แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 9
เช้าวันต่อมา ขณะที่นพดลนอนหลับอยู่บนเตียง ยินเสียงเคาะประตูถี่ยิบ นพดลงัวเงียลุกจากเตียง เดินไปที่ประตู
“ใครวะ เคาะไม่มีเกรงใจ”
นพดลมองดูตรงช่องตาแมว แล้วเปิดประตู พเยียยังอยู่ในชุดไว้ทุกข์ถลันเข้ามาในห้อง
“พเยีย มาทำไมแต่เช้า...”
นพดลยังพูดไม่ทันจบคำ พเยียก็ตบฉาดเข้าให้ที่หน้า
นพดลโกรธ “เฮ้ย อะไรวะ”
“เมื่อคืนไปมุดหัวอยู่ที่ไหน ฉันโทรหาพี่ทั้งคืน”
“ก็ไปปาร์ตี้หาความสุขบ้างซี๊ ทำไม มีอะไรถึงได้บ้าแต่เช้า”
พเยียโกรธจัด “หน็อย ไปปาร์ตี้ รวยใหญ่ซีนะ ขายเครื่องเพชรได้เงินมาเท่าไหร่ล่ะ”
นพดลทำเป็นงง “เครื่องเพชรอะไร”
“ก็เครื่องเพชรที่เอามาจากศพคุณหญิงไงล่ะ อย่านึกว่าฉันไม่รู้นะ ฉันเห็นกับตามาแล้ว...คนอื่นๆ ที่วังก็เห็นแล้วด้วย”
นพดลตกใจ “เฮ้ย เป็นไปได้ยังไง”
“คุณสกุณาของพี่ เค้าใส่ไปงานศพเมื่อคืนนี้” พเยียทุบนพดลอย่างโกรธแค้น “ฉันบอกแล้วใช่ไหม ว่าอย่าไปยุ่งกับมัน ทำไมไม่เชื่อกันบ้าง หา”
นพดลสะบัดออกอย่างรำคาญ
“เว้ย ก็ใครจะไปรู้ล่ะ ว่าโลกมันกลมขนาดนั้น เค้าเห็นแล้วเค้าอยากได้ แล้วมันก็เงินทั้งนั้น จะให้เก็บไว้ทำซากอะไร”
“อยากโลภไม่เข้าเรื่อง ตอนนี้ พวกที่วังเค้ากำลังจะสาวมาถึงพี่แล้ว แล้วคราวนี้จะทำยังไงกัน หะ จะทำยังไงกัน”
นพดลอึ้ง ส่วนพเยียทิ้งตัวลงนั่งกุมขมับ มึนตึ๊บ ไม่รู้จะทำยังไงต่อไป
ขณะเดียวกัน อรรถกับสกุณาแต่งตัวเหมือนจะออกจากบ้าน เดินลงจากชั้นบนมาที่ห้องโถง 2 คนเห็นพรเดินหน้าตาตื่นตรงเข้ามาหา
“คุณคะ ตำรวจมาค่ะ” พรบอก
อรรถงง “ตำรวจมา มาทำไม”
ตำรวจ 2 นายเดินเข้ามาที่ห้องโถง พร้อมอิศร อรรถเดินนำออกไปหา สกุณาตามไปห่างๆ
“สวัสดีครับ คุณอรรถ อดิศวร กับคุณสกุณา กรรณชาติใช่ไหมครับ” ตำรวจทักทายทำความเคารพ
“ใช่ครับ ไม่ทราบมีอะไรเหรอครับ” อรรถงวยงง
“ตำรวจเค้ามีเรื่องอยากจะสอบสวนผู้หญิงของพ่อหน่อยน่ะ” อิศรบอกแทน
สกุณาตกใจ “สอบสวนดิฉัน!” หันไปถามตำรวจอย่างร้อนใจ “เรื่องอะไรกันคะ”
สกุณาหน้าตาตื่น ไม่เข้าใจว่าตำรวจจะสอบถามอะไร
ไม่นานนัก สกุณาวางเครื่องเพชรของนภาจรีลงบนโต๊ะกลางโถง อิศรและตำรวจพิศดู
สกุณาหน้าเจื่อนๆ “นี่ค่ะ แหวนกับต่างหูที่ดิฉันใส่ไปงานศพเมื่อคืน”
“ทางวังศิวาลัยเค้าคิดว่า แหวนและต่างหูชุดนี้ เป็นของคุณหญิงนภาจรี” อิศรบอก
อรรถกับสกุณาตกใจ
“อะไรนะ” อรรถคาดไม่ถึง
อิศรย้ำกับผู้เป็นพ่อ “ครับ คุณอาดารายืนยันว่าคุณหญิงนภาจรีใส่แหวนและต่างหูชุดนี้ติด
ตัวอยู่ในวันเกิดเหตุ” อิศรปรายตามองสกุณาพูดเป็นเชิงขู่ “แล้วมันก็หายไปจากร่างของเธอ หลังจากที่เธอถูกฆ่าตาย”
สกุณาหน้าซีด สยองขวัญ อรรถตกใจสุดขีด
“นี่ นี่แก แกคงไม่ได้หมายความว่า...” อรรถมองสกุณาที่นั่งตะลึงอยู่ข้างๆ แล้วหันไปหาตำรวจ “ไม่นะครับ เราสองครอบครัวรักใคร่นับถือกันมานาน เป็นไปไม่ได้ที่สกุณาจะไปเกี่ยวข้องกับการฆ่าคุณหญิงนภาจรี”
ตำรวจรีบอธิบาย “มิได้ครับ ทางตำรวจหรือคุณชายนภัสเองก็ไม่ได้คิดว่าคุณสกุณาเป็นฆาตกร แต่ที่เราต้องการทราบก็คือ คุณสกุณาได้เครื่องเพชรชุดนี้มาจากไหน”
สกุณาหน้าซีด ปากสั่น อึกอัก ไม่อยากบอกใครว่าซื้อมาจากนพดลเพราะกลัวว่าจะสาวไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างตนกับนพดล แต่จะไม่บอกก็ไม่ได้
“ว่าไงครับ” อิศรถามย้ำ
อรรถคาดคั้นเสียงดั ท่าทีฉุนเฉียว
“บอกเค้าไปสิคุณ ว่าไปซื้อมาจากไหน ไอ้ที่บอกว่าได้มาถูกๆ น่ะ”
“คือ มีคนรู้จักกันมาบอกขายน่ะค่ะ เค้าบอกว่าเจ้าของร้อนเงิน เขาขอให้ดิฉันช่วยซื้อไว้”
“เค้าบอกหรือเปล่าว่าเจ้าของเป็นใคร” ตำรวจซัก
“เค้าบอกว่าเจ้าของเป็นคนมีหน้ามีตา เป็นผู้ดีเก่า เลยไม่อยากให้ใครรู้ว่าเอาเครื่องเพชรมาขาย เค้าเลยบอกไม่ได้ค่ะ”
อรรถโมโหมาก “แล้วไอ้เค้าน่ะมันใคร ใครที่มันเอาของโจรมาหลอกขายให้คุณ”
สกุณาอึกอัก อิศร อรรถ และตำรวจมองเธอเป็นตาเดียว
“เค้าเป็น Therapist ทำงานอยู่ในสปาที่ฉันเป็นสมาชิกอยู่ค่ะ”
อิศรถาม “ชื่ออะไร”
สกุณาบอกเสียงอ่อย “ชื่อนพดลค่ะ”
ขณะเดียวกันพเยียเดินกลับเข้าบ้าน สีหน้าไม่ค่อยดีนัก ผ่านห้องนั่งเล่น ได้ยินเสียงนภดาราร้องเรียกดังมา
“พเยีย”
พเยียชะงัก มองเข้าไปในห้อง เห็นนภดารากับกอหญ้าในชุดอยู่กับบ้าน ไว้ทุกข์นั่งจัดของถวายสังฆทานถวายพระ สำหรับงานสวดพระอภิธรรมนภาจรีคืนนี้พเยียฝืนยิ้ม แล้วเดินเข้าไปหา
“มีอะไรคะคุณแม่”
นภดารามองนิ่งๆ อย่างจับผิด “พเยียไปไหนมาแต่เช้าลูก”
“ไป เอ่อ ไปซื้อของค่ะ”
พเยียล้วงไปในกระเป๋าใบใหญ่ที่สะพายมา เห็นเป็นอาหารเม็ดสำหรับแมวจริงๆ
“คุณยายหญิงไม่อยู่แล้ว คนในบ้านก็ยุ่งๆ พเยียเห็นขนมของปุยฝ้ายหมด เลยออกไปซื้อมาให้”
นภดารามองนิ่งเข้าไปในตาพเยีย รู้ว่าโกหก เสียใจ
“งั้นหรือจ๊ะ”
พเยียรีบเปลี่ยนเรื่อง ทำความดีเอาอกเอาใจ
“คุณแม่ทำไมยังไม่ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกล่ะคะ เดี๋ยวก็ต้องออกไปวัดแล้ว” ดึงของมาจากมือนภดารา “มาค่ะ ที่เหลือนี่พเยียทำกับกอหญ้าเอง”
กอหญ้าบอก “คุณอาไปเถอะค่ะ เหลืออีกนิดเดียวก็เสร็จแล้ว เราทำกันเองได้”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ กอหญ้า ฉันยังไม่รีบไปไหนหรอก อยากจะรอฟังข่าวก่อน”
พเยียฉงน “ข่าวอะไรคะ”
นภดารามองหน้าพเยีย ทำใจไม่อยากพูด กอหญ้าตอบแทน
“ข่าวคนที่เอาเครื่องเพชรของคุณหญิงนภามาขายน่ะค่ะ ตำรวจได้เบาะแสแล้วว่ามันอยู่ที่ไหน ตอนนี้กำลังไปจับตัวมัน ถ้าจับได้ เราคงได้รู้กัน ว่าฆาตกรที่ฆ่าคุณหญิงมันเป็นใคร”
พเยียหน้าตาหวาดหวั่นอย่างเห็นได้ชัด นภดารามองเห็น ก็ยิ่งเสียใจ
ไม่นานนักรถตำรวจเลี้ยวเข้าจอดที่หน้าคอนโดที่นพดลอาศัยอยู่ ตำรวจ 2 นายลงจากรถ ตรงเข้าไปที่ล้อบบี้ ตำรวจโชว์ตราให้พนักงานที่อยู่ตรงเคาน์เตอร์ดู
“ผมเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ นายนพดล ฉายสำอางพักอยู่ที่นี่ใช่ไหมครับ”
“ค่ะ อยู่ที่ห้อง” พนักงานบอกเลขที่ห้องไป
“ช่วยพาผมขึ้นไปหน่อย ทางตำรวจต้องการพบและนำตัวนายนพดลไปสอบสวน”
“คุณนพดลไม่อยู่แล้วค่ะ แกเพิ่งบอกคืนห้องเมื่อเช้านี้เอง แกบอกว่าต้องย้ายไปทำงานต่างจังหวัดด่วน เลยขอคืนห้องเลย ยอมให้ทางเรายึดมัดจำไว้”
ตำรวจอีกนายงง “คืนห้อง หมายความว่าย้ายออกไปแล้วงั้นเหรอ”
“ค่ะ ข้าวของก็ขนไปหมดแล้ว ท่าทางรีบร้อนมาก ฉันยังคิดอยู่เลย ว่าแกรีบร้อนอย่างกับจะหนีอะไร”
ตำรวจ 2 นายมองหน้ากัน เซ็ง
“แล้วมีใครพอจะทราบไหม ว่าเขาไปไหน”
ส่วนพเยียผลุนผลันเข้ามาในห้อง ล็อกประตู แล้วรีบคว้าโทรศัพท์มือไม้สั่นกดเบอร์นพดล
“พี่นพ” แต่ไม่มีคนรับ พเยียหัวเสียวางสาย แล้วกดใหม่ “พี่นพอยู่ไหน” ปากก็บ่นกับตัวเอง “ตำรวจแห่ไปที่คอนโดกันแล้ว มันจะหนีทันไหมเนี่ย
พเยียกดโทรศัพท์อีก แต่แล้วต้องชะงัก เมื่อได้ยินเสียงกริ๊กของลูกบิดประตู พเยียหันขวับเห็นนภดาราไขกุญแจ แล้วเปิดประตูเข้ามา
พเยียตกใจ “คุณแม่”
นภดาราเห็นพเยียถือโทรศัพท์ค้างคามือ นภดาราปราดเข้ามาแย่ง พเยียหลบ
“เอาโทรศัพท์มาให้แม่”
พเยียปัดป้อง “คุณแม่ คุณแม่จะทำอะไรคะ”
“แม่ก็อยากรู้น่ะสิ ว่าพเยียทำอะไร กับใครอยู่”
นภดาราแย่งโทรศัพท์มาได้ รีบกดดู เห็นชื่อ “นพดล”
นภดาราใจจะขาด เงยหน้ามอง อึ้ง เสียใจ “นพดล...เค้าเป็นใคร”
นภดาราถามย้ำ ทั้งๆ ที่รู้แล้วว่าตำรวจกำลังตามคนชื่อนพดล พเยียอึ้ง ไม่ตอบนภดาราเลยจะกดโทร.ออก พเยียโถมเข้าใส่ทีเผลอ แย่งเอาโทรศัพท์กลับมาจนได้ แล้ววิ่งตื๊อเข้าห้องน้ำ ล็อกประตูทันที
นภดาราตามไปทุบประตู “พเยีย ออกมานะ เอาโทรศัพท์มาให้แม่เดี๋ยวนี้”
พเยียลนลานแกะแยกชิ้นส่วนโทรศัพท์ แล้วเอายัดลงไปในถังน้ำชักโครก เพื่อทำลายไม่ให้ใช้งานได้อีก
นภดาราโกรธมาก
“พเยีย ออกมาเดี๋ยวนี้นะ ออกมาคุยกับแม่ให้รู้เรื่อง ไม่งั้นแม่จะเรียกตำรวจเดี๋ยวนี้”
ประตูเปิดออก พเยียเดินออกมา พร้อมรับสถานการณ์ นภดารามองพเยียอย่างผิดหวัง เจ็บปวด อย่างแม่ที่คิดว่าลูกของตนเป็นคนร้าย
“ลูกทำแบบนี้ได้ยังไง”
พเยียพยายามนิ่ง “คุณแม่คิดว่าพเยียทำอะไรคะ”
“ลูกทำร้ายคุณยายหญิง” นภดาราน้ำตาคลอ “เพราะอะไร พเยีย เพราะแค่คุณยายหญิงไม่ชอบลูก ลูกถึงกับฆ่าคุณยายหญิงงั้นเหรอ ทำไมลูกถึงโหดร้ายอำมหิตผิดมนุษย์อย่างนี้”
“พเยียไม่ได้ทำ คุณแม่เข้าใจผิด”
“หลักฐานทุกอย่างมันชัดเจน ลูกวางยาทองมาให้หลับยามลูกล่อคุณยายหญิงให้ออกไปจากวัง ให้คนชื่อนพดลมาฆ่า” นภดาราอัดอั้นจนร้องไห้ออกมา “ลูกฆ่าคุณยาย”
พเยียระเบิดออกมา สีหน้าเจ็บปวด
“พเยียไม่ได้ตั้งใจ” นภดาราชะงัก “ทุกอย่างมันเป็นอุบัติเหตุ พเยียไม่ได้ตั้งใจ”
พเยียทรุดตัวลง ร้องไห้ นภดาราเจอคำสารภาพตรงๆ เข้าไป ถึงกับอึ้ง งง
ด้านนภัสรพีวางโทรศัพท์ กอหญ้ากับแม่ชื่นที่รออยู่รีบเข้าไปหา
“ตำรวจว่าไงบ้างคะ ท่าน ได้ตัวคนร้ายไหมคะ”
“ตำรวจบอกว่ามันหนีไปแล้ว มันไหวตัวทัน”
“ลองอีแบบนี้ คงต้องมีคนส่งข่าวบอกมันแน่ๆ ไปเสียเที่ยวเปล่าแท้ๆ”
“ก็ไม่ถึงกับเสียเปล่าหรอก แม่ชื่น ตำรวจเค้าได้หลักฐานเพิ่มเติมมาอีกเยอะ ที่คอนโดมีสำเนาบัตรประชาชนอยู่ เรารู้แล้วว่ามันเป็นใคร”
“แล้วเค้าเป็นใครล่ะคะ” กอหญ้าถาม
“ชื่อนายนพดล ฉายสำอาง อายุ 25 ปี เป็นคนเชียงใหม่ มันเคยอยู่ใกล้ๆ กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่หนูเคยอยู่นั่นแหละ”
นภัสรพีหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เปิดไฟล์ที่ทางตำรวจเพิ่งส่งมาให้ เป็นรูปที่ถ่ายมาจากสำเนาบัตรประชาชนของนพดล
กอหญ้ากับแม่ชื่นพากันมองดู ไม่ชัดนัก แต่พอดูออก กอหญ้าถึงกับผงะ
“นี่มัน”
“มีอะไรเหรอจ๊ะ กอหญ้า”
“เค้าคือคนที่ไปจับตัวหนูที่หัวหินน่ะค่ะ คนเดียวกันแน่ๆ หนูจำเค้าไม่ได้ แต่เค้ารู้จักหนู เขาเรียกชื่อหนูด้วย”
นภัสรพีคิดตาม “เป็นคนที่รู้จักกับหนู แล้วเคยทำร้ายหนูมาก่อน นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ๆ”
“ค่ะ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ๆ ชื่นว่าคนที่บงการอยู่เบื้องหลัง มันคือคนเดียวกันนั่นแหละ ที่คิดจะกำจัดทั้งคุณหญิง ทั้งหนูกอหญ้า”
นภัสรพีหันมองแม่ชื่น สีหน้าแม่ชื่นเหมือนรู้อะไรมากกว่าที่พูด ประมุขแห่งศิวาลัยเริ่มไม่สบายใจ เรื่องในบ้านชักซับซ้อนและน่ากลัวขึ้นทุกที
พเยียเช็ดน้ำตาป้อยๆ ขณะอธิบาย
“พเยียเคยเป็นแฟนพี่นพ เราเคยมีอะไรกัน พอพเยียรู้ว่าเค้าเป็นคนไม่ดี พเยียก็เลิกกับเค้า เค้าไม่ยอม พอดีคุณลุงปราบตามพเยียลงมาหาคุณแม่ พเยียเลยหนีมา”
นภดาดาราฟัง พยายามทำใจแข็ง
“แล้วยังไง”
“พี่นพมันได้ข่าวว่าพเยียมาอยู่กับคุณแม่ มันรู้ว่าคุณตากับคุณแม่มีเงินเยอะแยะ มันตามหาพเยียจนเจอ...แล้ว...แล้ว ข่มขู่พเยีย”
“ข่มขู่ยังไง”
“มันบอกว่ามันถ่ายรูปพเยียเอาไว้ ตอนที่เรามีอะไรกัน ถ้าพเยียไม่เอาเงินให้มัน มันจะส่งรูปให้หนังสือพิมพ์ พเยียกลัวคุณแม่กับคุณตา คุณยายรู้ กลัวจะอับอายไปถึงวงศ์ตระกูลของเรา พเยียก็เลยยอม”
นภดาราโกรธ “ยอมให้มันฆ่าคุณยายหญิง เพื่อเครื่องเพชรชุดเดียวงั้นน่ะเหรอพเยีย”
พเยียเงยหน้ามองนภดารา ดวงตาใสซื่อน่าสงสาร น้ำตาคลอ
“พเยียไม่มีเงิน เลยขโมยของคุณยายหญิงเอาไปให้มัน แต่คุณยายหญิงจับได้ คุณยายหญิงตามพเยียออกไป แล้วขู่ว่าจะเรียกตำรวจ” พเยียสะอื้น “มันเลยฆ่าคุณยายหญิง พเยียห้ามไม่ทัน มันฆ่าคุณยายหญิงตาย”
พเยียร้องไห้ นภดาราพูดไม่ออก ทั้งโกรธ ทั้งเสียใจ แต่ก็เชื่อเรื่องที่พเยียเล่ามาทั้งหมด เพราะไม่คิดว่ามีเหตุผลอื่นที่พเยียจะอยากฆ่านภาจรี
นภดาราทรุดลงนั่งกับเตียงอย่างอ่อนแรง พูดด้วยน้ำเสียงเหมือนจะขาดใจ
“แล้วทำไมไม่บอกแม่ ทำไมไม่พูดความจริงตั้งแต่แรก”
พเยียค่อยๆ คลายเข้ามาซบที่ตักนภดารา น้ำตาไหล
“มันบอกว่าถ้าพเยียพูดมันจะฆ่าพเยียมันบอกว่า ถ้ามันคิดคุก พเยียก็ต้องโดนด้วย ที่สมรู้ร่วมคิด พเยียกลัวค่ะ พเยียไม่อยากตาย พเยียไม่อยากติดคุก”
นภดารามองพเยีย อดสงสารไม่ได้ แต่ยังทำใจแข็ง พเยียกอดขานภดาราเอาไว้
“พเยียผิดไปแล้ว พเยียยอมรับโทษทุกอย่าง คุณแม่จะเฉดหัวพเยียออกจากบ้าน จะตัดแม่ตัดลูกกับพเยียก็ได้ แต่ขอบอกใครได้ไหมคะคุณแม่ นะคะ พเยียขอร้อง”
พเยียก้มลงกราบที่เท้านภดารา แล้วซบนิ่งอยู่อย่างนั้น แต่ในใจลุ้นว่านภดาราจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร
แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 9 (ต่อ)
นภดารามองพเยียด้วยความสะเทือนใจในเรื่องที่เกิดขึ้น หนักใจ แต่ก็ตัดใจ
“ลูกทำลายชีวิตคนทั้งคน จะให้แม่ปิดปากเงียบไม่ได้หรอกนะ ลูกทำผิด ลูกก็ต้องรับผิดชอบ”
นภดาราลุกขึ้น เดินไปที่ประตู แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อได้ยินเสียงข้าวของตกลงพื้น นภดาราหันมาเห็นพานผลไม้บนโต๊ะล้มคว่ำ พเยียยืนจังก้า ถือมีดปอกผลไม้ไว้ในมือ ตาวาววับ
นภดาราตกใจ “พเยีย”
“ถ้าคุณแม่ต้องการอย่างนั้น พเยียก็ขอตาย ชดใช้ความผิด ชดใช้ชีวิตให้คุณยายหญิง ก็แล้วกันนะคะคุณแม่”
พเยียทำท่าเหมือนจะเอามีดแทงตัวเอง นภดาราวิ่งเข้ามายื้อเอาไว้
“อย่า พเยีย อย่าลูก”
“ปล่อยลูกเถอะค่ะ คุณแม่ พเยียยอมตาย ดีกว่าต้องไปทนทรมานในคุกให้พเยียตายเถอะค่ะ ให้พเยียตาย”
นภดาราดึงกระจกออกจากมือพเยีย แล้วดึงพเยียมากอด น้ำตาไหล
“ไม่เอานะลูก ลูกตาย แล้วแม่จะอยู่ต่อไปได้ยังไง ไม่เอานะ พเยีย”
พเยียซบสะอื้นอยู่ในอ้อมอกนภดารา แต่แววตาสาสมใจ
เย็นนั้นนภัสรพีเปลี่ยนชุดเรียบร้อยเตรียมตัวจะไปงานศพ แม่ชื่นยืนอยู่ข้างๆ
“ทำไมคุณชายไม่เรียกคุณพเยียมาถามให้รู้เรื่องกันไปเลยล่ะคะ”
“รอให้ตำรวจจับไอ้หมอนั่นให้ได้ก่อนดีกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ต้องจับให้มั่นคั้นให้ตาย ว่าแต่แม่ชื่นเถอะ ทำให้มั่นใจนักว่าพเยียเป็นคนบงการ เท่าที่ฉันคิดดู ไม่เห็นจะมีเหตุผลเลย ถ้าจะบอกว่าเป็นเพราะไม่ชอบหน้ากัน มันก็เกินไป”
“ไม่ใช่แค่นั้นหรอกค่ะ คุณชาย แต่ว่าคุณพเยีย”
แม่ชื่นยังพูดไม่ทันจบ นภดาราก็เดินเข้ามา เปลี่ยนชุดใหม่เรียบร้อย
“ได้เวลาแล้ว ไปวัดกันเลยไหมคะ คุณพ่อ”
“เดี๋ยวก่อนลูก พ่อกำลังคุยเรื่องสำคัญกับแม่ชื่น”
นภดารานึกรู้ว่าแม่ชื่นน่าจะพูดเรื่องที่สงสัยพเยีย รีบเข้ามาคล้องแขนยืนข้างๆ นภัสรพี เพื่อไม่ให้นภัสรพีเห็นสีหน้าตนชัดเจนนัก พูดดักคอ
“เรื่องสำคัญอะไรคะ แม่ชื่น เรื่องดีหรือเรื่องร้ายคะ เรื่องเกี่ยวกับพเยียลูกสาวของฉันหรือเปล่า”
นภดาราเน้นย้ำว่าพเยียเป็นลูกของตน และมองแม่ชื่นอย่างวิงวอน ไม่อยากให้พูดเรื่องที่ทำร้ายพเยีย แม่ชื่นเข้าใจ
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ คุณดารา” บอกกับนภัสรพี “เอาไว้ชื่นค่อยเรียนปรึกษาคุณชายวันหลังดีกว่านะคะ วันนี้คงไม่สะดวกแล้ว”
นภัสรพีพยักหน้ารับ แม่ชื่นค้อมตัวออกไป นภดารามองตามแม่ชื่นด้วยสายตากังวล รู้ดีว่าแม่ชื่นสงสัยพเยีย และต้องพูดเรื่องพเยียแน่ ไม่ช้าก็เร็ว นภดาราหนักใจ จะทำยังไงดี
ฝ่ายชิษณุพงษ์คุยโทรศัพท์กับกอหญ้าเรื่องนพดล
“เธอแน่ใจเหรอ กอหญ้า ว่ามันจะกลับไปเชียงใหม่”
กอหญ้าอยู่ที่มุมหนึ่งในวังศิวาลัย
“ก็ไม่แน่หรอก แต่ยังไงฉันว่าเราก็น่าจะลองเสี่ยงดู”
“ได้ ฉันจะให้แตงกับลุงเติมลองสืบให้ทั่ว ว่าแต่ว่า หน้าตามันเป็นยังไงล่ะ ไอ้นพดลคนนี้น่ะ”
“คุณชายถ่ายรูปสำเนาบัตรประชาชนของคนที่ชื่อนพดลมาด้วย ฉันจะส่งไปให้เธอเดี๋ยวนี้”
กอหญ้ากดส่งไฟล์ภาพไปให้ชิษณุพงษ์
ไม่นานต่อมาบนถนนชานเมือง กำลังจะถึงกรุงเทพฯ ลุงเติมขับรถตู้ของคุ้ม แตงอยู่ในรถตู้ คุยโทรศัพท์กับชิษณุพงษ์
“แต่ตอนนี้ แตงกับลุงเติมไม่ได้อยู่ที่เชียงใหม่แล้วน่ะซี คุณณุ ลงมาตั้งแต่เมื่อเช้า จะถึงกรุงเทพฯอยู่แล้วเนี่ย”
“อ้าว แล้วลงมาทำไม ฉันสั่งให้เธอกับลุงเติมไปหาคุณแม่วันเพ็ญ ไปสืบเรื่องกอหญ้าไม่ใช่เหรอ”
“ก็สืบแล้ว ได้เรื่องแล้ว แตงก็จะลงมารายงานนี่ไง”
ชิษณุพงษ์ตื่นเต้น “รายงานมาเลย ได้เรื่องอะไรมามั่ง”
“เรื่องมันยาว ไปคุยที่บ้านไม่ดีเหรอ คุณณุ”
“ไม่ ฉันใจร้อน ว่ามาเลย ได้อะไรมา ฮัลโหล แตง ได้ยินฉันไหม แตง”
สายตัดไป ชิษณุพงษ์เซ็ง
ส่วนในรถ แตงก็เซ็ง
ลุงเติมถาม “แบตหมด”
“จ้ะ”
“สมน้ำหน้า โทรศัพท์เค้ามีไว้โทร. เอ็งก็เอามาเล่นเกมส์ ถ่ายรูป ทำโน่นทำนี่สารพัด แบตมันจะไม่หมดได้ยังไง” เห็นแตงเปิดลิ้นชัก ค้นตรงโน้นตรงนี้เหมือนหาอะไรซักอย่าง “แล้วนั่นหาอะไรของเอ็ง”
“ที่ชาร์ตแบตจ้ะ”
“นี่ไง”
ลุงเติมควักสายชาร์ตแบตรุ่นโบราณ ที่เข้ากับโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาชู แตงเห็นแล้วกุมหัว
“โห ...ลุงเติม รุ่นอะไรเนี่ย”
“รุ่นโทรได้ ไม่เหมือนของเอ็งก็แล้วกัน”
ลุงเติมเก็บโทรศัพท์อย่างภูมิใจ แล้วขับรถไปอย่างสบายอุรา
ตกเย็นอิศรสวมเสื้อคลุม เพิ่งอาบน้ำเสร็จกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟา มองแหวนรูปดาวในมือ นิ่งคิด
“ความรักคือการให้นะครับ คุณอิศร”
เสียงสุบรรณซึ่งแต่งตัวเรียบร้อยเตรียมไปงานศพแหลมขึ้นมา กำลังแสดงโวหารกล่อมอิศรให้ยอมคืนแหวนให้กอหญ้า อิศรเหลือบมองสุบรรณอย่างหมั่นไส้
“แล้ว...”
“แล้วความรักจะงอกงามได้ ต้องอยู่บนรากฐานของความซื่อสัตย์ จริงใจต่อกัน ไม่โกหก ไม่หลอกลวง ไม่เบี้ยว ไม่กั๊ก ไม่เม้ม”
อิศรลุกไปทำท่าเหมือนอยากเตะสุบรรณให้กระเด็นติดฝา
“ไอ้นี่ เดี๋ยวเถอะ”
สุบรรณรู้ทันเด้งตัวหนี แต่ยังอวดโอ้โวหารต่อไป
“และที่สำคัญ รักแท้คือการเสียสละ ผมรู้ว่าคุณอิศรรักคุณกอหญ้าแต่ถ้าเขากับคุณชิษณุพงษ์เคยหมั้นหมายกันมาก่อน คุณอิศรก็ต้องยอมแพ้อย่างลูกผู้ชาย”
อิศรส่ายหัวอย่างอ่อนใจ “ไอ้บ้า แหวนนี้ไม่ใช่แหวนหมั้น แหวนแทนใจอะไรหรอก ไอ้หมอนั่นมันสารภาพกับฉันแล้ว ว่ามันโกหก มันกับกอหญ้าไม่เคยหมั้นกัน”
“อ้าว แล้วคุณอิศรจะมานั่งคิดทำไมครับเนี่ย เห็นนั่งจ้องแหวนมาตั้งนาน คิดอะไร”
“ฉันแค่สงสัยเท่านั้นเอง แกคิดดูสิ สุบรรณ กอหญ้าเป็นเด็กกำพร้า ยากจนมาตั้งแต่เกิด ถ้านี่ไม่ใช่แหวนของเจ้าชิษณุพงษ์ แล้วกอหญ้าไปเอาแหวนเพชรแบบนี้มาจากไหน”
บรรยากาศที่ศาลาสวดศพ ตอนเย็น แขกที่มาฟังสวดยังไม่มาก มีแต่เจ้าภาพที่เตรียมงานอยู่ด้านหลังศาลา แม่ชื่นคุมสาวใช้จัดการเรื่องชุดอาหารเครื่องดื่มเหมือนเคย กอหญ้าหน้าตาตื่นเต้น เดินมาหา
“แม่ชื่นขา แม่ชื่น”
“อะไรคะ หนูกอหญ้า”
“คุณอิศรโทร.มาบอกว่า หาแหวนเจอแล้วค่ะ”
แม่ชื่นดีใจ “โอ๊ย ดิฉันดีใจที่สุดเลย แล้วตอนนี้แหวนอยู่ที่ไหนคะ”
“คุณอิศรจะเอามาคืนให้หนูคืนนี้ค่ะ”
แม่ชื่นยิ้มดีใจ ตาวาวด้วยความหวัง หญิงชราคิดในใจ
“คุณพระคุณเจ้า ขอให้แหวนของหนูกอหญ้าเป็นแหวนรูปดาวของคุณดาราจริงๆ เถอะ เรื่องเลวร้ายในบ้านนี้จะได้จบสิ้นซักที”
หญิงชรายิ้มดีใจ สีหน้าเปี่ยมความหวัง
แม่ชื่นหน้าตาแจ่มใสอย่างเห็นได้ชัด ตื่นเต้นจนหูตาแวววาวผิดสังเกต เดินมองหานภัสรพีในศาลาสวดศพนภาจรี
“คุณชายอยู่ไหนนะ ตะกี๊ยังเห็นอยู่เลย”
นภดาราโผล่เข้ามาขวางถามเสียงเข้ม
“หาคุณพ่อทำไมเหรอคะ แม่ชื่น”
แม่ชื่นชะงัก นภดาราพูดอย่างตัดพ้อ
“เงียบทำไมคะ หรือแม่ชื่นมีความลับอะไรที่ฉันรู้ไม่ได้อีก”
แม่ชื่นเห็นว่ากอหญ้าจะได้แหวนมาแล้ว จึงไม่ต่อปากต่อคำ จะหลบไป นภดาราคว้าต้นแขนไว้ ลากแม่ชื่นไปที่มุมลับตาคน
“ฉันรู้นะคะว่าแม่ชื่นจะทำอะไร แม่ชื่นจะฟ้องคุณพ่อเรื่องพเยียใช่ไหม”
แม่ชื่นตัดสินใจพูดตรงๆ อย่างไม่ไว้หน้า
“ค่ะ ดิฉันเชื่อว่า “มัน” เป็นคนทำร้ายหนูกอหญ้า ทำให้คุณหญิงนภาต้องตาย”
“แม่ชื่นกำลังพูดถึงลูกฉันนะคะ! ลูกสาวคนเดียวของฉัน”
“มันไม่ใช่ลูกของคุณ คุณกำลังหลงผิด ปกป้องลูกงูเห่า ที่พร้อมจะกัดพวกเราทุกคน ไม่เว้นแม้แต่ตัวคุณเอง”
นภดาราไม่ได้ติดใจหรือสนใจคำพูดของแม่ชื่นคำแรก เพราะมัวแต่โกรธ เถียงแทนพเยียปากคอสั่น
“ฉันไม่ได้หลงผิด ฉันรู้ว่าพเยียทำอะไรลงไป ฉันรู้ ว่าลูกฉันผิด แต่พเยียไม่ใช่ฆาตกร พเยียไม่ได้เลวร้ายอย่างที่แม่ชื่นคิด”
แม่ชื่นขยับปากจะเถียง นภดาราชิงพูดสำทับ
“ฉันรู้ว่าแม่ชื่นรักคุณอาหญิง ฉันเองก็รักท่านเหมือนกัน แต่ฉันก็รักลูกฉันด้วย ฉันขอร้องล่ะค่ะแม่ชื่น เลิกวุ่นวายกับเรื่องนี้ได้แล้ว”
แม่ชื่นมองนภดาราอย่างเสียใจ
“ทุกอย่างที่ทำ ดิฉันทำด้วยความกตัญญูต่อคุณหญิงและคุณชาย แต่กลับถูกคุณดารามองว่าวุ่นวาย”
นภดาราเสียใจเหมือนกันที่ทำให้ชื่นเสียใจ แต่เธอรู้ว่าเธอต้องใจแข็ง เพื่อที่จะหยุดความเสียหาย
“ฉันจะสารภาพความจริงกับคุณพ่อ พเยียจะต้องได้รับการลงโทษ แต่ฉันจะทำด้วยวิธีของฉันเอง แม่ชื่นห้ามยุ่ง”
นภดาราพูดเฉียบขาด แล้วหยิบโทรศัพท์มาจากกระเป๋าถือ
“แม่ชื่นเหนื่อยมาหลายวันแล้ว เดี๋ยวฉันจะบอกให้วิชัยพากลับไปพัก”
แม่ชื่นรู้ทันว่านภดาราไม่ไว้ใจตัวเอง รีบพูดขัดขึ้น เสียงสั่นด้วยความน้อยใจ
“ไม่ต้องทำขนาดนั้นหรอกค่ะ ยังไงชื่นก็ยังเป็นข้ารับใช้ของคุณดารา ถ้าคุณสั่งห้ามยุ่ง ชื่นก็จะไม่ยุ่ง ชื่นรับปากว่าจะไม่ไปเสนอหน้ากับคุณชายอีก”
นภดาราหน้าจ๋อยไป แต่ฝืนใจทำเข้มแข็ง
“ขอบใจจ้ะ”
แม่ชื่นจะเดินไป แล้วหันมา
“แต่ความจริงก็คือความจริง ต่อให้ดิฉันไม่พูด มันก็ต้องแดงโร่ออกมา” หญิงชรายิ้มเย้ย “อีกไม่กี่ชั่วโมงหรอกค่ะ คุณดารา คุณจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร แล้วคุณจะเสียใจ ที่ทำกับดิฉันแบบนี้”
แม่ชื่นเดินออกไป นภดาราใจหายวาบ อย่างบอกไม่ถูก
เวลาเดียวกันที่ปั๊มน้ำมันเขตชานเมือง รถเก๋งกระบะคันที่นพดลเคยใช้เลี้ยวเข้ามา แต่ติดป้ายทะเบียนเรียบร้อยนพดลนั่งอยู่กับเพื่อนผู้ชายรูปร่างดี ท่าทางเหมือนคนทำงานที่เดียวกัน เป็นคนขับเข้ามาจอดให้เด็กเติมน้ำมัน
“เต็มถังน้อง” เพื่อนบอกนพดล “มึงรออยู่นี่ กูปวดท้อง”
“เออ แล้วรีบมานะ เพราะกูก็ปวดฉี่เหมือนกัน”
“อ้าว งั้นรอให้เสร็จก่อนก็ได้ ไปทีเดียวเลย”
นพดลขำๆ “รอได้แน่นะมึง อย่าเสือกแตกออกมาในรถล่ะ กว่าจะถึงเชียงใหม่ เหม็นตายชัก”
ตรงร้านค้าในปั๊ม แตงซื้อน้ำและขนมอยู่ หันมาเห็นหน้านพดลในรถ แต่นพดลใส่แว่นสวมหมวกพรางตัวนิดหน่อย แตงชะงัก
“นั่นมัน”
แตงรีบออกไปนอกร้าน กะจะดูให้ถนัด พอดีรถเติมน้ำมันเสร็จเลื่อนไปที่ห้องน้ำด้านหลัง
แตงวิ่งไปหาลุงเติม ที่จอดรถอยู่ไม่ไกล
“ลุงจ๋า ลุง เรื่องใหญ่แล้ว”
“อะไร ไอ้แตง อะไรกัน”
“แตงเจอผู้ชายคนนึง ท่าทางมันเหมือนคนที่ไปดักจับคุณกอหญ้าที่หัวหินเลย”
“เฮ้ย พูดจริงดิ แล้วมันอยู่ไหน”
แตงบุ้ยใบ้ไปที่รถที่จอดหน้าห้องน้ำชาย
ลุงเติมกับแตงซุ่มอยู่ในรถ ที่จอดอยู่ไม่ห่างจากรถของนพดล ทั้งสองมองไปที่หน้าห้องน้ำ แตงใช้โทรศัพท์ของลุงเติมโทร.คุยชิษณุพงษ์
“มันไปเข้าห้องน้ำ คุณณุ ยังไม่ออกมาเลย”
ชิษณุพงษ์อยู่ที่บ้าน ใส่ชุดเตรียมจะไปงานศพนภาจรี กำลังเดินแกมวิ่งไปที่รถที่จอดไว้
“รอดูตอนมันออกมา ถ้าแน่ใจว่าเป็นคนเดียวกัน เราก็เรียกตำรวจจับมันเลย”
แตงย้อนถาม “เอางั้นเลยนะ คุณณุ”
“งั้นสิ แตงจับตาดูมันเอาไว้นะ ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้”
รถชิษณุพงษ์ขับออกไปด้วยความเร็ว
ส่วนที่วัด อิศรแนะนำสุบรรณกับนภัสรพี
“สุบรรณ นี่คุณชายนภัสรพี ศิวาวงศ์ คุณชายครับ นี่สุบรรณ ผู้ช่วยของผม”
“สวัสดีครับ”
“ขอบใจนะ ที่มา” นภัสรพีพูดกับอิศร “ฉันไม่นึกว่าคืนนี้คุณอิศรจะมาอีก”
“ผมตั้งใจว่าจะมาทุกคืนครับ แล้วพอดีมีธุระกับกอหญ้าเค้าด้วย อยู่ไหนครับนี่”
อิศรสอดส่ายสายตามองไปทั่วๆ คนในงานยังไม่มากนัก เห็นคนใช้ในวังแต่งดำ ช่วยงานกันอยู่ขวักไขว่
นภัสรพียิ้มอย่างเข้าใจ “กอหญ้าไม่อยู่หรอก เขาออกไปทำธุระกับชิษณุพงษ์”
“ธุระ”
อิศรกับสุบรรณมองหน้ากัน สงสัย เรื่องอะไร
ชิษณุพงษ์ขับรถด้วยความเร็วสูง กอหญ้านั่งข้างๆ เป็นคนคุยโทรศัพท์กับลุงเติมและแตง
“ตกลงว่าใช่แน่นะ แตง”
แตงกับลุงเติมยังแอบอยู่ในรถ
แตงเห็นนพดลกินน้ำยืนรอเพื่อนอยู่ที่ข้างรถ ถอดแว่นออกแล้ว เห็นหน้าชัดเจน
“ชัวร์ค่ะ คุณกอหญ้า แตงจำได้ คนเดียวกันแน่ๆ คุณบอกคุณณุให้รีบมาเลย”
ชิษณุพงษ์ได้ยินเสียงแตงแว่วๆ เลยหันไปพูดกับกอหญ้า “ฉันจะถึงอยู่แล้ว บอกแตงให้เฝ้าไว้ให้ดี อย่าให้มันหนีไปได้ก็แล้วกัน”
กอหญ้าวางสาย ตาวาว มีความหวัง หันไปถามชิษณุพงษ์
“เราจะได้ตัวคนร้ายแล้ว อีกไม่กี่อึดใจ ฉันจะได้รู้ซะที ว่าใครเป็นคนที่ต้องการทำร้ายฉัน แล้วมันต้องการอะไร”
ค่ำแล้วแตงกับลุงเติมเฝ้ามองอยู่ เห็นเพื่อนนพดลเดินออกมา
“นั่น เพื่อนมันออกมาแล้ว อ้าว เฮ้ย”
ทั้งสองเห็นเพื่อนนพดลขึ้นรถ นพดลตามขึ้นไป
“มันจะไปแล้ว ไอ้แตง”
“คุณณุมาไม่ทันแน่ มันสตาร์ทรถแล้ว เอาไงดีล่ะ ลุง”
เพื่อนนพดลถอยรถ ลุงเติมคิดๆ ทำหน้าเจ้าเล่ห์ แล้วตัดสินใจเข้าเกียร์รถตัวเองพุ่งออกไป
รถลุงเติมเข้ามาชนท้ายรถเพื่อนนพดลดังโครม สะเทือนไปทั้งคัน
“เฮ้ย อะไรวะ”
นพดลกับเพื่อนเปิดประตูรถลงมาดู ลุงเติมก็ลงมาเหมือนกัน ทำท่าหัวฟัดหัวเหวี่ยงมาเลย
“ขับรถยังไงวะ ไอ้หนู”
“ผมต่างหากที่ต้องถาม ลุง ขับเข้ามาได้ยังไง เมาหรือเปล่า” นพดลโมโห
“อ้าว ลุงก็ขับของลุงมาดีๆ เอ็งนั่นแหละที่ถอยรถไม่ดูตาม้าตาเรือเอ็งน่ะเป็นคนผิด จ่ายค่าเสียหายมาซะดีๆ” ลุงเติมบอก
นพดลชักโมโห “กูไม่ผิด กูไม่จ่าย”
ลุงเติมบอก “ไม่จ่ายก็เรียกประกันมา”
“รถกูไม่มีประกัน” เพื่อนบอก
“ขับรถไม่ทำประกัน งั้นเอ็งก็ผิดกฎหมาย ข้าจะเรียกตำรวจ”
ว่าแล้วลุงเติมทำท่าจะโทรศัพท์
แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 9 (ต่อ)
ชิษณุพงษ์ขับตามนพดลมาละแวกหมอชิตแล้ว กอหญ้าโทร.คุยกับแตง
“แตงกับลุงเติมไม่เป็นอะไรแน่นะ จ้ะ เรากำลังตามอยู่ แตง ไม่ต้องห่วง...แล้วฉันจะคอยส่งข่าวเป็นระยะๆ”
กอหญ้าวางสาย สายตาจับจ้องไปที่รถเพื่อนนพดล ชนิดไม่ยอมให้คลาดสายตา เห็นรถนพดลซิกแซกหลบเข้าซอยลัด
“มันเลี้ยวไปทางโน้นแล้ว ชิษณุพงษ์
ชิษณุพงษ์เลี้ยวตามทันที โดนกดแตรด่าลั่นถนน
ส่วนในรถนพดล เห็นนพดลพยายามกดโทรศัพท์หาพเยีย แต่ไม่มีเสียงอะไรเลย เพราะโทรศัพท์พเยียเจ๊งไปแล้ว
“โธ่เว้ย ให้มันได้หยั่งงี้สิวะ”
“เฮ้ย นพ กูว่าฟอร์ดสีดำ... คันนั้นแม่งตามเรามาว่ะ” เพื่อนนพดลว่า
“เฮ่ย” นพดลเหลียวมองไป สังเกตรถชิษณุพงษ์ “ไม่ใช่ตำรวจนี่หว่า”
เพื่อนชักสงสัย “มึงไปทำอะไรมา ทำไมมีคนตามมึง”
นพดลไม่สนใจ มองรถชิษณุพงษ์ตลอด “เรื่องของกูน่ะ มึงขับไป”
“ไม่ล่ะ ถ้ามึงไม่บอกมึงลงไปเลย กูไม่อยากซวยไปกับมึงด้วย ว่าไง”
นพดลมองเพื่อนอย่างขัดใจ มองไปข้างหน้า เห็นป้ายสถานีขนส่งหมอชิต นพดลคิดอะไรได้
“มึงส่งกูข้างหน้านี่เลย ไอ้บอม เรื่องมากนัก กูไปเองได้”
เพื่อนนพดลหักชิดซ้าย ชิษณุพงษ์ตามติด
นพดลสะพายกระเป๋าเดินแกมวิ่งเข้าในฝูงคน ได้ยินเสียงประกาศ
“ท่านผู้โดยสาร ที่จะเดินทางไปเชียงใหม่ เวลาสิบเก้านาฬิกา สิบห้านาที กรุณาขึ้นรถได้ที่ชานชาลาหมายเลข...”
นพดลวิ่งไปที่ช่องขายตั๋วทันที ชิษณุพงษ์กับกอหญ้าวิ่งตามเข้ามา กวาดตามองหา
“หายไปไหนแล้ว” ชิษณุพงษ์ขัดใจ “รอดไปจนได้”
กอหญ้ามองไปที่ป้ายบอกสายรถ เห็นคำว่าเชียงใหม่ นึกได้
“ทางโน้นค่ะ”
นพดลยืนรออยู่ที่ช่องขายตั๋ว
“ไปเชียงใหม่นะคะ” คนขายถาม
“ครับ”
ชิษณุพงษ์กับกอหญ้าวิ่งเข้ามา กอหญ้าชี้มาที่นพดล
“อยู่โน่นค่ะ”
นพดลออกวิ่งหนีเลย ไม่รอเงินทอน คนขายร้องเรียก
“อ้าว คุณ”
นพดลวิ่งหนี ชิษณุพงษ์กับกอหญ้าวิ่งตาม
“หยุดนะ ไอ้นพดล ฉันเห็นหน้าแกแล้ว แกหนีไม่รอดหรอก”
นพดลเลี้ยวไปมุมหนึ่ง มีลังไม้ใส่สินค้าเทินสูง และมีรถเข็นสำหรับขนถ่ายสินค้าระเกะระกะ นพดลคิดๆ ชิษณุพงษ์วิ่งตามมา ทันใดนั้น ลังไม้ที่กองสูงก็ล้มลงใส่ชิษณุพงษ์ ชิษณุพงษ์ล้มลงไป
นพดลจะวิ่งหนี กอหญ้าตัดสินใจร้องตะโกน
“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย ช่วยจับโจรด้วย”
มีผู้คนได้ยินเสียง เริ่มเข้ามาดู
นพดลเห็นจวนตัว ควักปืน ที่เพิ่งซื้อมาออกมาขู่กอหญ้า โดยเล็งไปที่ชิษณุพงษ์ที่เพิ่งลุกขึ้นมา
“หุบปากนะ นังกอหญ้า”
กอหญ้าชะงัก นพดลเข้าไปคว้าตัวกอหญ้าเอาไว้ ชิษณุพงษ์ตกใจ
“เฮ้ย แกจะทำอะไร”
“อย่าตามมานะ ไม่งั้นนังนี่ตาย”
นพดลลากกอหญ้าไป กอหญ้าขัดขืน ชิษณุพงษ์ฉวยโอกาสนั้น ตัดสินใจเสี่ยงถีบรถเข็นของขนาดใหญ่พุ่งเข้าชนนพดล นพดลไม่ทันระวังตัว เสียหลัก กอหญ้าสะบัดหลุดวิ่งหนี นพดลยิงตามมา เฉี่ยวแขนกอหญ้า
กอหญ้าร้อง “โอ๊ย” แล้วล้มลงไป
“กอหญ้า”
ชิษณุพงษ์เข้ามาประคองกอหญ้า นพดลฉวยโอกาสวิ่งหนีไป
ส่วนที่งาน พระสวดจบแล้ว นภัสรพี นภดารา และพเยียยืนส่งแขกที่ทยอยกันลากลับ พเยียหน้าขรึม ดูเจียมเนื้อเจียมตัวกว่าทุกวัน อิศรเดินหน้ามุ่ยเข้ามาลา สุบรรณตามมาด้วย
“กอหญ้าหายหน้าไปเลย ท่าทางธุระที่ไปทำคงจะเรื่องใหญ่มาก”
นภัสรพีรู้ว่าอิศรผิดหวังที่ไม่ได้เจอกอหญ้า ยิ้มเอ็นดู
“ก็ใหญ่เอาการอยู่ ฉันเสียใจด้วยนะ ที่พวกเธอต้องมาเก้อ”
สุบรรณตกใจ “มิได้ครับ คุณชาย ผมตั้งใจจะมาฟังสวดอยู่แล้ว เพียงแต่วันนี้ คุณอิศรมีของสำคัญเอามาให้คุณกอหญ้าเท่านั้นเอง”
มีแขกผู้ใหญ่เดินออกมา นภัสรพีหันไปสั่งนภดารา
“ลูกบอกกอหญ้าให้เขาโทร.หาคุณอิศรคืนนี้ด้วยก็แล้วกัน ฉันขอตัวไปส่งแขกก่อนนะ ตามสบาย”
ทั้งสองไหว้ลา นภัสรพีแยกออกไป อิศรรีบบอกนภดารา
“เอาไว้พรุ่งนี้ผมมาใหม่ก็ได้ครับ แค่ของส่วนตัวของกอหญ้าเค้าเท่านั้นเอง ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร สุบรรณมันชอบเว่อร์”
พเยียที่ยืนสงบเสงี่ยมอยู่ข้างแม่ ได้ยินถึงกับหูผึ่ง สุบรรณไม่ได้ระวังตัว เลยเถียงขึ้นมา
“เว่อร์อะไรกัน คุณอิศร คุณกอหญ้าเค้าทวงคุณอิศรมาหลายหนแล้ว” สุบรรณหันมาบอกกับนภดารา “คุณกอหญ้าบอกว่ามันสำคัญมาก อยากได้คืน แต่เจ้านายผมนี่แหละครับ ที่มัวแต่ระแวงโน่นนี่ เลยอมไว้ ไม่ให้เค้า”
“เปล่า ฉันไม่ได้อม ก็เอามาคืนแล้วนี่ไง แต่เค้าไม่อยู่เอง”
พเยียได้ที
“คุณอิศรฝากพเยียไว้ก็ได้ค่ะ พเยียจะเอาไปให้กอหญ้าเอง”
อิศรลังเล ไม่ไว้ใจพเยียเลย “ไม่เป็นไรครับ”
พเยียแกล้งทำหน้าจ๋อย “อ้อ ท่าทางคงจะเป็นของมีค่า คุณอิศรคงไม่ไว้ ใจพเยีย”
สุบรรณเห็นพเยียหน้าจ๋อย กลัวนภดาราจะโกรธว่าไม่ไว้ใจ รีบพูดไกล่เกลี่ย
“ไหนๆ ก็เอามาแล้ว คุณอิศรฝากคุณนภดาราไว้ก็ได้นี่ครับ”
“อาเต็มใจรับฝากจ้ะ” เห็นอิศรยังลังเลนิดๆ “ถ้าอิศรไว้ใจอานะ”
อิศรตัดสินใจ “ผมไว้ใจคุณอาดาราอยู่แล้วครับ”
พลางอิศรล้วงกระเป๋าสูท หยิบถึงกำมะหยี่สีดำเล็กๆ ออกมาส่งให้นภดารา
“นี่ครับ ของที่กอหญ้าเค้าอยากได้ แล้วฝากบอกเค้าด้วยนะครับว่า ได้ของไปแล้ว อย่าลืมที่สัญญาเอาไว้” นภดาราทำหน้างง “คุณอาบอกเค้าตามที่ผมพูดนี่แหละครับ กอหญ้าเค้ารู้ ว่าผมหมายถึงอะไร”
“จ้ะ” นภดารายิ้มบางๆ
อิศรกับสุบรรณลากลับ
นภดาราเอาถุงกำมะหยี่ใส่กระเป๋าถือ รูดซิปปิด พเยียมองตาวาว สงสัยสุดๆ ว่าของนั้นคืออะไร
นภดาราเดินมานั่งพักที่โซฟา วางกระเป๋าไว้ข้างตัว ค่อนข้างเหนื่อยและเครียดกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ พเยียตามมานั่งประจบ
พเยียมองไปที่กระเป๋า “ของอะไรคะ คุณแม่”
“แม่จะไปรู้ได้ยังไงจ๊ะ อิศรเค้าไม่ได้บอกซะหน่อย”
“คุณแม่ก็ลองเปิดดูสิคะ”
“อุ๊ย ไม่ได้จ้ะ ของส่วนตัวเค้าฝากไปให้กัน เราจะไปเปิดดูได้ยังไง น่าเกลียด”
พเยียมองไปที่กระเป๋าอย่างขัดใจ
ทันใดนั้น นภดาราก็ลุกขึ้น ตามองออกไปด้านหน้าศาลา
“เอ๊ะ ชิษณุกลับมาแล้ว แล้วกอหญ้าล่ะ”
นภดารา เห็นชิษณุพงษ์ท่าทางยับเยิน เดินขึ้นมาคนเดียว นภดารารีบลุกไปหา พเยียแอบชำเลืองไปที่กระเป๋า
ทั้งสามคนยืนคุยกันหน้าศาลา นภัสรพีตกใจ
“กอหญ้าถูกยิงงั้นเหรอ”
“กระสุนเฉี่ยวแขนไปนิดเดียวครับ ตอนนี้ทำแผลเรียบร้อย แต่หมอให้พักดูอาการอยู่ที่โรงพยาบาลก่อน”
นภัสรพีถาม “แล้วแจ้งตำรวจหรือยัง”
“เรียบร้อยครับ คุณปู่ ตอนผมออกมา ตำรวจเข้าไปสอบปากคำกอหญ้าแล้ว ผมกลัวทางนี้เป็นห่วง เลยกลับมาก่อน”
“เราไปดูกอหญ้ากันเถอะค่ะ คุณพ่อ” นภดาราบอก
“ดี ให้เอารถคันใหญ่ออกเถอะ จะได้ไปพร้อมกันเลย”
“ลูกไปหยิบกระเป๋าก่อน”
นภดาราหันจะกลับไปที่โซฟา แต่เจอพเยียยืนอยู่ ส่งกระเป๋าให้
“นี่ค่ะ คุณแม่”
“ขอบใจจ้ะ พเยียไปด้วยกันไหมลูก”
“พเยียเหนื่อย แล้วก็ปวดหัวด้วยค่ะ เหมือนจะมีไข้”
“งั้นกลับไปพักนะลูก แม่กับคุณตาไปดูกอหญ้าแป๊บเดียว…ไปค่ะ คุณพ่อ”
ทั้งหมดพากันออกไป พเยียแอบถอนใจโล่ง
ใต้ต้นไม้ ด้านหลังศาลา แม่ชื่นนั่งเศร้าอยู่คนเดียวในมุมมืด เห็นหลังพเยียไวๆ วิ่งออกไปที่ลานจอดรถด้านหลังวัด แม่ชื่นขยับชะเง้อดู ศรีมาข้างหลัง น้ำเสียงตื่นเต้น
“คุณแม่บ้านคะ”
แม่ชื่นหันกลับไป “อะไร”
“คุณชายกับคุณดาราเอารถคันใหญ่กลับไปก่อนแล้วนะคะ ท่านจะไปดูคุณกอหญ้า คุณกอหญ้าโดนยิง” ศรีบอก
แม่ชื่นตกใจ “หา! โดนยิง”
“เฉี่ยวแขนนิดเดียวค่ะ” แม่ชื่นคลายความกังวล “ตอนนี้อยู่โรง’บาล ปลอดภัยดี”
“แล้วไป” แม่ชื่นนึกได้ “เอ๊ะ แล้วทำไมตะกี๊ ฉันเห็นคุณพเยียวิ่งไปข้างหลัง”
“อ๋อ คุณหนูบ่นปวดหัว ไม่สบายค่ะ เลยขอกลับบ้านไปเอง”
แม่ชื่นฟังแล้วสงสัยอย่างแรง
พเยียเข้ามาในตึกที่ปิดไฟมืดสลัว เพราะที่วังไม่มีใครอยู่ ทุกคนไปที่งานศพกันหมด พเยียวิ่งขึ้นไปทั้งๆ ที่มืดๆ
พเยียเข้ามาในห้องตัวเอง เปิดถุงแหวนกำมะหยี่ดู เห็นแหวนรูปดาว พเยียหยิบแหวนขึ้นมาดู
“แหวนรูปดาว”
พเยียนึกอะไรได้ ตกใจ
วันแรกที่พเยียมาถึง ถูกนภัสรพีทวงถามเรื่องแหวน
“เธอมีแหวนติดตัวมาด้วยนี่ ไปไหนซะล่ะ ขอให้ตาดูหน่อยซิ”
“แหวนอะไรคะ หนูไม่มีแหวนอะไรซักหน่อย” พเยียเอะใจ แล้วนึกตกใจ “หนูต้องมีแหวนด้วยเหรอคะ คุณแม่ แหวนอะไร”
นภดาราถามเสริม “แหวนที่พ่อของหนูให้กับแม่จ้ะ แม่ให้ติดตัวหนูไว้พร้อมกับล็อกเก็ตอันนี้ ตั้งแต่ตอนที่หนูเกิด... หนูเอาให้คุณตาดูหน่อยซี ...อยู่ไหนจ๊ะ
พเยียดึงตัวเองกลับมาคิดๆ ค่อนข้างมั่นใจ
“นี่เอง แหวนที่ทุกคนถามหา แหวนที่จะพิสูจน์ว่า นังกอหญ้าคือทายาทตัวจริงของศิวาวงศ์ ...ไม่ใช่เรา”
พเยียคิดๆ มองแหวนในมือ ตัดสินใจ
“จะต้องไม่มีใครได้เห็นแหวนวงนี้เด็ดขาด โดยเฉพาะนังกอหญ้า”
ส่วนที่โรงพยาบาลกอหญ้าทำแผลเสร็จ นั่งพักอยู่บนเตียง คนอื่นรายล้อม ให้การกับตำรวจเพิ่งเสร็จ
“คงจะมีเท่านี้ล่ะครับ ขอบคุณน้องมาก”
ตำรวจทำท่าจะกลับ นภัสรพีย้ำ
“ยังไงก็ฝากช่วยจับตัวคนร้ายให้ได้เร็วที่สุดนะครับ”
“ครับ คุณชาย ตอนนี้ทางเราก็ได้ควบคุมตัวเจ้าของรถกระบะ ที่เป็นเพื่อนของนายนพดลมาสอบสวนแล้ว เพื่อนของนายนพดลยืนยันว่า นายนพดลวางแผนจะไปกบดานที่เชียงใหม่ ทางเราก็ประสานงานกับตำรวจท้องที่ให้สืบหาตัวนายนพดลอย่างเร่งด่วนแล้วครับ”
ชิษณุพงษ์เจ็บใจ “ผมพลาดเอง ไอ้ฆาตกรที่มันฆ่าคุณย่าหญิงเลยหนีไปได้”
นภัสรพีปลอบ “ไม่เป็นไรหรอก ชิษณุ คนที่ตายก็ตายไปแล้ว ยังไงชีวิตคนที่ยังเป็นอยู่ก็สำคัญกว่า” คุณชายหันมาทางกอหญ้า “วันหน้าวันหลัง หนูอย่าเสี่ยงแบบนี้อีกนะ”
“ค่ะ” กอหญ้ารับคำ
“ผมจะให้คนของเจ้าพ่อช่วยกันหาอีกแรง ถ้ามันอยู่เชียงใหม่จริง เราต้องได้ตัวคนร้ายแน่”
ฟังที่ชิษณุพงษ์ว่า นภดารามีสีหน้าแววตากังวลนิดๆ
ตรงทางเดินในวังศิวาลัย มืดทึม แลดูน่ากลัว พเยียวิ่งออกมาจากห้องพร้อมกับถุงใส่แหวนในมือ ทันใดนั้น เสียงกริ่งโทรศัพท์ที่วังก็ดังขึ้น พเยียสะดุ้งเฮือก เสียงโทรศัพท์ยังดังบีบประสาทอยู่ในความมืด พเยียละล้าละลัง
พเยียเดินเข้ามาในห้องหนังสือ ไปยกหูโทรศัพท์ออกวางไว้ พอหันกลับมา ก็เห็นแม่ชื่นยืนตระหง่านอยู่ พเยียสะดุ้งเฮือก
“จะทำอะไร”
พเยียตกใจ “นังชื่น”
แม่ชื่นเดินเข้ามา พูดเสียงเย็น “ทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่ในบ้านมืดๆ คนเดียวท่าทางคงไม่ได้ทำเรื่องดีอยู่แน่ๆ บอกมานะ แกมาทำอะไร”
แม่ชื่นตวาด พร้อมกับเปิดไฟฉายดวงใหญ่ที่ถือแอบไว้ สาดใส่หน้าพเยียทันที พเยียตกใจกับแสงจ้าที่สาดเข้าตากะทันหัน เอามือปิดหน้าร้องกรี๊ด
“อ๊าย”
แม่ชื่นเห็นถุงกำมะหยี่ในมือพเยีย เอะใจ
“นั่นอะไร”
พเยียชะงัก
ชื่นขยับตัวพรวดเดียวถึง คว้าข้อมือพเยียข้างที่ถือถุงเอาไว้
“เอามาดูเดี๋ยวนี้ นั่นอะไร
“ปล่อยฉันนะ นังบ้า
แม่ชื่นฉายกระบอกไฟฉายใส่หน้าพเยียอีก พเยียเสียสมาธิ ชื่นกระชากถุงแหวนมาจนได้ พเยียสะบัดจนไฟฉายกระเด็นตกพื้นไป ถุงแหวนกระเด็นไปอีกทาง แม่ชื่นวิ่งไปเปิดไฟสว่างจ้าทั้งห้อง ทั้งสองเห็นถุงแหวน และแหวนที่กระเด็นออกมาจากถุง วางอยู่เด่นชัดกลางห้อง
“นั่นมัน”
แม่ชื่นพุ่งเข้าไป พเยียพุ่งไปแย่ง ทั้งสองยื้อแย่งแหวนกันอยู่บนพื้น แต่แม่ชื่นอยู่ใกล้กว่า ได้ไปแล้วพิศดูแหวน พลางยิ้มสะใจ
“แหวนรูปดาวของคุณดารา นี่แกขโมยแหวนของคุณกอหญ้ามาใช่ไหม”
พเยียตกใจ “แกรู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ”
“รู้สิ แล้วฉันก็รู้ด้วยว่า เจ้าของแหวนตัวจริง จะเป็นทายาทของศิวาวงศ์คนต่อไป แล้วใครที่ไม่ใช่ ก็จะถูกเฉดหัวออกจากวังไปอยู่กลางถนน”
พเยียกำมือแน่น เจ็บใจ แม่ชื่นยิ้มเย้ย
“อ้อ ลืมไป ไม่ใช่สิ ต้องออกจากวังไปอยู่ในคุกต่างหาก”
แม่ชื่นคว้าแหวนเดินหันหลังออกจากห้องไปอย่างมีชัย พเยียแค้น
และแล้วก่อนที่แม่ชื่นจะเดินพ้นประตูห้อง พเยียคว้าโคมไฟตั้งพื้นที่ขาเป็นสแตนด์เลสฟาดออกไปสุดแรง เป้าหมายที่ศีรษะแม่ชื่น ด้วยแรงโทสะชั่ววูบ ไม่ได้ตั้งใจจะเอาถึงตาย
แม่ชื่นเห็นเงาวูบมาจากข้างหลัง กรีดร้องเสียงดังลั่น แต่หลบไม่ทัน ได้แต่ยกมือปิดป้องตัวเองไว้ ที่ปลายขาตั้งโคมไฟกระแทกแขนแม่ชื่นเป็นรอยลึกพอควร เลือดไหล
แหวนตกจากมือกระเด็นไปแทบเท้าพเยีย พเยียหยิบแหวนขึ้นมา แม่ชื่นอึด โถมเข้าแย่งแหวน พเยียหลบ มือไม่ยอมปล่อยโคมไฟที่เป็นอาวุธ ขาตั้งโคมไฟเหวี่ยงไปฟาดขาเก้าอี้ดังปัง เป็นรอยถลอก โดยที่พเยียไม่ทันรู้ตัว
พเยียทิ้งโคมไฟ กำแหวนไว้แน่น แม่ชื่นพยายามงัดมือพเยียออก พเยียต่อยท้องเต็มแรง หญิงชราเจ็บชะงักไป พเยียผลักแม่ชื่นเซไป แล้ววิ่งหนี แม่ชื่นคว้ารวบตัวพเยียไว้ ทั้งสองล้มลงบนโซฟา พเยียดิ้นรนสารพัด แต่ไม่หลุด แม่ชื่นล็อกตัวพเยียไปด้วย แย่งแหวนไปด้วย
ระหว่างนั้นเลือดจากแขนแม่ชื่นไหลเลอะพื้นพรมและมุมๆ ซอกๆ ของโซฟานิดหน่อย พเยียบิดข้อมือชื่น ชื่นร้องโอ้ย พยายามทนเจ็บ
“ปล่อยนะ นังชื่น ปล่อย ไม่งั้นฉันเอาแกตาย”
“ตายเป็นตาย ถ้าฉันตายแกก็ต้องไม่รอด”
แม่ชื่นตัดสินใจกัดแขนพเยียอย่างแรงชนิดจมเขี้ยว
แหวนหลุดจากมือพเยีย
“โอ๊ย.. อีบ้า อีทุเรศ”
แหวนกระเด็นไปห่างจากสองคน กลิ้งหายไปใต้โต๊ะทำงาน
พเยียจะวิ่งไปเก็บ ชื่นถลันไปขวาง คว้ามีดตัดซองจดหมายของนภัสรพีจากโต๊ะขึ้นมาขู่
“อย่านะ ถอยออกไป”
พเยียโกรธตาลุกโชน เมื่อเห็นว่าแม่ชื่นจะมาเอามีดมาทำร้ายตัวเอง
“แกจะฆ่าฉันเหรอ นังชื่น”
พเยียแย่งมีดตัดซองจดหมายกับแม่ชื่น ทั้งสองล้มไปด้วยกัน น้ำหนักตัวของพเยียทับลงบนตัวแม่ชื่น ชื่นฟาดกับขอบโต๊ะทำงานดังพลั่ก ก่อนจะร่วงลงกับพื้น
“แก...แก”
แม่ชื่นตาค้างฟุบไป พเยียตกใจ เข้าไปดู แม่ชื่นคอหักตายคาที่ พเยียตกใจ
“มันตาย มันตายแล้ว ฉันฆ่ามันตาย ฉันจะทำยังไงดี”
พเยียลนลานเดินพล่าน เหมือนคนประสาท ทำอะไรไม่ถูก แล้วนึกถึงแหวนขึ้นมาได้
พเยียคลานไปเก็บแหวน หันมองไปที่ศพแม่ชื่นตัวสั่นงันงก คิดไม่ออกว่าจะทำไงกับแหวนและศพของแม่ชื่น
แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 9 (ต่อ)
เวลาเดียวกัน นพดลใส่หมวกและแจ๊กเก็ตมีฮู้ดพรางตัว กำลังโทรศัพท์อยู่ในตู้สาธารณะโทร.หาพเยียท่าทางคั่งแค้นมาก
“อีพเยีย มึงคิดจะทิ้งกูง่ายๆ แบบนี้เหรอ ไม่มีวันซะละ”
นพดลตาวาววับ หยิบปืนจากเอวขึ้นมามอง กะไปลุยพเยีย
พเยียกำลังเข็นรถเข็นมีสี่ล้อ ที่คนสวนใช้ขนดิน ขนปุ๋ย ไปตามทางเดินมืดๆ ในสวนหลังวัง หน้าซีด เหงื่อแตกพลั่ก
ในรถเข็นคือร่างของแม่ชื่นที่ถูกคลุมอย่างมิดชิดด้วยผ้าปูที่นอน รองด้วยแผ่นพลาสติกอีกที จนมองไม่เห็นว่าเป็นอะไร
ใครคนหนึ่งมองตามพเยียที่กัดฟันเข็นรถเข็นมาจนถึงประตูสวนด้านหลัง แล้วหยุดปาดเหงื่อ หน้าตายังคิดไม่ตกว่าจะทำยังไงต่อไปดี
ทันใดนั้น มีมือใครคนหนึ่งมาอุดปากรัดคอพเยีย ชายใส่หมวกโม่งดำลากพเยียเข้าไปที่มุมมืดหลังต้นไม้ พเยียตกใจ จะร้องแต่มีปืนมาจ่อที่ข้างเอว
“อย่าร้องนะ อีตัวดี ถ้าไม่อยากตาย”
พเยียจำเสียงได้ “พี่นพ”
นพดลปล่อยพเยีย ดึงหมวกออก “เออ กูเอง ยังจำกันได้อยู่เหรอ”
พเยียตื่นกลัว “พี่มาทำไมที่นี่”
“เพราะกูไม่มีที่ไปไง ตำรวจไล่ล่ากูไปทั่ว” นพดลกระชากคอพเยีย “กูเดือดร้อนแบบนี้เพราะมึง แต่มึงกลับหายหัวจ้อย ไม่ช่วยกูเลย นี่คิดจะทิ้งกันแล้วใช่ไหม
“ม...ไม่ใช่นะพี่ ฉันโทรหาพี่ แต่ฉันโดนเค้าจับได้ ฉันเลยต้องเอาโทรศัพท์ทิ้ง ตอนนี้ ไม่ใช่พี่ซวยคนเดียว ฉันก็ซวยด้วย”
นพดลเห็นพเยียท่าทางกลัวจริง เลยอ่อนลง แต่ก็อดบ่นไม่ได้
“อย่ามาสำออย ตำรวจล่าหัวพี่อยู่คนเดียว พเยียจะซวยยังไง”
พเยียมองหน้านพดลหวาดๆ แล้วเดินไปที่รถเข็น
“นี่ไง”
พเยียเปิดผ้าคลุมออก นพดลเห็นศพชื่น นพดลผงะ ตกใจมาก
เวลาเดียวกันกอหญ้านั่งอยู่ในรถตู้ กับนภดาราและนภัสรพี รถเข้ามาใกล้ประตูรั้ววัง
นภดาราเอามือแตะหน้าผากกอหญ้า ห่วงใยจริงใจ “ตัวรุมๆ คืนนี้คงไข้ขึ้นแน่ปวดแผลไหมจ๊ะ กอหญ้า”
“ไม่ค่ะ พยาบาลเค้าให้ยาแก้ปวดไว้ แต่พรุ่งนี้คงปวดแน่ๆ”
“คุณอิศรเค้าเป็นห่วงหนูมาก ถ้ารู้ คงจะโกรธ” นภัสรพีว่า
กอหญ้ายิ้มออก เมื่อคิดถึงอิศร “คุณอิศรเขาโกรธได้ทุกเรื่องล่ะค่ะ ไม่ว่าหนูจะทำอะไร ก็ทำให้เค้าโกรธได้ทั้งนั้น”
นภดารนึกออก “เออ ดูสิ พูดถึงคุณอิศร เค้าฝากของไว้ให้หนูน่ะจ๊ะ เห็นว่าของสำคัญ”
กอหญ้าก็เพิ่งนึกได้ ตาวาว
“แหวน! แหวนของหนูใช่ไหมคะ”
“ไม่รู้สิจ๊ะ ฉันไม่ได้เปิดดู แต่ดูจากถุงก็น่าจะเป็นพวกเครื่องประดับ” เปิดกระเป๋าออกหา “หนูลองดูเอาเองก็แล้วกัน”
นภดาราค้นๆ แล้วชะงัก หน้าเสีย
“เอ๊ะ”
กอหญ้าที่มองลุ้นๆ แปลกใจ
“มีอะไรเหรอ ดารา” นภัสรพีถาม
นภดาราไม่ตอบ เทของทุกอย่างออกจากกระเป๋า หาอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ไม่เจอถุงแหวน
“ไม่มี” นภดาราหน้าเสีย “ทำไมไม่มีล่ะ”
นภัสรพีสงสัยมากขึ้น “อะไรหายเหรอ ดารา”
“ของที่คุณอิศรฝากไว้ให้กอหญ้าน่ะค่ะคุณพ่อ ลูกเอาใส่ไว้ในนี้ แล้วมัน หายไปไหนก็ไม่ทราบค่ะ”
“ไปทำตกที่โรงพยาบาลหรือเปล่า จะย้อนกลับไปดูไหม”
“ลูกไม่ได้เปิดกระเป๋าเลยนะคะ ไม่ได้วางที่ไหนด้วย เอาถือไว้กับตัวตลอด”
กอหญ้าพยายามสงบใจ ปลอบนภดาราที่หน้าซีดอยู่
“ลองหาดีๆ อีกทีสิคะ คุณอา ตกอยู่ในรถนี้หรือเปล่า มาค่ะ หนูช่วยหา”
กอหญ้าก้มลงหน้าที่พื้นรถวุ่นวาย นภดาราหน้าเสีย
นภัสรพีปลอบใจ “ไม่หายหรอกน่ะ ดารา ถ้าไม่ตกในรถ ก็อาจจะตกอยู่ที่โรงพยาบาล เดี๋ยวเราย้อนกลับไปดูให้แน่ใจอีกทีก็ได้”
ส่วนที่สวนด้านหลังวังศิวาลัย นพดลปฏิเสธเด็ดขาด
“ไม่! ตอนนี้เอาตัวเองยังไม่รอด พเยียทำ พเยียก็เคลียร์เองซี”
“ฉันจะไปมีปัญญาอะไรเล่า น่านะ พี่ ช่วยหน่อย เอาไปทิ้งที่ไหนก็ได้ คราวนี้มันตายจริง มันลุกมาก่อเรื่องเหมือนคราวที่แล้วหรอก”
“ไม่เอา” นพดลไม่เอาด้วย
พเยียชักโกรธ “แล้วจะเอายังไง พี่เดือดร้อน พี่อยากให้ฉันช่วยพี่ แล้วถ้าฉันเข้าคุกเพราะฆ่าอีแก่นี่ พี่จะสบายตรงไหน”
นพดลอึ้งไป อ่อนลง แต่ก็ยังกลัวลำบาก
“คนนะ ไม่ใช่แมว จะได้หิ้วไปทิ้งง่ายๆ รถก็ไม่มีให้ยืมแล้วด้วย”
พเยียนิ่ง เครียด “แล้วจะเอายังไงล่ะ อีกประเดี๋ยวคนก็แห่กลับมากันแล้วถ้าเจอศพนังนี่ พี่กับฉันติดคุกหัวโตแน่”
นพดลกับพเยียมองศพแม่ชื่นที่นอนอยู่ ไม่รู้จะเอายังไงดี
รถตู้ของวังศิวาลัยเคลื่อนตัวเข้ามาจอดที่ประตูหน้าวัง ส่วนในสวนหลังวัง พเยียอยู่ในอาการร้อนรน เร่งนพดลยิกๆ
“เร็ว พี่นพ ว่ายังไง คิดซีคิด”
นพดลคิดๆ แล้วหันไปเห็นถังขยะขนาดใหญ่ สีเขียวของกทม. อยู่ที่มุมรั้ว ด้านลึกสุดของสวน
นพดลมองร่างของแม่ชื่น แล้วมองถังขยะ เหมือนจะกะขนาด
ครู่ต่อมารถตู้จอดที่หน้าตึกใหญ่ ศรีเดินนำบรรดาคนรับใช้ช่วยกันขนข้าวของ เช่น พาน ฯลฯ ลงมาจากรถเดินเข้าไปในตึก
ศรีมองเข้าไปเห็นตึกปิดไฟเงียบ ก็แปลกใจ
“เอ ทำไมบ้านมืดอย่างนี้ล่ะ คุณหนูก็กลับมาแล้วนี่นา ทำไมไม่เปิดไฟ”
ขณะเดียวกันพเยียกับนพดลช่วยกันเอาร่างปวกเปียกของแม่ชื่นใส่ลงในถุงดำขนาดใหญ่อย่างหนาแบบ สูงประมาณ 100-120 ซม. โดยซ้อนกันหลายๆ ชั้น
ถุงดำนั้นถูกหย่อนลงในถังขยะ พเยียและนพดลช่วยกันเข็น กำลังจะออกไปที่ประตูหลัง ระหว่างนั้น ทองมากับสาวใช้คนหนึ่งเดินใกล้เข้ามา เพื่อที่จะไปยังเรือนพักคนใช้ด้านหลังตีกใหญ่
พเยียได้ยินเสียงก็ตกใจ “มีคนมา”
พเยียกับนพดลรีบวิ่งฉากหลบเข้าตรงหลังพุ่มไม้
ทองมากับสาวใช้เดินมาถึงพุ่มไม้ที่ทั้งสองซ่อนตัวอยู่ แล้วชะงัก
“มีอะไร พี่ทองมา” สาวใช้ถาม
ทองมาหยิบไฟฉายจากเอวมาเปิด ส่องกราดเข้าไปในพุ่มไม้ พเยียกับนพดลยืนเบียดกันตัวตัวลีบเล็ก ลุ้นสุดๆ
ทองมา เห็นอะไรบางอย่างในความมืดกระทบแสงไฟฉาย มันคือขอบของถังขยะที่ตั้งอยู่ริมทางเดิน ทองมาขมวดคิ้ว เดินใกล้เข้ามา พเยียดึงนพดลนั่งหลบ ตัวลีบลุ้นสุดๆ ทองมาเข้ามาใกล้พอที่จะเห็นว่าเป็นถังขยะ
“ถังขยะนี่หว่า”
ทองมามองๆ ดูอย่างแปลกใจ พเยียมอง ลุ้น นพดลเอื้อมมือหยิบปืนมาเตรียมพร้อม
พเยียลุ้นอยู่ในใจ “อย่านะ อย่าเปิดนะ ขอร้องล่ะ อย่าเปิด”
สาวใช้เดินตามมา ทองมาหันไปบ่นเอากับสาวใช้
“ไม่รู้ใครเอาถังขยะมาไว้ตรงนี้ คุณแม่บ้านมาเห็นเข้าโดนด่าตาย”
“พี่เวียนคนสวนล่ะมั้งพี่ คงเอามาใส่เศษใบไม้” สาวใช้ว่า
“เดี๋ยวพี่ว่าจะเอาไปเก็บ” ทองมาบอก ท่าทีหงุดหงิด
พเยียใจหายวาบ แต่สาวใช้แย้งขึ้น
“ทิ้งเอาไว้นั่นแหละ พี่ เดี๋ยวเช้าเค้ามารดน้ำต้นไม้ เค้าก็เก็บเองแหละ ไปเถอะ ฉันเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว”
ทองมาพยักหน้าเห็นด้วย แล้วทั้งสองก็พากันเดินออกไป นพดลกับพเยียถอนใจเฮือก
“รีบเอาออกไปเถอะ พี่นพ เดี๋ยวมีใครผ่านมาอีกจะยุ่ง” พเยียกระซิบบอก
ทั้งสองคนก้าวออกมา ค่อยๆ ช่วยกันเข็นถังขยะออกไปในความมืด อย่างระแวดระวัง
ส่วนนภดารา นภัสรพี และกอหญ้าซึ่งมีผ้าพันที่แขน เดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ของตึก นภดาราดูร้อนใจเรื่องของฝากจากอิศรที่ตนทำหาย
"ฉันจำได้นะ ว่าใส่เอาไว้ในกระเป๋า อยู่ดีๆ มันจะหายไปได้ยังไง"
นภัสรพีแทรกขึ้น "ถ้าไม่ได้ทำตกที่โรงพยาบาล ก็อาจจะทำตกที่วัด"
นภดาราคิดทบทวนอีกครั้งให้แน่ใจ
“ลูกรับถุงมาจากคุณอิศร แล้วก็เอาใส่กระเป๋า แล้วไม่ได้หยิบอะไรออกมาอีกเลยนะคะ คุณพ่อ มาเปิดกระเป๋าอีกทีก็ตอนที่อยู่ในรถ จะหยิบของให้กอหญ้า ตอนนั้นของก็หายไปแล้ว” นภดาราบอก
“งั้นก็คงตกอยู่ในรถนั้นแหละ” นภัสรพีเห็นศรีเดินเข้ามา “อ้าว ศรีมาพอดี พรุ่งนี้ให้วิชัยรื้อเบาะตรวจดูให้ทั่ว คุณดาราทำของตกเอาไว้ในนั้น”
“ค่ะ”
“ไปพักผ่อนกันเถอะ มีอะไรค่อยว่ากันใหม่พรุ่งนี้” นภัสรพีบอกกับศรี “บอกแม่ชื่นว่าขอชาให้ฉันด้วย”
“ค่ะ คุณชาย” ศรียอบตัวเดินออกไป
นภัสรพีเดินออกไปทางห้องสมุด นภดาราหันไปชวนกอหญ้า
“ไปกันเถอะจ้ะ กอหญ้า ขึ้นไปข้างบนกัน ฉันจะแวะไปดูพเยียหน่อย”
กอหญ้าแปลกใจ “คุณพเยียเป็นอะไรคะ”
“พเยียบ่นว่าปวดหัวตั้งแต่ตอนอยู่ที่วัดน่ะจ้ะ เลยขอตัวกลับมาก่อน”
กอหญ้านึกเอะใจขึ้นมา
“เหรอคะ” กอหญ้าหันไปถามนภดาราเรียบๆ “คุณพเยียรู้เรื่องของที่ฝากไว้หรือเปล่าคะ”
“พเยียอยู่กับฉันด้วยตอนที่อิศรเอาของมาฝาก” นภดาราดูไม่สบายใจ “แต่หนูคงไม่ได้คิดว่าพเยียเอาไปใช่ไหม”
กอหญ้ารีบบอก “หนูคิดแค่ว่า คุณพเยียอาจจะเห็น ถ้าหากมันตกหล่นอยู่ที่วัด หรือมีใครมาแอบหยิบไป ลองถามดูก็ไม่เสียหายไม่ใช่หรือคะ”
ไม่นานต่อมา นภดารากับกอหญ้าพากันมาอยู่ที่หน้าห้องพเยีย นภดาราเคาะประตูเบาะๆ
“พเยียจ๊ะ นี่แม่เอง เข้าไปได้ไหม”
เงียบ ไม่มีเสียงตอบ นภดาราลองเปิดประตู ประตูไม่ได้ล็อก นภดารานำกอหญ้าเข้าไปในห้อง เห็นพเยียนอนคลุมโปงอยู่บนเตียง ผ้าห่มคลุมมิดทั้งตัวจนไม่เห็นว่าเป็นใคร นภดาราเดินไปข้างเตียง กอหญ้าตามไปติดๆ
“พเยียจ๊ะ”
ร่างในโปงนิ่ง นภดาราตลบผ้าขึ้นพลางเรียก
“พเยีย”
นภดาราเอามือแตะแขนพเยีย เขย่าเบาๆ แต่พเยียยังนิ่ง
“ทำไมนอนนิ่งอย่างนี้” นภดาราเป็นห่วงมาก ร้อนใจ เขย่าปลุกเรียก “พเยีย พเยีย”
กอหญ้ามองนิ่งอย่างจับสังเกต เห็นพเยียขยับตัว
“คุณแม่” พเยียปรือตาแต่ลืมไม่ขึ้น พูดงัวเงีย “มีอะไรคะ”
“พเยียเป็นอะไรลูก แม่เรียกตั้งนานไม่รู้สึกตัว”
“พเยียปวดหัว...กินยา”
พเยียหลับฟุบไปอีก กอหญ้ามองไปเห็นขวดยาแก้ไข้กับยานอนหลับวางอยู่ที่โต๊ะข้างเตียง
“คุณพเยียทานยานอนหลับเข้าไปค่ะ”
“นี่ตายจริง” นภดาราเขย่าเรียก “พเยีย พเยีย เป็นอะไรมากหรือเปล่าลูก พเยีย”
พเยียไม่รู้สึกตัว หลับนิ่งไป เพราะพเยียจงใจทานยานอนหลับ ให้หลับจริงๆ ไม่ได้แกล้งหลับ นภดารามองอย่างเป็นห่วง กอหญ้าจนใจ
กอหญ้าบอกเสียงเรียบๆ “ทานทั้งยาแก้ไข ทั้งยานอนหลับ คืนนี้คงพูดกับใครไม่รู้เรื่องหรอกค่ะ คุณอา”
“เค้าบ่นปวดหัวมาตั้งแต่เมื่อเย็นแล้ว เอาเถอะจ้ะ ยังไงพรุ่งนี้ค่อยถามกันอีกที” นภดาราออกตัว
กอหญ้ามองพเยียที่นอนหลับลึกอยู่บนเตียง นึกสังหรณ์ในใจบางอย่าง แต่ไม่มีหลักฐาน ได้แต่ถอนใจ
ไม่นานนัก นภัสรพีนั่งพิงพนักเก้าอี้ห้องทำงาน หลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า ศรีประคองถาดชุดน้ำชาเข้ามา
“น้ำชาค่ะ คุณชาย”
นภัสรพีลืมตามอง แปลกใจ
“อ้าว ศรีเองเหรอ...แม่ชื่นไปไหนซะล่ะ”
“ห้องคุณแม่บ้านปิดไฟมืดเลยค่ะ ศรีไม่กล้าเรียก”
นภัสรพีพยักหน้ารับรู้ “แม่ชื่นเหนื่อยมาหลายวัน สงสัยวันนี้คงจะหมดแรง หลับไปแล้วละมั้ง”
นภัสรพีไม่รู้สักนิดว่า บัดนี้แม่บ้านชราผู้ซื่อสัตย์กลายเป็นศพอยู่ถุงพลาสติกใบยักษ์สีดำ และวางอยู่ที่พื้นเรือหางยาว โดยมีนพดลนั่งอยู่หัวเรือ กับเด็กหนุ่มหน้าตาซื่อๆ เป็นคนขับมากลางแม่น้ำ
เรือแล่นอยู่กลางคลองที่แยกมาจากแม่น้ำใหญ่ เงียบสงบ ไม่ค่อยมีคน
เด็กเรือหันมายิ้ม ถามอย่างเป็นมิตร “ไปอีกไกลไหมพี่”
นภดลบอกห้วน “ขับไปก่อน”
“บ้านพี่อยู่คลองไหนเนี่ยพี่ ผมวิ่งเรือมาหลายปีแล้ว ไม่เห็นคุ้นหน้าพี่เลย” เด็กเรือถามอีก
นพดลไม่ตอบ พอดีเรือแล่นมาถึงช่วงแม่น้ำที่เป็นมุมที่ค่อนข้างเปลี่ยว นพดลสั่ง
“จอดตรงนี้ น้อง จอดๆ”
เรือจอด เด็กมองไปรอบตัว งงๆ
“จอดกลางน้ำนี่เลยเหรอพี่” เด็กเรือหันมาหานภดล “จอดทำไม”
ทันใดนั้น นพดลเอาด้ามปืนทุบที่ก้านคอเด็ก เด็กหมดสติ ร่วงลงไปทันที นพดลถีบร่างนั้นตกน้ำไป
ก่อนจะหันไปรูดซิปเปิดปากถุง เห็นข้างในเป็นถุงดำหนาที่มัดปากไว้อย่างแน่นหนา ข้างในใส่ศพแม่ชื่น
“ไปที่ชอบที่ชอบนะ ป้า”
นพดลบอกแล้วผลักถุงทิ้งน้ำไป เห็นถุงดำค่อยๆ จมหายไปกับผืนน้ำอันมืดสนิท
ติดตาม "แผนรักแผนร้าย" ตอนที่ 10