แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่ 6
พิแสงนึกเอ็นดูเขมมิกโดยไม่รู้ตัวแล้วตัดสินใจลงมือเช็ดหน้าให้เขมมิกอย่างแผ่วเบา เสียงท้องของเขมมิกร้องลั่นจนพิแสงสะดุ้ง
“เฮ้ย...ท้องร้อง....สงสัยไม่ได้กินข้าวเย็น หิวจนเป็นลม ไม่ถึกจริงนี่นา”
พิแสงอมยิ้มขำๆ แล้วลงมือเช็ดตามแขน และมือของเขมมิกต่ออย่างแผ่วเบา วาสิณีเดินยิ้มเข้ามาเห็นพิแสงเช็ดตัวให้เขมมิกแล้วทั้งอึ้งทั้งโกรธ
ชมพู่เหมือนจะบอกความจริงกับเนตรนิภา แต่แล้วก็รีบวิ่งออกไป
“ชมพู่!”
เนตรนิภาวิ่งตามชมพู่ออกไป
พิแสงยังคงเช็ดตัวให้เขมมิกโดยไม่เห็นว่าวาสินียืนมองอยู่อย่างไม่พอใจ ชมพู่หนีเนตรนิภาเข้ามา ชมพู่กับเนตรนิภาเห็นวาสินีแล้วทั้งสองก็มองไปที่พิแสงกับเขมมิกที่กำลังใกล้ชิดกัน เนตรนิภากับชมพู่คิดตรงกันว่าต้องกำจัดวาสินี
วาสินีกำลังจะไปขวางพิแสงและเขมมิก จังหวะเดียวกันนั่นเองเนตรนิภาและชมพู่ก็เข้าไปตะครุบตัววาสินีคนหนึ่งรวบตัว คนหนึ่งปิดปาก วาสินีตกใจแล้วก็พยายามขัดขืนแต่สู้ไม่ได้ ทั้งเนตรนิภาและชมพู่ช่วยกันลากวาสินีหายออกไป
พิแสงยังคงเช็ดตัวเขมมิกต่อโดยไม่รู้เรื่องรู้ราว เพราะเนตรนิภาและชมพู่ปฏิบัติอย่างเงียบมาก พิแสงมองหน้าเขมมิกนิ่งนานแล้วก็เริ่มคุ้น เขาพยายามมองหน้าเขมมิกอย่างพินิจพิเคราะห์และมองใกล้เข้าไปมากขึ้นเพื่อสังเกตโครงหน้าของเขมมิกอย่างละเอียด เขมมิกยังนอนนิ่ง พิแสงอึ้ง
“เหมือน.....ไม่หรอก...เป็นไปไม่ได้”
พิแสงหันไปมองสังเกตเขมิกอีกครั้ง
เนตรนิภาและชมพู่ลากวาสินีออกมาให้แน่ใจว่าพ้นระยะแล้ว วาสินีดิ้นสุดพลังจนหลุดมาจากเนตรนิภาและชมพู่ได้
“โอ๊ย!!! ทำอะไรของพวกเธอ!!” วาสิณีโวย
เนตรนิภากับชมพู่มองหน้ากันแล้วรีบสร้างเรื่องทันที
“อ้าว...คุณน้ำหวานเองเหรอคะ ฉันคิดว่าโจร เห็นด้อมๆมองๆมีพิรุธ” เนตรนิภาบอก
“เกือบเอาไม้ฟาดหัวแล้วมั้ยล่ะ ดีนะคะเนี่ย ที่ไม่ใช่” ชมพู่เสริม
“โจรบ้านแกน่ะสิ!”
“โจรบ้านฉัน แต่งตัวแบบนี้แหละ โจรยั่วสวาทไง” เนตรนิภาบอก
“ยั่วสวาทไม่พอ ยังยั่วโมโหด้วยค่ะ” ชมพู่เสริม
“เธอสองคน คิดจะทำอะไร!”
เนตรนิภากับชมพู่พูดพร้อมกัน “จับโจรค่ะ!”
“คุณน้ำหวานล่ะคะ แต่งตัวแบบนี้เข้ามาในบ้านคุณพิแสง คิดจะทำอะไร”
“ฉันก็มา” วาสิณีอึ้ง
“จับนายหัว?” ชมพู่พูด
วาสินีอึ้ง
“จริงหรือเปล่าคะ ถ้าจริง...บอกได้คำเดียวว่ากล้ามาก”
วาสินีมองเนตรนิภาและชมพู่อย่างเจ็บใจ
เนตรนิภาและชมพู่เข้ามาขวางทางเข้าพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย วาสินีเดินออกไปอย่างเจ็บใจ เนตรนิภาและชมพู่หัวเราะกันอย่างพอใจแล้วหันมาแปะมือกัน
“ใจตรงกันเป๊ะเลยนะเรา ไม่อยากให้ยัยแอ๊ปเข้าไปเป็น ก.ข.ค.สองคนนั่นฮ่ะๆๆ”
“นั่นดิ่คะ เข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย ฮ่ะๆๆๆ”
“นั่นดิ่ ทำไมอ่ะ ฮ่ะๆ”
ชมพู่นึกขึ้นได้ว่าพลาดจึงรีบหลบแล้ววิ่งไปทางหลังบ้านทันที
“ชมพู่!” เนตรนิภาวิ่งตามไป
พิแสงยังจ้องหน้าเขมมิกอยู่ ทันใดนั้นหน้าของปุ๊กลุ้กอ้วนกลมที่กำลังหลับตาพริ้มในท่าเดียวกันกับเขมมิกก็ลอยมาซ้อนทับ
พิแสงสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ “เฮ้ย!!”
เขมมิกยังคงนอนไม่รู้สึกตัว พิแสงมองเขมมิกอีกครั้ง เขมมิกยังนอนหลับ พิแสงรีบลุกหนีไปทันที เพราะไม่อยากเห็นภาพซ้ำ
วาสินีเดินเข้ามาในบ้านพักด้วยความหงุดหงิด อนงค์ที่กำลังดูทีวีอยู่เห็นเข้าก็แปลกใจ
“น้ำหวาน ทำไมมันเร็วจังล่ะ”
“ไม่เร็วได้ยังไง หนูยังไม่ทันทำอะไรเลย หนูเห็นนายหัวกำลังดูแลยัยเขมมิก กำลังจะเข้าไป ก็ถูกยัยเพื่อนตัวดีของนังเขมมิก กับนังชมพู่มันมาขัดจังหวะ”
“สองคนนั่นน่ะเหรอ”
“ใช่!”
“นังชมพู่ ฉันพอเข้าใจได้ แต่เพื่อนของมัน...ทำแบบนี้ทำไม”
“เหมือนพวกมันอยากให้นายหัวกับยัยเขมมิก...อะไรๆกัน!”
“อะไรๆ ของแกมันคืออะไร”
“ก็อะไรๆเหมือนที่แม่อยากให้หนูอะไรๆกับนายหัวนั่นแหละ”
“ว้าย!”
“แม่จะตกใจทำไม!!”
“เพราะมันทั้งร้ายและแรงกว่าที่คิดน่ะสิ มันก็มีคู่หมั้นอยู่แล้ว คิดจะจับปลาสองมือหรือไง”
“โอ๊ย! จะไปรู้เหรอ”
“ชัวร์!”
วาสินีร้องทันที “กรี๊ด!!”
“แกจะร้องทำไม!”
“ก็หนูอิจฉามันนี่ มันนะ นอนนิ่งหลับตาพริ้ม แล้วนายหัวก็เช็ดตัวให้มันอ่ะ นายหัวเช็ดตัวให้มัน!”
วาสินีเต้นเร่าๆ จนอนงค์เหวอ
“ใจเย็นๆ ไม่ต้องกลัวนะ นายหัวเอ็นดูแกกว่าใคร ถ้านังนั่นมันคิดจะจับนายหัว ยังไงก็ไม่มีทางชนะ แม่จะช่วยลูก แม่จะช่วย ใจเย็นๆ”
วาสินีเต็มไปด้วยความรุ่มร้อนในใจ
พิแสงเปิดประตูห้องเข้ามาแล้วปิดประตูอย่างแรงด้วยความรู้สึกงุ่นง่าน พิแสงหยิบมือถือขึ้นมา กดโทรหาหลอดแล้วรอสาย
“หลอด...จับไอ้ทีเด็ดกลับคอกตัวเองเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย...โอเค”
พิแสงกดวางสายแล้วนั่งที่โต๊ะทำงานเปิดคอมพิวเตอร์ รูปของพิแสงสมัยที่เรียนอยู่เมืองนอกตั้งอยู่บนโต๊ะ พิแสงไม่มีสมาธิจะดูคอมพิวเตอร์ เขาผละจากเครื่องคอมพิวเตอร์แล้วหันไปเห็นปุ๊กลุ้กนอนหลับอยู่บนที่นอนของตัวเอง แววตาของพิแสงอ่อนโยนลง
“ปุ๊กลุ้ก....”
ภาพในอดีตย้อนกลับมา เขมมิกที่ยังอ้วนปุ๊กลุ้กกำลังเดินยิ้มหัวอยู่กับเนตรนิภา โลกทั้งโลกรอบตัวของเธอช่างสดใส พิแสงในมาดเซอร์กำลังนั่งพิงต้นไม้อ่านหนังสืออยู่ พิแสงเงยหน้าขึ้นมาเห็นเขมมิกแล้วก็รู้สึกตกหลุมรักความสดใสของเขมมิกจึงจ้องมองไม่วางตา
เขมมิกมองผ่านมาเห็นพิแสงกำลังมองมา พิแสงรีบก้มลงทำเป็นอ่านหนังสือเหมือนไม่สนใจเขมมิก พิแสงเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็เห็นเขมมิกกำลังเดินคุยกับเนตรนิภาด้วยความร่าเริงสดใส
พิแสงควงแฟนฝรั่งเข้ามาในงานเลี้ยงที่ฮัมบูรก์ เขมมิกยืนอยู่คนเดียวกับแก้วเครื่องดื่ม พิแสงดีใจแต่แล้วก็อึ้งเมื่อเห็นเขมมิกอาการไม่สู้ดียืนเซตลอด เพื่อนผู้ชายคนไทยมาทักพิแสง
“ไง เสือ...มาช้าว่ะ มัวแต่พาแฟนไปเที่ยวล่ะสิ”
พิแสงตอบส่งๆ เพราะมัวแต่สนใจเขมมิก “เออ...”
“หาเครื่องดื่มเอานะ คืนนี้ปาร์ตี้ยาว”
“ขอบใจ”
เพื่อนผละไป พิแสงเห็นเขมมิกพยายามลุกขึ้นแต่ก็เซไปชนคนข้างๆ ที่พากันหลบ ไม่มีใครสนใจจะช่วยเขมมิก เขมมิกเดินตุปัดตุเป๋พยายามหาที่เกาะ พิแสงเป็นห่วงเขมมิก
“Hey….I’m thirsty.” แฟนฝรั่งบอกพิแสง
“Me too. Soda please. Thank you darling.”
พูดจบพิแสงก็หอมแก้มแฟนฝรั่งแล้วรีบผละไปทำเป็นทักเพื่อนผู้ชายคนอื่นๆ แฟนฝรั่งมองตามพิแสงอย่างงอนๆ แล้วก็เดินออกไป พิแสงเห็นแฟนฝรั่งเดินออกไปหาเครื่องดื่มแล้วจึงรีบเดินไปหาเขมมิกทันที
เขมมิกยืนยักแย่ยักยันอยู่คนเดียว เดี๋ยวยืนได้เดี๋ยวลื่นเหมือนเกาะไม่อยู่ เธอยิ้มแหยสู้คนข้างๆ และพยายามทำตัวปกติ พิแสงเดินเข้ามา
“น้อง....ไหวมั้ยเนี่ย” พิแสงถาม
เขมมิกเงยหน้าขึ้นเห็นพิแสงก็ตกใจ ตื่นเต้น และเขินอาย “พี่เสือ!!”
“รู้จักชื่อผมด้วยเหรอ”
“ใครๆก็รู้ค่ะ”
“มาคนเดียวเหรอ”
“มากับเพื่อน...แต่เพื่อนไม่อยู่..” เขมมิกเขิน เธอลื่นจนร่วงแล้วทำหัวเราะกลบเกลื่อน “ฮ่ะๆๆๆ”
พิแสงเข้าไปพยุงเขมมิกเอาไว้จนตัวเองแทบเซ “ไปพักก่อนมั้ย”
เขมมิกอึ้งและไม่พอใจจึงรีบผละออก “พี่คะ...ถึงหนูจะไม่สวย แต่หนูก็ไม่โง่...พี่ต้องการอะไร”
“ต้องการอะไร หมายความว่าไง”
“พนันกับเพื่อนไว้ใช่มั้ย ว่าจะจีบหนูให้ติด จากนั้นพี่ก็จะชิ่ง หนูรู้ทัน” เขมมิกพูด
“ทำไมคิดอย่างนี้”
“เพราะไม่มีทางที่คนอย่างพี่จะมาสนใจคนอย่างหนู เห็นป่ะ” เขมมิกมองไปรอบๆ “ปกติ ไม่มีใครคิดจะคุยกับหนูสักคน เพราะฉะนั้น...พี่ไม่ปกติ”
“อย่ามองคนในแง่ร้ายไปซะหมดสิ เรา..เอ่อ..ชื่ออะไร”
“น่านไง!!! เริ่มจากหลอกถามชื่อ หนูไม่บอกหร้อก...”
“ฟังผมนะน้องปุ๊กลุ้ก”
“พี่เรียกหนูปุ๊กลุ้กเนี่ยนะ!”
“ผมมาดี อยากจะช่วยพาไปพัก เพราะคุณไม่ไหวแล้ว”
“ไหว!!” แล้วเขมมิกก็ร่วงลงไป
พิแสงรับเอาไว้ได้แต่ก็หนักมาก “ปุ๊กลุ้ก!!”
พิแสงพาเขมมิกที่เมาไม่รู้เรื่องลงมานอนที่เตียง เขมมิกพาเอาพิแสงลงไปนอนทับด้วย
“เฮ้ย!!”
เขมมิกรีบผลักออก “ออกไป!”
เขมมิกออกแรงผลักพิแสงจนพิแสงกระเด็นตกเตียง
“โอ๊ย!!”
เขมมิกเด้งตัวขึ้นมาจะโวยวายแต่แล้วก็สลบกลางอากาศ
“คร่อกก”
“อ้าว....”
พิแสงยกแขนเขมมิกขึ้นจนเห็นท้องแขนของเธอย้อย พิแสงขำแล้วก็ปล่อยแขนเขมมิกตกทำให้รู้ว่าเธอหมดสติไปแล้วจริงๆ พิแสงมองเขมมิกตั้งแต่หัวจรดเท้าก็เห็นความล่ำและหนาของเธอชัดเจน
พิแสงตัดสินใจนอนข้างๆเขมมิกพลางเหลือบมองเป็นระยะๆ เขมมิกนอนกรน พิแสงสะดุ้งเฮือก
ปุ๊กลุ้กนอนหลับอยู่บนที่นอนตัวเอง พิแสงนั่งมองปุ๊กลุ้กอยู่ด้วยความมั่นใจมาก
“ไม่มีทางเป็นไปได้! น้องปุ๊กลุ้กใสซื่อ บ้องแบ๊ว ไม่มั่นใจในตัวเอง แต่ยัยเขมมิก...จอมวางแผนเจ้ามารยาเนี่ย คนละเรื่องเลย”
เขมมิกนอนหลับอยู่บนโซฟา เนตรนิภาพยายามปลุก แต่เขมมิกก็ไม่ตื่น
“หลับเป็นตายเลยนะแก...”
เนตรนิภาตัดสินใจเดินออกไป เขมมิกยังนอนหลับ เนตรนิภาเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับผ้าห่มมาห่มให้เขมมิก
“นอนนี่ก็แล้วกัน”
เนตรนิภาห่มผ้าให้เขมมิกเสร็จแล้วก็เดินออกไป เขมมิกนอนขยับตัวทำให้ผ้าห่มเลื่อนหลุด มือของพิแสงเอื้อมเข้ามาขยับผ้าห่มนั้นให้เขมมิกอย่างเบามือ
“ฉันทำในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน อย่าคิดว่าฉันจะญาติดีด้วย”
เขมมิกนอนหลับไม่รู้เรื่อง ภาพเขมมิกอ้วนปุ๊กลุ้กลอยมาซ้อนหน้าเขมมิกอีกครั้งจนพิแสงหลอน พิแสงรีบเดินเข้าไปข้างในในขณะที่เขมมิกยังนอนหลับไม่รู้เรื่อง
เขมมิกค่อยรู้สึกตัวตื่นขึ้นแล้วมองไปรอบๆ พบว่าไม่ใช่ห้องนอนเธอก็ดีดตัวขึ้นมาทันที
“มานอนอยู่ตรงนี้ได้ไง”
เขมมิกประมวลเหตุการณ์ เธอนึกถึงตอนที่กลัวงูแล้วเป็นลม
“ฉันเป็นลม....โอ๊ย!!! ทำไมอ่อนแองี้ เขม” เขมมิกนึกขึ้นได้ “ทีเด็ด!”
เขมมิกลุกขึ้นจะเดินออกไป พิแสงเดินเข้ามาในชุดที่กำลังจะไปทำงาน
“ทีเด็ดมันกำลังหลับอย่างมีความสุขในคอกของมัน จะไปกวนทำไม”
เขมมิกชะงักแล้วหันมาอย่างอึ้งๆ จ๋อยๆ “เอ่อ...ทีเด็ดกลับเข้าคอกได้ไง”
“เพราะคนที่รักมันและใส่ใจมันอย่างแท้จริงเป็นคนพากลับเข้าไป”
เขมมิกอึ้งและหน้าเสีย
“ฉันขอโทษ...ฉันแค่เผลอแป๊บเดียว มันก็...”
“เอาสติไปอยู่ที่ไหน”
เขมมิกตอบไม่ถูก
“ประมาท! เธอผ่านการทำงานเป็นแอร์โฮสเตสมาได้ยังไง เสียชื่อสถาบันจริงๆ”
“นี่ อย่าเหมารวมเด่ะ จะด่าก็ด่าฉันคนเดียว สถาบันนางฟ้าฉันไม่เกี่ยว”
“เป็นนางฟ้าก็เป็นไม่ได้ มาเป็นคนเลี้ยงหมูก็ท่าทางจะเหลว ทำอะไรให้ดีได้สักอย่างมั้ย อ้อ ลืมไป...สิ่งเดียวที่เธอทำได้ดีคือทำลายชีวิตคู่ของคนอื่นสินะ กลับไปรับจ็อบงี่เง่าเหมือนเดิมเถอะไป”
เขมมิกอึ้งเพราะเจ็บใจที่ถูกดูถูก
“คุณดูถูกฉัน”
“ใช่!”
เขมมิกจ้องพิแสงอย่างไม่พอใจ พิแสงยิ้มเยาะแล้วเดินออกไป เขมมิกไม่พอใจมาก
เนตรนิภากำลังนอนหลับอย่างมีความสุข เขมมิกเปิดประตูเข้ามาแล้วปิดดังโครมจนเนตรนิภาสะดุ้งตื่นเพราะตกใจ
“เขม! เกิดอะไรขึ้น!”
เขมมิกไม่พูดไม่จา เธอเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วรื้อเสื้อผ้าออกมากองด้วยความโมโห พร้อมหยิบกระเป๋าเดินทาง
“เฮ้ยๆ! เขม เดี๋ยวก่อน แกจะไปไหน”
“กลับบ้าน!!”
เนตรนิภาตกใจ เขมมิกยังคงก้มหน้าก้มตาเก็บเสื้อผ้าต่อไป
ขนิษฐาใส่บาตรเสร็จเรียบร้อย พยาบาลเป็นผู้ช่วยถือของอยู่ข้างๆ พระและเด็กวัดเดินออกไป ขนิษฐารู้สึกสบายใจ
“เดี๋ยวหนูไปซื้อกับข้าวให้นะคะ ของในตู้เย็นหมดแล้ว” พยาบาลบอก
“สั่งร้านตามสั่งเอาก็ได้”
“กับข้าวของคุณป้าต้องดูแลเป็นพิเศษค่ะ คุณเขมมิกสั่งเอาไว้”
“ทำแต่ของจืดๆ กินไม่ค่อยลง”
“เพื่อสุขภาพคุณป้า ฝืนๆหน่อยนะคะ”
“ก็ได้...นี่...ป้าฝากซื้ออะไรอร่อยๆมาให้เปี่ยมพงษ์ต่างหากด้วยนะ เขากินไม่เหมือนป้า”
“ค่ะ....”
พยาบาลเดินออกไป ขนิษฐาเดินกลับเข้าบ้าน
เขมมิกยังคงเก็บเสื้อผ้า
“เขม! ทำไมจู่ๆแกก็จะกลับบ้าน เกิดอะไรขึ้น” เนตรนิภาถาม
“ฉันจะไม่ทนให้นายนั่นดูถูกฉันอีกต่อไปแล้ว ! ไม่รู้ไปขุดเอาคำจากนรกมาด่าฉันได้ยังไงสารพัด”
เนตรนิภาเข้ามาปลอบใจเขมมิก
“ฉันไม่รู้หรอกว่าเขาด่าอะไรแกบ้าง”
“เป็นนางฟ้าก็เป็นไม่ได้ มาเป็นคนเลี้ยงหมูก็ท่าทางจะเหลว ทำอะไรให้ดีได้สักอย่างมั้ย อ้อ ลืมไป...สิ่งเดียวที่ฉันทำได้ดีคือทำลายชีวิตคู่ของคนอื่น กลับไปรับจ็อบงี่เง่าเหมือนเดิมเถอะไป!”
“โอ๊ว กลับบ้านเหอะ”
เขมมิกกลับลำ “ไม่!”
เขมมิกลุกขึ้นเก็บเสื้อผ้าเข้าตู้เหมือนเดิม
“คำพูดเน่าๆของผู้ชายปากเน่าคนหนึ่ง ไม่ทำให้ฉันสั่นคลอนได้หรอก ฉันจะสู้! ด้วยคอนเซ็ปท์...สาวถึก ขยันสู้ฟัด!”
เขมมิกเอาเสื้อผ้ากลับใส่ตู้ใหม่ เนตรนิภามองเขมมิกยิ้มๆ ด้วยความโล่งอกที่เพื่อนเปลี่ยนใจ
“เขม...ฉันมีเรื่องจะบอกแก”
“เรื่องอะไร”
“ชมพู่”
เขมมิกแปลกใจ
ขนิษฐาเปิดประตูเข้ามาเห็นเปี่ยมพงษ์กำลังก้มๆเงยค้นลิ้นชักอยู่
“ทำอะไรน่ะ” ขนิษฐาถา"
เปี่ยมพงษ์ชะงักแต่ก็หาต่อ “กระเป๋าเงินแกไง”
“จะเอาเงินแล้วทำไมไม่บอก ฉันหยิบให้ก็ได้”
ขนิษฐาเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า
เปี่ยมพงษ์ไม่พอใจจึงหันมาตีรวน “นี่เปลี่ยนที่เก็บกระเป๋าเงินตั้งแต่เมื่อไหร่”
ขนิษฐาหน้าเสียแล้วหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมา “เอ่อ คือ”
“หรือว่าไม่อยากให้ฉันรู้ หา!!”
“เปล่านะ ฉันแค่...”
“แค่อะไร! ไม่ไว้ใจฉันแล้วใช่มั้ย!”
“เปล่าจ๊ะเปล่า” ขนิษฐารีบหยิบเงินให้ “จะเอาเงินก็เอาไปนะ อ่ะ”
“เอามาทั้งหมด!”
“ทั้งหมดไม่ได้ ฉันต้องใช้ ฉันต้อง...”
เปี่ยมพงษ์แย่งกระเป๋าเงิน “เอามานี่!”
ขนิษฐาแย่งกลับ “อย่าเอาไปหมดเลยนะ”
เปี่ยมพงษ์ตบขนิษฐาจนกระเด็น “พูดไม่รู้เรื่อง!”
“โอ๊ย!”
ขนิษฐาเซล้ม
เปี่ยมพงษ์หยิบเงินในกระเป๋าของขนิษฐามาทั้งหมดแล้วเขวี้ยงกระเป๋าทิ้งก่อนจะเดินออกไป
ขนิษฐารีบเดินตามไป “อย่าเอาไปหมดนะ เอาคืนมา!”
เปี่ยมพงษ์เดินออกมา ขนิษฐาเดินตามมาแย่งเงินในมือ ทั้งสองยื้อยุดกัน
“ขอร้องล่ะ อย่าเอาเงินไปหมด!”
“เซ้าซี้ พูดไม่รู้เรื่องหรือไง อยากโดนใช่มั้ย ได้!”
เปี่ยมพงษ์เงื้อมือจะฟาดหน้าขนิษฐา มือของธรรมศักดิ์เข้ามาคว้ามือของเปี่ยมพงษ์เอาไว้ได้
เปี่ยมพงษ์ โมโห “ใครวะ!”
ธรรมศักดิ์ยืนมองเปี่ยมพงษ์อย่างไม่พอใจ
“คืนเงินคืนคุณขนิษฐาไปเถอะครับ”
“ผัวต้องใช้เงิน เมียก็ต้องให้ แกคนนอก อย่าเสือก!”
“พฤติกรรมแบบนี้ ไม่ใช่พฤติกรรมของสามีครับ แต่เรียกว่าแมงดา”
เปี่ยมพงษ์โมโห “แก!!”
เปี่ยมพงษ์จะต่อยธรรมศักดิ์ ขนิษฐาตกใจรีบเข้าไปขวางเอาไว้
“อย่า เปี่ยมพงษ์อย่า!”
“ปกป้องมันเหรอ...อ้อ...หรือว่า...ไอ้นี่มีอะไรกับแก แกถึงได้ทำตัวแปลกๆ กับฉันแบบนี้ ใช่มั้ย นังฐา!”
“ขอประทานโทษนะครับ คุณขนิษฐา”
พูดจบธรรมศักดิ์ก็ต่อยเปี่ยมพงศ์จนล้มคว่ำ ขนิษฐาอ้าปากค้าง เปี่ยมพงษ์เองก็คาดไม่ถึง ธรรมศักดิ์เจ็บมือแต่พยายามเก็บอาการ
“ผมป้องกันตัวและปกป้องศักดิ์ศรีของคุณขนิษฐา.... ผมจะให้การกับตำรวจตามนี้ ตอนที่ไปแจ้งความที่ส.น.”
เปี่ยมพงษ์ฉุน “ไอ้!!”
“ถ้าไม่อยากให้เรื่องนี้ถึงหูตำรวจหรือคุณเขมมิก กรุณาคืนเงิน!”
เปี่ยมพงษ์ไม่กล้ามีเรื่องจึงรีบวางเงินคืนให้ขนิษฐาแล้วเดินออกไปอย่างไม่พอใจ ธรรมศักดิ์โล่งใจ แล้วก็หันมาเห็นขนิษฐานั่งน้ำตาซึมอย่างทดท้อ
ชมพู่ที่กำลังเตรียมอาหารเช้ามองไปรอบๆอย่างหวาดระแวง เขมมิกและเนตรนิภาโผล่มาข้างๆชมพู่พร้อมกัน
เขมมิกกับเนตรนิภาเรียกพร้อมกัน “ชมพู่!!”
ชมพู่ตกใจ “ว้าย!”
ชมพู่วางอุปกรณ์ในมือแล้วตัดสินใจหันมาเผชิญหน้าเขมมิกและเนตรนิภา
“อะไรคะ จะอะไรกับชมพู่!”
“เธอจับตาดูฉันอยู่ใช่มั้ย” เขมมิกถาม
“ไม่ใช่” ชมพู่รีบบอก
“เธอมีแผนคิดจะทำอะไรอยู่ใช่มั้ย”
“ไม่ใช่”
เขมมิกชูมือถือของชมพู่ขึ้นมา “นี่คือมือถือของเธอใช่มั้ย”
“ไม่ใช่”
“งั้นก็ของใครไม่รู้ เปิดได้ไม่ต้องเกรงใจ”
“เฮ้ย ของชมพู่!! ไปเอามาตอนไหนเนี่ย!!” ชมพู่ตกใจ
“ตอนไหนไม่สำคัญ เท่าที่ฉันเห็นว่าเบอร์สุดท้ายที่เธอโทรหาคือคุณแสงสุดา”
“แล้วก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่ฉันจับเธอได้เมื่อคืน บอกมาว่าคุยเรื่องเขมกับคุณแสงสุดาทำไม” เนตรนิภาคาดคั้น
“เธอเป็นสายสืบให้คุณแสงสุดา คอยรายงานความเคลื่อนไหวของฉันใช่มั้ย”
ชมพู่จ๋อย แต่ยังปฏิเสธ “ไม่ใช่ค่ะ”
“ถ้างั้น คุณพิแสงคงอยากจะไต่สวนเรื่องนี้ ฉันจะไปบอกคุณพิแสงเรื่องเธอ”
ชมพู่กลัว “ว้าก!!! อย่านะคะ!”
“งั้นก็บอกมาเร็วๆ! อย่าให้ฉันเล่นแรง!”
ชมพู่ยอมบอก “ชมพู่เป็นสปายให้คุณแสงสุดา คอยรายงานภารกิจของคุณเขมมิกทุกความเคลื่อนไหว เกาะติด กระชับ ฉับไว วันต่อวัน”
เขมมิกกับเนตรนิภาอึ้งไปกับสโลแกนของชมพู่
แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่ 6 (ต่อ)
แสงสุดาแอบเดินออกมาจะต่อมือถือหาชมพู่ เมื่อเห็นว่าปลอดคน แสงสุดารีบกดเบอร์ จนครบสิบตัว แต่ยังไม่ทันได้กดโทรออก พิสุทธิ์ก็เดินมาอยู่ข้างหลัง
“คุณมาแอบโทรหาใคร”
“พี่ยะ...” แสงสุดาหันไปเห็นพิสุทธิ์ก็ตกใจ “คุณพิสุทธิ์!”
“ใช่...ผมพิสุทธิ์ สามีที่อยู่กินกับคุณมาจนจะสามสิบปีอย่างซื่อสัตย์และจงรักภักดี คำน้อยก็ไม่เคยพูดให้คุณเสียใจ”
“เคย”
“แต่ก็ไม่เท่ากับที่คุณทำให้ผมเสียใจเหมือนในตอนนี้”
แสงสุดาอ่อนลง “คุณพิสุทธิ์....ฉันขอยืนยันนะ ว่าฉันไม่ได้ทำตัวอย่างที่คุณเข้าใจ”
“ถ้าคุณบริสุทธิ์ใจ บอกผมว่าคุณโทรหาใคร”
“ชมพู่” แสงสุดาบอก
แสงสุดายื่นมือถือให้พิสุทธิ์ดู
“ไม่เชื่อก็ลองโทรไปสิคะ”
พิสุทธิ์มองอย่างลังเล
ชมพู่อยู่ท่ามกลางวงล้อมของเขมมิกและเนตรนิภา เธอสารภาพหมดเปลือก
“และชมพู่ก็มีหน้าที่คอยช่วยเหลือให้คุณเขมมิกปฏิบัติภารกิจได้อย่างสะดวกและราบรื่น”
“มิน่าล่ะ....” เขมมิกว่า
“ก็พวกเดียวกันแท้ๆ จะปิดบังกันทำไม” เนตรนิภาบอก
“เป็นคำสั่งของคุณแสงสุดาค่ะ ชมพู่ก็ไม่รู้ว่าจะปิดทำไม”
“จะอะไรล่ะ ก็ให้เธอจับผิดฉัน ว่าฉันจะทำงานได้คุ้มค่าจ้างเค้าหรือเปล่าไง”
“ต๊าย!!! ร้ายนะคะ” ชมพู่บอก
“เอาไงต่อล่ะเขม”
“ชมพู่!” เขมมิกเรียก
“คะ?”
“ทำเนียนต่อไปว่าฉันไม่รู้เรื่องเธอ แต่...ห้ามรายงานความผิดพลาดของฉันให้คุณแสงสุดารู้”
“จะดีเหรอคะ”
“หรืออยากให้นายหัวของเธอรู้เรื่องนี้”
“ไม่มีปัญหาค่ะ”
เขมมิกตกใจ “ว้าย!!!”
ชมพู่กับเนตรนิภาตกใจตาม “ว้าย!!”
“พูดถึงนายหัว...ก็นึกถึงทีเด็ด ว้ายๆ! ไปก่อนนะ แล้วเจอกัน”
เขมมิกรีบวิ่งออกไป เนตรนิภากับชมพู่มอบตามเขมมิกงงๆ เสียงมือถือของชมพู่ดังขึ้น ชมพู่เห็นเบอร์แสงสุดาก็ตกใจ
“น้องไบรท์โทรมาค่ะ” ชมพู่รีบรับ “ฮัลโหลค่ะ!”
พิสุทธิ์คืนมือถือให้แสงสุดา
“ชมพู่จริงๆ”
“เห็นมั้ยคะ ฉันไม่ได้โกหกคุณ” แสงสุดาออดอ้อน “แหม...หึงเป็นเด็กๆเลยนะ”
“ให้ผมอายุแปดสิบ ผมก็หึง”
“วุ้ย!! คุณเนี่ย....ทำเป็นพูดดี”
“ผมไม่ได้มีดีแค่คำพูดหรอกนะ อย่างอื่นก็ยังดี”
“วุ้ย!!! คุณเนี่ย...ทำเป็นปากดี”
“ผม...”
พิศาวิ่งผ่าเข้ามา “คุณพ่อ คุณแม่ขา!”
พิสุทธิ์และแสงสุดาแยกออกจากกันทันทีอย่างเก้อๆ
“ว่าไง ยัยน้องเล็ก”
สร้อยเพชรและสาวิกาลงนั่งคุยกับแสงสุดาและพิสุทธิ์ โดยมีพิสานั่งอยู่ด้วย
“ร้อนใจค่ะ ต้องมาขอบคุณคุณน้องและก็คุณพิสุทธิ์แบบด่วนจี๋ ที่ชวนเราสองคนแม่ลูกไปเที่ยวด้วย”
“ชวนท่านรัฐมนตรีด้วยนะครับ” พิสุทธิ์บอก
“ท่านไม่ว่างค่ะ” สร้อยเพชรบอก
“แล้วคุณพี่ว่างเหรอคะ” แสงุสดาถาม
“จริงๆคุณแม่ก็ติดงานไม่ใช่เหรอคะ” สาวิกาขัดขึ้น
“อุ๊ย!!! ไม่ติด เลื่อนได้ แม่อยากไปเที่ยวฟาร์มของคุณใหญ่มานานแล้ว เราก็อยากไปไม่ใช่เหรอวิกา”
“หนูเหรอคะ??? พูดตอนไหนคะ” สาวิกางง
“อู๊ย!! แปลว่าอยากไปมากค่ะ” สร้อยเพชรสรุป
“เหรอครับ......”
“นี่! วิกา รู้ป่ะว่าพี่ใหญ่ก็อยากเจอเธอนะ” พิศารีบบอก
“อยากเจอฉันทำไมอ่ะ คุณเพื่อน” สาวิกาถาม
“อยากเจอก็คืออยากเจอ อยากรู้ว่าทำไม ก็ไปถามพี่ใหญ่เอาเองสิ”
“ใช่จ๊ะ หนูน้องเล็กพูดถูก ใช่มั้ยคะ คุณน้อง”
“ค่ะ” แสงสุดาหัวเราะผสมโรงแต่ร้อนใจ “ฮ่ะๆ”
“คุณใหญ่รู้ตัวแล้วใช่มั้ยคะ ว่าพวกเราจะบุกไปเยี่ยม” สร้อยเพชรถาม
“เอาไว้ใกล้ๆแล้วค่อยบอกค่ะ เผื่อมีการเปลี่ยนแผน” แสงสุดาว่า
“ผมบอกเรียบร้อยแล้วจ๊ะ ไม่มีการเปลี่ยนแผน” พิสุทธิ์บอก
แสงสุดาไม่พอใจ “คุณพิสุทธิ์!”
“เซอร์ไพรส์!!! เราจะไปกันวันพรุ่งนี้” พิสุทธิ์บอก
แสงสุดาตกใจ “พรุ่งนี้!!!”
แสงสุดาร้อนใจเพราะยังไม่ได้บอกให้เขมมิกรู้ตัว
พิแสงยืนคุยกับกนธี ในขณะที่หลอดกับเสริมช่วยกันให้อาหารหมู
“ดูแลครอบครัวฉันและเพื่อนแม่ฉันให้ดีๆนะ ไอ้ธี” พิแสงบอก
“ไม่ต้องห่วง ครอบครัวของลูกค้าเปรียบเสมือนครอบครัวของฉันด้วยเช่นกัน” กนธีว่า
“แปลกดี ร้อยวันพันปีไม่ยักมากัน”
“ไม่เห็นแปลก...แม่แกก็อยากให้แกใกล้ชิดกับน้องวิกา อนาคตคู่หมั้นของแกไง”
“แต่ก็แปลกอยู่ดี เพราะปกติคุณแม่ต้องเป็นคนโทรมาจัดการ กลับเป็นคุณพ่อ”
“ก็ไม่เห็นแปลก เพราะพ่อแกบอกฉันว่า...อยากให้คู่ข้าวใหม่ปลามันมาฮันนีมูนกัน โดยไม่เสียงาน ท่านก็เลยจัดแจงให้”
“เหมือนท่านจะไม่รู้ว่าอดีตแฟนเก่าของลูกเขย มาฝึกงานอยู่ที่นี่ คงไม่ดีนักหรอกถ้ามีการเผชิญหน้ากัน”
“แล้ว...คุณเขมอยู่ไหน” กนธีถาม
“คงหนีกลับไปแล้วล่ะ ใจเสาะ อ่อนแอ หยิบโหย่งขนาดนั้น ไม่กล้ามาสู้หน้าฉันหรอก”
เสียงเขมมิกดังขึ้น “ฮัลโล่!”
พิแสงกับกนธีหันไปมอง เขมมิกยืนยิ้มเผล่
เขมมิกคุยกับพิแสงและกนธี
“ขอบคุณนะคะคุณพิแสง ที่ช่วยเตือนสติฉัน คำด่าที่รุนแรงของคุณทำให้ฉันมุ่งมั่น ขยันสู้งาน เขมมิก สู้ๆ!!”
พิแสงหมั่นไส้แกมเจ็บใจที่เขมมิกยังอยู่ “ดื้อด้านชะมัด!”
“แน่ะ ด่ากันอีกแระ...โอ้โห...แรงฮึดมาอีกเป็นกองเลยค่ะ”
“คุณเขมครับ สู้ๆนะครับ ผมเป็นกำลังใจให้ ในฐานะเพื่อนผู้ปรารถนาดี”
พูดจบกนธีก็ยิ้มให้ด้วยรอยยิ้มที่คิดว่าบริสุทธิ์ใจที่สุด
“อย่ามาแอ็บค่ะ เพราะฉันไม่เชื่อหรอกว่าคุณจะคิดเป็นแค่เพื่อนฉัน” เขมมิกว่า
กนธีหน้าม้านที่ถูกจับไต๋ได้ พิแสงเผลอหลุดหัวเราะออกมา
“ขำอะไรคะ คุณพิแสง”
“ขำเพื่อนฉันไง...นี่ ไอ้ธี...ขอเตือนเป็นครั้งสุดท้ายนะ ถ้าอยากปีนต้นงิ้วนัก ไปหาผู้หญิงที่คู่ควรแก่การตกนรกกว่านี้หน่อยมั้ย”
“เฮ้ย พิแสง แรงไปเปล่าวะ” กนธีว่า
พิแสงเหลือบมองหน้าเขมมิก เขมมิกโกรธมากแต่ยิ้มสู้
“ขอบคุณนะคะคุณกนธีที่ปกป้องฉัน แต่ฉันได้ปฏิญาณกับตัวเองแล้วว่า ฉันจะไม่หวั่นไหวต่อคำพูดที่แสนร้ายกาจขอคุณพิแสง ด่าได้ด่าไปค่ะ แล้วคุณพิแสงจะรู้ว่า คนอย่างเขมมิก...ไม่ธรรมดา อ่ะฮ้า”
เขมมิกเดินไปหาหลอดและเสริมแล้วก็ทักทายทีเด็ด
“ทีเด็ด ลูก!!!!! แม่มาแล้ว เมื่อคืนขอโทษนะตะเอง กินข้าวหรือยังลูก!”
พิแสงและกนธีมองเขมมิกแล้วก็ต่างรู้สึกทึ่งในความทนและด้านของเขมมิก
สร้อยเพชรเดินจะกลับ สาวิกาตามมาอย่างค้างคาใจก่อนจะตัดสินใจพูดขึ้นมา
“คุณแม่ขา หนูมีเรื่องสงสัยค่ะ”
สร้อยเพชรหันมาถาม “สงสัยอะไรจ๊ะ”
“คุณแม่คิดจะจับคู่หนูกับพี่ใหญ่จริงเหรอคะ”
“จับค่งจับคู่อะไรกัน นี่มันสมัยไหนแล้ว ไม่มีการคลุมถุงชนหรอกจ๊ะ”
“เอาความจริงสิคะ”
“แม่ก็พูดความจริงสิ แม่ไม่ได้จับคู่ลูกกับใครทั้งนั้น”
“เอาความจริงค่ะ”
“เค้าเรียกว่าสร้างโอกาส เพื่อเพิ่มความเป็นไปได้จ๊ะ”
“แต่วิกาไม่ได้คิดอะไรกับพี่ใหญ่ในทางนั้นเลยนะคะ”
“ตอนนี้ไม่คิด แต่เดี๋ยวก็คิดจ๊ะ”
“ขอไม่คิดได้มั้ยคะ”
“งั้น.. ค่อยตัดสินใจว่าจะคิดหรือไม่คิดได้มั้ย ให้โอกาสตัวเองได้ไปทำความคุ้นเคยกับพี่เค้าก่อน ตาใหญ่เป็นผู้ชายที่เพียบพร้อม ลูกอาจจะใจอ่อนก็ได้น้า”
“ขอไม่อ่อนได้มั้ยคะ”
สร้อยเพชรเสียงเขียว “ยัยวิกา!”
สาวิกายอมจึงทำหน้าจ๋อย “ก็ได้ค่ะคุณแม่”
สร้อยเพชรถอนใจเพราะกลุ้มใจกับสาวิกาที่รู้สึกว่าถูกฝืนใจเหลือเกิน
ขนิษฐานั่งมองอาหารเพื่อสุขภาพของตัวเองซึ่งมีทั้งปลานึ่ง ผักและข้าวกล้องอย่างเบื่อหน่าย ธรรมศักดิ์ยืนดูอยู่อย่างเห็นใจ
“นั่งจ้องมาเป็นชั่วโมงแล้วนะครับ” ธรรมศักดิ์ทัก
“ฉันกินไม่ลง” ขนิษฐาบอก
“คุณขนิษฐาต้องทำให้ร่างกายของตัวเองแข็งแรงที่สุดนะครับ”
“ทำไมคุณดีกับฉันนัก ถามจริง เป็นแค่โมเดลลิ่ง เอเจนซี่หางานให้เขมเท่านั้นเหรอ หรือว่า...คิดจะจีบลูกสาวฉัน เลยมาเอาใจฉัน”
ธรรมศักดิ์ที่กำลังดื่มน้ำถึงกับสำลักน้ำพรวดออกมา
“แสดงว่าฉันคิดถูก”
“ผิดครับ ผมมาดูแลคุณด้วยความจริงใจ ไม่มีอะไรเคลือบแฝง”
ขนิษฐาอึ้ง “ฉัน...ขอโทษ ที่...คิดมาก รู้อะไรมั้ย สมัยนี้น้อยคนเหลือเกินที่จะมีน้ำใจให้กันโดยไม่หวังผลประโยชน์”
“ครับ”
“ฉันกลัวลูกฉันถูกหลอก”
“มีแต่เธอล่ะครับที่จะไปหลอกคนอื่น”
“อะไรนะ”
“ผมหมายถึง คุณเขมเก่ง เอาตัวรอดได้ ไม่มีใครมาหลอกเธอได้หรอกครับ”
ขนิษฐายิ้มรับ
“ทานข้าวเถอะครับ ถ้าคุณเขมรู้ว่าคุณไม่ทานอะไรเลยแบบนี้ เธอจะไม่สบายใจ”
“ได้...ฉันจะกิน....”
ขนิษฐาตักข้าวกลืนลงคออย่างลำบากยากเย็น
“และก็...อย่าให้เขมรู้นะ ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นกับฉัน”
ธรรมศักดิ์รับคำ “ครับ”
ขนิษฐาฝืนกินข้าวต่อ ธรรมศักดิ์มองอย่างเห็นใจ
เนตรนิภาคุยโทรศัพท์มือถือกับคนที่ออฟฟิศ
“พอแลกสเก็ตกับใครได้บ้างป่ะแก..คือฉันอยากอยู่กับเขมต่ออีกสักพักอ่ะ งั้นแลกกับแกนะ โอเค แทงกิ้ว”
กนธีตั้งใจมาหาเนตรนิภา พอเจอเธอปุ๊บก็รีบแสร้างแสดงอาการเซื่องปั๊บ เนตรนิภาวางสายแล้วหันไปเห็นกนธี
“อ้าว..มาอีกแล้วเหรอ”
“ครับ”
“แล้ว...มาทำไม มาหาใคร เขม หรือคุณพิแสง หรือชมพู่”
“จะมาหาทำไม..ผมมาหาคุณนั่นแหละ”
“ฉัน! มีเรื่องอะไร”
“ทำยังไง คุณเขมถึงจะเชื่อครับ ว่าผมตัดใจจากเธอแล้วจริงๆแล้วก็อยากเป็นเพื่อนกับพวกคุณ”
“จะไปรู้เหรอ ฉันไม่ใช่เขม แล้วก็เป็นเรื่องของคุณ ฉันไม่เกี่ยว”
“คุณว่าผมเป็นคนเลวหรือเปล่า”
เนตรนิภาตอบทันที “เลว!”
“ไม่คิดก่อนเลยสักนิดเหรอ”
“ไม่!”
กนธีเดินคอตกออกไปแต่สีหน้าแอบโกรธ
“ทำไมผู้หญิงสองคนนี้หลอกยากจังวะ”
กนธีเจ็บใจและเดินออกไป เนตรนิภายิ้มเยาะอย่างสะใจแล้วก็เข้าบ้านไป
ทีเด็ดหลับอุตุ เขมมิกเฝ้าอยู่หน้าคอกด้วยความหมั่นไส้
“หืม...กินอิ่มก็นอนหลับเลยนะ ไอ้หมูอ้วนเอ๊ย”
พิแสงมายืนข้างหลังเขมมิก
“อารมณ์เสียก็อย่าลงกับหมู” พิแสงว่า
“อารมณ์เสียก็อย่ามาลงกับคน”
“ย้อนเหรอ”
“ไม่ได้ย้อนค่ะ แค่เตือนสติ”
“ว่างใช่มั้ย”
“ไม่ว่างค่ะ เฝ้าหมูอยู่”
“แต่หมูหลับ เธอก็ว่าง ฉันมีเรื่องต้องคุยกับเธอ”
เขมมิกแปลกใจ
เขมมิกตกใจ
“ให้ฉันลากลับบ้าน”
“ใช่! กลับไปสักสามสี่วัน” พิแสงบอก
“ทำไม”
“ครอบครัวฉันจะมาที่นี่ รวมทั้ง..อดีตคนรักของเธอด้วย”
เขมมิกอึ้งและตกใจ
“ฉันไม่รู้หรอกนะ ว่ามีใครรู้ว่าเธอมาทำงานที่นี่บ้าง แต่ที่รู้ๆ ฉันไม่อยากให้มีเรื่อง”
“ทำไมต้องกลัวว่าจะมีเรื่อง ฉันก็อยู่ของฉัน เค้าก็อยู่ส่วนเค้า”
“ป้องกันไว้ก่อน ดีกว่าแก้ ที่แน่ๆ ยัยน้องเล็กเอาเรื่องเธอแน่ ถ้าเห็นเธออยู่ที่นี่”
“เหรอคะ...ก็ได้ค่ะ...ฉันไม่กลับ”
เขมมิกเดินหนี พิแสงหงุดหงิดแต่เดินตาม
“เดี๋ยวก่อน เขมมิก!”
พิแสงเดินตามเขมมิกมา
“ทำไมถึงไม่กลับ” พิแสงถาม
“ก็แล้วทำไมต้องกลับ หนีโดยที่ยังไม่รู้ว่าจะมีเรื่องเกิดขึ้นหรือเปล่าแบบนี้เรียกว่าป๊อด!” เขมมิกว่า
“ว่าฉันป๊อดหรือไง”
“เออ!...ค่ะ!”
“ฉันต้องการป้องกันไว้ก่อน ดีกว่ามาตามแก้ปัญหาทีหลัง”
“ป้องกันเว่อร์ๆ นั่นแหละเรียกป๊อด”
“เขมมิก”
“ให้ฉันทำอะไรก็ได้ จะด่าโขกสับฉันยังไงฉันก็จะทน แต่อย่าให้ฉันเลือกเดินหนีความจริง...จบป่ะ!”
“เธอเลือกของเธอเองนะ ได้ ฉันจะคอยดู แต่ถ้ามันมีปัญหาขึ้นมาล่ะก็...”
เขมมิกตัดบท “มันเป็นปัญหาของคนอื่น ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นจากฉัน ถ้าจะต้องแก้ ก็ไปแก้ที่คนของคุณ ฉันไม่ใช่คนผิดแน่นอน เคลียร์นะ อย่าทำให้ทีเด็ดตื่น”
เขมมิกหันไปมองในคอก็พบว่าทีเด็ดไม่อยู่อีกแล้ว
เขมมิกตกใจ “หายไปไหนอีกแล้ว!”
“โอย!”
เขมมิกเหลือบไปเห็นทีเด็ดกำลังพยายามจะปีนคอกไปหาตัวเมียในคอกอื่น
“ปีนหาผู้หญิงอีกแล้ว ไอ้ทีเด็ด ลงมา!”
พิแสงและเขมมิกวิ่งไปหาทีเด็ดทันที
ทีเด็ดอยู่ในคอกเรียบร้อย เขมมิกลงกลอนแล้วมายืนหอบอยู่กับพิแสง
“อยู่เฉยๆเลยนะแก ยังไม่ถึงเวลา รอหน่อยไม่ได้หรือไง ดื้อด้านจริงๆ เหมือนใครวะ!”
“เหมือนเจ้าของมันนั่นแหละ” เขมมิกว่า
“เหมือนเธอต่างหาก”
พิแสงกับเขมมิกที่ต่างหอบเหนื่อยหันมาปะทะสายตากันก่อนจะยิ้มกันออกมา แต่แล้วต่างคนก็ต่างเบือนหน้าหนีเชิดใส่และวางฟอร์มกันเหมือนเดิม วาสินีที่ยืนมองมาจากมุมหนึ่งตาวาวด้วยความไม่พอใจ
วาสินีหยิบมือถือขึ้นมากดเบอร์
“คุณต่อลาภใช่มั้ยคะ ค่ะ น้ำหวานจากฟาร์มเพื่อนเกษตรค่ะ...น้ำหวานนัดนายหัวให้คุณเข้ามาพบได้แล้วนะคะ”
วาสินียิ้มเจ้าเล่ห์
พิแสงต่อว่าเขมมิก
“นี่เป็นเหตุผลว่าทำไม ช่วงนี้ฉันถึงให้เธอคอยเฝ้าไอ้หมูเจ้าชู้ตัวนี้เอาไว้ เพราะมันชอบปีนเข้าหาตัวเมียเวลาไม่มีใครอยู่”
“ก็ถูกแล้วไง เวลาจะปีนหาผู้หญิง ก็ต้องอาศัยช่วงจังหวะไม่มีใครเห็น” เขมมิกบอก
“นอกจากดื้อด้านแล้วยังซื่อบื้ออีกนะ เธอเนี่ย”
“ซื่อบื้ออะไร ฉันเข้าใจหัวอกหมูต่างหากย่ะ”
“เป็นหมูหรือไง”
“แล้วตัวเองล่ะ อยู่กับหมูทุกวัน ทำไมไม่เข้าใจหมู ไปขวางมันทำไม รู้ป่ะ ว่าบาป ระวังเหอะ กรรมตามสนอง ที่ไม่มีแฟนเพราะอย่างนี้นี่เอง ชอบไปขวางทางรักของหมู...”
“พูดไปเรื่อย ฟัง!”
เขมมิกสะดุ้งแล้วยอมหุบปาก
“เธอจะปล่อยให้หมูไปผสมพันธุ์กันเองไม่ได้
“อ้าว ไม่ให้มันได้กันเอง แล้วจะให้มันไปได้กับใคร หมูกับไก่เหรอ บ้า!!”
พิแสงฉุน “เขมมิก....”
“เงียบก็ได้ค่ะ”
“ถ้าปล่อยให้มันผสมพันธุ์กันตามธรรมชาติ อาจจะทำให้หมูตัวเมียติดเชื้อ”
“จะไปรู้เหรอ ไม่ใช่หมูนี่”
“ทีงี้ล่ะทำเป็นพูดเต็มปากเต็มคำว่าไม่ใช่หมู”
“ขอโทษแล้วกันค่ะ ฉันไม่รู้นี่”
“ไม่รู้ก็ฟังให้เยอะๆ แล้วพูดให้มันน้อยๆ จะได้ฉลาดกว่านี้ ถ้าดูแลหมูแค่ตัวเดียวไม่ได้ ก็อย่าหวังจะไปดูแลหมูทั้งฟาร์ม...ที่ไหนนะ”
“นอร์เวย์”
“ไม่ใช่เดนมาร์กเหรอ”
เขมมิกอึ้งเพราะรู้ว่าพลาดจึงรีบแก้ตัว “แน่ะ จำได้ ฉันล้อเล่น เดนมาร์กนั่นแหละ”
พิแสงเดินหงุดหงิดออกไป เขมมิกหน้าเบ้
“ไม่เคยโง่บ้างหรือไง ฮี่โธ่” เขมมิกหันไปขู่ทีเด็ด “เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ ทีเด็ด อย่านะ อย่าเปรี้ยว เดี๋ยวแม่งอนแล้วง้อยากนะจะบอกให้”
เขมมิกลงนั่งเฝ้าทีเด็ดเอาไว้แล้วเธอก็คิดถึงแม่จึงหยิบมือถือขึ้นมาเปิดเครื่องแล้วกดเบอร์
ขนิษฐานั่งมองพยาบาลที่กำลังเตรียมยาอยู่ แล้วขนิษฐาก็รีบเดินออกไปทางครัว
ขนิษฐาเดินมาหยิบขวดเหล้าที่ซ่อนเอาไว้แล้วกำลังจะเปิดฝาขวด
เสียงพยาบาลดังขึ้น “คุณป้าคะ”
ขนิษฐาตกใจ รีบซ่อนขวดเหล้า “จ๊ะ”
ยาบาลยืนอยู่ที่ประตูครัว
“โทรศัพท์จากคุณเขมค่ะ”
ขนิษฐาดีใจ “เขม”
เขมมิกคุยมือถือไป คอยเฝ้าทีเด็ดไป
“เขมสบายมากเลยแม่...มีลูกน้องด้วยนะ ตั้งหลายตัว”
เขมมิกนั่งอยู่ในคอกหมูที่มีหมูเพียบ
ขนิษฐาแปลกใจ
“ทำไมเรียกลูกน้องเป็นตัวล่ะ”
“หวายยย...เอ่อ...เขมพูดผิดจ๊ะ...คนจ๊ะไม่ใช่ตัว แถมออฟฟิศเขมก็ส้วยสวย แอร์เงี้ย เย็นฉ่ำ”
เขมมิกกระพือปกเสื้อพึ่บพั่บเพราะร้อนมาก
“เจ้านายก็แสนจะใจดี” เขมมิกทำหน้าเบ้
“ดีแล้วลูก ขยันนะ อย่าขี้เกียจ อย่าดื้อ เจ้านายจะได้เอ็นดู จะได้ทำงานกับเขานานๆ”
“โอ๊ย เขมให้เวลาเขาแค่เดือนเดียวเท่านั้นแหละ”
“เดือนเดียว?? แกหมายความว่ายังไง”
“หวาย!...เอ่อ..หมายถึงแค่เดือนเดียว เขารัก เมตตาและเอ็นดูเขมแน่ ให้ผ่านงานเลย ไม่ต้องรอสามเดือน..แหะๆๆ”
เขมมิกโล่งอกที่เอาตัวรอดได้
พิแสงนั่งมองข้าวและกับข้าวบนโต๊ะซึ่งมีจานของเขมมิกตั้งอย่ตรงข้ามด้วย วาสินีเดินเข้ามา
“นายหัวไม่ทานก่อนล่ะคะ หรือว่ารอคุณเขมมิก”
“เปล่านี่ ไม่ได้รอ” พิแสงแก้ตัว
พิแสงรีบลงมือจะกินแต่ก็วางช้อนเปลี่ยนใจไม่กิน
“เอ่อ...ช่วงบ่าย ฉันมีนัดอะไรหรือเปล่า” พิแสงถาม
“มีค่ะ กับคุณต่อลาภ”
“ฉันนัดตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เมื่อวานค่ะ นายหัวเป็นคนบอกน้ำหวานเองว่าให้นัด”
“ฉันบอกเหรอ”
“ค่ะ”
พิแสงแปลกใจเพราะตัวเองจำไม่ได้ วาสินีแอบยิ้มพอใจ
“เหรอ...สงสัยคง...ลืม...”
“จะให้ไปตามคุณเขมมิกมามั้ยคะ”
“ก็ดี...คนอะไรไม่รู้จักรักษาเวลา”
วาสินีจะเดินไป แต่พิแสงเปลี่ยนใจเรียกไว้
“เดี๋ยว! ฉันไปตามเอง ต้องให้ใครอยู่เฝ้าไอ้ทีเด็ดแทนด้วย”
แล้วพิแสงก็รีบออกไปทันที วาสินีมองตามอย่างไม่พอใจ
เขมมิกยังคงยิงคำถามคุยกับแม่
“วันนี้แม่กินข้าวได้เยอะมั้ย ปวดตรงไหนหรือเปล่า นอนหลับสนิทมั้ย แล้ว...”
ขนิษฐาตัดบท “ทีละคำถามสิเขม แม่ตอบไม่ทัน”
“เอาภาพรวมก็ได้แม่ พูดมาก เดี๋ยวแม่เหนื่อย”
ขนิษฐาซึ้งแต่พยายามเก็บไว้ “แม่...สบายดี....”
“ดีใจที่แม่สบายดี”
“เขม....แกรู้ใช่มั้ย ว่าแม่เป็นอะไร”
เขมมิกอึ้ง....
พิแสงเข้ามายืนอยู่ข้างหลังและจะเรียกเขมมิก แต่เห็นเขมมิกคุยมือถืออยู่ พิแสงเลยยืนรอ
แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่ 6 (ต่อ)
“แม่ป่วยเป็นอะไร ทำไมต้องไปหาหมอบ่อยๆ เขม...แม่ก็พอมีความรู้นะ แม่รู้ว่าถ้าแม่เป็นแค่ตับอักเสบ หมอคงไม่นัดให้แม่ไปทำคีโม” ขนิษฐาบอก
“แม่..รู้...ได้ยังไง”
“แม่เห็นในใบนัดของหมอ....แม่เป็นมะเร็ง”
เขมมิกน้ำตาซึม แต่พยายามเข้มแข็ง “แม่...มันแค่มาเล็ง ไม่ได้มายิง ชิวๆเนอะ”
พิแสงอึ้งเมื่อเห็นท่าทีพยายามทำเสียงร่าเริงทั้งๆที่น้ำตาร่วงของเขมมิกแล้วก็ทำให้พิแสงแอบสะเทือนใจ
“ยังจะมาขำใส่อีกนะ” ขนิษฐาว่า
“เราต้องไม่ร้องไห้สิแม่ ขำใส่น่ะถูกแล้ว...เราต้องไม่ทำให้มันเห็นว่าเราอ่อนแอ แล้วแม่จะเอาชนะมันได้”
พิแสงประทับใจกับทัศนคติของเขมมิก
“เขม....มันไม่มีทางหายหรอก ใครเป็นก็ต้องตายกันทุกคน”
“ต่อให้ไม่เป็นมะเร็ง คนทุกคนก็ต้องตาย แล้วแม่จะรีบตายทำไม เขมยังไม่รีบเลย”
“แกพูดอะไร แม่งง”
“เขมพูดเพื่อให้แม่ไม่ยอมแพ้ หมอบอกว่ารักษาให้หายได้ จิตใจที่เข้มแข็งคือยาขนานเอกนะแม่ แม่สัญญากับเขมนะ ว่าแม่จะเข้มแข็ง เขมยังเข้มแข็งเลย แม่ทำได้มั้ย หรือแม่จะยอมแพ้เด็ก”
ขนิษฐาหัวเราะทั้งน้ำตา ทั้งเศร้าทั้งเอ็นดูลูก “ไอ้เขมเอ้ย....”
เขมมิกเองก็หัวเราะกับแม่ทั้งน้ำตา พิแสงที่ยืนมองเขมมิกอยู่รู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ หลอดกับเสริมเดินมาเห็นพิแสงยืนอยู่จึงทักเสียงดัง
“นายหัวมาหยบอะไรตรงนี้”
พิแสงสะดุ้งตกใจ เขมมิกก็ตกใจหันมาเห็นพิแสงยืนอยู่
“คุณแอบฟังฉันคุยโทรศัพท์เหรอ” เขมมิกถาม
“เอ่อ..ฉัน..ไม่ได้ตั้ง....”
“เสียมารยาท!”
เขมมิกไม่พอใจพิแสง หลอดกับเสริมจ๋อยที่ผิดจังหวะ พิแสงถอนหายใจเซ็ง
“ฉันขอโทษ แต่ฉันไม่ได้ตั้งใจ จะเอาไงเนี่ย หา!”
“อย่ามาทำเสียงดังใส่ เพราะฉันไม่ใช่คนผิด!” เขมมิกว่า
เขมมิกไม่พอใจพิแสงมาก หลอดกับเสริมจ๋อย เขมมิกเดินหนีพิแสงไปทันที พิแสงเซ็ง เขาหันมาเห็นหลอดกับเสริม
“ฉันผิดเหรอวะ” พิแสงเอ่ยถาม
หลอดกับเสริมตอบพร้อมกัน “ครับ”
พิแสงยิ่งเซ็งหนัก
“แล้วทำไง”
“ไปง้อครับ” เสริมแนะนำ
“เฮ้ย..ไม่ใช่แฟน ทำไมต้องง้อ”
“ตามใจครับ...แต่ท่าทางโกรธมากเลยนะครับ”
“อย่าง้อเลยครับ เสียเหลี่ยม”
“ง้อก็ได้” พิแสงบอก
พิแสงเดินตามเขมมิกไป หลอดกับเสริมหัวเราะชอบใจ
ปริญญ์ถือกระเป๋าเครื่องมือมา เขมมิกเดินหนีพิแสงมาเพราะไม่พอใจจริง แต่พอเขมมิกเห็นปริญญ์สมองจอมวางแผนของเธอก็ทำงานทันที เขมมิกแกล้งใส่ดีกรีความงอนมากขึ้น
“เขมมิก เดี๋ยวก่อน เขมมิก” พิแสงตามมาเรียก
เขมมิกแกล้งปั้นปึง “ไม่!”
“ฟังฉันก่อน”
“เรื่องอื่น ฉันอาจจะฟังค่ะ แต่เรื่องแอบฟังฉันคุยเรื่องส่วนตัว ฟังไม่ขึ้น!”
“บ๊ะ!”
“บ๊ะอะไร!”
ปริญญ์เห็นพิแสงกับเขมมิกทุ่มเถียงกันจึงรีบเข้าไปซัก
“มีอะไรกันเหรอครับ คุณพิแสง คุณเขม”
“หมอขา...ทานข้าวหรือยังคะ” เขมมิกถาม
“กำลังจะไปครับ”
“งั้นไปทานด้วยกันเลยนะคะ เขมไปทานด้วย ไปค่ะ”
ปริญญ์งง “เอ่อ...”
ปริญญ์เดินไปกับเขมมิกอย่างเสียไม่ได้ เขมมิกยิ้มเยาะใส่พิแสง พิแสงไม่พอใจ ยิ่งเห็นเขมมิกควงปริญญ์ก็ยิ่งหงุดหงิดขึ้นมาอย่างอัตโนมัติ
“ดู ดูทำ กล้ามาก...ไม่รู้จักรักนวลสงวนตัว นี่! แล้วที่บอกจะไปกินข้าวที่ออฟฟิศฉันล่ะ”
เขมมิกยังควงแขนคุยกับปริญญ์โดยไม่สนใจพิแสง
พิแสงยิ่งหงุดหงิด “เออ!! ได้!! งอนได้งอนไป!!! ฉันไม่ง้อ!”
เขมมิกควงแขนปริญญ์เดินมาจนเขมมิกแน่ใจว่าพ้นจากสายตาของพิแสงแล้วจึงรีบปล่อยแขนปริญญ์
“ขอโทษนะคะหมอปิ๊น...”
“ขอโทษเรื่องอะไรครับ” ปริญญ์งง
“นั่นสิขอโทษเรื่องอะไร จริงๆต้องขอบคุณหมอปิ๊นถึงจะถูก”
“ขอบคุณเรื่องอะไรครับ”
“คือ...ขอบคุณที่ยอมให้มาทานข้าวด้วยน่ะค่ะ”
“คุณเขมก็พูดให้เกียรติผมเกินไป ผมเป็นแค่....”
ปริญญ์เหลือบไปเห็นวาสินีเดินคุยกับต่อลาภมาอย่างสนิทสนมก็ถึงกับอึ้ง
“ผู้ชายที่....ไม่น่าสนใจเลยสักนิด”
วาสินีสังเกตเห็นปริญญ์และเขมมิกแต่ก็ไม่สนใจ เธอเชิดใส่ปริญญ์ ต่อลาภสังเกตเห็นเขมมิกก็รู้สึกสนใจขึ้นมาทันที
วาสินีและต่อลาภเดินคุยกันออกไป เขมมิกเห็นใจปริญญ์แต่ทันใดนั้นก็คิดแผนอะไรบางอย่างได้
“ไปค่ะ หมอปิ๊น กองทัพต้องเดินด้วยท้อง”
เขมมิกลากปริญญ์ออกไป
ต่อลาภเดินมากับวาสินี
“ผู้หญิงคนนั้นใครครับ สวยจัง” ต่อลาภถาม
วาสินีไม่พอใจ “จะไปพบนายหัวหรือจะกลับคะ คุณต่อลาภ!”
“พบนายหัวสิครับ”
“ซึ่งคุณจะไม่มีสิทธิ์ได้พบ ถ้าไม่ได้ฉันช่วย และฉันเกลียดผู้หญิงคนนั้น คงเข้าใจนะคะ ว่าหมายความว่ายังไง”
ต่อลาภอึ้งเพราะรู้สึกว่าวาสินีไม่ธรรมดาเสียแล้ว “แหม ผมก็ล้อเล่น เห็นว่าเค้าสวย ก็เป็นแค่อาหารตา มองผ่านๆ ต่างกับคุณน้ำหวาน ที่เป็นอาหารใจ ต้องจริงจังและทุ่มเทมากกว่าเยอะ”
ต่อลาภหยอดหวานใส่วาสินี วาสินียิ้มพอใจเพราะคิดว่าคุมต่อลาภอยู่
“ไปพบนายหัวกันเถอะค่ะ”
ต่อลาภเดินตามวาสินีไปอย่างพึงพอใจที่ได้พบพิแสง
พิแสงนั่งเซ็งเพราะยังหงุดหงิดเรื่องเขมมิก กนธีเดินเข้ามานั่งเซ็งข้างๆ
“ฉันมีเรื่องสงสัย ถามหน่อยเด่ะ” กนธีเอ่ย
“ว่ามา....” พิแสงบอก
“เหตุผลอะไรที่ผู้หญิงจะไม่ชอบฉัน!!!! แกตอบฉันมาซิ!!”
“ไอ้ธี ใจเย็นๆ...เรื่องยัยเขมมิกอีกแล้วใช่มั้ย”
กนธีพยักหน้า
“ถามจริง...ทำไมถึงได้จริงจังกับยัยคนนี้มากนัก”
“เข้าใจป่ะ ยิ่งยากยิ่งอยากได้”
“โดยไม่มีความรัก?”
“จีบติดก่อนค่อยว่ากัน เดี๋ยวมันก็ตามมาเอง ไรวะ แกก็เข้าใจคอนเซ็ปต์เพลย์บอยดีนี่หว่า ทำมาเป็นถาม”
“เพราะฉันอยากให้แกเข้าใจเหมือนที่ฉันเข้าใจ ว่าปริมาณไม่สำคัญเท่ากับคุณภาพ”
กนธีอึ้ง
พิแสงพูดต่อ “สุดท้าย เราต้องการแค่ใครสักคน ที่เรารักและรักเราอย่างจริงใจ พร้อมจะแชร์ทุกอย่างกับเราไปชั่วชีวิต...แค่ใครคนเดียวเท่านั้น!”
กนธีเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่ยอมรับ “หรา?”
พิแสงเซ็ง “เก็บไปคิดแล้วกัน...เพราะฉันหวังดี อยากเห็นแกหลุดจากภาวะสุญญากาศ ชีวิตปั่นป่วน มีแต่ความฟุ้งซ่าน งานการไม่ทำ”
กนธีตัดบท “เพื่อน...ฉันรักแกว่ะ”
กนธีโผเข้ากอดพิแสง
“แต่ไม่ต้อง ขอบใจ” กนธีบอก
เนตรนิภาวิ่งหน้าตาตื่นตกใจเข้ามา
“เขมอยู่มั้ยคะ!!” เนตรนิภาเห็นพิแสงกับกนธีกำลัวโอบกอดกันก็อึ้งและเหวอไป
ขนิษฐาที่อยู่ที่บ้านพูดออกมา
“แม่ไม่รู้หรอกว่าเขมอยู่ที่ไหน”
พิทยาที่มาถามผิดหวัง
ขนิษฐาคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ซึ่งเป็นตอนที่ธรรมศักดิ์มาคุยกับเธอ
“คุณเขมกำชับกับผมให้บอกคุณขนิษฐาว่า...ถ้าหากมีใครมาถามถึงเธอ ให้ช่วยกรุณาบอกไปว่า....ไม่รู้ว่าเธอไปอยู่ที่ไหนและติดต่อเธอไม่ได้”
“ทำไมต้องทำอะไรดูลับลมคมในขนาดนี้” ขนิษฐาสงสัย
“เพราะคุณเขมต้องการลืมอดีตและเดินไปข้างหน้าครับ”
“อดีตเหรอ”
“อดีตที่คอยรั้งและซ้ำเติมให้เธอยิ่งเจ็บปวด คุณขนิษฐาคงทราบดีว่าคุณเขมหมายถึงอะไร”
ขนิษฐาอึ้ง
ที่เหตุการณ์ปัจจุบัน ขนิษฐามองพิทยาอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
“จะมาหาเขมอีกทำไม”
พิทยาอึ้ง “ผม...เป็นห่วงเขม”
“อย่าทำแบบนี้ ตัดแล้วก็ต้องตัดให้มันขาด ถ้ายังเหลือใย ไม่ใช่แค่เขมที่เจ็บปวด แต่จะมีผู้หญิงอีกคนที่ต้องเจ็บปวด...คือภรรยาของเธอ”
“อย่างน้อย ผมก็อยากเป็นเพื่อนกับเขม” พิทยาบอก
“แต่ลูกสาวฉันไม่อยาก ไม่อย่างนั้นเค้าคงติดต่อเธอมาบ้างแล้ว”
พิทยาอึ้ง “ผมทราบดีครับ ว่าผมทำผิดกับเขมไว้มาก ผมขอโทษ...ถ้าคุณแม่มีโอกาสได้คุยกับเขม ช่วยบอกเธอด้วยนะครับว่าผม...ยังคิดถึงและปรารถนาดีกับเขมเสมอ และมันจะไม่มีวันเปลี่ยน....สวัสดีครับ”
พิทยาไหว้ลาไป ขนิษฐามองตามพิทยาอย่างไม่ค่อยเข้าใจและรู้สึกเป็นห่วงเขมมิก
เนตรนิภามองพิแสงและกนธีด้วยความไม่เชื่อ
“ตกลงเป็นเพื่อนกันแต่ในนามใช่มั้ย แต่....” เนตรนิภาจะพูดต่อ
พิแสงกับกนธีรีบกระเด้งออกจากกัน “ไม่ใช่!!”
“คุณเข้าใจผิดแล้ว คุณเนตรนิภา”
“กับคุณพิแสง ฉันมั่นใจ ว่าคุณไม่ใช่แน่ แต่อีกคน...ฉันไม่มั่นใจ”
“อย่าได้เข้าใจอย่างที่กำลังเข้าใจเด็ดขาด” กนธีว่า
“รู้เหรอว่าฉันเข้าใจว่าอะไร”
พิแสงตัดบท “มาตามหาเขมมิกทำไม”
“ขออนุญาตคุยกับเขมเป็นการส่วนตัว เพราะเป็นเรื่องส่วนตัวค่ะ” เนตรนิภาบอก
พิแสงไม่พอใจ “เขมมิกไม่อยู่”
“ไปไหนคะ”
“ไปกับผู้ชาย!!” พิแสงตอบ
กนธีไม่พอใจ “เฮ้ย!!! ใครวะ!”
พิแสงเดินฉุนออกไปทันทีโดยไม่ตอบคำถามกนธี เนตรนิภาเดินมาหากนธี
“แอบเอ๊ย!” เนตรนิภาว่า
“ใครแอบ!” กนธีถามกลับ
“หึหึ...มิน่าถึงไม่ยอมตกล่องปล่องชิ้นกับใครสักคน จีบหญิงทำตัวเป็นเพลย์บอยบังหน้า..ที่แท้ก็...”
เนตรนิภารีบเดินออกไป กนธีไม่พอใจ
“ยัยเพี้ยนคิดว่าเราเป็นเกย์เหรอ!...หยามกันชัดๆ หื้ย!”
กนธีรีบเดินตามเนตรนิภาไป
เขมมิกกำลังกินข้าวกับปริญญ์พร้อมกับคุยจ้อทำให้ปริญญ์เพลิดเพลินและสบายใจที่ได้คุยกับเขมมิก
“คนเรามันต้องชัดเจนนะหมอ มัวแต่แอบ...เดี๋ยวก็อด” เขมมิกบอก
“ชัดเจน...ชัดเจนเรื่องอะไรครับ” ปริญญ์งง
“ต้องให้บอกตรงๆเลยใช่มั้ยหมอ”
“ผมเดาใจคนไม่เก่งครับ แต่ถ้าเป็นหมู..สู้ตาย”
“หมอปิ๊นชอบคุณน้ำหวาน”
ปริญญ์ตกใจจนช้อนร่วง
“ตกใจ แสดงว่าจริง” เขมมิกบอก
“ไม่จริงครับ” ปริญญ์รีบเก็บช้อนด้วยมือที่สั่น
“แล้วทำไมมือสั่น แสดงว่าโกหก”
ปริญญ์รีบจับมือไม่ให้สั่น “ไม่ได้โกหกครับ” ปริญญ์เช็ดเหงื่อที่หน้าผาก
“แล้วทำไมปาดเหงื่อ แสดงว่าตื่นเต้นเพราะพูดโกหก”
ปริญญ์ทนไม่ไหวจึงโพล่งออกมา “ครับ!!! ผมชอบ!”
ทุกคนที่อยู่ใกล้ๆหันมองปริญญ์เป็นตาเดียว ปริญญ์รีบหุบปาก
เขมมิกไม่ยอมแพ้ “ชอบใครล่ะ”
“คุณเขมก็รู้อยู่แล้ว...อย่าให้ผมพูดอะไรอีกเลยครับ...ผมอาย”
“มัวแต่อายแล้วเมื่อไหร่ผู้หญิงจะรู้ความในใจ”
“ผมคงจะยุ่งอยู่กับสัตว์มากเกินไปจนสอบตกด้านมนุษยสัมพันธ์”
“แล้วไม่อยากสอบได้ที่หนึ่งเหรอคะ”
“ตบมือข้างเดียวไม่ดัง คุณน้ำหวานไม่ได้ชอบผม”
“โอ๊ย หมอไม่มีทางอ่านใจผู้หญิงออกหรอก ต้องผู้หญิงด้วยกันอย่างเขมนี่ เขมรู้ว่าคุณน้ำหวานก็ชอบหมอเหมือนกัน”
ปริญญ์ช้อนร่วงอีกรอบคราวนี้เสียงดังกว่าเดิมเพราะตกใจมาก “อะไรนะครับ!”
คนงานหันมามองปริญญ์เป็นตาเดียวจนปริญญ์ต้องรีบเก็บอาการ เขมมิกอมยิ้มเจ้าเล่ห์ จู่ๆอนงค์ก็เอากาละมังที่ใส่จานที่ใช้แล้วมาวางโครมลงบนโต๊ะจนเขมมิกและปริญญ์ตกใจ คนงานร้องฮือ อนงค์ยืนตาเขียวอยู่ตรงนั้น
“ป้า! ทำอะไรเนี่ย!” เขมมิกถาม
“ทำในสิ่งที่แม่คนต้องทำ เวลาที่ได้ยินลูกสาวตัวเองถูกนินทาอยู่น่ะสิ” อนงค์บอก
เขมมิกอึ้ง ปริญญ์หน้าเสีย อนงค์มองหน้าเขมมิกอย่างไม่พอใจ
พิแสงยืนฟังต่อลาภอธิบายโครงการอีแวปอย่างเคร่งขรึม ขณะที่วาสินีคอยจดบันทึกอยู่ข้างๆ
“นายหัวก็คงทราบดีนะครับว่าต้นทุนในการทำโรงอีแวป ติดแอร์ให้หมูอยู่ในโรงเรือน มันสูงมาก แต่ก็การันตีคุณภาพและการปลอดโรคได้อย่างดี”
“ผมรู้” พิแสงบอก
“และนายหัวก็คงทราบดีว่าบริษัทยูแอฟของเรายินดีที่จะเข้ามาสนับสนุนเรื่องทุนและตลาดกับนายหัว ถ้าเราเป็นพันธมิตรกัน ยูเอฟเราจะส่งสัตวแพทย์มาช่วยดูแลหมูทุกตัวด้วย”
“น่าสนใจมากเลยนะคะ นายหัว นายหัวจะได้ไม่ต้องปวดหัวกับปัญหาเดิมๆซ้ำซากอีก” วาสินีเสริม
“ผมได้อะไร” พิแสงถาม
“นายหัวจะสามารถลดต้นทุนการผลิตลงได้ ได้หมูที่มีคุณภาพราคาสูง และมีตลาดรองรับ ส่วนทางยูเอฟ”
พิแสงตัดบท “ก็จะทำสัญญามัดมือชกให้ผมซื้อแม่พันธุ์พ่อพันธุ์จากคุณ ซื้ออาหารจากคุณ และขายให้กับคุณภายใต้เงื่อนไขที่คุณกำหนด ถ้าไม่ได้ตามเงื่อนไขก็ไม่รับซื้อ แล้วผมก็จะเป็นหนี้คุณ ตามมาด้วยการถูกควบกิจการโดยที่ผมไม่รู้ตัว”
ต่อลาภอึ้งและอ้าปากหวอ น้ำหวานตกใจ
“นายหัว...มองโลกในแง่ร้ายเกินไปหรือเปล่าครับ” ต่อลาภถาม
“นั่นสิคะ....”
“ผมมองไว้ก่อน เผื่อว่ามันอาจจะเกิดขึ้น...ผมไม่อยากเจ็บตัวและเจ็บใจ” พิแสงบอก
“ไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอนครับ เช็กประวัติของเรากับเกษตรกรทั่วประเทศที่เราไปร่วมทุนด้วยได้เลย”
“ผมเช็กแน่ ไม่ต้องห่วง....สวัสดี”
พิแสงเดินออกไปทันทีทิ้งให้ต่อลาภหายใจไม่ทั่วท้องอยู่กับวาสินี
อนงค์ยังยืนหาเรื่องเขมมิกอยู่
“ป้า...ฉันไม่ได้นินทาลูกป้านะ แต่พูดถึงในทางที่ดีงาม” เขมมิกบอก
“ดีงามตรงไหน ยัดเยียดลูกสาวฉันให้หมอหมูอยู่ได้” อนงค์ว่า
“นี่ได้ยิน หรือว่าตั้งใจแอบฟังกันแน่!” เขมมิกถาม
“มันก็เหมือนกันนั่นแหละ! ลูกสาวฉันถูกเลี้ยงมาให้เป็นผู้หญิงที่ดี ไม่ได้มีไว้ให้ใครเอามาเสนอขายแบบนี้”
“หรา!!!! ขอโทษนะป้า” เขมมิกกระซิบเบาๆกับอนงค์ “แล้วที่ป้าเอาลูกสาวถวายพานให้นายหัวอยู่ทุกวันนี่..เป็นหนึ่งในหลักสูตรผู้หญิงที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีด้วยหรือเปล่าคะ”
อนงค์โกรธ “เธอ!”
“ป้าใจเย็นๆก่อนนะครับ” ปริญญ์เบรก
“ไม่เย็น! เจ้าข้าเอ๊ย!! มาฟังเร้ว แม่เก็บไว้ในใจจนอกจะระเบิดอยู่แล้ว”
คนงานเริ่มเดินมาฟัง เขมมิกสงสัยว่าอนงค์จะพูดอะไร
ต่อลาภกับวาสินีร้อนใจ
“นายหัวพูดเหมือนจะไม่สนใจโครงการของผม” ต่อลาภเปรย
“สนใจสิคะ แต่คงต้องรอความมั่นใจอีกสักนิด” วาสินีบอก
“ต้องรอไปอีกนานแค่ไหน”
“คุณต่อลาภดูร้อนใจมากนะคะ ทำไมเหรอคะ รอไม่ได้เหรอคะ”
“อ้อ..อ่อ...รอได้สิครับ แค่...รู้สึกว่าเสียดาย ถ้าเรื่องดีๆที่ผมเอามานำเสนอพี่น้องเกษตรกรหัวก้าวหน้าอย่างนายหัวต้องเป็นหมัน”
“ไม่หรอกค่ะ ถ้า...มีน้ำหวานคอยช่วยเหลือ”
“นั่นสิครับ ผมโชคดีจริงๆที่ได้รู้จักคุณน้ำหวาน”
“คุณคิดกับน้ำหวานแค่คนรู้จักเองเหรอคะ”
“แล้วคุณน้ำหวานอยากจะให้ผมนิยามคุณในสถานะอะไรล่ะครับ บอกสิ อย่าให้ผมต้องเดาใจ”
วาสินียิ้มกริ่ม ในขณะที่ต่อลาภเองก็ยิ้มปากมันต่างคนก็ต่างขุดบ่อล่อปลากันสุดฤทธิ์
อนงค์ชี้หน้าประจานเขมมิกต่อหน้าคนงาน
“ผู้หญิงคนนี้มีคู่หมั้นอยู่ทั้งคนไม่พอ อยากจะได้นายหัวไว้อีกคน แต่เพราะนายหัวเอ็นดูยัยน้ำหวาน เลยคิดจะกำจัดไปให้พ้นทาง ด้วยการเชียร์ให้หมอปิ๊นจีบยัยน้ำหวาน แผนมันสูง!”
เขมมิกอึ้งเพราะคิดไม่ถึงว่าจะถูกอนงค์ประจาน คนงานต่างมองเขมมิกเป็นตาเดียว เขมมิกรู้สึกว่าถูกต้อนเข้ามุมจึงหาทางกู้สถานการณ์
ปริญญ์รีบแก้ต่าง “ผมว่าป้ามองคุณเขมมิกในแง่ร้ายเกินไปแล้วนะครับ”
“หมอปิ๊นน่ะซื่อ ไม่รู้ตัวว่าตกเป็นเครื่องมือของผู้หญิงคนนี้”
เขมมิกร้องไห้โฮเพื่อสร้างภาพว่าถูกรังแก “ฮือ!”
ปริญญ์ตกใจ “คุณเขม....”
“ป้าเกลียดชังอะไรเขมนักหนาคะ ถึงได้ใส่ร้ายป้ายสีเขมได้ขนาดนี้ เขมเสียใจ ฮื้อ!!” เขมมิกทำเป็นร้องไห้หนัก
อนงค์และคนงานตกใจ
เนตรนิภาพยายามโทรหาเขมมิกแต่ก็โทรไม่ติด
“ไม่รับสาย ทำอะไรอยู่นะเขม....”
กนธีเข้ามาแย่งมือถือไปจากเนตรนิภา
“เอาคืนมา!”
“เธอคิดว่าฉันเป็นเกย์!” กนธีว่า
“ใช่ป่ะล่ะ”
“มั่ว! ฉันเป็นผู้ชายทั้งแท่ง ถั่ว”
“นั่นไง ชอบถั่วด้วย!”
“ฉันหมายถึงเธอตาถั่ว!”
“อย่ามาปฏิเสธ คนอย่างนายมันเหลี่ยมจัด นี่...ยอมรับมาเถอะ ฉันอาจเปลี่ยนใจ ยอมให้นายมาเป็นเพื่อนสาวของฉันกับเขมก็ได้นะ”
“ลูกผู้ชายอย่างฉันฆ่าได้หยามไม่ได้! ประกาศชัดๆอีกครั้ง ฉันเป็นผู้ชาย”
“พิสูจน์สิ แล้ว....”
เนตรนิภาพูดไม่ทันจบก็ถูกกนธีคว้าตัวเข้ามาประทับจูบทันที เนตรนิภาตาเบิกค้างด้วยความตกใจ เพราะคาดไม่ถึงว่าจะถูกจู่โจมแบบนี้
เขมมิกแสร้งร้องไห้เรียกคะแนนสงสารอย่างต่อเนื่อง แต่อนงค์ไม่เชื่อน้ำหน้า
“ไม่ต้องมาทำเป็นนางเอกเลย!!! ร้ายนัก ทุกคน อย่าไปเชื่อนะ มันกำลังเล่นละครตบตา ฉันเจอความร้ายกาจของมันมาแล้ว”
“เขมเป็นแค่เด็กฝึกงานตัวเล็กๆ ไกลบ้าน หัวเดียวกระเทียมลีบ เขมจะร้ายกาจกับป้าที่คอยดูแลคนงานทุกคนที่นี่ทำไม ป้าเป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่ของเขม” เขมมิกร้องไห้โฮ
“อย่ามานับญาติกับฉัน!”
“อย่าใจร้ายกับเขม”
“อ๊าาย!” อนงค์ร้องลั่น
เขมมิกร้องไห้ “ฮื้อ!”
“ป้าอนงค์ครับ คุณเขมน่าสงสารมากนะครับ ให้โอกาสเธอเถอะครับ เธอไม่ได้ร้ายกาจอย่างที่ป้าพูดแน่นอน ใช่มั้ยทุกคน” ปริญญ์หันไปถามคนงาน
คนงานพากันเออออเห็นด้วย
“เขมขอบคุณทุกคนนะคะที่เห็นใจเขม เขมกล้าพูดตรงนี้เลยนะคะ เขมมาที่นี่เพื่อทำงาน เก็บเกี่ยวความรู้และประสบการณ์ไปช่วยคู่หมั้นของเขม ทุกคนคือครู คือเพื่อน ที่เขมจะต้องสำนึกบุญคุณ เขมไม่กล้าคิดร้ายหรือทำร้ายใครเด็ดขาดค่ะ ซิกๆ” เขมมิกจงใจมองอนงค์เพื่อสื่อความซื่อเต็มที่
ปริญญ์และคนงานเห็นใจเขมมิก เขมมิกยิ้มอย่างสำนึกบุญคุณทุกคนทั้งน้ำตา อนงค์เจ็บใจและทนไม่ไหวที่พ่ายแพ้เขมมิกจนได้จึงสะบัดหน้าเดินหนีไป เขมมิกแอบยิ้มเยาะ
กนธีจูบเนตรนิภา เนตรนิภายังตาเหลือกค้าง ทั้งอึ้ง ทั้งช็อกจนตัวแข็ง กนธีถอนตัวออกมาอย่างสะใจ
“นี่ไง การพิสูจน์ว่าฉันเป็นผู้ชาย รสชาติเป็นไง”
เนตรนิภาตบหน้ากนธีด้วยความโกรธและเสียใจที่ถูกดูหมิ่น
“นายมันเลวที่สุด! ดูถูกผู้หญิง”
เนตรนิภาโกรธและคับแค้นใจจนน้ำตาซึม กนธีอึ้งเพราะตกใจกับปฏิกิริยาของเนตรนิภา
“ถ้านายเป็นผู้ชายจริงๆ นายก็เป็นผู้ชายที่ห่วยแตกที่สุดที่ฉันเคยเจอมา”
เนตรนิภาตบหน้ากนธีอีกฉาด
“และนี่สำหรับผู้หญิงที่ต้องตกเป็นเหยื่อความผยองในความเป็นผู้ชายที่ผิดๆของนาย อีกไม่รู้กี่คนในอนาคต! ไอ้ผู้ชายห่วยแตก”
เนตรนิภาวิ่งร้องไห้ออกไป กนธีมองตามอึ้งๆ และชาจนพูดไม่ออก เขารู้สึกแย่กับตัวเองขึ้นมาทันที
แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่ 6 (จบตอน)
เขมมิกเดินโล่งใจมาตามทางและนึกโกรธอนงค์
“หืม...ยัยป้ามหาภัย เล่นกันซะแล้ว”
เนตรนิภาร้องไห้วิ่งมาจากทางหนึ่ง เขมมิกเห็นเข้าก็ตกใจ
“เนตร!! แกเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม ใครทำแก”
เนตรนิภาเข้ามากอดเขมมิกแล้วร้องไห้โฮ
เขมมิกโอบเนตรนิภาเข้ามากอดด้วยความตกใจ
เนตรนิภาเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าอย่างเซื่องซึม เขมมิกยืนสงสารอยู่ข้างๆ ไม่อยากให้เพื่อนกลับ
“เนตร....กลับคนเดียวได้นะ”
เนตรนิภาพยักหน้า
“ฉันขอโทษนะ”
“ไม่ใช่ความผิดของแก”
“แต่เพราะฉันขอให้แกอยู่ เพื่อช่วยกันนายกนธีไม่ให้ยุ่งกับฉัน มันเลยทำให้แกถูก....”
เขมมิกไม่พูดต่อ เนตรนิภาอึ้งเพราะรู้สึกถึงสัมผัสจุมพิตของกนธีทำให้เธอหวิวไหว แต่ความแค้นใจมีมากกว่า น้ำตาของเนตรนิภาจึงซึมออกมาอีก
“เนตร...ฉันเสียใจด้วยจริงๆ”
เนตรนิภาตัดใจ “ช่างมันเถอะ ฉัน....จะไม่คิดถึงมันอีก”
“งั้นแกก็ไม่กลับแล้วใช่มั้ย”
“แต่ฉันก็ทนเห็นหน้านายนั่นต่อไปอีกไม่ไหว...เขม ขอโทษนะ ฉันสัญญาว่าฉันใช้เวลาไม่นาน พอฉันเข้มแข็งกว่านี้ได้เมื่อไหร่ ฉันจะกลับมาหาแก”
“รอจนกว่าแกจะพร้อมก็แล้วกัน”
เขมมิกกอดเนตรนิภาเอาไว้
“แกรออยู่หน้าบ้านนะ ฉันขอทำอะไรเพื่อเพื่อนบ้าง หลังจากที่แกช่วยฉันมาเยอะแล้ว”
สายตาของเขมมิกวาวโรจน์
พิแสงยืนเท้าสะเอวมองกนธีอย่างเหนื่อยหน่าย กนธีนั่งซึมและคอตก
“ฉัน...ทำไม่ถูก..ใช่มั้ย” กนธีถาม
“แกคิดว่าไงล่ะ” พิแสงถามกลับ
กนธียังไม่ยอมรับผิด “ทำไมต้องทำเป็นเรื่องใหญ่โตเหมือนโลกจะแตกด้วยวะ ถูกจูบแค่เนี่ยะ ไม่ได้เสียตัวสักหน่อย”
พิแสงไม่พอใจ “ไอ้ธี!”
พิแสงจะพูดต่อว่ากนธีต่อ แต่ทันใดนั้นเขมมิกก็พรวดเข้ามาต่อยกนธีดังเปรี้ยง!!!
กนธีร้องลั่น “โอ๊ย!!”
เขมมิกจะเข้าไปซ้ำ “พูดอย่างนี้ได้ยังไง”
พิแสงเข้าไปห้ามเอาไว้ “เขมมิก ใจเย็นๆ”
“ฟังไว้นะ เผื่อจะไม่เคยรู้จักผู้หญิงที่รักนวลสงวนตัวอย่างยัยเนตร อย่าว่าแต่จูบเลย แม้แต่จับมือกับผู้ชายก็ยังไม่เคย! อย่าคิดว่าผู้หญิงมันจะง่ายไปซะหมด จนไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบเวลาทำอะไรเลวๆลงไป”
พิแสงและกนธีอึ้ง
“ฉันขอโทษแทนเพื่อนฉัน” พิแสงบอก
“ไม่เอา!” เขมมิกพูด
พิแสงอึ้ง
“ฉันต้องการได้ยินจากปากของเค้าเอง” เขมมิกพูดกับกนธี “คุณต้องไปขอโทษเพื่อนฉัน แต่ถ้าจะให้ดีควรจะสำนึกผิด และอย่าทำแบบนี้กับใครอีก แต่ถ้าไม่! ชาตินี้ทั้งชาติ คุณเป็นได้แค่ศัตรูของฉันอย่างเดียว อย่าหวังว่าจะได้เลื่อนสถานะเป็นอย่างอื่น”
กนธีซีด เขมมิกพูดกับพิแสง
“ส่วนคุณ ถ้าอยากขอโทษแทนเพื่อน ขอเป็นรถพาเพื่อนฉันไปส่งกลับกรุงเทพ เดี๋ยวนี้”
พิแสงกับกนธีอึ้งเมื่อรู้ว่าเนตรนิภาจะกลับบ้าน เขมมิกเดินออกไปทันทีด้วยความโมโห พิแสงมองกนธีที่นั่งหน้าซีดเพราะรู้สึกผิดมาก
“ไอ้ธี....ที่เขมมิกพูด ถูกทุกอย่างนะ”
กนธีลุกขึ้นเดินออกไปอย่างเงียบๆ พิแสงเป็นห่วงเพื่อนและเห็นใจ เขารีบตะโกนออกคำสั่ง
“ชมพู่! ไปตามไอ้หลอด ไอ้เสริมให้ที ชมพู่!”
ชมพู่แอบคุยมือถือกับแสงสุดา
“น้องไบร์ทไม่ต้องห่วงนะคะ ชมพู่ให้คุณเนตรนิภาไปแจ้งคุณเขมมิกเพื่อทราบแล้วว่า....ให้ลากลับบ้านก่อนเป็นการเฉพาะกิจ”
แสงสุดาคุยโทรศัพท์อยู่ที่บ้าน
“แล้วทำไมแกไม่ไปแจ้งเอง แล้วทำไมต้องเป็นเพื่อนของเขมมิก แสดงว่าเพื่อนของเขมมิกก็รู้สิ ว่าแกทำงานอะไรให้ฉัน! ไอ้พี่ยุท!”
ชมพู่สะดุ้งตกใจ “ตายแล้ว! พูดอะไรออกไปนี่เรา” ชมพู่รีบแก้ตัว “น้องไบร์ทอย่าตื่นตูมค่ะ ทุกอย่างเรียบร้อยแน่นอน ที่ชมพู่ไม่ได้ไปแจ้งเองเพราะต้องมาคุยกับน้องไบร์ท แล้วก็เอ่อ...” ชมพู่แก้ตัวต่อไม่ได้ “ทำไมต้องเป็นเพื่อนคุณเขม...เอ่อ....”
“แกเปิดเผยตัวเองแล้วมั้ย พี่ยุท”
‘ ชมพู่จ๋อย “ค่ะ...มันจำเป็นค่ะ น้องไบรท์ ไม่งั้นเรื่องนี้ต้องถึงหูนายหัว”
ทันใดนั้นพิแสงก็โผล่เข้ามา
“นินทาอะไรฉัน”
“ทำไมชอบมีใครมาโผล่ข้างหลังอยู่เรื่อย เวลาที่คุยโทรศัพท์กับน้องไบร์ท ว่ามั้ยคะ” ชมพู่หันไปเห็นพิแสงก็ตกใจ “ว้าก!!!! นายหัว!”
พิแสงตอบรับ “เออ”
ชมพู่เดินเร่งฝีเท้ามากับพิแสงแล้วพยายามแก้ตัว โดยที่พิแสงไม่ได้ใส่ใจนัก
“แหม....เรื่องขี้ข้านินทานายเนี่ย เป็นเรื่องปกติค่ะ ชมพู่มั่นใจขี้ข้าในประเทศไทยเกินหนึ่งล้านคนต้องเคยนินทาเจ้านาย”
“เออๆๆ พอเหอะ ไปตามรถไป” พิแสงบอก
“ใครจะไปไหนคะ”
“คุณเนตรนิภาจะกลับกรุงเทพ จะเอารถไปส่งที่หาดใหญ่”
“คุณเขมก็ไปด้วยใช่มั้ยคะ”
“เปล่า”
ชมพู่เสียงดังมากเพราะตกใจ “ทำไมล่ะคะ!”
“จะไปรู้เค้าเรอะ ไปได้แล้ว”
ชมพู่รีบออกไปอย่างงงๆ เขมมิกและเนตรนิภาเดินออกมารอรถที่หน้าบ้าน เขมมิกที่ยืนประกบเพื่อนไม่มองหน้าพิแสง พิแสงยืนอยู่ด้วยเงียบๆ ไม่พูดอะไรกันแต่ก็แอบมองหน้าของเขมมิกจนเห็นความเด็ดเดี่ยวและความรู้สึกที่โกรธแทนเพื่อนของเขมมิก พิแสงอดประทับใจอยู่ลึกๆ ไม่ได้ ส่วนกนธีกำลังยืนแอบมองเนตรนิภาที่เศร้าซึมมาจากมุมหนึ่งแต่ไม่กล้าเข้ามาขอโทษ
รถของฟาร์มเพื่อนเกษตรแล่นผ่านภูมิทัศน์อันหลากหลาย เขมมิกนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างก่อนจะหันไปมองเนตรนิภาที่นั่งมองออกไปนอกหน้าต่างอีกฝั่งด้วยอาการซึมเศร้า
พิแสงยืนมองทีเด็ดที่นอนนิ่งอยู่ในคอกแล้วก็คิดถึงเขมมิกจากเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไป
“ฉันขอโทษแทนเพื่อนฉัน” พิแสงบอกเขมมิก
เขมมิกตอบทันที “ไม่เอา!”
พิแสงอึ้ง
“ฉันต้องการได้ยินจากปากของเค้าเอง” เขมมิกพูดกับกนธี “คุณต้องไปขอโทษเพื่อนฉัน แต่ถ้าจะให้ดีควรจะสำนึกผิด และอย่าทำแบบนี้กับใครอีก แต่ถ้าไม่! ชาตินี้ทั้งชาติ คุณเป็นได้แค่ศัตรูของฉันอย่างเดียว”
เมื่อนึกถึงคำพูดของเขมมิก พิแสงก็รู้สึกทึ่ง
พิแสงพูดกับทีเด็ด “ไม่น่าเชื่อ....ว่ายัยนั่นจะรักเพื่อนมากได้ขนาดนี้...ทีเด็ด แกว่าไอ้ธี มันจะคิดได้หรือเปล่า”
ทีเด็ดยังนอนนิ่ง พิแสงส่ายหน้าคล้ายเบื่อหมู
กนธีนั่งซึมอยู่ที่รีสอร์ทเพราะคิดมากเรื่องคำพูดของเขมมิก
กนธีนึกถึงตอนที่เนตรนิภาตบหน้าเขาด้วยความโกรธและเสียใจที่ถูกดูหมิ่น
“นายมันเลวที่สุด! ดูถูกผู้หญิง”
เนตรนิภาทั้งโกรธและคับแค้นใจจนน้ำตาซึม กนธีอึ้งเพราะตกใจกับปฏิกิริยาของเนตรนิภา
“ถ้านายเป็นผู้ชายจริงๆ นายก็เป็นผู้ชายที่ห่วยแตกที่สุดที่ฉันเคยเจอมา” เนตรนิภาว่า
เนตรนิภาตบหน้ากนธีอีกฉาด
“และนี่สำหรับผู้หญิงที่ต้องตกเป็นเหยื่อความผยองในความเป็นผู้ชายที่ผิดๆของนาย อีกไม่รู้กี่คนในอนาคต ไอ้ผู้ชายห่วยแตก”
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์นั้น กนธีก็รู้สึกว่ายังเจ็บที่ใบหน้า เขานึกถึงคำพูดของเขมมิก
“ฟังไว้นะ เผื่อจะไม่เคยรู้จักผู้หญิงที่รักนวลสงวนตัวอย่างยัยเนตรอย่าว่าแต่จูบเลย แม้แต่จับมือกับผู้ชายก็ยังไม่เคย! อย่าคิดว่าผู้หญิงมันจะง่ายไปซะหมด จนไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบเวลาทำอะไรเลวๆลงไป”
กนธีรู้สึกเซ็งจนจิตตก เขาลุกขึ้นเดินไปเพื่อปลดปล่อยอารมณ์
เขมมิกเดินออกมาจากสนามบินกับหลอดและเสริม หลังจากส่งเนตรนิภาเรียบร้อย เขมมิกซึม
“คุณเขมจะให้แวะที่ไหนก่อนกลับฟาร์มหรือเปล่าครับ” หลอดถาม
“ไม่อ่ะ กลับฟาร์มเลย ไม่มีอารมณ์แวะไหนหรอก” เขมมิกบอก
รถของฟาร์มเพื่อนเกษตรเลี้ยวเข้าปั๊มอย่างรวดเร็ว เขมมิกที่อยู่ในรถนั่งบิดไปบิดมาเพราะปวดปัสสาวะ่มาก
“เร็วๆสิ นายหลอด โอย มัน...กำ...ลัง..จะ...ราด”
“เร็วอย่างแรงแล้วนิ ใจเย็นคุณเขม” หลอดบอก
เสริมยื่นขวดน้ำให้เขมมิก “เอาไปแก้ขัดก่อนมั้ยครับ”
“จะบ้าเหรอ!”
หลอดรีบเร่งความเร็ว
รถจอดเอี๊ยดที่หน้าปั๊ม เขมมิกรีบเปิดประตูลงแล้ววิ่งเข้าไปในห้องน้ำ หลอดกับเสริมลงมาจากรถ
“เอาน้ำมั้ยพี่หลอด จะไปซื้อที่ร้านให้” เสริมถาม
“ร้านอยู่ไหนวะ” หลอดถาม
“โน่น!” เสริมชี้ไปทางร้านสะดวกซื้อ
“เดินไกล ไป ขับรถไปดีกว่า”
หลอดกับเสริมขึ้นรถกระบะแล้วขับออกไป
เขมมิกยืนอ้างว้างอยู่หน้าปั๊ม เธอมองซ้ายมองขวาแต่ก็ไม่เห็นรถของฟาร์มจอดอยู่ เขมมิกวิ่งมองหารถของฟาร์มไปตามจุดต่างๆของปั๊มแต่ก็หาไม่เจอ
“อ๊าย!”
หลอดกับเสริมเดินเข้ามาในบ้านพักของพิแสงแล้วก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ
“แกว่าเราสองคนลืมอะไรกันหรือเปล่าวะ” หลอดถาม
“นั่นดิ่...ผมก็รู้สึกตะหงิดๆ” เสริมบอก
พิแสงที่ยืนอยู่หน้าบ้านเอ่ยถาม
“แล้วเขมมิกล่ะ”
หลอดกับเสริมอึ้ง ทั้งสองหันมามองหน้ากัน
“กูว่าแหล๋ว!”
พิแสงวิ่งมาที่รถ หลอดกับเสริมวิ่งตามมา
“ให้ผมขับไปรับก็ได้นะครับนายหัว” หลอดบอก
“ถ้าเกิดพวกแกลืมอีกล่ะ ว่าปั๊มอยู่ที่ไหน พอดี ยัยเขมมิกไม่ต้องกลับฟาร์ม” พิแสงว่า
พิแสงสตาร์ทรถแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว หลอดกับเสริมมองตามงงๆ
“เอ็งกับข้า ขี้ลืมกันขนาดนั้นเลยเหรอวะ ไอ้เสริม” หลอดถาม
“ใช่พี่” เสริมตอบ
พิทยานั่งซึมอยู่ที่บาร์เหล้าเพราะคิดถึงเขมมิก
“คุณอยู่ที่ไหนนะเขม”
เสียงมือถือของพิทยาที่ตั้งอยู่ใกล้ๆดังขึ้น พิทยาเหลือบมองว่าใครโทรมา หน้าจอมือถือเป็นเบอร์ของพิสินีย์ พิทยาถอนใจแล้วไม่รับ เขายกแก้วเครื่องดื่มขึ้นดื่มเงียบๆ โดยปล่อยให้เสียงเรียกเข้ายังดังต่อเนื่อง
พิสินีย์ที่อยู่หน้าบ้านกดวางสายอย่างรู้สึกผิดหวังที่พิทยาไม่ยอมรับสาย เธอตัดสินใจกดส่งข้อความไป
”อย่ากลับดึกมากนะคะ พรุ่งนี้ต้องเดินทางแต่เช้า รักคุณค่ะ”
พิสินีย์กด send แต่ยังไม่เข้าบ้าน เธอนั่งลงแล้วรู้สึกใจหายและว่างเปล่า พิสุทธิ์เดินเข้ามา
“ติดต่อตาพีทไม่ได้หรือไงลูก” พิสุทธิ์ถาม
พิสินีย์สะดุ้ง ตกใจ “คุณพ่อ....เปล่าค่ะ”
“อย่ามาโกหกพ่อน่า อารมณ์แบบนี้ จะมีอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะตามผัวไม่เจอ...”
“หนู...แสดงออกขนาดนั้นเลยเหรอคะ” พิสินีย์ถาม
“ไม่หรอก หนูไม่ได้แสดงออกอะไรมากเลย แต่พ่อรู้ เพราะหนูเป็นลูกพ่อ”
พิสินีย์อึ้ง
“จำไว้นะ ยิ่งหนูไม่ได้แสดงออก นั่นแหละจะยิ่งเป็นผลดีกับหนู”
“ผลดีเหรอคะ”
“ผัวจะเกรงใจ” พิสุทธิ์บอก
“คุณพ่อก็เกรงใจคุณแม่ ทั้งๆที่คุณแม่...แสดงออกชัดเจนมาก”
“ไม่ได้เกรงใจ...แต่เรียก...กลัวเลยล่ะ”
พิสินีย์และพิสุทธิ์หัวเราะออกมาพร้อมกัน พิสุทธิ์โอบไหล่พิสินีย์เอาไว้เพื่อปลอบใจ
“คนของเรา พอออกไปพ้นสายตา เราไม่รู้หรอกว่าเค้าจะออกนอกลู่นอกทางหรือเปล่า...และถ้ายิ่งตาม มันจะยิ่งทำให้เค้าเตลิดเปิดเปิง มีเพียงความดีของเราเท่านั้นที่จะทำให้เค้าเกรงใจและไม่กล้าทำ...หนูทำถูกแล้ว”
“ขอบคุณค่ะคุณพ่อ”
พิสินีย์รู้สึกมีความเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น
พิทยานั่งมองข้อความที่พิสินีย์ส่งมาให้ สาวสวยคนหนึ่งเข้ามาตีสนิท
“นั่งด้วยคนได้มั้ยคะ”
พิทยาอึ้ง เขารีบปิดมือถือแล้วยิ้มให้ “เชิญครับ”
“ขอบคุณนะคะ ไม่ได้กวนใจใช่มั้ยคะ” สาวสวยถาม
“ไม่หรอกครับ ผมกำลังจะกลับพอดี”
สาวสวยอึ้งเพราะผิดหวัง
พิทยาวางเงินลงบนเคาน์เตอร์แล้วลุกเดินออกไปทิ้งให้สาวสวยเซ็ง
แสงสุดาคุยมือถือกับชมพู่
“อะไรนะ เขมมิกไม่ได้กลับมาที่กรุงเทพ!!”
“ค่ะ น้องไบร์ท”
“ไม่ต้องเรียกน้องไบร์ทแล้ว จะเรียกทำไม ในเมื่อความลับมันแตกไปเรียบร้อยแล้ว!”
“แต่นายหัวยังไม่รู้นี่คะ”
“เออ จริง! แล้วยังไงเนี่ย พรุ่งนี้พวกฉันก็จะยกโขยงกันไปที่พัทลุง”
“เอางี้มั้ยคะ น้องไบร์ท เรามาช่วยกันแช่งให้คุณเขมมิกรถคว่ำตายดีมั้ยคะ จะได้หมดปัญหา”
“จะดีเหรอ”
“ดีสิคะ เพราะตอนนี้นายหัวกำลังขับรถไปรับคุณเขมมิกกลับพอดีเลยค่ะ”
“นังชมพู่! แช่งให้ยัยเขมมิกรถคว่ำ ลูกชายฉันก็ซวยไปด้วยสิ ใช้อะไรคิด!”
ชมพู่จ๋อย “สงสัยใช้หัวแม่เท้าคิดค่ะ”
พิแสงขับรถฝ่าความมืดมาด้วยความเป็นห่วงเขมมิก
“เขมมิกๆๆ นี่ฉันต้องขับรถมารับเธออย่างนี้ไปตลอดชีวิตมั้ยเนี่ย”
รถของฟาร์มเพื่อนเกษตรแล่นฝ่าความมืดแล้วมุ่งหน้าต่อไป
เขมมิกยืนหน้าม่อยอยู่ที่มุมหนึ่งในปั้มน้ำมัน รถของพิแสงแล่นเข้ามาจอดเทียบ เขมมิกลุกขึ้น เตรียมเอาเรื่อง พิแสงลงมาจากรถ เขมมิกตกใจ
“คุณพิแสง....”
“ใช่...คิดว่าใคร”
“คิดว่านายหลอดหรือไม่ก็นายเสริม”
“สองคนนั่นไม่เคยประสบความสำเร็จในการพาเธอกลับฟาร์ม ฉันไม่มั่นใจ เลยมารับเอง ไป ขึ้นรถ!”
“มาโกรธอะไรฉันเนี่ย ฉันไม่ได้เป็นคนผิดนะ ฉันเป็นคนที่ถูกลืมแท้ๆ”
พิแสงไม่ตอบ เขาเดินไปขึ้นรถแล้วสตาร์ทออกรถไป
“เฮ้ย!!! รอก่อนสิ”
เขมมิกพุ่งขึ้นกระบะหลังของรถได้ทันอย่างฉิวเฉียด พิแสงมองผ่านกระจกมองหลังพอเห็นสภาพเขมมิกหน้าทิ่มแล้วเขาก็ยิ้มชอบใจ พิแสงขับรถออกไป
รถวิ่งมาบนถนน เขมมิกนั่งอยู่บนกระบะหลัง ทำให้ลมตีหัวเธอจนยุ่ง ฟู เขมมิกสบถด่าพิแสง
“ผู้ชายอะไร กักขฬะ ไม่มีน้ำใจ...มีนิดนึงก็ได้ แต่...โอ๊ย! คิดบ้างมั้ยเนี่ยว่าผู้หญิงกับลมตีหัวเนี่ย...มันเป็นสิ่งสุดท้ายในโลกที่ควรจะเจอกัน”
เขมมิกทุบข้างรถระบายอารมณ์ พิแสงสะดุ้งมองกระจกข้างก็เห็นเขมมิกตีข้างรถอยู่ พิแสงรีบเลี้ยวรถจอดข้างทาง
รถจอดข้างทาง พิแสงเดินลงมาจากรถแล้วพุ่งมาหาเขมมิก เขมมิกกระเถิบหนีด้วยความกลัว พิแสงคว้ามือของเขมมิกได้ก็ลากลงมาจากกระบะรถ
“โอ๊ย!!! เบาๆ จะพาไปไหน!!”
พิแสงไม่ตอบแต่ลากเขมมิกไปนั่งด้านหน้าแล้วปิดประตู
“โอ๊ะ!! แบบนี้ ค่อยน่ารักหน่อย”
พิแสงเดินไปขึ้นรถด้านคนขับแล้วขับรถออกไป
พิทยาขับรถเข้ามาในบ้านแล้วจอด พิทยาลงจากรถโดยถือสูทและกระเป๋าเอกสารลงมาด้วยในสภาพเซนิดๆ พิสินีย์เดินเข้ามายิ้มให้ พิทยาอึ้ง พิสินีย์ไม่ถามอะไร เธอรับสูทและกระเป๋าเอกสารของพิทยามาถือเอาไว้
“รีบอาบน้ำแล้วก็นอนพักผ่อนนะคะ”
พิสินีย์จับมือของพิทยาเอาไว้แล้วยิ้มให้
“ไปค่ะ”
พิทยาอึ้ง พิสินีย์จูงพิทยาเข้าไป พิทยายอมเดินตามไปเพราะรู้สึกโล่งใจที่ไม่มีคำถามจากพิสินีย์
พิแสงขับรถไม่พูดไม่จา เขามองตรงไปข้างหน้าอย่างเดียวเหมือนใช้สมาธิเต็มที่ เขมมิกที่นั่งอยู่ข้างๆ เหลือบมองพิแสงยิ้มๆ
“นี่....” เขมมิกจะพูดต่อ
พิแสงพูดขัด “ไม่ต้องพูด! นั่งเงียบๆ”
“ทำไมอ่ะ”
“เธอพูด แล้วพูดไม่หยุด ทำฉันเสียสมาธิ เพราะฉะนั้น ห้ามพูด”
“ได้ไง คนมีปาก มีสิทธิ์ มีเสียง ห้ามไม่ให้ฉันพูด ไม่ได้ ฉันจะพูด พูดๆ”
“โอ๊ย”
เสียงยางระเบิดดังปัง พิแสงกับเขมมิกตกใจ “เฮ้ย!!”
รถเสียหลัก พิแสงพยายามประคองพวงมาลัยรถ
เขมมิกเกาะผนังรถแน่นด้วยความตกใจ “ฉันยังไม่อยากตายย!!”
“มีสติหน่อยสิเธอ”
“ใช่! ฉันเป็นอดีตนางฟ้า ฉันได้รับการฝึกมาแล้ว....ฉันต้องตั้งสติ”
เขมมิกตั้งสติ รถเหวี่ยงมากขึ้น พิแสงพยายามประคองพวงมาลัยสุดชีวิต ในขณะที่เขมมิกตั้งสติเต็มที่ พิแสงกับเขมมิกเห็นรถกำลังพุ่งเข้าหาต้นไม้ก็ตกใจ
“เฮ้ย/ว้าย!!”
รถจอดห่างจากต้นไม้เพียงเฉียดฉิว พิแสงและเขมมิกหัวกระแทกข้างหน้าทั้งคู่ พิแสงหัวแตก ส่วนเขมมิกแค่ฟกช้ำ พิแสงรีบลงจากรถลงไปดูสภาพรถ เขมมิกเดินตามลงไปด้วย พิแสงเดินมาดูยางรถที่แหลกละเอียด
“ยางระเบิด...” พิแสงหันไปมองหน้าเขมมิกที่ยื่นหน้ามามอง “เพราะเธอ”
“ฉันเอาฟันไปเฉาะยางจนมันระเบิดหรือไง”
“เพราะเธอเอาแต่พูดมาก แม้แต่ยางรถมันยังทนไม่ไหว”
“ไปหลอกเด็กเถอะย่ะ ทำไมชอบหาคนผิดอยู่เรื่อย เห็นชัดๆว่ามันเป็นอุบัติเหตุ”
เขมมิกเห็นเลือดที่หน้าผากพิแสง “คุณหัวแตก!”
“ฉันไม่เป็นไร!”
“ไม่ได้ ฉันต้องปฐมพยาบาลคุณ”
เขมมิกมองไปรอบๆ ก็เห็นเสื้อตัวเองจึงตัดสินใจฉีกชายเสื้อมาพันหัวพิแสงทันที
“ต้องห้ามเลือด” เขมมิกบอก
“ไม่ต้อง”
“ต้อง อยู่เฉยๆสิ”
“อย่าเลย”
เขมมิกตีมือพิแสง “บอกให้อยู่เฉยๆ”
“มีเรื่องจะบอก” พิแสงว่า
“ไว้ทีหลัง”
“ไม่ได้ ต้องตอนนี้ มันสำคัญมาก”
“อะไรเล่า! อ่ะ พูดมา”
“มีกล่องปฐมพยาบาลอยู่ในรถ...สำลี แอลกอฮอล์ ยาแดง ครบไม่ต้องทำแบบนี้...โอเค้!”
เขมมิกอึ้ง พิแสงหลุดอมยิ้มออกมา