คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอน 8
ภูวนัยเดินออกมาหน้าเครียดเคร่ง ไผ่พญาเดินตามมามองเหล่ๆ พลางแอบอมยิ้ม ถูกภูวนัยด่าเอา
“ตลกมากหรือไง”
ไผ่พญาหุบยิ้มแอบบ่น
“ไม่ตลกจะหัวเราะหรือไง ประสาท”
“บ่นอะไร”
“เปล่า เอ่อ แล้วทำไมเมฆถึง...ถึงเป็นอย่างนี้ละ” ไผ่พญาเลียบๆ เคียงๆ ถาม ภูวนัยหยุดเดิน ไผ่พญาเลยเดินชนหลังภูวนัยเข้าให้ “โอ๊ย”
“เธอจะรู้ไปทำไม”
“ก็เปล่า เนี่ย...ถ้าฉันรู้ว่าเมฆเขาเป็นหอบหืด ฉันก็ไม่ทำอะไรอย่างนี้แล้ว นายต้องบอกฉัน ฉันจะได้รู้ว่าอะไรควรไม่ควร”
“แต่ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว”
“อ้ะๆๆ อย่านะ ถ้านายด่าฉันอีกละก็ ฉันจะบอกให้เมฆจับนายเต้นซะให้เข็ด”
“นี่ คุณนี่มัน” ภูวนัยเจ็บใจ แล้วไผ่พญาก็เต้นท่าภูวนัยล้อเลียน ภูวนัยรีบดึงให้หยุด “หยุดนะ จะทำอะไร”
“เอ้า ก็นายไม่ยอมบอกฉันนี่ จะบอกไม่บอก” ไผ่พญายังเต้นต่อ ระหว่างนั้นเสียงพรรณรายก็ดังขึ้น
“แหม เวลาพั้นซ์มาที่ไร ทำไมต้องเห็นสองคนอยู่ด้วยกันตลอดเลย”
ภูวนัยกับไผ่พญาหันไปก็เห็นพรรณรายเดินเข้ามา ภูวนัยกับไผ่พญาต่างกระเด้งออกจากกัน
“ไม่ใช่หรอกพั้นซ์ คือผมกับ...”
“ไม่เป็นไรคะ พั้นซ์ล้อเล่น” พรรณรายปรายตามองไผ่พญา ไผ่พญาถึงกับตั้งการ์ดรอ “ขอโทษนะ” ไผ่พญางง “ก็คราวที่แล้วที่ฉันเข้าใจเธอผิดไง ถ้าภูเขาไม่ยืนยันกับฉันว่า ภูเขาไม่ได้คิดอะไรกับเธอ ฉันคงคิดมากยิ่งกว่านี้”
ไผ่พญาได้ยินที่พรรณรายพูดอย่างนั้นก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล
“ก็ดี เพราะฉันกับเขาไม่ได้มีอะไรกันจริงๆ”
ไผ่พญาพูดจบก็เดินเข้าบ้านไป ภูวนัยรู้สึกว่าน้ำเสียงของไผ่พญาแปลกไป พรรณรายเข้ามากอดภูวนัย
“เย็นนี้ว่างมั้ยภู”
“ทำไมพั้นซ์”
“อะไร นี่ภูลืมวันเกิดพั้นซ์เหรอ”
“จริงเหรอ วันนี้วันเกิดคุณเหรอ”
“ภูอ่ะ พั้นซ์เสียใจนะคะที่ภูจำวันเกิดพั้นซ์ไม่ได้”
“เอ่อ ผมขอโทษ”
“ถ้าอย่างนั้นภูต้องไปปาร์ตี้กับพั้นซ์คืนนี้ พั้นซ์ถึงจะยกโทษให้...นะคะ...พั้นซ์นัดแค่เพื่อนที่สนิทจริงๆ แค่สี่ห้าคน พั้นซ์บอกว่าภูจะไปด้วย ทุกคนเขาก็อยากเห็นภูกันใหญ่” ภูวนัยอึดอัด
“ผมคงไปไม่ได้”
“ภู แต่พั้นซ์บอกเพื่อนไปแล้วนะคะ ก็ได้คะถ้าภูไม่ไปที่รีสอร์ต พั้นซ์จะให้คนเข้ามาจัดงานที่นี่”
“ไม่เอาน่าพั้นซ์”
“ถ้าภูไม่อยากให้พั้นซ์มาจัดงานที่นี่ งั้นภูก็ไปที่รีสอร์ตพั้นซ์นะคะ”
ภูวนัยลำบากใจ
ที่รีสอร์ต เสกสรรกำลังยืนดูความเรียบร้อยของคนงานที่กำลังจัดงานข้างๆ สระว่ายน้ำ สมหมายยืนกางร่มให้อย่างประจบประแจง
“ผมรับรองว่า งานครบรอบวันแต่งงานของท่านผู้ว่าฯ ที่เราจัดให้จะต้องประทับใจแกไปถึงปีหน้าแน่ๆ ครับนาย”
“นั่นแหละที่ฉันต้องการ งานวันนี้จะผิดพลาดไม่ได้เข้าใจมั้ย”
“ทำไมละครับ”
“เอ้า ถ้าเกิดท่านผู้ว่าฯเขาประทับใจรีสอร์ตฉันขึ้นมา ฉันก็จะชงเรื่องไอ้ฟาร์มเฮงซวยข้างๆ ให้มันกระเด็นๆ ไปไหนก็ไปไง”
“โอ้โห ล้ำลึกจริงๆ ครับ”
พรรณรายเดินเข้ามา พอเห็นคนงานกำลังเตรียมงานก็แปลกใจ
“นี่มันอะไรกันพ่อ”
“เอ้า แกมาก็ดีแล้ว คืนนี้ท่านผู้ว่าฯ จะจัดงานเลี้ยงครบวันแต่งงาน ฉันอยากให้แกเป็นคนถือ...”
พรรณรายปรี้ดแตกขัดขึ้น
“ทำไมไม่มีใครบอกพั้นซ์เลยว่าจะมีการจัดงานวันนี้”
“เอ้า แล้วแกเคยอยากรู้อะไรเกี่ยวกับที่นี่บ้าง แล้วเป็นไรของแก ทำไมต้องโวยวายด้วย”
“พ่อบอกให้คนงานหยุดเลย คืนนี้พั้นซ์จะจัดงานเลี้ยงวันเกิดที่นี่”
“วันเกิด บ้าหรือเปล่า วันเกิดแกมันเดือนหน้าโน่น”
“แต่พั้นซ์จะจัดวันนี้ พั้นซ์จะจัดวันนี้” พรรณรายหันไปเหวี่ยงกับคนงานที่กำลังจัดโต๊ะ “หยุดเลย ฉันบอกให้หยุดเลย”
พรรณรายเดินไปแล้วโยนดอกไม้ที่ประดับงานทิ้งหมด ก่อนจะผลักคนงานบางคนตกน้ำ
“นี่ แกเป็นบ้าอะไรของแก”
“พ่อไม่รู้หรือไง ขืนหนูช้าอีกวันเดียว นังครูนั่นต้องงาบพี่ภูไปแน่ๆ”
“อ๋อ...นี่แกจะจัดงานเสียตัวให้มันเหรอ”
“ใช่ แล้วถ้าพ่อไม่ทำตามที่หนูขอ พ่อจะเสียหนูแล้วก็รีสอร์ตนี่ไปแน่ๆ”
“แกขู่ฉันเหรอ”
“พ่อก็รู้ว่าหนูไม่ขู่”
พรรณรายยืนกรานอย่างเอาแต่ใจ เสกสรรถึงกับพูดไม่ออก
พรรษาแปลกใจเมื่อได้ยินภูวนัยเล่าให้ฟังว่าพรรณรายชวนไปงานวันเกิด
“เอ เท่าที่ป้าจำได้ คุณพั้นซ์ไม่ได้เกิดเดือนนี้ไม่ใช่เหรอคะ”
ภูวนัยกำลังเลือกของขวัญอยู่ ขณะที่เผ่าพงศ์กับม่านเมฆกำลังเล่นหมากฮอสมีไผ่พญาคอยลุ้นทั้งสองคนอยู่ข้างๆ ม่านหมอกกำลังดูโทรทัศน์
“ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่เขาบอกว่าวันนี้”
“เกิดอยากจะเสียตัวน่ะซิไม่ว่า”
“หมอก พูดจาอะไรระวังหน่อย เราเป็นผู้หญิงนะ”
ม่านหมอกนั่งกินขนมไม่สนใจ พรรษาชักสงสัยเช่นกัน
“ถ้าอย่างนั้นป้าว่าคุณภูหาคนไปด้วยก็ดีนะคะ เผื่อเกิดอะไรขึ้นจะได้ช่วยกันทัน”
“เออ ฉันไปเอง ฉันอยากตั้นหน้าไอ้ลูกชิ้นนั่นอยู่พอดี”
“พอเลยคุณเผ่า แล้วจะให้ใครไปกับคุณภูดี” พรรษามองไปที่ม่านเมฆ ม่านหมอกก่อนจะไปจบที่ไผ่พญา “ครูไผ่ไปกับคุณภูได้มั้ยคะ”
“ห๊า ฉันน่ะเหรอคะ โอ๊ย อย่าเลย ชุดเชิ่ดอะไรฉันก็ไม่มี คนอื่นดีกว่าคะ”
“เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาหรอก ถ้าอาภูเขายอม”
ทุกคนสงสัยในคำพูดของม่านหมอก
ช่วงเย็นภูวนัยนั่งรอไผ่พญาอยู่ด้านล่างพร้อมกับเผ่าพงศ์และม่านเมฆ ระหว่างนั้นภูวนัยเห็นรองเท้าผู้หญิงเข้ามาหยุดข้างหน้า ภูวนัยค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมอง แล้วภูวนัยก็อึ้งไปเมื่อเห็นไผ่พญาเปลี่ยนลุคใหม่ทั้งเสื้อผ้าหน้าผมที่ถูกออกแบบและทำใหม่จนทำให้ไผ่พญาสวยแปลกตาไปเลย ภูวนัยอึ้งเช่นเดียวกับเผ่าพงศ์และม่านเมฆ
“โห ครูสวยจัง”
“แหม อย่างนี้ต้องชมคนแต่งเนอะ”
เผ่าพงศ์แอบส่งสายตาให้พรรษา พรรษาหันไปถามภูวนัย
“ใช้ได้มั้ยคะคุณภู” ภูวนัยยังอึ้งอยู่
“เอ่อ”
“ไม่คิดว่าชุดอาเหมือนฝันจะพอดีกับครูขนาดนี้”
ม่านหมอกบอก ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็หันมองไปที่ภูวนัยที่กำลังมองเธอไม่พูดอะไร
“ทำไมมองฉันอย่างนั้น นายอนุญาตให้ฉันใส่แล้วนะ”
ภูวนัยรีบหลบตาไม่กล้ามองไผ่พญาก่อนจะลุกขึ้นเดินไป
“ไปเถอะ งานจะเขาจะเริ่มแล้ว”
ไผ่พญารีบเดินเอียงๆ เพราะไม่ชินกับส้นสูงตามภูวนัยออกไป
“นี่อย่าเดินเร็วซิ”
ที่รีสอร์ตเสกสรร ภูวนัยกับไผ่พญาเดินมาตามทางเดินระหว่างทางที่กำลังจะไปสระน้ำ ไผ่พญาพยายามดึงโน่นดึงนี่ปิดเพราะไม่มั่นใจในตัวเอง
“ไม่รู้จะให้มาทำไม”
“ผมก็ไม่ได้บอกให้คุณมาซะหน่อย”
ไผ่พญาชะงัก มองภูวนัยอย่างหมั่นไส้
“อ้าว ฉันกลับตอนนี้เลยก็ได้นะ”
ไผ่พญาจะเดินกลับ ภูวนัยเห็นก็รีบจับมือไผ่พญารั้งเอาไว้
“จะบ้าหรือไง มาขนาดนี้แล้ว”
ภูวนัยกับไผ่พญาเดินเข้ามาถึงสระน้ำพอดี จึงเห็นพรรณรายกับเพื่อนกำลังนั่งกินกันอยู่ที่ริมสระน้ำ
“ภูของเธอใช่คนนั้นหรือเปล่า”
พรรณรายดีใจรีบหันไปมอง แล้วพรรณรายก็ชะงักไปเมื่อเห็นไผ่พญาด้วย พรรณรายรีบตรงดิ่งเข้ามาหาภูวนัยกับไผ่พญาทันที
“เธอมาได้ยังไง ใครเชิญ”
ภูวนัยรีบพูดขึ้นเพราะกลัวเป็นเรื่องเป็นราว
“ผมให้ครูไผ่มาด้วยเองแหละครับ งานวันเกิดคุณผมว่าคนเยอะๆ น่าจะสนุกนะครับ หรือพั้นซ์ติดอะไรหรือเปล่า”
“เปล่าคะ”
พรรณรายบอกเสียงแข็ง ระหว่างนั้นเพื่อนพรรณรายตรงเข้ามาสมทบ
“สวัสดีคะคุณภู แหม หล่ออย่างที่พั้นซ์เขาบอกจริงๆ คะ”
“ขอบคุณครับ”
“อุ้ย แล้วนั่นใครคะ ดูท่าทางสนิทกันจังเลยนะคะ”
ภูวนัยก้มมองมือตัวเองที่ยังจับมือไผ่พญาอยู่ก็ตกใจรีบปล่อยมือ
“อ๋อ นี่ครูไผ่น่ะ ภูเขาจ้างมาสอนหลานๆ เขาที่ฟาร์ม” พรรณรายบอกแล้วเข้าไปคล้องแขนภูวนัยแทน “ไปทางโน้นดีกว่าคะ เดี๋ยวพั้นซ์จะได้แนะนำเพื่อนๆ ให้รู้จัก”
พรรณรายดึงมือภูวนัยออกไปทันที กลุ่มเพื่อนพรรณรายเดินตามปล่อยให้ไผ่พญายืนอยู่เป็นส่วนเกินของงาน
ไผ่พญาทำหน้าเซ็ง
เวลาผ่านไป ที่โต๊ะกินเลี้ยงข้างสระน้ำ มีแค่โต๊ะเดียวแต่เป็นโต๊ะค่อนข้างใหญ่ กลุ่มเพื่อนของพรรณรายนั่งอยู่สามคน พรรณรายนั่งพะเน้าพะนอภูวนัยไม่ยอมห่าง ขณะที่ไผ่พญานั่งตรงข้ามทำหน้าหมั่นไส้ ไผ่พญามองไปก็เห็นพรรณรายเอาแต่เอียงซบภูวนัย จะหันหน้าไปทางไหนก็ยังเห็น
“โอ๊ยจะให้ฉันเอาตาไว้ไหนเนี่ย”
ไผ่พญาบ่นออกมา ระหว่างนั้นเสียงของพิชิตดังขึ้น
“ไว้ที่หน้าผมก็ได้ครับ” ไผ่พญาหันไปก็เห็นพิชิต ชายหนุ่มท่าทางเป็นเพลย์บอยยื่นเครื่องดื่มมาให้ “สวัสดีครับผมพิชิต ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
“เอ่อ คะ”
ไผ่พญารับเครื่องดื่มจากพิชิตมาแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก คนที่สนใจกลับเป็นภูวนัยที่เหล่มองพิชิตที่คุยกับไผ่พญาก็รู้ว่าพิชิตกำลังคิดอะไร
“แล้วไม่อยากรู้นามสกุลของผมเหรอครับ”
“ไม่ละคะ”
พิชิตหน้าเสียไปนิด แต่ไม่ยอมแพ้
“นามสกุลผมคือ หัวใจสาว รวมกันก็เป็นพิชิตหัวใจสาว” พิชิตพูดจบก็หยิบหอยแมลงภู่ขึ้นมาแล้วทำตาแฝงนัยก่อนจะแงะใส่ปากให้ไผ่พญาเห็น
“นี่พิชิต ทำอะไรน่ะระวังหน่อย เดี๋ยวคนพามาด้วยเขาว่าจะเอานะ”
เพื่อนของพรรณรายพูดอย่างนั้นทำให้ภูวนัยที่กำลังจ้องอยู่ก็รู้สึกตัว พรรณรายได้ยินอย่างนั้นขัดใจขึ้นมาทันที
“ทำไมต้องว่า ภูกับครูไผ่ไม่ได้เป็นอะไรกัน จริงมั้ยคะภู”
“เอ่อ ครับ”
ภูวนัยรับคำก่อนจะชำเลืองมองไผ่พญา ไผ่พญามองมาแล้วก็ทำเป็นค้อนหันหน้าหนี พรรณรายแอบสังเกตุเห็นก็ไม่พอใจแต่แสดงออกไม่ได้จึงจิกกัดแทน
“ที่จริงแล้วภูพาครูไผ่มาด้วยก็ดีคะ ให้ครูเขาได้เจอคนอื่นบ้าง ไม่อย่างนั้นอยู่แต่ในฟาร์มพอเหงา ครูเขาอาจจะคว้าแฟนคนอื่นมาเป็นแฟนก็ได้”
“คงไม่หรอกคะ ฉันรู้ว่าฉันมีหน้าที่อะไรที่ฟาร์ม แล้วฉันก็ไม่ใช่หมูตัวเมียที่จะใช้หมูตัวผู้ร่วมกับตัวอื่น”
ไผ่พญาพูดไปยิ้มไปเหมือนไม่คิดอะไร แต่ทำเอาบรรยากาศในโต๊ะครึ้มขึ้นมาทีเดียว พิชิตพยายามคลี่คลาย
“เอ่อ แล้วครูไผ่สอนอะไร”
“เอ่อ ก็สอนทุกอย่างแหละคะ”
“ผมเชื่อครับ เพราะตั้งแต่เห็นหน้าคุณ ผมก็รู้ทันทีว่าความรักเป็นยังไง”
พิชิตพูดจบก็ทำเอาเพื่อนๆ ของพรรณรายต่างสงสัยไผ่พญาทำหน้าไม่ถูก ภูวนัยเองก็ไม่ค่อยพอใจ
พรรณรายจับความรู้สึกของภูวนัยได้ก็แทรกขึ้น
“งั้นอย่าลืมสอนตัวเองด้วยแล้วกัน ว่าอะไรควรไม่ควร”
ไผ่พญาปรายตามองพรรณรายที่จิกกัดมาอีก
ไผ่พญากำลังจะตอบโต้ แต่ภูวนัยเห็นว่าจะไปกันใหญ่เลยขัดขึ้น
“ผมขอตัวไปห้องน้ำก่อน” ภูวนัยหันมองไปที่ไผ่พญา “อ้าว เมื่อกี้เธอบอกว่าจะไปห้องน้ำไม่ใช่เหรอ”
ไผ่พญางง ภูวนัยแอบเหยียบเท้าไผ่พญาส่งซิก
“โอ๊ย” ไผ่พญาหันไปเห็นสายตาของภูวนัยที่ส่งมาว่าให้ตามมา “เอ่อ ใช่ เดี๋ยวมานะคะทุกคน”
ภูวนัยกับไผ่พญาลุกออกไป พรรณรายมองตามด้วยความโกรธ
“สงสัยงานนี้คนที่ได้ภูไปจะไม่ใช่เธอละมั้งยัยพั้นซ์”
“นั่นซิ ดูตัวติดกันไม่ยอมห่างเลย”
“กรี้ดดดด” พรรณรายปาแก้วข้าวของทิ้งเพื่อระบายความริษยา ก่อนจะมองเห็นพิชิตแล้วนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“พิชิต ท่าทางแกจะชอบยัยครูนั่นใช่มั้ย”
“ก็ดี หน้าตาบ้านๆ แต่มานึกอีกที ฉันก็ไม่ได้กินไก่บ้านมานานแล้ว”
“เหรอ แล้วทำไมไม่จัดเลยละ”
“จะบ้าเหรอไง คุณภูแฟนแกคงยอมอ่ะ”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ฉันจัดการภูเอง ส่วนแก...” พรรณรายหยิบกุญแจห้องให้ “อยากจะทำอะไรนังนั่นก็ทำ”
พรรณรายยิ้มร้าย
ภูวนัยดึงไผ่พญาเข้ามาที่มุมหนึ่ง
“คุณไปยั่วประสาทพั้นซ์เขาทำไม”
“ฉันเนี่ยนะ แล้วตอนนั้นหูคุณเกิดดับขึ้นมาชั่วขณะหรือไง ถึงไม่ได้ยินตอนที่คนของคุณกัดฉันซะเหวอะหวะอย่างนั้นน่ะ”
“พั้นซ์เขาไม่ใช่คนของผม คุณต่างหากเป็นคนของผม” ภูวนัยพูดเสร็จก็อึ้งไป ไผ่พญาเองก็ชะงักไปด้วย ภูวนัยรีบเปลี่ยนเรื่อง “เอาเถอะ เดี๋ยวอีกซักพักก็กลับแล้วเดี๋ยวผมไปเข้าห้องน้ำก่อน คุณรอตรงนี้แล้วกัน”
ภูวนัยพูดจบก็เดินออกไป ไผ่พญามองตามแล้วบ่น
“ฉันเป็นคนของนายตั้งแต่เมื่อไหร่”
ภูวนัยเดินหาห้องน้ำมาตามทางแต่ไม่เห็นจะมี ภูวนัยเห็นประตูห้องหนึ่งเปิดอ้าอยู่ เปิดไฟสว่างเอาไว้ คิดว่าน่าจะใช่จึงเดินเข้าไปดู ภูวนัยเดินไปถึงชะโงกเข้าไปมอง ทันใดนั้นเองมีมือหนึ่งผลักหลังภูวนัยเข้าไปในห้อง
“เฮ้ย” ภูวนัยตกใจขณะเสียหลักตามแรงผลักเข้าไปในห้อง ประตูห้องปิดเข้ามา ภูวนัยตกใจหันมาทุบประตู “เปิดประตู ใครน่ะ” กลอนประตูถูกล็อคจากด้านนอก “ฉันบอกให้เปิดไง”
ภูวนัยทุบประตูโครมๆ ที่หน้าห้อง เสกสรรยืนพิงประตูหน้าห้องยิ้มพอใจกับการกระทำของตน
“เจ้านายไม่กลัวประตูพังเหรอครับ”
สมหมายเข้ามาคุยแบบกระซิบกับเสกสรร เพราะกลัวภูวนัยได้ยิน
“ก็ยังดีกว่ามันมาพังประตูยัยพั้นซ์ก็แล้วกัน แกคิดว่าคนเป็นพ่อจะดีใจที่เห็นลูกสาวเสียจุดโทษหรือไง ห๊า”
“ไม่น่าเชื่อ ว่าคนเลวๆ อย่างเจ้านายจะรักลูกได้ถึงขนาดนี้”
เสกสรรยิ้มพอใจ แล้วนึกได้
“นี่แกหลอกด่าฉันเหรอ”
“อุ้ย ใครจะกล้าครับ นี่ผมชื่นชมต่างหาก”
เสกสรรตาเขียวใส่สมหมายที่ก้มหน้างุด แล้วหันไปมองประตูที่ภูวนัยทุบปึงปังก่อนจะยิ้มพอใจ
ไผ่พญาเดินกลับมาที่งานเลี้ยง พรรณรายมองไผ่พญาก่อนจะมองหาภูวนัย
“ภูละ”
“ไม่รู้ เห็นบอกว่าจะเข้าห้องน้ำแล้วก็หายไปเลย ดี ขอให้ตกส้วมตาย ชิ”
ระหว่างนั้นพิชิตเทว๊อดก้าลงในแก้วแล้วคะยั้นคะยอยื่นให้ไผ่พญาที่กำลังทำหน้าเซ็ง
“ดื่มซักหน่อยซิ จะได้สนุก”
“ดีคะ”
ไผ่พญาคว้าแก้วช๊อตกำลังจะยกดื่ม แต่แล้วจู่ๆ เธอก็นึกถึงคำสั่งของภูวนัยที่เคยห้ามเธอดื่มเหล้า ไผ่พญาจึงวางแก้วลง
“ไม่ดื่มเหรอครับ”
“เอ่อ ฉันแพ้แอลกอฮอล์น่ะคะ”
พรรณรายส่งสายตาให้พิชิตหาทางจัดการไผ่พญาให้ได้
เสกสรรกับสมหมายเอามือป้องหูแนบประตูฟังเสียงจากภายในห้องเก็บของ สีหน้าสงสัยเพราะเสียงร้องโวยวายของภูวนัยเงียบไป
“เงียบไปแล้วนาย เป็นไรหรือเปล่าวะ”
“ขาดอากาศตายไปแล้ว”
ภายในห้อง ภูวนัยกำลังโมโหเพราะคิดว่าเป็นฝีมือไผ่พญา
“ยัยตัวแสบ”
ภูวนัยคิดหาทางว่าจะออกจากห้องเก็บของยังไง ก่อนที่ภูวนัยจะนึกขึ้นมาได้ก็รีบหยิบมือถือขึ้นมา
เสกสรรกลัวภูวนัยเป็นลมตายเลยแกล้งเดินออกมาห่างๆ ประตู ทำเป็นเดินผ่านพร้อมร้องเพลงลูกทุ่งๆ ให้ประมาณคนงานเดินผ่านไป ภูวนัยได้ยินเสียงเพลงดีใจรีบทุบประตูเรียก
“ช่วยด้วยครับ ผมติดอยู่ในห้อง...คุณ...คุณ”
เสกสรรได้ยินเสียงก็ยิ้มพอใจที่ภูวนัยยังปลอดภัยดีอยู่ เสกสรรแกล้งร้องเพลงเสียงเบาลงเรื่อยๆ ประมาณเดินผ่านไปแล้ว
“อย่าเพิ่งไป...คุณ...คุณ” เสกสรรหยุดร้องเพลง สมหมายยกนิ้วโป้งให้ยิ้มชอบใจ “ดังขนาดนี้ไม่ได้ยินหรือไง” ภูวนัยบ่นอย่างหงุดหงิดยกมือถือมากดเบอร์โทรออก
ขณะนั้นพิชิตยังก่อล่อก่อติกกับไผ่พญาโดยมีพรรณรายคอยช่วย
“อ้าปากซิคะ เดี๋ยวผมป้อนให้”
“ไม่ต้องหรอกคะ ฉันไม่หิว”
“เอ หรือว่าไม่ชอบให้ผมใช้มือป้อน แล้วอย่างนี้ละครับ”
ว่าแล้วพิชิตก็คาบข้าวเกรียบเอาไว้แล้วยื่นให้ไผ่พญากินอีกมุม
“ทำอะไร คุณจะกินก็กินไม่ต้องมาห่วงฉัน”
มือถือของพรรณรายดังขึ้น พรรณรายมองเบอร์แล้วแปลกใจ
“ภู”
ไผ่พญาสงสัย พรรณรายรับสาย
“ว่าไงคะภู...อะไรนะคะ” พรรณายชะงักไปเมื่อเห็นไผ่พญาจ้องมาเหมือนอยากรู้ “ได้คะ พั้นซ์จะรีบไป” ภูวนัยวางสายไป แต่พรรณรายอยากจะยั่วไผ่พญาเลยทำเป็นพูดต่อ “แหม รออยู่ที่ห้องก็ไม่บอก” ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็สะอึก “ไม่เป็นไรหรอกคะ เพื่อนๆ พั้นซ์เขาเข้าใจ เขาอยากให้พั้นซ์มีความสุขในวันเกิด แล้วพั้นซ์ก็เชื่อว่าภูจะทำให้พั้นซ์มีความสุขเหมือนขึ้นสวรรค์”
ไผ่พญาชะงักไปที่ได้ยินพรรณรายพูดอย่างนั้น พรรณรายวางสายก่อนจะหันมาบอกกับเพื่อนๆ
“โทษทีนะเพื่อนๆ พอดีฉันคงต้องไปเอาของขวัญน่ะ”
“เอาของขวัญหรือเอาอะไร”
“หึ ก็รู้นี่” พรรณรายพูดทำเขินๆ ยิ่งทำให้ไผ่พญาไม่รู้จะทำยังไง พรรณรายหันมาบอกกับไผ่พญาและพิชิต “ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวฉันจะพาภูกลับมาเอง แต่คงจะนานหน่อย พิชิตยังไงก็ฝากดูแลครูไผ่เขาด้วยละ”
พรรณรายพูดเพื่อต้องการส่งสัญญาณให้กับพิชิตก่อนที่ตัวเองจะยิ้มเยาะไผ่พญาแล้วเดินออกไป ไผ่พญานิ่งไปทั้งหงุดหงิดที่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างภูวนัยกับพรรณราย
พรรณรายเดินคุยโทรศัพท์มือถือมาตามทางเดินไปห้องเก็บของ
“พั้นซ์มาทางด้านหลังแล้วคะ ห้องไหนนะภู...คะ”
พรรณายฟังแล้วเดินไปตามทาง
ที่บริเวณทางเดินไปหน้าห้องเก็บของเสกสรรและสมหมายยืนคุยกันอยู่
“เดี๋ยวแกเฝ้ามันไว้ตรงนี้แล้วกัน”
“อ้าว แล้วเจ้านายจะไปไหนครับ”
“ไปต่อยป้าแกมั้ง ฉันจะไปไหนมันก็เรื่องของฉัน”
“แล้วถ้าคุณพั้นซ์รู้เรื่องละครับ”
“จะรู้ได้ยังไง ป่านนี้นั่งเมาอยู่ที่สระว่ายน้ำโน่นแล้ว”
พรรณรายเดินเลี้ยวมาตามทาง สมหมายสะอึกก่อนจะสะกิดเสกสรรหันไปมอง พอเสกสรรเห็นพรรณรายเดินมาก็ตกใจ สมหมายรีบเข้ามาหาพรรณราย ขวางทางเอาไว้
“อ้าว ปาร์ตี้เลิกแล้วเหรอไง”
“ยังคะ พั้นซ์มาตามหาภู ภูโทรบอกว่าถูกขังไว้ ไม่รู้ว่าฝีมือใคร โรคจิตจริงๆ”
เสกสรรสะอึกแต่แกล้งทำเนียน
“อะไร มีเรื่องอย่างนี้ที่รีสอร์ตฉันได้ยังไง”
“แหม แต่ขังเอาไว้ก็ดีเหมือนกันนะครับ ดุแบบนั้นเดี๋ยวจะไปกัดใครเข้า”
พรรณรายมองหน้าสมหมายตาดุ คุยมือถือ
“ภูส่งเสียงหน่อยคะ”
เสกสรรและสมหมายมองหน้ากัน
“เดี๋ยวเราไปช่วยตามหาทางโน่นดีกว่าเว้ยไอ้หมาย”
ในห้องเก็บของ ภูวนัยทุบประตูห้องโครม ๆ
“พั้นซ์ ผมอยู่นี่”
พรรณรายได้ยินรีบตรงมาที่ประตูห้องเปิดล็อคให้ ภูวนัยรีบออกมาจากห้อง
“เป็นไงมั่งคะ”
“ปลอดภัยดีครับ อย่าให้จับได้นะว่าใครมันทำ ขอบคุณมากนะพั้นซ์”
ภูวนัยจะเดินออกไป แต่พรรณรายกลับมาขวางเอาไว้แล้วลูบไล้ที่แผ่นอกภูวนัย
“ดูซิ ในนั้นคงจะร้อนมากใช่มั้ยคะ ภูอยากขึ้นไปอาบน้ำที่ห้องก่อนมั้ยคะ”
พรรณรายส่งสายตาสื่อนัยให้กับภูวนัย แต่ภูวนัยกลับจับมือพรรณรายออก
“ไม่เป็นไรพั้นซ์ เดี๋ยวภูก็จะกลับแล้ว”
ภูวนัยยิ้มน้อยๆ ให้กับพรรณรายก่อนจะรีบเดินออกไป พรรณรายพยายามเรียกเอาไว้
“ภู ภู”
พรรณรายเจ็บใจที่ภูวนัยไม่มีทีท่าว่าจะสนใจเธอเลย
ไผ่พญานั่งรอภูวนัยด้วยความหงุดหงิด
“ยัยพั้นซ์นี่เอาจนได้นะ”
“แกลืมตอนที่มันอยู่อเมริกาแล้วหรือไง ถ้ามันสนใจผู้ชายคนไหนละก็ ไม่รอดซักราย”
ไผ่พญาได้ยินก็หงุดหงิดหนักก่อนจะลุกขึ้นพรวด
“จะไปไหนเหรอ” พิชิตรีบถาม
“กลับคะ พรุ่งนี้ฉันมีสอนแต่เช้า”
“เดี๋ยวผมไปส่งครับ”
“ไม่เป็นไรคะ ฉันกลับเองได้”
“ได้ยังไง เกิดคุณไผ่เป็นอะไรขึ้นมา ผมคงโทษตัวเองไปตลอดชีวิตที่ดูแลคุณไผ่ไม่ดี นะ เดี๋ยวผมไปส่ง”
“ก็ได้คะ” ไผ่พญามองไปทางห้องพัก “นึกว่าฉันจะง้อนายหรือไง...กลับก่อนนะคะ”
ไผ่พญาร่ำลาเพื่อนพรรณรายแล้วเดินออกไป
พิชิตหันไปยักคิ้วกับเหล่าเพื่อนๆ ประมาณว่าเสร็จกูแน่ แล้วจึงเดินตามไผ่พญาออกไป
คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอน 8 (ต่อ)
ขณะที่ไผ่พญากับพิชิตเดินกันมาตามทางเดิน ระหว่างนั้นพิชิตเหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“โห ตายเลย”
พิชิตทำท่าตบตามกระเป๋ากางเกง
“อะไรคะ”
“ผมลืมกุญแจรถไว้ในห้องน่ะ”
“ไม่เป็นไรคะ เดี๋ยวฉันรอตรงนี้ก็ได้”
“ไม่ได้หรอก ทั้งมืดทั้งน่ากลัวอย่างนี้ ผมจะปล่อยให้คุณไผ่รอคนเดียวได้ยังไง ไปด้วยกันเถอะแป๊ปเดียวเอง”
ไผ่พญาระบายลมหายใจก่อนจะพยักหน้า พิชิตยิ้มก่อนจะเห็นทั้งคู่เดินเลี้ยวไปทางห้องพัก
ไผ่พญากับพิชิตเข้ามาในห้อง พิชิตทำเป็นนึกไม่ออก
“ไว้ไหนนะ” พิชิตหาตามโต๊ะตามเตียง ไผ่พญามองไปรอบๆ เหมือนชมสถานที่ “คุณไผ่ช่วยดูตรงหัวเตียงหน่อยซิ ว่ามีมั้ย”
ไผ่พญาเดินไปที่หัวเตียงก่อนจะเปิดลิ้นชักออกดู
“ไม่...” ไผ่พญากำลังหันมาบอกว่าไม่มี ทันใดนั้นพิชิตก็โผเข้ามาแล้วกอดไผ่พญาทางด้านหลัง “เฮ้ย ทำอะไรน่ะ”
“นิ่งๆ ไว้ แล้วเดี๋ยวผมจะทำให้คุณมีความสุขเอง”
พิชิตยื่นหน้าจะจูบ แต่ทันใดนั้นไผ่พญาก็ต่อยเปรี้ยงเข้าที่หน้า
“ไอ้โรคจิต”
ไผ่พญาหลุดจากการกอดของพิชิตได้ก็รีบวิ่งไปที่ประตู พิชิตตั้งหลักได้ก็รีบวิ่งตามมาดึงตัวไผ่พญาเอาไว้
“ชอบให้รุนแรงใช่มั้ย”
ไผ่พญาไม่พูดพร่ำทำเพลง หันมาซัดพิชิตอีกหมัดแล้วรีบเปิดประตู พิชิตที่โดนต่อยหันกลับมาแล้วรีบกอดตัวไผ่พญาเอาไว้ทางด้านหลัง
“ปล่อย ฉันบอกให้ปล่อยเดี๋ยวนี้” พิชิตไม่ปล่อย “ไม่ปล่อยใช่มั้ย”
ไผ่พญาศอกกลับเข้าหน้าพิชิตเต็มๆ พิชิตถึงกับหงาย พิชิตโผเข้ามาหาไผ่พญาอีกก่อนจะลากไผ่พญามาที่เตียง
ภูวนัยเดินกลับมาที่สระว่ายน้ำ มองหาไผ่พญาที่ไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว พรรณรายเดินตามเข้ามา
“โทษนะครับ เห็นครูไผ่มั้ยครับ”
“ออกไปกับพิชิตแล้วคะ”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็ไม่พอใจ พรรณรายเดินเข้ามาสุมไฟให้แรงขึ้น
“แหม หรือว่าบางทีคนที่ขังภูเอาไว้ อาจจะเป็นยัยครูนั่นก็ได้นะคะ เธอเองก็คงอยากจะมีความสุขบ้าง”
แต่แล้วทั้งหมดก็ตกใจเมื่ออยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงกระจกหน้าต่างแตกก่อนจะได้ยินเสียงร้องไผ่พญาก็ดังเข้ามา
“ช่วย...ช่วยด้วย”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็รีบตกใจรีบวิ่งออกไปทันที พรรณรายรีบตามออกไป
พิชิตกลิ้งอยู่ที่พื้น ไผ่พญาพยายามมองหาอาวุธหลังจากที่ปาโคมไฟใส่แล้วไม่โดน
“เหลืออดแล้วนะเว้ย”
ว่าแล้วพิชิตก็พุ่งเข้าไปหาไผ่พญาก่อนจะจับไผ่พญาเหวี่ยงลงที่เตียง แล้วตัวเองรีบกระโดดขึ้นคร่อม
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
ทันใดนั้นภูวนัยก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง พอเห็นเหตุการณ์ว่าไผ่พญากำลังจะโดนขืนใจก็พุ่งเข้าไปดึงพิชิตออกก่อนจะต่อยพิชิตเข้าให้ เปรี้ยง พิชิตล้มคว่ำไป ภูวนัยรีบเข้ามาดูไผ่พญา
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
ไผ่พญากำลังจะบอก แต่แล้วไผ่พญาก็ตกใจเมื่อเห็นพิชิตเงื้อเก้าอี้จะตีภูวนัยที่ด้านหลัง
“ระวัง”
ภูวนัยหันไปแต่ก็ไม่ทันซะแล้ว ภูวนัยโดนตีตรงเกือบที่เป็นแผลอยู่
“อ้าก”
พิชิตเข้ามาจะซ้ำภูวนัย แต่ภูวนัยหลบได้ก่อนจะใช้วิชาศิลปะป้องกันตัวสวนกลับจนพิชิตล้มคว่ำไป เป็นจังหวะเดียวกับที่พรรณรายวิ่งเข้ามา
“ภู ภูเป็นไรมั้ยคะ” ภูวนัยไม่ตอบพรรณราย แต่ตรงเข้าไปจับมือของไผ่พญาแล้วรีบพาไผ่พญาออกจากห้องไป
“ภู” พรรณรายเจ็บใจ หันไปถามพิชิตที่ค่อยๆ ลุกขึ้น “สำเร็จมั้ย”
“สำเร็จอะไรเล่า อยู่ๆ ไอ้บ้านั่นก็เข้ามา”
พรรณรายตบหน้าพิชิตเต็มแรง เผียะ!
“โง่ แค่นี้ก็ทำไม่ได้”
พิชิตโดนพรรณรายตบถึงกับล้มลงอีกที พรรณรายเจ็บใจที่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน
ภูวนัยจูงมือไผ่พญาเดินมาที่ลานจอดรถ ระหว่างนั้นภูวนัยรู้สึกตัวว่าจูงมือไผ่พญาอยู่ก็รีบปล่อยมือ ส่วนไผ่พญาไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะยังระทึกอยู่
“ทำไม เจ็บแผลเหรอ” ไผ่พญาถามอย่างเป็นห่วง
“เอ่อ ไม่เป็นไรหรอก”
ภูวนัยพยายามทำหน้านิ่งแล้วเดินต่อไป ไผ่พญามองภูวนัยจากทางด้านหลังก่อนจะรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรง
“เอ่อ ขอโทษนะ” ภูวนัยหันมองด้วยความแปลกใจ “ก็ที่นายเจ็บแผลเพราะช่วยฉันไว้นี่ คิดแล้วฉันยังใจหายอยู่เลย ถ้าเกิดตอนนั้นนายมาไม่ทันฉันจะเป็นยังไงเนี่ย”
“ต่อให้ผมต้องเสียแขนข้างนี้ไป ผมก็จะปกป้องคุณเอง” คำพูดของภูวนัยทำให้ไผ่พญารู้สึกดีอย่างประหลาด แต่แล้วภูวนัยกลับพูดขึ้นว่า “ผมจะไม่ยอมให้คนที่อยู่รอบๆ ตัวต้องเป็นอะไรอีก”
จากหัวใจของไผ่พญาที่กำลังพองโต กลับแฟ่บลงทันที
“อ๋อเหรอ”
“มีอะไรเหรอ”
“อ๋อ เปล่า” ไผ่พญารีบเปลี่ยนเรื่อง “แต่ฉันว่า ถ้านายยังไม่รับรักคุณพั้นซ์ละก็ บางทีเธออาจจะตายก็ได้นะ”
“ไม่หรอก ผมรู้จักพั้นซ์ดี บางทีเธอก็แค่ต้องการเอาชนะเท่านั้น”
ไผ่พญาเหมือนลืมตัวชั่วขณะจึงถามออกไป
“แล้วถ้าเกิดคุณพั้นซ์เขารักนายจริงๆ ละ”
“ยังไงผมก็รักเขาไม่ได้”
“ทำไมละ”
ภูวนัยสบตาไผ่พญา
“คุณอยากรู้จริงๆ เหรอ”
ไผ่พญาชะงักไปเมื่อเห็นแววตาของภูวนัยเศร้าลง
วันต่อมา ภูวนัยกับไผ่พญายืนอยู่หน้าโกฐเหมือนฝัน ไผ่พญามองภูวนัยนิ่งด้วยความรู้สึกสงสาร
“ฉันสัญญาไว้กับเหมือนฝัน ว่าฉันจะไม่รักใครอีก” ภูวนัยหันมองไผ่พญา “คุณคงรู้แล้วนะ ถึงพั้นซ์จะรักผมจริงๆ ผมก็รักเขาไม่ได้”
ภูวนัยพูดเสร็จก็จะเดินออกไป ระหว่างนั้นไผ่พญาตัดสินใจพูดขึ้น
“นายคิดว่าคุณเหมือนฝันอยากให้นายเป็นอย่างนี้เหรอ”
ภูวนัยชะงักหันมา
“คุณจะพูดอะไร”
“คุณเหมือนฝันเขาบอกนายเหรอว่าห้ามนายรักใครอีกนอกจากเธอ” ภูวนัยนิ่งอึกอัก “ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ คุณเหมือนฝันก็เป็นผู้หญิงที่เห็นแก่ตัวที่สุด”
“พอได้แล้ว ผมจะไม่ยอมให้คุณว่าเหมือนฝันอีก”
“งั้นนายก็บอกมาซิว่าเหมือนฝันเขาบอกนาย ว่าห้ามนายรักใครอีกเหรอ”
ภูวนัยนิ่งไปก่อนจะสารภาพ
“เปล่า เขาไม่เคยบอกผม แต่ผมอยากทำอะไรให้กับเธอเป็นสิ่งสุดท้าย”
“แต่ฉันมั่นใจ ว่าสิ่งสุดท้ายที่เธออยากให้นายทำก็คือการที่เธออยากเห็นนายมีความรักอีกครั้ง”
ภูวนัยอึ้งไป
สมส่วนกำลังกวาดพื้นอยู่หน้าบ้าน ระหว่างนั้นพรรณรายขับรถเข้ามาจอดเอี๊ยด ฝุ่นตลบ พรรณรายลงจากรถด้วยท่าทางหงุดหงิด
“ภูอยู่ไหน”
สมส่วนชะงัก
“เอ่อ คุณภูไม่อยู่ครับ”
“อะไรนะ ไปไหนรู้มั้ย”
“ไม่ทราบเหมือนกันครับ รู้แต่ว่าออกไปกับคุณครูครับ”
พรรณรายได้ยินอย่างนั้นก็ยิ่งทำให้ไฟแห่งความกังวลโหมกระพือ
สมหมายกับพนักงานของรีสอร์ตยืนกางผ้าปูที่นอนอยู่กลางสนามหญ้า เสกสรรกำลังยืนพิจารณาผ้าปูที่นอนสีหน้าเครียด เสกสรรให้สัญญาณสมหมายหมุน สมหมายหมุนผ้าปูที่นอนกลับอีกฝั่ง เสกสรรเอาแว่นขยายส่องดู
“นายไม่ต้องดูหรอกครับ ผมว่าคุณพั้นซ์กับไอ้หมอนั่น ยังไม่ได้เสียเป็นเมียผัวกันหรอกครับ”
“อะไรนะ อย่าบอกนะว่าเมื่อคืนแกแอบดูลูกสาวฉัน”
“เหวอ ไม่ใช่ครับนาย คือเมื่อกี้ผมเจอคุณพั้นซ์เดินออกไป พอถามว่าจะไปไหนก็ท่าทางหงุดหงิด นายคิดดูซิครับ มีที่ไหนได้กันแล้วจะหงุดหงิดผมว่าคุณพั้นซ์ยังซิงล้านเปอร์เซ็นต์ครับ”
“จริงเปล่าวะ เฮ้อ ค่อยยังชั่ว ฉันนึกว่ายังไงยัยพั้นซ์ก็ต้องเสร็จไอ้ภูเมื่อคืนไปแล้ว นี่คงเป็นบุญบารมีของฉันที่ทำให้ยัยพั้นซ์รอดมาได้”
“แต่ท่าทางคุณพั้นซ์ไม่อยากรอดเท่าไหร่”
“แกว่าอะไร”
“อ๋อ เปล่าครับ” สมหมายรีบเปลี่ยนเรื่องเพราะกลัวโดน “หรือว่า ที่คุณพั้นซ์รอดมาได้เมื่อคืน เป็นเพราะนายทำตามที่ซินแสบอกครับ”
เสกสรรคิดๆ แล้วนึกออก
“เรื่องแม่พรรษาน่ะเหรอ”
“ใช่ครับ นายคิดดูซิครับ นี่ขนาดนายยังไม่รุกเท่าไหร่ คุณพั้นซ์ยังแคล้วคลาดมาได้ขนาดนี้ ถ้านายรุกมากกว่านี้ละก็ รับรองว่าไอ้หมอนั่นต้องย้ายฟาร์มหนีไปในสามวันเจ็ดวันแน่เลยนาย”
เสกสรรได้ยินที่สมหมายพูดก็ครุ่นคิดขึ้นมาทันที
พรรษาอุ้มตะกร้าผ้าเข้ามาที่หลังบ้าน เผ่าพงศ์ชะโงกหน้าออกมาจากอีกมุมแอบมองพรรษา
“เอาไงดี จะช่วยหรือไม่ช่วยดีวะเรา”
พรรษามองหาไม้แขนเสื้อก่อนจะเห็นไม้แขวนเสื้อวางอยู่ที่มุมหนึ่งจึงเดินไปเอา ด้วยมุมนั่นทำให้เผ่าพงศ์ไม่เห็น เผ่าพงศ์ชะโงกตามด้วยความแปลกใจว่าพรรษาไปไหนจึงรีบย่องออกมา
พรรษาหยิบไม้แขวนเสื้อเสร็จก็เดินกลับมาเป็นจังหวะที่เผ่าพงศ์เดินตามมาพอดี เผ่าพงศ์ถึงกับหันหลังกลับแทบไม่ทันเมื่อพรรษาหันมาเห็นพอดี
“อ้าว คุณเผ่า มาทำอะไรคะ”
“เอ่อ ฉันก็ ก็ มาเดินเล่นน่ะ แล้วนั่นจะทำอะไรน่ะ”
“กองผ้าอย่างนี้ คิดว่าษาจะเอาไปทำกับข้าวเหรอคะคุณเผ่า”
“เอ้า ฉันถามดี ฉันรู้แล้วว่าจะตากผ้า แต่ทำไมไม่ให้ไอ้สมส่วนมันทำ แขนเจ็บอย่างนี้จะทำได้ยังไง”
“ไม่เป็นไรคะ นี่มันเสื้อผ้าษาเอง เดี๋ยวษาตากเองดีกว่า”
“ได้ยังไง มานี่ๆ เดี๋ยวฉันตากให้เอง”
“อุ้ย ไม่เป็นไรคะ”
จู่ๆ ก็มีเสียงกระแอมดังขึ้น เผ่าพงศ์กับพรรษาหันไปก็เห็นเสกสรรเดินเข้ามา
“แก ใครให้แกเข้ามา”
“เอ้า นี่โทษฉันไม่ได้นะ ฉันตะโกนเรียกหน้าบ้านตั้งนานก็ไม่เห็นมีใครตอบ”
“เจ้านายผมกลัวว่าคนบ้านนี้จะตายหรือเปล่าเลยเดินเข้ามาดู ที่จริงต้องขอบคุณเจ้านายผมนะครับ เอ้า ยืนเฉยทำไมละ ไหว้เจ้านายฉันซิ”
เผ่าพงศ์จะยกมือไหว้เสกสรรแล้วนึกได้
“คนบ้านแกซิตาย ฉันถามว่าแกมาทำไม”
“ไม่ได้มาหาแกก็แล้วกัน” เสกสรรหันไปเห็นพรรษากำลังจะตากผ้า “อุ้ย นั่นษากำลังจะตากผ้าเหรอครับ เดี๋ยวฉันช่วย” เสกสรรปรี่เข้ามาจะช่วยพรรษาตากผ้า เผ่าพงศ์รีบเข้ามาขวาง เสกสรรมองหน้าเผ่าพงศ์ “แกนี่ นอกจากอ้วนแล้วยังไงเห็นแก่ตัวอีกนะ ฉันจะช่วยน้องษาแกยังไม่ให้ช่วยอีกเหรอ”
“เอ่อ ไม่เป็นไรคะคุณเสกสรร แค่ตากผ้าเอง”
“ไม่เป็นไรจ้ะ ที่ฉันมานี่ตั้งใจจะมาช่วยน้องษาโดยเฉพาะเลยนะ เพราะฉันคิดว่าคนที่นี่คงจะช่วยอะไรน้องษาไม่ได้ เพราะ...” เสกสรรหันไปทางเผ่าพงศ์ “ไม่ค่อยสมประกอบเท่าไหร่ มาจ้ะ...พี่ช่วย”
เสกสรรดึงเสื้อมาจากพรรษา เผ่าพงศ์เห็นอย่างนั้นก็รีบเข้ามาดึงเสื้อจากเสกสรร
“ไม่ต้อง ฉันทำเอง”
“ปล่อยเลยไอ้อ้วน ฉันทำเองเว้ย”
“แกนั่นแหละปล่อย เสื้อแม่ษา ฉันตากได้คนเดียว ปล่อย”
“ไม่ปล่อย”
เผ่าพงศ์กับเสกสรรดึงเสื้อพรรษากันไปมาอย่างไม่มีใครยอมใคร ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงแคว่ก เสื้อพรรษาขาดออก เผ่าพงศ์กับเสกสรรต่างหงายเก๋งก้นจ้ำเบ้า เสกสรรกับเผ่าพงศ์ต่างมองหน้าพรรษาที่กำลังโกรธ
“อยากตากกันใช่มั้ย เชิญ”
พรรษาพูดเสร็จก็เดินออกไป เสกสรรกับเผ่าพงศ์ต่างโทษกันไปมา
“เป็นไงละไอ้อ้วน เพราะแกนั่นแหละ”
“เพราะแกต่างหากไอ้หัวลูกชิ้น”
เสกสรรกับเผ่าพงศ์ต่างก็รีบวิ่งตามพรรษาไป
พรรษามองยาในมือเสกสรรด้วยความแปลกใจ
“ยามันดีอย่างนั้นเลยเหรอคะ”
“แน่นอน อันนี้เป็นยาที่นักวิจัยทางภาคเหนือเขาเพิ่งค้นพบ เขาเอาสารสกัดจากลำใยมาทำเป็นยา ไอ้อาการเคล็ดขัดยอกพูดไม่ออกบอกไม่ถูกรับรองจะหายเป็นปลิดทิ้ง มานะเดี๋ยวพี่ทาให้”
เสกสรรกำลังจะเอื้อมมือไปจับมือของพรรษา เสียงของเผ่าพงศ์ดังขึ้น
“มาแล้วๆ” พรรษากับเสกสรรหันไปก็เห็นเผ่าพงศ์ยกหม้อยาจีนเข้ามา “ไอ้สารสกงสกัดจากลำไยอะไรนั่นมันหลอกเด็ก นี่เลยจ้ะแม่ษา ยาจีน! รับรองว่าได้ผลกว่าไอ้ลำใยเน่าๆ นั่นแน่นอน”
“อ้าว รู้ได้ยังไงว่าดีกว่า”
“เอ้า ก็ของแกมันเพิ่งค้นพบ แต่นี่ยาจีนพวกนี้เขาค้นมาหลายพันปีแล้ว แค่ความน่าเชื่อถือก็กินขาดแล้วเว้ย”
“ที่เขาพูดก็ถูกของเขานะนาย พวกเรากลับกันเถอะ” สมหมายบอก
“เฮ้ย! กลับทำไม โธ่ โบราณ กินอย่างนั้นแล้วเมื่อไหร่จะหาย น้องษาเชื่อพี่นะ ลำใยของพี่ดีจริงๆ”
เสกสรรจะดึงมือของพรรษามา แต่เผ่าพงศ์ขวางเอาไว้โดยเอาถ้วยซุปมาป้อนข้างหน้า
“นี่ ยาจีนฉันดีกว่าแม่ษา ลองกินซิ”
“ดีกว่าก็เก็บไว้กินเองซิวะ”
“เอ้า แล้วทำไมแกไม่เก็บลำไยแกไว้ทาเองละ”
“ก็ฉันจะให้แม่ษาทามีอะไรมั้ย”
“มี” ว่าแล้วเผ่าพงศ์ก็ดึงหลอดยาในมือเสกสรรมาก่อนจะกดยาพุ่งปริ้ดใส่หน้าเสกสรร “ไง ดีมากใช่มั้ย นี่แน่ะ”
เสกสรรหลบก่อนจะหันไปหยิบหลอดยาที่ซื้อมาจำนวนมากมาบีบสู้กับเผ่าพงศ์ เผ่าพงศ์บีบหลอดนั่นหมดก็ไม่มีทางสู้เลยหันไปคว้าหม้อยาจีนมา แล้วเอาทัพพีตักสาดใส่เสกสรร พรรษาทนไม่ได้ ร้องขึ้น
“หยุดดดด”
ทุกคนหยุดชะงักในสภาพเละเทะ โดยเฉพาะพรรษาที่ดูเละที่สุดเพราะอยู่ตรงกลาง เสกสรร เผ่าพงศ์หน้าเจื่อน
สมส่วนกำลังชะโงกมองที่หน้าบ้าน
“ไอ้เสกสรรทำไมพักนี้มาที่นี่บ่อยจังวะ”
สมส่วนพยายามมองเข้าไปในบ้านอย่างอยากรู้อยากเห็น ระหว่างนั้นเสียงของขิงก็ดังขึ้น
“หวัดดีครับพี่”
สมส่วนชะงักก่อนจะหันกลับไปตามเสียงเรียก สมส่วนทำหน้าแปลกใจ
“พวกแกเป็นใคร”
ขิงกับกระดังงายืนอยู่
“พวกเราเป็นเพื่อนไอ้ไผ่มันน่ะครับ”
ขิงกับกระดังงายิ้มเห็นฟันขาว ระหว่างนั้นเสียงโวยวายของเผ่าพงศ์ เสกสรร พรรษา สมหมายดังขึ้น ขิงกับกระดังงาหันไปก็เห็นเสกสรรวิ่งหนีออกมากับสมหมาย
“ไปเลย ออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้”
ขิงกับกระดังงาได้ยินอย่างนั้นก็เข้าใจทันทีว่าเผ่าพงศ์เป็นเจ้าของบ้าน
“คุณเผ่าใจเย็นๆ ซิคะ”
“โธ่ แน่จริงก็วางมีดดิวะ”
“ไม่วางจะทำไม”
ขิงกับกระดังงาเห็นอย่างนั้นก็รีบแจ๋นเข้ามาเสนอหน้าทันที
“สวัสดีครับ”
“อ๋อ นี่พาพวกมาบุกบ้านฉันเหรอ” เผ่าพงศ์เงื้อมีด ขิงตกใจ
“เว้ย ใจเย็นครับ พวกเราไม่ใช่พวกขอทานพวกนี้ครับ พวกเราเป็นเพื่อนไผ่น่ะครับ”
“เพื่อนคุณไผ่เหรอคะ”
เสกสรรได้ยินข้อมูล แต่ความโกรธที่ขิงกับกระดังงาว่าเขาเป็นขอทานก็เข้ามาแทรก
“เมื่อกี้พวกแกว่าใครเป็นขอทาน”
“ก็พวกแกไง”
“เฮ้ย พูดดีๆ นะเว้ย นี่คุณเสกสรร เป็นเจ้าของรีสอร์ตที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย รู้ไว้ด้วย”
ขิงกับกระดังงาได้ยินอย่างนั้นก็ชะงักไป แต่เผ่าพงศ์กลับของขึ้นแทน
“เจ้าของรีสอร์ตที่ใหญ่ที่สุดเหรอ? หึ รีสอร์ตที่ใกล้เจ๊งมากกว่า”
“เฮ้ย หยามขนาดนี้ ทนไม่ไหวแล้วเว้ย”
เสกสรรจะปรี่เข้าไปหาเผ่าพงศ์ เผ่าพงศ์เงื้อมีดขึ้น
“เอาซิ พวกแกบุกเข้ามาในบ้านฉัน ถ้าฉันฆ่าพวกแกฉันก็ไม่ผิดเพราะพวกแกบุกรุกบ้านฉัน”
“แหม นายท่านฉลาดจริงๆ ครับ คิดได้ยังไง”
“นั่นซิ ฉันคิดได้ยังไง...สมส่วน”
“ครับ”
“ไปเอาปืนมา”
เสกสรรกับสมหมายได้ยินอย่างนั้นก็ชะงัก
“เอ่อ ผมว่าเรากลับไปตั้งหลักที่รีสอร์ตก่อนดีกว่าครับนาย”
“ฝากไว้ก่อนเถอะไอ้อ้วน” เสกสรรหันหลังเดินไปก่อนจะเห็นขิงกับกระดังงาก็ตวาดใส่ “พวกแกด้วย”
พอเสกสรรกับสมหมายออกไปแล้ว ขิงกับกระดังงาก็รีบเข้ามาหาเผ่าพงศ์กับพรรษา
“สวัสดีคะคุณผู้หญิง”
“คุณผู้หญิง”
“ครับ คุณผู้หญิงกับคุณผู้ชาย คงเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ใช่มั้ยครับ”
“คุณเผ่าน่ะเป็นเจ้าบ้านหลังนี้คะ แต่ฉันเป็นแค่แม่บ้าน” พรรษาบอกขิงกับกระดังงาเพิ่งถึงบางอ้อ “เอ่อ ตอนนี้คุณไผ่ออกไปข้างนอกกับคุณภู ยังไงคุณทั้งสองเข้าไปรอในบ้านก่อนแล้วกันนะคะ เดี๋ยวดิฉันขอตัวพาคุณเผ่าแกไปทำความสะอาดร่างกายก่อน”
“เอ่อ ครับ”
พรรษาเดินพาเผ่าพงศ์เข้าไปในบ้าน ขิงกับกระดังงามองตามก่อนจะหันมาคุยกันเอง
“ฉันว่าไอ้ไผ่ต้องช่วยเราได้แน่ๆ”
“แกแน่ใจเหรอ”
“ทำไมจะไม่แน่ แกดูซิบ้านใหญ่ออกขนาดนี้ คิดดูว่าจะมีเงินมากขนาดไหน”
ขิงกับกระดังงามองไปที่ตัวบ้านด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์
คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอน 8 (ต่อ)
ริมน้ำที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง เสียงอุทานของไผ่พญาดังขึ้นอย่างตื่นเต้น
“โห...” ไผ่พญาเดินเข้ามากับภูวนัย ตื่นตาตื่นใจกับความสวยงามของสถานที่ “สวยจัง”
ไผ่พญาเดินเข้ามายืนที่ริมน้ำแล้วมองออกไปสุดลูกหูลูกตา ภูวนัยเองก็มองทุกอย่างสีหน้านิ่งก่อนจะค่อยๆ เดินเข้ามายืนข้างไผ่พญา ไผ่พญาชื่นชมความสวยงามได้สักพักก็รู้สึกตัวเมื่อเห็นภูวนัยเดินเข้ามายืนข้างๆ
“เอ่อ ขอบใจนะ”
“หืม”
“ก็ที่พาฉันมาเที่ยวไง”
ภูวนัยยิ้มมุมปากรับคำขอบใจ ก่อนจะหันมองไปเบื้องหน้า
“คุณชอบที่นี่ใช่มั้ย”
“อืม”
ไผ่พญารับคำแบบเขินๆ เพราะคิดว่าภูวนัยเริ่มทำดีกับเธอ แต่แล้วภูวนัยก็พูดขึ้นว่า
“เหมือนฝันเองก็ชอบที่นี่เหมือนกัน”
เสียงเพลงโรแมนติคที่ดังขึ้นในหัวของไผ่พญาถึงกับเงียบลง
“หืม”
“ผมกับเหมือนฝันเคยคิดที่จะสร้างบ้านอยู่ด้วยกันที่นี่”
ไผ่พญานิ่งไปเมื่อเห็นภูวนัยเศร้าลง ไผ่พญามองไปยังผืนน้ำกว้างใหญ่ ก่อนที่ไผ่พญาจะได้ความคิดบางอย่าง
ไผ่พญาหันมองไปรอบๆ ก่อนจะเดินไปหยิบไม้มา แล้วเริ่มลากไม้กับพื้น ภูวนัยมองด้วยความแปลกใจ
“ทำอะไรของคุณ”
“จองพื้นที่ไง ที่สวยอย่างนี้ฉันก็อยากสร้างบ้านของฉันเหมือนกัน คอยดูนะถ้าฉันมีเงินละก็ฉันจะสร้างบ้านใหญ่ๆ ตรงนี้เลย” ไผ่พญาเอาไม้เขี่ยขาภูวนัย “หลบหน่อย ฉันจะทำตรงนี้เป็นห้องนั่งเล่น”
“นี่ นี่”
“อะไร อย่าหวงขอร้อง ตอนนี้นายไม่ได้คิดจะอยู่ที่นี่แล้วนี่”
“ใครบอก ผมยังคิดอยู่” ภูวนัยบอกอย่างฉุนๆ แล้วคว้าไม้มาจากไผ่พญา ก่อนจะเอาไปลบเส้นที่ไผ่พญาขีดเอาไว้ “ตรงนี้เป็นที่ของผม”
“เฮ้ย! ได้ไง”
“ทำไมไม่ได้ ผมเห็นตรงนี้มาก่อนคุณตั้งนาน โน่น...ตรงโน่นยังว่าง”
ภูวนัยชี้มือไปอีกทางให้กับไผ่พญา ไผ่พญารับไม้มาก่อนจะยี้ปากหมั่นไส้ภูวนัย ไผ่พญาเดินถือไม้ออกไปไม่ไกล แล้วเริ่มตีเส้นอาณาเขตของตัวเอง
“นี่ตรงนี้ก็ได้ วิวสวยกว่าของนายอีก”
ภูวนัยมองไผ่พญาที่เริ่มตีเส้นรอบวงก่อนจะอมยิ้มกับความน่ารักเหมือนเด็กๆ ของไผ่พญา
พรรณรายกำลังนอนอาบแดดอยู่ที่ริมสระว่ายน้ำของรีสอร์ต อีกมุมหนึ่งเสกสรรกับสมหมายในสภาพมอมแมม แหวกพุ่มไม้ออกมาก่อนจะค่อยๆ ย่องออกมาจากพุ่มไม้ พรรณรายคว้าแก้วน้ำมากำลังจะยกดื่ม ระหว่างนั้นเหมือนพรรณรายได้กลิ่นตุๆ บางอย่างโชยมา
“น้ำแตงโมหรือน้ำขยะเนี่ย ทำไมมันเหม็นอย่างนี้”
เสกสรรกับสมหมายที่กำลังย่องอย่างเงียบกริบไม่ให้พรรณรายได้ยินถึงกับสะดุ้ง พรรณรายทำจมูกฟุดฟิดก่อนจะหันมองไปรอบๆ แล้วพรรณรายก็เหลือบไปเห็นเสกสรรกับสมหมายกำลังย่องจากไปอย่างเงียบๆ
“พวกแกเป็นใคร เข้ามาในนี้ได้ยังไง”
“ยัยพั้นซ์ นี่พ่อเอง”
“พ่อ! ไปตกถังขยะที่ไหนมาเนี่ย อี๋ๆ”
“จะอะไรละ ก็ทะเลาะกับไอ้อ้วนเผ่าพงศ์มาน่ะซิ หนอย...ทำเป็นหวงก้าง นี่ถ้าเพื่อนยัยครูนั่นไม่เข้ามาขัดจังหวะละก็ ฉันอาละวาดจนฟาร์มมันเละไปแล้ว”
พรรณรายได้ยินอย่างนั้นก็แปลกใจ
“พ่อว่าใครมาน่ะ พ่อว่าเพื่อนยัยครูนั่นมาที่ฟาร์มของภูเหรอ”
“ใช่”
“แหม สงสัยยัยครูนั่นจะเรียกเพื่อนมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวน่ะครับ”
พรรณรายได้ยินอย่างนั้นก็หันขวับเหวี่ยงใส่สมหมายทันที
“มางานศพแกมากกว่า” สมหมายสะดุ้ง พรรณรายหันมาถามเสกสรรต่อ “แล้วพ่อรู้หรือเปล่าว่าเพื่อนมันมาทำไม”
“จะไปรู้ได้ยังไง รู้แต่ว่าเพื่อนมันสองคนนั่นดูยังไงก็ไม่น่าจะเป็นครูด้วยกัน”
“ทำไมละพ่อ”
“ไม่รู้ซิ ดูท่าทางเหมือนเป็นคนไม่มีการศึกษา มาพูดได้ยังไงว่าพ่อเป็นขอทาน...ฮึ่ยย์”
พรรณรายได้ยินที่เสกสรรพูดก็รู้สึกติดใจอะไรบางอย่าง
ขิงกับกระดังงากำลังยกน้ำดื่มเหมือนเพิ่งหลุดมาจากทะเลทราย ขิงกับกระดังงาดื่มเสร็จก็วางแก้วลงอย่างชื่นใจ ขิงจะเอื้อมหยิบลูกอม กระดังงาตีมือขิงห้ามเอาไว้
“อะไร”
“หยิบมั่ว ใครเขาอนุญาต”
“ไม่ต้องมีใครอนุญาตเฟ้ย เขาวางไว้อย่างนี้ก็แสดงว่าเรากินได้”
“เหรอ งั้นฉันเอาด้วย” ขิงกับกระดังงารีบแกะลูกอมกินประทังชีวิต ขิงกับกระดังงามองไปรอบๆ แล้วก็คุยกันไป
“บ้านใหญ่อย่างนี้ กว่าจะทำความสะอาดเสร็จ ฉันว่าไอ้ไผ่มันต้องกล้ามขึ้นแน่”
กระดังงาเข้าใจว่าไผ่พญามาทำงานเป็นเด็กรับใช้ที่นี่
“นี่แกคิดว่าไอ้ไผ่จะมาเป็นคนใช้ที่นี่หรือไง” กระดังงาพยักหน้า “ไม่มีทาง คนอย่างไอ้ไผ่ไม่มีทางที่ใครจะใช้มันได้หรอก”
“ถ้าไม่ใช่ แล้วไอ้ไผ่มันจะมาทำอะไร”
“เมียน้อย”
“ห๊า”
“แกจำตาลุงที่เราเจอหน้าบ้านได้มั้ย ฉันว่าไอ้ไผ่มันต้องมาเป็นเมียน้อยเขาแน่ๆ”
“หือ คิดเป็นเรื่องเดียวนะแกเนี่ย ฉันว่าไอ้ไผ่มันก็ไม่มีทางเป็นเมียน้อยใครแน่ๆ เหมือนกัน”
ม่านเมฆที่แอบมองอยู่นานก็เข้ามามองๆ กระดังงาท่าทางเขินๆ
“สวัสดีครับ”
ขิงกับกระดังงาไม่ทันตั้งตัว พอม่านเมฆทักก็ตกใจจนพ่นลูกอม บุ่ย ออกมา”
“มาทางไหนวะเนี่ย เอ่อ...หวัดดีครับ”
ม่านเมฆไม่สนใจขิง แต่เข้าไปแนะนำตัวกับกระดังงาก่อนจะยื่นมือออกไปเช็คแฮนด์
“ผมชื่อม่านเมฆครับ”
“สวัสดีจ้ะ ฉันชื่อกระดังงา”
กระดังงาเอื้อมมือมาจับมือกับม่านเมฆ ม่านเมฆจับเสร็จก็เอามือมาจุมพิต
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
“อ้าว เฮ้ย!ๆ” ขิงตบหัวม่านเมฆเข้าให้ “ปล่อยมือเมียฉันเลย ไอ้เด็กชีกอ”
“นี่...ตีเด็กได้ยังไง เจ็บมั้ยครับ” กระดังงาถามเม่านเมฆ
ม่านเมฆมองขิง สีหน้าเอาจริงแล้วชี้หน้าขิง
“เรื่องนี้ถึงครูไผ่พญาแน่”
“เชิญ จะไปฟ้องใครก็เชิญ”
กระดังงาได้ยินอย่างนั้นก็แปลกใจ รีบเข้าไปถามม่านเมฆที่กำลังจะเดินออกไป
“เดี๋ยวๆ เมื่อกี้เมฆเรียกไผ่ว่าครูเหรอจ้ะ”
“ก็ใช่ซิครับ”
ขิงกับกระดังงามองหน้ากันตกใจเล็กน้อย
“ไอ้ไผ่ เอ๊ย...ครูไผ่เขามาเป็นครูที่นี่เหรอ”
“ครับ พวกพี่ก็ถามแปลกๆ แล้วพวกพี่ไม่ได้เป็นครูแบบครูไผ่เหรอ”
ขิงกับกระดังงาถึงกับอึ้งไปเมื่อรู้ว่าไผ่พญามาเป็นครู
ไผ่พญานั่งอยู่ในวงกลมอาณาเขตของตัวเอง ท่าทางเริ่มโหยและหิวแล้ว ไผ่พญาหันมองไปที่ภูวนัยที่นอนอยู่ในวงกลมของตัวเองเหมือนกัน ไผ่พญาลุกขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปหาภูวนัยที่หลับเอามือหนุนหัวอยู่ ไผ่พญากำลังจะปลุกแต่แล้วไผ่พญาก็ชะงักมือแล้วมองภูวนัยที่นอนอยู่เหมือนว่าเธอไม่เคยได้มองเขาใกล้ขนาดนี้มาก่อน ระหว่างนั้นเสียงท้องของไผ่พญาก็ร้องดังโครกครากออกมา ไผ่พญารีบเอามือปิดท้องทันทีแล้วเหล่มองภูวนัย
“ดีนะ ที่หลับอยู่”
ภูวนัยหลับตาอยู่แต่พูดขึ้น
“ใครบอก เสียงท้องคุณมันดังขนาดนั้น ต่อให้หลับสนิทยังไงก็ตื่น” ไผ่พญาตกใจเมื่อเห็นภูวนัยลืมตาขึ้น “แล้วเข้าบ้านคนอื่นอย่างนี้ไม่คิดจะเคาะประตูหรือไง”
“นี่ ฉันไม่เล่นแล้ว ไปเถอะ...ฉันหิว” ภูวนัยลุกขึ้นนั่ง แต่ยังไม่ลุก “อ้าว เป็นไร ไมไม่ลุกละ”
“เวลาที่คุณเหนื่อยหรือท้อ คุณทำยังไง”
“หือ” ไผ่พญางง
“ผมชอบมานั่งที่นี่ เวลาที่ผมเหนื่อย”
ไผ่พญามองภูวนัยที่สีหน้าเครียดเหมือนกำลังแบกทั้งโลกเอาไว้
“นายทำไม่ถูกนะ” ภูวนัยมองหน้าไผ่พญาด้วยความสงสัยในคำพูด “ก็ตรงนี้เป็นบ้านของนาย เวลาที่นายอยู่บ้าน ก็ควรที่จะมีความสุข” ไผ่พญาพูดอย่างนั้นแต่ก็ยังเห็นภูวนัยไม่ได้มีสีหน้าดีขึ้น “ลองวิธีฉันดูมั้ย นายถามฉันใช่มั้ยเวลาที่ฉันเหนื่อยหรือท้อ ฉันทำยังไง” ไผ่พญาพูดจบก็เดินไปที่ริมน้ำ ก่อนที่ไผ่พญาจะตะโกนออกไป “ไผ่พญาสู้ๆ ไผ่พญา สู้ๆ”
ภูวนัยเห็นไผ่พญาทำอย่างนั้นก็อมยิ้ม ไผ่พญาหันมาแล้วเห็นภูวนัยเริ่มมีรอยยิ้มก็วิ่งเข้ามาหาภูวนัยที่นั่งอยู่ แล้วดึงภูวนัยขึ้น
“เดี๋ยว”
“ลองดูซิ น่า” ไผ่พญาดึงภูวนัยไปที่ริมน้ำแล้วเริ่มตะโกนก่อน “ไผ่พญา เธอเก่งที่สุดในโลกเลย...วู้”
ภูวนัยเริ่มผ่อนคลาย ตะโกนบ้าง
“ใช่ คุณกินเก่งที่สุดในโลกเลยยยย”
“นี่”
“ขี้เหร่ที่สุดในโลกด้วยยยยย”
“หนอย นายก็เป็นคนที่ขี้เก็กที่สุดในโลกเหมือนกันนนน”
ภูวนัยกับไผ่พญาอยู่ที่ริมน้ำอย่างมีความสุข
ภูวนัยกับไผ่พญามานั่งกินก่ซยเตี๋ยวที่ตลาด ไผ่พญายกชามก๋วยเตี๋ยวซดน้ำซุปจนหยดสุดท้าย
“ฮ้า เป็นก๋วยเตี๋ยวที่อร่อยที่สุดที่ฉันเคยกินเลยนะเนี่ย” ภูวนัยนั่งกินน้ำมองไผ่พญา ไผ่พญาหันมาสะกิด “นี่...นายไม่หิวมั้งหรือไง”
“เห็นคุณกินแล้วผมกินไม่ลง”
“โด่เอ๊ย ชาติที่แล้วสงสัยนายจะเป็นปลากัดนะ ถึงได้กัดฉันได้ตลอดเวลา นายน่ะพลาดของดีในชีวิตไปอีกอย่างแล้วรู้มั้ย” พอไผ่พญาเริ่มอิ่มท้องก็เริ่มมีแรงพูด “นี่ แล้วนายจะเป็นไอ้ขี้แพ้อย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน”
“คุณว่าใครขี้แพ้”
ไผ่พญาจ้องหน้าภูวนัยไม่ยอมถอย
“ก็แล้วใครละ ที่จมอยู่กับอดีต แทนที่นายจะลุกขึ้นสู้กับความจริงที่มันเกิดขึ้น นายกลับปล่อยให้ตัวเองอยู่กับความเจ็บปวดในอดีตแล้วทนทุกข์กับมัน อย่างนี้แหละฉันเรียกนายว่าไอ้ขี้แพ้”
ภูวนัยอึ้งไป
“ผมอาจจะเป็นไอ้ขี้แพ้อย่างที่คุณว่าก็ได้”
“นี่ ฉันไม่ได้ตั้งใจว่านายอย่างนั้นหรอกนะ แต่ทำไมนายต้องโทษตัวเองด้วยละ ก็ในเมื่อทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่ความผิดของนาย” ภูวนัยนิ่งไม่พูดอะไร “นายเคยได้ยินเพลงนี้มั้ย” ไผ่พญาเริ่มร้องเพลง LIFE AND LEARN “เพราะชีวิตคือชีวิต...ต้องมีเข้ามาต้องมีเลิกไป...มีสุขสมมีผิดหวัง...หัวเราะหรือหวั่นไหว...เกิดขึ้นได้ทุกวัน...อยู่ที่เรียนรู้”
ไผ่พญาเอาตะเกียบมาแทนไมค์เริ่มร้องแบบอินมาก จนภูวนัยต้องสะกิดเรียกเพราะอายชาวบ้านที่กำลังหันมอง
“พอแล้ว”
“อยู่ที่ยอมรับมัน...เติมความคิดสติเราให้ทัน...อยู่กับสิ่งที่มี...ไม่ใช่สิ่งที่ฝัน...และทำสิ่งนั่นให้ดีที่สุด”
ไผ่พญาลืมตาขึ้นก่อนจะยิ้มให้กับภูวนัย ภูวนัยเองก็อมยิ้มให้ แต่แล้วทันใดนั้นเองเสียงปืนไม่รู้ที่มาก็ดังขึ้น “ปัง” แล้วความวุ่นวายก็เกิดขึ้นเมื่อชาวบ้านเริ่มวิ่งหนีตายกันโกลาหล ภูวนัยรีบดึงไผ่พญาหลบเข้าที่ปลอดภัยทันที
“ทำไม เกิดอะไรขึ้น”
“ไม่รู้เหมือนกัน”
แล้วทั้งสองก็ได้คำตอบเมื่อได้ยินชาวบ้านที่วิ่งหนีมาร้องโวยวาย
“ช่วยด้วย โจรปล้นร้านทอง”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็เหมือนกำลังจะทำอะไรบางอย่าง
“คุณรอนี่นะ” ไผ่พญาดึงตัวภูวนัยเอาไว้ “นายจะไปไหน อย่าบอกนะว่านายจะไปสู้กับมัน”
“แล้วจะให้ผมอยู่เฉยๆ หรือไง”
“แล้วนายจะเอาอะไรไปสู้กับมัน นายไม่มีปืนนะ”
ภูวนัยมองสบตาไผ่พญาอย่างจริงจัง
“ถึงไม่มีปืน แต่ผมก็ยังเป็นตำรวจ”
ว่าแล้วภูวนัยก็วิ่งออกไป
ไผ่พญาตกใจมองตามแผ่นหลังของภูวนัยที่วิ่งออกไปด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไป
โจรใส่หมวกกันน๊อควิ่งออกมาจากร้านทองพร้อมกับกระเป๋าเป้และปืน ระหว่างนั้นภูวนัยวิ่งสวนชาวบ้านที่วิ่งหนีเข้ามา ภูวนัยหลบอยู่ดูเชิงแล้วก็หันมองหาบางอย่างที่ใช้เป็นอาวุธได้
โจรวิ่งมาที่มอเตอร์ไซค์ก่อนจะรีบขึ้นคร่อมแล้วสตาร์ท ระหว่างนั้นอยู่ๆ ก็มีเก้าอี้ขว้างเข้ามาโดนเจ้าโจรจนล้มไปทั้งคนทั้งรถ
โจรลุกขึ้น เป็นจังหวะเดียวกับที่ภูวนัยวิ่งเข้ามา ก่อนจะหยิบเก้าอี้แล้วหวดไปที่หน้าของเจ้าโจร แต่โจรไม่เป็นอะไรเพราะใส่หมวกกันน๊อค โจรหยิบปืนขึ้นมาจะยิงภูวนัย ภูวนัยปัดปืนออกก่อนจะต่อยเข้าไปที่ท้อง โจรตอบโต้แต่ภูวนัยหลบไปก่อนจะต่อยเข้าไปที่ท้องไม่ยั้ง ไผ่พญาวิ่งตามภูวนัยมาด้วยความเป็นห่วง
โจรทรุดลงไปกองกับพื้นด้วยความจุก ไผ่พญาดีใจรีบวิ่งเข้ามาหาภูวนัย
“เป็นไรมั้ย”
“ตามมาทำไม มันอันตรายไม่รู้หรือไง”
ไผ่พญากำลังจะตอบ แต่แล้วหัวใจของไผ่พญาก็หล่นไปที่ตาตุ่มเมื่อเธอมองเข้าไปในร้านแล้วเห็นโจรอีกคน
กระโดดออกมาจากเคาน์เตอร์ก่อนจะเปิดประตูร้านทองออกมา
“ระวัง”
ภูวนัยหันไปก็เห็นเจ้าโจรอีกคนวิ่งออกมาก่อนที่โจรจะเห็นภูวนัยซัดโจรคนแรก เจ้าโจรรีบหมอบแล้วเล็งปืนมาที่ภูวนัยทันที ชั่วความคิดภูวนัยรีบหันหลังแล้วเอาตัวบังไผ่พญาเอาไว้ เสียงปืนดังขึ้น ปัง !
สิ้นเสียงปืนไผ่พญากับภูวนัยมองหน้ากัน ด้านหลังเห็นโจรที่เล็งปืนอยู่ค่อยๆ ล้มลง ภูวนัยกับไผ่พญาหันไปมองด้วยความแปลกใจก่อนจะเห็นตำรวจถือปืนยืนอยู่ด้านหลัง ภูวนัยกับไผ่พญามองหน้ากันดีใจโล่งอก
ไผ่พญากับภูวนัยนั่งอยู่ที่รถกระบะของตำรวจ ตำรวจหลายนายกำลังตรวจดูที่เกิดเหตุ
“นายนี่ไม่ไหวเลย ถ้าฉันไม่เห็นอีกคนละก็ป่านนี้นายพรุนไปแล้ว” ไผ่พญาหันมาสบตาภูวนัยพอดีก็ทำหน้าไม่ถูก “ทำไม ฉันทำอะไรผิดอีกแล้วเหรอไง”
ภูวนัยชะงัก รีบแก้ตัว
“ใช่ ก็ผมบอกให้คุณรอแล้วตามผมมาทำไม ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาจะทำยังไง”
“ก็ฉันเป็นห่วงนายนี่” ไผ่พญาโพล่งเสียงดังออกมา ภูวนัยชะงักไปด้วยคำพูดของไผ่พญา
“ผมขอโทษ ผมแค่ไม่อยากเห็นคุณเป็นอะไร”
ไผ่พญาถึงกับชะงักไปหัวใจเต้นโครมคราม ระหว่างนั้นตำรวจนายหนึ่งเดินเข้ามา
“ขออนุญาตครับหมวด เดี๋ยวรบกวนหมวดให้ปากคำซักครู่นะครับ”
“ได้ครับ”
ภูวนัยหันมองไผ่พญาก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินตามตำรวจคนนั่นออกไป ไผ่พญามองตามภูวนัยแล้วเอามืออังหน้าผาก พยายามบอกกับตัวเอง
“ไม่มีอะไร เราแค่ตื่นเต้นกับเรื่องปล้นร้านทองเท่านั้นเอง”
ไผ่พญาพยายามสูดลมหายใจเข้าออก ระหว่างนั้นไผ่พญาก็เหลือบไปเห็นรูปภาพนึงที่ติดที่เสาไฟฟ้า ไผ่พญาลุกขึ้นไปดู พอไผ่พญาเข้าไปดูใกล้ๆ ก็ตกใจเพราะมันคือรูปของป้าคนนั้น
“ยัยป้านั่นนี่ เอามาติดไว้อย่างนี้ หรือว่าจะเป็นคนร้าย...ถามใครเนี่ย” นายตำรวจคนนึงกำลังจะเดินผ่านไผ่พญา ไผ่พญาเรียกเอาไว้ “ขอโทษนะคะ” นายตำรวจคนนั้นหันมาจึงเปิดให้เห็นว่าเป็นสารวัตรคนนั้นนั่นเอง ไผ่พญาเรียกแล้วเดินมาที่บอร์ดเลย เลยไม่ทันสังเกตหน้าว่าเป็นสารวัตร “โทษนะคะ ป้าคนนี้เขาทำอะไรผิดเหรอคะ”
“อ๋อ ไม่ได้ทำอะไรผิดหรอกครับ แกหายตัวไปตั้งแต่ตอนที่รถสิบล้อชนรถทัวร์เมื่อเดือนที่แล้ว ญาติแกก็เลยมาประกาศตามหา ถามทำไม หรือว่าน้องรู้จัก”
“อ๋อ เปล่าหรอกคะ คือหนูสงสัยว่าป้าแกแก่ขนาดนั้นยังจะก่อเรื่องอะไรได้อีกเหรอ อะไรทำนองนั่นนะคะ”
ไผ่พญาหันมาคุยกับสารวัตร ขณะที่สารวัตรก็มองหน้าไผ่พญา ไผ่พญาจำสารวัตรได้ก็ร้องออกมาอย่างตกใจ “เฮ้ย”
“มีอะไรครับ”
“อ๋อ เปล่าคะ คือไม่มีอะไรแล้วหนูไปก่อนนะคะ”
ว่าแล้วไผ่พญาก็ยกมือไหว้สารวัตรก่อนจะรีบเดินจ้ำอ้าวออกไป สารวัตรมองตามด้วยความสงสัย
“เมายาหรือเปล่าวะ เอ...แต่ทำไมคุ้นหน้าจังเลย”
ไผ่พญารีบเดินจ้ำอ้าวเดินมาตามทาง
“ฉันไปทำเวรทำกรรมอะไรกับตำรวจนั่นวะเนี่ย ถึงได้เจอทุกที่เลย”
ระหว่างนั้นสารวัตรเดินตามไผ่พญามาแล้วเรียกเอาไว้
“นี่ น้อง...น้อง”
ไผ่พญาได้ยินเสียงสารวัตรก็ชะงักหยุดกึก หายใจไม่ทั่วท้อง
“ตามมาทำไมอีกวะ”
ไผ่พญาทำเป็นค่อยๆ เดินต่อเหมือนไม่ได้ยิน แต่สารวัตรก็เรียกไว้อีก
“คุณผู้หญิงคนนั้นน่ะ หยุดก่อนครับ”
ไผ่พญาชะงักกึกก่อนจะค่อยหันมาแบบใจดีสู้เสือ
“เอ่อ เรียกฉันเหรอคะ”
“ก็ใช่น่ะซิ นี่พี่คุ้นหน้าน้องมากเลยนะ เราเคยเจอกันหรือเปล่า” ไผ่พญารีบปฏิเสธ
“โอ๊ย ไม่เคยเลยคะ ถ้าเคยหนูก็ต้องจำพี่ได้แล้วซิ”
“เหรอ หรือว่าเราเคยมีคดีอะไรหรือเปล่า” ไผ่พญายิ่งตกใจ
“ห๊า! ไม่คะ ไม่เคยมีคดีอะไรคะ หนูเนี่ยเป็นคนดีล้านเปอร์เซ็นต์ ถ้าไม่เชื่อหนูจะเล่าให้ฟัง ตอนป.4 ได้เหรียญทองประกวดมารยาทงาม ตอนม.3 ได้นักเรียนดีเด่น พอตอนเอ็น(ทรานซ์) ได้อันดับต้นๆ ของประเทศ แล้วหนูเนี่ยเข้าวัดทุกวันอาทิตย์ บริจาคโลหิตทุกวันพระ”
“พอๆ ยิ่งพูดก็ยิ่งมีพิรุธน่ะเราเนี่ย” พอสารวัตรพูดอย่างนั้น ไผ่พญาก็รีบหุบปากทันที “เอ้า แล้วเงียบทำไม พี่ว่าเราต้องเคยเจอกันแน่ๆ” ไผ่พญาส่ายหน้า แทนคำตอบ “อ๋อ ใช่แล้ว ที่โรงพยาบาลใช่มั้ย”
สารวัตรนึกออก ไผ่พญาทำหน้าดีใจที่นึกออกเหมือนกัน
“ใช่ๆ จริงด้วยคะ”
ระหว่างนั้นภูวนัยที่ให้ปากคำเสร็จก็เดินตามมา ภูวนัยเดินเข้ามาหาไผ่พญาที่อยู่ในวงสนทนากับเขาด้วย
“มีอะไรเหรอ”
ภูวนัยถามไผ่พญา ไผ่พญาหันมาเห็นภูวนัยก็ดีใจรีบใช้เป็นข้ออ้างทันที
“นายเสร็จแล้วใช่มั้ย ไปกันเถอะ” ไผ่พญาหันไปพูดกับสารวัตร “ไปก่อนนะคะ”
ไผ่พญารีบเดินจ้ำอ้าวออกไปทันที ภูวนัยมองไผ่พญาก่อนจะรีบเดินตามไปด้วยความสงสัย ปล่อยให้สารวัตรอ้าปากค้างอย่างนั้น
เมื่อกลับถึงบ้าน ภูวนัยเดินมาตามทางโดยมีไผ่พญาเดินตามครุ่นคิดมาด้านหลัง
“แย่แล้วซิไอ้ไผ่เอ๊ย ถ้าญาติยัยป้านั่นออกตามหาขนาดนี้เขาต้องเจอยัยป้านั่นแน่ๆ โอ๊ย ฉันจะทำยังไงดีเนี่ย”
ภูวนัยที่เดินอยู่ก็แปลกใจเมื่อไม่รู้สึกว่าไผ่พญาตามมา ภูวนัยหันกลับไปก็เห็นไผ่พญากำลังออกท่าทางกลุ้มใจอย่างเห็นได้ชัด
“มีอะไรหรือเปล่า” ไผ่พญาชะงัก
“เอ่อ เปล่า ไม่มีอะไรหรอก ฉันกำลังดีใจที่กลับมาครบสามสิบสองน่ะ”
ภูวนัยสังเกตเห็นปากของไผ่พญาเผยอดิกๆ
“ปากคุณ”
ไผ่พญาได้ยินที่ภูวนัยชี้จึงเพิ่งสังเกตว่าปากเธอนั่นกระตุก
“แย่แล้ว”
“มีอะไร”
“ก็เวลาที่ปากฉันกระตุกอย่างนี้ มันมักจะมีเรื่องไม่ค่อยดีน่ะซิ”
“ช้าไปหรือเปล่า โจรมันถูกจับเข้าคุกเรียบร้อยแล้ว ปากคุณเพิ่งมากระตุกอะไรตอนนี้”
“แต่จริงๆ นะ อาจจะมีเรื่องไม่ดียิ่งกว่าเรื่องโจรปล้นร้านทองก็ได้”
ภูวนัยเห็นไผ่พญามีท่าทางเป็นกังวล จึงเข้ามาบอกให้ไผ่พญาสบายใจ
“ถึงจะมันร้ายแค่ไหน ถ้าผมอยู่ด้วย ผมจะไม่ยอมให้คุณเป็นอะไร”
ไผ่พญารู้สึกสะดุดกับคำพูดของภูวนัยอีกครั้ง ระหว่างนั้นพรรษาเข้ามา
“คุณภู”
“เป็นไง วันนี้มีอะไรมั้ย”
“เอ่อ” พรรษาไม่อยากจะบอกเรื่องเสกสรร “ไม่มีคะ ฟาร์มเรียบร้อยบ้านเรียบร้อย ถ้าจะมีคงเป็นครูไผ่น่ะคะ”
“ฉันน่ะเหรอ ทำไม มีอะไรคะ”
“พอดีมีเพื่อนคุณไผ่มารอพบคุณไผ่ตั้งแต่บ่ายแล้วคะ”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็สงสัย
“เพื่อนเหรอ”
ขิงกับกระดังงากำลังกินข้าวกันอย่างมูมมาม ม่านเมฆและสมส่วนที่ยืนอยู่ด้วย ทั้งสองมองด้วยความรู้สึกหลายอารมณ์ งงด้วย สงสัยด้วย
กระดังงารู้สึกเหมือนมีคนจ้องจึงค่อยเงยหน้ามองแล้วก็เห็นม่านเมฆจ้องอยู่ กระดังงารีบสะกิดขิงให้ค่อยๆ กินก่อนจะหันมายิ้มให้ม่านเมฆ
“พอดี พวกเราไม่ได้ทานอะไรมาตั้งแต่เช้าแล้วน่ะคะ ไม่คิดว่าที่นี่จะอยู่ห่างไกลขนาดนี้”
“ใช่ พวกเราทั้งต่อรถทั้งเดินมากว่าจะถึง”
“ไม่มีปัญหา ตามสบายครับ”
ไผ่พญาเดินตามภูวนัยเข้ามาด้วยความคิดที่ว่าต้องไม่ใช่ขิงกับกระดังงาแน่นอน
“ต้องเป็นเพื่อนยัยป้านั่นแน่ๆ เลย เอาไงดี ถ้าเจอแล้วจะแก้ตัวว่าไงวะเรา ไม่ได้ จะเจอไม่ได้”
ไผ่พญาคิดได้อย่างนั้นก็ตัดสินใจบอกกับภูวนัยที่เดินนำหน้า
“เอ่อ ฉันว่าต้องมาหาคนผิดแน่ๆ เลย”
“แต่ป้าว่าไม่นะคะ เพราะคุณสองคนเจาะจงว่ามาหาครูไผ่คนเดียว”
“แต่ฉันไม่ได้บอกใครนี่ว่ามาสอนที่นี่ เอางี้แล้วกัน เดี๋ยวนายไปบอกเขาแล้วกันว่ามาผิด เดี๋ยวฉันขอตัวขึ้นไปอาบน้ำก่อน เฮ้อ...เหนียวตัวไปหมดแล้ว”
ไผ่พญาทำเนียนจะเดินชิ่งไป แต่ภูวนัยดึงเอาไว้
“ก็ไปเห็นด้วยกันก่อน ถ้าไม่ใช่จะได้บอกเขา ไป”
ว่าแล้วภูวนัยก็ดึงไผ่พญาไปด้วยกันทันที
“เฮ้ย เดี๋ยวๆ”
ภูวนัยดึงไผ่พญาที่กำลังร้องโวยวายเข้ามาในห้องรับประทานอาหาร
“ปล่อยซิ !นี่”
ขิง กระดังงา ม่านเมฆและสมส่วนได้ยินเสียงโวยวายก็หันมา ขิงกับกระดังงาเห็นไผ่พญาก็ดีใจสุดๆ
“ไอ้ไผ่”
ไผ่พญาที่กำลังพยายามหลบหน้าพอได้ยินเสียงเรียกชื่อเธอที่คุ้นเคยก็หันไปมอง แล้วไผ่พญาก็แทบช๊อคเมื่อเห็นว่าเป็นขิงกับกระดังงา
“เฮ้ย”
ภูวนัยและทุกคนหันมองไผ่พญาที่ตกใจเหลือเกิน ขิงกับกระดังงารีบปรี่เข้ามาหาไผ่พญา
“เป็นไง ใช่เพื่อนคุณมั้ย” ภูวนัยถาม
“แหม มันต้องใช่อยู่แล้วซิครับ ไง เป็นไงมั้งวะ” ขิงถาม ไผ่พญาจะยิ้มก็ยิ้มไม่ออก จะร้องไห้ก็ไม่ได้
“เอ่อ”
“สวัสดีครับ ผม...ภูวนัย เป็นเจ้าบ้านหลังนี้”
“อุ้ย ส่วนผม ครูขิงแล้วนั่นก็ครูกระดังงาครับ”
“ห๊า” ทุกคนได้ยินที่ไผ่พญาอุทานก็หันมองด้วยความสงสัย ไผ่พญาเห็นทุกสายตาก็รีบกลบเกลื่อน “หา...หาฉันเจอได้ยังไงเนี่ย”
“จะไปยากอะไร”
กระดังงากำลังจะสาธยาย ไผ่พญารีบเข้ามากอดคอทั้งคู่แล้วพูดขัดขึ้น
“พวกแกนี่เป็นเพื่อนรักของฉันจริงๆ” แล้วหันไปบอกกับทุกคน “เดี๋ยวทุกคนคุยกันไปก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันขอตัวไปคุยกับเพื่อนให้หายคิดก่อน”
ขิงกับกระดังงาพยายามขืนเอาไว้
“เดี๋ยวก่อนดิ ฉันยังกินไม่เสร็จเลย”
ขิงกับกระดังจะพุ่งไปกินข้าวต่อ แต่ก็โดนไผ่พญาดึงเอาไว้แล้วหันไปลากขิงกับกระดังงาออกไป พร้อมกับแสร้งพูดอย่างดีใจ
“มานี่เลย กินน่ะเมื่อไหร่ก็ได้ มาคุยกันก่อน ฉันคิดถึงพวกแกมากเลยรู้มั้ย”
ทุกคนมองตามไผ่พญา ขิง และกระดังงา ด้วยความงงงัน ภูวนัยเองก็เช่นกัน
คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอน 8 (ต่อ)
ไผ่พญาดึงขิงกับกระดังงาพากันเดินมาตามทาง
“แหม ฉันดีใจนะเนี่ยที่พวกแกมาเซอร์ไพรซ์ฉันอย่างนี้”
ไผ่พญายิ้มแต่ตาออกไปทางดุ กระดังงางงๆ กับท่าทางของไผ่พญาแต่ขิงกลับคิดว่าไผ่พญาดีใจจริงๆ
“เห็นมั้ยงา ฉันบอกแล้วว่าไอ้ไผ่มันต้องดีใจที่เห็นพวกเรา”
แต่ทันทีที่ไผ่พญาดึงทั้งขิงและกระดังงาออกมานอกบ้าน ไผ่พญาก็เปลี่ยนสีหน้าทันที
“ใครให้พวกแกมานี่”
“อ้าว เมื่อกี้แกยังบอกว่าดีใจอยู่เลยนี่”
“ดีใจกับผีดิ แล้วพวกแกรู้จักที่นี่ได้ยังไง”
“จะไปยากอะไร แกลืมไปแล้วหรือไงว่าแกเคยใช้เบอร์ที่นี่โทรไปหาฉัน ฉันก็แค่ถามองค์การโทรศัพท์ก็รู้แล้วว่าไอ้เบอร์นี้มันอยู่ที่ไหน”
ไผ่พญากุมขมับ ทำหน้าเอือม
“แล้วพวกแกมาทำไม”
ขิงกับกระดังงาต่างโบ้ยให้อีกฝ่ายพูด
“แกบอกเด้ะ”
“แกก็บอกเด้ะ”
“ฉันถามว่ามาทำไม”
กระดังงาตกใจเลยโพล่งขึ้น
“พวกเราจะมาขอยืมเงินแกน่ะ”
“ห๊า! แล้วไอ้เงินที่ฉันให้แกไปละ”
“โอ๊ย! แค่อาทิตย์เดียวยัยงาก็ใช้หมดแล้ว”
“แกอย่ามาโทษฉันนะไอ้ขิง ถ้าแกไม่ไปหนีไปเที่ยวแล้วโดนไอ้พวกนั่งดริ๊งค์ล้วงกระเป๋าตังค์ไปมันจะหมดมั้ย”
“อ้าว เพราะแกเอาไปเข้าบ่อนต่างหากมันถึงหมด”
ขิงกับกระดังงาต่างโบ้ยกันไปมา จนไผ่พญาเหลืออด
“หยุด” ขิงกับกระดังงาชะงัก ก้มหน้างุด “ไม่ว่าพวกแกจะมีเหตุผลอะไร แต่ฉันบอกได้คำเดียวว่า ฉันไม่มีเงินให้พวกแก”
“เฮ้ย! ไอ้ไผ่ เพื่อนอุตส่าห์บากหน้ามาหา แกจะไม่สงสารเพื่อนบ้างหรือไง”
“นั่นดิ ถ้าพวกเราไม่หมดหนทางจริงๆ พวกเราก็ไม่มาทำให้แกเดือดร้อนหรอกน่า”
ไผ่พญาพยายามสงบสติอารมณ์
“ไอ้ขิง ไอ้งา”
ขิงกับกระดังงาตอบรับเสียงหวานพร้อมกัน
“จ๋า”
“ฉันไม่มีเงินให้พวกแก”
ไผ่พญาพูดจบก็ทำท่าจะเดินออกไป ขิงกับกระดังงารีบรั้งเอาไว้
“ไอ้ไผ่ แกไม่ต้องโกหกพวกฉันเลย ดูก็รู้ว่าที่นี่เขาเป็นบ้านคนมีตังค์ ฉันว่าแกน่าจะได้ค่าสอนมากอยู่”
“มันก็ถูก แต่ฉันก็ไม่มีให้พวกแกอยู่ดีเพราะฉันเบิกล่วงหน้าไปหมดแล้ว”
ไผ่พญาพูดจบก็เดินเข้าบ้านไป ขิงกับกระดังงาหน้าละห้อย
ไผ่พญาเปิดประตูเดินเข้ามาในบ้าน แล้วไผ่พญาก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นภูวนัยอยู่ตรงหน้า
“อุ้ย” ไผ่พญาคิดในใจว่าภูวนัยจะได้ยินที่เธอคุยกับเพื่อนหรือเปล่า “เอ่อ นายมานานแล้วเหรอ”
“ถามอะไรแปลกๆ หลบหน่อย ฉันจะไปสั่งงานที่เล้า”
ไผ่พญาโล่งอกเพราะปฏิกิริยาของภูวนัยอย่างนั้นแสดงว่าไม่ได้ยินอะไร แต่ระหว่างที่ภูวนัยจะไปขิงกับกระดังงาก็ตามเข้ามา ยังตื้อไผ่พญาไม่เลิก
“ไอ้...” กระดังงาชะงักไปเมื่อเห็นภูวนัย “ครูไผ่”
กระดังงากับขิงชะงักไปเมื่อเห็นสีหน้านิ่งของภูวนัย ไผ่พญารีบชงทางออกให้ตัวเอง
“แหม เจอพอดีเลย” ไผ่พญาพูดกับภูวนัย “พอดีครูขิงกับครูงาต้องรีบกลับโรงเรียนน่ะคะ ฉันว่าจะพาเข้าลาคุณอยู่เหมือนกัน”
ขิงกัดฟันทำเสียงในลำคอ
“ไอ้ไผ่”
“อ้าวเหรอครับ ผมนึกว่าจะอยู่สักสองสามวัน” ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็ตาโตอึ้งไปเพราะผิดแผน “เห็นคุณพ่อผมบอกว่าคุณเป็นครูพละกับครูภาษาไทย เผื่อจะได้ช่วยสอนให้หลานๆ ผมหน่อย”
ขิงกับกระดังงามองหน้ากันด้วยความดีใจ ก่อนจะขานรับออกมาแทบจะพร้อมกัน
“ไม่มีปัญหาคะ/ครับ”
“เฮ้ย” ไผ่พญาอึ้งแล้วรีบเปลี่ยนเสียง “เอ่อ แต่ที่โรงเรียนมีงานสำคัญนี่”
“แหม อะไรมันจะสำคัญไปกว่าการให้ความรู้ละ”
“ลำบากใจหรือเปล่าครับ ถ้าครูขิงกับครูงามีธุระที่โรงเรียนก็ไม่เป็นไรนะครับ”
“ไม่เป็นไรครับ ไอ้งานที่โรงเรียนจริงๆ แล้วผมฝากเพื่อนครูเป็นธุระให้แล้วครับ ผมว่าพวกผมอยากอยู่ช่วยครูไผ่สอนมากกว่า เพราะเห็นครูไผ่บอกว่าอยู่ที่นี่แล้วสอนหนักเหลือเกิน”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็หันมองหน้าไผ่พญา อารมณ์สงสัยว่าหนักตรงไหนไม่เห็นสอนอะไรเลย ไผ่พญาตาโตแล้วหันมองหน้าขิงกับกระดังงา กระดังงารีบพูดต่อ
“พวกเราไม่คิดค่าสอนด้วยคะ แค่อาหารสามมื้อก็พอ ส่วนห้องหับก็ไม่ต้องเดี๋ยวเรานอนกับครูไผ่ได้คะ” กระดังงาหันไปทางไผ่พญา “เนอะ...ไม่ได้เจอกันตั้งนาน จะได้คุยกันให้หายคิดถึงเลย”
ไผ่พญาแทบร้องไห้ ภูวนัยพยักหน้าเห็นด้วย ขิงกับกระดังงายิ้มอย่างดีใจแต่แล้วพอหันมาก็เห็นไผ่พญาตาถลึงอยู่
“พวกแกคิดจะทำอะไร” ไผ่พญากระซิบถาม
“ทำอะไร ก็ช่วยแกไง”
“ช่วยให้ยุ่งนะซิ”
“ยุ่งอะไร แกคิดดูนะถ้าพวกเราอยู่ด้วยกันอย่างน้อยมันก็น่าเชื่อถือว่าพวกเราเป็นครูจริงๆ ถ้าแกอยู่คนเดียว แกคิดว่าจะหลอกคนในบ้านนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็สะอึกไป
“แต่พวกแกอยู่ที่นี่ไม่ได้”
“แต่เจ้าของบ้านเขาอนุญาตแล้ว” กระดังงาหันไปพูดกับภูวนัย “พวกเราอยู่ที่นี่ได้ใช่มั้ยคะ”
“ครับ มีอะไรขาดเหลือก็บอกป้าพรรษาแกได้เลย”
“ขอบคุณครับ/คะ”
ไผ่พญาอ้าปากหวอ ภูวนัยจะเดินออกไป ระหว่างนั้นเสียงของเผ่าพงศ์ดังขึ้น
“ไอ้ภู”
ทุกคนหันไปก็เห็นเผ่าพงศ์เดินเข้ามา มีพรรษาเดินตามมาด้วย ไผ่พญา ขิงกับกระดังงาต่างถอยกรูด
“มีอะไรครับ”
“เมื่อตอนกลางวันแกไปทำอะไรมา”
“คุณเผ่าใจเย็นๆ ซิคะ”
ภูวนัยหันมองหน้าไผ่พญา ไผ่พญาก้มหน้างุด ขิงกับกระดังงามองไผ่พญากับภูวนัยแปลกๆ
“ผมไปทำความสะอาดโกศเหมือนฝันน่ะครับ”
“แล้วหลังจากนั้น”
“เอ่อ ผมไปที่ริมน้ำ”
“หลังจากนั้นอีก”ภูวนัยนิ่งไปไม่อยากบอกเรื่องที่เขาต่อสู้กับโจรปล้นร้านทอง “ฉันรู้แล้วว่าแกไปช่วยเขาจับโจรที่ปล้นร้านทองมา” ภูวนัยนิ่ง เถียงไม่ออก “ไอ้ภู แกคิดว่าแกเป็นซุปเปอร์แมนหรือไง”
“ผมเป็นตำรวจน่ะพ่อ ถ้าตำรวจไม่ช่วยประชาชนแล้วใครจะช่วยครับ”
ขิงกับกระดังงาถึงกับตาโตเมื่อได้ยินว่าภูวนัยเป็นตำรวจ ขิงทำปากแต่ไม่มีเสียง
“เป็นตำรวจ” ไผ่พญาพยักหน้ารับ
“แกช่วยเขา แล้วใครจะช่วยแก”
“ผมไม่อยากเห็นใครตายต่อหน้าผมอีกแล้ว”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็ชะงักไปเพราะเธอนึกถึงตอนที่ภูวนัยเอาตัวเข้ามาบังกระสุนให้เธอ เผ่าพงศ์กำหมัดด้วยความโกรธก่อนจะเข้าตีภูวนัย
“แล้วถ้าแกเป็นอะไรขึ้นจะทำยังไง ฉัน...เจ้าหมอก...เจ้าเมฆ...แล้วก็ฟาร์มนี้จะเป็นยังไง ถ้าไม่มีแก”
เผ่าพงศ์ตีไปตามเนื้อตัวของภูวนัยโดยที่ภูวนัยไม่ปัดป้อง จนพรรษาต้องเข้าห้าม
“พอเถอะคะคุณเผ่า”
ไผ่พญา ขิงและกระดังงาต่างอึ้งไปเมื่อเห็นเหตุการณ์ภายในครอบครัว
“ขอโทษครับ”
ไผ่พญามองภูวนัยอย่างเห็นใจจึงพยายามช่วยพูดกับเผ่าพงศ์
“ไม่มีอะไรหรอกคะคุณลุง คุณภูเขาไม่ได้ทำอย่างที่สมส่วนบอกหรอกคะ”
“ไม่ได้ทำอะไร ไอ้สมส่วนมันบอกว่าคนทั้งตลาดแทบจะสร้างอนุสาวรีย์ให้มันแล้ว”
“จริงๆ นะคะ หนูอยู่ในเหตุการณ์ด้วย ตอนที่คุณภูเขาช่วยจับผู้ร้ายน่ะ เป็นตอนที่ตำรวจเขาจับมาสอบสวนอยู่น่ะคะ แล้วพอตำรวจเผลอมันก็จะวิ่งหนี แต่พอดีคุณภูเห็นซะก่อนก็เลยช่วยจับไว้น่ะคะ ไม่มีปืนไม่มีการยิงกันอะไรทั้งนั้นคะ”
“พอเถอะ”
ภูวนัยทนฟังไม่ไหวก่อนจะเดินออกไป
“อ้าว ไอ้ภู ฉันยังพูดไม่จบ”
ไผ่พญามองตามภูวนัยอย่างเห็นใจ
ภูวนัยยืนครุ่นคิดอยู่คนเดียวที่สวน ระหว่างนั้นเสียงของไผ่พญาดังขึ้น
“ฉันรู้แล้วว่าทำไม นายไม่อยากให้คนในบ้านรู้เรื่องแผลที่หลังนาย”
ภูวนัยหันไปก็เห็นไผ่พญาเดินเข้ามา ขิงกับกระดังงาโผล่หน้าออกมาจากมุมนึงอย่างสอดรู้สอดเห็น
“ถ้าคนในครอบครัวไม่ห่วง แล้วใครจะห่วงจริงมั้ย”
ขิงกับกระดังงาเริ่มสงสัย
“ฉันว่าไอ้ไผ่กับไอ้คุณภูนั่นท่าทางจะยังไงแล้ววะ”
“ยังไงของแกมันยังไงวะ”
“ยังไม่แน่ใจ ขอดูอีกหน่อยเพื่อความชัวร์”
ผ่พญาอยากจะถามเรื่องที่ตอนภูวนัยเอาตัวบังกระสุนให้เธอ เพราะตอนนี้ไผ่พญากำลังสับสนคิดว่าภูวนัยคิดอะไรกับเธอหรือเปล่า หรือว่าเขาต้องการช่วยเธอเพื่อลบล้างความผิดในใจเท่านั้น
“เพราะอย่างนี้ใช่มั้ย...นายถึง”
ยังไม่ทันที่ไผ่พญาจะถามจบ เสียงของตะวันฉายก็ดังขึ้นเสียก่อน
“คุณไผ่”
ภูวนัย ไผ่พญาหันไปตามเสียงก็เห็นตะวันฉายกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามา ขิงกับกระดังงาทำหน้านิ่วอีก
“ใครมาอีกวะ”
“อ้าว...คุณตะวัน” ไผ่พญาทักตะวันฉาย
“สวัสดีครับคุณภู... ผมได้ข่าวจากชาวบ้านมาว่าเมื่อตอนกลางวันคุณไผ่อยู่ในเหตุการณ์ตอนที่โจรปล้นร้านทองเหรอครับ”
“เอ่อ คะ”
“แล้วคุณไผ่เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“ไม่หรอกคะ”
ไผ่พญามองไปที่ภูวนัย เหมือนจะขอบคุณที่ภูวนัยช่วยเธอเอาไว้ ภูวนัยรู้สึกขัดหูขัดตาที่ตะวันฉายดูจะเป็นห่วงไผ่พญาเป็นพิเศษ
“ผมขอตัวก่อน”
“ครับ”
ภูวนัยเดินออกไป ไผ่พญาแอบชำเลืองตาม ขณะที่ตะวันฉายมีสีหน้ากังวลเรื่องความปลอดภัยของไผ่พญา
“ค่อยสบายใจหน่อยที่คุณไผ่ไม่เป็นอะไร”
“โอ๊ย อย่างฉันตายยากคะ ไม่ต้องห่วง”
“คุณไผ่อย่าพูดเรื่องตายซิครับ มันไม่ดีนะครับ”
ไผ่พญางงที่ตะวันฉายเชื่อเรื่องอย่างนี้
“อ๋อ คะ”
ม่านหมอกกำลังจะเดินออกจากบ้าน แต่แล้วม่านหมอกก็ต้องชะงักเมื่อเห็นตะวันฉายกับไผ่พญา ม่านหมอกแอบมองความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่
ตะวันฉายพยายามพูดให้ไผ่พญาสบายใจ
“คุณไผ่ไม่ต้องคิดมากน่ะครับ ถือว่าฟาดเคราะห์ไป เพราะถ้าคุณไผ่ไม่เจอเหตุการณ์นี้ บางทีอาจจะเจออะไรที่มันร้ายแรงกว่านี้ก็ได้”
“ใครบอกละคะ ไอ้เรื่องปล้นร้านทองว่าร้ายแล้ว พอกลับมาบ้านยิ่งเจอร้ายยิ่งกว่าอีก” ไผ่พญาหมายถึงเจอขิงกับกระดังงานั่นเอง ตะวันฉายได้ยินอย่างนั้นก็สงสัย ไผ่พญารู้ว่าหลุดพูดออกไป “อ๋อ ไม่มีไรคะ แค่กลับมาแล้ว...แล้วเพิ่งรู้ว่าหม้อหุงข้าวมันเสีย แหม...ไอ้ฉันเนี่ยเรื่องกินใหญ่ที่สุดในชีวิตแล้ว”
ไผ่พญาพยายามแถไปเรื่อย ตะวันฉายได้ยินอย่างนั้นก็เหมือนนึกได้
“พรุ่งนี้คุณไผ่ว่างมั้ยครับ”
“เอ่อ ทำไมคะ”
“เราไปวัดกันดีมั้ยครับ ถ้าคุณไผ่รู้สึกว่าพักนี้ดวงไม่ค่อยดี เราไปสะเดาะเคราะห์กันมั้ยครับ เผื่ออะไรๆ มันจะดีขึ้น”
“โอ๊ย ! ไม่ต้องหรอกคะ”
ทันใดนั้นเสียงของขิงกับกระดังงาก็ดังขึ้น
“ไปด้วย”
ตะวันฉาย ไผ่พญาหันมาก็เห็นขิงกับกระดังงายืนหน้าแป้นแล้นอยู่
“พวกคุณ..?”
“พวกเราเป็นเพื่อนครูไผ่น่ะครับ ผมชื่อขิง...ส่วนนี่แฟนผม...ชื่องา”
“ผมตะวันฉาย ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
“เมื่อกี้พวกเราได้ยินว่าคุณตะวันฉายจะพาไผ่ไปวัดเหรอคะ”
“ครับ”
“งั้นพวกเราขอไปด้วยนะครับ”
“ไม่ได้” ไผ่พญาดึงขิงมากระซิบ “พวกแกจะไปทำไม”
“เอ้า ก็ฉันได้ยินว่าวัดที่นครปฐมนี่ดังนักแล ฉันก็อยากไปขูดเลขขอหวย เผื่อจะมีโชคกับเขาบ้าง”
กระดังงาเห็นท่าทางของไผ่พญาดูจะกีดกันจึงรีบเข้าทางตะวันฉาย
“แหม เราคงไม่ได้เป็นก้างขวางคออะไรน่ะคะ”
“เอ่อ ไม่หรอกครับ ดีซะอีกครับ ผมชอบให้คนไทยเข้าวัด”
ไผ่พญากุมขมับทำหน้าเซ็ง ที่ตะวันฉายเล่นพูดเปิดทางซะขนาดนั้น
ไผ่พญาเดินเข้ามาในบ้าน ขิงกับกระดังงาก็โผล่มา
“ไอ้ไผ่”
“เฮ้ย! อะไร ตกใจหมด”
ขิงกับกระดังงารีบรีดความลับทันที
“แกชอบใคร”
“ชอบอะไรของแก”
“เอ้า ก็ระหว่างผู้ชายที่เพิ่งมาเมื่อกี้กับคุณภูไง”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็รีบปฏิเสธเสียงแข็ง
“ชอบอะไร ฉันไม่ชอบทั้งสองคนนั่นแหละ”
“แต่ฉันว่าแกชอบคุณภูวะ” ขิงบอก
“ไอ้บ้านี่ เอาอะไรมาพูด”
“เอ้า ก็พวกฉันเห็นแกแอบไปคุยอะไรกับเขานี่ แต่ฉันว่าถ้าแกกับคุณภูกิ๊กกั๊กกันก็ดีเหมือนกันนะ”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็อยากฟัง แต่ทำเสียงแข็ง
“ทำไม”
“เอ้า ก็คุณภูเขาเป็นตำรวจ จะได้คอยคุ้มกันแกจากไอ้พวกที่ตามล่าแก แล้วอีกอย่าง...รวยด้วย”
“พูดมาซะขนาดนี้ ไม่จีบเองเลยละ”
“บ้า ฉันยังหวงพรมจรรย์ก้นฉันอยู่เว้ย”
“ถ้าแกไม่จีบงั้นฉันจีบนะ” กระดังงาบอก
“พอเลย” ขิงขัดแล้วพูดกับไผ่พญาต่อ “ว่าไง เอามั้ย...ถ้าแกชอบคุณภูละก็ พวกเราช่วยเอามั้ย”
“เก็บความคิดบ้าๆ ของแกไปเลย ฉันกับเขาเป็นแค่ลูกจ้างกับนายจ้างเท่านั้น”
“เหรอ แล้วคุณตะวันฉายละ”
“เอ่อ เขาก็เป็นปศุสัตว์ ทำไม”
“อ้าวเหรอ ฉันเห็นเขาติสต์ๆ อย่างนั้นก็นึกว่าเป็นพวกศิลปินแอบมาอยู่ตามป่าตามเขาซะอีก ไม่น่าเชื่อว่าจะรับราชการ เออ แล้วแกชอบเขามั้ย”
ไผ่พญาผ่อนลมหายใจกระแทกหน้า
“เฮ้ออออ!”
ไผ่พญาเดินออกไป ขิงกับกระดังงามองตามด้วยความสงสัยในพฤติกรรม
ผจญกำลังนั่งเป่าหีบเพลงอยู่ใต้ต้นไม้ด้วยอารมณ์แอบรัก “มองดูเดือน...เหมือนเตือนให้ใจคิดถึง...ที่รักจ๋าหนุ่มนารำพึง...คิดนงคราญบ้านนา” ผจญหยุดเป่าก่อนจะนั่งมองไปทางห้องของม่านหมอก
ม่านหมอกเดินเข้ามา ม่านหมอกชะงักไปเมื่อเห็นผจญนั่งอยู่
“อุ้ย คุณหมอก”
“นายมานั่งทำอะไรตรงนี้”
“เอ่อ คือ ผมนอนไม่หลับน่ะครับ แล้วคุณหมอกละครับ ยังไม่นอนอีกเหรอครับ”
“ฉันก็นอนไม่หลับเหมือนกัน”
ม่านหมอกหันหลังจะเดินออกไปอย่างขัดใจที่มีผจญนั่งอยู่ก่อนแล้ว แต่จู่ๆ ม่านหมอกนึกขึ้นมาได้ จึงหันกลับมาจนผจญแทบจะหลบสายตาไม่ทัน
“นายชอบผู้หญิงมั้ย”
ผจญงง ตกใจ
“หืม”
“ฉันถามก่อนเพราะไม่รู้ว่านายชอบผู้หญิงหรือผู้ชายไง”
“ผมเป็นผู้ชาย ก็ต้องชอบผู้หญิงซิครับ”
“แล้ว...แล้วในสายตาผู้ชาย นายว่าฉันเป็นยังไง”
“เป็นยังไง หมายความว่าไงครับ”
“นายชอบผู้หญิงอย่างฉันมั้ย”
ผจญถึงกับตัวสั่นเพราะมันเหมือนเขากำลังจะได้สารภาพต่อหน้าผู้หญิงคนที่เขารัก
“เอ่อ...เอ่อ...”
“รู้แล้ว ไม่ต้องพูดแล้ว”
ม่านหมอกพูดจบก็จะเดินไป ผจญงง
“รู้อะไรเหรอครับ”
“เอ้า ก็นายตอบช้าอย่างนี้ก็แสดงว่าไม่ชอบฉัน แล้วก็กำลังหาเหตุผลที่จะบอกฉันไง”
“เปล่านะครับ ไม่ใช่อย่างนั้นน่ะครับ”
“ไม่ใช่แล้วอะไร หรือว่านายชอบฉัน”
ผจญตกใจอีก แต่ก็ไม่กล้าสารภาพ
“คือ ผมไม่รู้จริงๆ ครับ”
“เป็นผู้ชายภาษาอะไรเนี่ย”ม่านหมอกคิดอยู่ซักพักก่อนจะนึกวิธีออก “แล้วถ้าฉันทำอย่างนี้ละ นายรู้สึกยังไง”
ว่าแล้วม่านหมอกก็เดินรุกเข้ามาหาผจญ ผจญถอยกรูดจนติดต้นไม้ ม่านหมอกค่อยๆ ยื่นหน้าเข้าไปหาผจญ ผจญตกใจแล้วก็หลับตาปี๋ แต่แล้วเสียงของตะวันฉายก็ดังขึ้น
“อุ้ย”
ม่านหมอกกับผจญตกใจเมื่อหันไปเห็นตะวันฉายยืนอยู่ โดยเฉพาะม่านหมอกรีบกระเด้งผลุงออกจากผจญทันที
“พี่ตะวัน”
“เอ่อ พี่ไม่เห็นอะไรเลย”
“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะ”
“ไม่ใช่อะไรเหรอ คืนนี้มืดจริงๆ เนอะ มองไม่เห็นอะไรเลย พี่ไปก่อนนะเดี๋ยวจะดึก”
ตะวันฉายรีบผละออกไป ม่านหมอกใจแป่วเพราะรู้ว่าตะวันฉายต้องมองเธอกับผจญทำอะไรกัน
“เห็นมั้ยว่านายทำอะไรลงไป พี่ตะวันเข้าใจฉันผิดแล้ว”
ผจญงง เพราะเขายังไม่ทำอะไรเลยมีแต่ม่านหมอกนั่นแหละที่ทำ ม่านหมอกจะยกมือตีผจญ ผจญหลับตาปี๋ ม่านหมอกไม่ตีแต่หงุดหงิดเดินกระทืบเท้าออกไป ผจญมองตามใจยังตุ้มๆ ต่อมๆ
ภายในห้องนอนของไผ่พญา ขิงกับกระดังงานอนอยู่ที่พื้นข้างเตียงของไผ่พญา ไผ่พญายังนอนลืมตาโพลงนึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวัน
ไผ่พญากำลังตะโกนบอกภูวนัย
“ระวัง”
ภูวนัยหันไปก็เห็นเจ้าโจรเล็งปืนมาที่ภูวนัย ชั่วความคิดภูวนัยรีบหันหลังแล้วเอาตัวบังไผ่พญาเอาไว้
เสียงปืนดังขึ้น ปัง! สิ้นเสียงปืนไผ่พญากับภูวนัยมองหน้ากัน
ภูวนัยชะงักไปด้วยคำพูดของไผ่พญา
“ผมขอโทษ ผมแค่ไม่อยากเห็นคุณเป็นอะไร”
“ผมไม่อยากเห็นใครตายต่อหน้าผมอีกแล้ว”
ไผ่พญาเอามือก่ายหน้าผาก
“ตกลงนายคิดอะไรกับฉันหรือเปล่าเนี่ย”
ไผ่พญาสับสนว้าวุ่นใจเหลือเกิน
ภูวนัยเปิดผ้าปิดแผลที่หลังออก ก่อนจะเห็นว่าแผลสมานใกล้หายแล้ว ภูวนัยวางผ้าปิดแผลลงก่อนจะนึกถึงไผ่พญาขึ้นมา
“ใช่ ก็ผมบอกให้คุณรอแล้วตามผมมาทำไม ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาจะทำยังไง”
“ก็ฉันเป็นห่วงนายนี่”
ไผ่พญาโพล่งเสียงดังออกมา
ภูวนัยกำลังเริ่มรู้สึกบางอย่างขึ้นกับไผ่พญา
อีกด้านหนึ่งภายในห้องอาหารส่วนตัวของโรงแรมชายวัยกลางคนประมาณ 5 - 6 คนนั่งอยู่ ระหว่างนั้นพายัพเดินเข้ามาในห้อง ใบหน้ายิ้มแย้มทักทายทุกคน
“ต้องขอโทษจริงๆ ที่ทำให้พวกท่านต้องรอ”
“นัดดึกขนาดนี้ ขอให้เป็นเรื่องสำคัญก็แล้วกัน”
“แหม เห็นใจกันหน่อยซิครับ ถ้าผมเป็นตำรวจอย่างพวกท่านก็คงนัดคุยกันตอนกลางวันได้ แต่ไอ้งานของผมมันเป็นงานมืดๆ ดำๆ หวังว่าพวกท่านคงเข้าใจนะครับ”
“แล้วไอ้เรื่องข้อมูลที่วศินบอกว่ามันรั่วออกมาแกจะว่ายังไง”
“จะว่ายังไง รั่วตรงไหนก็อุดตรงนั่น จบมั้ยครับ”
พายัพเริ่มของขึ้น ตำรวจนายนึงก็โวยขึ้นเหมือนกัน
“ระวังปากลื้อหน่อย ถ้าไม่ใช่ไอ้ข้อมูลที่ลื้อถือเอาไว้แบล๊คเมย์พวกอั้วละก็ ลื้อไปนอนที่ก้นอ่าวไทยนานแล้ว”
อยู่ๆ พายัพก็หัวเราะออกมา
“หัวเราะอะไรวะ”
“ขำวะ ท่าทางพวกท่านจะกลัวไอ้ข้อมูลที่ผมมีอยู่เหลือเกิน ถ้ามันสำคัญอย่างนั้นก็พูดจาให้มันหวานๆ เข้าหูกันหน่อย ไม่ได้ขู่นะ” เหล่าตำรวจผู้ใหญ่ที่อยู่ในห้องถึงกับเงียบกริบ พายัพแสยะยิ้ม “เอาน่า นี่ก็ดึกแล้ว รีบคุยกันมั้ยเผื่อบางท่านต้องรีบไปเก็บส่วยตามผับตามบาร์” พายัพตบมือเป็นสัญญาณก่อนจะเห็นมือขวาถือถุงกระดาษแบบช๊อปปิ้งเข้ามาแล้ววางไว้ตรงหน้านายตำรวจทุกคน “พอดีช่วงนี้มันเป็นฤดูโยกย้ายนายตำรวจ ผมว่าพวกท่านคงจะเหนื่อย ก็เลยสั่งโสมมาจากเกาหลีให้พวกท่านบำรุง จะได้ไม่มีใครเป็นอะไรไปซะก่อน”
พายัพผายมือให้นายตำรวจพวกนั้นดูของในถุง นายตำรวจทุกคนหยิบกล่องโสมขึ้นมาก่อนจะเปิดออกดูแล้วเห็นมัดเงินอยู่ในนั้นอัดแน่น
“หวังว่าโสมพวกนั้นจะทำให้ธุรกิจเราแข็งแรงขึ้นนะครับ”
พายัพยิ้มเย็นอย่างคนที่ถือไพ่เหนือกว่า
พายัพเดินออกมาจากห้องส่วนตัว เข้ม มือขวารออยู่
“แกจดเลขบนแบงค์ที่ให้พวกมันไว้แล้วใช่มั้ย”
“ครับ”
“ดี ทำธุรกิจกับไอ้ตำรวจพวกนี้มันต้องมีอะไรค้ำประกันหน่อย”
เข้มขัดจังหวะขึ้น
“พี่ครับ คนของเรารายงานว่ามีคนใช้บัตรเครดิตของเสี่ยสมสุขครับ”
พายัพได้ยินอย่างนั้นก็หันขวับทันที
“พวกมันอยู่ที่ไหน”
“นครปฐมครับ”
พายัพยิ้มร้ายเหี้ยมขึ้นมาทันที
เช้าวันรุ่งขึ้นที่ห้องไผ่พญา ไผ่พญาค่อยๆ ย่องออกมาจากห้องน้ำ ไผ่พญามองไปที่เตียงเห็นเตียงคลุมโปงอยู่
“หลับให้สบายแล้วกัน ฉันไม่พาแกสองคนไปป่วนแน่”
ไผ่พญายิ้มก่อนจะหันมาทางประตู แต่แล้วไผ่พญาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นขิงกับกระดังงายืนอยู่ในชุดไปเที่ยวเต็มยศ
“พร้อม” ขิงกับกระดังงาบอกออกมาพร้อมกัน
“เฮ้ย” ไผ่พญาถึงกับตั้งหลักไม่ถูก “พวกแกจะทำอะไร”
“ก็ไปเที่ยวกับแกแล้วก็คุณตะวันฉายในเมืองไง”
“ไม่ต้องเลย พวกแกอยู่ที่นี่แหละ”
“ไอ้ไผ่แกลืมแล้วหรือไง ถ้าแกขัดใจเราเมื่อไหร่ เราจะบอกความจริงกับทุกคนว่าแกไม่ใช่ครู”
“ไอ้ ไอ้”
ขิงไม่สนใจว่าไผ่พญาจะว่ายังไง หันไปบอกกระดังงา
“ไปกันเถอะจ้ะเมียจ๋า”
ขิงกับกระดังงาต่างดี๊ด๊าออกจากห้องไป ขณะที่ไผ่พญาทำหน้าเซ็ง
ติดตาม "คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ" ตอน 9