา
“เราพบปืนนี้อยู่ที่ท่าสะพานพระราม8 ซึ่งเป็นที่ภูวนัยโดนยิงเมื่อคืน”
“แล้วยังไง เกี่ยวอะไรกับผม เมื่อคืนผมนอนดูหนังอยู่ ไม่ได้ออกไปยิงใคร”
“แต่แกอาจจะสั่งลูกน้องแกไปก็ได้ เพราะลายนิ้วมือที่อยู่บนปืนเป็นลายนิ้วมือของลูกน้องแก”
“อ้าวเหรอ บางทีอาจจะเป็นเรื่องชู้สาวก็ได้นะหมวด”
“เฮ้ย ย่นโย่อยู่นั่นแหละ ถามอะไรก็ตอบซิวะ”
“แล้วถ้าฉันไม่ตอบแกจะทำไม อ๋อ...โทษที ตั้งใจว่าวันนี้จะมาเป็นพลเมืองดีซะหน่อย อย่าทำให้อารมณ์ขึ้นซิครับ”
ชาติกล้าหันไปส่งปืนให้ราชัยเก็บ ก่อนจะเดินมานั่งกับพายัพ
“ภูวนัยเป็นสายให้แกใช่มั้ย”
“แหม หมวดนี่ก็ถามแบบไม่รักเพื่อนเลยนะ”
ชาติกล้าไม่สนใจ ก่อนจะเปิดแฟ้มแล้วดูเอกสาร
“เราตรวจสอบบัญชีของแกพบว่าเมื่อสองเดือนที่แล้วแกโอนเงินเข้าบัญชีหนึ่งเป็นเงินสิบล้านบาท เจ้าของบัญชีพบว่าเป็นเจ้าของแผงหมูในตลาดที่นครปฐม”
“เดือนที่แล้วเหรอ อ๋อ วันเกิดลูกน้องผมน่ะ ก็เลยสั่งหมูมาเลี้ยงพวกมัน หมวดก็รู้นี่ว่าผมมันเป็นคนกว้างขวางก็ต้องใช้หมูเยอะหน่อย”
“เจ้าของแผงหมูคนนั้น ได้โอนเงินจำนวนเท่ากันให้กับโรงฆ่าที่อยู่ในพื้นที่เดียวกัน แล้วเจ้าของโรงฆ่าก็คงจะจ่ายเงินให้กับภู โดยการซื้อเป็นหมูจากฟาร์มมัน”
พายัพสบตาชาติกล้าก่อนจะตบมือให้อย่างชื่นชม ขณะที่ทุกคนต่างอึ้งไปเพราะเพิ่งรู้ข้อมูลชุดนี้
“น่าชื่นชมจริงๆ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมก็คงไม่เกี่ยว เพราะผมก็แค่ซื้อหมูเท่านั้น ส่วนเจ้าของแผงเจ้าของโรงฆ่าจะเอาเงินนั่นไปทำอะไร มันไม่ใช่เรื่องของผม”
“แกโอนเงินให้หมวดภูวนัยทำไม”
“หึ...เรื่องนี้ผมคงบอกไม่ได้ ผมว่าที่หมวดสืบมาได้ขนาดนี้ก็เก่งแล้ว ไม่ลองสืบต่ออีกหน่อยละครับ” พายัพยิ้มมองชาติกล้าก่อนที่พายัพจะหันไปมองทุกคน “แต่ผมใบ้ให้หน่อยก็ได้ หมวดภูวนัยที่พวกคุณรู้จักน่ะอาจจะไม่ใช่คนดีอย่างที่คิดก็ได้”
พายัพเล่นพูดแบบโยนระเบิดมาอย่างนี้ ทำให้วีระ ราชัยและคนอื่นๆ ที่ศรัทธาภูวนัยถึงกับนิ่งอึ้งไปตามๆ กัน
พายัพยืนอยู่ทอดสายตามองไปไกล จนกระทั่งมีเท้าของใครเดินเข้ามาตามทาง พอหันมามองจึงเห็นว่าเป็นชาติกล้านั่นเอง
“พอใจแล้วใช่มั้ย”
“ทำอะไรมันก็ต้องเก็บกวาดให้เรียบร้อย”
“แต่ฉันสงสัยจริงๆ ว่าแกพลาดได้ยังไง” ชาติกล้าไม่ตอบ พายัพหยิบซองเอกสารส่งให้ชาติกล้า “ฉันช่วยแกแล้ว...ตาแกช่วยฉันบ้าง”
ชาติกล้ารับซองมาแล้วเปิดดูก่อนจะดึงของออกมาจากซอง แล้วก็เห็นว่าเป็นรูปของไผ่พญาที่โผล่มาแค่ตา
“แล้วแกอยากหาผู้หญิงไปทำไม”
“ไม่มีอะไรหรอก”
ชาติกล้าเพิ่งนึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงดึงรูปของไผ่พญาขึ้นมาดูอีกครั้งก่อนจะลองให้หน้าของไผ่พญาโผล่ออกมาแค่ตา แล้วชาติกล้าก็นึกย้อนไปตอนที่ไผ่พญาปลอมเป็นหมอที่เจอที่โรงพยาบาล
“ผู้หญิงคนนี้”
“มีอะไร”
“ผู้หญิงคนนี้คือคนที่ช่วยมันไว้ แล้วฉันก็เคยเห็นเธออยู่กับไอ้ภูที่ฟาร์ม”
ชาติกล้ากับพายัพต่างนิ่งไป เหมือนว่าตอนนี้ทั้งสองกำลังต้องการเจอตัวไผ่พญาทั้งคู่
ที่บ้านเช่าในชุมชนแห่งหนึ่ง ไผ่พญาค่อยๆ ประคองร่างของภูวนัยลงนอนกับโซฟา ไผ่พญามองดูภูวนัยแล้วเห็นภูวนัยไม่ได้แสดงอาการอะไรก็เบาใจได้ในระดับหนึ่ง ก่อนที่ไผ่พญาจะหันมาแล้วเห็นลำไยจ้องอยู่
“อะไรแม่”
“ชอบเขาหรือไง”
ไผ่พญาตกใจกับคำถามนี้
“อะไรแม่”
“คนเราถ้าไม่ชอบกัน จะยอมเสี่ยงชีวิตช่วยอย่างนี้เหรอวะ”
“โห แม่ แล้วแม่จะให้ฉันเห็นเขาตายต่อหน้าต่อตาหรือไง ถึงเป็นคนอื่นฉันก็ช่วยไ
ลำไยขี้เกียจถามต่อ จึงนั่งลงอย่างคลายเหนื่อย
“เฮ้อ กลับไปอยู่บ้านก็ไม่ได้ ไอ้พวกนั้นมันคงรออยู่ยั้วเยี้ย” คราวนี้ไผ่พญาเป็นฝ่ายจ้องลำไยบ้าง ลำไยหันมาเห็นก็สงสัย “อะไรของแก”
“ขอบคุณนะแม่ ถ้าแม่ไม่ช่วย ฉันคงไม่รอดแน่ๆ”
“ฉันไม่ได้ช่วยแก ฉันช่วยพ่อตำรวจหนุ่มนั่น แกเคยได้ยินมั้ยว่าคนที่ฟื้นจากความตายน่ะจะเห็นอนาคต นี่ถ้าเขาฟื้นละก็แม่จะพาไปนั่งข้างวงไพ่ด้วยทั้งคืนเลย”
“ฉันรู้ว่าแม่ไม่ได้คิดอย่างนั้นหรอก”
ไผ่พญายิ้มให้ลำไยเพราะรู้ว่าจริงๆ แล้วลำไยก็ไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำ ลำไยรีบตัดบทเพราะเขินเต็มที
“แล้วนี่แกจะเอายังไงต่อไป”
ไผ่พญาหันไปมองภูวนัย คิดไตร่ตรอง
ที่ฟาร์มสุข ขิงกับกระดังงากำลังเคร่งเครียดอย่างใช้ความคิด
“ขิง แกว่าที่คุณภูเป็นอย่างนี้เพราะพวกเราหรือเปล่า”
“อะไรของแก จะเป็นเพราะพวกเราได้ยังไง”
“ไม่รู้ดิ ฉันแค่รู้สึกว่าพวกเราไปไหนก็ทำคนอื่นเขาเดือดร้อนไปทั่ว”
“โห นี่เมียจ๋า เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย โน่น...เราต่างหากที่กำลังจะเดือดร้อน” กระดังงาทำหน้าไม่เข้าใจ ขิงเลยอธิบายให้ฟัง “ก็ถ้าคุณภูเป็นพวกค้ายาอย่างที่ข่าวมันออก แกคิดว่าพวกตำรวจอยู่เฉยๆ หรือไง อย่างน้อยก็ต้องเรียกคนในบ้านไปสอบปากคำ”
ระหว่างนั้นเสียงชาติกล้าดังขึ้น
“สวัสดีครับ”
ขิงกับกระดังงาหันไปตามเสียงก็เห็นชาติกล้ายืนอยู่ ขิงกับกระดังงารับคำทักทายแบบงงๆ
“สวัสดีคะ”
“หน้าคุ้นๆ นะเราเนี่ย เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน” ขิงจ้องหน้าชาติกล้าพยายามนึก แล้วขิงก็นึกออก “อ๋อ...ในโทรทัศน์ไง เมื่อกี้คุณออกข่าว” แล้วขิงก็นึกได้ “เฮ้ย! คุณเป็นตำรวจนี่”
ขิงกับกระดังงาหน้าเหวอทันที
พรรษาพยายามโทรศัพท์ติดต่อภูวนัย พรรษาวางสายก่อนจะหันมาทางเผ่าพงศ์และตะวันฉายที่รอลุ้นอย่างกระวนกระวาย พรรษาส่ายหน้า เผ่าพงศ์กับตะวันฉายเศร้าลง
“ไอ้ภูนะไอ้ภู”
“คุณลุงอย่าเพิ่งว่าคุณภูเลยครับ ผมว่าเรื่องนี้ต้องมีการเข้าใจผิดแน่นอน”
“นั่นซิคะ พรรษาไม่เชื่อหรอกคะว่าคุณภูจะเป็นพวกเดียวกับพวกค้ายา”
“นี่แม่ษา ที่ฉันร้อนใจไม่ใช่เพราะฉันคิดว่าไอ้ภูมันเป็นพวกคนร้ายอย่างที่ข่าวออกหรอกนะ ฉันเป็นห่วงมันต่างหากคิดว่าฉันอยากเผาศพลูกตัวเองหรือไง”
พรรษาได้ยินอย่างนั้นก็เข้ามาจับมือเผ่าพงศ์ให้กำลังใจ ระหว่างนั้นชาติกล้าเดินเข้ามา
“คุณลุงครับ”
ทุกคนหันไปก็เห็นชาติกล้ายืนอยู่ ขิงกับกระดังงาแอบมองอยู่ด้านนอก เผ่าพงศ์กับพรรษารีบเข้ามาหาชาติกล้าทันที
“ชาติ ไอ้ภูละ เจอเจ้าภูหรือยัง”
เผ่าพงศ์เข้ามาคาดคั้นถามชาติกล้า จนพรรษากับตะวันฉายต้องรั้งเผ่าพงศ์เอาไว้
“ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าภูอยู่ไหน”
“คุณชาติคะ เป็นเรื่องเข้าใจผิดใช่มั้ยคะ คุณภูไม่ใช่พวกค้ายาหรอกคะ”
ชาติกล้านิ่งไปไม่ตอบ แต่การนิ่งมันก็เหมือนเป็นคำตอบในตัวมันอยู่แล้ว เผ่าพงศ์เครียดหนัก พยายามทำใจ
“ชาติ แกกับเจ้าภูเป็นเพื่อนกันมานานเห็นแก่ความเป็นเพื่อนได้มั้ย”
“หมายความว่าไงครับ”
“ฉันรู้ว่าเราต้องทำตามหน้าที่ แต่ถ้าเราเจอเจ้าภูฉันอยากคุยกับมันก่อน”
ชาติกล้าพยักหน้าอย่างลำบากใจ
“แล้ว คุณไผ่ละครับ” ตะวันฉายถามขึ้นมา ชาติกล้าสนใจ
“ไผ่”
“คุณไผ่เป็นครูที่คุณภูจ้างมาสอนที่นี่น่ะครับ เธอไปกับคุณภูตั้งแต่เมื่อวาน ไม่รู้ว่าคุณชาติได้ข่าวเรื่องของเธอบ้างมั้ยครับ”
“ไม่เลยครับ ตอนนี้เราอยู่อย่างเดียวคือเรื่องที่ภูเป็นสายให้กับพวกค้ายา” ชาติกล้าพูดจบก็ชะงักไป ทำให้เผ่าพงศ์กับพรรษาที่ได้ยินยิ่งเครียด “ที่ผมมานี่ เพื่อจะบอกทุกคนว่า ถ้าภูกลับมาหรือติดต่อมา ผมอยากให้ทุกคนบอกผมทันที” ชาติกล้าเดินเข้าไปหาเผ่าพงศ์ “คุณลุงครับ ผมขอโทษที่ต้องพูดอย่างนี้ แต่ที่ผมทำไปก็เพื่อความปลอดภัยของเจ้าภูเอง”
ทุกคนไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เช่นเดียวกับขิงและกระดังงาที่แอบฟังอยู่ก็เริ่มได้กลิ่นไม่ดีซะแล้ว
ขิงกับกระดังงารีบเข้ามาในห้อง กระดังงางงกับท่าทางของขิง
“เป็นไรของแกเนี่ย”
“เก็บเสื้อผ้าเลยเดี๋ยวนี้”
“เฮ้ย! จะไปไหน”
“ไม่รู้ แต่ถ้าอยู่ต่อได้ไปนอนซังเตแน่ แกไม่เห็นหรือไงว่าตอนนี้ตำรวจเริ่มมาแล้ว ถ้าขืนช้ากว่านี้รับรองได้ยกมาปิดฟาร์มนี้แน่” ระหว่างนั้นเสียงมือถือของกระดังงาดังขึ้น กระดังงาหยิบมือถือขึ้นมาดู “ใคร”
“ไม่รู้ แต่เป็นเบอร์ศูนย์สอง”
“ไม่ต้องรับเลย”
“แล้วถ้าเป็นไอ้ไผ่ละ”
ขิงนิ่งคิด แต่ไม่ทันใจกระดังงา กระดังงาเลยกดรับสายเลย
“ฮัลโหล” กระดังงาฟัง แล้วดีใจ “ไอ้ไผ่”
ไผ่พญาอยู่ที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะ ทำหน้าเบ้หูแทบแตก
“แกจะตะโกนทำไมเนี่ย”
ขิงกับกระดังงาต่างแย่งกันจะคุยกับไผ่พญา
“แกอยู่ไหนเนี่ย”
“ก็อยู่กรุงเทพฯซิ มีอะไร ทำไมต้องทำเสียงตื่นเต้นด้วย”
ขิงแย่งมือถือจากกระดังงามาคุย
“แล้วคุณภูละ แกอยู่กับคุณภูหรือเปล่า”
ไผ่พญานิ่งไปเพราะจากน้ำเสียงที่ขิงถามหาภูวนัยอย่างร้อนรนอย่างนี้ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ
“เปล่า มีอะไร”
“นี่แกไม่รู้หรือไงว่าตอนนี้คุณภูกลายเป็นคนร้ายที่ตำรวจต้องการตัวมากที่สุดแล้วนะเว้ย”
“ว่าไงนะ”
ไผ่พญานิ่งไปเมื่อรู้เรื่อง ทุกอย่างชักเริ่มแย่ลง กระดังงาดึงมือถือจากขิงกลับมาคุย
“แกไม่อยู่กับคุณภูก็ดีแล้วไม่อย่างนั้นแกอาจโดนร่างแหไปด้วย แล้วนี่แกไม่อยู่กับคุณภูจริงๆ เหรอ”
“จริงซิ เนี่ยฉันก็รอมาตั้งคืนนึงแล้วยังไม่เห็นโผล่มาเลย”
“ดีแล้ว ไอ้ไผ่ แกอยู่กรุงเทพฯ เลย ไม่ต้องกลับมานี่”
“ทำไม เกิดอะไรขึ้น”
ขิงแย่งมือถือจากกระดังงาเอาไปคุยทันที
“จะอะไรละ ตอนนี้ตำรวจเอากำลังมาปิดล้อมบ้านแล้ว”
“เว่อร์ไปป่ะไอ้ขิง”
“เว่อร์ที่ไหน ไอ้ไผ่แกอย่ากลับ” แล้วก็รู้สึกว่าไผ่พญาเสียงเงียบไป “ฮัลโหล...ฮัลโหล...ไอ้ไผ่...ไอ้ไผ่” ขิงกันไปบอกกระดังงา “สายตัดไปแล้ว”
ไผ่พญาทันได้ยินที่ขิงบอกเรื่องตำรวจปิดล้อมบ้านไว้ก็มีสีหน้าเครียดลงทันที
อ่านต่อตอนที่ 10