สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายธราธร ตอนที่ 2
ภายในห้องอาหารวังจุฑาเทพ หม่อมเอียด ย่าอ่อน อาทิตยรังสี กัลยา และเทวพันธ์ นั่งทานอาหารด้วยกัน กัลยาหันมาทางเทวพันธ์แล้วถามขึ้น
“ทราบข่าวว่า คุณชายเทวพันธ์มีลูกสาว 3 คน มีคนร่ำลือว่าสวยทั้ง 3 คน ไม่ทราบว่าวันนี้มาร่วมงานด้วยหรือเปล่าคะ”
เทวพันธ์ยิ้มยังไม่ทันตอบ ย่าอ่อนชิงตอบก่อนด้วยความปลาบปลื้ม
“มาค่ะ คงจะกำลังเต้นรำอยู่กับพวกคุณชายทั้ง 5 นั่นแหละค่ะ”
หม่อมเอียดแอบปรายตานิดๆ...ช่างพูดจริงๆน้องฉัน ย่าอ่อนไม่รู้ตัวพูดต่อ
“แต่ข่าวที่คุณกัลยาได้ยินมาก็จริงนะคะ สาวๆเทวพรหมสวยทั้ง 3 คนจริงๆ สวยกันคนละแบบ หนูวิไลรัมภาสวยน่ารัก หนูมารตีสวยคม ส่วนหนูเกษราก็สวยหวาน สรุปแล้วสวยทั้งสาม เหมาะที่จะมาเป็นสะใภ้จตุรเทพทั้ง 3 คน !”
อาทิตยรังสี และกัลยาชะงักนิดๆ เทวพันธ์อมยิ้มถูกใจ
“อะแฮ่ม”
หม่อมเอียดกระแอมเตือนให้ย่าอ่อนพูดน้อยๆ ย่าอ่อนไม่รู้ตัวอีก
“อุ้ยคุณพี่เป็นอะไรคะ ข้าวติดคอเหรอคะ” ย่าอ่อนหันไปสั่งเด็ก “เธอเติมน้ำแกงจืดให้คุณท่านหน่อยสิ เร็วๆ”
หม่อมเอียดแอบส่ายหน้านิดๆ ไม่ได้รู้ตัวเล้ย เทวพันธ์อมยิ้ม
บริเวณงานเลี้ยงเต้นรำ ระวีรำไพยืนรอฟังคำตอบและการเลือกอย่างตื่นเต้น สักครู่ธราธรก็พูดขึ้น
“น้องเกษครับ...”
ธราธรเอ่ยชื่อเกษราพร้อมกับหันมายื่นมือเป็นการเชิญมาร่วมเต้นรำ เกษรายิ้มน้อยๆ พร้อมกับวางมืออย่างแผ่วเบา ทั้งสองคนเดินเคียงข้างกันออกไปที่ฟลอร์ ทิ้งให้ระวีรำไพและชินกรยืนมองตามอยู่เบื้องหลัง ระวีรำไพใจหายเล็กๆ ชินกรเสียดายน้อยๆ คิดไว้ในใจถ้าธราธรเลือกระวีรำไพจะเป็นคนขอเต้นรำกับเกษราเสียเอง
ธราธรและเกษราเต้นรำอยู่กลางฟลอร์ในจังหวะบิกิน เป็นการอุ่นเครื่องแบบเบาๆ คนในงานมองด้วยความสนใจ บางคนหันไปซุบซิบกันด้วยความอยากรู้...ธราธรและเกษราเต้นรำอยู่กลางฟลอร์ เกษราประหม่าไม่กล้าสบตา ส่วนธราธรก็เกร็งนิดๆไม่เป็นธรรมชาตินัก แต่จากสายตาของคนภายนอกดูเหมือนทั้งสองคนเป็นคู่ที่เหมาะสม เต้นรำด้วยกันได้อย่างเป็นอย่างดี คนอื่นๆ ค่อยๆลุกขึ้นเตรียมออกมาเต้นรำ
ระวีรำไพยังยืนอยู่ที่เดิมมองดูธราธรและเกษราเต้นรำด้วยความชื่นชม ชินกรก็ยืนมองเกษราด้วยแววตาไม่ต่างกัน ปวรรุจเดินมาหาชินกร
“เชิญอาจารย์ชินกรตามสบายนะครับ”
ชินกรยิ้มรับ
“ขอบคุณครับ”
ชินกรเดินไปนั่งที่โต๊ะ ปวรรุจหันมาทางระวีรำไพที่ยังมองธราธรอยู่ เขากล่าวเชิญอย่างสุภาพ
“น้องปรางครับ...ให้เกียรติ์เต้นรำกับพี่สักเพลงนะครับ”
ระวีรำไพยิ้มน้อยๆ และยื่นมือรับคำเชิญ เธอเดินนำไปที่ฟลอร์ ปวรรุจเดินตามอย่างสุภาพ ทั้งสองคนเดินผ่านรณพีร์ที่นั่งอยู่กับวิไลรัมภา รณพีร์หันมาทางวิไลรัมภาพร้อมกับโค้งขอเต้นรำ วิไลรัมภาส่งมือให้พร้อมกับยิ้มกว้าง ทั้งสองคนเดินออกไปด้วยกัน รณพีร์และวิไลรัมภาเดินผ่านมารตีที่นั่งข้างๆพุฒิภัทร ถัดไปเป็นรัชชานนท์ มารตีมองตามแอบเคือง...สองคนพี่น้องออกไปหมด แล้วก็รีบหันมาทางพุฒิภัทร เขารู้ตัวรีบหัน
ต่อมาทางรัชชานนท์ที่นั่งอยู่ข้างๆ แต่สายตามองสาวโต๊ะข้างๆอยู่
“ชายเล็กเชิญน้องมารตีออกไปเต้นรำสิ”
พุฒิภัทรโยนให้เห็นๆ รัชชานนท์สะดุ้งนิดๆ แล้วก็ยิ้มรับอย่างรู้ใจพี่ชาย
“น้องมารตี...เชิญครับ”
รัชชานนท์ลุกขึ้นเชิญ มารตีสองจิตสองใจ แล้วก็ตัดสินใจปฎิเสธอย่างสุภาพ
“ต้องขอโทษพี่ชายเล็กด้วยนะคะ มารตีขออนุญาตนั่งคุยกับพี่ชายภัทรเรื่องงานที่โรงพยาบาลดีกว่าค่ะ”
รัชชานนท์ยิ้มรับด้วยความดีใจ
“ไม่เป็นไรครับ” เขาหันไปบอกพี่ชายเบาๆ “ผมช่วยไม่ได้แล้วนะครับ”
รัชชานนท์ยิ้มพอใจก่อนจะหันไปที่สาวโต๊ะข้างๆ และลุกขึ้นเดินไปโค้งขอเธอออกไปเต้นรำ สาวโต๊ะข้างๆ ยิ้มรับและเดินออกไปพร้อมกับรัชชานนท์ด้วยความดีใจ พุฒิภัทรนั่งอึดอัดอยู่ที่เดิม มีมารตีนั่งยิ้มหวานอยู่ข้างๆ แม้จะขัดใจแต่ก็ยังฝืนยิ้ม ชินกรนั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะ มองไปที่เกษราด้วยแววตาชื่นชม
ธราธรกับเกษราเต้นรำกันอยู่อย่างห่างเหิน สนทนากันตามมารยาท
“น้องเกษเต้นรำได้ดีทีเดียว”
เกษรายิ้มอาย
“ไม่ได้เต้นรำมานานแล้ว ยังกลัวๆว่าจะผิดจังหวะ”
“ไม่ผิดเลยครับ เก่ง นี่ขนาดไม่ได้เต้นรำมานานแล้วนะ”
“ขอบคุณค่ะ”
เกษรายิ้มรับ แล้วก็เงียบ ธราธรหาเรื่องคุยต่อ
“ขนมของน้องเกษก็อร่อยครับ แขกชมกันใหญ่ ทั้งผลไม้แกะสลัก ทั้งขนม ชมกันทั้งงาน”
เกษรายิ้มอีก
“ขอบคุณมากค่ะ”
ธราธรก็เงียบ ต่างคนต่างเต้นรำกันต่อไปเป็นความเงียบที่ชวนอึดอัดนิดๆ
วิไลรัมภาเต้นรำไป ถามไปอย่างไม่หยุดไม่หย่อน ในขณะที่รณพีร์ตอบด้วยความอึดอัด
“ทำไมพี่ชายพีร์ไม่ค่อยพูดเลยคะ ปล่อยให้รัมภาพูดอยู่คนเดียวตั้งนาน...แล้วปกติพี่ชายพีร์เป็นคนพูดเก่งมั๊ยคะ”
“ครับ”
“ครับอีกแล้ว ก็ดีค่ะ พูดเก่งก็ดี รัมภาชอบคนพูดเก่งค่ะ เพราะรัมภาไม่ค่อยพูด ที่พยายามพูดอยู่ตอนนี้เพราะไม่อยากให้พี่ชายพีร์เบื่อ แล้วพี่ชายพีร์ชอบเต้นรำมั๊ยคะ”
“ชอบครับ”
“ดีจัง รัมภาก็ช้อบ ชอบค่ะ แล้วพี่ชายพีร์ชอบเต้นรำจังหวะอะไรคะ ชอบไปเต้นรำที่ไหน ไปเต้นรำกับใคร วันหลังพารัมภาไปบ้างได้หรือเปล่าคะ”
รณพีร์อึ้งไป ตอบไม่ถูกกันเลยทีเดียว
รัชชานนท์เต้นรำไป คุยกับสาวไปอย่างอารมณ์ดี ต่างจากรณพีร์มากมาย
“ได้สิครับ...ถ้าคุณอุบลมีน้ำใจพาผมเที่ยวชมเมืองผมยินดีรับคำเชิญ ผมไม่ได้กลับมานาน ไม่รู้ว่ากรุงเทพจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน” รัชชานนท์ยิ้มกริ่มนิดๆ “ว่าแต่สาวสวยอย่างคุณอุบลจะมีเวลาว่างพาผมเที่ยวเหรอครับ”
“เพื่อคุณชายเล็ก...อุบลว่างเสมอค่ะ”
อุบลยิ้มอาย รัชชานนท์ยิ้มพอใจ...หนุ่มสาวเต้นรำอยู่เกือบเต็มฟลอร์ ธราธรเต้นกับเกษรา ปวรรุจกับระวีรำไพ พุฒิภัทรนั่งกับมารตี รัชชานนท์กับอุบล และรณพีร์กับวิไลรัมภา...คู่ของระวีรำไพกับปวรรุจเต้นรำเข้ากันได้ดี แต่มีระยะห่าง ระวีรำไพเต้นรำไปก็แอบมองธราธรที่กำลังเต้นรำอยู่กับเกษรา ปวรรุจแอบเห็น แล้วมองตามสายตาไป เห็นว่าเป็นธราธร ปวรรุจหลิ่วตามองอย่างสงสัยว่ายังไงกันนะ
เกษราเต้นรำกับธราธร เกษราเก้อๆเขินๆ ไม่พูดอะไร ในขณะที่ธราธรก็เต้นรำไปตามจังหวะ ไม่พูดอะไรเช่นกัน วงดนตรีเล่นจบเพลงแรก วิไลรัมภากับรณพีร์แยกจากกัน ต่างคนต่างทำความเคารพกัน รณพีร์กำลังจะไป
“ต่ออีกเพลงนะคะพี่ชายพีร์” วิไลรัมภาจับไว้
รณพีร์ตกใจ เหวอไป...เพลงที่ 2 ขึ้น ปวรรุจพาระวีรำไพมาส่งที่โต๊ะตามมารยาท ในขณะที่ธราธรพาเกษรามาที่โต๊ะเช่นกัน หนุ่มๆโต๊ะข้างๆ มองระวีรำไพเป็นตาเดียว จ้องจะมาขอเต้นรำด้วย ปวรรุจเห็นก็หันมาทางธราธร
“มีกฎข้อไหนของอาจารย์หม่อม ห้ามเต้นรำกับลูกศิษย์มั้ยครับ”
ธราธรและระวีรำไพชะงักทั้งคู่ ระวีรำไพรอคำตอบใจเต้นแรง ปวรรุจยิ้มแล้วก็เบี่ยงตัวเปิดทางให้ธราธรได้เผชิญหน้ากับระวีรำไพ ธราธรมองหน้าแล้วก็ยิ้มพร้อมกับยื่นมือให้ ระวีรำไพยิ้มถอนสายบัวและยื่นมือออกไปรับคำเชิญ ธราธรและระวีรำไพเดินไปที่ฟลอร์อย่างสง่างาม...คนรอบข้างมองด้วยความสนใจ ปวรรุจยิ้มมองตาม และหันมาทางเกษรา
“คุณเกษครับ...”
ปวรรุจยังไม่ทันพูดต่อ ชินกรปาดมายืนรอต่อหน้าเกษราพร้อมกับยื่นมือออกไป
“เต้นรำกับผมสักเพลงนะครับ...คุณเกษรา”
เกษรายิ้มน้อยๆรับและวางมืออย่างมีมารยาทก่อนจะเดินไปฟลอร์คู่กันอย่างสวยงาม ปล่อยให้ปวรรุจยืนอึ้งอยู่ที่เดิม เสียงพุฒิภัทรดังขึ้น
“มานั่งด้วยกันก่อนสิชายรุจ”
ปวรรุจหันมามองหน้าพุฒิภัทรที่นั่งอยู่กับมารตีแค่สองคน ปวรรุจยิ้มรับเพราะดูรู้ว่าคงจะอึดอัดเอาการณ์อยู่ ปวรรุจค่อยๆหันไปที่ฟลอร์จับจ้องไปที่เป้าหมายของความค้างคาใจ...
ธราธรเต้นรำกับระวีรำไพอย่างลื่นไหลสวยงาม ทันใดนั้นธราธรก็ร้องขึ้น พร้อมกับทำท่าเหมือนโดนเหยียบเท้า
“โอ้ย!”
ระวีรำไพตกใจหยุดเต้น
“พี่ชายใหญ่เป็นอะไรคะ”
“เท้า...”
ระวีรำไพรีบถาม
“ปรางเหยียบเท้าพี่ชายใหญ่เหรอคะ” เธอรีบก้มลงดู “ปรางขอโทษ พี่ชายใหญ่เจ็บมากมั้ยคะ”
ธราธรไม่ตอบแต่ขำๆ กับท่าทางของระวีรำไพ ทำให้เจ้าตัวรู้ทันทีว่าโดนหลอก
“พี่ชายใหญ่สนุกที่หลอกปราง เห็นปรางเป็นเด็กอยู่เรื่อย”
ธราธรโค้งนิดๆ และเริ่มต้นเต้นรำต่อ
“ใครบอก พี่เห็นน้องปรางโตแล้ว น้องสาวของพี่โตเป็นสาวสวย มีหนุ่มๆหมายปองมากมาย ดีนะที่ปรางมีคุณพ่อดุ หนุ่มๆเลยไม่กล้า”
ธราธรยิ้มอ่อนโยน เธอยิ้มอายๆ เขาชวนคุยต่อ
“อีกไม่นานจะต้องเรียนต่อที่อังกฤษแล้ว น้องปรางรู้หรือยังว่าจะไปเรียนต่อสาขาอะไร”
“คุณพ่ออยากให้เรียนต่อสาขาเดิมค่ะ ท่านบอกว่าการสื่อสารในอนาคตไม่ว่าจะเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์ จะต้องเจริญก้าวหน้าไปกว่านี้มาก จริงๆปรางชอบประวัติศาสตร์ แต่คุณพ่อบอกว่าผู้หญิงเดินทางออกนอกพื้นที่ลำบาก ท่านก็ไม่อนุญาตค่ะ”
ระวีรำไพเศร้า
ธราธรคุยต่อสนุกสนาน
“จริงอย่างที่คุณอาบอก พี่เคยไปมาชูปิกชูที่เปรู เส้นทางทุรกันดานมาก บางครั้งไม่ได้อาบน้ำหลายวัน ห้องน้ำก็ไม่สะดวก คุณอาคงเห็นว่าไม่เหมาะกับน้องปราง”
ระวีรำไพบ่น
“นั่นแหละค่ะ ปรางอยากเกิดเป็นผู้ชายให้รู้แล้วรู้รอด จะได้ตามคุณพ่อกับพี่ชายใหญ่ไปในป่าได้ ไม่มีใครห้าม”
“ถ้าน้องปรางเกิดเป็นชายจริงๆ คงมีหนุ่มหลายคนบ่นเสียดาย ที่บนโลกนี้จะขาดสาวสวยไปหนึ่งคน”
ธราธรพูดตรงๆยิ้มๆจริงใจ ระวีรำไพได้ฟังก็ยิ้มสะเทิ้น เขิน อาย เต้นรำอย่างมีความสุขเต็มเปี่ยม
เกษราเต้นรำอยู่กับชินกร เขาชวนคุย
“ปกติคุณเกษราไปซื้อผ้าที่ร้านนั้นบ่อยหรือเปล่าครับ”
“ไม่บ่อยค่ะ นานๆจะไปสักครั้ง แล้วคุณชินกรล่ะคะ”
ชินกรยิ้มกว้าง
“ผมเพิ่งจะไปครั้งแรก พอดีเป็นทางผ่านไปทำงาน พี่สาวเลยฝากซื้อน่ะครับ” ชินกรนึกได้ “อ้อ...ผมยังไม่ได้ขอโทษคุณเกษราเลย เรื่องอุบัติเหตุ ผมต้องขอโทษด้วยที่หยิบของไม่ระวัง ของเลยหล่นลงมา”
เกษรานึกออกก็ยิ้มนิดๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ เกษเองก็ผิดที่นั่งขวางทางเดิน”
“ผมผิดมากกว่า ผมกลับบ้านไปเล่าให้แม่กับพี่สาวฟัง เอ็ดผมกันใหญ่ จะให้ผมออกตามหาคุณให้เจอ ตอนนั้นตั้งใจว่าจะลงหนังสือพิมพ์ด้วยนะครับ ประกาศตามหาคนเพื่อมาขอโทษ”
เกษราขำเบาๆ
“ถ้าลงประกาศจริงๆ คงพิลึกดีนะคะ”
เกษราขำอย่างอารมณ์ดี ต่างจากตอนอยู่กับธราธร ชินกรมองหญิงสาวที่ยิ้มแย้ม เขาก็ยิ่งตกหลุมรัก ชินกรยิ้มตาม...มีความสุข
ปวรรุจนั่งมองธราธรอย่างตั้งใจ จนพุฒิภัทรสงสัย
“ชายรุจมองอะไร”
ธราธรเดินกลับมาที่โต๊ะพร้อมกับระวีรำไพ ปวรรุจเฉไฉ กลบเกลื่อน
“ไม่มีอะไรมาก แค่...มองบรรยากาศงานไปเรื่อยเปื่อย”
พุฒิภัทรยังไม่ได้ถามต่อ มารตีก็พูดขึ้นด้วยความไม่พอใจ
“ผู้ชายคนที่เต้นรำกับพี่เกษเป็นใคร ไม่เคยเห็นหน้า แล้วทำไมถึงกล้ามาขอพี่เกษเต้นรำ”
ชินกรกำลังเดินมาที่โต๊ะกับเกษรา ปวรรุจหันมาแนะนำ
“อาจารย์ชินกร ทำงานอยู่ที่กรมศิลป์และเป็นอาจารย์พิเศษอยู่ที่มหาวิทยาลัย เป็นเพื่อนสนิทของพี่ชายใหญ่ครับ”
พุฒิภัทรนึกได้
“ใช่คนที่เป็นลูกชายเจ้าของร้านทองที่เยาวราชด้วยหรือเปล่า เห็นพี่ชายใหญ่เคยเล่าให้ฟังอยู่เหมือนกัน”
“ใช่แล้ว อาจารย์ชินกรเป็นลูกชายคนเดียวของห้างทองใหญ่ในเยาวราช แต่สนใจประวัติศาสตร์มากกว่าทำการค้า”
มารตีพูดด้วยความขัดใจ
“แล้วทำไมถึงได้มาเต้นรำอยู่กับพี่เกษ คืนนี้มารตีอยากให้พี่เกษเต้นรำกับพี่ชายใหญ่คนเดียว คนกำลังจะเป็นคู่หมั้นคู่หมายกันอยู่แล้ว จะไปเต้นรำกับคนอื่นได้ยังไง”
มารตีเคือง และเหยียดชินกรอยู่ในที
อาทิตยรังสีถึงกับอึ้งไป...กัลยาค่อยๆปรายตามาทางสามีอย่างรู้ใจ และหันมาถามอย่างสุภาพ
“คู่หมั้นคู่หมาย...อะไรเหรอคะ”
ย่าอ่อนชิงตอบอีกตามเคย
“เป็นคำสัญญาของท่านชายวิชชากรกับคุณชายเทวพันธ์น่ะ ท่านชายมีความประสงค์จะให้ลูกๆของสองตระกูลดองกัน วันนี้ก็มาทำความรู้จักกันพร้อมหน้า ถ้าถูกใจก็จะได้คบหากัน แต่สำหรับคู่ของเกษรากับชายใหญ่ เขารู้จักกันดีอยู่แล้ว ไม่ต้องศึกษาอะไรกันมาก”
อาทิตยรังสีกับกัลยาตั้งใจฟัง ใจหาย เสียดายเล็กๆ หม่อมเอียดปรายตามาเอ็ดย่าอ่อนอยู่ในที แต่ย่าอ่อนไม่รู้ตัวอีกตามเคย เทวพันธ์ถามยิ้มๆอย่างใจร้อน
“คุณป้าอ่อนพูดแบบนี้ไม่ทราบว่าหาฤกษ์ไว้แล้วหรือยังครับ”
ย่าอ่อนอ้าปากจะตอบ หม่อมเอียดชิงตอบก่อนที่เรื่องจะไปกันใหญ่
“ยังหรอกจ้ะ ป้าปล่อยให้หลานเป็นคนตัดสินใจเอง เขาพร้อมเมื่อไหร่ คงจะมาบอก คุณชายไม่ต้องห่วง ชายใหญ่เป็นคนมีความรับผิดชอบ เขาไม่ลืมพระประสงค์ของท่านพ่อ ป้าอยากให้เด็กๆพูดคุยให้ถูกอกถูกใจกันเอง ไม่ต้องคลุมถุงชน ใครจะรักชอบใคร ใครพร้อมก็แต่ง ก็ค่อยมาคุยกัน เราผู้ใหญ่คอยดูห่างๆจะงามกว่า”
ย่าอ่อนเลิ่กลั่กๆ จะทำยังไงดี เทวพันธ์หน้าบึ้งไปเล็กน้อยจำใจพูดออกมา
“ก็ลองดูครับ ถือว่าให้โอกาสเด็กได้เรียนรู้กันมากขึ้น ผมก็ไม่อยากบังคับใจใครเหมือนกัน”
อาทิตยรังสีอมยิ้มนิดๆ นับถือในความเป็นผู้ใหญ่ของหม่อมเอียด กัลยายิ้มตามเห็นด้วยอย่างยิ่ง
ขณะที่เทวพันธ์ไม่ค่อยพอใจ
ชินกรตกใจเมื่อได้รู้ข้อมูล ถามออกมาตรงๆ
“คุณชายใหญ่กับคุณเกษเป็นคู่หมั้นคู่หมายกันเหรอครับ”
มารตีลอยหน้าลอยตาตอบ
“ใช่ค่ะ ท่านลุงประสงค์ให้พี่ชายใหญ่แต่งงานกับพี่เกษค่ะ”
มารตีตั้งใจเหยียดมุมปากนิดๆใส่ชินกร ทุกคนนั่งอยู่บนโต๊ะเรียงมาตั้งแต่มารตีนั่งติดกับพุฒิภัทร ถัดไปเป็นปวรรุจ รัชชานนท์ ธราธร เกษรา ระวีรำไพ ชินกร รณพีร์ และวิไลรัมภา
ทุกคนยกเว้นวิไลรัมภาชอคกับคำพูดของมารตี ระวีรำไพอึ้งๆ ค่อยๆหันมามองเกษราที่นั่งอยู่ข้างๆ เกษราเอ็ดเบาๆ
“มารตี...”
มารตีลอยหน้าไม่สนใจ วิไลรัมภารีบเสริม
“ตอนแรกที่เราสามคนทราบเรื่องตกใจมาก แต่ก็ยินดีที่จะทำตามพระประสงค์ของท่านลุงค่ะ อ้อ...คุณพ่อยังบอกว่าอีกว่า ท่านลุงไม่ได้ระบุว่าต้องแต่งแค่คู่เดียว แต่งหลายๆคนได้ยิ่งดี”
วิไลรัมภายิ้มกริ่มปรายตามาทางรณพีร์ เขายิ้มเจื่อนๆ แต่ไม่ขัดด้วยความมีมารยาท เกษราถอนใจเบาๆกับความเหลือเกินของน้องสาว ชินกรมองเกษราด้วยความเสียใจ และเสียดาย ระวีรำไพนั่งอึ้งชอค ใจหายวาบอยู่ที่เดิม ปวรรุจลอบมองระวีรำไพอย่างพิจารณา และเก็บข้อมูล วงดนตรี ขึ้นเพลงที่ 4 เป็นจังหวะสโลว์ช้าๆ วิไลรัมภาตาโตวาว
“รัมภาชอบเพลงนี้จัง เราไปเต้นรำกันต่อเถอะค่ะ” เธอหันมาทางธราธรพูดขึ้นอย่างเสียมารยาท “พี่ชายใหญ่เชิญพี่เกษไปเต้นรำสิคะ”
เกษราเอ็ด
“รัมภา...”
ธราธรหันมาเชิญเกษราอย่างมีมารยาท
“เชิญครับน้องเกษ”
เกษราหันมายิ้มรับหน้าเจื่อนๆ อย่างเกรงใจ
“ขอบคุณค่ะ”
เกษรายื่นมือรับการเชิญ ทั้งสองคนเดินออกไปที่ฟลอร์และเต้นรำอย่างเรียบร้อย ออกไปทางเกร็งๆ ชินกรค่อยๆหันไปมองเกษราด้วยความเสียดาย...ระวีรำไพค่อยๆหันไปมอง แววตาแฝงไว้ด้วยความเศร้า ปวรรุจแอบมองระวีรำไพหนึ่งครั้งแล้วก็หันไปมองธราธรหนึ่งที แล้วก็กลับมามองระวีรำไพอีกครั้ง ปวรรุจ
ค่อนข้างแน่ใจว่าเห็นบางอย่างที่ซ่อนอยู่
กัลยา อาทิตยรังสี กลับมาที่วังแสงอาทิตย์ เดินเข้ามา ระวีรำไพเดินตามมาหน้าจ๋อยๆ กัลยาหันมาถามด้วยความแปลกใจ
“ปรางเป็นอะไรลูก ตั้งแต่ออกจากงานแล้ว นั่งเงียบมาตลอดทางเลย”
“ปราง...คงเต้นรำมากไปก็เลยเหนื่อย ปรางไปนอนก่อนนะคะ”
ระวีรำไพพูดจบก็แยกตัวเดินขึ้นห้องไปท่าทางเศร้าๆ...ระวีรำไพเดินเข้ามาในห้องนอนแล้วก็ค่อยๆทรุดลงนั่งบนเตียง คำพูดของมารตีดังก้องอยู่ในหู
“คุณพ่อบอกว่า...ท่านลุงประสงค์ให้พี่ชายใหญ่แต่งงานกับพี่เกษค่ะ คุณพ่อเล่าให้ฟังว่าท่านลุงตรัสไว้เสมอว่าอยากให้ลูกของท่านคนใดคนหนึ่งแต่งงานกับลูกสาวของเทวพรหม พี่เกษกับพี่ชายใหญ่เป็นพี่คนโตก็เลยโดนจับคู่ให้ก่อนคนอื่น”
ระวีรำไพนั่งหน้าเสีย น้ำตาคลอ...ใจหายวับไปในบัดดล
เมื่อกลับมาถึงวังเทวพรหม เกษราบ่นมารตีด้วยความไม่พอใจ
“พี่ไม่ชอบใจที่มารตีกับรัมภาพูดแบบนั้นต่อหน้าคนอื่น เรื่องสัญญาของ 2 ตระกูล ไม่ควรป่าวประกาศ โดยเฉพาะฝ่ายหญิงพูดมากไปจะไม่งาม”
มารตี วิไลรัมภา และเทวพันธ์ ยืนอยู่ในห้องรับแขก ทุกคนอยู่ในอาการเหนื่อยเพลีย
“ไม่งาม ก็ไม่สน คนที่คิดจะมาแย่งพี่เกษไปจากพี่ชายใหญ่จะได้รับรู้” มารตียักไหล่
เกษราเถียง
“ใครจะคิดแบบนั้น ไม่มีหรอก”
“นายชินกรนั่นไง มองพี่เกษไม่วางตา มารตีมองไกลๆยังเห็น”
“พ่อเห็นด้วย ลูกไม่ควรเต้นรำกับชายอื่น อาจทำให้คุณชายใหญ่ไม่พอใจ”
วิไลรัมภาเสริม
“ใช่ค่ะ ถ้าพี่ชายใหญ่ไม่พอใจ พาลมากีดกันพี่ชายพีร์กับรัมภา รัมภาไม่ยอมนะคะ”
เทวพันธ์ย้ำ
“ตอนนี้คุณชายใหญ่ยังไม่มีใคร เกษควรจะรีบเอาใจคุณชายใหญ่ให้มากๆ ผู้ชายคนอื่นไม่ว่าใครเข้ามาไม่ต้องไปสนใจ”
เกษราส่ายหน้าด้วยความหนักใจ
บ้านชินกรเป็นบ้านหลังใหญ่มีกลิ่นอายวัฒนธรรมจีนอย่างเด่นชัด ชินกรเดินเข้ามา คนรับใช้เดิน
เข้ามารับเสื้อสูทไปเก็บ ชินกรเดินมานั่งที่ห้องรับแขกอันหรูหรา คิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ด้วยจิตใจห่อเหี่ยว เขานึกถึงคำพูดมารตี
“คุณพ่อบอกว่า...ท่านลุงประสงค์ให้พี่ชายใหญ่แต่งงานกับพี่เกษค่ะ”
ชินกรเศร้าสลดลงไปอีกถอนหายใจด้วยความเศร้า และเสียดายสุดหัวใจ
ภาพเกษราเต้นรำกับธราธรยังวนเวียนในความคิดของอาจารย์หนุ่ม
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายธราธร ตอนที่ 2 (ต่อ)
งานเลิกแล้วฟลอร์เต้นรำของวังจุฑาเทพว่างเปล่า ไม่เหลือคนในงานแม้แต่คนเดียว ยังมีไฟบางดวงเปิดอยู่ กลางฟลอร์ ธราธรยืนอยู่คนเดียว มองไปรอบๆ แววตาครุ่นคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่
ภาพตอนเขาเต้นรำกับเกษราอารมณ์ความอึดอัดไม่เป็นธรรมชาติยังอยู่ ธราธรยืนอยู่กลางฟลอร์หันไปมองอีกมุม
ภาพตอนเต้นรำกับระวีรำไพ อารมณ์ความสุข ความสดใส ยังคงกระจายอยู่
ธราธรยืนอยู่ที่เดิมและเผลอยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ธราธรชะงักกึกเริ่มสงสัยความรู้สึกตัวเอง...อีกมุมหนึ่งไม่ไกลออกไป ปวรรุจยืนมองธราธรที่ยืนสับสนอยู่ ทันใดนั้นพุฒิภัทร รัชชานนท์ และรณพีร์เดินเข้ามายืนประกบ ทั้งสามมองไปที่ธราธร
“ชายรุจ...คงไม่ใช่แค่มองบรรยากาศในงานอยู่ใช่มั้ย” พุฒิภัทรหันมาทางปวรรุจ “จะบอกได้หรือยังว่ามอง และคิดอะไรอยู่”
ปวรรุจมองหน้าน้องๆทั้ง 3 ที่รอฟังคำตอบ เขารู้ตัวว่าคงต้องบอกแต่โดยดี
วังแสงอาทิตย์กลางดึกเงียบสงัด...อาทิตยรังสีนอนกระสับกระส่ายอึดอัดที่หน้าอก สักพักเริ่มรู้สึกหายใจไม่ออก ลุกขึ้นนั่ง จุกที่หน้าอก มองหาแก้วน้ำที่วางอยู่ไม่ไกล เขาค่อยๆลุกจากเตียงเดินไปที่แก้วน้ำ ทันใดนั้นเองก็เกิดอาการจุกเสียดขึ้นอย่างแรงที่บริเวณหน้าอกแล้วหน้ามืดล้มลงกับพื้น มือกวาดเอาของที่วางอยู่บนโต๊ะ ล้มลงระเนระนาดแตกกระจายส่งเสียงดัง เพล้ง! กัลยาตกใจตื่น หันมาเห็นอาทิตยรังสีล้มฟุบอยู่ที่พื้นก็ร้องขึ้นด้วยความตกใจ
“คุณ! คุณ ! คุณเป็นอะไรคะ”
ระวีรำไพสะดุ้งตื่น เสียงกัลยาดังมาพร้อมกับเสียงคนรับใช้รีบวิ่งตามที่ต้นเสียง กัลยาตะโกนลั่น
“ใครก็ได้ รีบโทร.เรียกหมอมาเร็ว!”
ระวีรำไพหน้าซีด
“คุณพ่อ!”
วังจุฑาเทพเช้าวันต่อมา คนรับใช้กำลังเก็บงานอย่างเรียบร้อย และรวดเร็ว ความวุ่นวายเมื่อคืน
หายไป ความสงบงามกลับมาอีกครั้ง ในเรือน ธราธรนั่งอยู่กับหม่อมเอียด และย่าอ่อน
“ชายใหญ่คิดว่าหนูเกษเป็นยังไงบ้าง สอบผ่านมั้ย”
ย่าอ่อนถามต่อ
“แล้วตัดสินใจหรือยัง...ว่าจะแต่งแบบไหน แบบไทยหรือแบบฝรั่ง แต่ย่าว่าเราคนไทยรักษาขนบธรรมเนียมไทยๆไว้จะดีกว่านะ”
ธราธรชะงักนิดๆ พูดไม่ถูกเลย หม่อมเอียดเห็นหน้าก็รู้ใจหันมาทางย่าอ่อน
“ใจเย็นสิอ่อน ชายใหญ่ยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ”
ย่าอ่อนจำต้องหยุดพูด หม่อมเอียดหันมาทางธราธร
“ว่าไงล่ะชายใหญ่ คิดว่าหนูเกษเป็นยังไงบ้าง”
“เธอสวยดีครับ และเพียบพร้อมทุกอย่าง”
ย่าอ่อนดีใจ
“วุ้ย แบบนี่คงไม่ต้องซักให้เสียเวลาแล้วหล่ะค่าคุณพี่ หาฤกษ์งามยามดีกันได้เลยค่ะ”
ย่าอ่อนสรุปอีกตามเคย ธราธรรีบบอก
“ก็ยังไม่ถึงขั้นนั้นเหมือนกันครับ”
ย่าอ่อนชะงัก
“อ้าว...ก็ไหนชายใหญ่บอกว่าน้องเพียบพร้อมแล้วจะรออะไร”
“คือผมตั้งใจจะขอเวลาเรียนรู้จักน้องเกษมากกว่านี้ คิดว่าจะให้เวลาเธอมากยิ่งขึ้น แต่ต้องรอให้ผมกลับจากทำงานภาคสนามเสียก่อน”
หม่อมเอียดถามเรียบๆ
“แล้วไปออกทำงานภาคสนามต้องไปนานถึงเมื่อไหร่กันล่ะ”
“ราวสองสามเดือนครับ”
ย่าอ่อนโวย
“โอ๊ย !! ตั้งนาน สามเดือน!”
ธราธรหน้าเสียนิดๆ กลัวจะไม่ได้รับอนุญาต
“ไม่นานหรอกอ่อน ดีแล้วค่อยคิด ค่อยเป็น ค่อยไป ทำอะไรอย่าใจร้อนบุ่มบ่ามจะเสียการ เรื่องแต่งงานไม่ใช่เรื่องเล็ก ต้องให้แน่ใจเสียก่อน”
ย่าอ่อนจำใจยอม
“ก็ได้ค่ะ สามเดือนก็สามเดือน แต่พอครบสามเดือนแล้วต้องรีบมาบอกย่านะ”
“ครับ”
ธราธรจำต้องรับคำอย่างจำใจ
“แล้วงานภาคสนามที่ว่า...อยู่ที่ไหน แล้วจะไปเมื่อไหร่”
หม่อมเอียดถามด้วยความเป็นห่วง
วังแสงอาทิตย์...อาทิตยรังสีเอนหลังอยู่บนเตียง ไม่ห่างออกไปธราธรนั่งอยู่ที่เก้าอี้ อาทิตยรังสีพูดออกมาเสียงเหนื่อยๆ
“กำหนดว่าจะไปต้นเดือนหน้า คณะสำรวจจะไปพร้อมกับตัวแทนของสมาคมจากฝรั่งเศสที่มอบทุนให้เรา เป็นสมาคมอิสระที่สนับสนุนงบประมาณสำหรับการบูรณะตัวปราสาท พนมจันทร์ ที่เพิ่งค้นพบ”
ธราธรยิ้มดีใจ
“เป็นข่าวที่ดีมากๆ ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีเงินสนับสนุนมาจากต่างประเทศ ถ้าเรารองบประมาณจากรัฐบาลอย่างเดียว การบูรณะครั้งนี้คงยังไม่เกิดขึ้นง่ายๆ”
อาทิตยรังสีพยักหน้าเหนื่อยๆ
“ใช่...โชคดีจริงๆ คุณชายใหญ่ก็เตรียมตัวให้พร้อมก็แล้วกัน การออกภาคสนามครั้งนี้คงจะเริ่มต้นเร็วกว่ากำหนด ฟิตร่างกายให้ดี”
ธราธรยิ้มรับ แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ กัลยาก็เดินเข้ามาพร้อมกับถาดยา
“คุณชายใหญ่อายุยังน้อย เดินทางแค่ไหนก็ไม่หนักหนาอะไร ห่วงแต่คนแก่เท่านั้นแหละ ปีนป่ายเขาสูงขนาดนั้น หัวใจคุณชายอาทิตยจะไหวเหรอคะ”
กัลยาตัดพ้อพลางวางถาดยาไว้ข้างๆอาทิตยรังสี ธราธรยกมือไหว้
“คุณอากัลยา สวัสดีครับ”
กัลยารับไหว้
“สวัสดีค่ะ คุณชายใหญ่ ต้องขอโทษด้วยที่เข้ามาแทรก แต่อาอดไม่ได้คิดว่ควรจะต้องคุยให้คุณชายอาทิตย์ถอนตัว”
ธราธรตกใจ
“คุณอารอเวลานี้มานาน ทำไมถอนตัวล่ะครับ”
ธราธรถามด้วยความแปลกใจ
ในห้องรับแขก ระวีรำไพนั่งอยู่กลางห้องชะเง้อชะแง้รอธราธรด้วยความร้อนใจ ขณะเดียวกันอาทิตยรังสีพยายามเกลี้ยกล่อมภรรยา
“แหมคุณ ไม่เป็นไรหรอก ผมแค่ไปควบคุมเด็กๆ ไม่ได้จะปีนป่ายอะไร”
กัลยาไม่ยอม
“แต่การเดินทางลำบาก ไปถึงโน่นก็ห่างหมอ เกิดเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาจะหมอยากนะคะ ฉันคิดว่ายกโครงการนี้ให้คุณชายใหญ่เถอะนะคะ หรือจะให้ใครที่คุณไว้วางใจก็ได้ แต่อย่าไปเองเลยนะคะ”
อาทิตยรังสีส่ายหน้ายิ้มๆ ไม่ยอม แล้วก็พูดตัดบท
“ถ้าห่วงนักก็ตามไปด้วยเลยสิคุณ”
“คุณก็รู้ว่าฉันต้องไปประชุมที่สวิตเซอร์แลนด์ ไม่งั้นก็ตามไปแล้วล่ะค่ะ”
ธราธรตั้งใจฟังแล้วก็แทรกขึ้นอย่างสุภาพ
“ผมดูแลคุณอาแทนคุณอาหญิงก็ได้ครับ ผมรู้ว่าการออกภาคสนามคือหัวใจของพวกเราทุกคน ถ้าคุณอาต้องอยู่บ้านเฉยๆรอพวกเรา ท่านคงไม่มีความสุข”
อาทิตยรังสียิ้มพอใจมากๆ
“รู้ใจจริงๆ หลานอามันต้องอย่างนี้สิ...คุณไม่ต้องห่วงหรอก ชายใหญ่จะดูแลผมเอง”
กัลยามองหน้าอาทิตยรังสี แล้วก็หันหน้ามามองธราธร แล้วก็หันมาทางอาทิตยรังสีอีกที
“เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยแบบนี้ คงห้ามไม่ได้” กัลยาหันมาทางธราธร “อาฝากคุณชายใหญ่ดูแลด้วยแล้วกัน”
“ด้วยความยินดีครับ ผมจะดูแลคุณอาอย่างดีที่สุด”
ธราธรรับคำด้วยความหนักแน่นและเต็มใจ
ธราธรเดินออกมาจากห้องนอนนอนอาทิตยรังสี เดินผ่านห้องรับแขก เสียงระวีรำไพดังขึ้น
“พี่ชายใหญ่คะ...”
ธราธรชะงักเสียงใสๆของระวีรำไพทำเขาใจเต้นแรงไม่รู้ตัว หันไปตามเสียง ระวีรำไพยืนอยู่ในชุดสวย แม้จะมีเรื่องกังวลใจแต่ก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน ธราธรยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว สองคนเผชิญหน้ากันหลังจากที่ธราธรเริ่มจะไม่แน่ใจความรู้สึกของตัวเอง แววตาของธราธรที่มองระวีรำไพเปลี่ยนไปเล็กน้อย แววตาเป็นประกายมากขึ้น...
ในห้องหนังสือ วังแสงอาทิตย์ กองหนังสือของระวีรำไพพร้อมทั้งคู่มือการเดินทางไปต่างประเทศวางอยู่มากมาย ธราธรนั่งรออยู่ ไม่นานระวีรำไพเดินเข้ามา ใบหน้ายังมีความหนักใจให้เห็น
“คุณพ่อไม่ค่อยสบายค่ะพี่ชายใหญ่ ปรางไม่อยากให้ท่านเดินทางไกล คุณแม่ยังบ่นว่าออกภาคสนามครั้งนี้มีพี่ชายใหญ่สนับสนุน บอกว่าจะดูแลท่านให้เอง แต่คุณแม่ก็ยังไม่สบายใจ”
“เรื่องนี้นี่เอง” ธราธรครุ่นคิด “คุณอาอาการหนักมากเหรอครับ”
“ค่ะ คุณหมอบอกว่าท่านเริ่มมีอาการของโรคหัวใจ วันก่อนก็ล้มกลางดึกดีที่เรียกหมอมาทัน ตอนนี้อาการดีขึ้นแต่ก็ยังเหนื่อยง่าย ไปทำงานก็ต้องเดินขึ้นเขาลงเขาตั้งไม่รู้กี่เที่ยว ปรางก็เลยกังวล”
ธราธรคิดแล้วก็เสนอสบายๆ
“ถ้าน้องปรางกังวล ก็ตามไปดูแลท่านเองสิครับ”
ระวีรำไพทำตาโต เข้าล็อค ธราธรพูดต่อ
“เมื่อกี้คุณอาถามคุณอากัลยาว่าจะตามไปดูแลมั้ย แต่คุณอาติดไปต่างประเทศ แต่น้องปรางสอบเสร็จพรุ่งนี้ปิดเทอมพอดี น่าจะไปได้”
ระวีรำไพรีบต่อทันที
“ใช่ค่ะ พี่ชายใหญ่รู้ใจปรางที่สุดเลย” ระวีรำไพรีบคว้ามือธราธรมากุมไว้ด้วยความดีใจ “ตกลงพี่ชายใหญ่ให้ปรางไปด้วยใช่มั้ยคะ”
ธราธรพยักหน้ายิ้มๆ ระวีรำไพยังจับมืออยู่ แถมยังกระชับแน่นขึ้นด้วยความดีใจ แล้วก็พูดขึ้น
“ไชโย ! ปรางได้ดูแลคุณพ่อแล้ว...ไชโย ดีใจจริงๆเลย”
ธราธรมองที่มือเรียวเล็กของระวีรำไพที่จับมือตัวเองไว้แน่น และค่อยๆเงยหน้ามองรอยยิ้มสดใสในดวงตาที่อยู่ตรงหน้า พลันใจเต้นโครมครามไม่รู้ตัว ธราธรเผลออายหน้าแดง จนระวีรำไพแปลกใจชะงักมองหน้าเขา
“พี่ชายใหญ่เป็นอะไรคะ” เธอปล่อยมือและมาแตะหน้าผากแทน “ปวดหัวหรือเปล่า หรือว่ามีไข้...ทำไมหน้าแดงจัง”
ธราธรอึ้งอาย เฉไฉ
“ก็...อากาศมันอ้าว พี่ร้อนนิดหน่อย”
ระวีรำไพพยักหน้ารับรู้ แล้วก็มองซ้ายมองขวา ก่อนจะคว้าข้อมือธราธรมาจับ ธราธรมองงงๆ ระวีรำไพกระซิบ
“คุยตรงนี้ไม่ปลอดภัย เราไปคุยห้องโน้นดีกว่าค่ะ”
ระวีรำไพลากไปเลย ธราธรเดินตามงงๆ แต่ก็ตามใจเหมือนตามใจเด็ก
ระวีรำไพลากธราธรมาคุยในมุมที่ปลอดภัยและมิดชิดกว่าเมื่อครู่ เขาถามยิ้มๆ
“มีอะไรอีกเหรอครับ พี่พลอยตื่นเต้นไปด้วยเลย”
ระวีรำไพพูดด้วยความหนักใจ
“คือก่อนที่ปรางจะขอพี่ชายใหญ่ ปรางขอคุณพ่อแล้วค่ะ...แต่คุณพ่อไม่ยอมให้ปรางไป”
ธราธรชะงัก
“บอกว่ามันอันตรายสำหรับผู้หญิง”
ธราธรอึ้ง
“อ้าว...แต่คุณอาชวนคุณอากัลยาไปด้วย”
“คุณพ่อบอกว่าคุณแม่ไปได้ เพราะไม่ใช่สาวๆ แต่ท่านไม่ยอมให้ปรางไป บอกว่ามีแต่ผู้ชาย ปรางขอยังไงก็ไม่ให้ไป”
ธราธรผงะ หน้าเสีย พลาดซะแล้ว ระวีรำไพหันขวับมาทางธราธร
“แต่พี่ชายใหญ่อนุญาตแล้วนะคะ”
“ก็...พี่ไม่รู้ว่าคุณอาไม่ยอม และในเมื่อคุณอาไม่ยอมแล้วน้องปรางจะไปได้ยังไง”
“เราก็ไม่ต้องบอกท่าน ทำยังไงก็ได้ให้ปรางได้ร่วมคณะไปด้วย พอไปถึงที่โน่นท่านก็ไล่ปรางกลับบ้านไม่ได้ นะคะ นึกว่าเห็นแก่สุขภาพของคุณพ่อ”
เธออ้อนวอนสุดฤทธิ์ ธราธรหนักใจ เธอตัดสินใจคุกเข่าลงตรงหน้าเขา
“นะคะพี่ชายใหญ่ ปราง...ขอร้อง”
ธราธรตกใจ
“น้องปราง...ลุกขึ้นเถอะ”
ระวีรำไพเงยหน้าตาแดงๆ
“ไม่ค่ะ ปรางไม่ลุกจนกว่าพี่ชายใหญ่จะอนุญาตให้ปรางไปด้วย...” เธอน้ำตาคลอ “ปรางอยากไปดูแลคุณพ่อจริงๆนะคะ”
ระวีรำไพพูดด้วยความน่าสงสาร ธราธรใจอ่อนยวบ เธอเห็นเขาครุ่นคิดก็รีบยื่นข้อเสนอ
“ถ้าพี่ชายใหญ่กลัวว่าคุณพ่อจะจำได้ ปรางแต่งเป็นผู้ชายก็ได้นะคะ”
“ตะ...แต่งเป็นผู้ชาย”
“ใช่ค่ะ ปรางจะแต่งเป็นผู้ชาย ไม่มีใครรู้ว่าปรางเป็นผู้หญิง แล้วปรางก็จะแอบดูแลท่านอย่างเงียบๆ”
“แต่...มันเสี่ยงนะ ถ้าคุณอารู้พี่โดนแพ่นกบาลแน่”
“คุณพ่อไม่รู้หรอกค่ะ ปรางมีเพื่อนเป็นลูกสาวเจ้าของร้านเสื้อ และร้านเสริมสวยชื่อดัง มีช่างฝีมือดีมากมาย รับรองว่าปรางจะต้องเหมือนผู้ชายแน่นอน นะคะ นะคะ นะคะ พี่ชายใหญ่...เชื่อใจปรางนะคะเหมือนผู้ชายแน่ๆ”
ธราธรคิดแล้วก็ตัดสินใจ
“คนที่จะบอกว่าเหมือนหรือไม่เหมือนคือ พี่และน้องๆทั้ง 4 คน”
ระวีรำไพขมวดคิ้วแปลกใจ
“ปรางจะต้องแต่งเป็นผู้ชายให้พวกเราดู ถ้าไม่มีใครจำได้ พี่ถึงจะยอมให้ไป”
ระวีรำไพมั่นใจ
“ได้ค่ะ !”
“อีกหนึ่งข้อ คือ ต้องหาเพื่อนผู้หญิงที่จะไปเป็นเพื่อนน้องปรางให้ได้อย่างน้อยหนึ่งคน เพราะถ้าน้องปรางไม่มีเพื่อนผู้หญิงไปด้วย พี่ไม่ให้ไป”
“อ้าว...”
ระวีรำไพหน้าเสีย
วังจุฑาเทพยามค่ำคืน...5 หนุ่มอยู่ในห้อง พุฒิภัทรถามขึ้น
“แล้วน้องปรางหาได้หรือยังครับ”
ปวรรุจ รัชชานนท์ รณพีร์ หันมารอฟังคำตอบจากธราธร เขาส่ายหน้า
“ไม่รู้สิ แต่เท่าที่รู้ตอนนี้ยังหาไม่ได้”
ปวรรุจคิดแล้วก็เสนอขึ้นลอยๆ
“ที่จริง...คุณเกษน่าจะตามไปด้วย อย่างน้อย พี่ชายใหญ่จะได้มีโอกาสเรียนรู้กันและกันมากขึ้นก่อนจะตัดสินใจเรื่องการแต่งงาน”
รณพีร์ตาโต รีบสนับสนุน
“จริงด้วย พี่ชายใหญ่รับปากหม่อมย่าว่าอีกสามเดือนจะให้คำตอบ ถ้าไม่มีเวลาเรียนรู้กันพี่ชายใหญ่ก็ให้คำตอบไม่ได้อยู่ดี”
รัชชานนท์แทรก
“ถ้าคุณเกษไปด้วย...ก็ต้องแต่งเป็นผู้ชายด้วยหรือเปล่า”
ปวรรุจน์สวน
“แน่นอนที่สุด!”
พุฒิภัทรแย้ง
“เป็นไปไม่ได้ ไม่มีใครเชื่อว่าคุณเกษจะแต่งตัวเป็นผู้ชายได้” พุฒิภัทรหันมาทางปวรรุจ “นายจะบ้าหรือเปล่าที่แนะนำพี่ชายใหญ่แบบนั้น”
ปวรรุจยิ้ม
อ่านต่อพรุ่งนี้ เวลา 09.30น.
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายธราธร ตอนที่ 2 (ต่อ)
“ไม่ได้บ้านะชายภัทร แค่คิดว่าการออกภาคสนามครั้งนี้จะทำให้พี่ชายใหญ่กับคุณเกษได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของกันและกัน ดีกว่าการออกเดต ทานอาหาร เต้นรำอย่างมีพิธีรีตอง ความลำบากนี่แหละที่จะทำให้คนแสดงธาตุแท้ของตนเองออกมา”
วาจานักการทูตของปวรรุจทำเอาทุกคนเงียบกริบ เห็นด้วย แม้แต่ธราธรก็นิ่งคิดอย่างเห็นด้วย... รัชชานนท์คิดๆ
“ผมเห็นด้วยกับพี่ชายรุจ แต่ คุณอาเทวพันธ์จะยอมให้คุณเกษไปหรือเปล่า”
รณพีร์หนักใจ
“ถึงคุณอายอม แล้วคุณเกษจะยอมไปหรือเปล่า”
พุฒิภัทรคิดๆ
“และถ้าคุณเกษยอมไป เธอจะยอมแต่งเป็นผู้ชายหรือเปล่า เพราะถ้าเธอไม่ยอมแต่งเป็นผู้ชายก็ไปไม่ได้อยู่ดี”
ทุกคนชะงักหยุดคิด ธราธรถึงกับถอนใจ
“นั่นสิ...เฮ่อ...”
ธราธรเริ่มเครียด...ปวรรุจหันมาทางพี่ชายอย่างรู้ใจ
“เอาล่ะๆ ตอนนี้ทุกคนได้แสดงความคิดเห็นกันแล้ว ต่อไปนี้ให้พี่ชายใหญ่ตัดสินใจเองว่าจะชวนคุณเกษหรือไม่ชวน อย่าเพิ่งกดดันกันดีมั้ยครับ”
พุฒิภัทร รัชชานนท์ รณพีร์ พยักหน้าเห็นด้วย ด้วยมารยาทไม่ควรจะถามแล้ว แต่แล้วรณพีร์ทนไม่ได้
โพล่งถามออกมาด้วยความอยากรู้
“ตกลงพี่ชายใหญ่จะชวนุคณเกษไปด้วยหรือเปล่าครับ”
ธราธร ปวรรุจ พุฒิภัทร รัชชานน์ ถอนใจพร้อมกัน
“เฮ่อ...”
วังเทวพรหมวันต่อมา เกษราพูดด้วยความดีใจ ปน ประหลาดใจ
“พี่ชายใหญ่ชวนเกษไปเที่ยวเหรอคะ”
เกษราและธราธรนั่งคุยกันอยู่ในห้องรับแขก ตรงหน้าชายหนุ่มมีขนมปั้นสิบนึ่งวางอยู่คู่กับแก้วน้ำเจียรนัยและถ้วยชาอย่างหรู เขาชี้แจง
“เอ่อ...ก็ไม่เชิงหรอกจ้ะ พอดีพี่จะไปทำงานภาคสนามที่ปราสาทหินพนมจันทร์ที่เพิ่งค้นพบเมื่อไม่นาน พี่คิดว่าน่าจะเป็นโอกาสอันดีที่น้องเกษจะได้ไปดูการทำงานของพี่”
เกษราใจเต้นตึ๊กตั๊กด้วยความตื่นเต้น
“เกษอยากไปค่ะพี่ชายใหญ่ ! เกษจะไม่ทำตัวให้วุ่นวาย อยู่ง่ายกินง่ายค่ะ”
ธราธรยิ้มๆ
“ดีจ้ะ เพราะการสำรวจแต่ละครั้ง การอยู่อาศัยค่อนข้างอัตคัต พี่กลัวเกษจะเบื่อ และเหนื่อยมากกว่า”
เกษราฟังด้วยแววตาเป็นประกาย หาได้ย่อท้อไม่
“เกษอยากไปค่ะ เกษไม่เคยไปเที่ยวไหนไกลๆเลย เรียนก็ไม่ได้เรียนสูง ทุกวันนี้ก็เหมือนกบอยู่ในกะลา”
“แต่ที่ๆเราจะไปสำรวจก็ไม่มีอะไรเลยนอกจากกองหินเก่าๆ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เกษอยากเห็นของจริง ถ้าไปแล้ว ไม่ทำให้พี่ชายใหญ่ไม่สบายใจ เกษก็ยินดีค่ะ”
ธราธรยิ้มพอใจ
“พี่ก็ยินดีเช่นกัน...” แล้วเขาก็ชะงักหน้าเครียดลงมานิดนึง แล้วพูดต่อด้วยความลำบากใจ “แต่...คณะของพี่ส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย มีนักศึกษาผู้หญิงแค่คนเดียว คือ น้องมะปราง หม่อมหลวงระวีรำไพ”
“ค่ะ...เกษจำเธอได้”
“เพื่อความปลอดภัย และด้วยเหตุผลบางอย่าง ทำให้น้องมะปรางกับน้องเกษต้อง...เอ่อ...ต้อง...”
“ต้องอะไรคะ พี่ชายใหญ่พูดมาเถอะค่ะ ว่าเกษต้องทำอะไรบ้าง เกษจะพยายามปรับตัวเข้ากับคณะของพี่ค่ะ”
เกษรารอฟังแววตาเป็นประกาย ธราธรพยายามอธิบาย
“มันไม่ใช่การ ปรับตัว ครับ...แต่มันเป็นการ ปลอมตัว”
เกษราผงะ งง
“ปลอมตัว! ปลอมเป็นอะไรคะ”
ธราธรลำบากใจ
“เป็นผู้ชายครับ”
เกษราอึ้ง...พูดไม่ออกแต่เอามือทาบอกเบาๆ คิดในใจ คุณพระ!!
2.3.2
เมื่ออยู่ตามลำพัง เกษรายืนอยู่ริมหน้าต่าง ครุ่นคิดถึงสิ่งที่ธราธรพูด
“อาจจะฟังดูพิลึกพิลั่นไปหน่อย แต่ในคณะมีแต่ผู้ชายและอยู่ในป่าแบบนั้น อันตรายรอบด้าน ถ้าแต่งเป็นชายและคอยอยู่กับน้องปรางตลอด พี่คิดว่าจะปลอดภัยกว่า พี่ว่าเกษลองคุยกับน้องปรางดูดีมั้ย จะได้ปรึกษากันว่าจะทำอย่างไร พี่จะให้หมายเลขโทรศัพท์ของวังแสงอาทิตย์ไว้ แล้วแจ้งให้น้องปรางทราบว่าน้องเกษจะร่วมเดินทางไปกับเธอด้วย”
เกษราก้มดูเบอร์โทรศัพท์ที่เขียนอยู่ในกระดาษใบเก๋ ลายมือธราธรดูสวยและเป็นระเบียบมาก หญิงสาวคิดหนัก โทร.หรือไม่โทร.ดีนะ จะไปหรือไม่ไปดีนะ...
ระวีรำไพยืนกังวลอยู่ที่หน้าวังแสงอาทิตย์ เห็นรถจอดรออยู่ กัลยายืนอยู่ข้างรถเตรียม
เดินทาง อาทิตยรังสีและระวีรำไพยืนรอส่ง
“แน่ใจนะว่าไม่ให้ผมไปส่ง”
“แน่ใจค่ะ คุณพักผ่อนเถอะ ที่สนามบินมีพรรคพวกจากเรดคอร์สที่เดินทางไปด้วยกันตั้งมากมาย รับรองไม่มีเวลามานั่งเบื่อ” กัลยาหันมาทางระวีรำไพ “มะปรางดูแลคุณพ่อแทนแม่ด้วยนะลูก”
“คุณแม่ไม่ต้องห่วงค่ะ ปรางจะดูแลคุณพ่ออย่างดีที่สุดค่ะ”
กัลยายิ้มพอใจ ก่อนจะหันมาทางสามี อาทิตยรังสียิ้มรู้ใจ
“เรื่องไปทำงานภาคสนาม...ผมไม่เปลี่ยนใจ...”
กัลยาถอนใจเบาๆ
“เฮ่อ...ระมัดระวังรักษาตัวดีๆนะคะ”
“คุณเองก็เหมือนกัน”
“สวัสดีค่ะ”
กัลยายกมือไหว้อาทิตยรังสี ระวีรำไพยกมือไหว้แม่
“สวัสดีค่ะ”
กัลยาลูบหัวระวีรำไพด้วยความรัก และหันมามองหน้าสามีอีกครั้งด้วยความกังวล อาทิตยรังสีพยายามยิ้มให้ความมั่นใจ กัลยาทำใจหันหลังขึ้นรถไป ระวีรำไพมองตามรถที่เคลื่อนออกไป เห็นแม่มองพ่อด้วยความเป็นห่วงก็ยิ่งเป็นกังวล ทันใดนั้นดาวเรืองก็เดินเข้ามาหาระวีรำไพและคุกเข่ารายงาน
“คุณมะปรางคะ...คุณเกษราโทรศัพท์มาหาค่ะ”
ระวีรำไพหันมาตาโตวาว
“คุณพี่เกษ!”
ระวีรำไพยิ้มดีใจ ตาเป็นประกายอย่างมีหวัง
ระวีรำไพกับเกษรานัดเจอกันในร้านอาหาร ระวีรำไพพูดขึ้นด้วยความดีใจ
“ปรางดีใจม้ากมาก ที่พี่เกษตัดสินใจไปกับปราง เพราะชวนเพื่อนคนไหนก็ไม่มีใครยอมสักคน บอกว่าลำบาก ปรางยังคิดหนักเลยค่ะว่าจะทำยังไงดี พี่ชายใหญ่บอกว่าถ้าไม่มีเพื่อนผู้หญิงไปด้วย จะไม่อนุญาตให้ปรางไปดูแลคุณพ่อ พอพี่เกษโทร.มาปรางดีใจที่สุดเลยค่ะ”
เกษรายิ้มน้อยๆ
“พี่ก็ดีใจค่ะที่จะได้ไปเที่ยว...แล้วน้องปรางไม่กลัวว่าคุณพ่อจะจับได้เหรอคะ”
“กลัวสิคะ ปรางถึงต้องหาวิธีปลอมตัว แล้วก็ไม่โผล่ไปให้ท่านเห็นหน้า โชคดีตรงที่หัวหน้าโครงการมักไม่ค่อยมาสุงสิงกับเด็กๆนักศึกษาฝึกงาน แต่ถ้าท่านจำได้ตอนไปถึงที่โน่น ก็คงจะไม่ไล่ปรางกลับ เพราะมันไกล”
“แล้วเรื่องปลอมตัว น้องปรางคิดว่ามันจะได้ผลจริงๆเหรอคะ”
“ได้สิคะ...เพราะปรางมีผู้ช่วย”
ระวีรำไพยิ้มมั่นใจ
หน้าร้านตัดเสื้อตกแต่งหรูหราตามสมัยนิยม ตัวร้านสะอาดสะอ้านมีลูกค้าและช่างจับกลุ่ม จับคู่คุยกัน
อยู่ตามมุมต่างๆ บางคนลองเสื้อ เลือกผ้า เลือกแบบเสื้ออยู่อย่างมีความสุข โสภิตาแต่งตัวเปรี้ยว ยกมือไหว้เกษราอย่างสวยงาม สมกับเป็นกุลสตรีที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี
“สวัสดีค่ะคุณเกษ”
เกษรารับไหว้
“สวัสดีค่ะคุณโสภิตา เรียกพี่เกษเฉยๆก็ได้ค่ะ”
“อย่างนั้น พี่เกษเรียกโส...ว่าน้องโส หรือโสเฉยๆก็ได้ค่ะ”
ระวีรำไพ เกษรา และ โสภิตายืนคุยอยู่ที่มุมหนึ่งของร้านที่เป็นส่วนตัว ไม่มีคนแถวนั้นแอบมาได้ยิน ระวีรำไพบอกกับเกษรา
“คุณแม่โสภิตาเป็นเจ้าของห้องเสื้อแห่งนี้ค่ะ คุณน้าจะช่วยออกแบบ ตัดเย็บ เสื้อผ้าผู้ชายสำหรับเราสองคน”
เกษราพยักหน้ารับ ก่อนจะถามด้วยความสงสัย
“แล้ว...คุณแม่ของน้องโส...ท่านเห็นด้วยกับการปลอมตัวเหรอคะ” เกษราถามด้วยความไม่มั่นใจ
โสภี อายุประมาณ 40 กว่าท่าทางคล่องแคล่ว เปรี้ยวปรี๊ส พูดตรงไปตรงมา โสภียืนคุยกับเด็กๆอยู่ในห้องตัดเสื้อส่วนตัว โสภิตายืนอยู่ข้างๆ เกษราและระวีรำไพยืนหน้าเจื่อนอยู่ตรงข้าม
“น้าไม่เห็นด้วยเลยที่คิดจะปลอมตัวแบบนี้”
โสภิตาอ้อน
“คุณแม่ขา...ก็ตามที่โสบอกนั่นแหละค่ะ ถ้ามะปรางไม่ใช้วิธีนี้ คุณชายธราธรก็จะไม่ยอมให้ตามไปดูแลคุณชายอาทิตย์”
“แม่รู้แล้ว...ก็ถึงได้ยอมรับมาเป็นธุระ” โสภีบอกกับระวีรำไพ
“นี่ถ้าไม่เห็นแก่สุขภาพของคุณชายที่มาตัดชุดที่ร้านน้าเป็นประจำ น้าไม่ยอมทำให้เด็ดขาด”
ระวีรำไพยกมือไหว้
“ขอบพระคุณคุณน้ามากนะคะที่เมตตา”
โสภีรับไหว้ ระวีรำไพพูดต่อด้วยความเกรงใจ
“ปรางต้องรบกวนคุณน้าเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ อย่าให้คุณพ่อรู้เป็นอันขาดเลยนะคะ”
“จ้ะ น้าไม่บอกหรอก เอาล่ะ...เรารีบมาวัดตัวตัดชุดกันดีกว่า เดี๋ยวจะมืดค่ำเสียเปล่าๆ หนูมะปรางก่อนก็แล้วกัน”
ระวีรำไพกับเกษราตอบพร้อมกัน
“ค่ะ”
ระวีรำไพยิ้มตื่นเต้น เกษรายิ้มประหม่า
หน้ากระจกบานใหญ่ โสภียืนอยู่พร้อมสายวัดคล้องไว้ที่คอ และไม้บรรทัดยาว เพ่งมองรูปร่างของระวีรำไพที่ยืนอยู่ตรงหน้า ไม่ไกลออกไปเกษราและโสภิตานั่งอยู่ โสภีเพ่งพิจ และหมุนตัวพร้อมพูด
“รูปร่างผู้ชายไม่มีเอวเหมือนผู้หญิง ต้องไม่ตัดเสื้อที่เน้นให้เห็นเอวเล็กคอด กางเกงรัดเอวก็จริงแต่ต้องซับผ้าลงขอบด้านในให้หนาขึ้น จะทำให้ดูเอวใหญ่ เสื้อก็ไม่ตัดรัดรูป”
โสภีพาดสายเอี๊ยมลงที่ตัวของระวีรำไพ แล้วก็พูดด้วยความพอใจ
“ใส่สายเอี๊ยมจะช่วยดึงกางเกงไว้ เท่านี้ก็น่าจะปิดบังรูปร่างได้”
ระวีรำไพยิ้มพอใจ โสภีพูดต่อ
“ต่อไปเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ต้องปิดบังนั่นก็คือ...”
โสภีมองหน้าอกอันล้นหลามของเกษราด้วยความหนักใจ
“น้าจะตัดตัวชั้นในแบบเกาะอก ไม่มีสาย เหมือนที่สวมใต้ชุดราตรี แล้วรัดด้วยผ้าแถบที่ค่อนข้างหนา มีตะขอหลังให้ เป็นเหมือนคลอเส็ต”
โสภีชี้ไปที่หุ่นที่มีคอเส็ตใส่อยู่ ระวีรำไพกับเกษรา และโสภิตามองตาม
“แต่จะไม่ช่วยดันทรง มันจะรัดไปตั้งแต่ช่วงอก” โสภีใช้ไม้บรรทัดชี้ไล่จากหน้าอกของหุ่น “ลงจนไปถึงเอว จะทำให้ดูเป็นแผ่นอกราบ แล้วก็ใส่เสื้อกล้ามทับแค่นี้ก็ดูเหมือนผู้ชายวัยต้นยี่สิบ กล้ามเนื้อยังไม่ขยายเต็มที่ รัดแบบนี้หน้าอกไม่หย่อนคล้อย และก็ไม่โชว์ออกมาให้เห็น...แต่จะลำบากตรงที่ตอนใส่ต้องช่วยกัน ทำได้หรือเปล่า”
เกษราและระวีรำไพมองหน้ากัน แล้วก็หันมาตอบ
“ทำได้ค่ะ”
“อีกอย่างหนึ่งที่ต้องระวังมากๆ คือ ชุดชั้นใน อย่าเอาพวกกางเกงชั้นในลูกไม้ไปเด็ดขาด ต้องใส่แบบผู้ชาย เวลาเอาไปตากจะได้ไม่ต้องกลัวคนสงสัย เข้าใจหรือเปล่า”
สองสาวตอบพร้อมกัน
“เข้าใจค่ะ”
“ดี น้าจะได้วัดตัว ทำแบบ ลงมือตัด ไม่เกิน 3 วันเสร็จเรียบร้อย!”
เกษราและระวีรำไพยิ้มพอใจ โสภิตาจับมือระวีรำไพดีใจด้วย โสภีรีบพูดต่อ
“น้าคงจะช่วยได้แค่นี้ ส่วนเรื่องแต่งหน้า ทำผม พวกสาวๆคงต้องไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญกันเอง”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงค่ะคุณแม่ เพราะพวกเรานัดไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ”
โสภิตาหันมายิ้มกับระวีรำไพ รู้กันสองคน...
ในร้านเสริมสวยที่ตอนนี้ปิดแล้ว ไม่มีคนอื่นอยู่...ดาราราย เมคอัพอาร์ตติสส์ รุ่นใหญ่เพ่งพินิจใบหน้าของระวีรำไพ และเกษราที่นั่งอยู่เบื้องหน้า ข้างๆเป็นดาราฉายยืนลุ้นอยู่ไม่ห่าง ทั้ง 4 คนอยู่ในร้าน
“นับจากนี้ไป ห้ามกันคิ้วเด็ดขาด!”
ระวีรำไพกับเกษราสะดุ้งนิดๆ กับความดุ ดารารายพูดต่อ
“ต้องปล่อยให้คิ้วหนาเข้าไว้ และห้ามผัดหน้า ทาปาก แต่ต้องลงรองพื้นสีเข้มๆ ให้หน้าดูคล้ำ ๆ มันๆ เข้าไว้ ส่วนผม”
ดารารายมองหน้าระวีรำไพและเกษรา พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
“ต้องตัด!”
สองสาวอึ้ง
“ตัดผม!”
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายธราธร ตอนที่ 2 (ต่อ)
“ใช่ เพราะผมยาวแบบนี้ ใส่วิกลำบาก ใส่ยังไงก็ไม่เป็นธรรมชาติ ที่สำคัญอากาศในป่าก็ร้อนมาก ถ้าใส่วิก มีหวังคันเป็นลิง ต้องตัดอย่างเดียวเท่านั้น”
ระวีรำไพกับเกษรามองผมด้วยความเสียดาย ดาราฉายหันมาบอกดาราราย
“แต่คุณแม่คะ...คุณชายธราธรบอกว่าต้องลองแต่งเป็นชายให้ดูก่อนถึงจะอนุญาต ถ้าตัดผมไปแล้วคุณชายไม่อนุญาตให้ไป มะปรางกับพี่เกษก็ต้องอยู่ในทรงผมสั้นให้อับอายชาวบ้านเหรอคะ”
ระวีรำไพกับเกษราพยักหน้านิดๆ เห็นด้วยกับดาราฉาย
“ใช่ค่ะ คุณป้ามีวิธีอื่นที่จะทำให้เราสองคนผ่านการทดสอบก่อนแล้วค่อยตัดผมก่อนจะเดินทางจริงได้หรือเปล่าคะ”
เกษรา และดาราฉายพยักหน้าเห็นด้วยกับระวีรำไพ ดารารายคิดๆ ทั้งสามสาวรอฟังคำตอบใจจดจ่อ
“มีอีกหนึ่งวิธี!”
ดารารายจิกตาอย่างมุ่งมั่น
ดารารายลองวิกและหมวกให้เกษราและระวีรำไพ หมวกทรงผู้ชายนานาชนิดวางเรียงรายอยู่หน้ากระจก และวิกผมสั้นมากมาย วางเรียงอยู่ ดารารายกำลังมัดรวบผมระวีรำไพ กับเกษรา และสวมวิก ก่อนจะใส่หมวก ทรงโน้นทรงนี้ เพื่อปิดบังหน้า และซ่อนผมที่พองอยู่ใต้วิก ดาราฉายช่วยเป็นลูกมือ คอยส่งวิก ส่งหมวกให้...ดารารายแต่งหน้าสองสาวให้ดูคล้ำๆ มันๆ และลองใส่วิกและใส่หมวก ในแบบต่างๆ ทั้งหมวกแก๊ป หมวกเดินป่า หมวกผ้า หมวกหนัง มากมายเก๋ไก๋ละลานตา หน้าระวีรำไพดูคล้ายจะเป็นชายอยู่ในที
โสภิตา และ ดาราฉาย ยืนอยู่กลางสวนวังแสงอาทิตย์ เกษราและระวีรำไพนั่งอยู่ที่ชุดสนาม บนโต๊ะมีชุดชายามบ่าย โสภิตาบอกสองสาว
“นอกจากเสื้อผ้า และหน้าผมที่ต้องเป็นผู้ชายแล้ว เราสองคนคิดว่ามีอีกสิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน คือ...”
ดาราฉายเสริม
“กริยาอันเป็นผู้ชาย!”
สองสาวอึ้งไป ระวีรำไพถามอย่างสงสัย
“โส ดารา...แล้วกริยาอันเป็นผู้ชาย เป็นยังไงเหรอ”
“พี่ชะม้อย จะเป็นคนสอนเธอกับพี่เกษเอง” โสภิตาบอก
ระวีรำไพกับเกษรางง
“พี่ชะม้อยเป็นใครคะ” เกษราถาม
“เป็นเพื่อนสนิทคุณแม่ เป็นคนหานางงามส่งประกวด แล้วก็สอนกริยามารยาทการเข้าสังคมให้คนดังมากมายทั้งชายทั้งหญิง...พี่ชะม้อยมารออยู่แล้ว เชิญพี่ชะม้อยค่ะ”
โสภิตาผายมือมาที่ประตู เกษรา และระวีรำไพ ลุกขึ้นต้อนรับอย่างให้เกียรติ์ ชะม้อยเดินเชิดเข้ามาด้วยท่าทางตุ้งติ้ง ระวีรำไพและเกษรายกมือไหว้อย่างนอบน้อม
“สวัสดีค่ะ”
ชะม้อยกรีดมือรับไหว้ และพูดน้ำเสียงออกเลยว่าเป็นสาว
“สวัสดีจ้ะ”
ระวีรำไพ และ เกษรา เห็นท่าทางตุ้งติ้งของชะม้อยก็ผงะ อึ้งๆ นิดๆ ระวีรำไพกระซิบถามโสภิตาที่ยืนอยู่ข้างๆ
“แน่ใจนะว่า...จะมาสอนกริยาอันเป็นผู้ชาย”
ชะม้อยได้ยิน ส่งเสียงแจ๋น
“ทำไมจ๊ะ ทำไมฉันจะสอนไม่ได้” ชม้อยทำเสียงแมนมาก “ฉันเกิดมาเป็นผู้ชายนะ”
เกษรากับระวีรำไพสะดุ้ง
“แต่พอโตขึ้นมาฉันแค่เปลี่ยนใจ” ชม้อยเสียงแจ๋นเหมือนเดิม “อยากเป็นผู้หญิงก็เท่านั้นเอง”
“อ๋อ”
ระวีรำไพกับเกษราถึงบางอ้อ ชะม้อยมองสองสาว
“ตกลงจะเรียนหรือไม่เรียน”
ระวีรำไพกับเกษรารีบบอกพร้อมกัน
“เรียนค่ะเรียน”
สองสาวรีบหันไปหยิบสมุด ปากกามาเตรียมจด ชะม้อยเดินไปพูดไป
“สิ่งแรกที่ต้องเรียนรู้ในการวางตัวให้เหมือนชายก็คือ ห้ามร้องกรี๊ด วี๊ดว๊าย ให้ใครได้ยินเป็นอันขาด”
ระวีรำไพและเกษราก้มหน้าก้มตาจด ทันใดนั้นชะม้อยก็เอามือปัดขวดน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะ หล่นตกลงมาแตกต่อหน้าระวีรำไพกับเกษรา เพล้ง! ทั้งสองคนร้องกรี๊ดกร๊าดออกมา
“ว้าย กรี๊ด!”
ชะม้อยสวนทันที
“บอกแล้วไงว่าอย่ากรี๊ด”
ระวีรำไพกับเกษราก้มหน้าจ๋อย
“ขอโทษค่ะ”
ชะม้อยมองหน้าสองสาวแล้วก็ส่ายหน้า โสภิตาและดารารายมองหน้ากันจะไหวมั้ยเนี่ย
ระวีรำไพกับเกษราลองชุดที่ร้านเสื้อ หัดแต่งหน้าและใส่วิก ใส่หมวกที่ร้านเสริมสวยและ ฝึกเป็นผู้ชายกับพี่ชะม้อยหลังวัง...ระวีรำไพกับเกษรา ฝึกท่านั่ง ท่าเดิน ท่ายืนแบบผู้ชายกับชะม้อย...โสภีเอาเสื้อผ้าที่ตัดแล้วมาลองให้ระวีรำไพกับเกษราใส่ และปรับแก้...ดารารายสอนระวีรำไพ และ เกษราเก็บผม และแต่งหน้าแบบผู้ชาย...ระวีรำไพนั่งเชิดเป็นเจ้าหญิง ชะม้อยจับก้มหน้าลงหน่อย แบะอก ถ่างขา ในท่านั่ง ระวีรำไพรู้สึกฝืนแต่ก็
พยายาม...เกษราถูกรัดนมและสวมทับด้วยเสื้อเชิ้ตตัวโคร่ง เธออยู่ในชุดผู้ชายที่ค่อนข้างสมบูรณ์...ระวีรำไพแต่งหน้าเป็นชายได้เหมือน และรวบผมเก็บผมใส่หมวก ดูทะมัดทะแมงอย่างมาก
น้ำถูกสาดลงพื้นไม่ไกลจากที่เกษราและระวีรำไพนั่ง ทั้งสองคนร้องวี๊ดว้าย
“ว้าย!”
ชะม้อยมองตาดุ สองสาวรีบเก๊กแมนต่อหน้าจ๋อยๆ ระวีรำไพใส่รัดหน้าอก และเสื้อกล้ามทับ และ แต่งตัวเป็นชายอย่างคล่องแคล่ว เกษราแต่งหน้าคล้ำ รวบผม ใส่หมวก ดูน่ารักเหมือนเด็กชาย แก้วน้ำถูกปาลงพื้นดังเพล้ง เสียงระวีรำไพและเกษราร้องออกมาพร้อมกันเสียงใหญ่ห้าว
“เฮ้ย!”
โสภิตา ดาราฉาย และชะม้อย ยิ้มพอใจ...
หน้าร้านเสื้อผ้าโสภิตา รถเปิดประทุนของธราธรแล่นเข้ามาจอด ในรถมีปวรรุจ และพุฒิภัทร นั่งมาด้วย ไม่นานรถรณพีร์แล่นมาจอดเทียบ รัชชานนท์นั่งมากับรณพีร์
ธราธร ปวรรุจ พุฒิภัทร ลงจากรถ รัชชานนท์ รณพีร์ตามมา ทั้งห้ายืนอยู่ที่หน้าร้านเสื้อสาวๆ
มองกันตาเป็นมัน รัชชานนท์ และรณพีร์ มองกลับพร้อมส่งยิ้มอารมณ์ดี พุฒิภัทรมองหน้าร้านเสื้อด้วยความแปลกใจ
“พี่ชายใหญ่ ทำไมเราต้องมาที่ร้านตัดเสื้อด้วยครับ”
รณพีร์ชิงตอบ
“คือว่า...ในร้านมีห้องลองชุดที่เป็นส่วนตัว คุณเกษกับน้องปรางจะได้แต่งตัวเป็นผู้ชายให้เราทั้ง 5 ได้พิจารณาว่าผ่านหรือไม่ และห้องนี้ก็มิดชิดไม่ต้องกลัวว่าจะมีคนเห็น”
รัชชานนท์หันมา
“ที่รู้เพราะพาผู้หญิงมาตัดชุดบ่อยล่ะสิ”
รณพีร์ยิ้มไม่ปฎิเสธ
“นายช่างรู้ใจจริงๆ”
รัชชานนท์ส่ายหน้า ไม่เห็นยาก ปวรรุจหันมาทางธราธร
“จะว่าไป พี่ชายใหญ่นี่เยี่ยมไปเลย เก่งกว่านักการทูตมืออาชีพอย่างผมเสียอีก สามารถเกลี้ยกล่อมคุณเกษให้ยอมแต่งตัวเป็นผู้ชายได้”
“ไม่ได้เกลี้ยกล่อมอะไรเลย เธออยากจะไปเที่ยวอยู่แล้ว เพราะตั้งแต่รับภาระครอบครัวมาตั้งหลายปีเธอไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลย พอพี่ชวน เธอแทบจะร้องไห้ด้วยความดีใจ”
พุฒิภัทร แปลกใจ
“เธอไม่ตะขิดตะขวงใจที่ต้องปลอมตัวเหรอครับ”
ธราธรยิ้ม
“ก็มีบ้าง นี่ก็ไม่รู้ว่าจะออกมาเป็นยังไง ฝากพวกนายทั้ง 5 คนช่วยกันดูด้วย ถ้าดูแล้วไม่เหมือนผู้ชาย...พี่ก็คงจะไม่ให้ไปทั้ง 2 คน”
ทั้ง 4 คนพยักหน้ารับคำสั่ง
ทันใดนั้นมีเด็กหนุ่มใส่หมวกปิดหน้าวิ่งเข้ามาที่กลุ่มของ 5 คุณชาย และกระชากกุญแจรถจากมือธราธรแล้ววิ่งหนีไปอย่างเร็ว
ทั้ง 5 คุณชายตกใจ ธราธรร้องลั่น
“เฮ้ย!”
รัชชานนท์รีบถาม
“มันขโมยอะไรไปครับพี่ชายใหญ่”
ในจังหวะนั้นเองเด็กหนุ่มอีกคนวิ่งมาที่รณพีร์และกระชากกุญแจรถไปอย่างรวดเร็ว รณพีร์ร้องลั่น
“เฮ้ย กุญแจรถ!”
เด็กหนุ่มคนที่ 2 วิ่งหนีไป ท่าทางดูไม่แข็งแรงเท่าคนแรก แต่ก็วิ่งไวพอตัว ทั้ง 5 คุณชายงงมาก
ที่มุมตึกไม่ไกลจากหน้าร้าน เด็กหนุ่มคนแรกวิ่งผ่านแล้วเลี้ยวเข้าไปอย่างเร็ว เห็นหน้าที่บังอยู่ใต้หมวกแว่บคลับคล้ายคลับคลาเหมือนจะเป็นระวีรำไพ อีกมุมตึกเด็กหนุ่มคนที่สองวิ่งผ่านเข้าไปในซอกตึก ด้วยอาการเหนื่อยหอบกว่าคนแรก แต่ก็ยังดูทะมัดทะแมงใต้หมวกเห็นหน้าคล้ายจะเป็นเกษรา
รณพีร์พูดด้วยความแค้นใจ
“ไอ้เด็กบ้า มันกล้ามาล้วงคองูเห่า !”
รัชชานนท์รีบเข้ามาประกบ
“ท่านเรืออากาศตรีคิดว่าศึกนี้เราควรจะรับมืออย่างไรดี”
รณพีร์หันมาแล้วก็บอกพี่ๆ ด้วยน้ำเสียงที่ดูเข้มแข็ง หนักแน่น ไม่ขี้เล่น เหมือนปกติ
“ตึกในย่านนี้เป็นตรอกซอกซอย ทุกตรอกทะลุถึงกัน ไอ้หัวขโมยคนแรกมันวิ่งทางโน้น” รณพีร์ชี้ไปมุมตึก “พี่ชายใหญ่วิ่งเข้าไปที่ซอกนี้จะทะลุไปเจอกับถนนที่มันวิ่งเข้าไป”
ธราธรพยักหน้ารับ
“พี่ชายรุจเข้าไปที่ซอกโน้น” รณพีร์ชี้ไปที่ซอยถัดไป “แล้ววิ่งอ้อมกลับมาจะทะลุมาเจอกับพี่ชายใหญ่ดักทั้งข้างหน้าข้างหลังไม่พลาดแน่”
ธราธรกับปวรรุจพยักหน้ารับ
“ชายเล็กไปที่ซอยด้านโน้น ส่วนฉันจะวิ่งตามมันไป ทางที่มันไปเป็นซอยตันมันไม่รอดแน่ ท่านพี่เข้าใจแล้วเราก็แยกย้าย !”
รัชชานนท์พยักหน้ารับ
“ครับผม!”
ทั้งสี่วิ่งออกไปตามที่รณพีร์วางแผน เหลือแต่พุฒิภัทรยืนเหวออยู่ แล้วตะโกนขึ้น
“ฉันรออยู่ในร้านนะ ใครต้องการหมอก็มาเรียกแล้วกัน”
ระวีรำไพ ในคราบเด็กหนุ่ม วิ่งมาตามซอกอย่างเหนื่อย วิ่งไปก็มองหลังไปอย่างระมัดระวัง ธราธรวิ่งตามเข้ามาในซอก ปวรรุจวิ่งมาอีกซอก
เกษราในคราบเด็กหนุ่มวิ่งมาตามซอก เหนื่อยหอบ รัชชานนท์วิ่งเข้ามาอย่างเร็ว เบาๆ ไม่เหนื่อยเลย รณพีร์วิ่งตามมาอีกทางด้วยความคล่องแคล่ว เพราะเขาผ่านการฝึกมาอย่างดี...ระวีรำไพวิ่งมาสักพักก็ชะงักเพราะธราธรวิ่งทะลุซอยมาอยู่ข้างหลังในระยะประชิด ระวีรำไพหันมาเห็นก็ตกใจรีบวิ่งต่อ ธราธรเห็นก็เรียกขึ้น
“ไอ้น้อง ! หยุดซะดีๆ หนีไม่พ้นหรอก”
ระวีรำไพยังก้มหน้าวิ่งสุดชีวิต
รัชชานนท์โผล่ออกมาจากซอกแล้วก็ยืนดักไว้ เกษราวิ่งมาเจอพอดีก็ชะงักกึก
“ไอ้หนู เอากุญแจคืนมาถ้าไม่อยากโดนจับส่งตำรวจ”
เกษราไม่ยอมรีบหันหลังแล้วก็วิ่งกลับไปที่เดิม
ปวรรุจวิ่งออกมาจากซอกแล้วก็ดักระวีรำไพไว้ทันที ระวีรำไพชะงักกึก รีบก้มหน้า หันกลับมาจะวิ่งหนีอีก ธราธรก็วิ่งมาดัก ระวีรำไพก้มหน้างุด ธราธรเสียงเข้มมาก
“ฉันขอดูหน้าหน่อยสิไอ้หนุ่ม ลูกเต้าเหล่าใคร ริอ่านมาเป็นหัวขโมยตั้งแต่ยังเด็ก”
ธราธรพูดจบก็สะบัดหมวกออกจากศรีษะของระวีรำไพ
เกษราหันมาเจอรณพีร์ที่วิ่งเข้ามาดักอีกด้าน รัชชานนท์เอื้อมมือมาคว้าหมวกเกษรา
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
เกษราถูกกระชากหมวกออก
ระวีรำไพหมวกหลุด ผมยาวที่ซ่อนไว้ก็สะบัดร่วงพราวลงมา
เกษราหมวกถูกดึงออกเธอเงยหน้าขึ้น มองรัชชานนท์และรณพีร์ ทั้งสองคนถึงกับอึ้งพูดออกมาพร้อมกัน
“คุณเกษ”
ธราธรและปวรรุจอึ้งพอกัน
“น้องปราง”
ระวีรำไพยิ้มแหะๆ เกษรายิ้มเจื่อนๆ
ภายในร้านเสื้อผ้า พุฒิภัทรนั่งจิบชามองมาข้างหน้าอย่างอึ้งๆ
“อืมม์...เหมือนจริงๆ”
เกษรา และ ระวีรำไพยืนอยู่ในชุดเด็กหนุ่ม ธราธร ปวรรุจ รัชชานนท์ และรณพีร์
ยืนกระจายอยู่ในห้องลองชุด โสภิตาและดาราฉายยืนลุ้นอยู่หลังเกษราและระวีรำไพ ปวรรุจยิ้มชื่นชม
“น้องปรางและคุณเกษหลอกพวกเราทั้ง 5 คนให้เชื่อได้อย่างสนิทใจ ไม่มีใครปฎิเสธสักคน”
เกษราและระวีรำไพหันมาจับมือกัน แล้วก็ยิ้มให้กันด้วยความดีใจ รัชชานนท์เห็นด้วย
“นั่นสิ ทำพวกเราวิ่งซะเหนื่อยเลย”
รณพีร์หันมาทางธราธรทำเสียงขรึมล้อ
“อย่างนี้พอได้มั้ยครับคุณชายใหญ่”
เกษรา กับ ระวีรำไพหันมาทางธราธร ทุกคนรอฟังคำตอบ ธราธรทำเป็นคิดหนัก ก่อนจะค่อยๆยิ้มและพยักหน้า เกษรากับระวีรำไพดีใจ โสภิตาและดาราฉายยิ้มกว้างดีใจไปด้วย สี่สาวกรี๊ดกร๊าดดีใจ เกษรากรี๊ดกร๊าดน้อยสุด
“ผ่านแล้วๆ”
ธราธรส่ายหน้า
“จะไม่ผ่านก็ตอนนี้แหละ”
เกษราและระวีรำไพรีบเก๊กหน้าเข้ม
“เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นอย่าหลุดกระโดดโลดเต้นแบบนี้ออกมาล่ะ โดนจับได้แน่ๆ”
ระวีรำไพทำเสียงเข้ม
“อะแฮ่ม ไม่หลุดแน่ครับ อาจารย์หม่อมไม่ต้องเป็นห่วง”
เกษราเสียงใหญ่
“รับรองครับ เราจะไม่ทำให้อาจารย์หม่อมต้องผิดหวัง”
ธราธรเดินเข้ามาสองสาว
“ดีมาก...ต่อไปน้องเกษ คือ นายก้องเกียรติ หรือ ก้อง”
เกษราพยักหน้ารับทราบ และจำไว้ ธราธรหันไปบอกระวีรำไพ
“น้องมะปรางคือ นายตะวัน”
ระวีรำไพพยักหน้ารับ พร้อมกับยิ้มกว้าง
“ทั้งสองคนเป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยที่พี่เป็นอาจารย์พิเศษสอนอยู่ หน้าที่คือช่วยพี่บันทึกรายละเอียดการสำรวจทั้งหมด งานของทั้งสองคนจะอยู่ภายใต้การดูแลของพี่เป็นหลัก ต่างจากนักศึกษาอื่นที่จะดูแลโบราณวัตถุ เข้าใจหรือเปล่า”
ระวีรำไพและเกษรายิ้มรับ แล้วก็ตอบเสียงเข้ม
“เข้าใจครับ”
ธราธรยิ้มพอใจ
“ดีมาก...แบบนี้พี่ก็สบายใจ...พรุ่งนี้พบกันที่จุดนัดพบ พวกเราพร้อมที่จะออกเดินทางได้แล้ว!”
ระวีรำไพ กับ เกษรา จับมือกันแน่น และหันมามองหน้ากันอย่างมีความสุข ธราธรมองสองสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าแววตามีความสุขไม่น้อยไปกว่ากัน รัชชานนท์ รณพีร์ และพุฒิภัทรก็ยิ้มรับ บรรยากาศชื่นมื่น ปวรรุจ มองหน้าธราธรและมองระวีรำไพกับเกษราด้วยแววตาครุ่นคิด...ปวรรุจเป็นคนเดียวที่คิดว่าการเดินทางครั้งนี้มีความหมายมากกว่าการไปเฝ้าดูอาการอาทิตยรังสีหรือการไปเที่ยวเล่นเพื่อความสนุกสนาน สายตาปวรรุจเห็นธราธรยืนอยู่ตรงกลางระหว่างระวีรำไพและเกษรา
ผู้หญิงสองคนที่พี่ชายใหญ่ของเขาจะต้องตัดสินใจเลือกภายในเวลาอีกไม่นาน