xs
xsm
sm
md
lg

แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 1

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 1

“โรงพยาบาลแม่ออน ปี พ.ศ. 2536”

ช่วงเวลาตอนกลางคืนของวันนั้น เสียงฝนฟ้าคะนอง ลมพายุโหมพัดกระหน่ำอย่างเกรี้ยวกราด จู่ๆ สายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงที่หม้อแปลงไฟฟ้าที่โรงพยาบาลแม่ออน โรงพยาบาลเล็กๆ แห่งหนึ่งในชนบทของเชียงใหม่ ตอนกลางคืน ไฟดับพรึ่บ
พริบตานั้นเปลวไฟกำลังโหมไหม้โรงพยาบาล เห็นแสงไฟ ควันโขมง เกิดความวุ่นวายในการเคลื่อนย้ายคนไข้ออก มาจากอาคารโรงพยาบาล คนไข้อื่นๆ พยาบาล เจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาล และเจ้าหน้าที่ดับเพลิงวิ่งวุ่น
สักครู่หนึ่งเห็นพยาบาลช่วยกันเข็นเตียงคนไข้มาตามทางเดิน บ้างประคองคนไข้ออกจากตัวอาคาร หญิงสาวชื่อ นภดารา (นบ-พะ-ดา-รา) อยู่ในชุดคนไข้ ท่าทางตื่นตกใจ พยายามเดินมาอย่างทุลักทุเลฝ่าความวุ่นวายจะไปที่แผนกเด็กอ่อน พยาบาลคนหนึ่งรีบเข้ามาดึงไว้
“จะไปไหนคะ คุณ เราต้องรีบออกไปจากที่นี่แล้วนะคะ”
นภดาราบอกละล่ำละลัก “ลูกฉันค่ะ ลูกฉันอยู่ที่ห้องเด็กอ่อน ฉันจะไปหาลูก”
“ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ เราย้ายเด็กอ่อนออกไปเรียบร้อยแล้ว รีบไปก่อนเถอะค่ะ ไฟไหม้ลามใหญ่แล้ว”
นภดาราพยายามขืนตัว ดิ้นรนจะไปที่ห้องเด็กอ่อนให้ได้ พยาบาลรั้งตัวไว้
“แต่ลูกดิฉัน...”
พยาบาลท่าทีร้อนรนมากขึ้น “ไปเถอะนะคะ ไม่ต้องห่วงเด็กๆ ค่ะ ทุกคนปลอดภัย เราช่วยออกมาหมดแล้ว”
พยาบาลรีบพาตัวนภดาราออกไป

ที่อีกมุมหนึ่ง ด้านนอกตึก เห็นนางพยาบาลและเจ้าหน้าที่ช่วยกันเข็นเปลเด็กอ่อนมาเต็มไปหมด ในความสับสนวุ่นวาย เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเข็นเปลเด็กเข้ามาใหม่ 1 เปล แล้วรีบผละไป เปลนั้นไปกระแทกเปลที่อยู่ริมสุดอันหนึ่งให้เลื่อนออก
เปลแบบที่มีล้อเลื่อนนั้นขยับ ไหลลงไปตามทางที่ราบ ทารกน้อยในเปลนอนตาแป๋ว ไม่รู้เรื่องร้าย ที่คอของทารกคนนั้นมีสร้อยห้อยล็อกเก็ตกับแหวนของนภดาราห้อยอยู่
เปลนั้นเลื่อนไหลห่างออกไป ไปจนสุดขอบสนาม และไปติดอยู่ที่คันปูนเตี้ยๆ เบื้องล่างคือแม่น้ำ รถเข็นเปลคันนั้นเอียงโยกเยกๆ ครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆ หล่นลงไปในแม่น้ำ ท่ามกลางสายฝนที่ตกอย่างไม่ลืมหูลืมตา

“วังศิวาลัย ปัจจุบัน”
ยินเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดดังโหยหวนขึ้นมาจากห้องนอนของหม่อมหลวงนภดารา ศิวาวงศ์
“ไม่...ไม่...”
วังศิวาลัย เป็นตัวอาคารรูปทรงยุโรป หรูหราสง่างาม ตั้งอยู่ในอาณาบริเวณอันกว้างขวาง ร่มรื่น
ที่หน้าต่างที่เปิดอยู่ มีม่านสีขาวปลิวไสว อันเป็นที่มาของเสียง ในห้องนอนที่ตกแต่งอย่างหรูหรา ราวกับห้องของเจ้าหญิงในนิทาน หม่อมหลวง นภดารา (อ่านว่า นบ-พะ-ดา-รา) สวมชุดเสื้อคลุมอยู่กับบ้านสวยงาม กำลังกรีดร้องอยู่บนเตียง สองมือไขว่คว้า
“ไม่ อย่า อย่า อย่าไป ยัยหนู ยัยหนูลูกแม่”
แม่ชื่นแม่บ้านหญิงชราในชุดซิ่นผ้าไหมสีเข้มเปิดประตู วิ่งเข้ามาประคองไว้
“คุณดาราคะ คุณดารา”
นภดาราสะดุ้งตื่น น้ำตาไหลอาบหน้า โผเข้ากอดแม่ชื่น
“แม่ชื่น ฉันฝันเห็นยัยหนูอีกแล้ว”
หญิงชราได้แต่ถอนใจ พูดไม่ออก
นภดาราครวญคร่ำ “ฉันฝันเห็นแก แกร้องไห้ด้วย หรือว่าแกจะเป็นอะไร หรือว่าแกอาจจะ...” ท่าทีนภดาราเปลี่ยนเป็นเครียด หวาดกลัวขณะพูดประโยคต่อมา “หรือว่าวิญญาณของแกกลับมาหาฉัน”
ชื่นปลอบใจ “มันเป็นแค่ความฝันนะคะ คุณดารา ไม่มีอะไร”
“แล้วยัยหนูอยู่ไหน 18 ปีแล้ว เรายังหาแกไม่เจอ ไม่แน่ว่าแกอาจจะตายแล้วก็ได้…ยัยหนู ยัยหนูลูกแม่”
นภดาราเกิดอาการเครียด มือเท้าเกร็งและหอบหายใจถี่กระชั้น เหมือนคนใกล้จะตาย
“คุณขา” ชื่นตกใจที่เห็นนภดาราชัก “ว้าย คุณดารา”
ชื่นเข้าไปประคอง พลางร้องตะโกน
“ใครอยู่ข้างนอกบ้าง โทรตามหมอเดี๋ยวนี้ คุณดาราอาการกำเริบอีกแล้ว”
**หมายเหตุ - หม่อมหลวงใช้คำนำหน้าว่า “คุณ”

รถโรลส์รอยซ์คันใหญ่วิ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูง แล้วไปจอดลงที่ด้านหน้าตึกใหญ่ คนขับรถรีบลงมาจะเปิดประตู แต่ไม่ทัน หม่อมราชวงศ์นภัสรพี ศิวาวงศ์ ในชุดสูทเป็นทางการ เปิดประตูลงมาอย่างร้อนใจ เดินเร็วๆ เข้าไปในบ้าน เห็นแม่ชื่นกระวนกระวายรออยู่
“แม่ชื่น นภดาราเป็นยังไงบ้าง” คุณชายนภัสรพีประมุขแห่งวังศิวาลัยถาม
“ปลอดภัยแล้วค่ะ คุณชาย ตอนนี้อยู่กับคุณหญิงนภาในห้อง”

นภัสรพีรีบเดินขึ้นชั้นบนไป ร้อนใจ แต่ยังมีมาด ไม่ลนลาน

นภดารานอนแบบอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดเผือด ดวงตาว่างเปล่ายังมีน้ำตาคลอเล็กน้อย ลมหายใจรวยริน อ่อนแรงเหมือนคนกำลังจะสิ้นใจ หม่อมราชวงศ์หญิงนภาจรี อาหญิงของเธอนั่งอยู่บนเตียง ดูอาการอย่างห่วงใย
นภาจรีพึมพำเบาๆ น้ำตาคลอ “หลานดารา เวรกรรมอะไรอย่างนี้”
นภัสรพีทรุดลงนั่งที่ข้างเตียง
“ดารา เป็นยังไงบ้างลูก”
นภาจรีบอกหน้า “โรคเก่าน่ะค่ะ พี่ชาย คิดมากแล้วก็เลยเครียด คุณหมอให้ยาระงับประสาทแล้ว เดี๋ยวคงดีขึ้น”
นภัสรพีมองนภดาราอย่างเวทนา นภดาราจับมือนภัสรพีเอาไว้พูดเสียงเศร้า
“คุณพ่อขา ลูกทนรอต่อไปไม่ไหวแล้ว มันทรมานเหลือเกิน ลูกอยากตาย”
นภดาราน้ำตาไหลรินออกมา แล้วตาก็ปิดตาลง หมดสติไปอีก นภัสรพีลูบศีรษะธิดาคนเดียวด้วยความสงสารและเวทนา
“พ่อขอโทษนะ ดารา ที่ลูกต้องเป็นอย่างนี้ มันเป็นความผิดของพ่อเอง”

นภัสรพีหน้าเศร้า ตกอยู่ในภวังค์เหตุการณ์ร้ายที่ยากจะลืมเลือนผุดขึ้นมาหลอกหลอน

เมื่อ 19 ปีก่อน ในปีพ.ศ. 2536 เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นในวังศิวาลัย วันนั้นนภาจรีนั่งโอบนภดาราอยู่ที่เก้าอี้ นภดาราร้องไห้ตลอดเวลา ดูเป็นทุกข์ระคนกับหวาดกลัว นภัสรพีโกรธจัด

“แล้วนี่จะทำยังไงต่อไป เสียแรงเป็นลูกชาติลูกตระกูล ทำอะไรไม่รู้จักยั้งคิดปล่อยให้ตัวเองท้องไม่มีพ่อ ใครรู้เข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
นภาจรีปราม “ค่อยพูดค่อยจากันเถอะค่ะ พี่ชาย ในเมื่อมันพลาดไปแล้ว เราน่าจะมาช่วยกันแก้ปัญหา”
นภัสรพีมองตาเขียว นภาจรีหงอ
“แก้ยังไง ถ้าไอ้เจ้ากานต์มันยังอยู่ พี่ยังจะยอมทำใจยกลูกสาวคนเดียวให้เด็กในบ้าน แต่นี่มันก็มาชิงรถคว่ำตายไปซะก่อน แล้วเธอจะให้พี่ทำยังไง”
นภาจรีอึ้ง ไม่มีคำตอบ
“ลูกคิดดูแล้ว ลูกจะไปจากที่นี่ ไม่ทำให้ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลต้องเสียหาย” นภดาราเอ่ยขึ้น
นภัสรพีเมินหน้าไป นภดาราก้มลงกราบ
นภาจรีท้วง “พี่ชายคะ”
นภัสรพีอดไม่ได้ หันมาพูดอย่างเย็นชา
“หญิงนภา เธอพาดาราไปอยู่เงียบๆ ที่เชียงใหม่ก่อน คลอดแล้วจะเอายังไงก็ว่ากันอีกที”

สองคนอยู่ในห้องทำงานนภัสรพีที่วังศิวาลัย คุณชายนภัสรพีดึงตัวเองกลับมา ถอนใจเฮือกใหญ่ ขณะเอ่ยกับผู้เป็นน้องสาว
“ถ้าพี่ไม่ขับไสไล่ส่งลูกไป คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้”
“คงเป็นเวรเป็นกรรมน่ะค่ะ ใครจะนึกว่าโรงพยาบาลจะไฟไหม้ แล้วใครจะนึก ว่ายัยหนูจะหายไป สงสารก็แต่หลานดารา 18 ปีที่ผ่านมาแกก็อยู่เหมือนซากที่หายใจได้ไปวันๆ อาการก็ทรุดหนักลงทุกทีๆ”
“นภดาราเป็นลูกสาวคนเดียวของพี่ พี่ไม่ยอมให้ลูกเป็นอะไรไปแน่…เราต้องหาเด็กคนนั้นให้เจอ มันต้องมีวิธี”
นภัสรพีพูดด้วยท่าทีจริงจัง ดวงตามุ่งมั่น เหมือนคนที่มีแผนอยู่ในใจแล้ว

หลายวันต่อมา สำนักงานทนายความและนักสืบ ปราบ รักสันติ
ในห้องทำงานที่ตกแต่งอย่างเคร่งขรึม หรูหราแต่ล้าสมัย ไม่มีคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์เทคโนโลยี สิ่งที่ทันสมัยที่สุดคือโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานไม้ตัวใหญ่แบบโบราณ ที่ผนังมีตู้ที่มีหนังสือและตำรากฏหมายเรียงอยู่แน่นขนัด ปราบ รักสันติ ทนายความวัยเดียวกับนภัสรพี พูดอย่างนอบน้อม
“คุณชายก็ทราบดี ว่าไว้ใจกระผมได้ทุกอย่าง”
“ฉันรู้ ปราบ เรื่องนี้มันสำคัญ แล้วก็ละเอียดอ่อนมาก ฉันถึงขอร้องให้ปราบทำเรื่องนี้ด้วยตัวเอง”
นภัสรพีหยิบถุงกำมะหยี่เล็กๆ ออกมา เทของที่อยู่ด้านในลงบนโต๊ะตรงหน้าปราบ มันคือสร้อยทองเส้นเล็กๆ ที่มีล็อกเก็ตรูปไข่สีทอง ลงยาเป็นตราประจำตระกูลศิวาวงศ์
“ในวันก่อนที่เด็กคนนั้นจะหายไป นภดาราบอกว่า เธอได้สวมสร้อยที่มีล็อกเก็ตประจำตระกูลไว้ที่คอของเด็กคนนั้น พร้อมกับแหวนวงเล็กๆ ที่มีเพชรรูปดาว”
ปราบมองดูล็อกเก็ตกับสร้อย ยังไม่เข้าใจ “แล้วนี่”
“ฉันให้คนทำขึ้นมาใหม่” คุณชายสั่งปราบ “ฉันต้องการให้เธอเอาล็อกเก็ต ที่ฉันทำขึ้นมาใหม่นี้ ขึ้นไปที่เชียงใหม่ ไปหาเด็กผู้หญิงกำพร้ามาซักคน เลือกเอาคนที่นิสัยใจคอไว้ใจได้ แล้วพากลับลงมา ในฐานะ ลูกสาวของนภดารา!”
ปราบได้ฟังก็ตกใจ
“คุณชายครับ แต่ว่า…เด็กกำพร้าคนนั้น จะกลายเป็นหลานของคุณชายเป็นทายาทผู้สืบทอดราชสกุลศิวาวงศ์ .. มันจะไม่เสี่ยงไปหน่อยเหรอครับ”
“เรื่องนั้นฉันหาทางออกเอาไว้แล้ว ปราบไม่ต้องห่วง”
ปราบพยักหน้ารับ คว้าสร้อยกับล็อกเก็ตขึ้นมา แล้วนึกได้
“คุณชายให้ผมมาแต่สร้อยกับล็อกเก็ต แล้วแหวนรูปดาวล่ะครับ”
“แหวนวงนั้นเป็นของที่…” เหมือนคุณชายไม่อยากเอ่ยถึง “…พ่อของเด็ก ให้ไว้กับนภดาราฉันไม่เคยเห็น แหวนวงเล็กนิดเดียว เราอ้างว่าหายไปก็ได้ ถ้าเด็กนั่นเป็นเด็กดี ทำให้นภดาราเชื่อได้ว่านั่นคือลูกที่หายไปของเธอ แค่แหวนวงเดียว คงไม่มีปัญหาอะไรหรอก รีบไปหาเด็กคนนั้นให้เจอดีกว่า”

ตอนเช้าแสนสดใส โบสถ์แห่งนั้นเด่นสวย ตั้งตระหง่านอยู่บนเชิงเขา เช้านี้ยินเสียงเพลงประสานเสียงดังลอยลมออกมาพร้อมเสียงเปียโน
ภายในโบสถ์มือเรียวพรมนิ้วลงบนคีย์อย่างชำนาญ ที่นิ้วมีแหวนรูปดาวสวมอยู่ ใบหน้าสดใสของกอหญ้า ที่กำลังดีดเปียโนอย่างแผ่งพริ้ว ตรงคอสวมสร้อยมีล็อกเก็ต เหมือนของนภัสรพี ใบหน้าสวยงามนั้นเปล่งประกายแห่งความสุข และความดีงามอย่างเห็นได้ชัด
ห่างออกไปมีเด็กหญิงวัยตั้งแต่ 6-12 ปี ประมาณ 10 คนในชุดยูนิฟอร์มเรียบร้อย ยืนร้องเพลงประสานเสียงอยู่ พอถึงท่อนท้าย คอรัสลดเสียงลง กอหญ้าร้องเดี่ยวด้วยเสียงสดใสไพเราะ จนจบ
คุณแม่วันเพ็ญ แม่ชีอายุประมาณ 4 5 ปี ยืนคุมอยู่ ปรบมือกราว
“ดีมากจ้ะ กอหญ้า” วันเพ็ญหันไปบอกกับเด็กๆ “พวกเธอทุกคน ยอดเยี่ยมจริงๆ”
“กอหญ้ากับน้องๆ ตั้งใจซ้อมเต็มที่เลยค่ะ ตั้งแต่คุณแม่บอกว่าท่านเจ้าของที่ดินจะมาเยี่ยมพวกเราที่นี่ กอหญ้าอยากให้ท่านประทับใจ” กอหญ้าว่า
“ดีจ้ะ ครอบครัวของท่านให้ทางโบสถ์เช่าที่ดิน ทำสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้ามาหลายสิบปี ฉันอยากให้ท่านเห็นว่า ความเมตตาของท่านช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตเด็กๆ อย่างพวกเธอได้มากขนาดไหน”
คุณแม่ยุพา แม่ชีอาวุโสที่เลี้ยงกอหญ้ามา วัยราว 50 ปี เดินเข้ามา หน้าตาอ่อนอกอ่อนใจ
“กอหญ้า ซ้อมเสร็จแล้วใช่ไหมจ๊ะ”
“ค่ะ คุณแม่ยุพามีอะไรเหรอคะ”
“ก็พ่อชิษณุพงษ์น่ะซี อาละวาดใส่ลุงเติมอีกแล้ว” ยุพาว่า
กอหญ้ากึ่งขำ กึ่งหมั่นไส้ขณะพูด “อีกแล้วเหรอคะ”

ที่หน้าเรือนพักของชิษณุพงษ์ ยามที่ชิษณุพงษ์ไม่ได้ใส่แว่น ดูท่าทางเหมือนคนปกติ ไม่มีใครรู้ว่าเขาตาบอด
และในเวลานี้ชายหนุ่มกำลังโมโหอาละวาดขว้างข้าวของใส่ลุงเติม พี่เลี้ยงของชิษณุพงษ์ ลุงเติมหลบพัลวัน
“ไปตามกอหญ้ามาให้ฉันเดี๋ยวนี้ ได้ยินมั้ย”
“โอ้ยๆ หยุดเถอะครับคุณชิษณุ หนูกอหญ้าทำงานที่โบสถ์เสร็จ เค้าก็มาเองล่ะครับ”
“แต่ฉันอยากเจอเค้าเดี๋ยวนี้! ถ้าลุงไม่ไปตามกอหญ้ามา ฉันก็จะไปหากอหญ้าเอง”
ว่าพลางชิษณุพงษ์ลุกขึ้นเดินเปะปะไป ลุงเติมจะห้าม แต่ไม่ทัน ชิษณุพงษ์สะดุด แล้วเซจะล้ม
กอหญ้าที่เข้ามาพอดี รับเอาไว้ ทั้งคู่เลยล้มไปด้วยกัน
กอหญ้าร้อง “โอ๊ย”
ชิษณุพงษ์จำเสียงได้ยิ้มดีใจ “กอหญ้า”
กอหญ้าลุกขึ้นนั่ง กึ่งโกรธกึ่งขำ “ชิษณุพงษ์ คนบ้า เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ”
ชิษณุพงษ์ย้อนขำๆ “กอหญ้า ยัยบ๊อง เธอพูดอย่างงี้กับคนตาบอดได้ยังไง ใจร้ายชะมัดเลย”

กอหญ้าแลบลิ้น รู้สึกผิด มองชิษณุพงษ์ด้วยความเห็นใจ

ไม่นานนักกอหญ้าขี่จักรยานให้ชิษณุพงษ์ซ้อน ขับขี่ไปตามถนนสายหนึ่งท่ามกลางบรรยากาศสวยงาม สองคนหน้าตาสดชื่น รับลมเย็น ในมือชิษณุพงษ์มีตะกร้าใส่ของกินสำหรับปิกนิก

กอหญ้าแกล้งบ่นเล่นๆ “เอาแต่ใจแบบนี้ มิน่าเล่า ใครถึงทนเธอไม่ไหว”
ชิษณุพงษ์เหวี่ยงใส่ทันที “ก็ไม่ต้องมาทน ฉันไม่เห็นอยากเจอใคร นอกจากเธอ”
“นี่ ฉันเป็นเด็กกำพร้านะ คุณแม่ที่โบสถ์เลี้ยงฉันมา ฉันต้องช่วยงานในโบสถ์เพื่อเป็นการตอบแทน จะมาดูแลเธออยู่ทั้งวันไม่ได้ เข้าใจป่ะ”
ชิษณุพงษ์ตอบกวน “ไม่เข้าใจ”
“อะไร แค่นี้ไม่เข้าใจ”
“ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจ และไม่เข้าใจ” ชิษณุพงษ์ว่า
กอหญ้าหมั่นไส้หันมาตีตัว ชิษณุพงษ์หัวเราะ ตอบโต้ทั้งๆ ที่มองไม่เห็น นั่นเลยทำให้จักรยานโย้เย้ไปมา ทันใดนั้นมีเสียงแตรรถยนต์ไล่หลังมา ทั้งคู่ตกใจ จักรยานยิ่งเสียหลัก
กอหญ้าร้อง “ว๊าย”
ชิษณุพงษ์ตกใจ “กอหญ้า”
จักรยานเสียหลักวิ่งทุลักทุเลลงข้างทาง กระติกน้ำและของปิคนิคในตะกร้าร่อนกระจาย ส่วนที่ด้านหลัง รถสปอร์ตเบรกกึก ขณะที่กอหญ้ากับชิษณุพงษ์กระเด็นหล่นไปคนละทิศละทาง
ประตูรถสปอร์ตด้านคนขับถูกผลักพรวดเปิดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว อิศร ก้าวลงมา หน้าตาบอกชัดว่าเป็นคนเจ้าอารมณ์สุดๆ และกำลังอารมณ์บูดสุดๆ ด้วย อิศรพรวดลงไปจากรถ
“ขี่รถยังไงวะ”
กอหญ้าลุกพรวดจากพุ่มไม้ ตะกายพรวดๆ ไปทางถนน หน้าตาโมโหจัด
“ขับรถยังไงวะ”
ชิษณุพงษ์เป็นห่วง “กอหญ้า”
“รออยู่นี่ก่อนนะชิษณุ ฉันจะไปจัดการอะไรหน่อย” กอหญ้าเดินพรวดไป หันมากำชับอย่างเป็นห่วง “อย่าไปไหนนะ”
ชิษณุพงษ์รับคำ “ฮื่อ”

ริมถนน ห่างจากที่รถล้ม อิศรพรวดเข้ามา ตามด้วยหน้ากอหญ้าพรวดเข้ามาอีกด้าน อิศรชะงักไปนิดเมื่อเห็นว่าเป็นผู้หญิงสวยสุดๆ กอหญ้าฉะไม่ยั้ง ยียวนกวนประสาทด้วยกันทั้งคู่
“ขับรถยังไงไม่ระวังคน”
“อ้าว แล้วเธอล่ะ ขี่จักรยานยังไงไม่ดูรถ นึกว่าตัวเองเป็นเจ้าของถนนรึไง ระวังจะตายเป็นศพไม่มีญาติอยู่ข้างถนนหรอก” อิศรสวน
“โอ้โห ลูกผู้ชายประสาอะไรเนี่ย ตัวเองผิดเห็นๆ ยังจะมีหน้ามาด่าคนอื่น”
“ฉันผิดตรงไหน ตัวเธอน่ะแหละ ขี่จักรยานก๋าทำท่าเป็นเจ้าของถนน ฉันไม่ทับให้แบนติดถนนก็ดีเท่าไหร่แล้ว” อิศรต่อว่า
กอหญ้าสุดจะทน ด่าไม่ยั้ง “ไอ้บ้า ไอ้โรคจิต ไอ้ซาดิสต์ นี่คิดจะโยนความผิดให้ฉันใช่มั้ย ฝันไปเถอะถึงฉันจะเป็นคนบ้านนอก แต่ก็ไม่ได้โง่นะ คุณน่ะแหละผิด”
อิศรยิ้มเยาะ ทำหน้ารู้ทัน
“ฉันก็นึกอยู่แล้ว ขับรถเก๋งยังไงก็เสียเปรียบ เอาเป็นว่าฉันรับผิดชอบไปเลยก็แล้วกัน จะได้จบๆไป เอาเท่าไหร่ว่ามา ฉันจะรีบไป”
กอหญ้าของขึ้น โกรธปรี๊ด “คนหน้าเงิน เอะอะก็จะเอาเงินฟาดหัว ที่รับน่ะจำนนด้วยหลักฐานน่ะสิ ไม่ใช่เพราะเป็นสุภาพบุรุษหรอก จะบอกให้นะ ถ้าฉันเรียกค่าเสียหายขึ้นมาจริงๆ กลัวจะไม่มีจ่ายน่ะซี้”
อิศรมองกอหญ้าอย่างทึ่ง สนุกในการต่อปากต่อคำด้วยอย่างมาก
“นี่ นึกแล้วไม่มีผิด ว่าแต่คนอื่นหน้าเงิน ที่แท้ตัวเองน่ะแหละ หน้าเงินตัวจริงฉันรู้แล้ว เธอวางแผนทำเป็นรถล้ม จะได้สร้างฉากเรียกเงินใช่มะ”
“ฮึ้ยย์...ปากชั่ว”
กอหญ้าเหลียวหา เจอก้อนหินขนาดเหมาะมือ หยิบมาเงื้อ
อิศรยิ่งยั่ว “เอาสิ ถ้าขว้างล่ะก็ ฉันปล้ำแน่”
เสียงชิษณุพงษ์ดังขึ้น “กอหญ้า”
กอหญ้ากับอิศรหันไปมอง แล้วกอหญ้ารีบวิ่งไปตามเสียง ไม่สนใจอิศรอีกต่อไป

ตรงบริเวณที่จักรยานล้ม ชิษณุพงษ์เดินสะเปะสะปะ ชนต้นไม้ ล้มลง กอหญ้าถลาเข้าไปหา อิศรตามมา ชะงัก เมื่อเห็นอาการของชิษณุพงษ์ รู้สึกผิดที่ขับรถชนคนตาบอด กอหญ้าประคองชิษณุพงษ์ให้ลุกขึ้นยืน ปัดเศษผงให้อย่างอ่อนโยนและอาทร
“กอหญ้า หายไปไหน นานจัง” ชิษณุพงษ์ถาม
“ก็ไปจัดการเรื่องรถล้มไง”
อิศรเดินเข้ามาใกล้ แอบลอบมองการกระทำของกอหญ้าอย่างชื่นชม สีหน้าอ่อนลง
ชิษณุพงษ์ได้ยินเสียงฝีเท้าอิศร “ใครน่ะ กอหญ้า”
กอหญ้ากัดทันที “เจ้าของรถสปอร์ตราคาหลายๆ ล้านที่เฉี่ยวจักรยานพังๆ ของเราจนตกถนนไง”
ชิษณุพงษ์เดาเรื่องได้นึกขำ “เข้าใจละ กอหญ้าเลยมัวทะเลาะกับเขาอยู่นี่เอง”
อิศรยิ้มชอบใจ แต่กอหญ้าค้อนอิศรแล้วจูงชิษณุพงษ์ออกเดินด้วยท่าทางที่แคร์มากให้ไปนั่งรอข้างจักรยาน
อิศรเดินตามหลัง มองกอหญ้าอย่างอ่อนโยน กอหญ้าจัดที่นั่งให้ชิษณุพงษ์ แล้วหันมาเก็บข้าวของที่ตกกระจาย อิศรมองๆ แล้วเข้ามาช่วย ส่งของให้
“อ่ะ ช่วย”
กอหญ้าแว้ดใส่เสียงเบาๆ “ไม่ต้องมายุ่ง”
อิศรฉุน “เอ๊ะ เธอนี่ เดี๋ยวเหอะ”
กอหญ้าลอยหน้า สวนเลย “ทำไม”
อิศรจับไหล่กอหญ้าดึงเข้ามาจูบแก้มอย่างรวดเร็ว เป็นการสั่งสอน แล้วยักคิ้วอย่างยั่วเย้า
กอหญ้าโกรธจี๊ดขึ้นมา “ฮึ้ย” กำหมัดซัดอิศรทันที
ทว่าอิศรจับมือกอหญ้าค้างไว้ พร้อมกับดึงจูบแก้มอีกที กอหญ้าปิดหน้าตัวเอง
“อีตาบ้า”
ชิษณุพงษ์นั่งไม่รู้เรื่องอยู่ที่จักรยานร้องเรียก
“กอหญ้า”
อิศรปล่อยกอหญ้า หัวเราะยั่ว แล้วเดินไปที่รถ กอหญ้ามองตามด้วยความแค้น หน้าตาเอาเรื่อง รีบเดินไปที่จักรยาน
กอหญ้าบอกชิษณุพงษ์ “นั่งดีๆ นะ”
“กอหญ้า จะทำอะไรอีกน่ะ”

อิศรกำลังก้าวขึ้นรถ ปิดประตู กอหญ้าปั่นจักรยานเร็วจี๋ผ่านรถอิศร ขว้างหินใส่ไฟหน้ารถแตก แล้วปั่นจักรยานฉิวไปเลย
“เฮ้ย”
อิศรรีบสตาร์ทรถ ขับตาม กอหญ้าหักจักรยานลงข้างทางที่เป็นทางเล็กๆ รถยนต์ลงมาไม่ได้ อิศรโมโหสุดๆ กดแตร เปิดกระจกตะโกนด่า

“ระวังตัวให้ดีนะยัยกอหญ้า ถ้าเจอกันคราวหน้า เธอโดนหนักกว่านี้แน่”

ติดตาม "แผนรักแผนร้าย"ตอนที่ 1 (ต่อ) เวลา 17.00 น.

แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 1 (ต่อ)

ภายในโบสถ์ เห็นขาเรียวยาวของเด็กสาวคนหนึ่งย่องเข้ามาท่าทีลับๆ ล่อๆ ที่แท้เป็นพเยีย ซึ่งแต่งหน้าแต่งตัวสวยเปรี้ยว มองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นปลอดคน จึงค่อยๆ ย่องออกมา พยายามขโมยเงินจากตู้บริจาค โดยใช้กิ๊บติดผมไขตู้ ขณะกำลังจะหยิบ แต่บังเอิญมีเสียงคนเดินมา พเยียรีบวางมือท่าทีขัดใจ

เป็นคุณแม่ยุพาที่ยืนมองพเยียหัวจรดเท้าอยู่
“พเยีย” มองดูการแต่งตัว “แต่งตัวแบบนี้ จะไปข้างนอกอีกล่ะซี”
พเยียถอนใจ ท่าทางเซ็งและรำคาญ
“ค่ะ ก็วันนี้วันหยุดนี่คะ คุณแม่”
“เธอเองก็เป็นเด็กกำพร้า อาศัยอยู่ที่นี่ อยู่ว่างๆ ไม่คิดจะช่วยงานทางโบสถ์บ้างเลยหรือยังไง”
“จะให้ทำอะไรล่ะคะ แค่ขยับตัวก็ผิดแล้ว พเยียไม่ใช่กอหญ้านี่ ทำอะไรก็ถูก ก็ดีไปซะหมด” พเยียตัดบท “หมดเรื่องแล้วใช่มั้ยคะ พเยียจะได้ไป”
“เดี๋ยวก่อน พเยียช่วยไปตามกอหญ้าให้หน่อยเถอะจ้ะ บอกให้ไปพบฉันที่ห้องทำงาน”
“ค่ะ ค่ะ”
พเยียรับคำอย่างเซ็งๆ รีบปลีกตัวออกมาโดยเร็ว

มองจากตรงป้ายสถานสงเคราะห์เด็กหญิง เห็นกอหญ้าขี่จักรยานผ่านป้าย เข้ามาจอดหน้าเรือนไม้เก่าๆ หน้าตาผ่องใสเป็นปกติ พเยียเห็นกอหญ้า ท่าทางดีใจ รีบเข้าไปหาทันที
“กอหญ้า เจอก็ดีแล้ว ยืมเงินสองร้อยสิ จะไปในเมือง”
กอหญ้าหยิบเงินออกจากกระเป๋ากางเกง มีแบงค์ร้อย 1 ใบ แบงค์ยี่สิบ 2 ใบ กอหญ้ามองดูลังเล
“ทั้งเนื้อทั้งตัวเรามีแค่นี้เอง เงินพิเศษยังไม่ออกเลย”
พเยียดึงแบงค์ร้อยมา ยิ้มประจบ “ร้อยนึงก็ยังดี” กอหญ้าเหวอ “ขอบใจนะ”
พเยียรีบวิ่งออกไป แล้วนึกขึ้นได้ หันมาบอกกอหญ้าที่ยืนงงอยู่
“อ้อ ลืมบอกไป คุณแม่ยุพาให้เธอไปหาแน่ะ”
พเยียวิ่งออกไปอย่างร่าเริง กอหญ้าถอนใจ ปลงและชิน

กอหญ้าเดินเข้าไปในโบสถ์ เลยไปด้านหลังที่เป็นห้องทำงาน เคาะประตูเบาๆ แล้วเปิดเข้าไปในห้อง
พอเข้ามาในห้อง เห็นคุณแม่ทั้งสองอยู่ด้านใน จากมุมที่มองนั้น คุณแม่ยุพาบังคนที่นั่งอยู่ด้วย
“อ้าว กอหญ้า มาพอดีเลย เข้ามานี่หน่อยจ้ะ”
กอหญ้าหลบตาต่ำ สำรวมกริยา เดินเข้ามาอย่างคนที่ได้รับการอบรมมาดี เสียงคุณแม่ยุพาดังเข้ามา
“กอหญ้าเพิ่งเรียนจบปีนี้ค่ะ เป็นนักเรียนตัวอย่างยอดเยี่ยมของที่นี่ ผลการเรียนดีเยี่ยม ความประพฤติก็ดี มารยาทก็ดี ไม่มีที่ติเลยค่ะ”
กอหญ้าเดินมาถึงเงยหน้าขึ้น ชะงักกึก ตกใจยิ่งกว่าเห็นผี
คุณแม่ยุพาคุยอยู่กับอิศร คุณแม่ยิ้มผ่องใส อิศรยิ้มอย่างกลั้นหัวเราะ แต่มีมาด
“กอหญ้า มารู้จักท่านจ้ะ นี่คุณอิศร อดิศวร” (อ่านว่า อิด - อะ-ดิ-สวน “ลูกชายของท่านเจ้าของที่ดิน ที่พวกเราอาศัยอยู่”
กอหญ้า วางหน้าไม่ถูก ตายแน่ๆ แล้ว
อิศรมองกอหญ้า ยิ้มในสีหน้า สายตากวนในมาดผู้ชนะ แต่ดูดีมากๆ
“นี่เหรอครับ นักเรียนยอดเยี่ยมของที่นี่ ผมว่าน่าจะเป็นนักเรียนยอดแย่มากกว่า”
กอหญ้าขึ้นเสียง “นี่คุณ”
วันเพ็ญแปลกใจ “กอหญ้ารู้จักคุณอิศรมาก่อนหรือจ๊ะ”
“ไม่รู้จักหรอกค่ะ แต่เมื่อตะกี๊ คุณคนนี้ เค้าขับรถเกือบชนกอหญ้ากับชิษณุพงศ์ แล้วก็...” กอหญ้าชะงัก นึกได้ว่าไม่ควรเล่า ว่าโดนจูบ
อิศรเร่ง “แล้วอะไร” ท่าทีกวนสุดขีด “ฉันทำอะไรเธอ บอกไปซี”
“ว่าไงจ๊ะ กอหญ้า” ยุพาถาม
เห็นกอหญ้าอึกอัก อิศรยิ่งนึกสนุก
“ถ้าเธอไม่บอก ฉันบอกนะ” อิศรหันมาพูดกับยุพา “คืองี้ครับ คือเมื่อตะกี๊นี้น่ะ ผม…
กอหญ้าเสียงดัง “อย่านะ”
ยุพาปราม “กอหญ้า” หันมาทางอิศร “ยังไงนะคะ คุณอิศร”
อิศรทำท่ากระแอมกระไอจะพูด กอหญ้าหน้าจ๋อย
“เมื่อตะกี๊นี้น่ะครับ…” กอหญ้าลุ้นระทึก “เด็กคนนี้...เอาหินขว้างรถผม”
กอหญ้าโล่งอก คุณแม่วันเพ็ญตาโต คุณแม่ยุพาหันมาดุ
“ตายแล้ว กอหญ้า ทำไมเสียมารยาทอย่างนี้ ขอโทษคุณอิศรเดี๋ยวนี้เลย”
กอหญ้าแค้นอิศรที่ทำให้โดนดุ และเสียฟอร์มที่ต้องขอโทษ อิศรยิ้ม แอบยักคิ้วใส่กอหญ้า
“แต่คุณแม่คะ”
ยุพาปรามเสียงเข้ม “กอหญ้า”
กอหญ้าพูดอย่างไม่เต็มใจ “ขอโทษ...” วันเพ็ญกับยุพามองหน้า กอหญ้าจำใจ “…ค่ะ”

อิศรยิ้มสะใจ กอหญ้าหน้าบึ้ง แอบค้อนอิศร

ครู่ต่อมาคุณแม่ยุพาพาอิศรเดินชมบริเวณบ้านสงเคราะห์เด็กหญิง มาถึงแปลงผักแปลงดอกไม้ กอหญ้าเดินตามทิ้งระยะนิดหน่อย

ยุพาบอกอย่างภูมิใจ “แปลงผักพวกนี้ เด็กๆ ช่วยกันปลูกค่ะ ปลูกเองทานเองที่เหลือก็เอาไปขายในตลาด”
อิศรฟังอย่างตั้งใจ
“มีเด็กอยู่ที่นี่กี่คนครับ”
“20 คนค่ะ”
“แล้วค่าใช้จ่าย...”
“เราได้เงินสนับสนุนจากต่างประเทศค่ะ แล้วก็มีเงินบริจาคด้วย” ยุพายิ้ม มองอิศรอย่างชื่นชม “แต่ที่สำคัญ ก็คือครอบครัวของคุณอิศร ที่ให้เราใช้ประโยชน์จากที่ดินผืนนี้มาหลายสิบปี โดยไม่คิดค่าเช่า”
อิศรพยักหน้ารับรู้ หน้าตาเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
“วันนี้ คุณอิศรขับรถมาถึงนี่ ถ้ามีอะไรให้ทางเรารับใช้ ทางเราก็ยินดีนะคะ”
อิศรอึ้งไปนิดนึง ก่อนจะพูดออกมา ชัดถ้อยชัดคำ
“ผมจะมาบอกว่า คุณพ่อของผม ท่านคิดว่าจะใช้ที่ดินแปลงนี้ สร้างรีสอร์ทครับ”
กอหญ้าและคุณแม่ยุพารู้สึกเหมือนฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมากลางศีรษะ หน้าเสีย
“ท่านต้องการที่ดินคืน และขอให้ทุกคนย้ายออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ครับ”
อิศรพูด แม้ภายในใจจะไม่เห็นด้วย และรู้สึกว่าเป็นการกระทำที่โหดร้ายมาก แต่ก็ฝืนทำหน้านิ่ง

ไม่นานต่อมา อิศรเดินหน้าขรึมออกมา กำลังจะก้าวขึ้นรถ กอหญ้าถลันตามมา กระชากแขนเสื้อไว้ ด้วยความโกรธ
“เดี๋ยวก่อน คุณ”
อิศรหันมาพอเห็นกอหญ้า ก็เกิดอารมณ์สนุก อยากกวนประสาทคนเล่น
“อะไรอีก”
กอหญ้าพยายามข่มอารมณ์โกรธ ขอร้องอิศร “คุณพ่อคุณร่ำรวย ท่านคงมีที่ดินเยอะแยะ แต่เด็กพวกนี้ เค้าไม่มีที่อยู่ที่ไหนอีกแล้ว .. ฉันไหว้ล่ะ คุณช่วยขอร้องคุณพ่อคุณ ให้สงสารพวกเค้าหน่อยได้ไหมคะ”
อิศรนึกถึงพ่อ พูดด้วยเสียงเยาะๆ “คุณพ่อผมไม่เคยสงสารใครหรอกคุณอีกอย่าง ลองท่านอยากจะทำอะไร ใครก็ห้ามท่านไม่ได้”
กอหญ้าไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างอิศรกับพ่อ เข้าใจว่าน้ำเสียงนั้นต้องการเยาะตน โกรธมาก
“พ่อคุณก็ไม่ต่างอะไรจากคุณ ฉันไม่น่าเสียเวลา อ้อนวอนคนเห็นแก่ตัว อย่างคุณเลย”
อิศรเห็นกอหญ้ายิ่งโกรธ ยิ่งอยากแหย่ ลอยหน้าลอยตายั่ว
“ใช่ ฉันมันคนเห็นแก่ตัว จะให้ฉันช่วยพูดให้เธอ โดยไม่หวังผลตอบแทนน่ะ ฝันไปเถอะ ยกเว้นแต่ว่า…”
กอหญ้าสวนออกมา “คุณต้องการอะไร”
อิศรมองกอหญ้าหัวจรดเท้า หัวเราะเยาะ “ทั้งเนื้อทั้งตัว เธอมีอะไรจะตอบแทนฉันบ้างล่ะ”
กอหญ้าเข้าใจความหมายนั้น หน้าแดง โกรธสุดๆ
“คนบ้า ทุเรศ”
อิศรเปิดประตู เตรียมจะก้าวขึ้นรถ “อย่ามัวมาแช่งชักหักกระดูกฉันอยู่เลย คืนนี้ฉันจะค้างที่เชียงใหม่ พรุ่งนี้ตอนเย็นๆ ถึงจะกลับกรุงเทพฯ ถ้าถึงตอนนั้น เธอไม่มีข้อเสนออะไร ก็ไปเก็บเสื้อผ้า เตรียมย้ายบ้านได้เลย ไป๊”

อิศรขึ้นรถขับปราดออกไป กอหญ้ามองตามอย่างโกรธขึ้ง แต่ทำอะไรไม่ได้

ส่วนพเยียพาตัวเองมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องพักของโรงแรม ตอนกลางคืน ก่อนจะเคาะประตูเบาๆ ประตูเปิดออก เห็นเป็น นภดล ชายหนุ่มวัย 25 ปี ท่าทางกะล่อน แต่งตัวจัด หุ่นดีเหมือนนายแบบ เปิดออกมายิ้มอย่างพอใจ
พเยียที่เคาะประตูอยู่ ที่โถมเข้ากอดคอนภดลทันที
ไม่นานนัก ทั้งสองนอนกอดกันกลิ้งไปมาอยู่บนเตียง พเยียอยู่บนตัวนภดล ระดมจูบนภดลไปทั่งหน้า
“โอ้ย คิดถึงๆๆๆๆๆ คิดถึงที่สุดเลย ลงไปกรุงเทพฯ ตั้งอาทิตย์” พเยียแบมือทวง “ไหนล่ะ ของฝาก”

นภดลจับมือ พลิกพเยียลงข้างล่าง “พี่นี่ไง ของฝาก”
พเยียแสร้งหันหนี ยั่วเย้า “อุ๊ย ไม่เอา” จากนั้นก็พูดออเซาะ “พี่นภดลจ๋า คราวหน้าถ้าพี่ลงไปทำงานกรุงเทพฯ พาพเยียไปด้วยได้ไหม พเยียอยากไปแคสต์งาน อยากถ่ายแบบเหมือนพี่บ้าง”
“อยากเป็นนางแบบเหรอ?” นพดลยั่ว “หุ่นดีเหรอ เราน่ะ”
พเยียอมยิ้ม ยั่วกลับ “ก็ดีไหมล่ะ”
“มาดูชัดๆ อีกทีซิ”
นภดลคว้าตัวพเยียมา พเยียหัวเราะกิ๊กชอบใจ ทั้งสองล้มกลิ้งลงไปบนเตียงอีกครั้ง

กอหญ้าเดินห่มผ้าให้เด็กเล็กที่นอนเรียงกันเป็นแถวในห้องนอน สีหน้าเศร้าสร้อย
กอหญ้าคิดถึงอิศร เสียงกวนประสาทของอิศรดังก้องในความคิด
“ทั้งเนื้อทั้งตัว เธอมีอะไรจะเสนอบ้างล่ะ…จะให้ฉันช่วยพูดให้เธอ โดยไม่หวังผลตอบแทนน่ะ ฝันไปเถอะ...ถ้าเธอไม่มีข้อเสนออะไร ก็ไปเก็บเสื้อผ้า เตรียมย้ายบ้านได้เลย ไป๊”
กอหญ้านิ่งคิดตัดสินใจ

ด้านพเยียหลังจากหลับนอนกับนภดลในห้องที่โรงแรมจนเสร็จสมแล้ว สองคนออกมาที่ผับเล็กๆ ใกล้โรงแรม เพื่อลงมาดื่มกันต่อ
“ตกลงว่าไงพี่นพ”
นพดลมองเป็นเชิงถาม พเยียเข้าไปกอดคอเซ้าซี้
“เรื่องที่ฉันขอตามพี่ไปกรุงเทพฯ น่ะ ฉันพูดจริงนะ ฉันเบื่ออีพวกแม่ชีที่โบสถ์เต็มทีแล้ว”
“จะไปทำไม อยู่กรุงเทพฯ ลำบากนะ พเยีย งานการไม่ใช่จะหากันง่ายๆ”
พเยียทำงอน น่ารัก “มีเมียซุกเอาไว้เลยไม่อยากให้ฉันตามลงไปก็ว่ามาเถอะ” นพดลยิ้ม พเยียอ้อนต่อ “นะ พี่นพ นพ ฉันอยู่ที่โบสถ์นี่สบายที่ไหน วันๆ ฉันต้องทำงานอย่างกับทาส”
“จริงอ่ะ”
“จริงสิพี่” พเยียทำหน้าน่าสงสาร “ทั้งทำสวน ปลูกผัก ไหนจะงานทำความสะอาด ซักผ้า ถูบ้าน รับใช้พวกแม่ชีแก่ๆ ทั้งวัน เงินค่าจ้างก็ไม่เคยได้” ตีหน้าเศร้า “พี่ไม่รู้อะไร บางวันข้าวยังไม่มีให้กินเลย”
นพดลไม่เชื่อเลย แต่ทำเป็นพูดประชด “โถๆ แม่คุณ ชีวิตช่างน่าสงสาร พาไปออกรายการอะไรดีนะเนี่ย”
พเยียทุบนพดลเบาๆ เลิกเล่นละคร
“พี่พาไปไหนฉันก็ไปทั้งนั้น นรกหรือสวรรค์ฉันไม่กลัว ขอให้ได้เงินเยอะๆ ฉันอยากมีตังค์ ฉันอยากรวย ไม่ว่าไปไหน ทำอะไร ฉันยอมทั้งนั้น”

พเยียพูดด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น

กอหญ้าอยู่ในห้องนอน หยิบสร้อยทองเส้นเล็กๆ ที่มีล็อกเก๊ตคล้องอยู่ นำมาพร้อมกับแหวนเพชรรูปดาว วางลงในมือคุณแม่ยุพา

“ทั้งเนื้อทั้งตัว กอหญ้าก็มีอยู่เท่านี้ สร้อยนี่เป็นของเก่า ส่วนเพชรนี่ถึงจะเม็ดเล็กนิดเดียว แต่ก็คงพอมีราคาบ้าง”
“ไม่ได้จ้ะ ของสองอย่างนี้เป็นของที่ติดตัวหนูมาตั้งแต่แบเบาะ หนูต้องเก็บเอาไว้” ยุพาบอก
“เก็บไว้ก็ไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไร แต่ถ้ากอหญ้าเอาไปให้เค้า”
“ไม่มีประโยชน์หรอกจ้ะ ที่ดินนี่ราคามันไม่ใช่น้อยๆ นะ กอหญ้า คงหลายล้าน กอหญ้าทำอะไรไม่ได้หรอกลูก”
“กอหญ้าช่วยไม่ได้ แล้วใครจะช่วยเราได้ล่ะคะ คุณแม่ กอหญ้านึกไม่ออกเลย”
กอหญ้ามองล็อกเก๊ตและแหวนในมือ หน้าเศร้า

รุ่งเช้าปราบนั่งจิบกาแฟอยู่ที่ล้อบบี้โรงแรมหรูของเชียงใหม่ หยิบกระดาษที่พิมพ์รายชื่อของสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าหลายแห่งในเชียงใหม่ขึ้นมาดู
“ใครจะเป็นเด็กสาวผู้โชคดีคนนั้น ทายาทคนเดียวของศิวาวงศ์”
ปราบหยิบล็อกเก็ตออกมาจากกระเป๋า เพ่งมอง ถอนใจ

กอหญ้าใส่เสื้อเปิดคอ มองเห็นล็อกเก็ตชัดเจน เดินเล่นอยู่กับชิษณุพงษ์ ทั้งสองต่างเงียบเหมือนมีความในใจ
“วันนี้เธอเงียบจัง กอหญ้า”
“เธอก็เงียบ…มีอะไรรึเปล่า”
“ฉันมีเรื่องจะพูดกับเธอน่ะ” ชิษณุพงศ์ว่า
“ฉันก็มีเรื่องจะพูดเธอเหมือนกัน” กอหญ้าบอก
“เรื่องอะไรเหรอ”
กอหญ้ามองชิษณุพงศ์ ตัดสินใจว่าจะขอความช่วยเหลือเรื่องที่ดินดีไหม
“เธอพูดก่อน” กอหญ้าว่า
ชิษณุพงศ์นิ่งไปอย่างอาลัยอาวรณ์
“วันนี้ เจ้าพ่อจะมารับฉันไปกรุงเทพฯแล้วนะ”
กอหญ้าใจหายวูบ “วันนี้เลยเหรอ ทำไมเร็วจัง”
“หมอให้ฉันไปเตรียมตัวผ่าตัดตา...ฉันคงคิดถึงเธอมากเลยนะกอหญ้า”
ชิษณุพงศ์พูดอย่างซาบซึ้ง จริงจัง กอหญ้าใจหาย แต่พยายามทำร่าเริงกลบเกลื่อน
“จะคิดถึงได้ซักกี่วัน อีกหน่อยพอเธอหาย เธอก็มีเพื่อนใหม่ๆ เยอะแยะ”
“ไม่มีใครเหมือนเธอหรอก…กอหญ้า รอฉันนะ พอฉันหายดี ฉันจะรีบกลับมาหาเธอที่นี่”
กอหญ้าพูดทีเล่นทีจริง “ขี้โม้ หน้าฉันเป็นยังไงเธอก็ไม่เคยเห็น เธอจะหาฉันเจอได้ยังไง”
ชิษณุพงศ์รู้สึกสดใสขึ้น เริ่มโต้ตอบ
“ทำไมจะไม่เจอ ฉันรู้ว่าเธอเดินยังไง พูดยังไง ขี้บ่นโวยวายยังไง แล้วฉันจำได้ว่ากอหญ้าตัวจริงน่ะ” ชิษณุพงศ์คว้ามือกอหญ้ามากุม “ต้องใส่แหวนที่เป็นรูปดาว เอาไว้ที่นิ้วนางข้างขวา”
กอหญ้ายิ้มกว้าง “จำแม่นขนาดนั้นเชียว”
ชิษณุพงศ์บอกจริงจัง “ใช่ ฉันจำทุกอย่างเกี่ยวกับเธอได้ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะฉันไม่ได้จำเธอด้วยตา แต่ฉันจำเธอด้วยหัวใจ”
“ขอบใจนะ ชิษณุพงศ์ ฉันก็จะไม่มีวันลืมเพื่อนที่แสนดีคนนี้เหมือนกัน”
กอหญ้ามองชิษณุพงศ์อย่างตื้นตัน ชิษณุพงศ์ยิ้มอย่างมีความสุขและมีความหวัง
“ไหนเธอบอกว่ามีอะไรจะพูดกับฉันไง เรื่องอะไรเหรอ”
กอหญ้ารู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะพูดเรื่องยืมเงิน เพราะชิษณุพงศ์จะไปแล้ว ฝืนยิ้มให้
“ไม่มีอะไรแล้วล่ะ ไปเดินเล่นทางโน้นกันเถอะ”
ชิษณุพงศ์จับมือกอหญ้าเดินไปด้วยกัน

ปราบขับรถมาอย่างช้าๆ แล้วจอดรถตรงหน้าโบสถ์ มองดูแผนที่ที่จดมาอีกที
“ที่นี่แหละ ใช่แล้ว”
ปราบลงมา ยืนละล้าละลังอยู่สักพัก เห็นไม่มีบ้านคน เลยจะเดินเข้าไปในโบสถ์
กอหญ้าจูงจักรยานเข้ามาจอด เห็นด้านหลังปราบ ร้องทัก
“คุณลุงมาหาใครคะ”
ปราบหันกลับมา เห็นกอหญ้ายิ้มอยู่ไกลๆ มองมาอย่างเป็นมิตร ปราบชะงัก
“ฉันทราบมาว่า ที่นี่เป็นสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า”
“อ๋อ ใช่ค่ะ บ้านของพวกเราอยู่ทางด้านหลังโบสถ์” กอหญ้าชี้บอกทาง “ไปทางโน้น”
ปราบยิ้ม มองกอหญ้าอย่างถูกชะตา “ขอโทษ หนูก็เป็นเด็กกำพร้าหรือ”
“ค่ะ คุณแม่ยุพาเลี้ยงหนูมา” กอหญ้าเดินมาใกล้ๆ พลางถาม “คุณลุงมาที่บ้านเด็กกำพร้ามีธุระอะไรหรือเปล่าคะ”
“คือว่าฉัน...”
ปราบชะงัก เมื่อมองไป เห็นล้อกเก็ตที่คอกอหญ้า ปราบตาค้าง
“คุณลุงคะ”
ปราบนิ่ง ตาเบิกค้าง กอหญ้าเป็นห่วง เอื้อมมือมาจับที่แขนปราบ
“คุณลุงคะ”
ปราบเห็นแหวนรูปดาวที่นิ้วกอหญ้า ก็สะดุ้ง คว้ามือกอหญ้ามาดูอย่างลืมตัว
“แหวน! ล็อกเก็ต!”
กอหญ้าเห็นปราบท่าทีแปลกๆ ก็ขยับตัวออกห่างอย่างตกใจ ปราบคว้ามือไว้
“เดี๋ยวก่อนครับ”
“ปล่อยฉันนะ ปล่อยฉัน”
กอหญ้าสะบัดมือ แล้ววิ่งหนีเข้าไปในโบสถ์ ปราบวิ่งตาม

“คุณหนูครับ เดี๋ยวก่อน”

แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 1 (ต่อ)
 
กอหญ้าพยายามปิดประตูโบสถ์ ปราบยื้อ คว้ามือกอหญ้าไว้แน่น

“คุณเป็นใคร ปล่อยฉันนะ ปล่อย”
“เดี๋ยวครับ คุณหนู อย่าเพิ่งไป ได้โปรดฟังผมอธิบายก่อน”
“ไม่ ฉันบอกให้ปล่อยฉัน”
ระหว่างนั้นเสียงคุณแม่ยุพาดังขึ้น
“หยุดนะ นี่มันอะไรกัน!”
ปราบปล่อยมือกอหญ้า กอหญ้าวิ่งมาหาคุณแม่ยุพา มองปราบอย่างตื่นๆ
ยุพาถามเสียงเข้ม “คุณเป็นใคร”
ปราบแนะนำตัว “ผมชื่อปราบ...” ทนายสูงวัยนึกได้ ส่งนามบัตรให้ “ปราบ รักสันติ ผมเป็นทนายความ”
“ฉันชื่อยุพา เป็นคุณแม่อธิการของที่นี่ คุณมาที่นี่ทำไมคะ ต้องการอะไร”
ปราบมองกอหญ้า สีหน้าตื่นเต้นสุดๆ

เวลาต่อมาที่ห้องรับแขกของโบสถ์ ปราบสรุปเรื่องทั้งหมดให้กอหญ้ากับคุณแม่ยุพาฟัง
“คุณแม่ยุพาบอกว่า พบคุณหนูกอหญ้าถูกวางทิ้งเอาไว้ที่หน้าโบสถ์ ในวันที่ 17 มิถุนายน 2536 ซึ่งคืนก่อนหน้านี้ คือคืนที่เกิดเหตุโรงพยาบาลแม่ออนไฟไหม้ แล้วลูกสาวของหม่อมหลวงนภดารา ศิวาวงศ์ ก็หายสาบสูญไป”
ยิ่งฟังกอหญ้าก็ยิ่งแน่ใจว่าที่ปราบพูดเป็นความจริง แต่ยังทำใจที่จะยอมรับไม่ได้ โวยใส่ปราบ
“ไม่จริง ฉันไม่ใช่คุณหนู ฉันชื่อกอหญ้า เป็นเด็กกำพร้า คุณแม่ยุพาเลี้ยงฉันมาตั้งแต่เล็กจนโต ฉันไม่มีแม่ที่ไหนทั้งนั้น”
“คุณหนูยอมรับเถอะครับ คุณหนูมีทั้งล็อกเก๊ตประจำตระกูล และแหวนรูปดาวติดตัวมา คุณหนูต้องเป็นลูกของคุณนภดาราแน่ๆ”
กอหญ้าทั้งโกรธ ทั้งอัดอั้น สับสน คุณแม่ยุพาพูดกับกอหญ้าอย่างปลอบประโลม
“กอหญ้า ใจเย็นๆ แล้วฟังแม่ เรื่องที่คุณปราบเล่าให้เราฟัง ถูกต้องตรงตามเหตุผลทุกอย่าง เราคงจะปฏิเสธไม่ได้”
กอหญ้าเงียบ สีหน้าบอกความสะเทือนใจอย่างชัดเจน ยุพาแปลกใจ
“ลูกไม่ดีใจเหรอจ๊ะ ที่จะได้พบคุณแม่ที่แท้จริงของลูก”
“ไม่ค่ะ กอหญ้าไม่เคยคิดว่าตัวเองขาดแม่ กอหญ้าอยู่ที่นี่ก็มีความสุขแล้วกอหญ้าไม่ต้องการใครทั้งนั้น”
กอหญ้าวิ่งออกไปจากห้องอย่างสับสน ปราบขยับตัวจะตาม คุณแม่ยุพารั้งไว้
“ให้เวลาแกซักพักเถอะค่ะ แกคงต้องใช้เวลาทำใจ”

พเยียอยู่ในชุดเดียวกับเมื่อวาน เดินย่องเข้ามาในบริเวณโบสถ์อย่างหวาดระแวง พอได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งออกมาจากห้องทำงาน พเยียก็ตกใจ คิดว่าเป็นแม่ชีคนใดคนหนึ่งจะออกมาจากห้อง
พเยียหลบวูบ
พเยียมองไปเห็นกอหญ้าวิ่งออกมา แล้วไปคุกเข่าที่ด้านหน้าแท่น ร้องไห้
“ไม่ ไม่จริง ไม่ใช่”
พเยียมองอย่างแปลกใจ
“นังกอหญ้า? มันเป็นอะไรของมัน”
พเยียขยับจะเข้าไปหากอหญ้าด้วยความสงสัย แล้วก็ชะงักอีก เมื่อได้ยินเสียงประตูเปิด พเยียหลบซุ่มดูเหตุการณ์อีกครั้ง เห็นคุณแม่ยุพากับปราบเดินเงียบๆ ตรงเข้าไปหากอหญ้า
“กอหญ้า ความจริงก็คือความจริง เราหนีมันไม่ได้หรอกลูก”
กอหญ้ากลั้นสะอื้น “แต่มันอาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดก็ได้”
“ไม่ผิดหรอกครับเพราะล็อกเก็ตที่คุณหนูใส่อยู่ เป็นของเก่าแก่ ที่ทำขึ้นสำหรับทายาทของราชสกุลศิวาวงศ์เท่านั้น และอย่างที่ผมบอก คุณนภดารา เธอให้ติดตัวคุณหนูเอาไว้ตั้งแต่เกิด”
พเยียมองดู พึมพำ
“ล็อกเก๊ตของนังกอหญ้า แปลว่ามันมีเชื้อเจ้างั้นหรือ”
พเยียมองดูต่อ ยังไม่รู้เรื่องแหวนรูปดาว
กอหญ้าจับล็อกเก็ตที่ห้อยคออยู่ น้ำตาคลอ น้อยใจ
“ผ่านมาตั้งสิบแปดปีแล้ว มันจะมีประโยชน์อะไร”
“คุณนภดาราไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งคุณหนู ท่านตามหาลูกมาตลอด 18 ปี จนท่านล้มป่วยด้วยความตรอมใจ” ปราบบอก
“กอหญ้าจ๋า ถึงแม้ท่านจะไม่ได้เลี้ยงกอหญ้า แต่พระคุณของแม่ที่ให้กำเนิดเรามานั้นยิ่งใหญ่กว่ามหาสมุทร ตอนนี้ท่านไม่สบายมาก กอหญ้าไม่คิดจะไปให้ท่านเห็นหน้าบ้างเลยเหรอจ๊ะ” ยุพาปลอบและโน้มน้าวจิตใจเด็กสาว
กอหญ้ารู้สึกสะเทือนใจ สับสน จนน้ำตารื้น
“กลับไปเถอะนะครับ คุณหนู...ถ้าไม่เห็นแก่ผู้หญิงที่น่าสงสารคนหนึ่ง ที่กำลังจะตรอมใจตายเพราะคิดถึงลูก ก็นึกเสียว่า เห็นแก่โบสถ์และเด็กกำพร้าที่นี่ทุกคน
กอหญ้าประหลาดใจ “อะไรนะคะ”
ปราบเยื้อนยิ้ม “คุณหนูคงยังไม่ทราบ คุณแม่ที่แท้จริงของคุณหนู หม่อมหลวงนภดารา ศิวาวงศ์ ท่านร่ำรวยมหาศาล ราคาที่ดินยี่สิบสามสิบล้าน เป็นเพียงแค่เศษเงินเท่านั้น สำหรับศิวาวงศ์”
พเยียนิ่งฟัง ตะลึง ตัวชาไปหมด นึกไม่ถึง สายตาพเยียเพ่งมองไปที่ยุพากับปราบช่วยกันกล่อมกอหญ้าต่อไป
“คุณหนูคือสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับท่านตอนนี้ แค่คุณหนูเอ่ยปากคำเดียว อย่าว่าแต่โบสถ์และสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้ คุณหนูจะอุปการะเด็กกำพร้าอีกซักกี่ร้อยกี่พันคนก็ย่อมได้”
กอหญ้ามีทีท่าอ่อนลง คุณแม่ยุพาดึงกอหญ้ามากอดอย่างปลอบโยน
“แม่รักหนูนะจ๊ะ กอหญ้า แต่คงไม่มากไปกว่า คุณแม่ที่แท้จริงของหนู ท่านรออยู่หนูมาสิบแปดปีแล้ว ไปหาท่านเถอะนะจ๊ะ กอหญ้า”
กอหญ้ารับคำเสียงอ่อยๆ “ค่ะ”

พเยียได้ฟังตาลุกวาวโรจน์ มีแผนการบางอย่างในใจ และผุดยิ้มออกมาอย่างมีความหวัง

ช่วงเวลาตอนกลางวัน คุณชายนภัสรพีอยู่ในห้องทำงานที่วังศิวาลัย กำลังคุยโทรศัพท์อยู่กับทนายปราบที่ตอนนั้นยืนอยู่ด้านนอกโบสถ์ริมเขาในจังหวัดเชียงใหม่

“เป็นยังไงบ้าง ปราบ ได้เรื่องไหม”
ปราบรายงานอย่างตื่นเต้นดีใจมาก
“ปาฏิหารย์มีจริงครับ คุณชาย...ผมได้ตัวคุณหนูแล้ว”
“เธอหมายความว่า เธอได้ตัวเด็กที่เหมาะสม จะเอามาอุปโลกน์เป็นลูกสาวของนภดาราแล้ว”
“มิได้ครับ คุณชาย” ปราบดีใจสุดๆ “ผมหมายความว่า ผมเจอคุณหนูครับคุณหนูตัวจริง ลูกสาวของคุณนภดาราครับ”
นภัสรพีตะลึง “อะไรนะ! เป็นไปได้หรือนี่”
“เป็นไปแล้วครับ คุณชาย คุณหนูมีทั้งล้อกเก็ต มีทั้งแหวนรูปดาว เธอเป็นลูกสาวของคุณนภดาราตัวจริงแน่นอนครับ” ปราบย้ำคำ

นภาจรีที่นั่งฟังเรื่องอยู่ ออกอาการดีใจมาก
“โอ หญิงไม่อยากเชื่อเลย” นภาจรีหัวเราะทั้งน้ำตา “นี่หญิงจะต้องไปแก้บนกี่วัดกี่วากันนี่ บนเอาไว้จนจำไม่ได้แล้ว...แล้วตอนนี้เด็กคนนั้นอยู่ที่ไหนคะ”
นภัสรพีสีหน้ามีความสุข “เชียงใหม่ ปราบบอกว่าจะพากลับมาด้วยกันพรุ่งนี้แต่เช้า”
“ไฟลท์ไหนคะ สายการบินอะไร หญิงจะได้สั่งรถไปรับ”
“เขาจะขับรถลงมา คงมาถึงนี่ตอนค่ำๆ” เห็นนภาจรีทำหน้างง นภัสรพีจึงอธิบาย “ปราบเขานั่งเครื่องบินไม่ได้ เขากลัว เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่หนุ่มแล้ว”
นภาจรีบ่นอุบ “ตายจริง กว่าหญิงจะได้เห็นหน้าหลาน”
นภัสรพีตัดบท “เอาเถอะน่ะ หญิงนภา รอมาตั้งสิบกว่าปีแล้ว อีกไม่กี่ชั่วโมงจะเป็นไรไปมาช่วยกันคิดดีกว่า ว่าเราจะบอกเรื่องนี้กับนภดารายังไง”
นภาจรีนิ่งไป ได้คิด
“นั่นสิคะ หลานดาราอ่อนแอมาก ถ้ารู้เรื่อง แล้วเกิดช็อกขึ้นมาล่ะก็ แย่เลย”

จังหวะนั้นเสียงนภดาราดังขึ้นที่หน้าประตู
“เรื่องอะไรเหรอคะ อาหญิง”
นภัสรพีกับนภาจรีหันไป เห็นนภดารานั่งอยู่ในรถเข็นเข้ามาหาพ่อ นภัสรพียิ้มปลอบ แล้วค่อยๆ บอก
“เรื่องสำคัญมากลูก เรื่องของเด็กคนนั้น ลูกสาวของลูกที่หายไป”
“ลูก...” นภดาราตื่นเต้น แต่ยังมีท่าทีหวาดระแวง “ทำไมคะ คุณพ่อ เราเจอแกแล้วเหรอคะ”
นภัสรพีพยักหน้าช้าๆ นภดาราใจสั่นแววจาไหวระริก
“แล้วตอนนี้แกอยู่ที่ไหนคะ ลูกสาวของลูกอยู่ที่ไหน ตอนนี้แกอยู่ที่ไหน”
“หลานดารา เย็นใจๆ ฟังอานะ ตอนนี้เด็กคนนั้นอยู่ที่เชียงใหม่ ปราบจะพาเธอลงมากรุงเทพพรุ่งนี้”
นภดาราลุกพรวดอย่างลืมตัว
“พรุ่งนี้...พรุ่งนี้ ลูกจะกลับมา”
“จ้ะ พรุ่งนี้ ดาราจะได้เห็นหน้าลูกแล้วนะ” นภาจรียิ้ม
นภดาราตื่นเต้น เกร็งไปทั้งร่าง แล้วเป็นล้มทรุดฮวบลงไปต่อหน้า ทุกคนตกใจ
“ว้าย!”
“นภดารา!”

คืนนั้นภายในห้องนอนของกอหญ้า มีเตียงเหล็กสีขาวผ้าปูที่นอนขาว เหมือนกันสองเตียง ลักษณะคล้ายๆ ห้องนอนของเด็กเล็ก แต่เป็นสัดส่วนกว่า กอหญ้าพับเสื้อผ้า 2-3 ชิ้นใส่กระเป๋าใบเล็กๆ พเยียอ้อนวอน
“แกให้ฉันไปด้วยไม่ได้เหรอ นะ กอหญ้า นะ”
“เกรงใจเขาน่ะ แล้วฉันไปธุระนะ ไม่ได้ไปเที่ยว พเยียจะตามไปทำไม”
พเยียฉุน ขึ้นเสียง “โกหก! ฉันรู้นะว่าแกจะไปหาแม่ตัวจริงของแก”
กอหญ้าตกใจอุดปากพเยีย
“รู้ได้ยังไงเนี่ย ใครบอก” พเยียสะบัดออก “นี่แอบฟังอีกแล้วใช่ไหม”
“ไม่แอบฟังจะรู้ได้ไงล่ะ” พเยียอ้อนอีก “นี่ เราโตมาด้วยนะ กอหญ้า แกได้ดี แล้วจะทิ้งเพื่อนหรือไง .. ที่บ้านแม่แกน่ะ เห็นอีตาลุงนั่นว่าร่ำรวยมหาศาล เป็นวังเจ้าวังนายไม่ใช่เรอะ แกให้ฉันไปอยู่ด้วยคนซี กอหญ้า”
“ใครว่าฉันจะไปอยู่กับเค้า...ฉันจะไปขอให้เค้าช่วยโบสถ์ของเรา แล้วฉันก็จะกลับมาอยู่ที่นี่เหมือนเดิม”
“กอหญ้า! แกจะบ้าเหรอ แกมีแม่เป็นถึงมหาเศรษฐี”
กอหญ้าเอามืออุดปากพเยียอีก

“ไม่เอานะ พเยีย อย่าพูดไป เรื่องนี้ฉันกับคุณแม่ยุพาไม่ได้บอกใครทั้งนั้นไม่อยากให้วุ่นวาย เธอก็เงียบไว้ล่ะ ห้ามเล่าให้ใครฟังทั้งนั้น”
“แต่ว่าฉัน...”
“ฉันจะไม่ไปอยู่กับเค้า ฉันจะกลับมาอยู่ที่นี่ เป็นกอหญ้าคนเดิม เข้าใจ๋”
กอหญ้าตัดบทแล้วปิดไฟ ล้มตัวลงนอน พเยียมองอย่างขัดใจ

อีกฟากหนึ่ง อิศรเปิดประตูห้องพักของโรงแรมหรู ก้าวเข้ามา เหวี่ยงสูทและเนคไทกระจาย แล้วทุ่มตัวลงนอนบนเตียง ท่าทางอิศรเหมือนเพิ่งผ่านปาร์ตี้อันหนักหน่วงมา โทรศัพท์ที่หัวเตียงดังขึ้น
อิศรดูนาฬิกา บอกเวลาตีสองกว่าๆ แปลกใจ
“ใครวะ”
อิศรเอื้อมมือไปรับ พูดทั้งๆ ที่หลับตาอยู่
“ฮัลโหล”
เสียงอรรถดังลอดออกมา
“นี่ฉันเอง”
อิศรเด้งขึ้นมานั่ง ตาสว่าง
“พ่อ!”
อรรถอยู่ในเสื้อคลุมชุดนอน อยู่ที่ห้องนอนในคฤหาสน์ พูดด้วยน้ำเสียงดุ ไม่พอใจ
“ถ้าฉันเดาไม่ผิด แกคงเพิ่งถึงห้อง แล้วก็คงเมาปริบเหมือนเคย”
อิศรกวนกลับ “ถ้าผมเดาไม่ผิด พ่อคงอยู่ที่บ้าน แล้วก็มีผู้หญิงหน้าด้านออเซาะอยู่ข้างๆ เหมือนเคย”
“หยุดนะ”
อรรถตวาดเสียงดัง สกุณา ในชุดนอนสีแดงสดแสนเซ็กซี่ที่นั่งกึ่งนอนอยู่เตียง ลุกขึ้นมา
“อะไรกันคะ คุณ”
อรรถพยายามข่มอารมณ์พูดกับอิศร
“ฉันโทร.หาแกที่มือถือไม่รู้กี่สิบครั้ง แกไม่รับสาย ตกลงเรื่องที่ดินบนเขาน่ะว่ายังไง พวกแม่ชีกับเด็กกำพร้าเค้าจะย้ายออกไปได้เมื่อไหร่”
“ไม่รู้สิครับ”
“ทำไมไม่รู้! แกไม่ได้บอกเค้าเหรอ ว่าเค้าจะต้องย้ายออกไปเมื่อไหร่”
“พ่อทำไมไม่บอกเองล่ะครับ เก่งอยู่แล้วนี่ เรื่องทำร้ายจิตใจคนเนี่ย” อิศรแดกดันผู้เป็นบิดา
อรรถโกรธจัด ขึ้นเสียงใส่ “ไอ้อิศร”
“กู้ดไนท์ พ่อ”
อิศรวางสาย
“ไอ้อิศร”
อรรถโกรธจนตัวสั่น สกุณาเดินเข้ามากอดแขนปลอบใจ
“ลูกชายของคุณร้ายเหลือเกิน เมียเก่าคุณคงตามใจลูกจนเสียคน ถ้าขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ อีกหน่อยจะเอากันไม่อยู่นะคะ”

สกุณาพูดนิ่มๆ แต่แววตาบอกความร้ายกาจและเกลียดชังลูกเลี้ยงชนิดปิดไม่มิด

เช้าตรู่วันต่อมาปราบยืนรอที่รถ ตรงข้างโบสถ์อย่างสุภาพนอบน้อม กอหญ้ากับคุณแม่ยุพาเดินมาด้วยกัน กอหญ้ากุมมือแม่ยุพาอย่างตื่นๆ

“ไม่ต้องกลัวจ้ะ แม่จะอยู่ข้างกอหญ้าเสมอ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”
กอหญ้ายิ้ม อุ่นใจขึ้น ทั้งสองเดินไปที่รถ ปราบแย่งเปิดประตูให้
“เชิญครับ คุณหนู”
กอหญ้ายิ้มอย่างลำบากใจ ยกมือไหว้
“ขอบคุณค่ะ คุณลุง”
กอหญ้าเข้าไปนั่งอย่างเรียบร้อย แม่ยุพาขึ้นไปนั่งข้างหน้าคู่ปราบ รถขับออกไปช้าๆ

รถของปราบแล่นมาอย่างช้าๆ ระมัดระวัง บนถนนที่เต็มไปด้วยหมอกหน้ายามเช้า จู่ๆ ร่างใครคนหนึ่งก็โผล่พรวดจากข้างทาง มายืนจังก้ากลางถนนขวางทางไว้ ดูน่ากลัวและน่าตกใจ ปราบรีบเบรครถดังเอี๊ยด
“อะไรกัน”
พอหมอกจางไป ยุพาจึงเห็นว่าร่างนั้นคือพเยียนั่นเอง ยุพากดกระจกลง พลางพูดตำหนิ
“พเยีย เธอทำอะไรของเธอ ถ้าโดนรถชนขึ้นมาจะว่ายังไง”
พเยีย มีกระเป๋าใบเล็กๆ สะพายหลังวิ่งเข้ามาหา
“ขอโทษค่ะ คุณแม่” หันไปพูดกับปราบ “พเยียจะขอติดรถไปกรุงเทพฯ ด้วยนะคะคุณลุงขา”
พูดจบ พเยียก็เข้ามานั่งที่เบาะหลังข้างกอหญ้าเรียบร้อย ทุกคนอึ้ง
“เธอจะไปทำไม” ยุพางวยงง
“พเยียสมัครนางแบบเอาไว้ เค้าเรียกไปแคสต์งานน่ะค่ะคุณแม่” พเยียอ้อนเสียงหวาน “ขอพเยียไปด้วยคนนะคะ นะคะ”
ยุพามองปราบอย่างเกรงใจ ปราบยิ้มใจดี
“ดีครับ ไปกันหลายๆ คน คุณหนูจะได้ไม่เหงา”
ปราบออกรถ กอหญ้ามองพเยีย อ่อนใจกับความเจ้าเล่ห์ของเธอ

เสียงนกร้องจุ๊บจิ๊บ แม่ชื่นรินนมสดให้นภดาราที่นั่งอยู่ในสวนสวย
“แข็งใจทานอีกนิดนะคะ คนดีของชื่น จะได้มีแรงต้อนรับคุณหนู”
“จ้ะ แม่ชื่น”
นภดารายกนมดื่มจนหมดแก้ว
“เก่งมากค่ะ”
แม่ชื่นจะยกแก้วออกไป นภดารารั้งไว้
“ชื่นจ๋า...ชื่นว่าลูกฉันจะหน้าตาเป็นยังไง”
“ก็ต้องสวยซีคะ สวยแล้วก็ใจดีเหมือนคุณดารา”
นภดารายิ้ม แววตาเปี่ยมด้วยความหวัง

เวลาเดียวกันนภัสรพีกับนภาจรียืนมองนภดาราจากหน้าต่าง สีหน้ายิ้มแย้มมีความสุข
“แล้วเราจะบอกกับใครต่อใครว่ายังไงคะ พี่ชาย”
“ก็บอกความจริงไป เรื่องมันล่วงเลยมาขนาดนี้แล้ว”
“พี่ชายไม่กลัวคนนินทาแล้วหรือคะ” นภาจรีอดถามเสียมิได้
“เมื่อก่อน พี่เคยคิดว่าพี่มีเกียรติยศศักดิ์ศรีของวงศ์ตระกูลที่ต้องรักษาแต่สิบแปดปีที่ผ่านมา ทำให้พี่รู้ว่าความสุขของคนที่เรารัก คือสิ่งที่สำคัญที่สุด... พี่จะบอกกับทุกคนว่า เด็กคนนี้คือทายาทของศิวาวงศ์”

ขณะเดียวกลุ่มคนเดินทางจากเชียงใหม่ทั้ง 4 ทั้งหมดแวะทานข้าวกลางวันที่ร้านอาหารริมทาง คุยกันเรื่องครอบครัวของกอหญ้า
“ได้เป็นทายาทแล้วมันเป็นยังไง ไอ้ตระกูลศิวาวงศ์เนี่ย มันวิเศษวิโสขนาดไหนเหรอ” พเยียพูดอย่างไม่มีมารยาท
ปราบไม่ค่อยพอใจการพูดของพเยีย แต่เก็บกิริยาไว้
“ราชสกุลศิวาวงศ์เป็นตระกูลเก่าแก่ มีทรัพย์สินมรดกตกทอดกันหลายชั่วอายุคน เรียกว่าร่ำรวยเป็นอันดับต้นๆ ของเมืองไทย” ปราบว่า
“โอ้โห แล้วไอ้วังศิวาลัยอะไรเนี่ย มันวังจริงๆ แบบในนิทานเลยเหรอ” พเยียตาโต
“ครับ เป็นตำหนักเก่า ที่ท่านต้นตระกูลได้รับพระราชทานมา งดงามมาก”
พเยียหันมาทางกอหญ้า “ไปอยู่วังเจ้า แกก็ได้เป็นเจ้าหญิงสินะ แกนี่โชคดีชะมัดเลยกอหญ้า”
“เจ้าหญิงอะไร ฉันไม่ได้จะไปอยู่กับเค้าซะหน่อย ที่ฉันไป ก็แค่ไปหาเงินมาให้ไอ้พวกนายทุนใจร้ายเท่านั้นแหละ”
จู่ๆ กอหญ้าก็คิดไปถึงอิศร นึกหมั่นไส้ขึ้นมา

อิศรอยู่ที่ห้องรับแขกของโบสถ์ ผุดลุกขึ้นจากที่นั่ง แปลกใจ
“อะไรนะครับ กอหญ้าไปกรุงเทพฯ” นึกไม่ถึง “ไปเมื่อไหร่ครับ แล้วไปทำไม”
“ออกไปเมื่อเช้านี่เองค่ะ เห็นว่าจะไปหาทาง...เอ่อ หาเงินมาจัดการเรื่องที่ดิน” คุณแม่วันเพ็ญบอก
อิศรหน้าเสีย รู้สึกผิด
“เห็นเค้าว่าเค้าจะไปหาคนที่จะช่วยเรื่องการเงินได้ ถ้ายังไงคุณอิศรจะกรุณาให้เวลาทางโบสถ์อีกซักระยะได้ไหมคะ”
คุณแม่วันเพ็ญอ้อนวอน อิศรมองอย่างละอายใจ พูดไม่ออก ยกมือไหว้แล้วเดินหนีไปเฉยๆ เลย

ภายในรถบนถนนสายต่างจังหวัด พเยียนั่งอยู่เบาะหลังกับกอหญ้า จ้องมองล็อกเก็ตที่คอกอหญ้าอย่างสนใจ
“สร้อยอันนี้เหรอ ที่บอกว่าแกเป็นทายาทของตระกูลศิวาวงศ์”
กอหญ้าอึดอัดใจ “อึมม์”

“ตลกว่ะ หยั่งกับในนิยาย” พเยียยื่นมือมาจับพูดอย่างนึกสนุก “เอามายืมใส่หน่อย ดิฉันอยากรู้ว่าใส่แล้วมันเป็นยังไง”
กอหญ้าเบี่ยงตัวหลบ กึ่งขำ กึ่งรำคาญ “นั่งเงียบๆ ได้ไหม พเยีย” บุ้ยปากไปข้างหน้าลดเสียงเบาลง “คุณลุงเค้าขับรถอยู่ เกรงใจเค้า”
“แหม ทำเป็นหวง” พเยียทีเล่นทีจริง “รอตอนแกเผลอก่อนก็ได้ ฉันจะแอบเอาสร้อยแกไปใส่ เผื่อจะได้เป็นเจ้าหญิงกะเค้ามั่ง”
กอหญ้าเริ่มรำคาญ “เจ้าหญิงอะไร พูดเพ้อเจ้อ”
“อ้าว ก็แกมีแม่เป็นเจ้านี่ แกก็ต้องเป็น” พเยียทำท่ารำแบบลิเกล้อเลียน “เจ้าหญิงกอหญ้า แห่งวังศิวาลัย ใช่ไหมเพคะ”
กอหญ้าหัวเราะขำ ทุบพเยีย “หยุดเลยนะ พเยียบ้า”
พเยียหัวเราะพลาง ปัดป้องไปพลาง “อ้าว ทำไม ไม่ชอบเหรอ ไม่อยากเป็น ฉันเป็นแทนให้ก็ได้นะ เอาไหม ให้ฉันเป็นเจ้าหญิงแทนแก แกไม่ชอบ ฉันชอบนะ เอาป่ะ เอาป่ะ”
พเยียหัวเราะคิกคัก แต่ข้างในแอบรู้สึกอิจฉาอยากจะเป็นอย่างกอหญ้าจริงๆ

ตกตอนเย็น แม่ชื่นช่วยแต่งผมให้นภดาราอยู่ที่หน้ากระจกในห้อง นภดาราใส่ชุดสวยสดใสเป็นพิเศษ แม้จะยังดูอ่อนแอ แต่ก็สดชื่นขึ้นมาก เตรียมตัวรับลูกเต็มที่
“กี่โมงแล้วจ๊ะ ชื่น”
“เพิ่งจะห้าโมงกว่าเท่านั้นค่ะ”
“เขามาถึงไหนกันแล้ว โทรมาบ้างไหม”
ชื่นอมยิ้มขณะบอก “คุณทนายปราบแกหัวโบราณค่ะ แกไม่ชอบใช้โทรศัพท์มือถือซักเท่าไหร่หรอก เห็นบอกว่าออกมาตั้งแต่เช้า อีกเดี๋ยวก็คงถึงแล้วล่ะคะ”
“จ้ะ ฉันตื่นเต้นน่ะ แม่ชื่น อยากเห็นหน้าลูกจนจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว”

ฟ้าเริ่มมืด รถของปราบแล่นมาบนถนน ยุพามองทางอย่างหนักใจ
“มืดเร็วเหลือเกิน”
“หน้าฝนก็อย่างนี้ล่ะครับ” ปราบบอก
กอหญ้ามองออกไปด้านนอก “ท่าทางเหมือนฝนจะตกด้วยค่ะ”
ขาดคำฝนก็เทลงมา พเยียนิ่วหน้า
“นั่น ตกเลย แหม แก พอมีเชื้อเจ้าปุ๊บ มีวาจาสิทธิ์ปั๊บเลยนะ” พเยียเหน็บ

ยุพากับกอหญ้าอ่อนใจในคำพูดไร้มรรยาทของพเยีย  ขณะที่รถของปราบแล่นไปอย่างช้าๆ ท่ามกลางสายฝนโปรยปราย

แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 1 (ต่อ)
 
ส่วนที่วังศิวาลัยในกรุงเทพฯ นภาจรีแต่งตัวสวย ยืนมองสายฝนจากโถงใหญ่ ท่าทีวิตกกังวลนิดหน่อย

“ฝนมาตกอะไรวันนี้”
นภัสรพีที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ พับหนังสือลง พูดขึ้น
“ก็มันหน้าฝน เธอจะให้ตกตอนไหน”
“อีตาทนายปราบยิ่งขับรถช้าเป็นเต่าอยู่ด้วย กว่าจะถึงบ้าน หลานหิวแย่” นภาจรีบ่น
นภัสรพีลุกขึ้น ยิ้ม “หลานหิวหรือเธอหิวกันแน่” คุณชายมองนาฬิกา “ใจเย็นๆ เถอะน่ะ เดี๋ยวเค้าก็มา”

ฝนตกหนักมาก ไม่มีทีท่าว่าจะซาลง ฟ้าคะนองฟ้าแลบแปลบปลาบไม่หยุด รถของปราบแล่นมาตามถนน
ปราบขับรถอย่างระมัดระวัง มองทะลุกระจกหน้ารถออกไป เครื่องปัดน้ำฝนทำงานเต็มที่ ทางข้างหน้ามัวด้วยเม็ดฝนที่เทสายกระหน่ำ กระจกเป็นฝ้า ปราบต้องเพ่งสมาธิอย่างมาก
คุณแม่วันเพ็ญนั่งคู่ปราบ ช่วยลุ้นไปด้วย กอหญ้ากับพเยียนั่งข้างหลัง พเยียทำท่าเบื่อหน่าย
“อีกนานไหม กว่าจะถึง”
“ไม่รู้ซี”
“ใกล้แล้วครับ คุณหนู เราคงจะถึงวังศิวาลัย ภายในไม่เกินสองชั่วโมง”
ปราบตอบแล้วหันกลับไปมองที่นั่งตอนหลัง
ทันใดนั้น สายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมาที่กลางถนน ปราบตกใจ หักหลบ รถเสียหลักแฉลบแทบจะหมุนเป็นวง ไถลลื่นไปอีกด้านของถนน รถปราบกระแทกกับราวสะพานคอนกรีตเต็มแรง
“เฮ้ย” ปราบร้องลั่น
กอหญ้า พเยีย ยุพาร้องกรีดร้องด้วยความตกใจ
รถไถลลงไปที่ข้างทาง ก่อนจะหยุดนิ่งในสภาพพังยับเยิน ปราบและยุพาตายคาที่ ร่างของทั้งคู่ติดอยู่ในรถ กอหญ้าหลุดจากรถ กระเด็นไปนอนแน่นิ่งอยู่ที่ไหล่ทาง ส่วนพเยียกลิ้งหลุนๆ ไปลงที่นิ่มๆที่มีหญ้าหน่าแน่น
ทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่งไปในนาทีนั้น ไม่มีรถวิ่งมา สายฟ้าฟาดลงมาอีกเปรี้ยงๆ น่ากลัวมาก

โคมไฟระย้ากลางห้องโถงใหญ่ของวังศิวาลัยกระพริบวูบวาบ พร้อมๆ กับเสียงฟ้าโครมครืน บรรยากาศดูน่ากลัว
นภดารา นภัสรพี และนภาจรี นั่งรออยู่ที่ห้องโถง พร้อมกับแม่ชื่นและสาวใช้ บรรยากาศเริ่มเครียด เพราะปราบผิดเวลาไปพอสมควร
นภดารานั่งในรถเข็น บีบมือตัวเองแน่น
“ฟ้าแรงเหลือเกิน” นภดาราพึมพำ “เหมือนคืนนั้นไม่มีผิด”
นภาจรีมองหน้านภัสรพีอย่างกังวล นภัสรพีแอบลุกออกไป ชื่นเห็นนภดาราเครียด จึงเอายาคลายเครียดกับน้ำมาให้
“คุณเครียดอีกแล้ว ทานยาบำรุงหัวใจซักนิดนะคะ กันไว้”
นภดารากินยา ดื่มน้ำ เสียงฟ้าร้องโครมครืน นภดาราพึมพำ
“จำได้ไหมชื่น คืนนั้น ฝนตกหนัก ฟ้าผ่า แล้วไฟก็ไหม้ แล้วลูก .. ลูกของฉัน

นภดาราเริ่มเกร็ง มือเผลอบีบแก้วแตก หลุดมือตกดังเพล้ง บาดนิ้วจนเลือดไหล
นภาจรีร้องลั่น “ชื่น ดารา”!
แม่ชื่น ตกใจ“คุณดารา!
นภดาราตะลึง นภาจรีสั่ง
“แม่ชื่น พาดาราไปทำแผล ไป”
ชื่นรีบพานภดาราออกไป นภัสรพีเดินเข้ามา หน้าตาเครียดเคร่ง นภาจรีเขาไปกระซิบถาม
“ว่าไงคะ พี่ชาย”
นภัสรพีใจเสีย “ติดต่อไม่ได้เลย ต้องเกิดเรื่องไม่ปกติแน่”


ท่ามกลางความมืดสลัว พเยียที่นอนนิ่งอยู่ สักครู่หนึ่ง จึงค่อยๆ ขยับตัว รู้สึกเคล็ดขัดยอก แผลถลอก แต่ไม่บาดเจ็บมาก พเยียค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่ง
“โอย ขับรถไงวะ เดี๋ยวก็ตายกันหมดหรอก”
พเยียนั่งสำรวจตัวเอง แน่ใจแล้วว่าแขนขาไม่หัก หัวไม่แตกจึงลุกขึ้น กวาดตามองไปรอบๆ เห็นรถโผล่อยู่นิดๆ จึงเดินไปดูที่รถ พเยียผงะตกใจสุดขีดเมื่อเห็นร่างปราบและยุพาชุ่มไปด้วยเลือด
“คุณแม่” พะเยียผวาไปที่ปราบจับตัวเขย่าๆ ดู จึงรู้ว่าสิ้นใจตายแล้ว “ว้าย ตายกันหมดแล้ว”
พเยียตกใจแทบช็อก ทำท่าจะวิ่งหนีแล้วชะงัก นึกถึงกอหญ้า พึมพำออกมา
“กอหญ้าล่ะ”
พเยียเดินเปะปะสอดส่ายสายตามองหากอหญ้า ปากก็ตะโกนเรียกไปด้วย

“กอหญ้า กอหญ้า แกอยู่ไหนน่ะ กอหญ้า”
พเยียเดินห่างจากซากรถไปไม่ไกลนัก ก็เห็นร่างตะคุ่มๆ ของกอหญ้ากำลังขยับเขยื้อน
กอหญ้าขยับตัว ยังมองไม่เห็นอะไรเลย รู้สึกเจ็บศีรษะ
“โอย คุณแม่คะ”
พเยียเข้ามาหากอหญ้าที่กำลังพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้น
“พเยีย คุณแม่ล่ะ คุณแม่เป็นไงบ้าง โอ้ย”
กอหญ้าพยายามจะลุก แต่เจ็บจนทรุดลงไปอีก พเยียเข้าประคอง ฟ้าแล่บสว่างวาบ ล็อกเก๊ตของกอหญ้าสะท้อนแสงเป็นประกายวามวาบ พเยียมองชะงักมอง นิ่งความคิดบางอย่างแว่บเข้ามาในใจ
“พเยีย เธอเป็นอะไรรึเปล่า แล้วคนอื่นๆ ล่ะ”
พเยียนิ่ง ทิ้งกอหญ้าลง แล้วเดินออกไป
“พเยีย...พเยีย”
กอหญ้าพยายามไถตัวเองไปตามพื้น เห็นเฉพาะขาพเยียเข้ามายืนกางจังก้า กอหญ้าเงยหน้ามอง ยังไม่เห็นท่อนไม้
พเยียมองกอหญ้าเหมือนยิ้มเหี้ยม
กอหญ้าดีใจ “พเยีย ฉันลุกไม่ไหว ช่วยพาฉันไปหาคุณแม่ยุพาหน่อย”
พเยียเสียงเหี้ยม ยิ้มเหี้ยม “อยากไปหาคุณแม่ยุพาเหรอ ได้เลย”

พเยียสวิงท่อนไม้ในมือใส่กอหญ้าสุดแรงเกิดยินเสียงดังผลัวะอย่างน่าสยอง พร้อมๆ กับสายฟ้าที่สว่างวาบขึ้น ก่อนจะเห็นว่ากอหญ้าสลบคาที่ ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ดังโครมครืนอย่างน่าหวาดกลัว
ในแสงฟ้าแลบนั้น เห็นร่างพเยียยืนจังก้าเป็นเงาท่ามกลางสายฝนกระหน่ำ และกอหญ้าที่นอนสลบอยู่แทบเท้าพเยียนั่นเอง
พเยียก้มตัวลงไปเขย่าตัวกอหญ้า เห็นกอหญ้านอนนิ่ง พเยียจึงคิดว่ากอหญ้าตายแล้ว รีบถอดสร้อยล็อกเก๊ตออกจากคอกอหญ้า พเยียยิ้มร้ายมองสร้อยในมือแล้วสวมใส่ที่คอตนทันที
“นับตั้งแต่วินาทีนี้ ฉันคือทายาทคนเดียวของสกุลศิวาวงศ์”

พเยียหัวเราะร่าอย่างผู้ชนะ ท่ามกลางฝนที่ตกหนักแบบไม่ลืมหูลืมตา

ฝนซาเม็ดลงไป เหลือแค่ตกปรอยๆ เห็นรถอิศรขับมาตามถนน อิศรมองเห็นรถปราบในสภาพพังยับเยินอัดติดอยู่กับต้นไม่ใหญ่ที่ข้างทาง และมีคนอยู่ด้วย อิศรตกใจ

“เฮ้ย”
อิศรจอดรถทันที เดินแกมวิ่งไปที่ซากรถ แล้วหันไปเห็นร่างของผู้หญิงคนหนึ่งนอนฟุบอยู่ข้างทาง อิศรรีบเดินไปที่ร่างนั้น
“คุณ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ คุณ”
อิศรจับร่างนั้นพลิกมา เห็นเป็นกอหญ้านอนนิ่งดูเหมือนตายแล้ว อิศรจำได้ ยิ่งตกใจมาก
“กอหญ้า!”

คืนนั้นบรรยากาศที่วังศิวาลัยอึมครึม นภดารานั่งนิ่งอยู่กลางห้องโถง สายตาจ้องไปที่ประตูทางเข้า แววตาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น คนอื่นๆ ลอบมองอาการของนภดาราอย่างกังวล
นภาจรีกระซิบ “แจ้งตำรวจไหมคะ”
นภัสรพีนิ่งเครียด พยายามใช้ความคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี นภาจรีเซ้าซี้
“พี่ชายคะ ทำอะไรซักอย่างซี หลานดาราจะแย่อยู่แล้ว”
นภัสรพีพยักหน้า เดินไปที่โทรศัพท์บ้าน กำลังจะหยิบขึ้นมา โทรศัพท์ก็ดังขึ้นเสียก่อน
ทุกคนในห้องหันขวับไปมองพร้อมกัน ต่างคนต่างลุ้น
นภัสรพีพูดสาย “สวัสดีครับ ที่นี่วังศิวาลัย” นิ่งฟัง แปลกใจ “ใช่ ผมนภัสรพีพูด นั่นใครพูด”
น้ำเสียงนภัสรพีตกใจสุดขีด
“อะไรนะ” อึ้งไป หน้าเสีย
นภดารา นภาจรี ชื่น มองนภัสรพีตาไม่กระพริบ อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นภดาราแทบจะโถมเข้าไปหา ดีว่าชื่นรั้งเอาไว้
“ผมเสียใจด้วยจริงๆ ทำใจดีๆ ไว้ก่อนนะครับ ถ้ามีอะไรที่ผมจะช่วยได้ก็ขอให้บอก อย่าเห็นว่าเราเป็นคนอื่นคนไกล...ครับ”
นภัสรพีวางสาย ตกใจและเสียใจมาก แต่พยายามข่มให้นิ่ง
“ใครโทร.มาคะ พี่ชาย มีเรื่องอะไรร้ายแรงหรือเปล่า”
“ทางบ้านปราบโทรมา...รถที่ปราบขับมาเกิดอุบัติเหตุ เสียหลักไปชนต้นไม้ข้างทาง”
นภาจรีใจหายวาบ นภาดาราผุดลุกขึ้นทันที เข้าไปหานภัสรพี
“แล้วคนอื่นล่ะคะ มีใครเป็นอะไรหรือเปล่า”
“ปราบเสียชีวิตคาที่ รวมทั้งแม่ชีที่เป็นคนพายัยหนูมา...” นภัสรพีบอกเสียงเศร้า
“แล้วลูกล่ะคะ ลูกอยู่ที่ไหน” นภัสรพีอึ้ง นภดารากรีดร้องออกมา “คุณพ่อคะ ลูกสาวของลูกอยู่ที่ไหน”
“ไม่มีใครพบแก ฝนตกหนักทำลายร่องรอยทุกอย่างหมด...แต่ถ้าแกปลอดภัย แกก็ไม่น่าจะหายไปเฉยๆ แบบนี้”

“ไม่! ลูกต้องไม่เป็นอะไร!” นภดาราตัวสั่น วิ่งโซเซไปที่ประตู “ลูกต้องยังอยู่ ลูกต้องไม่เป็นอะไร”
นภดาราวิ่งออกไป นภาจรีกับชื่นวิ่งตามร้องเรียกพร้อมกัน
“คุณดารา” / “ดารา”

นภดาราวิ่งโซเซอย่างคนขาดสติจะออกไปข้างนอกวัง นภัสรพี นภาจรี และแม่ชื่น วิ่งตามมาจับตัวเอาไว้ได้
“ดารา จะไปไหน หยุดนะ” นภาจรีร้องถาม
“หยุดก่อนลูก” นภัสรพีคว้าตัวนภดาราเอาไว้ได้ “จะไปไหน”
“ลูกจะไปหายัยหนู ปล่อยลูกไป คุณพ่อปล่อยลูกไป”
ชื่นสงสารนัก “โถ คุณ .. คุณจะไปหาคุณหนูที่ไหนล่ะคะ”
“ไม่ว่าแกจะอยู่ที่ไหน ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย ฉันต้องเห็นหน้าแกให้ได้คุณพ่อขา ลูกจะไม่ทิ้งแกอีกแล้ว ลูกต้องหาแกให้เจอให้ได้”
นภัสรพีสงสาร เข้าใจความรู้สึก “ไป ลูก พ่อจะไปด้วย เราจะไปหาแกด้วยกัน”
ทั้งหมดประคองนภดาราขึ้นมา รปภ. วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาพอดี
“คุณชายครับ...เอ่อ... มีคนมาหาครับ”
นภัสรพีถาม “ใคร”
“เอ่อ คือ...” รปภ. อึกอัก
พเยียในสภาพเลอะเทอะ มอมแมม ท่าทีตื่นตระหนก ก้าวออกมายืน มองทุกคนตื่นๆ ทุกคนมองพเยีย สังหรณ์ใจแปลกๆ
“หนูเป็นใครจ๊ะ” นภาจรีถาม
ท่าทีพเยียดูกล้าๆ กลัวๆ “หนู เอ่อ หนูชื่อพเยียค่ะ ก่อนสิ้นใจ ลุงปราบบอกให้หนูมาที่นี่”
พเยียพูดจบ หยิบล็อกเก๊ตที่คอชูขึ้น นภดารา นภัสรพี นภาจรี และแม่ชื่น ตะลึงเหมือนไม่เชื่อสายตา
“นั่นมัน...” คุณชายเอ่ยขึ้นยังไม่ทันจบ
“ยัยหนู”
นภดาราโผเข้าหาพเยียอย่างรักใคร่ จับแขนทั้งสองข้างของพเยียไว้ สัมผัสหน้าตา เนื้อตัวพเยียให้แน่ใจว่านี่เป็นความจริงไม่ใช่ความฝัน แล้วโผเข้ากอด น้ำตาพร่างพรู
“ยัยหนู ยัยหนูของแม่”
พเยียอึ้งๆ มองนภดารานิ่งๆ คิดในใจ ‘คนนี้เองที่เป็นแม่นังกอหญ้า’ นภดาราถอยออกมา ยิ้มบอกพเยีย
“ฉันชื่อนภดารา ฉันเป็นแม่ของหนูจ้ะ”
“ค่ะ คุณแม่”
นภดารากอดพเยียอีก พเยียกอดตอบ ยิ้มอย่างโล่งใจ
คนอื่นๆ ถอนหายใจ มองดูภาพนภดารากับพเยียกอดกัน ยิ้มอย่างมีความสุข
ในห้องฉุกเฉิน ร่างไร้สติของกอหญ้าถูกส่งเข้าไปในเครื่องสแกนสมอง หมอวิชาญและเจ้าหน้าที่ยืนดูอยู่ที่จอแสดงผล ใจจดใจจ่อ

ส่วนที่ด้านนอกห้อง อิศรเดินกระวนกระวาย รอลุ้นด้วยความเป็นห่วง

ที่วังศิวาลัย พเยียนั่งอยู่กับพื้นห้องโถง นภดาราประคองข้าง แนะนำญาติผู้ใหญ่

“นี่คุณตาของหนูจ้ะ หม่อมราชวงศ์นภัสรพี ศิวาวงศ์ ส่วนนี่ ก็คุณยายเล็ก น้องสาวของคุณตา หม่อมราชวงศ์หญิงนภาจรี”
พเยียก้มกราบนภัสรพีกับนภาจรีอย่างเรียบร้อยอ่อนหวาน
“พเยียกราบท่านตาท่านยายค่ะ”
นภาจรีส่ายหัว “เรียกคุณตาคุณยายก็พอ พูดเป็นลิเกไปได้”
“ส่วนคนนี้แม่ชื่น เป็นแม่บ้าน ที่ดูแลแม่มาตั้งแต่เล็กๆ”
แม่ชื่นที่ตั้งท่าจะรับไหว้ ต้องเหวอเล็กน้อย เพราะพเยียแค่พยักหน้ารับรู้
“ค่ะ คุณแม่”
นภาจรีนิ่วหน้า พูดเสียงเรียบแต่เข้ม
“ถึงแม่ชื่นจะเป็นแม่บ้าน แต่ก็เป็นผู้ใหญ่ เราเป็นเด็ก ก็ต้องเคารพนบไหว้”
พเยียชะงัก แอบชักสีหน้า ไม่พอใจนภาจรี พูดตัดพ้อกึ่งประชด
“ขอประทานโทษเจ้าค่ะ หนูเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีใครสั่งใครสอน”
นภดาราหน้าเสีย รีบแก้แทน
“อย่าว่าพเยียเลยค่ะ อาหญิง เอาไว้หลานจะค่อยๆ สอนแกเอง” นภดาราหันมาโอ๋พเยีย “เป็นความผิดของแม่เอง ที่ไม่ได้ดูแลหนู ต่อไปนี้ แม่สัญญานะจ๊ะ ว่าจะดูแลพเยียให้ดีที่สุด”
“ค่ะ คุณแม่” พเยียอ้อน “คุณแม่อย่าทิ้งพเยีย อย่าให้พเยียต้องลำบากอีกนะคะ”
“จ้ะ ลูกจ๋า ลูกรักของแม่”
นภดาราดึงพเยียมากอดอีก รักแสนรักนักหนา พเยียกอดตอบ นภัสรพีมองดูสองแม่ลูก แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นว่าที่มือทั้งสองข้างของพเยียที่กอดนภดาราอยู่ ไม่มีแหวน
นภัสรพีฉุกคิดรำพึงเบาๆ “เอ๊ะ”
นภาจรีเห็นเข้า “อะไรคะ พี่ชาย”
“แหวน” คุณชายพยักเพยิดไปที่พเยีย
นภาจรีนึกได้ “จริงสิ แหวน...ไม่มีแหวน”
พเยียงง เพราะไม่เคยได้ยินเรื่องแหวนมาก่อน
“แหวนอะไรคะ”
นภัสรพีถาม “เธอมีแหวนติดตัวมาด้วยนี่ ไปไหนซะล่ะ ขอให้ตาดูหน่อยซิ”
“แหวนอะไรคะ หนูไม่มีแหวนอะไรซักหน่อย” เริ่มเอะใจ และตกใจ “หนูต้องมีแหวนด้วยเหรอคะ คุณแม่ แหวนอะไร”
“แหวนที่พ่อของหนูให้กับแม่จ้ะ แม่ให้ติดตัวหนูไว้พร้อมกับล็อกเก๊ตอันนี้ ตั้งแต่ตอนที่หนูเกิด... หนูเอาให้คุณตาดูหน่อยซี...อยู่ไหนจ๊ะ” นภดาราบอก
พเยียอึ้งไปเลย ทำยังไงดี คิดหาคำแก้ตัว

ขณะเดียวกันที่นางพยาบาลส่งถุงพลาสติกให้อิศร มีแหวนเพชรรูปดาวอยู่ในนั้น
“ของส่วนตัวของคนไข้ค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
อิศรเอาของมาพลิกๆ ดู เห็นแหวนรูปดาว อิศรมองอย่างสนใจ

ส่วนที่ห้องโถง วังศิวาลัย พเยียทำเป็นร้องไห้สะอึกสะอื้น น่าสงสาร
“หนูขอโทษค่ะ หนูผิดไปแล้ว”
นภัสรพีดุ “แล้วทำไมจะต้องโกหก แหวนของตัวเอง ติดตัวอยู่ตั้งแต่เล็ก ทำไมบอกว่าไม่เคยเห็น ไม่เคยมี”
พเยียปาดน้ำตา ทำหน้าดูน่าสงสารมากๆ “ก็เพราะว่า...เพราะมันไม่อยู่กับหนูแล้วค่ะ หนู ... ขายไปแล้ว”
ชื่นตกใจ “ตายจริง”
“ตอนนั้นทางโบสถ์ ทุกคนต้องอดๆ อยากๆ ข้าวแทบจะไม่มีให้กิน ตัวหนูก็ไม่สบาย ค่ายาค่าหมอก็ไม่มี หนูเลยเอาแหวนไปขาย เอาเงินมาให้ทางโบสถ์ แล้วก็เอามาเป็นค่ายาค่ะ” พเยียเล่าเป็นตุเป็นตะ
“โถ...ลูก”
“คุณแม่อย่าโกรธพเยียนะคะ พเยียไม่รู้ว่ามันสำคัญแค่ไหน พเยียขอโทษค่ะ คุณแม่”
“ลูกจ๋า แม่ต่างหากที่ต้องขอโทษหนู ถ้าไม่ใช่เพราะแม่ ลูกคงไม่ต้องลำบากอย่างนั้น พเยียยกโทษให้แม่นะคะ”
นภดารากอดพเยียอีก ทั้งสองกอดกันกลม
นภาจรีมองหน้านภัสรพี ขยับปากจะพูดอะไร แต่นภัสรพีส่ายหน้าปรามไว้ แม่ชื่นมองเจ้านายทั้งสอง สงสัยในเรื่องที่พเยียเล่าเหมือนกัน แต่ไม่กล้าพูดอะไร

สองคนอยู่ในห้องทำงานนภัสรพี นภาจรีโวยขึ้นมา
“ก็เมื่อวานนี้ พี่ชายบอกหญิงว่า ลูกสาวของดารามีครบทั้งสร้อยทั้งแหวนถึงได้มั่นใจว่าเป็นตัวจริง แล้วทำไมกลายเป็นแบบนี้”
นภัสรพีปราม “หญิงนภา เธออย่าเพิ่งโวยวายได้มั้ย พี่อยากคิดให้รอบคอบซะก่อน”
“พี่ชายจะคิดอะไรอีกล่ะคะ คุณปราบไม่ใช่คนเหลวไหล เรื่องสำคัญขนาดนี้ไม่มีทางผิดพลาดแน่ๆ ยัยเด็กนั่นโกหกเรานะคะ แกจะโกหกทำไม นอกจากว่าแกจะไม่ใช่ตัวจริง”
นภัสรพีพูดตัดบทอย่างคนตัดสินใจแล้ว
“พเยียจะเป็นศิวาวงศ์ที่แท้จริงหรือไม่ ไม่สำคัญ ที่สำคัญก็คือ เค้าทำให้ดารามีความสุข เค้าเป็นคนที่ช่วยต่อชีวิตลูกสาวของพี่”
“แต่ว่า ถ้าเด็กพเยียนี่เป็นตัวปลอม...” นภาจรีท้วง
“ตัวปลอมแล้วยังไง แค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนเดียว เลี้ยงไว้ดูเล่นก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไรนี่” นภาจรีขยับปากทำท่าจะเถียง นภัสรพียกมือห้าม “พี่ทำร้ายลูกมามากพอแล้ว พี่จะไม่ทำอะไรให้แกต้องเสียใจอีก แล้วเธอ หญิงนภา ก็ไม่ควรทำเหมือนกัน”
นภาจรีท่าทางไม่เห็นด้วย แต่จำใจต้องนิ่ง

ฝ่ายนภดาราเดินนำพเยียเดินไปห้องนอน ระหว่างทางเดิน พเยียมองความโอ่อ่าอลังการของบ้านอย่างตื่นตาตื่นใจ
“สวยจังเลยค่ะ คุณแม่ขา แล้วห้องของพเยียอยู่ไหนคะ”
“ทางนี้จ้ะ ลูก”
นภดาราเปิดห้อง พเยียเห็นห้องนอนที่ตกแต่งราวกับห้องของเจ้าหญิง ก็ตาโต กระโดดเข้าไปอย่างร่าเริง
“นี่เหรอคะ ห้องหนู โอโห...”
พเยียนั่งขย่มบนเตียง อย่างสนุก ชื่นเข้ามาพร้อมชุดนอนหรูหราฟูฟ่องแบบเจ้าหญิง
“ชุดนอนของคุณหนูพเยียค่ะ”
พเยียดึงมา เอาทาบตัว อย่างตื่นเต้น
“แม่ซื้อเอาไว้ให้หนู ชอบไหมจ๊ะ”
“ชอบค่ะ ถูกใจทุกอย่างเลย”
“ของทุกอย่างในห้องนี้แม่เลือกเองกับมือทุกชิ้น” นภดาราน้ำตาจะไหล “แม่รอมาตลอด หวังมาตลอด ว่าลูกของแม่ต้องกลับมาซักวัน แล้วหนูก็กลับมาจริงๆ”
นภดาราซึ้ง เข้าไปกอดพเยียอีก พเยียเริ่มเบื่อ ชื่นแอบมอง สังเกตอาการของพเยีย
พเยียผละออก “พเยียเนื้อยเหนื่อย ขออาบน้ำนอนก่อนนะคะ คุณแม่”
“จ้ะ ลูก จ้ะ” นภดาราอดไม่ได้ ดึงมาหอมแก้มอีก “นอนหลับฝันดีนะลูกนะ”
“ค่ะ คุณแม่”
พเยียโบกมือบ๊ายบายเป็นเชิงไล่กลายๆ
แม่ชื่นเดินนำไป นภดาราไปถึงประตู แต่ก็แทบจะไม่อยากออกไป หันกลับมาอีก
“หนูนอนคนเดียวได้ไหมคะ แม่มานอนเป็นเพื่อนเอาไหม”
“มะ..ไม่ต้องค่ะ พเยียนอนคนเดียวดีกว่า” พเยียโบกมืออีก “บ๊ายบายค่ะ คุณแม่”
“ไปเถอะค่ะ คุณ” ชื่นบอก
นภดาราออกไป ประตูปิดลง พเยียกระโดดลงนอนแผ่หรากางแขนบนเตียง ร้องลั่นอย่างสุขล้น
“อ๊า...เยสๆๆๆๆๆๆ”
พเยียมองไปรอบตัว สุขเหมือนขึ้นสวรรค์
“นังพเยียเอ๊ย คิดถูกจริงจรี๊ง...นี่มันยิ่งกว่าถูกหวยรางวัลที่หนึ่งเสียอีกเยสๆๆๆๆๆ”
พเยียไม่รู้ว่าที่นอกห้อง ชื่นยืนเอาหูแนบประตู ได้ยินเสียงดังออกมาแว่วๆ หญิงชราตาโต ถอนใจ ส่ายหัวเหมือนรับไม่ได้

อิศรฟุบรออยู่ที่เก้าอี้ เห็นหมอวิชาญออกมา อิศรกระโดดขึ้นทั้งตัว
“หมอ คนไข้เป็นไงมั่ง”
“พ้นขีดอันตรายแล้วล่ะ แต่โดนหนักเอาการอยู่ อีกนาน กว่าจะฟื้น”
“แน่นะ” อิศรตบไหล่ “ขอบใจมากว่ะ เพื่อน”
“เออ แต่แกบอกว่าน้องเค้าประสบอุบติเหตุรถคว่ำมาเหรอ” วิชาญถาม
“ใช่ ฉันเป็นคนช่วยเค้ามาเอง มีอะไรเหรอ”
วิชาญทำท่าเหมือนจะพูดอะไร แต่แล้วเกิดเปลี่ยนใจ
“เปล่า แล้วไปเถอะ ว่าแต่แกเหอะ กลับไปนอนได้แล้วไป กว่าน้องเค้าจะฟื้นก็พรุ่งนี้เช้าโน่นแหละ”

อิศรเดินเข้าในห้องพักฟื้น มองดูกอหญ้าที่มีผ้าพันหัว นอนนิ่งอยู่บนเตียง อิศรมองอย่างเอ็นดู
“หลับให้สบายนะ ยัยเด็กปากเปราะ... พรุ่งนี้เช้าฉันจะกลับมาใหม่”
อิศรเอาปลายนิ้วเขี่ยจมูกกอหญ้าเล่น
“อย่าหาว่าฉันใจดำเลยนะ แต่เธอเป็นแบบนี้ น่ารักกว่าตอนดีๆ เยอะเลย... รู้ตัวไหม”
อิศรมองๆ กอหญ้า แล้วยิ้มร้ายแบบเด็กขี้โกง แล้วแอบหอมแก้มกอหญ้า
“กู้ดไนท์ เจ้าหญิงนิทรา พรุ่งนี้เจอกัน”

อิศรออกไปกอหญ้าหลับสนิท ไม่รู้เรื่องอะไร

ติดตาม "แผนรักแผนร้าย" ตอนที่ 2
กำลังโหลดความคิดเห็น