แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 7
กอหญ้านั่งอยู่ที่พื้นทรายตรงชายหาด ประคองพเยียไว้ในอ้อมกอด นภดารากับแตงวิ่งเข้ามาหน้าตื่น
“พเยีย พเยียลูกแม่ เป็นยังไงบ้าง”
“พเยียเป็นตะคริวน่ะค่ะ คุณแม่” พเยียบอกท่าทีอ่อนแรง
“โชคดีนะคะ ที่คุณณุอยู่ด้วย ไม่งั้นแย่เลย” กอหญ้าว่า
“อาขอบใจมากนะจ๊ะ ชิษณุ…ถ้าพเยียเป็นอะไรไป อาคง...”
ชิษณุพงษ์สวนคำออกมา “พเยียไม่เป็นไรหรอกครับ คุณอา”
นภดาราดึงพเยียมากอดปลอบ
“ขวัญเอ๊ยขวัญมา ไม่เป็นอะไรแล้วนะลูกนะ”
“หนูว่าพาคุณพเยียไปพักบนบ้านก่อนดีกว่าค่ะ”
กอหญ้าเข้าไปช่วยนภดาราประคองพเยีย แตงเข้ามาดูแลชิษณุพงษ์
“คุณณุก็ขึ้นบ้านไปเปลี่ยนเสื้อเถอะค่ะ เดี๋ยวหนาวแย่” แตงบอก
ชิษณุพงษ์ชวน “ไปกันเถอะ กอหญ้า”
“ค่ะ”
อิศรยืนดูอยู่ห่างๆ เห็นกอหญ้าสนใจคนอื่นมากกว่าตัวเองก็น้อยใจ จึงกระแอม ทุกคนหันไปมอง
“ท่าทางผมคงมาผิดเวลาไปหน่อย เอาไว้ค่อยมาเยี่ยมใหม่วันหลังก็แล้วกันนะครับ” อิศรยกมือไหว้นภดารา “ผมลาครับ คุณอา”
อิศรเดินออกไป กอหญ้าหน้าเสียนิดหนึ่ง พเยียมองกอหญ้า มองอิศร ที่เดินตัดไปที่ทางเดินเปลี่ยวด้านข้างชายหาด พเยียตาวาววับ ขึ้นมา
“ขึ้นบ้านก่อนเถอะ ลูก” นภดาราบอก
“เดี๋ยวค่ะ คุณแม่” พเยียหันไปบอกกอหญ้า “เค้าอุตส่าห์มาหาเธอนะ จะปล่อยกลับไปแบบนี้เหรอ”
กอหญ้าอึกอัก “คือ ฉัน...”
พเยียหันไปเรียกแตง “เธอ มาช่วยฉันหน่อย”
แตงเข้าไปช่วยประคองพเยียแทนกอหญ้า พเยียมองกอหญ้า
“เธอไปได้แล้ว กอหญ้า ไม่ต้องห่วงฉัน”
นภดารามองพเยียอย่างชื่นชม ปลื้มอกปลื้มใจ แล้วยิ้มให้กอหญ้า
“ไปสิจ๊ะ กอหญ้า”
กอหญ้ายิ้ม แล้ววิ่งตามอิศรออกไป
นภดาราเรียกแตงกับชิษณุพงษ์ “ไป พวกเรา ขึ้นบ้านกันดีกว่าจ้ะ”
ชิษณุพงษ์ละสายตาจากกอหญ้าอย่างอาลัยอาวรณ์ ทั้งหมดเดินกลับไปด้านบน พเยียตาวาว แอบลุ้นในใจ
“คราวนี้ ขอให้สำเร็จทีเถอะ เจ้าประคู้น”
อิศรเดินไปตามถนนเล็กๆ ที่ขึ้นมาจากชายหาด โทร.หาสุบรรณ น้ำเสียงเซ็งๆ
“สุบรรณ ฉันเสร็จธุระแล้ว”
สุบรรณคุยสายด้วยบลูธูทขณะขับรถอยู่
“อ้าว ทำไมเร็วนักล่ะครับ ไหนว่าเป็นห่วง จะตามมาดูแลคุณกอหญ้า”
อิศรตอบฉุนๆ “ไม่ต้องห่วงแล้ว เค้ามีบอดี้การ์ดล้อมหน้าล้อมหลังเต็มไปหมด ฉันกลับไปทำงานของฉันดีกว่า ฉันจะเดินไปรอที่หน้าปากทางนะแกมารับฉันด้วย”
จากนั้นอิศรวางสาย แล้วเดินออกไป
กอหญ้าเดินตามมา มองหาอิศร เห็นหลังอยู่ไวๆ กอหญ้าอมยิ้ม แล้วเดินตามไป จังหวะนั้นนพดลโผล่มาจากด้านหลังกอหญ้า มีดในมือวาววับ
กอหญ้าเดินมาตามทางเปลี่ยว งงที่อิศรหายไปไหนแล้วไม่รู้ ทันใดนั้น ร่างกอหญ้าก็โดนรวบจากข้างหลัง มือของใครคนหนึ่งปิดปาก
“อย่าร้องนะ”
กอหญ้ารู้สึกว่ามีปลายมีดแหลมจ่อมาที่ด้านข้างลำตัว
“อย่าส่งเสียงเป็นอันขาด ถ้าไม่อยากตาย”
นพดลขู่ พร้อมกับใช้มีดจี้หลังบังคับตัวกอหญ้าให้เข้าไปในดงไม้ข้างทาง
ครู่หนึ่งนั้น นพดลล็อกกอหญ้าเอามือไพล่หลัง ดันตัวกอหญ้าเดินตัดดงไม้ จะไปที่อีกด้านที่ตนจอดรถซุกไว้ กอหญ้ากลัวมาก ไม่กล้าหันไปดูหน้า แต่พยายามถาม
“จะพาฉันไปไหน”
“เดี๋ยวก็รู้” นพดลผลัก “เดินไป”
กอหญ้าเดินไปตามคำสั่งของนพดล คิดหาทางช่วยตัวเอง แต่ไม่กล้าทำอะไร เพราะรู้สึกถึงปลายมีดที่จ่อหลังอยู่
กอหญ้าถูกดันออกมาจนพ้นดงไม้ ไปถึงรถกระบะเก่าๆ ที่นพดลจอดซุกไว้ นพดลกดตัวกอหญ้าไว้กับตัวรถ
“ไม่ ฉันไม่ไป”
“แกไม่มีทางเลือกหรอก”
พลางนพดลล้วงกระเป๋าหยิบเอาผ้าชุบยาสลบออกมา แล้วกระชากให้หันมา กำลังจะเอาผ้าปิดจมูก ในวินาทีนั้นที่นพดลเห็นหน้ากอหญ้าชัดๆ นพดลถึงกับชะงัก ทั้งนึกไม่ถึง ทั้งตกใจ
“เฮ้ย กอหญ้า”
กอหญ้าก็ตะลึงไปเหมือนกันที่นพดลเรียกชื่อตน ทันใดนั้น กอหญ้ารวบรวมสติ ถือโอกาสตอนนพดลกำลังตกใจสุดขีด กระแทกนพดลเซเสียหลักล้มลงไป แล้ววิ่งหนีกลับไปทางเดิม ปากร้องลั่น
“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย”
นพดลตาลีตาเหลือกลุกขึ้น เห็นกอหญ้าวิ่งหนี ตกใจ
“ฉิบหายแล้ว มันเห็นหน้ากู ถ้ามันแจ้งตำรวจกูซวยแน่”
นพดลวิ่งตาม
กอหญ้าวิ่งหนีไม่คิดชีวิต แต่สะดุดล้มลงกับพื้น นพดลวิ่งตามมาจนทัน
“จะไปไหน กอหญ้า”
กอหญ้าตกใจ พยายามลุกจะวิ่งหนี แต่เซซวนเพราะขาเจ็บ นพดลเข้ามาคว้าตัวไว้ แต่มีหมัดของใครคนหนึ่งสวนเข้าทีปลายคางอย่างจัง จนมันเซไป
“กอหญ้า”
“คุณอิศร ช่วยฉันด้วย”
นพดลลุกขึ้นมา เห็นอิศร เลยรีบวิ่งหนีไป
“เฮ้ย อย่าหนีนะ”
อิศรจะวิ่งตาม แต่กอหญ้าร้องห้าม
“อย่าค่ะ คุณอิศร อย่าตาม เค้ามีอาวุธ”
อิศรหยุด ได้ยินเสียงรถแล่นออกไป อิศรถามกอหญ้าอย่างห่วงใย
“มันทำร้ายเธอหรือเปล่า กอหญ้า”
กอหญ้าตัวสั่น ตกใจกลัว “เปล่าค่ะ เปล่า มันแค่จะจับตัวฉันไป”
อิศรรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ฟัง
ตอนเย็นวันนั้นทุกคนนั่งรวมกันที่ห้องนั่งเล่นของบ้านพัก ชิษณุพงษ์กับพเยียเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ กอหญ้านั่งอยู่ที่โซฟากับอิศร สีหน้ายังดูซีดเซียว แต่คุมสติได้แล้ว นภดาราตกใจมากเมื่อได้รู้เรื่อง
“มีคนมาดักทำร้ายกอหญ้างั้นเหรอ”
“ไม่ใช่ครับ มันไม่ได้มาดักทำร้าย แต่มันจะจับตัวกอหญ้าไป”
นภดารานึกสยดสยอง “คงเป็นพวกที่จับผู้หญิงไปทำมิดีมิร้าย แล้วก็เอาไปขาย”
“น่าจะไปแจ้งตำรวจไว้ จำหน้ามันได้ไหม กอหญ้า” ชิษณุพงษ์ออกความเห็น
พเยียที่นั่งฟังเงียบๆ ลุ้น
“ก็เป็นคนขาวๆ สูงๆ อายุไม่เกิน 25 ไว้หนวดนิดๆ ใส่ต่างหูด้วย” กอหญ้าบอกรูปพรรณสัณฐานของนพดล
นภดารากับแตงหันมองหน้ากัน
แตงซัก “ใส่เสื้อสีดำ ใช่ไหมคะ”
“ค่ะ” กอหญ้าบอก
แตงยิ่งมั่นใจ “คนนั้นแน่ๆ เลยค่ะ คุณดารา”
“ใช่แน่ ตอนที่พวกหนูไปเล่นน้ำ ผู้ชายคนนั้น เค้ามาด้อมๆ มองๆ ที่บ้านเรา”
นภดาราบอก ชิษณุพงษ์เสริม “แปลว่ามันไม่ใช่โจรธรรมดา แต่มันตั้งใจมาที่นี่”
“ค่ะ คุณณุ แตงได้ยินเค้าโทร.นัดกับใครคนนึง บอกให้เค้ามาที่บ้านหลังนี้” แต่งว่า
พเยียเม้มปาก เครียดจัด อิศรลุกพรวด
“ถ้าอย่างนี้ก็ไม่ปลอดภัยแล้ว กอหญ้า เธออยู่ที่นี่ไม่ได้ เธอต้องกลับไปกับฉันเดี๋ยวนี้”
นภดาราตัดสินใจ
“เรากลับกันทั้งหมดนี่แหละ บ้านหลังนี้ ไม่ปลอดภัยสำหรับใครทั้งนั้นจนกว่าเราจะรู้ ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร ต้องการอะไร”
พเยียยิ่งฟังยิ่งเครียด
เย็นนั้น รถกระบะของนพดลจอดซุกอยู่ข้างทาง นพดลอยู่ในรถ ท่าทางกลัดกลุ้มกระวนกระวาย กดโทร.หาพเยียไม่ยั้ง แต่ไม่มีใครรับสาย นพดลหงุดหงิด ปาโทรศัพท์ลงกับเบาะรถโกรธจัด
“อีพเยีย อีตัวดี อีจอมวางแผน อย่ามาทำแบบนี้กับกูนะมึง”
นพดลโทร.ต่อไปอย่างบ้าคลั่ง ในที่สุดก็มีคนรับสาย นพดลตวาดใส่ทันที
“พเยีย ทำไมเป็นแบบนี้”
พเยียอยู่ในห้องพักแล้ว ต่อว่านพดลกลับ
“ฉันต่างหากที่ต้องถามพี่ กะอีแค่จัดการคนคนเดียว ทำไมทำพลาด”
“แกหลอกฉัน แกบอกให้ฉันไปจัดการก้างขวางคอแก แต่แกไม่บอกฉันว่าเป็นนังกอหญ้า”
พเยียไม่ใส่ใจ “เป็นมันแล้วจะเป็นไรเล่า”
นพดลสวนทันที ตวาดแรง “ก็มันรู้จักฉันน่ะซีวะ ใกล้แค่นั้น มันจำหน้าฉันได้แน่ ป่านนี้มันไปแจ้งตำรวจแล้ว ฉันซวยแน่ เพราะแกคนเดียว”
“ไม่หรอกน่ะ นังกอหญ้ามันจำพี่ไม่ได้หรอก มันความจำเสื่อม”
นพดลแปลกใจ “อะไรนะ”
“มันความจำเสื่อม ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นใคร” พเยียบอกอีก
“แล้วพเยียไปทำเขาทำไม ทำไมต้องอยากให้พี่กำจัดเขา” นพดลซักอย่างคาใจ
“เรื่องมันยาว ฉันจะกลับกรุงเทพฯ แล้ว พี่ก็หลบซักพัก อย่ามาเพ่นพ่านให้พวกเค้าเห็นล่ะ พวกเค้าจำพี่ได้ เดี๋ยวมันจะยุ่งไปกันใหญ่”
พเยียวางสายไปเลย นพดลโมโหมาก
“พูดง่ายๆ แกลอยนวลกลับบ้าน ฉันตกงาน แถมยังต้องหลบๆ ซ่อนๆ มันง่ายไปไหม นังพเยีย”
กอหญ้าเดินมาส่งอิศรที่หน้าบ้าน มองมาอย่างซึ้งใจ และขอบคุณ
“คุณช่วยฉันอีกแล้ว”
“ฉันเคยบอกแล้วไง ยัยโก๊ะ เธออยู่ไม่ได้หรอก ถ้าไม่มีฉัน...” อิศรกุมมือกอหญ้า “กลับไปอยู่ด้วยกันเถอะ กอหญ้า กลับไปอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม”
กอหญ้าหน้าหมองลง ทอดถอนใจ จนอิศรต้องถามอย่างสงสัย
“มีอะไรหรือเปล่า”
“ผู้ชายคนนั้น เขารู้จักฉันค่ะ” กอหญ้าว่า
อิศรอึ้ง ชะงัก “รู้จักเธอ”
“ค่ะ เขาเรียกชื่อฉันด้วย ตั้งหลายครั้ง”
“เขารู้จักเธอ แล้วก็ตั้งใจมาทำร้ายเธอ”
“ไม่ใช่ค่ะ เขารู้จักฉัน แต่เขาไม่รู้ว่า เขาจะต้องมาทำร้ายฉัน” กอหญ้าอธิบาย
อิศรงวยงง “อะไรนะ”
“เขาตกใจ ตอนที่เค้าเห็นว่าคนที่เขาจะทำร้ายคือฉัน เขาเลยหยุด ฉันเลยวิ่งหนีมาได้”
ฟังกอหญ้าบอก อิศรคิดไปคิดมา
“แปลว่ามีคนส่งผู้ชายคนนี้มา มีคนสั่งฆ่าเธอ”
กอหญ้าหวาดกลัวมาก “ค่ะ คุณอิศรคะ ฉันเป็นใครกันคะ ฉันทำอะไรเอาไว้ แล้วพวกเค้าเป็นใคร ทำไมถึงได้ตามฆ่าฉัน ฉันนึกไม่ออกจริงๆ ฉันกลัว”
กอหญ้าร้องไห้ออกมา อิศรหน้าเครียดขณะกอดปลอบและพร้อมจะปกป้อง
ตกกลางคืน เห็นแม่ชื่นเดินวนไปเวียนมาอยู่ที่ด้านหน้าตึกใหญ่ คอยชะเง้อชะแง้ดูทางประตูวังอยู่ตลอด สักครู่หนึ่งรถตู้แล่นเข้ามาจอด แม่ชื่นรีบวิ่งเข้าไปในบ้าน บอกกับนภาจรีที่นั่งรออย่างร้อนใจอยู่ตรงห้องโถง
“คุณหญิงขา มากันแล้วค่ะ”
แม่ชื่นวิ่งกลับออกไป นภาจรีลุกขึ้นยืน หน้าตาเอาเรื่อง
นภดารา กอหญ้า และ พเยียลงมาจากรถ ทุกคนมีสีหน้านิ่งๆ แม่ชื่นรีบเข้าไปหา
“หนูกอหญ้า” แม่ชื่นจับเนื้อจับตัวกอหญ้าด้วยความเป็นห่วง “เป็นยังไงบ้างคะ”
“ไม่เป็นอะไรค่ะ แม่ชื่น หนูปลอดภัยดี”
นภาจรีที่ตามออกมา พุ่งเข้าใส่พเยียทันที
“ฝีมือของเธอใช่ไหม แม่พเยีย”
พเยียสะดุ้งตกใจตามประสาวัวสันหลังหวะ แต่นภดาราโกรธมาก
“ทำไมพูดแบบนี้ล่ะคะ อาหญิง ลูกพเยียไม่ได้ทำอะไรเลยนะคะ”
“ไม่จริง ชิษณุเล่าให้อาฟังหมดแล้ว คนร้ายมันจะตามไปหากอหญ้าที่นั่นได้ยังไง ถ้าไม่มีคนบอก เธอใช่ไหมพเยีย ที่เป็นคนให้มันไปทำร้ายกอหญ้า
พเยียทำเป็นหวาดกลัว หลบหลังนภดาราตลอด นภดารากางแขนกั้นไว้ มองนภาจรีอย่างเสียใจและผิดหวัง
“แล้วชิษณุเล่าด้วยหรือเปล่าคะ ว่าตอนที่เกิดเรื่อง พเยียเพิ่งขึ้นมาจากน้ำ แกจมน้ำเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด แต่อาหญิงไม่ถาม ไม่เป็นห่วงแกซักนิดเดียว แถมยังหาเรื่องแกอีก
นภาจรีเชิดใส่ นภดาราต่อว่าอย่างเสียใจ
“หลานไม่เข้าใจ พเยียไปทำอะไรให้คะ ทำไมอาหญิงถึงได้จงเกลียดจงชังแก ทั้งๆ ที่แกเป็นลูกเป็นหลาน”
นภาจรีโพล่งขึ้น “มันไม่ใช่”
ทุกคนสะดุ้ง ตกใจ แม่ชื่นรีบเข้าไปแตะแขนเบาๆ ส่งเสียงเตือนนภาจรี
“คุณหญิงคะ” พร้อมกับส่ายหน้า เตือนสติไม่ให้พูด “ไม่นะคะ ไม่”
นภดาราเจ็บปวด เสียใจ
“พเยียเป็นลูกของหลาน ไม่ว่าอาหญิงจะยอมรับหรือไม่ แกก็เป็นลูกของหลาน เป็นสายเลือดของศิวาวงศ์”
นภาจรีพยายามข่มใจไม่พูดความจริง ได้แต่พูดประชดเสียงแค่นๆ
“เธอกำลังรักคนผิด นภดารา ซักวันเธอจะต้องเสียใจ” นภาจรีจ้องพเยียเขม็ง ขู่อย่างไม่ไว้หน้า “ฉันรู้นะว่าแกจะทำอะไร อย่านึกว่าจะลอยนวลไปได้ ฉันไม่ปล่อยแกไปแน่”
นภาจรีสะบัดหน้าเดินออกไป แม่ชื่นรีบเดินตาม
นภดาราดึงพเยียมากอดปลอบใจ พเยียกอดนภดาราเหมือนเด็กหาที่พึ่ง
“คุณแม่ต้องไม่เชื่อที่คุณยายเล็กพูดนะคะ พเยียไม่รู้จริงๆ ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร แล้วเค้าไปที่นั่นได้ยังไง”
“แม่ก็ต้องเชื่อลูกแม่ซีจ๊ะ พเยียไม่ต้องกลัว คุณยายเล็กทำอะไรหนูไม่ได้หรอก” นภดาราปลอบ
กอหญ้าเห็นนภดารามีท่าทางโกรธนภาจรี พูดเสียงอ่อย
“พวกคุณทะเลาะกันเพราะเรื่องของหนูอีกแล้ว หนูเสียใจจริงๆ ค่ะ”
“ไม่ใช่ความผิดของหนูหรอกจ้ะ กอหญ้า อาหญิงมีอคติกับพเยีย จ้องจะหาเรื่องพเยียอยู่แล้ว แต่คราวนี้ ถึงกับหาว่าพเยียให้คนไปทำร้ายหนูมันเกินไป เกินไปจริงๆ”
กอหญ้าแอบมองหน้าพเยีย ท่าทีลังเลใจ
ครู่ต่อมากอหญ้านอนอยู่บนเตียง ครุ่นคิดถึงคำพูดของนภาจรี
“คนร้ายมันจะตามไปหากอหญ้าที่นั่นได้ยังไง ถ้าไม่มีคนบอก”
ส่วนพเยียนอนกระสับกระส่ายบนเตียง คิดถึงคำพูดของนภาจรีเหมือนกัน
“เธอใช่ไหมพเยีย ที่เป็นคนให้มันไปทำร้ายกอหญ้า”
พเยียลุกขึ้นมานั่ง กลุ้มใจหนัก
“ทำไมถึงกล้าพูดว่าเราเป็นคนทำ”
กอหญ้าผุดลุกขึ้นนั่ง กลุ้มใจเหมือนกัน
“ทำไมคุณหญิงถึงคิดว่าคุณพเยียเป็นคนทำ”
พเยียยังคงครุ่นคิด เสียงนภาจรีดังก้องในหัว
“ฉันรู้นะว่าแกจะทำอะไร อย่านึกว่าจะลอยนวลไปได้ ฉันไม่ปล่อยแกไปแน่”
พเยียเครียดจัด “นังนภาจรีมันต้องรู้ว่าเราทำ ไม่งั้นมันคงไม่กล้าพูดขนาดนี้”
กอหญ้าใคร่ครวญครุ่นคิด มีท่าทีหวาดหวั่น
“ถ้าคุณพเยียเป็นคนทำจริงๆ เราจะทำยังไงดี”
ฝ่ายพเยียสุดแสนจะกลุ้มใจ
“เราจะทำยังไงดี”
เช้าวันต่อมา กอหญ้าคุยกับนภดาราที่โต๊ะอาหารเช้า พเยียนั่งดื่มกาแฟ ฟังอยู่เงียบๆ
“ทำไมจะรีบร้อนไปหาหมอวันนี้ หมอเค้านัดอาทิตย์หน้าไม่ใช่หรือจ๊ะ กอหญ้า”
“หนูอยากเข้ารับการรักษาให้เร็วที่สุดค่ะ หนูเชื่อว่าในอดีต หนูกับคนร้ายต้องเคยรู้จักกันมาก่อน”
พเยียเหลือบตามองนิ่งๆ แอบหวั่นใจ นภดาราพยักหน้า เข้าใจ
“ฉันเข้าใจล่ะ ถ้าหนูจำอดีตให้ได้ หนูก็จะรู้ว่าคนร้ายคือใครใช่ไหมจ๊ะ”
“ค่ะ คุณอาดารา หนูคิดว่าหนูคงจะรู้ ว่าคนที่อยากทำร้ายหนู เค้าคือใคร แล้วเค้าต้องการอะไร”
กอหญ้าแอบเหลือบมองพเยีย เห็นพเยียจิบกาแฟ หน้านิ่ง เหมือนไม่สนใจ แต่มือแอบกำแก้วกาแฟแน่น
ฟากชิษณุพงษ์คุยโทรศัพท์อยู่กับนภาจรี เรื่องเหตุการณ์ร้ายๆ ที่เกิดกับกอหญ้า
“แต่คุณย่าหญิงครับ กอหญ้าเป็นแค่เด็กกำพร้าจนๆ คนนึง ผมไม่เข้าใจ คนจะมาตามฆ่าเขาทำไม มีเหตุผลอะไร”
นภาจรีพูดโทรศัพท์อยู่ในห้อง ท่าทางเอาจริงเอาจัง
“เหตุผลน่ะมีแน่ แต่ตอนนี้ ย่ายังไม่แน่ใจ บอกได้แค่ว่ามันยังไม่จบง่ายๆ หนูกอหญ้ายังอยู่ในอันตราย”
ชิษณุพงษ์ร้อนใจ
“แล้วเราจะทำยังไงกันดีครับ ผมเองก็เดาไม่ออกเลยว่าคนร้ายเป็นใคร”
“ย่าว่าเดี๋ยวมันต้องโผล่หัวออกมาอีก เชื่อสิ ถ้าหากกอหญ้าจำอดีตของตัวเองได้เมื่อไหร่ ย่าว่า คนร้ายมันต้องลงมืออีก แล้วคราวนี้ เราจะจับมันให้ได้”
นภาจรีวางสาย หน้าตามุ่งมั่น
แตงฟังอยู่ด้วย ถามขึ้นอย่างสงสัย
“แตงไม่เข้าใจ คุณหญิงนภาพูดอย่างกับว่าคนร้าย มันไม่อยากให้คุณกอหญ้าจำอดีตตัวเองได้อย่างนั้นแหละ”
“เพราะมันรู้จักกับกอหญ้าน่ะซี มันคงกลัวว่าถ้าความทรงจำของกอหญ้ากลับคืนมา กอหญ้าจะรู้ว่ามันคือใคร”
แตงเดาเรื่องได้ ทำท่าสยอง “ถ้าอย่างนั้น มันก็ต้องจัดการปิดปากคุณกอหญ้า ซะ ก่อนที่เธอจะจำอะไรได้ ใช่ไหมคะ”
ชิษณุพงษ์พยักหน้า แตงหน้าเสีย ทั้งสองกังวลใจแทน และเป็นห่วงกอหญ้า
แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 7 (ต่อ)
ทางด้านอิศรมารับกอหญ้าที่วังศิวาลัย และกำลังเดินนำกอหญ้าไปที่รถ นภดาราเดินตามมาส่ง ทั้งสองไหว้ลาแล้วขึ้นรถไป
ขณะเดียวกัน พเยียยืนมองจากหน้าต่างในบ้าน แววตากังวล แล้วรีบเดินผลุนผลันไป
ไม่นานหลังจากนั้นหมอวิชาญเดินออกมารับกอหญ้ากับอิศร หน้าตาตื่นเต้นยินดี
“ตัดสินใจแน่นอนแล้วนะครับ คุณกอหญ้า”
“ค่ะ” กอหญ้าบอก
“งั้นเดี๋ยวตามผมไปข้างใน ผมจะอธิบายขั้นตอนการสะกดจิตให้ฟัง แล้วเราจะได้เริ่มกันเลย”
หมอวิชาญพากอหญ้าจะเดินเข้าไปห้อง ด้านใน อิศรเดินไปด้วย หมอวิชาญชะงัก
“ไอ้อิศร แกรอข้างนอก เข้าไปไม่ได้”
“ฉันต้องรู้ ว่าแกทำอะไรกับกอหญ้า”
“มันเป็นเรื่องระหว่างหมอกับคนไข้ แกเกี่ยวอะไร” หมอไล่ “ออกไป ไป”
อิศรหน้าหงิก กอหญ้ารู้ว่าอิศรเป็นห่วงเธอ พยายามปลอบใจ
“ฉันคงไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ คุณไม่ต้องห่วง”
อิศรมองกอหญ้า ทั้งห่วง ทั้งกังวล หันไปถามหมอวิชาญ
“ไม่มีอันตรายอะไรแน่นะ หมอ”
“เออ” หมอบอกขำๆ
“ไม่ใช่ออกมาแล้วเอ๋อ จำอะไรไม่ได้หนักกว่าเดิมนะ”
หมอวิชาญกวน “ก็อาจจะลืมว่าแกเป็นใคร แต่นอกจากนั้น ฉันรับรองว่าปลอดภัย”
อิศรทำท่าเหมือนอยากจะถีบหมอ กอหญ้ารั้งไว้ ยิ้มๆ
“คงไม่มีอะไรหรอกค่ะ คุณอิศร ให้ฉันทำเถอะ ฉันจะได้รู้ซะที ว่าตัวเองเป็นใคร”
อิศรมองกอหญ้าอย่างเป็นห่วง
“สัญญากับฉันได้ไหม กอหญ้า ถ้าหากเธอจำเรื่องในอดีตได้ ไม่ว่าฉันจะทำเรื่องไม่ดียังไง เธอจะไม่โกรธ ไม่เกลียดฉัน”
“ฉันต่างหากล่ะคะ ที่ต้องขอร้องคุณ ถ้าหากในอดีต ฉันเคยเป็นคนไม่ดี ทำเรื่องไม่ดีเอาไว้ คุณสัญญาได้ไหม ว่าจะไม่โกรธ ไม่เกลียดฉัน”
“ไม่ว่ายังไง เราจะยังเป็นเหมือนเดิม” อิศรยื่นมือไปให้จับ “สัญญานะ”
“สัญญาค่ะ”
ทั้งสองจับมือกัน
“เชิญครับ คุณกอหญ้า”
หมอวิชาญก็พากอหญ้าเข้าไปในห้องด้านใน กอหญ้าตามหมอเข้าไป อิศรมองตาม ห่วงใย
อิศรนั่งรออยู่หน้าห้อง โดยไม่รู้ตัวว่าพเยียแอบตามมา มองดูจากหลังเสา ห่างออกไป หน้าตาหวั่นระทึก เสียงโทรศัพท์ดัง พเยียสะดุ้ง รีบหยิบมาดู เห็นเบอร์นภดล พเยียกดทิ้ง แต่นภดลโทร.เข้ามาอีก พเยียเครียด หงุดหงิด แล้วก็ตัดสินใจรับ เดินออกไปด้านนอก
พเยียเดินมาในมุมปลอดคน รับสาย
“ว่าไง”
นพดลอยู่ที่คอนโด คุยไป เดินไป หยิบเสื้อผ้ามาโยนใส่กระเป๋าเดินทางที่เปิดอ้าอยู่บนเตียงไปด้วย ใส่เสื้อกล้าม กางเกงอยู่บ้านเท่ๆ
“พี่ขี้เกียจหมกอยู่แต่ในห้อง เบื่อ ว่าจะไปต่างจังหวัดซักพัก”
“ก็ดีนี่ แค่นี้ใช่ไหม”
“เดี๋ยวก่อนซี พเยีย จะไปไหนมันก็ต้องมีค่าใช้จ่าย พี่โทร.มาทวงเงินค่าจ้าง ที่พเยียบอกว่าจะให้พี่”
พเยียฉุน “พี่ทำไม่สำเร็จ ยังมีหน้ามาทวงค่าจ้างอีกเหรอ”
“พี่พลาด เพราะพเยียนั่นแหละ บอกว่ามีแค่ผู้หญิงสามคน ไปเข้าจริง มีผู้ชายล้อมหน้าล้อมหลังเต็มไปหมด มันจะสำเร็จได้ยังไง”
พเยียอึ้ง เถียงไม่ออก นพดลโวยวายต่อ
“พี่เสี่ยงไปแล้ว งานเก่าก็กลับไปทำไม่ได้ พเยียต้องเอาเงินมาให้พี่...แสนนึง ตามที่ตกลงกัน”
พเยียอึกอัก อิดออด “แต่ว่าฉัน...”
“ไม่มีแต่ แล้วอย่าหนีนะ รับรองพี่บุกถึงที่ ภายในอีกหนึ่งชั่วโมงจากนี้ ถ้าพี่ยังไม่ได้เงิน เรื่องที่เราสมคบกันเก็บนังกอหญ้า ถึงหูเสด็จแม่ไฮโซของพเยียแน่”
“อย่านะ พี่นพ อย่าบ้านะ”
พเยียตกใจ แต่สายหลุดไปเลย เพราะนพดลวางสายไปแล้ว พเยียหน้าเสีย
พเยียพาตัวเองมาอยู่ที่หน้าธนาคาร ก่อนจะวิ่งหน้าตาตื่นเข้าไปเจ้าหน้าที่ถาม
“ทำอะไรคะ”
“ถอนเงินสดค่ะ ด่วนมาก”
“กรอกใบถอนทางด้านนี้เลยค่ะ”
พเยียดำเนินการถอนเงิน มีเจ้าหน้าที่กุลีกุจอช่วยเมื่อรู้ว่าลูกค้ารีบ พเยียดูนาฬิกาไปด้วยตลอด ลุ้นระทึก
พนักงานทำงานตามขั้นตอนอย่างรวดเร็ว คีย์ข้อมูล เอาเงินมาปั่นนับให้พเยียดู ว่าครบหนึ่งแสนบาท แล้วมัด ใส่ถุง ส่งให้พเยียอย่างยิ้มแย้ม
“เรียบร้อยค่ะ คุ...”
พนักงานยังพูดไม่ทันจบ พเยียก็กระชากเงินไปแล้ววิ่งแน่บออกไป ไม่เหลียวหลัง
ส่วนนพดลแต่งตัวใหม่เรียบร้อย มีกระเป๋าเดินทางที่จัดเสร็จวางอยู่ เสียงเคาะประตูดังขึ้น นพดลเดินไปเปิดรับเห็นเป็นพเยีย นภดลยิ้มย่อง
“ใช้ได้ ตรงเวลาเป๊ะเลย”
สองคนเดินเข้ามาในห้อง นพดลเอาเงินทั้งปึกโยนใส่กระเป๋าเสื้อผ้า พเยียยืนมอง สั่งเสียงดุๆ
“ได้เงินแล้วก็หลบไปไกลๆ เลยนะพี่ อย่าโผล่ไปให้เค้าเห็นหน้าล่ะ จะพลอยเดือดร้อนมาถึงฉัน”
นภดลถามเรื่องที่กังวล “แล้วกอหญ้าล่ะ จะเอายังไงต่อ”
พเยียกลุ้มๆ “ฉันยังคิดไม่ออกเหมือนกัน”
นพดลยิ้มๆ ดึงพเยียลงนั่งบนเตียงใกล้ มองหน้าพเยียอย่างจับสังเกต เหมือนค้นหา แววตาเจ้าเล่ห์
“พเยียยังไม่ได้บอกพี่เลย ว่าทำไมให้พี่ไปกำจัดกอหญ้า”
“ไม่เกี่ยวกับพี่ อย่ารู้เลยน่ะ” พเยียจะลุก แต่นภดลดึงไว้ “ได้เงินแล้วก็ไปซี รีบไม่ใช่เหรอ”
นภดลเซ้าซี้ “บอกพี่มาก่อนซี พเยียกับกอหญ้าเป็นเพื่อนกันมาแท้ๆ ทำไมคิดจะฆ่ากัน มันต้องมีเงื่อนงำอะไรแน่ๆ ใช่ไหม” นภดลเพ่งมอง “พเยียบอกว่าเค้ามาขวางทางของพเยีย ขวางอะไร ยังไง”
“ฉันไม่บอก บอกไม่ได้”
“พเยียไม่บอก งั้น...พี่ไปถามกอหญ้าก็ได้”
นพดลคว้ากระเป๋าจะออกไป พเยียคว้าตัวไว้
“จะบ้าเหรอ พี่นพ ขืนมันเห็นหน้าพี่ พี่ก็เข้าคุกเท่านั้น”
“พี่คงไม่เข้าคนเดียวหรอก ว่าไหม”
นพดลมองหน้าพเยียอย่างยียวน พเยียอึ้ง
นภดลคาดคั้น “จะบอกหรือไม่บอก ว่าทำไมต้องให้พี่ไปฆ่ากอหญ้า”
“คือ ฉันกับกอหญ้านั่งรถลงมากรุงเทพฯ ด้วยกัน เกิดรถคว่ำ คนขับก็ตาย แม่ยุพาก็ตาย ฉันนึกว่ากอหญ้ามันตายไปด้วย ฉัน...ฉันเลยฉวยโอกาสแอบอ้างว่าเป็นมัน”
นภดลอึ้ง “แอบอ้างเป็นกอหญ้า...ยังไง”
พเยียจำใจเล่า “จริงๆ แล้วฉันไม่ใช่ลูกของคุณนภดาราหรอก นังกอหญ้าต่างหาก ที่เป็นลูกสาวของเค้า เป็นทายาทตัวจริงของศิวาวงศ์”
พเยียสารภาพความจริงแค่ครึ่งเดียว ไม่ได้บอกว่าตัวเองทำร้ายกอหญ้า นพดลเกือบหัวเราะ มองพเยียกึ่งขบขัน กึ่งเหลือเชื่อ
ภายในห้องสะกดจิตที่โรงพยาบาล บรรยากาศห้องสีขาวสว่างไสว ดูโปร่ง โล่ง สบาย เห็นกอหญ้านั่งเอนตัวสบายๆ อยู่ตรงหน้าหมอวิชาญ ตรงหน้ามีกระดิ่งแก้วอันเล็กๆ
“กอหญ้า ผมอยากให้คุณหลับตา” กอหญ้าหลับตา “ผ่อนคลาย เมื่อผมเขย่ากระดิ่งอันนี้ คุณจะกลับไปตอนที่คุณยังเด็ก แล้วเมื่อผมเขย่าอีกครั้ง คุณจะกลับมาที่นี่” หมอวิชาญเขย่ากระดิ่ง “ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน”
สีหน้ากอหญ้าดูมีความสุข
“ฉันอยู่ที่โบสถ์ บนเขา สวย”
“คุณกำลังทำอะไรอยู่”
ภาพจำในความคิดกอหญ้า ผุดขึ้นในหัวเด็กสาว เห็นตัวเองเล่นเปียโนร้องเพลง
“แล้วคุณเห็นอะไรอีก”
สีหน้ากอหญ้ามีความสุข
“ฉันกำลังขี่จักรยาน...พาชิษณุพงษ์ไปเที่ยว…ว้าย”
หมอวิชาญถามต่อ “เกิดอะไรขึ้น”
กอหญ้าบอกหน้าตาหงุดหงิดหมั่นไส้ “คุณอิศรขับรถชนฉัน คนอะไร นิสัยไม่ดี พาลเกเรที่สุด
หมอวิชาญยิ้มขำ แล้วเห็นสีหน้าของกอหญ้าเครียดขึ้น
“แล้วยังไงอีก”
ภาพจำตอนกอหญ้านั่งอยู่ในรถที่ขับฝ่าสายฝนผุดขึ้นในหัว
กอหญ้าบอก “ฝนตกหนัก ฉันอยู่ในรถ”
“ไปไหน” หมอวิชาญถาม
“ไปกรุงเทพฯ แย่แล้ว” จู่ๆ สีหน้ากอหญ้าเครียดเคร่ง มือเกร็งขณะบอก “รถ รถเบรกแตก”
หมอวิชาญปลอบโยน “ใจเย็นๆ กอหญ้า ค่อยๆ ถอยตัวเองห่างออกมา คุณไม่ได้เป็นกอหญ้า คุณอยู่ห่างออกมา มองดูสิ่งที่เกิดขึ้น คุณเห็นอะไร”
กอหญ้าเห็นรถคว่ำ ควันโขมง
“รถคว่ำ...ทุกคนบาดเจ็บ ฉันนอนอยู่กับพื้น”
กอหญ้าเห็นตัวเองนอนฟุบกับพื้น จังหวะนั้นภาพเริ่มขาดวิ่น ไม่ปะติดปะต่อ แต่ยังเห็นว่าเป็นพเยียเดินเข้ามาหา สายฟ้าฟาดเปรี้ยง แล้วทุกอย่างก็ดับวูบ
กอหญ้าร้องกรี๊ด “อย่า พเยีย”
หมอวิชาญเห็นท่าไม่ดี รีบคว้ากระดิ่งมาเขย่า
“คุณกอหญ้า”
กอหญ้าลืมตาขึ้น ตัวสั่น หมอวิชาญปลอบโยน
“เกิดอะไรขึ้นครับ กอหญ้า คุณเห็นอะไร”
กอหญ้านิ่ง ไม่ตอบ หน้าตาดูหวาดกลัว
ด้านนพดลหัวเราะร่วน
“เหลือเชื่อจริงๆ พเยียเอาล็อกเก๊ตมาแสดงตัวเป็นทายาท แต่กอหญ้าดันไม่ตาย แต่กลายเป็นความจำเสื่อม”
“ฉันกลัวว่าซักวันนึง มันก็ต้องจำได้ ฉันเลยต้องกำจัดมันซะก่อน”
นพดลมีสีหน้าเหมือนคิดอะไรได้ ทำเนียนๆ เอาโทรศัพท์ขึ้นมาถือเล่นๆ แล้วลงนั่งโอบชิดพเยียทำเป็นหยอกล้อน่ารัก
“โหดจริงๆ นะคนสวย แต่อย่างว่าล่ะนะ เงินไม่รู้กี่หมื่นกี่พันล้าน เป็นใคร ใครก็เสียดาย...” หนุ่มแสบพูดชัดๆ “พเยียจ้างให้พี่ฆ่านังกอหญ้า พี่ต้องเสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางสารพัด แลกกับเงินแสนเดียว แต่พเยียได้เป็นทายาทสมบัติพันล้าน มันไม่ยุติธรรมเลยนี่”
พเยียแหวใส่ทันที “ก็เราตกลงกันเท่านี้ พี่อย่ามางี่เง่ากับฉันนะ”
นพดลลุกขึ้นยืน วางท่ากร่างขณะบอก
“พี่จะเอาสิบล้าน”
พเยียโกรธ “บ้า ฉันจะไปเอามาจากไหน ฉันไม่มี”
“พเยียไม่มี แต่หม่อมหลวงนภดาราคงจะมี” นพดลหยิบโทรศัพท์มาโชว์
พเยียเอะใจ รู้ทันที ถูกนภดลอัดเสียงเมื่อครู่ “พี่นพ”
“คลิปเสียงนี่ เป็นหลักฐานชัดเจนว่าพเยียเป็นคนบงการฆ่ากอหญ้า ลูกสาวตัวจริงของหม่อมหลวงนภดารา ถ้าพี่บอกว่าพี่มีหลักฐานอันนี้ซักยี่สิบสามสิบล้าน เผลอๆ เขาก็อาจจะยอมจ่าย” นพดลขู่
พเยียกรี๊ด “ไม่นะ พี่นพอย่าทำอะไรบ้าๆ นะ”
“ถ้ายังอยากเป็นคุณหนูพเยียอยู่ ก็ไปหาเงินมา อีกสิบวัน ถ้าพี่ยังไม่ได้สิบล้าน คลิปเสียงนี่ถึงมือหม่อมหลวงนภดาราแน่”
พเยียอึ้ง ทำอะไรไม่ถูก
ส่วนกอหญ้าจิบน้ำ พยายามสงบสติอารมณ์ อิศรกับหมอวิชาญนั่งอยู่ด้วย สีหน้าเป็นห่วง
กอหญ้าพยายามเล่า “ฉันเห็นว่ามีคนกำลังจะฆ่าฉัน”
อิศรถาม “ใคร”
“ฉันเห็นไม่ชัด มันเป็นความรู้สึก แต่ฉันแน่ใจค่ะ ก่อนที่ฉันจะหมดสติไป เขาต้องการฆ่าฉัน” กอหญ้ามั่นใจ
“ต้องเป็นไอ้ฆาตกรคนนั้นแน่ ไอ้คนที่ตีหัวเธอ มันคือผู้ชายที่ไปดักจับเธอที่หัวหินใช่ไหม”
กอหญ้าหลับตา นึกอีก ภาพแว๊บเข้ามา ถึงไม่ชัด แต่กอหญ้ามั่นใจว่าใครคนนั้นคือพเยีย
กอหญ้าลืมตา “ไม่ใช่ค่ะ”
“แล้วเป็นใคร เป็นคนที่เธอรู้จักหรือเปล่า” อิศรถาม
กอหญ้านิ่ง ชั่งใจ ตัดสินใจไม่ตอบ
อิศรตื่นเต้นเร่งเร้า “นึกสิ กอหญ้า เธอรู้จักมันใช่ไหม มันเป็นใคร บอกฉันมา เราจะไปให้ตำรวจลากคอมันเข้าตะราง”
หมอวิชาญปราม “ใจเย็นเว้ย เพื่อน ข้อมูลหรือภาพที่ได้จากการสะกดจิต ยังใช้เป็นหลักฐานกับตำรวจ หรือยืนยันในศาลไม่ได้นะเว้ย ถึงพูดไป ก็ไม่ใช่จะเอาใครเข้าตะรางได้”
กอหญ้าได้คิด “งั้นหรือคะ”
“ตกลงว่าเธอเห็นใคร หน้าตาเป็นยังไง” อิศรซัก
กอหญ้าเห็นว่าพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ ตัดสินใจเงียบไว้ก่อน
“ฉันไม่เห็นหน้าหรอกค่ะ มันเป็นแค่เงาดำๆ แต่ฉันมั่นใจ ไม่ใช่ผู้ชายคนนั้นแน่นอน”
อิศรเซ็งทิ้งตัวพิงโซฟา หมดหวัง กอหญ้านิ่ง หมอวิชาญมองกอหญ้า รู้สึกได้ว่าเธอซ่อนความจริงบางอย่างไว้
เย็นนั้นแม่ชื่นเคาะประตู แล้วเข้ามาในห้องนภดารา
“คุณดาราไม่ลงไปทานข้าวหรือคะ”
“ยังก่อนจ้ะ ฉันจะรอลูกพเยียกับกอหญ้า”
“ยังไม่มีใครกลับมาเลยค่ะ อยู่แต่คุณหญิงนภา” แม่ชื่น เห็นนภดาราเมินหน้าก็นึกรู้ “คุณดารายังโกรธคุณหญิงอยู่หรือคะ”
“อาหญิงเกลียดลูกของฉัน เกลียดอย่างไม่มีเหตุผล ฉันเป็นแม่ แม่ชื่นจะให้ฉันรู้สึกยังไง”
“คุณหญิงเธอก็มีเหตุผลของเธอล่ะค่ะ” แม่ชื่นบอก
“เหตุผลอะไรคะ แม่ชื่น” นภดาราอยากรู้ แต่แม่ชื่นนิ่ง “ใครมีเหตุผลอะไรก็บอกฉันมาซี ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าพเยียไปทำผิดคิดร้ายอะไร”
“อาทิตย์หน้า คุณชายก็จะกลับมาแล้ว ถึงตอนนั้น คุณหญิงคงจะพูดทุกอย่างให้ฟังจนหมดเปลือก แต่ระหว่างนี้” แม่ชื่นพูดจริงจัง สีหน้าห่วงใย “คุณดาราลองจับตาคุณหนูพเยียดีๆ เถอะค่ะ บางทีอาจจะได้เห็นอะไรๆ บ้าง”
แม่ชื่นตัดบท พูดกำกวม แล้วเดินออกไป นภดารานิ่งคิด แปลกใจ
ส่วนพเยียหน้าตาเครียดจัด เดินเข้าบ้านมา ศรีเดินมารับ
“คุณหนูรับข้าวเย็นเลยนะคะ คุณดารารออยู่”
พเยียขรึม ทุกข์หนัก “ไม่ล่ะ ฉันกินไม่ลง” ศรีมอง งงๆ “ไปบอกคุณแม่ด้วยว่าฉันปวดหัว อยากนอน อย่าให้ใครมากวนล่ะ”
พเยียกำชับ แล้วเดินขึ้นไปชั้นบน เจอนภาจรียืนตระหง่าน ดักอยู่ตรงหัวบันได พเยียชะงัก ทั้งสองจ้องตากัน
นภาจรีเยาะ “ไง ถึงขั้นปวดหัวตัวร้อน กินข้าวไม่ได้ กลุ้มใจเรื่องอะไรเหรอ”
พเยียตีหน้าซื่อ “คุณยายเล็กพูดอะไร พเยียไม่รู้เรื่อง”
พเยียเดินหลบไปถึงหน้าห้อง นภาจรีเข้าขวาง พูดเสียงแข็งใส่หน้า
“อย่ามาเรียกฉันว่าคุณยาย แกไม่ใช่หลานฉัน แกมันตัวปลอม”
พเยียสะอึก มองนภาจรีตาเขม็ง พยายามใจดีสู้เสือ
“หนูเป็นลูกของคุณแม่” พเยียเสียงแข็ง
“ไปหลอกคนอื่นเถอะ หลานสาวตัวจริงของฉันไม่ใช่แก”
พเยียหน้าซีดขาวเป็นกระดาษ นภาจรียิ้มเยาะ
“พี่ชายกลับมาเมื่อไหร่ ฉันจะแฉแกให้หมดเปลือก ฉันจะเฉดหัวแกออกไปจากศิวาลัยให้ได้ คอยดู”
นภาจรีเดินเชิดออกไป พเยียเปิดประตู เข้าห้อง แล้วทรุดลงที่หลังบานประตูนั่นเอง ตัวสั่นสะท้านด้วยความกลัว
นพดลกึ่งนั่งกึ่งนอนดูทีวีอยู่ในห้องที่คอนโด กินขนมขบเคี้ยวกับโค้ก โทรศัพท์ดังขึ้น
“ฮัลโหล”
พเยียสงบจิตใจได้แล้ว พูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
“พเยียเอง พี่นพ”
“โทร.มาเนี่ย หาเงินสิบล้านให้พี่ได้แล้วเหรอจ๊ะ”
“ฉันให้พี่ได้มากกว่าสิบล้านอีก” นพดลวางกระป๋องลงสนใจ “แต่พี่ต้องช่วยฉันอย่างนึงก่อน”
“ยังไง”
“มีคนคนนึง มันจะบอกคุณแม่ว่าฉันไม่ใช่ทายาทตัวจริง เราต้องรีบเก็บมัน”
“อีกแล้วเหรอ”
พเยียอ้อนวอน “กะอีแค่จัดการกับผู้หญิงแก่คนเดียว ง่ายจะตาย...ถ้ามันพ้นทางไปได้ พี่อยากได้อะไรนะพี่นพ ฉันให้พี่ได้ทุกอย่าง”
“แล้วถ้าพี่ไม่ทำ”
“ฉันอด พี่ก็อดด้วย ไม่ได้ซักสตางค์แดงเดียว ลองคิดดูดีๆ แล้วกัน ว่าจะช่วยฉันหรือไม่ช่วย”
เจอพเยียขู่กลับ นภดลคิดนิดหนึ่ง “ยังไง ว่ามา”
พเยียบอกแผนแล้ววางสาย หน้านิ่ง
แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 7 (ต่อ)
บรรยากาศยามเช้าที่วังศิวาลัยสดใส ขณะที่นภดาราเดินออกจากห้อง กำลังจะลงไปที่ห้องอาหาร แล้วชะงัก มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างแปลกใจ เห็นพเยียนั่งหลบมุมทำอะไรบางอย่างอยู่หลังพุ่มไม้ในสวน
นภดาราเพ่งมอง แล้วหวนคิดถึงคำของแม่ชื่นขึ้นมา
“ระหว่างนี้ คุณดาราลองจับตาดูคุณหนูพเยียดีๆ เถอะค่ะ บางทีอาจจะเห็นว่าอะไรเป็นอะไร”
นภดารานิ่วหน้า นึกสงสัยขึ้นมา
ในสวนสวยของ วังศิวาลัย เช้านั้นพเยียเอาขนมสำหรับแมวเล่นล่อให้ปุยฝ้ายเดินตามมาในสวน ปุยฝ้ายก็ตามบ้างไม่ตามบ้าง พเยียพยายามอย่างไม่ลดละ
“มานี่ เร็ว มานี่” พเยียล่อหลอกเสียงหวาน “เหมียวๆๆ ปุยฝ้ายมากินขนมนะ”
ปุยฝ้ายเหมือนตกใจอะไร วิ่งหนี พเยียขัดใจ จะตาม
“นังปุยฝ้าย เอ๊ะ นังนี่”
แต่แล้วพเยียก็ต้องชะงัก เมื่อได้ยินเสียงนภดาราดังขึ้นข้างหลัง
“จะทำอะไรน่ะลูก”
พเยียหันมาเห็นนภดารา ตกใจเอามือซ่อนของไว้ข้างหลังตามสัญชาตญาณ ยิ้มเจื่อนๆ
“ไปวุ่นวายอะไรกับปุยฝ้าย” นภดารามองอย่างสงสัย “แล้วในมือนั่นอะไร”
พเยียนึกได้ ค่อยๆ เอามือออกมาข้างหน้า ยื่นถุงขนมแมวให้นภดารา
“ขนมค่ะ พเยียเอามาให้ปุยฝ้ายกิน”
นภดารามองๆ ดู เห็นเป็นขนมสำหรับแมวจริงๆ พเยียอธิบายเสียงอ่อย
“พเยียเห็นคุณยายเล็กรักปุยฝ้ายมาก ก็เลยคิดว่า ถ้าพเยียทำดีกับปุยฝ้ายมากๆ คุณยายเล็กอาจจะชอบพเยียขึ้นมาบ้าง”
นภดาราฟังแล้วถอนใจ ด้วยความสงสารพเยีย
“แม่ว่าหนูอยู่เฉยๆ ดีกว่าลูก คุณยายเล็กท่านยิ่งอคติกับหนูอยู่ เกิดปุยฝ้ายท้องเสียหรือไม่สบายขึ้นมา ท่านจะหาว่าหนูแกล้งแมวของท่าน มันจะเป็นเรื่องกันอีกนะลูกนะ”
“ค่ะ คุณแม่ พเยียไม่ทันคิด พเยียจะไม่ทำอีกแล้วค่ะ”
นภดาราโอบเอวพเยีย พาเดินกลับเข้าบ้าน
“ไปล้างมือแล้วมาทานข้าวเช้าเป็นเพื่อนแม่ดีกว่า วันนี้กอหญ้าก็ไม่อยู่”
พเยียระแวง “ไปไหนอีกคะ”
“เค้าขอออกไปธุระน่ะจ้ะ ชิษณุโทร.มาตาม คงจะเกี่ยวกับเรื่องในอดีตของเค้านั่นแหละ”
พเยียหน้าเสีย หวาดระแวง
ที่บ้านชิษณุพงษ์ตอนสายๆ ลุงเติมควักเศษกระดาษออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ส่งให้กอหญ้า ชิษณุพงษ์กับแตงนั่งอยู่ด้วย
“นี่เป็นที่อยู่ใหม่ของคุณแม่วันเพ็ญ”
กอหญ้าพยายามนึก
“คุณแม่วันเพ็ญ”
ชิษณุพงษ์บอก “แม่ชีที่โบสถ์ที่เธอเคยอยู่ไง หลังจากรถคว่ำไม่กี่วัน โบสถ์ที่เธอเคยอยู่ก็โดนไล่ที่ พวกแม่ชีเลยแยกย้ายกันไปหมด ฉันเลยขอให้ลุงเติมออกสืบหา”
“คุณแม่วันเพ็ญแกสนิทกับคุณแม่ยุพามากนะครับ แกอาจจะรู้อะไรดีๆ บ้างก็ได้”
กอหญ้าสีหน้ามีหวัง ก้มลงมองกระดาษในมือ สีหน้าหนักใจขึ้นมา
“อยู่ตั้งเชียงราย” กอหญ้าคิดๆ “จะไปยังไง ไม่ให้คนที่วังรู้”
ลุงเติม แตง และชิษณุพงษ์ไม่เข้าใจ
“ทำไมล่ะจ๊ะ คุณกอหญ้า ทำไมถึงให้คนที่วังศิวาลัยรู้เรื่องไม่ได้” แตงถาม
“ฉันกลัวจะเกิดเรื่อง เหมือนตอนที่ไปหัวหินอีกน่ะ แตง”
แตงกับชิษณุพงษ์เข้าใจทันที
“คนที่คิดจะฆ่าเธอ มีสายอยู่ในวัง อย่างงั้นใช่ไหม”
“ชัวร์ คุณณุ แตงเห็นกับตาว่าไอ้หมอนั่นมันโทร.นัดกับใครซักคน มันต้องเป็นคนในวังนั่นแหละ ที่รู้ว่าคุณกอหญ้าอยู่ที่บ้านหลังไหน”
“งั้นฉันจะไปกับเธอ เพื่อความปลอดภัย” ชิษณุพงษ์ว่า
“งั้นแตงไปด้วย”
“แต่ถ้าคนร้ายมันตามไป แล้วคุณสองคนต้องมาเดือดร้อนเพราะฉัน...” กอหญ้าตัดสินใจ “ไม่ค่ะ ฉันยอมไม่ได้”
“ฉันก็ไม่ยอมให้เธอไปคนเดียวเหมือนกัน” ชิษณุพงษ์บอก
ลุงเติมรีบท้วง
“เดี๋ยวก่อนครับ ทุกคน ฟังลุงเติมก่อน” ทุกคนชะงัก หันมาดู “ไม่มีใครต้องเสี่ยงอะไรทั้งนั้น”
“ยังไง ลุง” แตงงง
“หนูกอหญ้าอยู่เฉยๆ ทำตัวปกติ อย่าให้ใครสงสัย คุณชิษณุอยู่กรุงเทพฯ คอยดูแลคุณกอหญ้า” ลุงเติมหันมองแตง ยักคิ้ว “ไอ้แตง จะเป็นคนไปหาคุณแม่วันเพ็ญที่เชียงราย”
ชิษณุพงษ์ถาม “ว่าไงแตง”
“ลุงว่าไง แตงก็ต้องว่างั้นอยู่แล้ว ว่าแต่ว่า ถ้าแตงเจอคุณแม่วันเพ็ญ จะให้แตงไปถามว่าไง”
กอหญ้ายิ้มดีใจ รีบอธิบาย
“ตอนที่หมอสะกดจิต ฉันรู้สึกเหมือนได้กลับไปนั่งในรถคันนั้น ฉันตื่นเต้นมาก รู้สึกว่าเค้ากำลังจะพาฉันไปทำอะไรซักอย่างที่สำคัญ...สำคัญมากๆ ฉันอยากรู้น่ะค่ะ ว่าฉันจะไปไหน ไปหาใคร”
กอหญ้าหันไปบอกชิษณุพงษ์
“ฉันว่ามันต้องเกี่ยวกับสาเหตุ ที่คนต้องการทำร้ายฉันแน่ๆ”
ชิษณุพงษ์พยักหน้ารับรู้ มองกอหญ้าอย่างห่วงใย แตงมองดูคนทั้งสองหน้าจ๋อยๆ
ไม่นานต่อมาที่ห้องลุงเติมภายในบ้านเรือนไทยของชิษณุพงษ์ แตงเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า ลุงเติมเข้ามาตาม
“เสร็จหรือยัง ไอ้แตง”
แตงรูดซิปกระเป๋า
“เรียบร้อยจ้ะ ไปกันได้”
ลุงเติมเดินนำออกไป ปากพูดไปด้วย
“รีบหน่อยก็ดี ตอนนี้ที่โรงไหมยุ่งๆ ลุงไม่อยากทิ้งมานาน”
“ลุงจ๋า เดี๋ยวก่อน”
“อะไร” ชายชราหันมาหา
“ลุงว่า คุณณุเค้าชอบคุณกอหญ้าไหมอ้ะ”
“หนูกอหญ้าแกน่ารัก ใครก็ชอบแกทั้งนั้น”
“ไม่ใช่ แตงหมายถึง คุณณุเค้าชอบแบบ แบบจะเป็นแฟนกับคุณกอหญ้ารึเปล่า”
“โอ้ย คุณณุน่ะชอบเค้าแน่ล่ะ แต่หนูกอหญ้าน่ะไม่แน่ ลุงว่าท่าทางเค้าจะชอบพ่อหนุ่มโมโหร้ายคนนั้นมากกว่าล่ะมั้ง”
ฟังลุงเติมว่า แตงยิ้ม แอบโล่งใจ
ภายในห้องรับแขกวังศิวาลัยเย็นนั้น อิศรดูมีท่าทางกระวนกระวายรอขณะกอหญ้า นภดารามองขำๆ
“คุณอาไม่น่าปล่อยให้กอหญ้าไปไหนมาไหนคนเดียวเลย”
“อาให้รถที่วังไปส่งจ้ะ ส่วนขากลับ ชิษณุบอกว่าจะมาส่งเอง”
อิศรดูนาฬิกาพลางบ่น “ไปตั้งแต่เช้า นี่มันเย็นแล้วยังไม่กลับ ไม่รู้ไปทำอะไร”
“ก็คงไปคุยเรื่องเก่าๆ ในอดีตกัน ใจเย็นๆ เถอะจ้ะ เดี๋ยวก็คงจะถึงบ้านแล้ว”
ระหว่างนั้นชิษณุพงษ์จอดรถ ลงมายืนส่งกอหญ้าที่หน้าตึก
“ขอบคุณมากนะคะ คุณชิษณุ”
“ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ ไหนบอกว่ารู้แล้วว่าเราเคยเป็นเพื่อนรักกัน”
“แล้วจะให้พูดยังไงคะ”
“เมื่อก่อน ฉันเรียกเธอว่ากอหญ้า แล้วเธอก็เรียกฉันว่าชิษณุเฉยๆ”
“ตกลงค่ะ ชิษณุเฉยๆ”
ชิษณุพงษ์ขำ “นี่สิ ถึงจะเป็นกอหญ้าคนเดิมของฉัน”
ทั้งสองหัวเราะกัน จู่ๆ มีเสียงกระแอมดังๆ ทั้งสองหันไปดู เห็นอิศรยืนหน้าบึ้งอยู่
“คุณอิศร” กอหญ้าออกอาการดีใจ “มาเมื่อไหร่คะ”
“มาคอยอยู่ซักพักแล้ว” อิศรเดินมาขวางกลาง “หมดหน้าที่ของคุณแล้วขอบใจนะ ที่มาส่ง”
“ไม่ต้องขอบใจ ผมต้องดูแลกอหญ้าอยู่แล้ว” ชิษณุพงษ์ว่า
“ต่อไปนี้คงไม่ต้องแล้ว เพราะกอหญ้ากำลังจะแต่งงานกับผม”
ชิษณุพงษ์อึ้ง กอหญ้าตะลึงอ้าปากค้าง งง
เย็นนั้นนภดาราได้ฟังก็ตกใจ
“อะไรกันจ๊ะ อิศร ทำไมปุบปับแบบนี้” นภดาราหันไปมองกอหญ้าเป็นเชิงถาม “หนูจะแต่งงานกับคุณอิศรเหรอจ๊ะ”
“เปล่านะคะ หนูก็เพิ่งได้ยินจากปากคุณอิศรเดี๋ยวนี้ล่ะค่ะ” บอกกับอิศร “ใครบอกคุณว่าฉันจะแต่งกับคุณ”
อิศรไม่สน หันไปอธิบายกับนภดารา
“ผมเป็นห่วงกอหญ้า ผมอยากปกป้องเค้า วิธีเดียวที่เค้าจะไปอยู่กับผมโดยใครๆ ไม่ครหาได้ คือเราต้องแต่งงานกัน”
ชิษณุพงษ์เยาะ “คุณนี่พูดเอาแต่ได้ชะมัด”
กอหญ้าโมโห “ผู้หญิงคนไหนอยากแต่งงานด้วยเหตุผลบ้าๆ แบบนี้บ้าง”
“จะให้ฉันตะโกนดังๆ ตรงนี้ไหม ว่าฉันรักเธอ เอาไหม ฉันจะได้ตะโกนให้ไอ้หมอนี่มันฟัง”
ชิษณุพงษ์ไม่ยอม “ถ้าอย่างนั้น ผมก็แต่งงานกับกอหญ้าได้”
“ไม่ กอหญ้าจะแต่งงานกับใครไม่ได้ นอกจากฉัน” อิศรบอก
ชิษณุพงษ์ขึ้นเสียง “ทำไมจะไม่ได้”
“หยุด! นี่พวกคุณจะบ้าไปแล้วหรือไง” กอหญ้าเหลืออด
นภดารารีบห้ามทัพ “เอาเถอะจ้ะๆ ค่อยพูดค่อยจากัน เรื่องแต่งงานมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะ” บอกชิษณุพงษ์ “เธอยังเรียนไม่จบเลยนะ ชิษณุ เจ้าพี่แสงโชติไม่ยอมให้เธอแต่งงานแน่” แล้วหันมาทางอิศร “แล้วอิศรล่ะ คุณพ่อท่านทราบหรือยัง เรื่องที่เธอมาขอกอหญ้าแต่งงาน”
“ยังครับ แต่...”
“ไม่มีแต่ ถึงกอหญ้าจะเป็นลูกกำพร้า แต่ตอนนี้ เขาอยู่กับอา อิศรจะมาทำง่ายๆ เหมือนเด็กเล่นขายของไม่ได้”
อิศรอึ้งไป นภดาราพูดต่อสีหน้าจริงจัง
“ถ้าอิศรต้องการแต่งงานกับกอหญ้า ต้องให้คุณพ่อของเธอมาสู่ขอให้ถูกต้องตามประเพณี ในฐานะที่กอหญ้า เป็นเหมือนลูกสาวคนนึงของอา ไม่อย่างนั้น ก็อย่าหวังได้ตัวกอหญ้าไป”
นภดาราโอบกอหญ้าไว้อย่างหวงแหน ปกป้อง กอหญ้าปลาบปลื้ม อบอุ่น
เย็นนั้นนภาจรีเดินหัวเราะขำออกมาจากห้อง สวนกับนภดาราที่เดินกลับขึ้นมาข้างบน
“นี่ รู้อะไรไหม ดารา เจ้ามลุลีโทรมาเล่าว่าชิษณุไปฟ้อง เรื่องที่หลานไปท้าให้ตาอิศรส่งผู้ใหญ่มาสู่ขอกอหญ้า ชิษณุเลยรบเร้าเจ้าแม่ ให้มาสู่ขอกอหญ้าบ้าง”
นภดาราเหนื่อยใจ “สองคนนี้ก็เหลือเกิน ทำเป็นเด็กแย่งตุ๊กตากันไปได้”
นภาจรีพูดอย่างชื่นชม “กอหญ้าเป็นเด็กดี ใครเห็นก็อดรักแกไม่ได้”
“หลานเองก็รักแกมากเหมือนกันค่ะ แต่คุณอรรถกับคุณสกุณาท่าทางรังเกียจกอหญ้ามาก คงจะไม่ยอมง่ายๆ แน่”
นภาจรียิ้มหยิ่ง สะใจ
“อีกไม่นานหรอก ลูกเป็ดขี้เหร่ก็จะกลายเป็นหงส์ ถึงวันนั้น กอหญ้าของเราอาจจะดีเกินไปสำหรับตาอิศรด้วยซ้ำ”
นภดารางง “อาหญิงหมายความว่ายังไงคะ”
จังหวะนั้นนภาจรีมองไปด้านหลังนภดารา เห็นพเยียเดินขึ้นบันไดมาพอดี พเยียชะงัก นภาจรียิ้มเย้ย
“อีกสองวัน คุณพ่อของหลานจะกลับมา แล้วหลานจะรู้เอง ว่าที่อาพูดมันหมายความว่ายังไง” นภาจรีพูดลอยๆ “ใครเป็นหงส์ ใครเป็นเป็ด ก็จะได้รู้กันซะที”
พูดจบนภาจรีเดินเชิดออกไป ปล่อยนภดารายืนงง
พเยียยืนอึ้ง มั่นใจว่านภาจรีรู้ความจริงแล้วแน่ๆ
วังศิวาลัยยามค่ำคืนเงียบสงบ นภาจรีเดินมองหาปุยฝ้าย
“ปุยฝ้าย ปุยฝ้ายอยู่ไหนลูก”
ศรีเดินผ่านมา นภาจรีถาม
“ศรี เห็นปุยฝ้ายไหม”
“เอ เมื่อสักครู่ศรีเห็นวิ่งอยู่ที่สวนหลังบ้านแน่ะค่ะ”
“ค่ำแล้ว ทำไมไปวิ่งเล่น ไม่ยอมเข้าบ้าน แปลกจริง”
นภาจรีเดินออกไป
ครู่ต่อมานภาจรีเดินเข้าไปในสวนหลังวังศิวาลัย ร้องเรียก
“ปุยฝ้าย อยู่ไหนลูก”
นภาจรีได้ยินเสียงเหมียวๆ อยู่ห่างออกไปทางด้านหลังที่มีต้นไม้รก นภาจรีแปลกใจ รีบเดินตามไประหว่างทางในสวน นภาจรีเดินไปแล้วต้องชะงัก เมื่อเห็นพเยียเดินย่อง ท่าทางลับๆ ล่อๆ เหมือนแอบใครอยู่
“นังพเยีย มาแอบทำอะไรลับๆ ล่อๆ”
นภาจรีตาวาว แอบย่องเข้าไปทางด้านหลังพเยีย ยิ้มอย่างมาดหมายในใจ
ที่แท้พเยียวางแผนล่อนภาจรีออกมา โดยเดินไปที่ประตูด้านหลัง แล้วหยุดยืนซุ่มอยู่ ในมือมีโทรศัพท์มือถือ ทำท่าคุยไปด้วย
“พี่อยู่ที่ไหนแล้ว...โอเค เดี๋ยวฉันจะออกไปหาเดี๋ยวนี้”
นภาจรีแอบฟัง พูดกับตัวเอง “มันนัดกับใคร ค่ำๆ มืดๆ”
พเยียคุยโทรศัพท์ แกล้งพูดดังอีก
“รออยู่ตรงนั้นแหละ พี่ นังกอหญ้ามันจำหน้าพี่ได้ เกิดเห็นพี่เข้าจะยุ่งกันใหญ่ ฉันออกไปหาพี่เอง”
นภาจรีตาโต
“นังพเยีย ฉันคิดอยู่แล้ว ว่าต้องเป็นแก”
เห็นพเยียวิ่งหลบออกไปทางประตูหลังวัง นภาจรีกลัวพลาด รีบตามไป คิดว่าจะจับพเยียให้ได้คาหนังคาเขา
ตรงบริเวณถนนเล็กๆ มืดๆ ด้านหลังวัง ซึ่งค่อนข้างเปลี่ยว นภาจรีแอบตามหลังพเยียไป เห็นพเยียวิ่งไปที่รถเก่าๆ ที่จอดแอบอยู่ข้างทาง
“รถกระบะสี...ไม่มีทะเบียน ตรงตามที่ชิษณุเล่าไม่มีผิด”
นภาจรีแอบมอง เห็นพเยียผลุบเข้าไปในรถ
นภาจรีชะเง้อ “ไหน ดูสิ” แต่เห็นในรถมีพเยียคนเดียว “ทำไมไม่เห็นมีใครเลยนังพเยียมันนัดกับคนร้ายนี่นา แล้วมันอยู่ไหน”
เสียงนพดลดังขึ้นข้างหลัง
“ฉันอยู่นี่”
นภาจรีจะหัน แต่ไม่ทัน นพดลเอาเชือกรัดคอจาดด้านหลัง นภาจรีดิ้น ไม่นานก็หมดสติไป
นพดลปล่อยมือ ร่างของนภาจรีทรุดลงกองกับพื้น
พเยียเข้ามามองร่างที่หมดสติของนภาจรีที่กองอยู่ที่พื้น ท่าทางลุกรี้ลุกรน
“ตายไหม พี่นพ”
“ยัง แค่สลบ”
นพดลตอบพลาง ปลดแหวน ต่างหูเพชรของนภาจรีไปพลาง พเยียดึงมือไว้ มองซ้ายมองขวาอย่างคนตื่นกลัว
“แล้วนี่พี่จะทำอะไรเนี่ย ทำไมไม่ฆ่ามันซะล่ะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าก็ซวยหรอก”
“อย่ากลัวไปเลยน่ะ แป๊บเดียวไม่มีใครมาเห็นหรอก” นพดลสะบัดมือ เอาของมีค่าใส่กระเป๋า “พี่จะทำให้ดูเหมือนนังนี่มันโดนปล้นฆ่าชิงทรัพย์ ตอนตำรวจมาเจอศพมัน จะได้ไม่สงสัยมาถึงเรา”
พเยียคิดอะไรได้
“ไม่ ฉันเปลี่ยนใจแล้ว มันเสี่ยงเกินไป พี่เอามันไปฆ่าที่อื่น แล้วเอาศพมันไปทิ้งไกลๆ ทำยังไงก็ได้ อย่าให้ใครเจอศพมันเป็นอันขาด”
ส่วนแม่ชื่นเดินตรวจความเรียบร้อยปิดไฟตามทางเดินชั้นบน ปากก็บ่นไปตามประสา
“เออ ศรีนี่ยังไงนะ บอกกี่ทีแล้วว่าอย่าเปิดไฟทิ้งไว้”
แม่ชื่นปิดไฟ แล้วได้ยินเสียงร้องเหมียวๆ หันไปทางเสียง
“อ้าว ปุยฝ้าย”
ปุยฝ้ายเดินออกมา ชื่นเข้าไปอุ้ม พูดอย่างเอ็นดู
“ไง เที่ยวเก่งดีนัก เข้าห้องไม่ได้ล่ะซี มา เดี๋ยวจะพาไปนะ” หญิงชราพูดหยอกล้อกับปุยฝ้าย “คุณหญิงนอนหรือยังไม่รู้ ถ้าหลับไปแล้วล่ะก็ ต้องโดนดุแน่ๆ เรา”
ไม่นานต่อมา แม่ชื่นอุ้มปุยฝ้ายไปที่หน้าห้องนภาจรี
“คุณหญิงขา คุณหญิง”
เงียบไม่มีเสียงตอบ แม่ชื่นผลักประตูเข้าไป เห็นห้องว่างเปล่า ไม่มีคน
“คุณหญิงขา”
ทั่วทั้งในห้องไม่มีใคร แม่ชื่นขมวดคิ้ว สังหรณ์ใจวาบ
“คุณหญิงไปไหน”
นพดลขับรถออกไปมุ่งหน้าไปทางนอกเมือง ด้านหลังกระบะมีร่างของนภาจรีนอนนิ่งอยู่ มีผ้าใบคลุมเอาไว้มิดชิดจังหวะที่รถวิ่งไป ใต้ผ้าคลุมร่างไร้สติของนภาจรีกระเด้งไปมาตามแรงกระแทก
ไม่นานนัก นพดลจอดรถที่ทางเปลี่ยว ริมแม่น้ำ แล้วคว้าปืนที่อยู่ในลิ้นชักหน้ารถออกมาเดินไปที่กระบะหลังเปิดผ้าใบอุ้มร่างของนภาจรีขึ้นมา
นพดลเดินมาถึงริมน้ำ วางร่างของนภาจรีลง แล้วเดินกลับไปที่รถ หยิบตุ๊กตาเก่าๆ ตัวหนึ่งมาจากรถ
จังหวะนั้นนภาจรีที่นอนอยู่ ได้สติ กระพริบตาถี่ๆ
นพดลเดินกลับมา เอาปากกระบอกปืนจ่อที่ตัวตุ๊กตา แล้วเล็งไปที่ร่างของนภาจรี นภาจรีเห็นนพดลจะยิงตน ตกใจ ร้องสุดเสียง
“อ๊าย”
นพดลสะดุ้งตกใจ นภาจรีลุกขึ้น วิ่งหนี
“เฮ้ย”
นพดลเอาปืนขู่ นภาจรีวิ่งชนนพดลล้ม แล้ววิ่งหนีไป นพดลถือปืนวิ่งตาม
“เฮ้ย หยุดนะ”
นภดาจรีวิ่งกระเซอะกระเซิงกลับขึ้นไปบนถนนเปลี่ยว นพดลวิ่งไล่ตาม
“หยุดนะ ไม่งั้นตาย”
นพดลยิงขู่ นภาจรียิ่งตกใจ วิ่งถลาออกมากลางถนนโดยไม่สนใจอะไร
จู่ๆ เห็นแสงไฟสาดจ้า พร้อมกับเสียงแตรรถดังลั่น นภาจรียืนตะลึง รถคันหนึ่งวิ่งมาด้วยความเร็วสูง เบรคไม่ทันชนร่างของนภาจรีปัง!
นพดลวิ่งตามมาเห็น ชะงัก
“ฉิบหายล่ะ”
รถจอดกึกเจ้าของรถเป็นชายหนุ่มสองคนวิ่งมาดู ท่าทางตกอกตกใจมาก นพดลเห็นว่าทำอะไรไม่ได้แล้ว เลยรีบหลบไป
ทิ้งร่างของนภาจรีจมกองเลือด ตาค้างเบิ่งโพลง ไม่รู้เป็นหรือตาย อยู่อย่างนั้น
ติดตาม "แผนรักแผนร้าย" ตอนที่ 8