คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 4
เผ่าพงศ์นั่งหลับตาที่เก้าอี้ที่ตรวจประจำ ปลายฟ้ากับภูวนัยอยู่ภายในห้องด้วย เผ่าพงศ์ส่ายหน้าทั้งๆ ที่หลับตา
“ไม่ ยังไงฉันก็จะหลับตาอยู่อย่างนี้”
“พ่อครับ ถ้าพ่อหลับตาอย่างนี้แล้วหมอปลายฟ้าจะตรวจพ่อได้ยังไง”
“ก็ไม่ต้องตรวจไง เพราะฉันหายแล้ว เห็นมั้ยขนาดตาฉันยังไม่ลืมเลย”
ภูวนัยงงกับคำพูดของเผ่าพงศ์ ปลายฟ้าได้ยินก็อมยิ้มด้วยความขำ
“คุณลุงแกกลัวว่าเราจะบอกว่าแกเป็นคนขี้ลืมไง”
“อ๋อ ลืม...ตา” ภูวนัยยิ้มขำอีกคน
“ไง ขำมั้ยมุขนี้ ฉันนั่งคิดทั้งคืนเลยนะ” เผ่าพงศ์บอก
“คิดมุขได้อย่างนี้ แสดงว่าอาการดีขึ้นแล้วนี่คะ”
เผ่าพงศ์หันมาหาปลายฟ้าแล้วอยู่ๆ ก็พูดขึ้น
“อ้ะ ถ้างั้นเดี๋ยวหนูฝันก็พาพ่อออกไปเที่ยวในเมืองได้แล้วใช่มั้ย”
ภูวนัยกับปลายฟ้าได้ยินอย่างนั้นก็ชะงักไป
“พ่อ นี่หมอปลายฟ้าครับ” เผ่าพงศ์ชะงัก
“เอ่อ อ๋อ ฉันไม่ได้ลืม แค่เผลอเรียกติดปากเท่านั้นแหละ”
ภูวนัยยิ้มเจื่อนๆ ขณะที่ปลายฟ้าเองแอบสังเกตุเห็นอาการภูวนัย
ไผ่พญาเดินกลับมาที่บ้านกับม่านเมฆ ไผ่พญาเพิ่งรู้ว่าปลายฟ้าเป็นหมอ
“เป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมจริงๆ นะ หน้าตาก็ดี ความรู้ก็ดี แบบนี้พ่อเธอไม่ชอบหมอปลายฟ้าบ้างเหรอ”
“อืม เท่าที่เห็นก็ไม่นี่ครับ”
“ตานี่ประหลาดคนจริงๆ”
ไผ่พญาหันไปเห็นมอเตอร์ไซค์ของปลายฟ้าที่จอดอยู่แล้วเหมือนคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงเลียบๆ เคียงๆ ถามม่านเมฆ
“แล้วปกติเวลาหมอเขารักษาปู่เนี่ย เขาอยู่นานมั้ย”
“ก็นานน่ะครับ บางทีอยู่ทานข้าวเย็นกับพ่อด้วย”
ไผ่พญามองไปที่มอเตอร์ไซค์แล้วเห็นแววตาเจ้าเล่ห์ขึ้นมาทันที
“เหรอ” ไผ่พญาหาเรื่องกันม่านเมฆออกไป “เออ เมฆหิวน้ำมั้ย”
“ครูหิวน้ำเหรอครับ”
“จ้ะ”
“ครูรอแป๊ปนึงนะครับ เดี๋ยวผมเข้าไปหยิบน้ำมาให้”
“แหม เป็นสุภาพบุรุษจริงๆ เลย”
ม่านเมฆอมยิ้มเขินก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปในบ้าน ไผ่พญาแอบมองพอเห็นว่าม่านเมฆลับตาแล้วก็เดินเข้ามาที่มอเตอร์ไซค์ แล้วเห็นกุญแจเสียบคาเอาไว้อยู่
“ขอยืมซักสองชั่วโมงคงไม่ว่ากันนะหมอ”
ระหว่างนั้นเสียงของพรรณรายดังขึ้น
“เจ้านายอยู่มั้ย” ไผ่พญาได้ยินเสียงพรรณรายก็ตกใจ อารมณ์เหมือนจะขโมยรถแล้วโดนจับได้ ไผ่พญาหันมาก็เห็นพรรณรายใส่เสื้อสายเดี่ยววาบหวิวลงจากรถแล้วเดินเข้ามา “ไม่ได้ยินหรือไง ฉันถามว่าเจ้านายเธออยู่มั้ย”
“ถามฉันเหรอ”
“ท่าทางเธอจะเป็นคนงานใหม่ถึงไม่รู้ว่าฉันเป็นใคร กวนประสาทฉันอย่างนี้อยากโดนไล่ออกหรือไง”
“ใครอีกวะเนี่ย” ไผ่พญาบ่นเบาๆ “เอ่อ แล้วคุณเป็นใคร”
“ฉันน่ะเหรอ คนที่จะมาเป็นนายผู้หญิงคนใหม่ของเธอไง” ไผ่พญาทำหน้างง “ภูอยู่ไหน”
“น่าจะอยู่ในบ้านมั้ง”
พรรณรายสะบัดหน้าเดินก้าวฉับๆ เข้าไปในบ้าน ไผ่พญาชะเง้อมองแล้วไม่สนใจหันมาสตาร์ทมอเตอร์ไซค์
แต่แล้วไผ่พญาก็นึกขึ้นมาได้
“ไม่มีเงิน แล้วจะไปทำไม”
ไผ่พญาครุ่นคิดเอาไงดี
พรรษากำลังปัดฝุ่นบริเวณภายในบ้าน ระหว่างนั้นพรรณรายเดินเข้ามาแล้วมองไปรอบๆ
“ป้าคะ ภูอยู่มั้ย”
พรรษาชะงักก่อนจะหันมาเห็นพรรณราย พรรษามองพรรณรายเหมือนจำไม่ได้
“คุณพรรณรายหรือเปล่าคะ”
“ก็ฉันน่ะซิป้า เอ บ้านนี้เขาความจำสั้นกันทั้งบ้านหรือไง”
“กรุณาระวังคำพูดด้วยคะ แล้วคุณมาที่นี่ทำไมคะ”
“ไม่ได้มาหาป้าก็แล้วกัน” พรรณรายเดินเข้าไปเลยแล้วตะโกนแบบไม่เกรงใจ “ภู ภูอยู่ไหนคะ”
พรรษาเห็นพรรณรายทำอย่างนั้นก็รีบเดินเข้ามาห้าม
“คุณพรรณราย ทำอะไรคะ”
“ฉันก็จะหาพี่ภูไง ถอยไป”
พรรณรายผลักพรรษาออกก่อนจะเดินดิ่งเข้าไป
ภูวนัยกับปลายฟ้าเดินออกมาจากห้องของเผ่าพงศ์
“โกรธหรือเปล่า”
“เรื่องอะไร”
“ที่คุณลุงเรียกว่าฟ้าว่าเป็น...”
“ไม่หรอก ฟ้าเข้าใจ” ปลายฟ้าเห็นภูวนัยหน้าเศร้าก็รู้ดี “ภูยังลืมเรื่องนั้นไม่ได้ใช่มั้ย”
ภูวนัยนิ่งไปก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง
“เห็นฟ้าบอกว่าเมื่อวานเจอชาติเหรอ”
“อืม เห็นบอกว่ามาทำงาน ชาติไม่ได้โทรหาเหรอ”
ภูวนัยส่ายหน้าด้วยความแปลกใจ ระหว่างนั้นเสียงของพรรณรายที่โวยวายดังเข้ามา ภูวนัยกับปลายฟ้ามองด้วยความสงสัยว่าเกิดเรื่องอะไร
พรรณรายยังเดินโวยวายตามหาภูวนัย พรรษาคอยเดินห้าม
“หยุดเดี๋ยวนี้นะคุณพรรณราย” พรรษาเข้าไปขวาง “ที่นี่ไม่ใช่รีสอร์ตคุณ ที่คุณจะทำเสียงดังเอะอะโวยวายยังไงก็ได้”
ไผ่พญาเดินเข้ามาภายในบ้านมองหาภูวนัย
“เอะอะกันจัง”
ไผ่พญาเดินต่อเข้ามาเห็นพรรณรายกับพรรษากำลังเถียงกันอยู่
“หึ เมืองไทยนี่น่าเบื่อตรงนี้แหละ พอเราแสดงออกก็หาว่าโวยวาย”
“ฉันจะไม่ว่าอะไร ถ้าการโวยวายของคุณไม่ไปกระทบกับสิทธิเสรีภาพของคนอื่น”
ระหว่างนั้นเสียงของภูวนัยดังขึ้น
“พรรณ”
พรรณรายหันมาเห็นภูวนัยก็ดีใจ
“ภู” พรรณรายโผเข้ามากอดภูวนัย “คิดถึงจังเลยภู”
ไผ่พญาที่หลบอยู่มุมหนึ่งถึงกับตะลึงเล็กน้อยเมื่อเห็นพรรณรายกับภูวนัยกอดกันอย่างสนิทสนม พรรณรายที่กอดภูวนัยด้วยความคิดถึงก็เหลือบไปเห็นปลายฟ้าเดินมาข้างหลัง
“ยัยฟ้า แกอยู่นี่ได้ยังไง”
“ลืมแล้วเหรอว่าเราเป็นหมอด้านประสาท”
“จริงซิ” พรรณรายหันไปคุยกับภูวนัย “ภูคะ เดี๋ยวนี้บ้านนี้เห็นพั้นซ์เป็นคนอื่นแล้วเหรอคะ”
“ไม่หรอก ผมและที่ฟาร์มสุขยินดีต้อนรับคุณตลอด”
พรรณรายหันมองพรรษาแล้วยิ้มเยาะ
“ได้ยินแล้วใช่มั้ย ว่าต่อไปนี้ฉันจะเข้าออกบ้านนี้ยังไงก็ได้” พรรษาหน้านิ่งก่อนจะเดินออกไป พรรณรายเดินเข้าไปคล้องแขนภูวนัย ปลายฟ้าชำเลืองมองเจ็บจิ๊ดๆ “เดี๋ยวเราไปหาอะไรทานกันนะคะ หรือจะจัดปาร์ตี้ที่รีสอร์ตของพั้นซ์ก็ได้ พั้นซ์มีเรื่องอยากจะคุยกับภูเยอะเลย”
ไผ่พญาที่แอบฟังอยู่ถึงกับทำหน้าเบ้
“เสื่อมจริงๆ รีบไปขอตังค์หมอนั่นดีกว่า”
ภูวนัยกำลังอึกอักจากที่โดนพรรณรายรุกไล่
“แต่วันนี้ผมไม่สะดวก”
“ไม่สะดวกอะไรคะ อย่าบอกนะคะว่าภูมีนัดกับใครแล้ว”
ระหว่างนั้นเสียงของไผ่พญาดังขึ้น
“เอ่อ ขอขัดจังหวะนิดนึงนะ”
พรรณรายกับภูวนัยหันไปก็เห็นไผ่พญายืนอยู่
“ใครให้แกขึ้นมา เดี๋ยวบ้านก็เหม็นขี้หมูหมดหรอก” พรรณรายต่อว่า ภูวนัยเห็นไผ่พญาก็นึกขึ้นได้ทันที
“นี่ไง คือ...” ภูวนัยรีบเดินเข้าไปหาไผ่พญา “คือผมนัดกับเธอไว้ว่าจะพาเธอไปซื้อของ”
“หื๊อ”
“ไปกันหรือยัง”
“ไม่ได้นะภู นี่ภูไม่ยอมปาร์ตี้กับพั้นซ์เพื่อไปกับคนงานเหรอ”
“ผมนัดกับเธอก่อนแล้ว ไป”
ภูวนัยรีบพาไผ่พญาออกไป พรรณรายจะตาม ปลายฟ้ารีบเข้ามาขวางเพื่อช่วยภูวนัยเอาไว้
“จะไปปาร์ตี้ที่ไหนเหรอ ไปตอนนี้เลยมั้ย”
“ภู ภู” พรรณรายมองหน้าปลายฟ้าอย่างเคืองๆ “บ้า”
ปลายฟ้าทำหน้างงที่โดนด่า แต่จริงๆ เธอรู้อยู่แล้วจึงช่วยแยกภูวนัยออกไป
พรรณรายเดินมากับปลายฟ้าที่รถของตนเอง
“เธอมาหาภูตลอดเลยเหรอ”
“อืม ก็อาทิตย์ละครั้ง สองครั้งแล้วแต่ว่าคุณลุงอาการเป็นยังไง”
พรรณรายได้ยินอย่างนั้นก็หยุดเดิน ปลายฟ้าที่เดินอยู่ไม่ทันระวังจึงชนเข้าให้กับพรรณราย
“อุ้ย”
“เธอนี่ยังโก๊ะเหมือนเดิมนะ”
“อยู่ๆ ก็หยุด ใครจะไปรู้เล่า”
“ต่อไปนี้ฉันไม่อยากให้เธอมาหาภูอีก” ปลายฟ้าได้ยินอย่างนั้นก็ชะงัก “ฉันรู้ว่าเธอคิดยังไงกับภู”
ปลายฟ้าถึงกับไปไม่ถูก
“เอ่อ อะไร”
“เธอคงคิดจะมาแทนที่ยัยฝันละซิ อย่าเสียเวลาเลยถ้าภูจะชอบเธอคงชอบไปนานแล้ว”
“พรรณ”
“ทำไม ฉันพูดตรงไปเหรอ”
ปลายฟ้าพยายามระงับอารมณ์
“แต่ภูก็คงไม่กลับไปหาเธอเหมือนกัน”
“รู้ได้ยังไง ภูเขาเคยรักฉันมาก่อน ถ้าฉันไม่ไปเรียนต่อเมืองนอกป่านนี้ฉันกับภูคงได้แต่งงานกันไปแล้ว”
“แต่ถ่านที่มันดับไปแล้ว มันคงไม่กลับมาติดใหม่ได้หรอก”
“ติดไม่ติดเดี๋ยวก็รู้”
พรรณรายยิ้มมุมปากก่อนจะเชิดหน้าเดินออกไป
ปลายฟ้าหน้าเครียดลงอย่างหนักใจ
ที่หน่วยปราบปรามยาเสพติด พล.ต.ท.วศิน ลงจากรถตู้มาพร้อมกับชาติกล้าและมารุต นักข่าวเห็นอย่างนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปสัมภาษณ์
“ท่านคะ ยาบ้าทีจับได้เมื่อคืนเป็นของเสี่ยสมสุขหรือเปล่าคะ”
วศินเดินมาที่ด้านหน้ามีมารุตกับชาติกล้าคอยเดินประกบเพื่อไม่ให้นักข่าวได้ใกล้ชิดเกินไป
“ยาบ้าจำนวนสองแสนห้าหมื่นเม็ดพวกนี้ ทางเราตรวจสอบที่มาที่ไปแล้วพบว่า ไอ้พวกนี้เคยเป็นลูกน้องของสมสุขมาก่อน พอหัวหน้าตายบางส่วนก็ยังอยู่ที่เดิม ส่วนเจ้าพวกนี้คือพวกที่คิดออกมาตั้งแก็งค์ใหม่” วศินเดินไปพูดไป
“ท่านครับ ทำไมถึงมาจับได้ตอนนี้ละครับ ตอนที่เสี่ยสมสุขอยู่ทำไมตำรวจจับแทบไม่ได้เลย”
วศินชะงักหยุดเดินหันมอง
“น้องจะถามหาอะไร” นักข่าว รวมทั้งตำรวจที่อยู่ด้วยต่างสะอึก “ไอ้คำถามอย่างนี้มันมีแต่จะบั่นทอนเจ้าหน้าที่ น้องรู้มั้ยว่าตำรวจเขาเสี่ยงชีวิตแค่ไหนกว่าจะจับไอ้พวกนี้ได้ ทีหลังตั้งคำถามให้มันสร้างสรรค์หน่อย”
“แต่ที่เราได้ยิน ยาบ้าที่จับได้เมื่อคืนมีแค่ไม่มีกี่พันเม็ดไม่ใช่เหรอคะ”
“พี่จะบอกให้นะ แค่เรื่องจับยาพวกพี่ก็ปวดหัวมากพอแล้วอย่าให้พี่ต้องปวดหัวกับพวกน้องอีกเลย เอาละ พี่มีงานต้องทำ แค่นี้แล้วกัน”
วศินเดินเข้าประตูใหญ่ไป มารุตกับชาติกล้าเดินตาม กลุ่มนักข่าวต่างตะโกนถามกันให้เซ็งแซ่ แต่ก็มีเจ้าหน้าที่คอยกั้นไม่ให้ตาม
วศินเดินหงุดหงิดมาตามทาง มารุตกับชาติกล้าเดินตามมา
“เอ่อ ท่านครับ เดี๋ยวอีกสิบห้านาทีจะมีการแถลงข่าวแล้วนะครับ” มารุตบอก
“ลื้อเป็นคนแถลงแล้วกัน”
“ท่านไม่เป็นคนแถลงเองเหรอครับ”
“อั้วไม่ว่าง ลื้ออยากแถลงอะไรก็แถลงไป แต่เช็คดูก่อนแล้วกันว่าพวกนักข่าวรู้อะไรมากน้อยแค่ไหน”
วศินพูดจบก็เดินออกไปทันที มารุตหน้าเครียดก่อนจะหันมาเห็นชาติกล้าที่เหมือนกำลังสังเกตบางอย่าง
“เมื่อคืนทำได้ดีมาก”
“ขอบคุณครับท่าน แต่ผมสงสัยอยู่อย่างนึงครับ”
“อะไร”
“ข้อมูลที่เราได้จากสายบอกว่าจะมีการส่งยาล๊อตใหญ่ แต่เมื่อคืนนี้...”
“ไม่ต้องสนใจ จะมากหรือน้อย มันก็คือผลงานของเรา แล้วคดีของคุณนายหยาดฟ้าไปถึงไหนแล้ว”
“เรารู้ทะเบียนรถคันที่ใช้ก่อเหตุแล้วครับ แต่ว่าหลังจากที่ตรวจสอบแล้วจึงรู้ว่าเป็นทะเบียนปลอม”
มารุตรับรู้ก่อนจะพยักหน้าสีหน้าเครียด
“ผมฝากด้วยแล้วกัน”
มารุตเดินออกไป ชาติกล้าแอบสังเกตสิ่งที่วศินพูดกับมารุตก็ดูจะทะแม่งๆ ชอบกล
ภายในห้องอาหารหรูของโรงแรมที่ไม่มีแขกมีเพียงพายัพนั่งอยู่เพียงคนเดียวที่โต๊ะ ลูกน้องยืนคุมอยู่ทุกประตู
พายัพกำลังกินเค้กอยู่อย่างละเมียดมีเค้กปอนด์ใหญ่ตั้งอยู่กลางโต๊ะ ระหว่างนั้นลูกน้องของพายัพพาชายคนนึงเดินเข้ามา พายัพเงยหน้ามองนิ่ง
“นั่งซิ”
ชายคนนั้นค่อยๆ นั่งลงด้วยอาการประหม่าอย่างเห็นได้ชัด พายัพหันไปพยักหน้าก่อนจะเห็นลูกน้องค่อยๆ ตัดเค้กให้กับชายคนนั้น พายัพนั่งทานเค้กแล้วหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข
“แกรู้มั้ยว่าเค้กกับเงินมันเหมือนกันตรงไหน”
“ไม่รู้ครับพี่”
“มันทำให้ฉันอารมณ์ดีไง กินซิเค้กที่นี่เขาอร่อยนะ ฉันไม่ใส่อะไรให้แกกินหรอกน่า” ชายคนนั้นนั่งนิ่งตัวสั่น
“ทำไมไม่กิน หรือว่าอมอะไรไว้ ไหนอ้าปากซิ” ชายคนนั้นมีท่าทางกลัว “อ้าปาก” ชายคนนั้นค่อยๆ อ้าปาก พายัพเพ่งมองภายในปาก “ฉันว่าแล้ว ว่าแกต้องอมยาฉันเอาไว้”
“พี่ ผมไม่กล้าทำอย่างนั้นหรอกครับ ผมไม่รู้จริงๆ นะพี่ว่ายามันหายไปไหน”
พายัพเช็ดปากก่อนจะลุกขึ้นเดินมาด้านหลังชายคนนั้นก่อนจะเอามือตบบ่า
“ฉันว่าตอนนี้อารมณ์แกไม่ปกติ ทานเค้กซะหน่อยจะได้ช่วยปรับอารมณ์”
“ไม่เป็นไรครับพี่”
พายัพก้มลงกระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก
“ให้ฉันป้อนมั้ย”
ชายคนนั้นจึงค่อยๆ หยิบส้อมขึ้นมาตักเค้ก ก่อนจะเอาเข้าปาก ทันใดนั้นพายัพก็จับหัวของชายคนนั้นกดลงกับโต๊ะ เลือดบางส่วนกระเด็นใส่พายัพ
“อ้าว นี่แกไม่รู้วิธีใช้ส้อมเหรอ โถ...แล้วก็ไม่บอก”
พายัพหันไปพยักหน้าให้ลูกน้องอีกสองคนหิ้วปีกชายคนนั้นที่มีส้อมแทงทะลุคอกลายเป็นศพออกไป ลูกน้องอีกคนเข้ามากระซิบบอกบางอย่าง พายัพฟังก่อนจะพยักหน้าแล้วเดินมากลับไปนั่งที่เดิม ชายอีกคนเดินเข้ามาฝั่งตรงข้ามพายัพ
“เค้กมั้ยท่าน”
“ลื้อก็รู้ว่าอั้วไม่ชอบของหวาน”
ชายคนนั้นนั่งลงจึงเห็นว่าเป็นวศินนั่นเอง พายัพหันไปพยักหน้าให้กับลูกน้อง ลูกน้องสองคนเดินเข้ามา คนนึงถือถาดมาที่พายัพ พายัพวางมือถือลงที่ถาดก่อนจะเห็นวศินก็หยิบมือถือของเขาวางลงบนถาดเช่นกัน ลูกน้องอีกคนเอาที่ตรวจอาวุธและโลหะมาตรวจที่พายัพ เมื่อเห็นว่าปกติจึงหันมาจะตรวจที่วศิน วศินหันไปด่าลูกน้องพายัพ
“ลื้อปัญญาอ่อนหรือเปล่า อั้วจะพกเครื่องอัดเสียงมาอัดเสียงตัวเองเข้าคุกหรือไง”
พายัพโบกมือให้ลูกน้องถอยไป
“โอเค ผมทำเพราะอยากให้ท่านสบายใจ”
“ถ้าลื้ออยากให้อั้วสบายใจ ลื้อลบไอ้ที่สมสุขมันอัดเสียงอั้วไว้ดีกว่า”
“แหม ท่านเป็นใครผมเป็นใครก็รู้ๆ กันอยู่ ท่านจะไม่ให้ผมถืออะไรไว้ต่อรองหน่อยเหรอ แต่ท่านสบายใจได้ตราบใดที่เรายังทำธุรกิจร่วมกันก็ไม่มีอะไรน่าห่วง”
“ลื้อแน่ใจเหรอ แล้วที่คุณนายหยาดฟ้าตายไม่ใช่เพราะมีข้อมูลของอั้วกับพวกหลุดไปใช่มั้ย”
พายัพชะงักไปพริบตาก่อนจะรีบซ่อนความวิตกไว้อย่างมิดชิด
“ผมขอรับรองว่าไม่มีเรื่องอย่างนั้นแน่นอน เท่าที่รู้เสี่ยสมสุขก็ไม่ได้ก๊อบปี้ข้อมูลนั่นเอาไว้”
“ก็ดี เพราะถ้ามันมีหรืออั้วรู้ว่ามีอะไรผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว ตำรวจทั้งประเทศจะตามล่าลื้อ”
พายัพตักเค้กเข้าปากอย่างใจเย็น
“ตกลงวันนี้เราจะไม่คุยธุรกิจกันใช่มั้ย”
พายัพเปลี่ยนเรื่องเพื่อให้วศินสบายใจ ทั้งที่พายัพยังวิตกเรื่องสร้อยข้อมูลของสมสุข
ม่านหมอกเดินลงมาในห้องครัว ม่านหมอกแปลกใจเมื่อไม่เห็นใคร ม่านหมอกเดินมาที่ตู้เย็นก่อนจะเปิดนมแล้วยกขวดขึ้นดื่ม อักๆ ม่านหมอกปิดประตูตู้เย็นแต่แล้วทันใดนั้นม่านหมอกก็ตกใจเมื่อเห็นผจญยืนอยู่
“คุณหมอกครับ”
ด้วยความตกใจม่านหมอกเลยพ่นนมพรวดออกมา
“ใครให้นายมายืนตรงนี้เงียบๆ”
ตัวผจญเต็มไปด้วยนม
“เอ่อ ผมกลัวคุณหมอกตกใจก็เลยไม่กล้าส่งเสียงดังน่ะครับ”
“มีอะไร”
“คุณหมอกเห็นป้าษามั้ยครับ”
“ไม่เห็น”
“ไปไหนนะ เอ่อ ถ้าคุณหมอกเจอป้าษา ผมฝากบอกได้มั้ยครับ”
“ไม่ได้”
“ขอบคุณครับ เอ่อ...”
“นี่แกใช้ฉันเหรอ”
“เปล่าครับ ผมไม่ได้คิดอย่างนั้นเลยครับ”
ระหว่างนั้นพรรษาเดินเข้ามาในครัวพอดี
“อ้าว ไอ้ผจญ เข้ามาทำอะไรในนี้ แล้วทำไมตัวเลอะอย่างนั้นละ”
ม่านหมอกเห็นพรรษาเข้ามาก็จะเดินออกไป
“คุณหมอกจะทานอะไรหรือเปล่าคะ เดี๋ยวป้าทำให้”
“ฉันอิ่มแล้ว”
ม่านหมอกเดินออกไป ผจญเข้ามาหาพรรษา
“อาหารเสริมหมดแล้วครับ”
“หมดก็ไปซื้อซิ มาบอกข้าทำไม”
“ผมหาคุณภูไม่เจอก็เลยกะว่าจะมาเบิกกับป้าก่อน”
“จริงซิ คุณภูแกพาครูไผ่ออกไปนี่ จะเอาเท่าไหร่”
ที่ด้านนอกห้องครัวเห็นม่านหมอกยืนแอบฟัง ม่านหมอกใช้ความคิด
ภูวนัยกับไผ่พญาเดินมาตามทางในห้าง ไผ่พญามองหน้าภูวนัย
“หน้าฉันมีอะไรหรือไง”
“เปล่า ฉันกำลังดูอยู่ว่าผู้หญิงคนนั้นเขาชอบนายไปได้ยังไง”
“ฉันกับพรรณรายเป็นเพื่อนกัน”
ไผ่พญาเลียนเสียงและสำเนียงของพรรณราย
“เอ่อ แต่พั้นซ์ว่าไม่ใช่นะฮะ...ภู” ภูวนัยเหล่มอง แต่ไผ่พญาไม่รู้ตัว “แต่ถ้าให้ฉันแนะนำนะ ฉันว่าคุณหมอปลายฟ้าดีกว่าเป็นไหนๆ”
“ฉันจะบอกเธอแค่ครั้งเดียว ฉัน...ปลายฟ้า...แล้วก็พรรณราย เป็นเพื่อนกัน ถ้าเธอยังพูดหรือถามอะไรอีก ฉันจะกลับทันที”
“เอ้า คนเขาหวังดีก็หาว่า”
ภูวนัยทำท่าจะหันหลังกลับ ไผ่พญาตกใจรีบเข้าไปขวาง
“โอเค”
ไผ่พญาทำท่ารูดซิปปากทันที ภูวนัยทำหน้าเอือมก่อนจะเดินต่อ ไผ่พญายี้ปากมองตามด้วยความหมั่นไส้
ภูวนัยกับไผ่พญาเข็นรถมาที่แผนกเสื้อผ้า ไผ่พญามองหาแบบที่ถูกใจ ภูวนัยเดินตามหลังมาห่างๆ ไผ่พญาเดินผ่านเสื้อผ้าแฟชั่นร้านนึงก็ตาวาวรีบปรี่เข้าไป
“โห”
ไผ่พญาเข้ามาดูที่เสื้อตัวนึงเป็นเสื้อคว้านคอลึก แถมยังเป็นประกายวับวาวทั้งตัว แต่แล้วเสียงของภูวนัยก็ดังขึ้น
“ผมว่ามันไม่เหมาะกับคนเป็นครูมั้ง”
ไผ่พญาชะงักโกรธแต่มันก็จริงอย่างที่ภูวนัยว่า จึงหันไปหาภูวนัยพร้อมกับเปลี่ยนท่าที
“ฉันก็คิดแบบเดียวกับนายนั่นแหละ ดูซิคอลึกขนาดนี้ไม่ใส่ซะยังจะดีกว่า” ไผ่พญายังมองเสื้อด้วยความอาลัยอาวรณ์ “นายไม่ซื้อไปฝากหมอกเขาหน่อยเหรอ”
“เธอจะให้ลูกฉันใส่เสื้อผ้าอย่างนี้น่ะเหรอ”
“ไมอ่ะ นี่สวยออก ลืมไปว่านายคงเกิดมาแล้วแก่เลยไม่ได้ผ่านช่วงเวลาวัยรุ่นแบบคนอื่นเขา”
“ลูกฉัน ฉันรู้ว่าควรใส่อะไรไม่ใส่อะไร”
“เพราะอย่างนี้ซิน้า ครอบครัวมันถึงไม่อบอุ่น”
“พูดอะไรของเธอ”
“เพราะนายมันเผด็จการเกินไปไง ฉันว่าถ้านายลองเอาใจเขามาใส่เรา บางทีพ่อลูกอาจไม่โกรธกันอย่างนี้ก็ได้”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็ชะงักไป ระหว่างนั้นไผ่พญาหยิบเสื้อกับกางเกงส่งให้ภูวนัยดู “แล้วแบบนี้โอเคมั้ยเพคะ”
ภูวนัยมองชุดในมือของไผ่พญาก่อนจะพยักหน้าให้ ไผ่พญาถือชุดเข้าไปในห้องลองเสื้อ
ภูวนัยมองเสื้อผ้าแฟชั่นเหมือนคิดตามคำพูดของไผ่พญา
คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 4 (ต่อ)
ผจญเดินมาที่รถกระบะ ก่อนจะเปิดประตูขึ้นไปบนรถ ที่ด้านหลังกระบะมีผ้าใบคลุมเอาไว้อย่างหยาบๆ แต่มี
รองเท้าใบโผล่มา ที่ปลายอีกด้านหนึ่งเห็นม่านหมอกซ่อนอยู่ใต้ผ้าใบ ผจญขับรถออกไปโดยไม่รู้ว่าม่านหมอกอยู่หลังกระบะ
ไผ่พญาอยู่ในห้องลองเสื้อกำลังลองกางเกงตัวใหม่ หมุนตัวซ้ายขวาอยู่หน้ากระจก
“โอเค”
ไผ่พญาดูจะพอใจกับกางเกงตัวใหม่ ไผ่พญาเสร็จสิ้นการลองก่อนจะตัดสินใจถอดออกแต่แล้วไผ่พญาก็ชะงักไปเพราะซิปรูดไม่ลง
“อย่าล้อเล่นน่า ไม่ต้องอยากไปกับฉันขนาดนี้ก็ได้” ไผ่พญาลองรูดใหม่ “ฮึบ”
ไผ่พญาออกแรงอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่ลง ภูวนัยยืนรออยู่ด้านนอก ไผ่พญาหน้าออกมา
“นี่” ภูวนัยไม่ได้ยิน เลยเสียงดังขึ้น “นี่”
ภูวนัยได้ยินจึงหันไป
“เสร็จหรือยังละ”
“มานี่หน่อย”
ภูวนัยเดินเข้ามาหา
“อะไร”
ไผ่พญามองไปรอบๆ ก่อนจะพูดเสียงเบา
“ซิปมันติด ฉันถอดไม่ออก”
“อ้าว แล้วจะให้ผมทำยังไง”
“นายเป็นผู้ชาย น่าจะแรงเยอะกว่าฉันไง” ภูวนัยทำหน้าเอือมก่อนจะทำท่าเปิดประตูเพื่อดึงซิปให้ไผ่พญา ไผ่พญาตีมือผัวะ “ทำอะไร คนเยอะแยะ เข้ามานี่”
“จะบ้าเหรอ ฉันไม่มีทางเข้าไปในนั้นกับเธอเด็ดขาด”
“งั้นฉันก็กลับบ้านไม่ได้ จะเอาไง” ภูวนัยเซ็ง
ภูวนัยเข้ามาในห้องลองเสื้อ หลับตาปี๋ก้มลงอยู่ที่กางเกงของไผ่พญา
“อีกนิด อีกนิดเดียว”
ภูวนัยเงยหน้ามองไผ่พญา
“เธอไม่ต้องพากษ์ได้มั้ย ฉันรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่”
ไผ่พญาเห็นภูวนัยลืมตาก็ตบเผียะเข้าให้
“ใครให้นายลืมตา”
“เธอนี่มันจริงๆ เลย รู้ว่ามันคับก็ยังจะใส่อีก”
ภายนอกห้องลองเสื้อ ทั้งพนักงานและคนที่มาจับจ่ายสินค้าต่างมุงอยู่หน้าห้องลองเสื้อเพื่อเงี่ยหูฟัง เพราะคิดว่าคนข้างในห้องกำลังเล่นหนังสดกลางห้าง
“นี่นายว่าฉันอ้วนเหรอ”
“อยู่นิ่งๆ ซิ จะออกแล้ว”
บรรดาไทยมุงต่างหูตาลุกวาวเมื่อได้ยินอย่างนั้น ระหว่างนั้นหัวหน้าพนักงานเดินเข้ามา
“มีอะไรกัน”
ภูวนัยดึงซิปออกได้สำเร็จ
“ออกแล้ว”
บรรดาไทยมุงที่ออกันอยู่หน้าห้องลองเสื้อต่างผลักกันที่ประตูจนในที่สุดประตูก็ทานน้ำหนักไม่ไหว ประตูเปิดผัวะ ออก บรรดาไทยมุงต่างอ้าปากค้างเมื่อเห็นภูวนัยกำลังก้มลงอยู่ที่กางเกงของไผ่พญา ภูวนัยกับไผ่พญาต่างอึ้งไปเช่นกัน
ผจญขับรถกระบะมาตามทางที่เป็นดินลูกรัง ม่านหมอกที่อยู่หลังกระบะกระเด้งกระดอนไปมา
“ขับรถดีๆ ไม่ได้หรือไง”
ระหว่างนั้นผจญดันขับรถตกหลุมอีก ตึง! ม่านหมอกถึงกับหัวกระแทกกระบะ ม่านหมอกสุดทนลุกขึ้นไปเคาะที่กระจก
ผจญกำลังฟังเพลงลูกทุ่งอยู่ในกระบะได้ยินเสียง ผจญแปลกใจว่าเสียงอะไรจึงเบาเพลงแล้วก็ได้ยินเสียงตึงๆ ผจญมองกระจกส่องหลัง ทันใดนั้นผจญก็ตกใจเมื่อเห็นม่านหมอกอยู่ด้านหลัง
“เฮ้ย” รถกระบะเบรกเอี้ยด ม่านหมอกหัวกระแทกกับกระจกอีก ผจญรีบเปิดประตูลงมาด้านหลัง “คุณหมอก”
ม่านหมอกกุมหัวเจ็บ
“นายแกล้งฉันใช่มั้ย”
“เปล่าครับ คือผมตกใจก็เลยเบรกแรงไปหน่อย”
ม่านหมอกมองผจญอย่างโกรธๆ ก่อนจะลุกขึ้นกระโดดลงจากกระบะพร้อมกระเป๋าเสื้อผ้า ม่านหมอกทำท่าจะเปิดประตูด้านข้างที่นั่งคนขับ
“คุณหมอกจะทำอะไรครับ”
“ขับไป ฉันจะไปลงในเมือง”
ผจญได้ยินอย่างนั้นก็รู้ทันทีว่าม่านหมอกกำลังจะหนีออกจากบ้าน ผจญรีบวิ่งเข้ามาหาม่านหมอก
“คุณหมอกกำลังจะหนีออกจากบ้านใช่มั้ยครับ ไม่ได้นะครับ”
“จะไปไม่ไป ถ้านายไม่พาฉันเข้าเมืองฉันจะเดินกลับไปที่ฟาร์มแล้วบอกว่านายพาฉันมาทำมิดีมิร้าย”
“ห๊า”
ผจญได้ยินอย่างนั้นก็ไม่รู้จะตัดสินใจยังไงดี
ภูวนัยกับไผ่พญานั่งอยู่ภายในห้องทำงานของพนักงาน ภูวนัยนั่งหน้าเซ็งพยายามอธิบาย
“ผมบอกแล้วไง ว่าพวกเราไม่ได้ทำอะไรกัน”
เจ้าหน้าที่ที่เป็นฝ่ายดูแลความปลอดภัยและความเรียบร้อยของห้างทำหน้าเครียด ไม่เชื่อที่ภูวนัยบอก
“แต่พนักงานบอกเราว่าคุณสองคนทำ...อย่างนั้นจริงๆ ลูกค้าของเราก็บอกอย่างนั้น”
ภูวนัยทำหน้าเซ็งก่อนจะหันไปบอกกับไผ่พญา
“บอกเขาไปซิว่าผมกับคุณ เราไม่ได้ทำอะไรกัน”
เจ้าหน้าที่พยายามเกลี่ยกล่อม
“ผมว่าอย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่เลย แค่คุณยอมรับแล้วผมก็จะพาไปเสียค่าปรับที่โรงพัก ข้อหาการทำอนาจารในที่สาธารณะคงไม่เท่าไหร่”
ไผ่พญาได้ยินคำว่า “โรงพัก” ก็ตกใจชะงักทันที
“ไปโรงพัก”
“ถ้าอย่างนั้นคุณพาพวกเราไปที่โรงพยาบาลดีกว่า ให้หมอเขาตรวจเลยว่ามีร่องรอย เอ่อ...ว่าผมทำอย่างนั้นกันมั้ย” ภูวนัยหันไปทางไผ่พญา “เดี๋ยวคุณไปกับผม”
ภูวนัยเดือดดาล เขาไม่ยอมในสิ่งที่เขาไม่ได้ทำผิด ภูวนัยทำท่าจะลุกขึ้นดึงไผ่พญาออกไปแต่แล้วไผ่พญาก็พูดขึ้น
“พวกเรายอมรับก็ได้คะ”
“เฮ้ย” ภูวนัยอึ้ง ตะลึงปากคอสั่น “คุณ คุณพูดอะไรของคุณ”
ไผ่พญาพูดกับเจ้าหน้าที่ ตีหน้าเศร้า
“พี่คะ ที่พวกเราทำอย่างนั้นเพราะ พวกเราเพิ่งแต่งงานกัน”
“หื๊อ”
“พี่คงรู้ใช่มั้ยคะว่าข้าวใหม่ปลามันมันเป็นยังไง พี่ พี่ปล่อยเราไปเถอะนะคะ พี่จะให้หนูที่กำลังท้องต้องอยู่ในห้องขังเหรอคะ”
“เฮ้ย” ภูวนัยอุทานอย่างตกใจ
ไผ่พญายังเล่นละครต่อไม่เลิก ลูบท้องหน้าเศร้า
“พี่คะ หนูไม่อยากบอกลูกที่กำลังจะเกิดมาว่าพ่อกับแม่ไปฮันนีมูนกันในคุก”
เจ้าหน้าที่คนนั้นทำท่าจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ขณะที่ภูวนัยทั้งงงทั้งอึ้ง
ภูวนัยเดินมาที่ลานจอดรถกับไผ่พญา
“โกรธอะไรฉันเนี่ย”
“ยังต้องถามอีกเหรอ”
“อ๋อ หรือนายโกรธที่ฉันบอกว่าเป็นแฟนนาย ที่จริงคนที่โกรธน่าจะเป็นฉันมากกว่า เพราะฉันเป็นผู้หญิงยังไงก็เสียหายมากกว่านายอยู่แล้ว นายน่าจะขอบคุณฉันที่ฉันทำให้เราไม่ต้องไปโรงพักนะ”
“ทำไมเราต้องยอม ในเมื่อเราไม่ได้ทำอะไรผิด”
“นายเคยได้ยินสุภาษิตที่บอกว่า รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดีมั้ย”
“หวังว่าคุณคงไม่เอาสุภาษิตนี้สอนลูกๆ ผมก็แล้วกัน”
ภูวนัยพูดจบก็เดินออกไป ไผ่พญามองตามอย่างหมั่นไส้
ผจญจอดรถกระบะที่ตลาด ม่านหมอกเปิดประตูลงจากรถ ผจญรีบวิ่งเข้ามา
“คุณหมอกอย่าทำอย่างนี้เลยครับ”
“ทำไม ถ้าเขาถาม นายก็บอกว่าไม่รู้ ไม่เห็นก็จบ”
“ผมไม่ได้ห่วงตัวเองครับ แต่ผมห่วงคุณหมอก”
ผจญชะงักเพราะเผลอพูดความรู้สึกตัวเองออกไป ม่านหมอกเองก็สงสัย
“นายมาห่วงฉันเรื่องอะไร”
“ก็คุณหมอกเป็นผู้หญิง จะไปไหนมาไหนคนเดียวได้ยังไงครับ”
“ถึงฉันจะเป็นผู้หญิง แต่ฉันว่าฉันแข็งแรงกว่านายก็แล้วกัน”
“คุณหมอกไม่สงสารคุณภูเหรอครับ ถ้าคุณภูรู้ว่าคุณหมอกหนีออกจากบ้าน คุณภูต้องเสียใจมากแน่ๆ”
ม่านหมอกได้ยินอย่างนั้นก็ยิ่งหงุดหงิด
“ไปได้แล้ว แล้วไม่ต้องบอกเรื่องนี้ให้ใครรู้ล่ะ”
ม่านหมอกจะเดินออกไป ผจญยังวิ่งตามไปยื้อ
“คุณหมอก อย่าไปเลยครับ”
ม่านหมอกทำท่าเหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“จริงด้วย” ผจญงง “เอาเงินมาให้ฉัน”
“อะไรนะครับ”
“ก็เงินที่นายจะเอามาซื้ออาหารเสริมไง เอามา”
“คุณหมอก”
“จะเอาให้ฉันดีๆ หรือจะให้ฉันล้วงเอง”
ผจญยังอึกอักไม่รู้จะทำยังไง ม่านหมอกเลยเข้าไปล้วงในกระเป๋ากางเกงของผจญที่พยายามจะดิ้น
“คุณหมอก อย่าครับ อย่า”
ม่านหมอกหยิบเงินออกมาก่อนจะเดินสะพายกระเป๋าออกไป ผจญมองตามด้วยความเป็นห่วง
ไผ่พญาเข้าห้องแล้วเอาเสื้อผ้าที่เพิ่งซื้อมาใหม่ออกมาวางกองรวมกัน
“ค่อยยังชั่ว โลกนี้ค่อยน่าอยู่หน่อย” ไผ่พญามองไปที่เสื้อผ้าของป้า
“เอาไงดี ทิ้งก็เสียดาย ให้ป้าษาดีกว่า”
ภูวนัยเดินมาที่หน้าห้องของม่านหมอกท่าทางลับๆ ล่อๆ ในมือมีถุงของห้างอยู่ด้วย ภูวนัยมาหยุดที่หน้าห้องม่านหมอกก่อนจะเปิดถุงออกดูจึงเห็นว่าเป็นเสื้อที่เขาแอบซื้อจากห้างมาฝาก
ภูวนัยกำลังจะเคาะประตู ระหว่างนั้นเสียงของไผ่พญาก็ดังขึ้น
“ทำอะไรน่ะ”
ภูวนัยตกใจ
“เฮ้ย” ภูวนัยหันไปเห็นไผ่พญา “เล่นอะไรของเธอ”
“อุ้ย ใครจะไปรู้ว่าหน้าโหดๆ อย่างนายจะขวัญอ่อนกับเขาด้วย” ภูวนัยค่อยๆ หลบถุงที่ใส่เสื้อไว้ข้างหลัง ไผ่พญาเห็นก็สงสัย “อะไรน่ะ”
“ไม่มีอะไร เธออยากไปทำอะไรก็ไปเถอะ” ไผ่พญามองภูวนัยด้วยความสงสัย ก่อนจะชะโงกเข้าไปดูถุงที่ภูวนัยซ่อนอยู่ “เฮ้ย” ไผ่พญาเห็น หยิบเสื้อออกมาดู แล้วไม่คิดว่าภูวนัยจะซื้อเสื้อมาฝากม่านหมอกตามคำแนะนำของเธอ
ภูวนัยถึงกับไปไม่ถูกเลย “เอ่อ”
ไผ่พญารู้ว่าภูวนัยคงเขิน เลยหาวิธีพูด
“สวยดีนะ ฉันว่าหมอกเขาต้องชอบแน่ๆ” ภูวนัยมองเสื้อแล้วหันหลังจะเดินไป “อ้าว ไม่ให้หมอกเขาเลยละ”
“ฉันว่ามันไม่เหมาะกับเขาหรอก”
“คนที่จะบอกได้คือหมอก ไม่ใช่นาย” ไผ่พญาหันไปเคาะประตูทันที “หมอก หมอก”
“เฮ้ย ทำอะไรของเธอ”
“น่า จะซื้อมาปลูกเห็ดเหรอ ซื้อมาแล้วก็ให้ซิ” ไผ่พญาหันไปเคาะอีก “หมอก ครูไผ่เอง” ภูวนัยพยายามคิดหาคำพูด ไผ่พญายังเคาะห้องต่อแต่ม่านหมอกก็ไม่เปิดประตู “หรือว่าหลับ”
“หมอก พ่อเข้าไปนะ”
ภูวนัยเปิดประตูเข้าไป ภูวนัยเข้ามาในห้องแล้วต้องแปลกใจเมื่อเห็นว่าม่านหมอกไม่อยู่ในห้อง
“อ้าว ก็ไหนบอกว่าอยู่ในห้องไง” ภูวนัยเริ่มสังหรณ์ใจจึงรีบเปิดตู้เสื้อผ้าออกดู แล้วภูวนัยก็เห็นว่าเสื้อผ้าของม่านหมอกหายไปบางส่วน “มีอะไรเหรอ”
ม่านหมอกเดินมาตามทางในตลาด กำลังผ่านหน้าร้านอินเตอร์เน็ตที่มีพวกวัยรุ่นนั่งอยู่บนมอเตอร์ไซค์กันที่หน้าร้าน กลุ่มวัยรุ่นต่างมองม่านหมอกเป็นตาเดียวเพราะการแต่งตัวของม่านหมอกเตะตาเป็นพิเศษ
“วิ้ดวิ้วววว”
วัยรุ่นคนหนึ่งผิวปาก ม่านหมอกชะงักก่อนจะหันไปมองวัยรุ่นคนนั้นที่ผิวปากแซวเธอ
“มีพ่อเป็นนกเหรอ”
“อ้าว ปากแข็งแรงดีนี่ อยากใช้ปากทำอย่างอื่นมั้ย”
“หึ”
ระหว่างนั้นกลุ่มวัยรุ่นอีกกลุ่มเปิดประตูออกมาจากร้าน
“มีอะไรวะ”
ม่านหมอกหันไปตามเสียงแล้วม่านหมอกก็ทำหน้าเซ็งเพราะกลุ่มวัยรุ่นนั่นคือกลุ่มเด็กโตที่เธอเคยมีเรื่องที่โรงเรียนมาก่อน
“นึกว่าใคร”
“ซวยจริงๆ”
กลุ่มวัยรุ่นเดินเข้ามาหาเรื่องม่านหมอก
“ไม่เรียนแล้วเหรอ หรือว่าเรียนไปก็ปวดหัวออกมาหาผัวดีกว่า แต่อย่างแกเนี่ยท่าทางจะหาผัวปวดหัวกว่าวะ”
กลุ่มวัยรุ่นต่างหัวเราะชอบใจ ม่านหมอกจะเดินไปเพราะไม่อยากมีเรื่องแต่กลุ่มเด็กโตเข้ามาขวาง
“ถอยไป วันนี้ฉันไม่มีอารมณ์จะมีเรื่องกับพวกแก”
“แต่ฉันมีวะ เฮ้ย พาไปบ้านกู”
กลุ่มวัยรุ่นต่างเข้ามาหาม่านหมอก ม่านหมอกเตรียมลุย จู่ๆ ผจญก็วิ่งเข้ามาแทรก
“อย่ามีเรื่องกันเลยนะครับ”
“แกเป็นใครวะ”
“ผจญ ตามฉันมาเหรอ”
“ครับ ก็ผมเป็นห่วงคุณหมอกนี่ครับ”
“เฮ้ย อีนี่มันออกมาหาผัวจริงๆ ด้วยวะ แหม เพิ่งรู้ว่าชอบสไตล์หนุ่มบ้านนอก”
ม่านหมอกได้ยินอย่างนั้นก็ยิ่งรู้สึกโกรธ
“พวกแกเก็บปากไว้แตกหน้าหนาวดีกว่า”
“คุณหมอกไปพูดอย่างนั้นได้ยังไงครับ...ขอโทษนะครับ ผมขอโทษแทนคุณหมอกด้วยนะครับ”
“หลีกไปไอ้บ้านนอก”
กลุ่มวัยรุ่นผลักผจญ ผจญเซไปชนกับม่านหมอกแต่ม่านหมอกประคองตัวไว้ก่อนจะหันไปด่า
“เฮ้ย เล่นทีเผลอนี่หว่า”
กลุ่มวัยรุ่นกับม่านหมอกจะเข้าตะลุมบอนกัน พวกวัยรุ่นต่างกรูกันเข้ามาจับตัวม่านหมอกเอาไว้
“ไป”
ผจญเห็นกลุ่มวัยรุ่นลากตัวม่านหมอกไปก็เดือดดาลลุกขึ้นเข้ามาขวางพร้อมสู้ตาย
“ปล่อยคุณหมอกเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นละก็”
“ไม่อย่างนั้นอะไร”
ผจญกำหมัดแน่น แล้วร้องเสียงดังพร้อมสู้ตาย
“ย้ากกก!”
ผจญวิ่งเข้าไป แต่ก็เหมือนวิ่งไปเข้าทางหมัดของพวกนั้น ผจญโดนสวนกลับก่อนจะล้มทั้งยืนในหมัดเดียว ม่านหมอกทำหน้าเซ็ง และเมื่อเด็กวัยรุ่นหันมาก็โดนหมัดเข้าหน้าอย่างแรงจนเซไป เด็กวัยรุ่นได้สติก็รีบจะเข้าไปจัดการกับเจ้าของหมัด
“ใครวะ”
วัยรุ่นหันมาเห็นตะวันฉายยืนอยู่ก็ชะงักไป เช่นเดียวกันกับม่านหมอกที่ตะลึงเมื่อเห็นตะวันฉาย
“เอาสิ” กลุ่มวัยรุ่นมีท่าทางหวาดกลัวก่อนจะรีบขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ขับออกไป ตะวันฉายรีบเข้ามาดูม่านหมอก
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
“เปล่าคะ”
ผจญกุมหน้าด้วยความเจ็บ แต่ไม่เจ็บเท่าใจที่เห็นภาพบาดตา
ภูวนัยกำลังระเบิดอารมณ์ใส่ทุกคน หลังจากรู้ว่าม่านหมอกหนีออกจากบ้าน
“คนหายไปทั้งคน ทำไมไม่มีใครรู้เลย”
เผ่าพงศ์ ม่านเมฆนั่งเงียบ
“ปู่รอด เพราะปู่ความจำสั้น” เผ่าพงศ์หยอกกับม่านเมฆ
“โห เอาตัวรอดคนเดียวนี่ปู่”
พรรษารู้สึกผิดมากที่สุด
“ป้าผิดเองแหละคะ ที่ไม่คอยดูให้ดี”
“ตอนนี้จะโทษว่าใครผิดมันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร พ่อว่าเราช่วยกันคิดดีกว่าหมอกจะไปไหน”
เผ่าพงศ์บอก ไผ่พญากำลังใช้มือถือโทรหาม่านหมอกก็เหมือนได้ยินเสียงม่านหมอกรับสาย
“ฮัลโหล หมอก”
ทุกคนเห็นไผ่พญาพูดอย่างนั้นก็ดีใจรีบวิ่งเข้ามา
“เอามานี่ ฉันคุยเอง” ภูวนัยบอก
“จะบ้าเหรอ เดี๋ยวก็ได้เตลิดไปสุไหงโกลกพอดี...ฮัลโหล”
“ฮัลโหล ฮัลโหล สัญญาณไม่ชัดเลย” ม่ายหมอกบอก
“ฮัลโหล ได้ยินมั้ย ฮัลโหล”
“ฮัลโหล ฮัลโหล จะได้ยินได้ยังไงก็ฉันปิดเครื่อง...โง่”
ไผ่พญาถึงกับผงะหน้าเสียที่โดนด่า หันมาบอกกับภูวนัย
“หมอกปิดเครื่องอ่ะ”
ภูวนัยหงุดหงิดงุ่นง่านก่อนจะตัดสินใจเดินไปหยิบกุญแจรถ
“อ้าว แล้วนายจะไปไหน”
“ฉันรออยู่อย่างนี้ไม่ได้หรอก”
ระหว่างนั้นแก้วใจวิ่งเข้ามาหน้าตาตื่น
“คุณภูขา คุณหมอกกลับมาแล้วคะ”
ทุกคนอึ้งไประคนดีใจ
ตะวันฉายเดินนำเข้ามาที่หน้าบ้าน ด้านหลังมีม่านหมอกเดินมากับผจญ ม่านหมอกหยุดเดิน ตะวันฉายหันมาเห็น
“ไม่ต้องกลัวหรอก เดี๋ยวพี่พูดกับคุณภูให้”
“หมอกไม่ได้กลัว แต่ทำไมต้องพาหมอกกลับมานี่ด้วย”
เสียงของภูวนัยดังขึ้น
“เพราะที่นี่คือบ้านของเธอไง”
ตะวันฉาย ม่านหมอกและผจญหันไปก็เห็นภูวนัยเดินออกมาพร้อมทุกคน เผ่าพงศ์กับม่านเมฆรีบวิ่งเข้ามาหาม่านหมอกด้วยความดีใจ
“พี่หมอกอ่ะ ไปไหนมาเนี่ย รู้มั้ยว่าเขาเป็นห่วงกัน”
เผ่าพงศ์ดุม่านเมฆที่พูดอย่างนั้น
“เอาน่า หลานปู่ปลอดภัยก็ดีแล้ว ไม่เป็นอะไรนะ”
“คะ”
ภูวนัยเดินเข้ามาหาม่านหมอกด้วยสายตาที่ผิดหวัง
“พ่อทำตามสัญญาทุกอย่าง แล้วทำไมยังหนีออกจากบ้านอีก”
“อยากรู้จริงๆ มั้ย ฉันทนอยู่ร่วมบ้านกับคนที่ฆ่าพ่อแม่ฉันไม่ได้หรอก”
ภูวนัยอึ้งไป ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็ตกใจและสงสัยถึงความเป็นมาของภูวนัยและม่านหมอก
“ป้าษาช่วยพาพ่อกับเมฆเข้าไปก่อน”
“เอ่อ คะ”
พรรษาพาเผ่าพงศ์กับม่านเมฆเข้าบ้านไปทั้งๆ ที่ทั้งสองคนยังสงสัยไม่หาย ไผ่พญาแปลกใจที่เห็นตะวันฉาย
“คุณตะวัน คุณเจอหมอกเหรอคะ”
แก้วใจมองไปที่ผจญแล้วตกใจ
“ไอ้ผจญ หน้าไปโดนอะไรมาวะ”
ผจญอึกอักไม่รู้จะพูดยังไง
“เอ่อ คือ”
“บอกมาว่าไปโดนอะไร”
“ผจญกับหมอกมีเรื่องกับพวกวัยรุ่นที่ตลาดน่ะครับ” ตะวันฉายบอกแทน ทุกคนได้ยินอย่างนั้นก็ตกใจ โดยเฉพาะภูวนัย
“ทำอย่างนี้แล้วมันได้อะไรขึ้นมา สะใจใช่มั้ย” ภูวนัยถามม่านหมอก
“ใช่”
“ถ้าอย่างนั้นทำไม ไม่มีเรื่องให้ติดคุกไปเลยละ จะได้สะใจกว่านี้ไง”
“ไม่จำเป็น เพราะเท่าที่อยู่ที่นี่ทุกวันนี้มันก็เหมือนคุกอยู่แล้ว”
“ม่านหมอก”
“แล้วอีกอย่าง เลิกเรียกฉันว่าลูกซะที อาไม่ต้องทำดีกับฉันถ้าไม่อยากทำ อาไม่ต้องทำดีเพราะยังไงอาก็รู้อยู่แล้วว่าการที่อาทำดีกับฉันกับเมฆ ไม่ใช่เพราะอารักพวกเราแต่อาทำเพราะจะได้ทำให้ตัวเองรู้สึกผิดน้อยลง”
ม่านหมอกพูดเสร็จก็วิ่งออกไป ภูวนัยยืนนิ่งรู้สึกคำพูดของม่านหมอกทำให้เขาแข็งเป็นหิน
“เดี๋ยวผมไปดูเอง”
ตะวันฉายรีบวิ่งตามม่านหมอกออกไป ผจญกลัวว่าม่านหมอกจะถูกลงโทษจึงเข้ามาบอกกับภูวนัย
“เป็นเพราะผมเองครับคุณภู ผม...ผมเห็นว่าคุณหมอกแกอยู่แต่ในฟาร์ม ผมก็เลยชวนคุณหมอกออกไปเที่ยวข้างนอกน่ะครับ”
“รู้ใช่มั้ย ว่าที่แกทำน่ะ เป็นการขัดคำสั่งฉัน”
“ครับ”
“พรุ่งนี้แกเก็บของออกไปจากที่นี่ซะ”
ผจญถึงกับอึ้งไป ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็ตกใจ
“เฮ้ย นายทำอย่างนี้ไม่ได้นะ”
“ขอโทษนะ เรื่องนี้เป็นเรื่องในครอบครัวผม”
ภูวนัยพูดเสร็จก็เดินออกไป ไผ่พญารีบวิ่งตามไป
ผจญคอตกสีหน้าเศร้าเมื่อรู้ว่าตัวเองโดนไล่ออก
คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 4 (ต่อ)
ภูวนัยเดินเข้ามาในบ้านอย่างอารมณ์เสีย ไผ่พญาตามเข้ามาพูดเพราะเห็นความไม่ยุติธรรม
“เดี๋ยว เดี๋ยว”
ภูวนัยพยายามสะกดอารมณ์ก่อนจะหันมา
“มีอะไร”
“นายจะไล่ผจญออกจริงๆ เหรอ”
“ผมเหมือนคนพูดเล่นเหรอ”
“นายมันไม่มีเหตุผล” ภูวนัยชะงัก “ถึงฉันจะไม่รู้จักผจญกับม่านหมอกดีเท่านาย แต่ฉันก็รู้ว่าเด็กคนนั้นไม่มีทางที่จะพาม่านหมอกหนีแน่นอน นายเองก็รู้” ภูวนัยนิ่งไป ไผ่พญามองไม่ออกว่าภูวนัยรู้สึกอย่างไร “นายเองก็เป็นคนที่จะไม่ยอมรับถ้าตัวเองไม่ได้ทำ นายก็รู้ว่าที่ผจญทำอย่างนั้นเพราะปกป้องม่านหมอก”
“ผมไม่รู้” ไผ่พญาชะงักไป “ผมรู้แค่ว่า ผจญขัดคำสั่งผม”
“คนไม่มีเหตุผล”
ไผ่พญาพูดจบก็รีบวิ่งออกไป ภูวนัยมองตามนิ่งที่จริงแล้วเขาก็รู้ว่าผจญทำเพื่อช่วยม่านหมอก แต่ที่เขาไล่ผจญออกเพราะเหตุผลบางอย่างที่ยังบอกตอนนี้ไม่ได้
ม่านหมอกยืนสงบสติอารมณ์อยู่ริมน้ำ ระหว่างนั้นตะวันฉายเดินเข้ามายืนข้างๆ ตะวันฉายกับม่านหมอกยืนมองสายน้ำเนิ่นนาน ก่อนที่ม่านหมอกจะพูดขึ้น
“พี่เคยเกลียดตัวเองมั้ย”
ตะวันฉายนิ่งไปรู้ว่าตอนนี้ม่านหมอกกำลังรู้สึกกับตัวเองยังไง
“เรียกว่าโกรธดีกว่า พี่เคยโกรธตัวเองจนไม่คิดที่จะอภัยให้ตัวเองได้อีก” ม่านหมอกหันมาอย่างสนใจ “หมอกอยากฟังเรื่องผิดพลาดของพี่มั้ย” ม่านหมอกพยักหน้า “พี่เคยทำให้เพื่อนพี่ตาย” ม่านหมอกชะงักเริ่มสนใจ “พี่เคยโกรธกับเพื่อนรักของพี่คนนึงด้วยเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง ไม่ว่าเพื่อนพี่จะพยายามขอโทษหรือง้อพี่ยังไงก็ตาม แต่พี่ก็ไม่สามารถให้อภัยกับเรื่องผิดพลาดที่เพื่อนพี่ทำกับพี่ได้ แล้วหมอกรู้มั้ยว่าเพื่อนพี่ทำยังไง” ม่านหมอกยังนิ่งฟังเริ่มสนใจมากขึ้น “เพื่อนพี่ฆ่าตัวตาย” ม่านหมอกถึงกับอึ้งไป “พี่ไปงานศพเขาแล้วก็พบกับแม่ของเพื่อนพี่ แม่ของเพื่อนพี่ยื่นจอบอันนึงให้กับพี่ มันเป็นจอบของเพื่อนพี่ที่ฝากให้พี่ก่อนที่เพื่อนพี่จะฆ่าตัวตาย แม่ของเพื่อนพี่บอกว่า เมื่อไหร่ที่เพื่อนพี่รู้สึกโกรธพี่ เขาจะไประบายอารมณ์ด้วยการขุดดินหลังบ้าน แต่พี่ก็สงสัยว่าทำไมจอบอันนั้นถึงได้ดูใหม่ แม่ของพี่เลยบอกว่า เพราะเพื่อนพี่ยังไม่เคยใช้จอบอันนี้เลย หมอกคิดดูซิว่าตลอดเวลาเพื่อนของพี่ไม่เคยโกรธพี่เลย แต่พี่กลับ...” ตะวันฉายพูดไม่ออก
ม่านหมอกนิ่งงันไปกับเรื่องของตะวันฉาย ไม่คิดว่าตะวันฉายจะเจอเรื่องร้ายมาเช่นนี้
“หมอกรู้มั้ย ถ้าพี่ย้อนเวลากลับไปได้ พี่อยากจะบอกกับเพื่อนพี่ว่า พี่ไม่เคยโกรธเขาเลย เขาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของพี่ แต่พี่ก็พลาดพี่ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้อีก”
“แล้ว แม่ของเพื่อนพี่ไม่โกรธพี่เหรอ”
“จะโกรธได้ยังไง ก็ในระหว่างที่พี่คุยกับแม่เขา ก็มีเจ้าของร้านขายของเก่าเอาเงินมาให้แม่ของเพื่อนตั้งหลายหมื่น หมอกรู้มั้ยว่ามันคือเงินอะไร” ม่านหมอกส่ายหน้า “มันคือเงินที่เพื่อนพี่เอาจอบที่มันขุดจนหักไปขายให้เขาน่ะ”
ม่านหมอกได้ยินก็ชะงักก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าทันที ตะวันฉายหันมายิ้มให้
“ไง ขำมั้ย”
“พี่เห็นเรื่องของฉันเป็นเรื่องตลกหรือไง”
ม่านหมอกนิ่งงันไปก่อนจะค่อยๆ เอนหัวไปซบกับไหล่ของตะวันฉาย ตะวันฉายชะงักแต่ก็ปล่อยให้ม่านหมอกซบอยู่อย่างนั้น
“ขอหมอกซบไหล่พี่ได้มั้ย”
“ทำไมไม่ได้ล่ะ ไม่อย่างนั้นร่างกายคนเราจะมีไหล่ไว้ทำไม”
ม่านหมอกซบไหล่ตะวันฉายอยู่อย่างนั้น อย่างน้อยมันก็ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
ด้านหลังไม่ไกลนักเห็นผจญแอบอยู่หลังต้นไม้ เขารู้สึกปวดใจกับภาพที่เห็น แต่ถ้ามันเป็นความสุขของม่านหมอกเขาก็ทนได้
ด้านหลังของผจญเห็นไผ่พญายืนแอบมองอยู่อีกมุมอย่างสังเกตการณ์ ไผ่พญารู้ทันทีว่าผจญแอบชอบม่านหมอก
ไผ่พญากำลังเคาะประตูหน้าห้องพรรษา พรรษาเปิดประตูออกมาพอเห็นไผ่พญาก็แปลกใจ
“อ้าว ครูไผ่อยากได้อะไรเหรอคะ”
ไผ่พญายื่นเสื้อของป้าที่เธอไม่ได้ใช้ให้กับพรรษา
“ฉันเอาเสื้อมาให้น่ะคะ เอ่อ ป้าอย่าคิดว่ามันเป็นเสื้อเก่านะคะ ฉันแค่รู้สึกว่ามันเหมาะกับป้ามากกว่า”
พรรษารับมาดู แล้วยิ้มให้
“ป้าไม่คิดอะไรหรอกคะ ดีซะอีกที่ได้เสื้อใหม่ ป้าเองก็ไม่ได้ซื้อเสื้อผ้ามาหลายปีแล้ว ขอบคุณมากนะคะครู”
ไผ่พญาโล่งอกที่พรรษารับไว้ก่อนจะทำท่าหันหลังจะเดินไป แต่แล้วเธอก็ตัดสินใจหันกลับมาถาม
“ป้าคะ”
พรรษากำลังจะเข้าห้องก็ชะงัก
“คะ”
“เอ่อ หมอกไม่ใช่ลูกของคุณภูวนัยเหรอคะ” พรรษาชะงักไปด้วยสีหน้าที่ลำบากใจ “คือ ป้าก็รู้ใช่มั้ยคะว่าคุณภูเขาบอกให้ฉันละลายพฤติกรรมเมฆกับหมอก แล้วถ้าฉันไม่รู้อะไรเลย ฉันก็สอนไม่ได้”
“คะ คุณภูเป็นอาของคุณเมฆกับคุณหมอก”
“อ้าว แล้วพ่อกับแม่จริงๆ ไปไหนละคะ หรือว่าจะเกี่ยวกับที่หมอกบอกว่าคุณภูเป็น...”
พรรษาเห็นว่ายังไงไผ่พญาก็ต้องรู้เรื่องจึงตัดสินใจเล่า
“แต่ก่อนคุณหมอกกับคุณภูไม่ได้โกรธกันอย่างนี้หรอกคะ แต่เรื่องมันเกิดเมื่อสองปีเห็นจะได้”
พรรษาตัดสินใจเล่าเหตุการณ์เมื่อสองปีที่แล้ว วันนั้นเป็นวันเกิดม่านหมอก เค้กวันเกิดมีเทียนปักอยู่13 เล่ม บนเค้กเขียนว่า “สุขสันต์วันเกิดม่านหมอก” พร้อมกับเสียงเพลงแฮ้ปปี้เบิร์ธเดย์ในท่อนสุดท้าย
“แฮ้ปปี้เบิร์ธเดย์ทูม่านหมอก แฮ้ปปี้เบิร์ธเดย์...ทู...ยู”
ทุกคนตบมือหลังร้องเพลงจบ
“ขอให้เป็นเด็กดีของพ่อกับแม่อย่างนี้ตลอดไปนะลูก” สุริยา พ่อของม่ายหมอกบอก
“คิดสิ่งใดก็จงสำเร็จทุกประการนะ” ลักขณา ผู้เป็นแม่บอก
ทันทีที่ลักขณาอวยพรจบทั้งหมดก็กล่าว “สาธุ” พร้อมกัน
“โห ยัยลัก อวยพรอย่างนี้ไม่อาราธนาพระรัตนตรัยก่อนขึ้นด้วยละ นี่ ต้องฉันนี่ ปู่ก็ขอให้ปีหน้าเป็นเค้กไอติมนะ ปู่เบื่อเค้กธรรมดาแล้ว”
ภาพในกล้องมือถือที่ทุกคนหัวเราะกันอย่างมีความสุข ระหว่างนั้นม่านหมอกหันมาทางกล้อง
“แล้วอาภูละ ปีนี้ขอแบบดีๆ นะ”
ภูวนัยกำลังใช้โทรศัพท์อัดภาพแห่งความสุขเอาไว้
“ปีนี้อายุสิบสามแล้วใช่มั้ย ถ้าอย่างนั้นอาก็ขอให้ปีหน้าอายุสิบสี่นะ”
“โห อาภูอ่ะ กวนตลอด”
“อ่ะๆ ก็ได้ อาก็ขอให้เราสวยวันสวยคืน ได้เป็นนักร้องอย่างที่เราฝันไง”
“แต่สวยยังไงก็คงจะสู้อาเหมือนฝันของอาภูไม่ได้หรอก”
ภูวนัยหันไปยิ้มกับเหมือนฝัน
“มองอะไร ตอบดีๆ นะ ไม่งั้น...สวย”
“ตอบไม่ดีก็โดน ตอบดีก็หาว่าโกหก เอางี้ดีกว่า สวยหรือไม่สวย ภูก็รักนะ”
ภูวนัยพูดจบก็ได้ยินชอบใจ
“อธิษฐานได้แล้วลูก”
ม่านหมอกหลับตาอธิษฐาน ภูวนัยให้สัญญาณกับทุกคน ทุกคนพยักหน้า ม่านหมอกลืมตาขึ้นก่อนจะเป่าเทียนบนเค้ก ม่านหมอกแปลกใจที่ทุกอย่างเงียบ
“อ้าว ไม่ตบมือกันหน่อยเหรอคะ”
“คงจะตบไม่ได้หรอก เพราะมือของพวกเรา...มี”
แล้วทุกคนก็เอามือที่เปื้อนเค้กออกมา ม่านหมอกตกใจ
“ว้ายยยย!”
ม่านหมอกลุกขึ้นวิ่งหนี ขณะที่ทุกคนพยายามจะเอาเค้กป้ายม่านหมอก ทุกคนมีแต่เสียงหัวเราะช่างเป็นเวลาแห่งความสุขที่มิอาจลืมเลือน
ทุกคนเดินออกมาที่ลานจอดรถ ม่านหมอกเดินมากับลักขณาและสุริยา
“มีความสุขมั้ยลูก”
“ที่สุดเลยคะแม่ ขอบคุณนะคะ”
“โน่น ขอบคุณอาภูโน่น ตัววางแผนเลย”
“อ้าว ไหนบอกว่าจะไม่บอกไงพี่” ทุกคนหัวเราะกันครื้นเครง ระหว่างนั้นภูวนัยสงสัยเมื่อไม่เห็นเผ่าพงศ์กับม่านเมฆ “แล้วพ่อกับเมฆละ”
“เห็นว่าจะไปห้องน้ำกันมั้ง”
“เหรอ งั้นเดี๋ยวผมไปดูหน่อยดีกว่า คนนึงก็เด็ก อีกคนก็ลืมอะไรได้ง่ายๆ”
“งั้นเดี๋ยวภูมารอตรงนี้แล้วกัน”
ภูวนัยพยักหน้าก่อนจะหันกลับเข้าไป ระหว่างนั้นมีเสียงล้อรถบดถนนดังเอี้ยดดด! ลั่นที่จอดรถ ภูวนัยหันไปมองแล้วภูวนัยก็เห็นรถคันนึงแล่นเข้ามาด้วยความเร็วสูง ภูวนัยจ้องตาไม่กระพริบก่อนจะเห็นกระจกรถคันนั้นเลื่อนลง
แล้วภูวนัยก็ตกใจเมื่อเห็นปากกระบอกปืน ภูวนัยรู้ทันทีว่าจะเกิดอะไรขึ้น
“หลบไป”
ภูวนัยวิ่งเข้ามาหาเหมือนฝัน ลักขณา สุริยาและม่านหมอกที่ไม่รู้เรื่องอะไร แต่ทันใดนั้นเสียงปืนก็ดังรัวขึ้นเป็นชุด ภูวนัยวิ่งมาถึงม่านหมอกก่อนจึงคว้าตัวม่านหมอกล้มลงกับพื้น ภูวนัยเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นภาพเหมือนฝัน ลักขณาและสุริยาโดนกระสุนรัวใส่ร่าง
“ไม่”
สิ้นเสียงกระสุนปืนร่างของทั้งสามล้มลงแน่นิ่งกับพื้น รถคันนั้นรีบเหยียบหนีไป ภูวนัยรีบกระเสือกกระสนเข้ามาก่อนจะกอดร่างเหมือนฝันร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง ม่านหมอกค่อยๆ ลุกขึ้นเดินเข้ามาหาสุริยาและลักขณาที่นอนจมกองเลือด ก่อนที่ม่านหมอกจะช็อกหมดสติลงกับพื้น
ม่านหมอกตกใจตื่นขึ้นที่โรงพยาบาล
“ไม่”
ม่านหมอกลุกพรวดขึ้นก่อนจะเห็นเผ่าพงศ์กำลังปลอบม่านเมฆที่ร้องไห้จ้า
“ไม่เป็นไรนะ พ่อกับแม่เราจะต้องไม่เป็นไร”
“ปู่” เผ่าพงศ์หันมาเห็นม่านหมอกที่ตัวเต็มไปด้วยเลือดจากสุริยาและลักขณา ม่านหมอกลงจากเตียงเดินเข้ามาหา “พ่อกับแม่ละ”
ม่านเมฆร้องไห้ พูดไม่ออก
“พี่หมอก พี่หมอก”
ม่านหมอกไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น เธอค่อยๆ เดินออกจากห้องฉุกเฉินเหมือนคนที่ไร้สติล่องลอย
ม่านหมอกเดินไร้สติมาตามทางเดิน ก่อนจะเห็นภูวนัยกำลังคุยกับหมออยู่ที่หน้าห้องผ่าตัด หมอกำลังแสดงความเสียใจกับภูวนัย
“เราพยายามดีที่สุดแล้วครับ”
ภูวนัยช็อกเหมือนโลกทั้งโลกถล่มลงตรงหน้า แม้แต่เรี่ยวแรงที่จะยืนยังไม่มี ม่านหมอกเดินมาถึงภูวนัยที่กำลังช็อกอยู่ก็รีบถามหาพ่อกับแม่
“อาภู พ่อกับแม่ละ”
เผ่าพงศ์กับม่านเมฆเดินมาถึงก็รีบถามเช่นกัน
“ไอ้ภู เป็นไง”
ภูวนัยพูดไม่ออกได้แต่ส่ายหน้าแล้วเอามือกุมหน้ากลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ม่านหมอกเห็นอย่างนั้นก็ยิ่งช็อก ระหว่างนั้นพยาบาลเข็นร่างไร้ชีวิตของทั้งสามออกมา ม่านหมอกจะวิ่งเข้าไปหา
“พ่อ แม่”
ภูวนัยรีบเข้ามากอดม่านหมอกเอาไว้
“ไม่...อย่า...อย่าดู”
ม่านหมอกพยายามเอื้อมมือจะคว้ามือร่างของพ่อและแม่ที่ถูกเข็นออกไปพร้อมกับส่งเสียงร้องไห้ปิ่มจะขาดใจ
“พ่อ แม่”
พรรษาเศร้าสลดจากการฟื้นความทรงจำ
“ตั้งแต่นั้น คุณหมอกก็คิดว่าคุณภูเป็นต้นเหตุที่ทำให้พ่อกับแม่ของเธอตาย”
“ทำไมละคะ”
“เพราะอาชีพและสิ่งที่คุณภูทำไงคะ”
ไผ่พญาทำหน้าแปลกใจ
“แค่เลี้ยงหมูก็ต้องไล่ยิงกันขนาดนี้เลยเหรอคะ” พรรษาถอนหายใจ
“นี่ก็ดึกแล้ว คุณพักผ่อนเถอะคะ”
พรรษายิ้มให้เล็กๆ ก่อนจะผลุบหายเข้าไปในห้อง ปล่อยให้ไผ่พญายังรู้สึกใจหายอยู่ตรงนั้น
ไผ่พญาเดินเข้ามาในห้องก่อนจะลงนั่งที่เตียง เอามือปาดน้ำตาที่เรื่อออกมา
“ทำไมฉันต้องอินขนาดนี้ด้วยเนี่ย”
ไผ่พญาพ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน แต่แล้วเพราะเรื่องราวที่ได้ยินก็ทำให้เธอนึกถึงลำไยขึ้นมา
“แม่”
ขณะนั้นที่ดิออร์แกน ขิงกำลังเขย่าค็อกเทลอย่างมีน้ำโห เพราะกระดังงากำลังจิ๊จ๊ะกับแขก แขกคนนั้นยกมือถือขึ้นมาเหมือนกำลังขอเบอร์ ขิงกระแทกกระปุกค็อกเทลดังตึงจนแขกที่นั่งที่บาร์ตกใจเพราะขิงเห็นเหมือนกระดังงาเมียรักกำลังให้เบอร์แขกคนนั้น กระดังงาเดินมาที่บาร์
“เอาโค้กมากินหน่อยดิ”
“ให้เบอร์มันทำไม”
กระดังงาทำหน้าเซ็ง
“ไอ้ขิง อย่าหาเรื่องได้มั้ย คนเพิ่งเต้นเสร็จเหนื่อยๆ”
“ก็เห็นอยู่ว่าแกให้เบอร์มัน”
“ฉันก็ให้เบอร์มั่วเหมือนทุกที แกก็ยังถามทุกที”
ระหว่างนั้นกระดังงารู้สึกเหมือนโทรศัพท์สั่นจึงหยิบขึ้นมา กระดังงามองเบอร์ด้วยความแปลกใจ ขิงมองคิดไปแล้วว่าต้องเป็นไอ้แขกคนนั้นโทรมาแน่นอน
“เบอร์ที่ไหนวะ” กระดังงานกดรับ “ฮัลโหล ไอ้ไผ่”
ไผ่พญาแอบลงมาโทรศัพท์อยู่ที่ชั้นล่าง
“เออ พักแล้วใช่มั้ย”
กระดังงาไม่ค่อยได้ยิน
“ฮัลโหล ไม่ได้ยินเลยวะ”
ไผ่พญาลืมตัวเผลอตะโกน
“ฮัลโหล” ไผ่พญานึกได้รีบกระซิบทันที “ไอ้งา แม่ฉันอยู่มั้ย”
“ฮัลโหล...ฮัลโหล...ไอ้ไผ่แกรอแปปนึง เดี๋ยวฉันออกไปคุยหลังร้านก่อน”
กระดังงารีบเดินออกไป ขิงมองตาม
“หึ มุขเก่าไปแล้ว” ขิงพยายามจะไม่คิดอะไร แต่ในที่สุดก็หันไปบอกกับเพื่อนพนักงาน “ไปห้องน้ำ ฝากหน่อย”
ขิงรีบเดินตามกระดังงาออกไป
ไผ่พญากำลังรอสายอย่างร้อนใจ
“ทำอะไรอยู่วะ เดินเร็วซิ”
ไผ่พญามองไปรอบเพราะกลัวคนลงมาเห็น แต่แล้วไผ่พญาก็ต้องตกใจเมื่อไฟในห้องรับแขกสว่างขึ้น ภูวนัยเดินเข้ามาก่อนจะต้องแปลกใจเมื่อเห็นไผ่พญาเดินหาวเข้ามา ไผ่พญาทำเป็นหาวอ้าปากกว้าง
“ง่วงจริงๆ” ไผ่พญาทำเป็นเพิ่งเห็นภูวนัย “อ้าว ราตรีสวัสดิ์”
“ลงมาทำอะไร”
“ฉันน่ะเหรอ เอ่อ ฉันคอแห้งเลยลงมาหาน้ำกิน ไว้พรุ่งนี้เจอกัน”
ไผ่พญาทำเป็นเดินหาวออกไป ภูวนัยมองตามด้วยความแปลกใจ
พอเดินลับตาภูวนัยมาแล้วไผ่พญาก็แอบโล่งอกก่อนจะแอบมองภูวนัยอย่างเจ็บใจ
“ฮึ่ยย์ ขัดจังหวะจริงๆ”
ภูวนัยนอนไม่หลับเดินลงมานั่งที่ห้องรับแขก
กระดังงาเดินออกมาที่หลังร้านก่อนจะรีบพูดมือถือต่อ
“ฮัลโหล ฮัลโหล” กระดังงามองมือถือ “อ้าว...วางไปตอนไหนเนี่ย”
ระหว่างนั้นขิงเดินตามเข้ามา
“ใช้มุขเก่าไปหน่อยหรือเปล่า”
“ไอ้ขิง แกมาทำไม”
“ก็มาดูว่าเมียฉันกำลังนัดพบใครไง”
“เดี๋ยวได้ปากแตก นัดพบห่าไรเล่า ไอ้ไผ่โทรมาแล้วข้างในมันเสียงดังฉันก็เลยออกมาโทรตรงนี้”
“เหรอ” ขิงทำหน้าไม่เชื่อ
“ไอ้นี่ ไม่เชื่อ งั้นแกโทรกลับไปเลยไป ฉันยังไม่ได้คุยเลย”
ขิงคว้าโทรศัพท์จากกระดังงามาแล้วกดโทรหาเบอร์ที่โทรมาล่าสุดทันที
ภูวนัยนอนไม่หลับนั่งคิดอะไรอยู่ที่โซฟารับแขก ระหว่างนั้นเสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้น ภูวนัยมองด้วยความแปลกใจว่าใครโทรมาป่านนี้
“สวัสดีครับ”
ขิงถึงกับสะอึกเมื่อเป็นเสียงผู้ชายรับสาย
“อ้าว” ขิงหันไปว่ากระดังงา “นี่เหรอไอ้ไผ่ เฮ้ย...อยากตกนรกหรือไง”
ภูวนัยงงที่อยู่ๆ ก็โดนด่า
“อะไรนะครับ”
“ยังจะแกล้งโง่อีก ก็เป็นชู้กับเมียคนอื่นมันผิดศีลเว้ย”
“ผมว่าคุณคงโทรผิดแล้ว”
“ผิดได้ไง ก็เบอร์นี่มันโชว์อยู่” ภูวนัยยิ่งแปลกใจ ขิงยังอวดสรรพคุณไม่เลิก “ฉันชื่อขิง ถ้าข้องใจก็เจอกันได้ แต่ขอเตือนไว้ก่อน ถ้าไม่อยากตายก็อย่ามายุ่งกับเมียฉัน”
ขิงกดวางสายหงุดหงิด ภูวนัยมองโทรศัพท์งงๆ ก่อนจะนึกไปถึงไผ่พญา
กระดังงาเดินหนี ขณะที่ขิงตามมาเค้นความจริง
“ก็บอกว่าไม่รู้ไงเล่า ตอนที่ฉันรับสายมันเป็นเสียงไอ้ไผ่นี่หว่า”
“ไอ้ไผ่มันไม่ได้ติดต่อมา แกก็เลยอ้างชื่อมันคุยกับคนอื่นใช่มั้ย”
กระดังงาหยุดเดินแล้วหันมองขิงด้วยความโกรธ
“ไม่เชื่อใช่มั้ย”
“ก็ไอ้ที่ฉันคุยอยู่มันเป็นผู้ชาย ฉันกินข้าวไม่ได้กินหญ้า”
“งั้นก็เลิกไปเลย จะได้สิ้นเรื่องสิ้นราว”
กระดังงาพูดจบก็เดินฉับๆ จะเข้าร้าน ขิงเจอไม้นี้ของกระดังงาก็อ่อนลงทันที
“โธ่เมียจ๋า อย่าเพิ่งโกรธซิ”
อยู่ๆ บรรดาโคโยตี้ พ่อครัว แม่ครัวก็วิ่งออกมาจากประตูหลังร้าน ขิงกับกระดังงาสงสัยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ระหว่างนั้นลำไยวิ่งออกมาอีกคนก่อนจะมาหลบหลังขิงกับกระดังงา
“อ้าว แม่มีอะไร ไฟไหม้เหรอ”
เสียงโสภีแหววขึ้น
“ไหม้บ้านแกซิ”
ขิงกับกระดังงาหันมาก็เห็นโสภีเดินออกมาเท้าสะเอวเอาเรื่อง
“อุ้ย เจ้ มีอะไรเหรอครับ”
“นังลำไย ฉันให้แกมาทำงานไม่ใช่มาชวนคนฉันตั้งวงไฮโล”
ลำไยก้มหน้างุดแอบอยู่หลังขิงกับกระดังงา กระดังงาหันไปถามลำไย
“อ้าว แม่เล่นไฮโลเหรอ”
ลำไยส่ายหน้า
“ยังจะเถียงอีก ต้องให้จับได้คาหนังคาเขาใช่มั้ยถึงจะยอมรับ” ลำไยก้มหน้างุด
“แหม เจ้ไม่มีหลักฐานแล้วรู้ได้ไงว่าแม่ลำไยตั้งวงไฮโล แม่เขาอาจตั้งวงเล่นจ้ำจี้มะเขือเปาะแปะ ใช่มั้ยแม่” ของบอก ลำไยยิ้มที่หาข้ออ้างได้ เผลอพูด
“เออ” ทันทีที่ลำไยพูดลูกเต๋าที่ลำไยอมไว้ในปากก็กระเด็นออกมา ทุกคนถึงกับมองลูกเต๋าที่ตกอยู่ที่พื้นเป็นตาเดียว โสภีมองหน้าลำไย ลำไยยิ้มให้ “วันนี้ฉันลาครึ่งวันนะเจ้”
ว่าแล้วลำไยก็วิ่งจู้ดออกไป
“นังลำไย ไอ้ขิง เลิกงานแล้วแกล้างจานแทนนังลำไยด้วย”
“อ้าว ไมอ่ะเจ้”
โสภีพูดจบก็เดินเข้าร้านไปไม่รอให้ขิงกับกระดังงาทักท้วง ขิงกับกระดังงาเซ็งที่งานเข้าอีกแล้ว
วันต่อมา ไผ่พญากำลังชงกาแฟอยู่ในห้องครัว ระหว่างนั้นภูวนัยเดินเข้ามา ทั้งสองพอเห็นกันก็ชะงักก่อนจะหันไปทำสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ ไผ่พญาที่ได้ยินเรื่องราวในอดีตของภูวนัยก็รู้สึกเห็นใจภูวนัยขึ้นมาจึงพยายามจะพูดดีด้วย
“เอ่อ เอากาแฟมั้ย เดี๋ยวฉันชงให้”
“ไม่เป็นไร ผมทานแล้ว”
“แต่ฉันชงอร่อยนะ ลองมั้ย”
“อย่าเลย ผมไม่อยากมีปัญหากับแฟนคุณ”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็งง
“แฟน”
“คุณรู้จักผู้ชายที่ชื่อขิงมั้ย”
ไผ่พญาเย็นวาบทันที แต่ก็รีบเก็บอาการแล้วส่ายหน้าปฏิเสธอย่างแข็งขัน
“ไม่รู้จัก ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน ทำไมเหรอ”
“มื่อวานผู้ชายที่ชื่อขิงโทรมาหลังจากที่คุณขึ้นห้องนอนไปแล้ว คุณไม่ได้แอบลงมาโทรศัพท์หาแฟนคุณใช่มั้ย”
ไผ่พญาสะดุ้งเฮือกแต่ก็รีบยืนกรานคำเดิม
“เปล่านี่ ก็บอกแล้วไงว่าเมื่อคืนฉันลงมาเดินเล่น”
“ก็ไหนบอกว่าลงมากินน้ำ”
“เอ่อ อ๋อ ก็ฉันเดินเล่นเสร็จมันก็เลยหิวน้ำไง โอ๊ย...ฉันไม่รู้จักคนที่นายว่ามาหรอก” แล้วไผ่พญาก็ทำเป็นปวดท้อง “อูย กินกาแฟทีไรเป็นอย่างนี้ทุกที เดี๋ยวฉันไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”
ไผ่พญารีบชิ่งออกไปให้เร็วที่สุด ระหว่างนั้นผจญที่สะพายเป้เสื้อผ้าเดินเข้ามาในห้องครัว
“สวัสดีครับครู”
“จ้ะ เอ่อ นี่เธอจะไปจริงๆ เหรอ”
ผจญก้มหน้าเศร้าลง ไม่พูดอะไร ก่อนที่ผจญจะเดินเข้าไปหาภูวนัย ภูวนัยชำเลืองตามองไผ่พญาประมาณว่าให้ออกไป ไผ่พญาทำหน้าเป็นแล้วเดินออกไป ผจญเข้ามาแล้วยกมือไหว้ภูวนัย
“ผมมาลาครับคุณภู”
“อืม เดินทางดีๆ แล้วกัน”
ภูวนัยพูดเสร็จแล้วเดินผ่านผจญไป ผจญที่ยืนนิ่งอยู่ก็ตัดสินใจพูดขึ้น
“ก่อนไป ผมขออะไรคุณภูอย่างนึงได้มั้ยครับ” ภูวนัยหันกลับมา
“ว่ามาซิ”
“คุณภูอย่าลงโทษคุณหมอกเลยนะครับ เรื่องนี้เป็นความผิดของผมคนเดียว”
ภูวนัยมองหน้าผจญ รู้สึกชื่นชมอยู่ในใจแต่เขาก็จำเป็นที่ต้องทำอย่างนี้ ไผ่พญาแอบยืนฟังอยู่ด้านนอก รู้สึกว่าเธอต้องทำอะไรซักอย่าง
ผจญเดินมาตามทางอย่างเศร้าซึม ก่อนจะหันกลับไปมองที่ตัวบ้านแล้วไล่สายตามองขึ้นไปบนห้องของม่านหมอก
“ขอให้คุณหมอกมีความสุขนะครับ”
ระหว่างนั้นเสียงของไผ่พญาดังขึ้น
“เธอนี่มันพระเอกตัวจริง จริงๆ”
ผจญได้ยินเสียงก็หันมาเห็นไผ่พญายืนอยู่
“เอ่อ ครูว่าอะไรนะครับ”
“ทำอย่างนี้คิดว่าเท่เหรอ ทำไมเธอไม่บอกความจริงกับคุณภูไปละ”
ผจญนิ่งคิดตรึกตรองก่อนจะพูด
“ที่ผมพูดไปทั้งหมดเป็นความจริงครับ”
ไผ่พญาถึงกับเป่าปากไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ผจญทำ
“เธอนี่มันจริงๆ เลย แม้ว่าตัวเองจะลำบากก็ยอมเหรอ”
“ครับ ไอ้ผมมันเป็นผู้ชาย ลำบากยังไงก็ทนได้ แต่คุณหมอกเป็นผู้หญิงแกไม่เคยลำบากมาก่อน มันเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วครับ” ผจญนิ่งไปก่อนจะพูดขึ้น “ครูครับ ผมฝากดูแลคุณหมอกด้วยนะครับ”
“เดี๋ยวก่อนซิ”
ผจญยกมือไหว้ไผ่พญาก่อนจะเดินออกไป ไผ่พญารู้สึกว่าต้องทำอะไรบางอย่างแล้ว
คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 4 (ต่อ)
ม่านหมอกนั่งปาหินอยู่ริมน้ำ ระหว่างนั้นเสียงของไผ่พญาดังขึ้น
“มาอยู่นี่เอง”
ม่านหมอกหันมาก็เห็นไผ่พญาเดินเข้ามา
“มีอะไร ยังไม่ถึงเวลาที่คุณต้องสอนนี่”
“เปล่า ฉันไม่ได้มาสอน เห็นข้างในเขาเห็นเธอหายไปก็คิดว่าผจญเขาแอบพาเธอหนีอีก” ม่านหมอกชะงัก ไผ่พญาแอบสังเกตเห็นปฏิกิริยานั่น “ดีนะที่เธอเจอคุณตะวัน ไม่อย่างนั้นนายผจญคงจะพาเธอไปไหนต่อไหนแล้ว”
“นายนั่นน่ะเหรอจะทำอย่างนั้น” ม่านหมอกบ่นคนเดียว
“ฉันเห็นด้วยนะที่คุณภูไล่คนอย่างนั้นออก”
“นี่คุณจะพูดอะไรก็พูดมาเลย”
“เปล่า ฉันแค่อยากถามว่าเธอรู้มั้ยว่าที่บ้านผจญเป็นยังไง”
ม่านหมอกปาหินอีกก้อนสุดแรง
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไง หมอนั่นจะเป็นยังไงก็เรื่องของเขา”
ไผ่พญาทำท่าโล่งอก
“ฮ้า ดีจัง”
“มีอะไร”
“ก็ดีที่เธอไม่รู้ว่าผจญน่ะเขาเป็นลูกชายคนโตที่หาเลี้ยงครอบครัวตัวคนเดียว ฉันรู้มาว่าพ่อเขาก็ตาบอด ส่วนแม่เขาก็โดนควายที่บ้านนอกขวิด ไม่น่าจะอยู่ได้เกินวันสองวันนี่” ม่านหมอกได้ยินอย่างนั้นก็ชะงักไป “ฉันถามผจญว่าแล้วไม่กลับไปดูแลพ่อกับแม่เหรอ เขาก็บอกว่าเขาต้องทำงานเพื่อส่งเงินไปรักษาพวกท่าน” ไผ่พญ่าทำหน้าตาตื่น “ฉันว่านะ ผจญเขาต้องจนตรอกไม่รู้จะหาเงินยังไงก็เลยคิดจะจับตัวเธอไปเรียกค่าไถ่แน่นอน” ม่านหมอกยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึก
“ดีแล้วที่คนอย่างนั้นโดนไล่ออก เฮ้อ...กลุ้มใจแทนพ่อกับแม่เขาจริงๆ ครอบครัวก็เป็นอย่างนี้ ยังจะมาก่อเรื่องก่อราวอีก” ไผ่พญาตบไหล่ม่านหมอกเชิงให้กำลังใจ “ดีแล้วที่เธอไม่เป็นไร ไม่ต้องคิดมากเรื่องนายผจญนะ”
ไผ่พญาทำหน้าตายก่อนจะเดินออกไป ไผ่พญาแอบเหล่ปฏิกิริยาของม่านหมอก ม่านหมอกหน้าเครียดลง
ภูวนัยกำลังปล่อยหมูออกจากเล้าลงสนามหญ้า แก้วใจยืนอยู่รู้สึกเคอะเขินเกรงๆ
“แหม คุณภูไม่ต้องลงมาทำเองก็ได้คะ เดี๋ยวแก้วให้คนงานทำก็ได้”
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวงานอย่างอื่นจะเสีย ฉันก็แค่มาทำหน้าที่แทนผจญเท่านั้นเอง เดี๋ยวไปเรียกคนงานมาช่วยกันทำความสะอาดตรงนี้หน่อย”
“คะ” ระหว่างนั้นแก้วใจหันไปเห็นม่านหมอกเดินเข้ามา “อุ้ย คุณหมอก”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็หันมาเห็นม่านหมอกเดินเข้ามา
“มีอะไร”
“ฉันเป็นคนแอบขึ้นรถกระบะไปเอง”
ไผ่พญาแอบมายืนมองสังเกตการณ์ ภูวนัยยังตั้งหลักไม่ทัน
“เรื่องเมื่อวานน่ะเหรอ”
“หมอนั่นไม่รู้เรื่องอะไร”
“แล้วเรามาบอกอาทำไม”
ม่านหมอกทำหน้าไม่ถูกเหมือนกัน
“เอ่อ อาจะได้รู้ไงว่าฉันพร้อมที่จะหนีเสมอ ถ้าฉันจะหนีก็ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นมาช่วย”
“ก็ดี อาก็นึกว่าหมอกจะบอกไม่ให้อาไล่ผจญออก เพราะเขาเพิ่งออกไปเมื่อเช้า” ม่านหมอกอึ้ง
“อาก็รู้ว่าเขาไม่เกี่ยว”
“ไม่รู้ ก็ไม่เห็นมีใครบอกอานี่”
“อาก็ไปตามเขากลับมาซิ”
ภูวนัยถอดหมวกก่อนจะเดินเข้ามาหาม่านหมอก
“เรื่องนี้มันเกิดเพราะเรา เราก็ต้องหาทางแก้ไขเอง”
“ถ้าอย่างนั้น ฉันจะไปตามผจญกลับมา”
ภูวนัยทำท่าจะเดินไป
“ก็แล้วแต่ เพราะในเมื่อเขาไม่ได้ทำผิด อาก็ไม่มีสิทธิที่จะไล่เขาออก”
ระหว่างนั้นไผ่พญารีบวิ่งเข้ามา
“มาเดี๋ยวฉันขับรถให้เอง”
ภูวนัยกับม่านหมอกมองไผ่พญาที่ยิ้มร่าด้วยความสงสัย
ไผ่พญาขับรถมากับม่านหมอกมาตามถนนที่มุ่งหน้าสู่ถนนใหญ่ ไผ่พญาขับรถก่อนจะหันไปมองม่านหมอกที่นั่งอยู่ข้างๆ แล้วอมยิ้ม
“ฉันคิดแล้วว่าเธอไม่ได้มีจิตใจเลวร้ายอะไร”
“ทำไม ฉันไม่ได้สงสารหรือเห็นใจนายผจญซะหน่อย ฉันทำฉันก็กล้ารับก็เท่านั้นเอง”
ไผ่พญาอมยิ้มสัมผัสได้ถึงความสัมพันธ์ที่ค่อยๆ ดีขึ้น ระหว่างนั้นไผ่พญามองไปเห็นผจญที่กำลังเดินอยู่ ผจญมองตามรถที่ขับเลยก่อนจะจอด ผจญมองด้วยความสงสัย ไผ่พญาบอกกับม่านหมอก
“โชคดี”
“อะไร ไม่ลงไปด้วยกันเหรอ”
“ไม่ละ ฉันเกลียดแดด”
ไผ่พญาอมยิ้มให้อีกครั้ง ม่านหมอกทำหน้าเซ็งก่อนจะเปิดประตูลงไป ผจญแปลกใจเมื่อเห็นม่านหมอกเดินลงมาจากรถ
“คุณหมอก”
ม่านหมอกเดินเข้ามาหาผจญหน้านิ่ง
“จะไปไหน”
“เอ่อ กลับบ้านมั้งครับ”
“ใครอนุญาต”
“หืม”
“กลับไปทำงานเดี๋ยวนี้”
“แต่ แต่คุณภูไล่ผมออกแล้ว”
“ฉันเป็นคนทำผิด แล้วเขาจะไล่นายออกได้ยังไง”
ผจญได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ ม่านหมอกเกลียดรอยยิ้มนั่น
“ยิ้มอะไร ที่ฉันทำอย่างนี้เพราะสงสารพ่อแม่นายหรอกนะ”
“พ่อแม่ผม เอ่อ...พ่อผมตายไปนานแล้วครับ”
“พ่อนายไม่ได้ตาบอดหรอกเหรอ” ผจญส่ายหน้า “แล้วแม่นายที่โดนควายขวิดละ”
“แม่ผมก็สบายดี พี่ชายผมแกดูแลท่านอยู่”
ม่านหมอกกุมขมับที่โดนไผ่พญาหลอกซะแล้ว ไผ่พญาแอบมองด้วยความลุ้นอยู่ในรถ ระหว่างนั้นเสียงแตรรถอีกคันดังลั่นถนน ไผ่พญาหันขวับกลับไปก็เห็นพรรณรายลงจากรถหรู
“นี่ เป็นเจ้าของถนนหรือไง”
“ยัยนั่นนี่ โวยวายเป็นเอกลักษณ์จริงๆ”
ไผ่พญาค่อยๆ หักรถหลบเข้าไปข้างทาง
พรรณรายกำลังจะขึ้นรถแต่แล้วเธอก็เหลือบไปเห็นม่านหมอกกับผจญเดินเข้ามา
“อ้าว นั่นหมอกนี่ มาทำอะไรแถวนี้จ้ะ” พรรณรายมองไปเห็นผจญ “อย่าบอกนะว่ามาตามผู้ชาย”
“ถ้าจะพูดอย่างนั้นก็ใช่แหละคะ เพราะผจญเขาเป็นผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิง แต่คงไม่ใช่การตามจิกตามจีบผู้ชายอย่างที่คุณทำหรอกคะ”
“นี่”
ระหว่างนั้นไผ่พญาเดินเข้ามา
“ไปกันเถอะหมอก”
พรรณรายหันมาเห็นไผ่พญา
“อ้าว เธอนั่นเอง” พรรณรายมองไผ่พญาตั้งแต่หัวจรดเท้า “ได้ข่าวว่าเธอเป็นครูเหรอ”
“ใช่คะ”
“สอนอะไร”
“เอ่อ ก็สอนทุกอย่างแหละคะ ทำไมคะ”
“เปล๊า เธอจะสอนเด็กพวกนี้ก็สอนไป แต่อย่ามายุ่งกับภูของฉัน เข้าใจมั้ย”
ไผ่พญาชักเริ่มหมั่นไส้บ้างแล้ว
“เรื่องนั้นฉันรู้ดี แล้วฉันก็ไม่มีความคิดที่จะทำอะไรนอกเหนือหน้าที่ฉันอยู่แล้ว”
“ดี” พรรณรายหันไปทางม่านหมอก “ส่วนเธอ หัดพูดกับฉันให้มันดีหน่อย เพราะอีกไม่นาน ฉันต้องเป็นแม่บุญธรรมของเธอ ถ้าขืนเธอยังก้าวร้าวกับฉันอย่างนี้ ระวังจะไม่มีที่ซุกหัวนอน”
ม่านหมอกกำลังจะอ้าปากเถียง แต่ไผ่พญาทนไม่ได้เลยเถียงแทน
“พูดแบบนี้มันไม่เกินไปหน่อยเหรอคุณ”
ม่านหมอกเห็นไผ่พญาออกรับแทนก็แปลกใจ
“เธออย่ายุ่ง อย่าคิดว่าเป็นครูที่ภูเขาให้ท้ายแล้วจะสาระแนได้ทุกเรื่อง”
“คุณเองก็อย่าคิดว่า สถานะการเป็นแฟนเก่าของคุณภูจะด่าหรือจะไล่ใครออกจากบ้านก็ได้เหมือนกัน”
“เธอคิดว่าฉันทำไม่ได้เหรอ ฉันจะพิสูจน์ให้ดูด้วยการไล่เธอออกเป็นคนแรกก็ยังได้” ไผ่พญายิ้มไม่กลัว
“ก็ลองดูซิคะ ตอนนี้คุณภูเขาอยู่บ้าน รีบไปได้เลยแล้วอย่าลืมให้เขาไล่ฉันออกทันทีเลยนะ”
“แก นังนี่...แกท้าฉันใช่มั้ย ได้...เดี๋ยวก็รู้ว่าภูเขาจะเชื่อใคร”
พรรณรายขึ้นรถก่อนจะขับออกไปทันที ไผ่พญามองตามก่อนจะเพิ่งรู้สึกตัวว่าไม่น่าหาเรื่องใส่ตัวเลย
พรรณรายเดินเข้ามาในบ้านภูวนัยแล้วร้องเรียก
“ภู ภูขา” พรรณรายเดินหาไปมา “หายไปไหนกันหมดเนี่ย...ภู”
พรรณรายตวาดเสี่ยงดัง ม่านเมฆเดินออกมา
“โอ๊ย หนวกหูจริงๆ อ้าว น้ามาหาใคร”
“ฉันจะมาหาใคร ก็มาหาพ่อเธอซิ”
“ถ้าอย่างนั้นน้าคงต้องตายก่อน เพราะพ่อผมอยู่บนสวรรค์”
“นี่...กวนประสาทฉันใช่มั้ย” พรรณรายกระชากคอม่านเมฆ “บอกมา ภูอยู่ไหน”
เสียงของไผ่พญาดังขึ้น
“ทำอะไรน่ะ” ไผ่พญารีบวิ่งเข้ามาแยกพรรณรายออกจากม่านเมฆ “จะรังแกเด็กเหรอ”
ม่านหมอกเดินมาสมทบกับไผ่พญา พรรณรายยิ้มเยาะ
“อ๋อ นี่จะรุมเหรอ เอาซิ”
ระหว่างนั้นเสียงของภูวนัยดังขึ้น
“หยุดนะพรรณ” ภูวนัยเดินเข้ามา “มีเรื่องอะไรกัน”
“ภูขา ภูต้องจัดการให้พั้นซ์นะคะ เดี๋ยวนี้คนรอบข้างภูชักจะเอาใหญ่แล้ว ทำอะไรไม่เห็นหัวพั้นซ์ซักนิดโดยเฉพาะยัยครูคนนี้” ภูวนัยหันมองไผ่พญาที่ไม่ค่อยอยากจะสบตาเท่าไหร่ “ภูจ้างครูมาจากไหนคะ ทำไมถึงไม่มีมารยาทหรือความเกรงใจกันบ้าง ทำตัวคับวางก้ามคับที่นี่”
“เดี๋ยวก่อนพรรณ มีเรื่องอะไรก็พูดกันดีๆ ก็ได้”
“ก็เมื่อกี้ซิคะ ยัยครูนี่ดูถูกพั้นซ์”
“ใครกันแน่ คุณต่างหากที่เป็นฝ่ายด่าครูไผ่กับพวกเราก่อน” ม่านหมอกบอก
“ใช่ครับ เมื่อกี้เมฆยังจะโดนต่อยเลย ดีที่ครูไผ่มาช่วยไว้ทัน”
“โกหก เป็นเด็กเล็กหัดโกหกได้ยังไง” พรรณรายเห็นภูวนัยจ้องมาที่เธอ ที่ว่าลูกๆ เขา พรรณรายจึงรีบเปลี่ยนท่าที “แต่อย่างว่าแหละคะ เรื่องอย่างนี้มันอยู่ที่การอบรม การสั่งสอน ถ้าได้ครูไม่ดีก็จะเป็นอย่างนี้แหละคะ”
“แล้วพรรณจะให้ผมทำยังไง”
“ไล่มันออกซิคะ ไล่เลยคะ”
“ด้วยความผิดอะไร”
“ก็เรื่องที่มันดูถูกพั้นซ์ไงคะ”
ภูวนัยหันมองไปที่ไผ่พญาที่เตรียมใจไว้แล้ว
“ไม่ได้” ภูวนัยบอกไผ่พญาอึ้งไป “ผมคงไล่ใครออกด้วยเรื่องไร้สาระแบบนี้ไม่ได้”
ม่านเมฆได้ยินอย่างนั้นก็ร้องออกมาด้วยความดีใจ เยสสส! พรรณรายอึ้ง หน้าแตก แต่ยังไม่ลดละ
“แต่ว่า...”
“พอได้แล้ว พรรณ...ถ้าไม่มีอะไรแล้วพรรณกลับไปก่อนนะ วันนี้ผมงานเยอะมาก”
ภูวนัยเดินออกไปโดยไม่รอฟังคำตอบจากพรรณราย พรรณรายหน้าจ๋อย
“ก็ได้คะ”
พรรณรายเดินผ่านไผ่พญาก่อนจะมองตาร้ายหมายแค้นให้แล้วเดินจากไป ไผ่พญามองหน้าภูวนัยรู้สึกแปลกใจที่ภูวนัยเข้าข้างเธอ ภูวนัยหันมา ไผ่พญารีบหลบตาทันที
“แล้วเรื่องผจญว่าไง”
“ไม่มีปัญหา หมอกกับผจญปรับความเข้าใจกันเรียบร้อยแล้ว”
ม่านหมอกร้อนตัว
“ใครบอกว่าฉันกับหมอนั่น”
ไผ่พญากลัวว่าภูวนัยจะรู้ว่าเธอโกหกอีกเลยรีบพูดขึ้น
“แหม ดีจังเลยที่วันนี้ไม่มีใครถูกไล่ออกจากบ้าน”
ภูวนัยพยักหน้าก่อนจะเดินหน้านิ่งตามแบบฉบับออกไป ม่านหมอกหันมาโวยกับไผ่พญา
“ฉันยังไม่เอาเรื่องที่คุณโกหกฉัน”
“โกหก โกหกอะไร”
“ก็เรื่องพ่อกับแม่ของผจญไง มันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณพูดเลย”
“เอ้า ฉันแค่ไม่อยากให้เธอรู้สึกผิดที่ทำให้คนคนนึงถูกไล่ออกโดยไม่ได้ทำอะไรผิดไง”
“เอาเถอะ ถือว่าหักลบกับความดีที่คุณเพิ่งไล่ยัยหน้าลิงนั่นไปแล้วกัน”
ม่านหมอกพูดจบก็เดินออกไป ไผ่พญาเป่าปากโล่งอกที่ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี
ที่โรงพยาบาล ปลายฟ้าเดินมากับคนไข้และญาติของคนไข้
“ทำตามที่หมอบอกนะคะ อย่าลืมกินยาแล้วเดี๋ยวเดือนหน้าเจอกัน”
ปลายฟ้าโบกมือบ๊ายบายให้กับคนไข้พร้อมยิ้มที่สดใจ ปลายฟ้ามองตามก่อนจะหันหลังเดินเข้าโรงพยาบาล
ระหว่างนั้นเสียงของชาติกล้าดังขึ้น
“ฟ้า”
ปลายฟ้าหันมาก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นชาติกล้ายืนอยู่
ชาติกล้าเดินมากับปลายฟ้า
“ก็ผมติดข้าวเย็นฟ้าอยู่ไง”
“จริงด้วย ไปกินที่ไหนดีน้า เตรียมเงินมาพอหรือเปล่าอ่ะ”
“เมื่อกี้ผมเอาบ้านเข้าแบ๊งก์แล้ว คิดว่าคงพอ”
ปลายฟ้ามองชาติกล้าอย่างหมั่นไส้
“ให้มันจริง ฟ้าว่าเราซื้อไปนั่งกินที่ฟาร์มภูมั้ย”
ชาติกล้าได้ยินชื่อภูวนัยก็ชะงักไป
“ผมติดมื้อเย็นฟ้านะ ไม่ใช่ไอ้ภู วันนี้ผมอยากกินข้าวกับฟ้า...สองคน”
ปลายฟ้าอมยิ้ม รู้ว่าชาติกล้าต้องการบอกอะไร ระหว่างนั้นเสียงของภูวนัยดังขึ้น
“ชาติ”
ปลายฟ้ากับชาติกล้าหันไปก็เห็นภูวนัยยืนอยู่ สงครามรักสามเส้ากำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่นาน
ฟากภูวนัยเดินเข้ามาหาชาติกล้ากับปลายฟ้า ปลายฟ้าเห็นภูวนัยก็ดีใจรีบเข้ามาหา
“ภู...มาได้ไงเนี่ย เหมือนรู้นะ ว่าฟ้ากำลังคิดถึงอยู่พอดี”
ชาติกล้าได้ยินที่ปลายฟ้าพูดอย่างนั้นก็แอบรู้สึกหน้าชา
“ภูมาเอายาน่ะ พ่อแกลืมไว้ไหนไม่รู้”
“ถ้าไม่ลืมก็ไม่ใช่อัลไซเมอร์ซิ”
ภูวนัยอมยิ้มก่อนจะหันไปทางชาติกล้า
“แกมาได้ไงเนี่ย”
ชาติกล้าไม่อยากจะบอกว่าตั้งใจมาหาปลายฟ้า
“ฉันบอกแกไม่ได้วะ มันเป็นความลับทางราชการ”
ภูวนัยชะงักไป คิดว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับยาเสพติด
“ความลับอะไรเล่า...ไม่มีอะไรหรอก ชาติเขาติดเลี้ยงข้าวฉันน่ะ ภูมาก็ดีแล้วไปด้วยกันนะไปกันสามคนเนี่ยแหละ”
ชาติกล้าชะงักไปเพราะปลายฟ้าดันชวนภูวนัย
“ไม่อ่ะ ฉันไม่อยากไปเป็น กขค”
“เดี๋ยวเหอะภูเนี่ย ชอบพูดเล่นอยู่เรื่อย เนอะชาติ เราไม่ได้กินข้าวกันสามคนนานแล้ว”
ชาติกล้ายิ้มรับแบบไม่เต็มใจ
“อืม ไปซิภู”
ภูวนัยครุ่นคิดก่อนจะรับคำ
“ก็ได้”
ปลายฟ้าดีใจมากที่ภูวนัยรับปาก
“งั้น เราไปเอายากันมั้ย” ภูวนัยพยักหน้า ปลายฟ้าจึงหันไปบอกชาติกล้า “รอแป๊ปนึงนะชาติ”
ปลายฟ้ากับภูวนัยเดินออกไป ชาติกล้ามองตามอย่างขมใจ
ภูวนัย ชาติกล้าและปลายฟ้าเดินเข้ามาในร้านอาหาร
“ร้านนี้อีกแล้วเหรอ”
“เอ้า ก็อยากรำลึกความหลังก็ต้องมาร้านเดิมซิ”
ชาติกล้าเดินมาถึงโต๊ะก่อนก็เลื่อนเก้าอี้ให้ปลายฟ้า
“นั่งซิฟ้า”
“ขอบคุณคะพ่อสุภาพบุรุษ” ภูวนัยนั่งลงฝั่งตรงข้าม ปลายฟ้าจะนั่งแต่สายตาเหลือบไปเห็นว่าเก้าอี้ไม่สมประกอบ “อ้าว เก้าอี้มันพังนี่”
“อืม งั้นเดี๋ยวชาติเปลี่ยนให้”
“ไม่เป็นไรชาติ เดี๋ยวฟ้าไปนั่งกับภูก็ได้” ปลายฟ้าเดินไปนั่งข้างภูวนัย ชาติกล้าเจ็บใจลึกๆ ที่ทุกอย่างไม่เป็นใจ ระหว่างนั้นบริกรเดินเข้ามาวางเมนูให้ “กินอะไรกันดี”
“อืม ต้มยำกุ้งแล้วกัน”
“เอ่อ เปลี่ยนเป็นปลาได้มั้ยชาติ”
“ทำไมละฟ้า ก็ฟ้าชอบทานกุ้งไม่ใช่เหรอ”
“แต่ภูเขาแพ้กุ้งนี่ จำไม่ได้เหรอ”
ชาติกล้าจุกอีกเพราะตั้งใจจะสั่งอาหารเอาใจปลายฟ้า
“จริงซิ งั้นเปลี่ยนเป็น...”
“ไม่ต้องหรอก ฉันกินอะไรก็ได้สั่งมาเถอะ”
“ได้ไง เดี๋ยวก็ปากบวมลิ้นแข็งเหมือนตอนเด็กๆ หรอก” ปลายฟ้าหันไปพูดกับบริกร “ต้มยำเมื่อกี้เปลี่ยนเป็นปลา แล้วก็เอาปลาทอดสมุนไพร ไข่เจียวปู หลนปูม้า ข้าวโถนึง”
บริกรรับออร์เดอร์เสร็จก่อนจะเดินออกไป
“โห สั่งเหมือนเดิมทุกอย่าง เป้ะ” ภูวนัยบอก ปลายฟ้ายิ้มภูมิใจ
“ไงละ เดี๋ยวฟ้ามานะ”
ปลายฟ้าลุกขึ้น ชาติกล้ารีบถาม
“ไปไหนเหรอ”
“แต่งสวยหน่อย อยู่ท่ามกลางหนุ่มหล่อสองคนก็ต้องสวยหน่อย”
“ไม่ต้องแต่งหรอก ยังไงชาติมันก็ไม่เปลี่ยนใจแล้ว”
ภวนัยบอก ปลายฟ้าตบเผียะ! ไปที่ต้นแขนภูวนัย
“เดี๋ยวเถอะ ฝากจองที่ด้วย อย่าให้ผู้หญิงคนไหนมานั่งละ”
ภูวนัยอมยิ้ม ปลายฟ้าเดินออกไป
ปลายฟ้าเดินเข้ามาในห้องน้ำ ก่อนจะเปิดก๊อกน้ำล้างมือ ปลายฟ้าเงยหน้ามองตัวเองในกระจกแล้วเสียงของภูวนัยก็ดังก้องมา
“ไม่ต้องแต่งหรอก ยังไงชาติมันก็ไม่เปลี่ยนใจแล้ว”
ปลายฟ้ายิ้มเศร้ากับตัวเอง
“นายก็คงไม่เปลี่ยนใจเหมือนกันใช่มั้ย”
ปลายฟ้าเศร้าเพราะรู้ว่าภูวนัยยังไม่ยอมลืมเหมือนฝัน
ภูวนัยหันมาเห็นชาติกล้าหน้าเครียด จึงเดินมาหาที่โต๊ะ
“มีอะไร คดีของคุณนายหยาดฟ้าเหรอ”
“ภู แกอย่าถามเลย แกก็รู้ว่าฉันพูดอะไรไม่ได้”
ภูวนัยพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง
“ยังไงแกก็พยายามหน่อยแล้วกัน”
ชาติกล้าพยายามข่มอารมณ์ คิดว่าภูวนัยออกคำสั่งเรื่องงาน
“หมายความว่าไง”
“ก็เรื่องฟ้าไง แกสองคนเหมาะสมที่สุดแล้ว”
“อย่าพูดเรื่องนี้เลย”
“เอาน่า เดี๋ยวฉันช่วยเอง”
ชาติกล้าเหลืออดจึงโพล่งขึ้น
“แกอยากให้ฉันสมเพชตัวเองหรือไง แกก็รู้ว่าฟ้าเขาชอบใคร”
“ชาติ” ชาติกล้าลุกขึ้น
“ฉันมีงานด่วน”
ชาติกล้าลุกเดินออกไป ภูวนัยรีบเข้ามาขวางจะปรับความเข้าใจ
“เฮ้ย! เป็นไรวะ”
ชาติกล้ามองหน้าภูวนัยก่อนจะพูดเป็นนัย
“แกก็รู้ว่าฉันไม่ชอบกินปลา”
ชาติกล้าพูดจบแล้วเดินออกไป ภูวนัยไม่อยากจะทัดทาน ไม่นานปลายฟ้าก็เดินเข้ามาแล้วเธอก็สงสัยเมื่อไม่เห็นชาติกล้า
“ชาติละภู”
“เอ่อ มีงานด่วนน่ะ”
“เอ้า อะไรเนี่ย”
ปลายฟ้างง ภูวนัยนิ่งไว้ไม่อยากจะพูดว่าเรื่องอะไร
ชาติกล้าเข้ามานั่งในรถด้วยความหงุดหงิด ชาติกล้าหันมองกลับเข้าไปในร้านก่อนจะหันกลับมาแล้วหยิบบางอย่างออกมาจากเสื้อแจ๊คเก็ต ชาติกล้าค่อยๆ เปิดกล่องกำมะหยีออกจึงเห็นแหวนวงนึง
พายัพเดินเข้ามาในบ้าน ลูกน้องคนนึงรีบเดินเข้ามาพร้อมรายงาน
“มีคนมารอพบพี่อยู่ที่ห้องครับ”
“ใคร”
“คุณอนันต์ ทนายของคุณนายหยาดฟ้าครับ” พายัพขมวดคิ้ว
อนันต์ยื่นซองเอกสารให้กับพายัพ
“พินัยกรรมของเสี่ยสมสุขครับ”
พายัพเหล่มองพินัยกรรมแล้วยิ้มขำ
“แล้วคุณเอามาให้ผมทำไม ผมไม่ใช่ญาติพี่น้องของเสี่ยเขาซะหน่อย”
“เสี่ยแกเขียนพินัยกรรมฉบับนี้เอาไว้ให้คุณนายน่ะครับ แต่ตอนนี้คุณนายก็ตายไปแล้วผมก็เลยคิดว่าถ้าคุณพายัพอยากเป็นผู้จัดการมรดก บางทีผมอาจจะช่วยจัดการให้ได้”
พายัพหยิบพินัยกรรมออกมาเปิดดู ก่อนจะโยนลงบนโต๊ะ
“แค่นี้เนี่ยนะ”
“คุณพายัพบอกว่า “แค่นี้” เหรอครับ นี่มันเกือบร้อยล้านเลยนะครับ”
“เงินแค่ร้อยล้าน ผมหาแค่ชั่วโมงสองชั่วโมงก็ได้แล้ว คุณเอากลับไปเถอะ”
พายัพลุกขึ้นจะเดินออกไป เสียงของอนันต์ดังขึ้น
“แต่ผมว่าคุณพายัพจะต้องสนใจเจ้าสิ่งนี้แน่นอน”
พายัพหันมา จึงเห็นอนันต์หยิบกล่องเหล็กมาวางไว้บนโต๊ะก่อนจะเปิดออกให้พายัพดู พายัพมองไปก็เห็นแฟลชไดรฟ์วางอยู่ในกล่อง
“ข้อมูลที่เสี่ยแกสั่งให้คุณนายหยาดฟ้านำไปตำรวจถ้าแกตายครับ”
พายัพรีบพุ่งเข้ามาแล้วหยิบขึ้นมาดูทันที พายัพพยายามซ่อนความรู้สึกดีใจที่ได้เห็นมันเอาไว้
“คุณดูหรือยังว่าข้อมูลที่อยู่ในนี้คืออะไร”
“แหม ผมเองก็ฉลาดพอที่จะไม่หาเหาใส่หัวครับ” สายตาพายัพเหี้ยมขึ้นมาทันที “แต่ผมรู้ว่ามันจะต้องเป็นข้อมูลสำคัญแน่ๆ ไม่อย่างนั้น เสี่ยแกคงไม่ระบุไว้ในพินัยกรรมให้คุณนายแกเอาไปให้ตำรวจหรอกครับ”
พายัพนิ่งคิดก่อนจะถามอีกเพื่อความรอบคอบ
“แล้วคุณรู้มั้ยว่าเสี่ยแกก๊อบปี้ข้อมูลเอาไว้กี่ชุด”
“เท่าที่รู้ ไม่มีนะครับ” อนันต์นึก แล้วนึกได้ “นึกออกแล้ว คุณพายัพลองดูในพินัยกรรมข้อสุดท้ายซิครับ”
พายัพหยิบพินัยกรรมมาเปิดดูตามที่อนันต์บอก
“ให้เอาพระสมเด็จที่แกแขวนอยู่ให้กับตำรวจเหรอ”
“นั่นซิครับ ผมน่ะว่าข้อนี้มันแปลกๆ ถ้าเป็นรถสปอร์ตที่จอดเรียงรายอยู่ที่บ้านแกละว่าไปอย่าง ผมว่าบางทีเสี่ยแกอาจจะก๊อบปี้ข้อมูล แล้วซ่อนเอาไว้ให้พระสมเด็จที่แกใส่ติดตัวตลอดเวลาก็ได้นะครับ”
พายัพเห็นสมสุขใส่พระสมเด็จติดตัวเอาไว้ตลอดเวลา พายัพมั่นใจว่ามันจะต้องเป็นอย่างที่อนันต์ว่า
“เท่าที่ผมทำงานกับเสี่ยแกมา แกเป็นคนที่ระวังตัวมาก มันอาจจะเป็นอย่างที่คุณทนายว่าก็ได้ เอาละคุณกลับไปได้แล้ว”
อนันต์ได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มกรุ่มกริ่ม
“แหม ผมว่าไอ้ข้อมูลที่คุณพายัพได้ไปก็น่าจะสำคัญอยู่ แล้วคุณพายัพไม่มีอะไรเล็กๆ น้อยๆ ให้ผมติดไม้ติดมือกลับบ้านบ้างเหรอครับ” พายัพปรายตามองอนันต์ อนันต์ชะงักเสียวสันหลังวูบก่อนจะรีบกลับคำ “เอ่อ คิดว่าผมไม่ได้พูดก็ได้ครับ ให้มันเหมือนเสียงเห่าเสียงหอนของลูกหมาตัวเล็กๆ แล้วกัน พูดถึงหมาคุณพายัพไม่อยากจะเลี้ยงหมาเหรอครับ”
พายัพยิ้มก่อนจะลุกขึ้น แล้วเดินไปด้านหลังอนันต์
“ทำไมฉันต้องเลี้ยง”
“ก็ พอเสี่ยแกตายไป ผมก็เหมือนหมาไร้เจ้าของ ถ้าคุณพายัพจะเอ็นดูชุบเลี้ยงผมไว้ รับรองว่าผมมีประโยชน์กับคุณพายัพแน่นอน”
พายัพเอื้อมมือไปตบไหล่อนันต์อย่างสนิทสนม อนันต์ยิ้มกริ่มดีใจ
“ผมลืมบอกไป ว่าผมเกลียดหมา”
อนันต์ถึงกับหุบยิ้มไม่ทัน หันมามองพายัพ พายัพยิ้มให้ก่อนจะคว้าหมอนอิงที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมาแล้วกดไปที่หน้าของอนันต์ อนันต์ดิ้นทุรนทุรายก่อนจะนิ่งสงบลง พายัพทิ้งหมอนมองดูร่างไร้ลมหายใจของอนันต์อย่างเลือดเย็น
“จัดการเหมือนเดิม แล้วก็หาด้วยว่าตอนนี้ไอ้ผู้หญิงที่อยู่กับเสี่ยคืนนั้นอยู่ที่ไหน”
พายัพสั่งลูกน้อง หรี่ตาร้าย หน้าตาโหดเหี้ยม
ติดตาม "คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ" ตอนที่ 5