มณีสวาท ตอนที่ 8
เช้าวันใหม่ ภุชคินทร์ชงกาแฟดื่มเองในห้องครัวของวังนาเคนทร์ นารีวรรณเดินเข้ามา
“ทำไมไม่ให้สมจิต สมใจทำให้ล่ะคะพี่ชาย”
“พี่เห็นยุ่งๆกันอยู่ พี่เลยไม่อยากกวน”
นารีวรรณรีบบอก “งั้นหนูนาทำให้ค่ะ” กุลีกุจอเข้ามาช่วย “พี่ชายจะทานแซนด์วิซด้วยมั้ยคะหนูนาทำให้
“กาแฟอย่างเดียวก็พอจ้ะ ขอบใจ”
ภุชคินทร์ถอยห่างออกมา นารีวรรณเข้าไปแทนที่ชงกาแฟ ก่อนจะเดินมาเสิร์ฟให้ภุชคินทร์ที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะ นารีวรรณต้องชะงัก เมื่อมองเห็นรอยช้ำจ้ำเขียวๆ บนท่อนแขนพี่ชาย
“เอ๊ะ! ทำไมตัวพี่ชายถึงเขียวช้ำอย่างนี้คะ ไปโดนอะไรมา”
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ถ้าเป็นโบราณ เค้าจะบอกว่าพรายขย้ำ สงสัยเลือดจะเดินไม่สะดวก”
นารีวรรณออกความเห็นเพิ่ม “เลือดเดินไม่สะดวก แล้วทำไมมีรอยข่วนด้วย ยังกับรอยเล็บเลย”
ว่าพลางนารีวรรณพลิกช่วงใต้ท่อนแขนให้ภุชคินทร์ดู เห็นเป็นรอยเล็บข่วน ภุชคินทร์นิ่ง
ภาพเหตุการณ์ที่ภุชคินทร์ฝัน แต่ฝันไม่ชัดเจนเท่าสุบรรณผุดขึ้นมาแว้บๆ
ภุชคินทร์พึมพำเบาๆ “เมื่อคืนเหมือนเราจะฝัน
“มีอะไรคะพี่ชาย”
“เปล่า”
หม่อมภาณีส่งเสียงนำ ก่อนจะเดินเข้ามา หนูนาปิดแขนเสื้อให้ภุชคินทร์
“มีอะไรเหรอหนูนา”
“คุณแม่มาค่ะ เดี๋ยวท่านจะคิดมากไปอีก”
หม่อมภาณีเดินมาถึง “เอ้ามัวทำอะไรกันอยู่ วันนี้ชายต้องไปประชุมงานช่วยเหลือผู้ประสบภัยนะลูก”
“ครับ แม่” พูดเบาๆ กับน้องสาว “แล้วคุยกันนะจ๊ะหนูนา”
“ค่ะพี่ชาย”
หม่อมภาณีเดินออกไปกับภุชคินทร์ นารีวรรณมองตามภุชคินทร์ด้วยแววตาสงสัย
ภายในร้านอาหารของพะนอฤดีวันนี้มีคนค่อนเยอะ เพราะเป็นช่วงกลางวัน พะนอฤดีบอกหนูนา
“พี่ชายไปมีเรื่องกับใคร แล้วไม่อยากบอกหนูนาหรือเปล่า? ไม่งั้นรอยขีดข่วนพวกนั้นจะมีได้ยังไง”
“ไม่น่านะ...พี่ฤดีก็น่าจะรู้ ปกติพี่ชายไม่ชอบมีเรื่องกับใคร”
พะนอฤดีนิ่งคิดไปนิดหนึ่ง แล้วทำตาโต “หรือว่า...”
“อะไรคะ”
“พี่ชายแอบไปมีอะไรกับผู้หญิง เกิดต่อสู้กันแล้วถูกผู้หญิงคนนั้นข่วนกลับมา”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ พี่ชายไม่ใช่คนทำอะไรอย่างนั้นได้” นารีวรรณส่ายหน้ารวดเร็ว “เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ”
“พี่ก็ไม่ได้ว่าพี่ชายเป็นคนเริ่มก่อนนี่หนูนา แต่อาจจะมีผู้หญิงบางคน เข้าหาพี่ชาย และอาจจะปล้ำพี่ชายเอาก็ได้”
นารีวรรณร้อง “ว้าย” แล้วหัวเราะขำ “เรทเอ็กซ์เลยนะนั่น คิดได้ยังไงเนี่ยพี่ฤดี ผู้หญิงที่ไหนเค้าทำกัน”
เฟื่องวลีกำลังจะเดินผ่านหน้าร้าน เชิดๆ เริดๆตามประสา พะนอฤดีบุ้ยใบ้ให้นารีวรรณดู
“ก็อาจจะเป็นคนนั้นไง”
นารีวรรณเหลียวมองตามสายตาฤดี “คุณฟีบี้”
เฟื่องวลีเดินกรีดกราย ยกมือยกไม้ขึ้นมาดูเล็บที่เพิ่งทำมาใหม่ ยิ้มพอใจเหมือนสวยมากมาย พะนอฤดีกับนารีวรรณ เดินออกมาที่หน้าร้าน พะนอฤดีมองเฟื่องวลีตาขวางอย่างคนที่เขม่นกัน
เฟื่องวลีหันมาเห็น “อะไร? ไม่ต้องออกมาต้อนรับ คนอย่างฉันไม่ได้มากินข้าวร้านเธอหรอกย่ะ”
“ฉันก็ไม่ได้ออกมาต้อนรับเธอสักหน่อย” พะนอฤดีมองที่มือเฟื่องวลี
พะนอฤดีกับหนูนามองไปที่มือของเฟื่องวลี ที่เห็นชัดเจนว่าเพิ่งทำเล็บมา เฟื่องวลีหันมายิ้มให้หนูนา หัวเราะ
“อุ้ยๆ งั้นที่อุตส่าห์เดินออกมาเจอฉันนี่ อย่าบอกนะว่า อยากมือสวย เล็บสวย เหมือนฉัน” ปากพูดกับนารีวรรณแต่จงใจอวดโอ้กับพะนอฤดี “สวยมั้ยคะคุณหนูนา ฟีบี้เพิ่งไปทำเล็บใหม่มาค่ะ”
หนูนาสงสัย “ทำเล็บ”
เฟื่องวลีจีบปากบอก “ค่ะ เล็บเดิมก็ยังสวยนะคะ แต่ที่ทำใหม่เพราะเมื่อวานฟีบี้มีเรื่องนิดหน่อย เล็บเลยฉีกค่ะ”
พะนอฤดีอึ้ง “มีเรื่อง จนเล็บฉีก”
“คุณฟีบี้มีเรื่องกับใครเหรอคะ”
เฟื่องวลีพูดกับนารีวรรณแต่มองจ้องพะนอฤดี “ถ้าไม่ใช่กับเธอคนนี้ ฟีบี้ก็ไม่เคยมีเรื่องกับใครหรอกค่ะ”
พะนอฤดีมองตอบตาขวาง “ก็ไหนบอกว่ามีเรื่องมาไง”
เฟื่องวลียิ้มยั่ว “ก็กุ๊กกิ๊กจุ๊กจิ๊กกับแฟน ถือว่าเป็นเรื่องรึเปล่าล่ะเธอว์” ยกมือขึ้นอีกทำเสียงกระแดะๆ “เนี่ย...ไม่รู้ว่าเจอกันอีกแล้วเล็บจะฉีกอีกรึเปล่า...” แกล้งอวดพะนอฤดีต่อ “ผู้ชายบางคน เห็นมาดนิ่งๆ เอาเข้าจริงซาดิสต์มากๆ เดี๋ยวก็ตบ เดี๋ยวก็จูบ เดี๋ยวก็จิก เดี๋ยวก็ข่วน ฉันต้องเป็นนางแมวยั่วสวาทอยู่เรื่อยเลย อี๋! คิดแล้ว อยากเจอกันอีกเร็วๆ จัง”
เฟื่องวลีหัวเราะยั่วอย่างสะใจ
ที่ด้านหลังเฟื่องฟ้าซึ่งเดินตามลูกสาวมา ได้ยินเฟื่องวลีพูดก็ตาโต นารีวรรณทำท่าขนลุก เฟื่องวลีตั้งหน้ายั่วพะนอฤดีต่อ
“อยากฟังต่ออีกมั้ยล่ะจ๊ะ ฉันจะเล่าให้ฟัง เด็ดๆ ยังมีอีกเยอะนะ”
“ไม่ฟังหรอกย่ะ ทุเรศ แค่ฟังก็ระคายหูแล้ว ชิ เข้าร้านดีกว่าหนูนาอย่ามาฟังคนเพ้อเจ้อเลยสร้างเรื่องขึ้นมาหรือเปล่าก็ไม่รู้”
พะนอฤดี คว้ามือหนูนาเดินกลับเข้าไปในร้าน เฟื่องวลีตะโกนยั่วต่อ
“โถๆๆๆ ทนฟังไม่ได้มากกว่ามั้ง เพราะเธอไม่มีคนมาสนใจเหมือนฉัน”
เฟื่องฟ้าเดินมากระตุกมือเฟื่องวลีหน้าถมึงทึง “นี่! แกไปทำอะไรกับใครมา ที่ไหน เมื่อไหร่ ฟีบี้”
เฟื่องวลีเบาเสียงลง “ทำที่ไหนล่ะค่ะแม่...ก็แค่ คุยข่มให้ยัยพะนอฤดี ให้มันอิจฉาเล่นๆ เท่านั้นล่ะค่ะ ว่าแต่คุณแม่ทำผมเสร็จเร็วจังเลยค่ะ”
“บอกช่างเอาแค่สบายๆ พอ เลยไม่นาน” เฟื่องฟ้าเอามือลูบผม ที่เว่อร์สุดขีด “สวยมั้ยลูก”
“สวยเวอร์เลยค่ะ” คว้ามือแม่ “รีบไปกันดีกว่าค่ะ ฟีบี้รู้มาว่า ประชุมวันนี้ทั้งพี่ชายและท่านสุบรรณ เข้าพร้อมกันเลย”
เฟื่องฟ้ายิ้มดีใจ “งั้นลูกต้องทำตัวให้สวยเด่นเป็นนางพญา อย่าทำท่าเป็นสก๊อยแบบตะกี้ ไม่งั้นไม่มีใครมองลูกแน่”
สองแม่ลูกยิ้มให้กัน และแล้วเฟื่องวลีก็ทำคอเชิด วางท่าเป็นนางพญาขึ้นทันที
ที่โรงแรมสถานที่ประชุม สุรินทร์ในร่างของนินจา วิ่งเข้ามาและแฝงตัวอยู่ในห้องประชุมงานการกุศลอย่างรวดเร็ว ผ้าม่านในห้องพลิ้วเหมือนสุรินทร์แฝงกายอยู่
เวลาผ่านไปสักระยะ ทุกคนนั่งประชุม เฟื่องวลีพยายามนั่งเชิด คอตั้ง วางท่าราวกับนางพญา แต่ดูออกว่าเมื่อย พร้อมชำเลืองมอง ไปที่สุบรรณและภุชคินทร์ เห็นสองหนุ่มมองเขม่นกันอยู่ในที แต่ไม่มีใครพูด
เฟื่องฟ้ายิ้ม เอาศอกกระทุ้ง กระซิบเฟื่องวลีเบาๆ “เห็นมั้ยๆ ท่านสุบรรณกับคุณชาย เขม่นกันแล้ว”
เฟื่องวลีกระซิบตอบ อย่างไม่ค่อยมั่นใจ “จริงเหรอคะแม่”
“จริงสิ แม่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ แบบนี้แหละท่าทางผู้ชายเขม่นกันเพราะผู้หญิงล่ะ”
เฟื่องฟ้าเชียร์และอวยสุดๆ เฟื่องวลีเริ่มยิ้มพอใจ เจ้าประกายคำ ยื่นเอกสารให้สุบรรณ
“นี่คือรายงานสรุปผลการประชุมครั้งที่ผ่านมา เราจะมีการแสดงในงานช่วยเหลือผู้ประสบภัยดังนี้นะคะ”
สุบรรณรับมาอ่าน แต่ตากลับมองเลยไปเห็นรอยขีดข่วนบนแขนภุชคินทร์ สุบรรณนึกถึงความฝันแต่ดูลางเลือนไม่ชัดเจน สุบรรณสงสัย ว่ารอยขีดข่วนนั้น เหมือนในฝัน แต่ไม่ได้คิดว่าคนในฝันเป็นภุชคินทร์
เห็นสุบรรณเงียบไปนานจนหม่อมภาณีเรียก
“ท่านสุบรรณคะ”
สุบรรณสะดุ้งนิดๆ ละสายตาจากภุชคินทร์หันมามองหม่อมภาณี “ครับ”
“การแสดงในวันงาน ตกลงตามนี้เลยนะคะ หรือว่าท่านจะมีอะไรเสริม เพิ่มเติม”
“ไม่ครับ ทุกอย่างน่าสนใจดีแล้ว” สุบรรณเว้นวรรคนิดหนึ่ง “แล้วเจ้าอุรคาจะแสดงอะไร”
ภุชคินทร์หันมามองหน้าสุบรรณ สุบรรณมองตอบ เฟื่องวลีเริ่มเหวอ เจ้าประกายยิ้มๆ ขณะบอก
“เจ้าอุรคาบอกว่าขอเก็บเป็นเซอร์ไพร์สค่ะ”
ระหว่างนั้น ตรงบริเวณที่สุรินทร์แฝงตัวอยู่ เป็นร่างโปร่งแสงอยู่หลังผ้าม่าน เห็นดวงตาของสุรินทร์เต้นระริกแบบสนใจมาก ขณะที่สุบรรณบอก
“งั้นผมจะรอดูว่าเจ้าอุรคาจะแสดงอะไร”
เฟื่องฟ้ากับเฟื่องวลีเริ่มแหยๆ รู้ตัว สุบรรณหันมาถามภุชคินทร์
“แล้วงานวันนั้นคุณชายจะร่วมแสดงด้วยหรือเปล่าครับ”
“คงไม่ครับ” ภุชคินทร์เขม่น จึงแกล้งพูดยั่ว “แต่ผมจะตั้งใจรอชมการแสดงของเจ้าอุรคา เผื่อเจ้าอุรคาจะเซอร์ไพร์สให้ผมได้ร่วมแสดงด้วย”
สุบรรณยิ้มเยือกเย็น “งั้นผมก็จะตั้งใจเป็นผู้ชมที่ดี เพราะผมไม่ชอบแสดง แต่ชอบชีวิตในความเป็นจริง และผมก็มักจะมีอะไรมาเซอร์ไพร์สคนอยู่เสมอๆ ไม่แน่ บางทีคุณชายอาจจะต้องเป็นฝ่ายเซอร์ไพร์สซะเอง”
เฟื่องวลีหน้าเสียหนัก เห็นชัดเจน สองหนุ่มไม่สนใจหล่อนแม้สักน้อย หม่อมภาณีมองงงๆ ว่าสองคนคุยอะไรกัน
เจ้าประกายคำหัวเราะเหมือนคนไม่รู้เรื่องอะไร บอกอย่างยินดี
“แค่ฟังก็ตื่นเต้นแล้ว ดิฉันอยากให้ถึงงานวันนั้นเร็วๆ จังเลยค่ะ เผื่อดิฉันจะได้เซอร์ไพร์สบ้าง ถ้ายอดบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัย ทะลุ 100 ล้าน”
คนไม่รู้เรื่องต่างยินดีกับงานที่จะเกิดขึ้นสุบรรณกับภุชคินทร์มองเขม่นกัน เฟื่องฟ้ากับเฟื่องวลีสุดจะขัดเคืองใจ
ส่วนอำนาจยืนหน้าเคร่งอยู่ไม่ห่าง ดวงตาดุมองเพ่งไปที่ผ้าม่านในห้องประชุมที่พลิ้วไหว เหมือนมีคนซ่อนตัวอยู่ตรงนั้น ผู้คนในห้องประชุมทยอยเดินออกไป พร้อมๆ กับที่เห็นผ้าม่านพลิ้วๆๆๆ ตามจังหวะที่สุรินทร์เคลื่อนตัววิ่งออกไป
อำนาจผุดลุกขึ้นวิ่งตามออกไปอย่างรวดเร็ว สุบรรณมอง รีบตามไป
สุรินทร์ในคราบของนินจาวิ่งออกมาอย่างรวดเร็ว อำนาจวิ่งตามจี้ติด ยกปืนยิงกวาด ราวกับยิงเป้าบิน กะให้กระสุนถูกสุรินทร์ซักนัด แต่ร่างของสุรินทร์พลิ้วๆๆๆ และลับหายไปอย่างรวดเร็ว
สักครู่หนึ่งสุบรรณพร้อม รปภ. วิ่งตามเข้ามา รปภ.ถามตกใจ
“มีอะไรครับ”
อำนาจเลี่ยง กลบเกลื่อน “ผมเห็นคนร้าย จะเข้ามาลอบทำร้ายท่านสุบรรณ”
ผู้คนได้ฟังต่างแตกตื่นฮือฮา รปภ.ถามรัวเร็ว
“มันอยู่ที่ไหนครับ มันอยู่ที่ไหน”
“มันหนีไปแล้ว”
รปภ.ทำท่าจะวิ่งตามไป สุบรรณบอกเสียงเข้ม
“ไม่ต้องตาม” สุบรรณสั่งเข้ม รปภ.หันมามอง “ฉันไม่อยากให้เรื่องนี้เป็นข่าวครึกโครม”
“ครับท่าน”
รปภ.และผู้คนทยอยเดินกลับเข้าไป จนเมื่ออยู่ตามลำพัง สุบรรณถามอำนาจอย่างรู้กัน
“ไอ้สุรินทร์ใช่มั้ย”
“ผมคิดว่าใช่ครับท่าน วันงานผมขอจัดทีมอารักขานายมากกว่านี้ เพราะผมคิดว่า สุรินทร์มันต้องหาโอกาสเล่นงานนายและเจ้าอุรคาในงานแน่”
“มันคงไม่อยากเป็นคนจริงๆ แล้วไอ้สุรินทร์ เดี๋ยวแกหาโลกใหม่ให้มันอยู่ด้วยแล้วกันอำนาจ”
“ครับนาย”
สุบรรณเดินนำไป อำนาจและบอดี้การ์ดเดินตาม โดยไม่รู้ว่าที่ด้านหลัง สุรินทร์ในร่างของนินจา
ค่อยๆ โผล่ออกมาซักแห่ง ดวงตาของสุรินทร์มองตามคนสุบรรณและพวกพึมพำเสียงกร้าว
“คนอย่างพวกแก จะทำอะไรฉันได้”
สายตาของสุรินทร์ที่มองตามไปมีแต่ความหยามเหยียด
คืนนั้นสองแม่ลูกอยู่ที่บ้านภิงคาร ที่เฟื่องวลีทิ้งกระเป๋าลงบนเตียงอย่างขัดใจ ไม่มีมาดนางพญาเหลืออยู่
“ทำไมทำท่าอย่างนี้ล่ะลูก หมดกัน”
เฟื่องวลีหน้าหงิกหน้างอ บอกอย่างหมั่นไส้ “คุณแม่ก็เห็น ทั้งท่านสุบรรณ ทั้งพี่ชายไม่มีใครสนใจฟีบี้เลยซักคน แต่พอพูดถึงชื่อเจ้าอุรคาเท่านั้น สองคนก็ตาโต หูผึ่ง”
“แม่ก็งงอยู่เหมือนกัน ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น เพราะถ้าเทียบกันจะๆ ไล่ทีละส่วน” เฟื่องฟ้าเอามือชี้ทีละส่วนที่หน้าลูกสาว “หน้าผาก คิ้ว ตา จมูก หู ปาก ลูกแม่สวย......กว่าชนิดที่เจ้าอุรคาเทียบไม่ติดแม้แต่นิดเดียว แล้วก็ยังสาว ยังใสกว่าด้วย” เฟื่องฟ้าทำท่าคิด “หรือว่า...”
เฟื่องวลีนึกออก โพล่งขึ้นมาทันที “เจ้าอุรคาจะทำเสน่ห์”
“ลูกคิดเหมือนแม่เลย เจ้าอุรคาต้องทำเสน่ห์แน่ๆ ที่ผ่านมาถึงต้องทำตัวลึกลับซับซ้อน มีลับลมคมนัยอยู่ตลอดเวลา แต่พอเราไม่ได้ถูกเจ้าทำเสน่ห์ เราก็เห็นว่าเจ้าเป็นผู้หญิงที่ไม่น่าเข้าใกล้ น่ากลัว”
“แล้วเราจะทำยังไงดีคะคุณแม่”
“เราก็ต้องหาวิธีถอนเสน่ห์สิ”
สองแม่ลูกมองหน้ากัน ครุ่นคิดหาวิธี
ไม้แกะสลักรูปพญานาคในมือของนาถสุดา ซึ่งนาถสุดานั่งมองอยู่นานแล้ว ด้านหลังคือไพศิษฐ์ สองคนเงียบ มีท่าทางครุ่นคิด ไพศิษฐ์บอกว่า
“ที่ผ่านมาผมพยายามปฏิเสธเรื่องลี้ลับมาโดยตลอด แต่ในวันนี้ มันมีเหตุให้ผมต้องเชื่อ และมันก็ทำให้ผมยิ่งมั่นใจว่า เจ้าอุรคาไม่ใช่คนธรรมดา และเจ้าก็อาจไม่ใช่จารสตรีสายลับ อย่างที่ผมเคยสงสัย”
“แล้วคุณศิษฐ์คิดว่า เจ้าอุรคา คือใครล่ะคะ”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนาถ...แต่จากการสันนิษฐานของผม นายชาย อาจจะเป็นศูนย์กลางของคำตอบ เพราะทุกคนที่อยู่แวดล้อมนายชาย ไม่เว้นแม้แต่เรา จะต้องเจอเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติ ที่ยังหาข้อพิสูจน์ไม่ได้ซักคน”
“รวมทั้ง...” นาถสุดายกไม้แกะสลักรูปนาคขึ้น “การที่เจ้าอรุคา หาทางให้ไม้แกะสลักชิ้นนี้มาอยู่กับนาถ”
สองคนมองจ้องที่ไม้แกะสลักรูปพญานาค ส่วนที่ด้านหลังพันเอกนรินทร์เดินออกมาเอ่ยขึ้น
“ในจักรวาล มีสิ่งที่เราไม่รู้และไม่สามารถพิสูจน์ได้อีกเยอะแยะมากมาย แม้มันจะมีอยู่จริง”
“แต่ถ้ายังพิสูจน์ไม่ได้ ก็ไม่มีใครเชื่อเรานะครับ” ไพศิษฐ์ท้วงตามหลักการ
“สิ่งที่ร้อนมันก็ร้อน สิ่งที่เย็นมันก็เย็น จะเชื่อหรือไม่ มันก็มีค่าเท่าเดิมในความร้อนหรือเย็นนั้น”
นาถสุดาพูดแทรก “แต่ในความเป็นจริง เราพิสูจน์ได้นี่คะพ่อ ว่าสิ่งไหนร้อนจริง เย็นจริง”
“นั่นเพราะพิสูจน์ได้ถึงเชื่อ แต่บางสิ่ง จะเชื่อหรือไม่ มันก็มีของมัน มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น” ผู้พันเน้นคำในประโยคต่อมา “ที่สำคัญ เขาก็ไม่ได้ต้องการหรือรอคอยให้เราไปพิสูจน์เพื่อที่จะต้องเชื่อหรือไม่เชื่อ?”
นาถสุดามองหน้าไพศิษฐ์ “เหมือนกับเรื่องพญานาค ที่บางคนก็เชื่อว่ามีจริง แต่บางคนก็ไม่เชื่อ”
“นั่นล่ะคือตัวอย่างที่ดี คนไม่เจอก็ไม่เชื่อ แต่คนที่เจอเขาก็เชื่อ แม้ยังหาหลักฐานพิสูจน์ไม่ได้” พันเอกนรินทร์มองไพศิษฐ์ยิ้มๆ “หรือว่าไงผู้กอง?”
จากนั้นผู้พันนรินทร์เดินกลับเข้าไปด้านในไม่รอฟังคำตอบ ไพศิษฐ์เงียบ ท่าทางครุ่นคิดทบทวนหลายๆ เหตุการณ์ที่เกิดกับตน ทั้งตอนเจอเจ้าอุรคาเป็นผีน่ากลัว และไพศิษฐ์ทำนาฬิกาตกไว้ที่ริมโขง กระทั่งตอนที่ไพศิษฐ์เห็นรอยเท้าพญานาค กับรอยเท้าตัวเอง เหมือนต่อสู้กัน นาถสุดาถามไพศิษฐ์
“คุณพ่อพูดอย่างนั้น หรือว่า สิ่งที่เราเห็นจะเป็นรอยเท้าพญานาคจริงๆ คะ”
ไพศิษฐ์ก้ำกึ่ง “ในวันที่...ผมต่อสู้กับเจ้าอุรคา ที่เกิดเหตุไม่มีรอยเท้าเจ้าอุรคา แต่กลับมีรอยเท้าพญานาคแทน”
นาถสุดาพูดรัวเร็ว น้ำเสียงตื่นเต้นแทบหายใจไม่ทัน
“คุณกำลังจะบอกว่า เจ้าอุรคาคือพญานาค!!”
ต่อจากตอนที่แล้ว
ไพศิษฐ์ถอนหายใจยาว ท่าทีดูออกว่าหนักอกหนักใจมากมาย
“นี่แหละคือสิ่งที่ผมยังพิสูจน์ไม่ได้ และผมจะต้องหาทางพิสูจน์ให้ได้” ผู้กองหนุ่มที่เจอเรื่องประหลาดล้ำกับตัว มองแฟนสาวอย่างเป็นห่วง “นาถ...ผมว่าช่วงนี้คุณควรอยู่ห่างเจ้าอุรคาไว้นะ”
“แต่เจ้าอุรคา...ก็ไม่ได้มีท่าทีที่จะทำร้ายนาถ ถึงท่าทางเธอจะน่าเกรงขาม ดูนิ่งๆ ไม่สุงสิงกับใคร”
“จำคำผมไว้นาถ ดินแห้ง น้ำนิ่ง หญิงเงียบ น่ากลัว”
ท่าทางและน้ำคำของไพศิษฐ์จริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จนนาถสุดาได้แต่นิ่ง ไม่ค้านซักคำ
ขณะเดียวกันเจ้าอุรคาเดินเยื้องย่างออกมาจากตัวเฮือนภูจำปา ที่นั่นมีร่างโปร่งแสง อันเป็นกายทิพย์ของพันเอกนรินทร์ยืนรออยู่ เจ้าอุรคาทักทายถามไถ่อย่างเป็นมิตร
“ท่านผู้มีร่างทิพย์ เหตุใดถึงมาเยือนเราถึงนี่?”
“ผมรู้ว่าท่านกำลังจะมีงานแสดงยิ่งใหญ่ ที่จะแสดงให้เห็นเป็นบุญตาของผู้คน”
“ท่านพูด เหมือนกับรู้ว่าเราจะแสดงอะไร?”
“ผู้ที่มีชาติกำเนิดที่สูงจะนำคุณมาให้ ไม่เหมือนผู้ที่มาจากภูมิต่ำที่จะนำแต่โทษมาให้ฝ่ายเดียว”
เจ้าอุรคาฟังแล้วทึ่ง แววตาสงสัย มองเป็นเชิงถาม กายทิพย์ผู้พันนรินทร์ตอบ
“มนุษย์โลกที่ท่านปรากฏกายให้เห็น ก็คงจะได้รับสิ่งที่ดีงาม ที่ท่านจะนำมาให้เขา ได้ชื่นชมยินดี ผมมาร่วมยินดีด้วย และขอรบกวนเวลาท่านเพียงเท่านี้” ร่างโปร่งใสนั้นเลือนหายวับไปทันที
เป็นยมนาที่เดินเข้ามาแทน
“ผู้มีจิตสูง แม้การมาเตือน ยังมาเฉกเช่นผู้เป็นกัลยาณมิตร”
“ท่านหมายความถึงสิ่งใดยมนา”
“สิ่งที่เจ้าตั้งใจจะทำในวันงาน ควรมีขอบเขต ไม่ควรเกินเลย หากเจ้าคือผู้ที่มีชาติกำเนิดสูง”
เจ้าอุรคาเยื้อนยิ้ม “ผู้ที่มีชาติกำเนิดสูงเช่นข้า นาคเทวีอุรคา ทุกอย่างที่ทำต้องสูงส่งแน่นอน ยมนา”
เวลาผ่านไป ในที่สุดก็ถึงวันงานกาล่าดินเนอร์เพื่อการกุศล งานจัดขึ้นตอนกลางคืน ที่โรงแรมหรูหราใจกลางกรุงเทพฯ
บรรยากาศหน้างานช่วยเหลือผู้ประสบภัยคึกคัก คลาคล่ำไปด้วยผู้คนในวงสังคมชั้นสูงมากมาย แต่ละคนแต่งกายสวยงามหรูหราสมกับการมาร่วมงานกาล่าดินเนอร์ นารีวรรณเดินมากับพะนอฤดี
“นี่เพราะงานการกุศลนะหนูนา ฤดีเลยยอมทุ่มซื้อบัตรใบละห้าพันมาน่ะ ไม่งั้นฤดีอยู่เฝ้าร้านยังดีกว่า”
“ปากกับใจตรงกันหรือเปล่า ที่มางานนี้ไม่ใช่เพราะพี่ชายหรอกหรือคะพี่ฤดี” เพื่อนรุ่นน้องสัพยอก
พะนอฤดียิ้มแย้ม “ถ้ารู้ทันอย่างนี้ รีบเข้าไปในงานดีกว่าหนูนา”
สองคนจะเข้าไปในงาน แต่ต้องชะงัก เมื่อเห็นเฟื่องฟ้ากับเฟื่องวลีเดินนวยนาดเข้ามา พะนอฤดีกับเฟื่องวลีมองจ้องหน้า เขม่นกันตามเดิม เฟื่องวลีจีบปากจีบคอเหน็บแนมคู่แข่งหัวใจ
“อุ๊ยตาย! คุณแม่ขา...เห็นแม่ค้าอยากทำตัวเป็นไฮโซเข้ามาในงานรึเปล่าคะ”
เฟื่องฟ้ารับมุกเล่นด้วย “เห็นสิคะลูกขา...ทำไมจะไม่เห็น”
เฟื่องวลียิ้มเยาะ “ทุ่มทุนเข้ามาในงานแบบเนี้ย กระเป๋าต้องฉีกแน่ๆ เลยค่ะคุณแม่” พลางหัวเราะคิกคักเย้ย
พะนอฤดีมองนารีวรรณ แล้วยิ้มหยันเฟื่องวลี เอาคืน “อุ๊ยตาย! คุณน้องขา เสร็จจากงานนี้ คุณพี่ต้องรีบไปจ่ายค่าเช่าที่ร้านเดือนละห้าแสนหน่อยนะคะ”
นารีวรรณเล่นด้วย “ห้าแสน”
พะนอฤดีจีบปากจีบคอฉอเลาะ “ค่ะ ห้าแสน! คนจะเป็นแม่ค้าแถวนั้นถ้าไม่ใช่คนรวยจริงเป็นไม่ได้นะคร้า” มองเหยียดเย้ยแม่ลูกขณะพูดประโยคต่อมา “ไม่เหมือนคนทำท่าเป็นไฮโซบางคน เอาแต่ถือกระเป๋าก๊อป เดินไปเดินมาโชว์รวย หารู้ไม่ว่าคนเค้าดูออกว่ากระเป๋าก๊อป”
เฟื่องวลีร้อนตัวรีบตะครุบกระเป๋าตัวเองหมับปฏิเสธลั่น “ของฉันของจริงย่ะ”
“จริง! แต่จริงเซิ่นเจิ้น ไม่ก็โรงเกลือ” พะนอฤดีว่า
เฟื่องวลีหัวเราะเยาะ “รู้ดี” พลางชี้มาที่กระเป๋าของพะนอฤดี “ไปบ่อยล่ะซี้” และหันมาพูดกับเฟื่องฟ้า ขณะพาแม่เดินไป “คุณแม่ขา...อะไรคือเซิ่นเจิ้น โรงเกลือ ฟีบี้ไม่รู้จัก”
สองแม่ลูกเดินนวยนาดเข้าไปด้านในตรงไปยังห้องจัดงาน
“ก็ที่ถือนั่นแหละโรงเกลือ” พะนอฤดีร้องบอก
นารีวรรณยิ้มๆ “จะเถียงกันไปทำไม? หนูนาไม่เคยเห็นพี่ฤดีเถียงสู้เค้าได้ซักที”
“ก็เป็นนางเอกนี่คะ นางเอกที่เถียงแพ้คนนี้ล่ะจะคู่กับพระเอกอย่างพี่ชาย ป่ะรีบเข้างานเถอะ ฤดีอยากเจอพี่ชายหนูนาจะแย่อยู่แล้ว”
พะนอฤดีจับมือนารีวรรณเดินเข้าไปในงานอย่างเริงร่า
มณีสวาท ตอนที่ 8 (ต่อ)
รูปแบบของงานคืนนี้จำลองคล้ายวิมานในสรวงสวรรค์ ผ้าผืนสวยที่เปล่งประกายเหลือบทองอร่าม ถูกนำมาแขวนตกแต่งภายในงาน ตรงจุดมุมที่ดีไซน์อย่างสวยงาม เมื่อผ้าพลิ้วไหวกระทบแสงไฟ และโคมระย้า ยิ่งทำให้บรรยากาศภายในงานเหมือนวิมานทองคำ
ภุชคินทร์เดินมาจากมุมหนึ่งของงาน ขณะที่สุบรรณก็เดินเข้ามาจากอีกมุม ความสง่างาม
ราวเทพบุตรของทั้งสองยิ่งเปล่งประกายมากขึ้น เด่นสะดุดตาผู้คนอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เรียกว่าปกติก็หล่อลากอยู่แล้ว แต่วันนี้คืนนี้สองหนุ่มหล่อมว๊ากก
ผู้คนในงานเหลียวมองอย่างชื่นชม เฟื่องวลีกระตุกมือเฟื่องฟ้า
“ว้าว! พี่ชาย”
เฟื่องฟ้าตะลึงแลอีกคน “ท่านสุบรรณ”
พะนอฤดีกับนารีวรรณเดินตามเข้ามาเห็น พะนอฤดีมองอย่างตื่นตะลึง
“ถึงกับตะลึงเลยเหรอคะพี่ฤดี” นารีวรรณแซว
พะนอฤดียิ้มๆ ท่าทีพอใจมาก “ก็...ฤดีกำลังเจอเนื้อคู่นี่”
สองสาวยิ้มให้กัน สุบรรณกับภุชคินทร์ เดินตรวจงาน ภุชคินทร์นั้นเดินอยู่กับภิงคาร
ส่วนด้านหลัง สุรินทร์ที่ปลอมตัวแฝงมาเป็นแขกปะปนอยู่กับผู้คนในงาน ยืนมองมายังสุบรรณไม่วางตา ในความโดดเด่นของสุบรรณ เห็นอำนาจและเหล่าบอดี้การ์ดที่มีมากกว่าปกติ ยืนเป็นแผงคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง สุรินทร์แสยะยิ้ม
“กลัวตายเหมือนกันนี่หว่าไอ้สุบรรณ”
ที่ด้านหลังของสุรินทร์ ไพศิษฐ์กับนาถสุดาเดินเคียงกันเข้างานมา สองคนกวาดสายตามองไปรอบๆ
“ก็เป็นเหมือนงานทั่วไปนะคะคุณศิษฐ์ ไม่เห็นจะมีอะไรเลย” นาถสุดาว่า
“อาจจะมีตอนเจ้าอุรคามาก็ได้ ผมเชื่อว่างานไหนที่มีเจ้ามา มักมีเซอร์ไพร้ส์เสมอ”
ฉับพลันนั้นเอง มีเสียงฆ้องดังขึ้น ตู้ม..ตู้ม..ตู้ม เป็นจังหวะ ผู้คนสะดุ้งเฮือกหันไปมองตามเสียง เห็นชายหญิงแต่งตัวในอาภรณ์โบราณสวยงาม วิจิตร ไม่รู้ชัดว่าเป็นชุดของเชื้อชาติใด แต่ลวดลายผ้าสีน้ำเงินอมเขียวคล้ายท้องน้ำ
ชายหญิงเหล่านั้นเดินเป็นขบวนเข้ามา แม้ไม่ใหญ่โตแต่ตระการตาด้วยเสลี่ยงทอง สะกดให้ทุกคนหันมามองเป็นตาเดียว
มองขึ้นไปบนเสลี่ยงทองนั้น มีพญานาคลำตัวมหึมาเป็นขนดสูง ชูเศียรร่อนไปมา ทุกคนมองอย่างตื่นตะลึง บางคนหวาดกลัวจนเห็นได้ชัด สุรินทร์มองพึมพำ
“นังอุรคากำลังมา”
สุรินทร์แฝงเร้นกายหลบออกไปอย่างว่องไว หมายจะออกไปจัดการเจ้าอุรคา
ไม่ต่างจากคนอื่นหม่อมภาณียกมือทาบอกตกใจ ตาเพ่งมองพญานาคบนแท่นในเสลี่ยงแน่วนิ่ง
“พญานาค”
พวกสาวๆ ทำท่าตกใจ ภุชคินทร์กับสุบรรณเองก็หันมามองอย่างตื่นตะลึงจนเมื่อขบวนเดินเข้ามาใกล้ ถึงได้รู้ว่าเป็นแค่รูปปั้น ทุกคนถอนหายใจโล่งอก รวมทั้งหม่อมภาณี
“รูปปั้น เฮ้อ! ก็นึกว่าของจริง”
เจ้าประกายคำยิ้มปลื้ม พูดอย่างชื่นชม “นั่นสิคะ...รูปปั้นพญานาคตัวนี้ ดูเหมือนกับมีชีวิตจริงๆ”
หม่อมภาณีมองอย่างสุดจะทึ่ง “ขนาดขบวนนำเปิดการแสดงยังตระการตาขนาดนี้ ถ้าถึงตอนแสดงจริงๆ จะอลังการขนาดไหน
“ก็นี่ล่ะค่ะ...เจ้าอุรคา”
สายตาเจ้าประกายคำที่พูดถึงเจ้าอุรคามีแต่ความชื่นชม
ส่วนเฟื่องวลีกับเฟื่องฟ้ามองหน้ากันแหยๆ ท่าทางเฟื่องวลีหวาดกลัวกระซิบมารดา
“คุณแม่...ตกลงวันนี้ยัยเจ้าอุรคา จะทำอะไรอีกเนี่ย เล่นอะไรไม่รู้น่ากลัว”
“นั่นน่ะสิ” เฟื่องฟ้าตาโต “หรือเป็นเครื่องเซ่นเพิ่มเสน่ห์ของมัน”
“จริงด้วยสิ...เสน่ห์”
เฟื่องฟ้าลดเสียงเบาลง “ตะกี้แม่แว้บเข้าไปด้านหลังเวที เห็นผ้าซิ่นแขวนอยู่เต็มเลย”
เฟื่องวลีงง ไม่เก็ต “แล้วทำไมคะ”
“ก็แม่เคยได้ยินมาว่า ใครเดินลอดใต้ผ้าซิ่น จะถอนเสน่ห์ ล้างคมอาถาได้ เราต้องหาทางล่อหลอกให้ท่านสุบรรณ กับคุณชายเดินลอดชายผ้าซิ่นให้ได้ลูก”
สองแม่ลูกมองหน้ากันตาวาววับ
ผ้าซิ่นที่เฟื่องฟ้าเห็นเป็นชุดผ้าที่เตรียมไว้ใส่ในการแสดง ลักษณะเหมือนผ้าซิ่น ผืนยาว แขวนไว้บนราว บริเวณมุมห้อง จุดแต่งตัวของนักแสดง
ภุชคินทร์เดินดูรอบๆ บริเวณงานอยู่กับน้าชาย ภิงคารยิ้ม เอ่ยชมการจัดงาน
“งานวันนี้ดูยิ่งใหญ่ เหมือนไม่ใช่แค่งานการกุศลช่วยเหลือผู้ประสบภัยเลยนะชาย คนจัดงานเค้าให้ความสำคัญกับงานนี้จริงๆ”
“ก็เจ้าอุรคาไงครับ”
ภิงคารหันมามองหน้าภุชคินทร์อย่างฉงนสนเท่ห์ พลางถาม “เจ้าอุรคาน่ะหรือเป็นโต้โผจัดงาน”
“จริงๆ แล้วหลายฝ่ายก็ร่วมมือกันน่ะครับ แต่ผมได้ยินเจ้าประกายคำบอกว่า ธีมหลักของงานเป็นความคิดของเจ้าอุรคา”
ภิงคารพยักหน้ารับทราบ มองดูงานอย่างทึ่งๆ “แสดงว่าเจ้าต้องมีประสบการณ์ในการจัดงานใหญ่ๆมาแน่ ถึงได้ทำได้อลังการขนาดนี้”
ทางด้านสุบรรณ อยู่กับอำนาจซึ่งกวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างระแวดระวังตัว
“ฉันดูแลตัวเองได้...แกไปคอยดูแลเจ้าอุรคาดีกว่าอำนาจ”
“ครับนาย”
อำนาจหันไปบอกลูกน้องบางคนให้อยู่กับสุบรรณ ส่วนตัวเองเดินเลี่ยงออกไป เฟื่องวลีกับเฟื่องฟ้าเดินเข้ามา แยกกันประกบ 2 หนุ่ม เฟื่องวลีแถไปหาภุชคินทร์ ส่วนเฟื่องฟ้าเดินตรงไปหาสุบรรณ
“ฟีบี้ไปดูด้านหลังเวทีไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไหร่...ฟีบี้กลัวจะมีปัญหาตอนการแสดง พี่ชายเข้าไปดูหน่อยสิคะ”
ภุชคินทร์เดินไปกับเฟื่องวลี ขณะที่เฟื่องฟ้าเดินไปกับสุบรรณ
ไม่นานนักที่สองมุม สองคู่แยกกันมาคนละทางแต่อยู่หลังเวทีเหมือนกัน บริเวณด้านหลังเวทีเห็นทีมงานแบ็คสเตจ และส่วนที่เตรียมการแสดงเดินวุ่นวาย มีชุดผ้าซิ่น แขวนไว้อยู่ เรียงรายในราว เฟื่องฟ้าบอกสุบรรณ
“จริงๆ ก็ไม่อยากรบกวนท่านสุบรรณหรอกนะคะ...แต่เห็นว่า...ระหว่างรอการแสดง ที่นั่งตรงนั้น” พลางชี้ไปยังที่นั่งทีมงานเบื้องหลัง “ไม่เหมาะกับเจ้าเลยแม้แต่นิดเดียว ดูปะปนกับคนอื่นไม่เป็นส่วนตัว ดิฉันว่า...จะจัดที่นั่งให้เจ้าใหม่ดีมั้ยคะ เป็นเซอร์ไพร์สจากท่านสุบรรณมอบให้กับเจ้าอุรคา”
เฟื่องฟ้าชี้ไปที่มุมด้านหนึ่ง ที่อยู่ห่างจากทุกคน เห็นผ้าซิ่นที่แขวนเป็นราวอยู่ไกลออกไป
สุบรรณนิ่งมองไป ไม่ได้สนใจราวผ้าซิ่น “เจ้าเป็นคนเตรียมงานเองทุกอย่าง ผมว่าเจ้าน่าจะคุย
กับทีมงานแล้วล่ะว่าต้องการอะไร ถ้าเราไปก้าวก่าย คงไม่เหมาะสม เจ้าอาจจะไม่พอใจ”
สุบรรณพูดจบก็เดินออกไป เฟื่องฟ้าหน้างอ
“นี่ด่าฉันว่าจุ้นจ้านเหรอ” เฟื่องฟ้าฮึดฮัด “ยัยเจ้าอุรคาต้องทำเสน่ห์ขั้นสูงเอาไว้แน่ๆ เลย เราพูด
อะไร ท่านสุบรรณถึงไม่ฟัง”
ทางฝ่ายภุคชินทร์กวาดสายตามองไปหลังเวที ที่รก วุ่นวาย ข้าวของระเกะระกะแบบ
สภาพหลังเวทีทั่วไป ภุชคินทร์เอ่ยขึ้น
“ก็ปกติดีนี่ฟีบี้ ไม่เห็นจะมีอะไรเลย”
“ทำไมจะไม่มีคะ? พี่ชายดูสิคะ...ทั้งรก ทั้งสกปรก อี๋!”
“หลังเวทีเตรียมงานก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ” ภุชคินทร์จะเดินออกไป
เฟื่องวลีคว้าแขนเอาไว้ “อย่าเพิ่งค่ะ พี่ชายไปดูทางโน้นก่อน” สาวแสบจะดึงตัวภุชคินทร์ให้ลอดราวผ้าซิ่นไป
ภุชคินทร์มองเห็นผ้าซิ่นที่แขวนไว้บนราวสูง ตำหนิ “จะดึงพี่ไปทำไม?ไม่เห็นเหรอว่าเค้าแขวนผ้าไว้อยู่เกิดชนข้าวของเค้าเสียหายจะว่ายังไง ออกไปข้างนอกได้แล้ว”
“แต่พี่ชาย” เฟื่องวลีอิดออด
“เราไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการแสดงของเค้า ออกไป อย่ามาวุ่นวาย”
ภุชคินทร์ดุแล้วเดินออกไป เฟื่องวลีได้แต่กำมือกำไม้ขัดใจ กรี๊ดเร่าๆ แต่ไม่มีเสียง
“อี๋! เกลียดนักเลยนังเจ้าอุรคา”
ระหว่างนั้นมีงูตัวหนึ่งหล่นลงมาตรงหน้าเฟื่องวลี พร้อมกับชูคอมอง เฟื่องวลีร้องกรี๊ดๆๆๆ
“ว้ายๆๆ ๆงูๆๆๆๆๆ”
เฟื่องวลีวิ่งออกไปแทบไม่ทัน มองขึ้นไปด้านบนตรงจุดนั้น เห็นทีมงานแสงไฟซึ่งทำเชือกหล่นลงมาบ่นเซ็งๆ งงๆ
“ขวัญอ่อนจริงๆ แค่เชือกก็ตกใจ”
ที่บริเวณหน้าเวทีการแสดง มีการจัดที่นั่งเรียงเป็นแถวเป็นแนว หม่อมภาณีอยู่ตรงจุดนี้เอ่ยถามเจ้าประกายคำ
“งานเริ่มแล้ว เจ้าอุรคาอยู่ไหนคะเนี่ย”
“ก็บอกแล้วไงคะ ว่าจะเซอร์ไพร้ส์ทีเดียวตอนแสดง” เจ้าประกายยิ้มๆ
หม่อมภาณียิ้มตาม ดวงตาตื่นเต้น อยากเห็นการแสดงเอามากๆ “ฉันแทบอดใจรอไม่ไหวแล้วนะคะ”
จังหวะนั้น ตรงรูปปั้นที่ถูกยกไปตั้งประดับบนเวที ยามกระทบกับแสงไฟ รูปปั้นพญานาคเหมือนมี
ชีวิตขึ้นมาจริงๆ เฟื่องวลีวิ่งหน้าตาตื่นมาหาเฟื่องฟ้าที่นั่งใกล้ๆ บริเวณเดียวกัน
“คุณแม่ขา...หลังเวทีมีงูด้วยค่ะ”
เฟื่องฟ้าตกใจ “งู”
สองแม่ลูกมองหน้ากันอย่างขวัญเสียตื่นตกใจ อีกมุมบริเวณใกล้ๆ กันนั้น หม่อมภาณี นารีวรรณ พะนอฤดี และเจ้าประกายคำ ได้ยิน หันมามองสองแม่ลูกอย่างสนใจ
หม่อมภาณีมองเจ้าประกายคำ แล้วเอ่ยขึ้น “งู”
เจ้าประกายคำมองสองแม่ลูกอย่างไม่พอใจ “นี่โรงแรมห้าดาวนะจ๊ะ จะมีงูเงี้ยวได้ยังไง?”
นารีวรรณกับพะนอฤดีมองหน้ากัน พะนอฤดีหน้าซีดเผือด
“เป็นอะไร พี่ฤดีคิดว่ามีงูจริงๆ เหรอ”
“เปล่าแต่จู่ๆ ก็ขนลุกยังไงก็ไม่รู้ ความรู้สึกของฤดีเหมือน วันที่ เจอผ้าพันคอของเจ้าอุรคากลายเป็นงู!”
นารีวรรณมองหน้าเพื่อนรุ่นพี่ รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาเหมือนกัน
ระหว่างนั้น ไฟ แสง สี บนเวทีเปิดพรึ่บพรั่บ เหมือนพร้อมเริ่มการแสดงแล้ว เสียงของพิธีกรดังขึ้น
“นับจากวินาทีนี้เป็นต้นไป ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน จะถูกดึงเข้าสู่มิติที่ไม่เคยสัมผัสได้มาก่อน โลกที่เคยสงสัยว่ามีจริงหรือไม่...ท่านจะพบคำตอบด้วยตัวของท่านเอง กับนาคเทวี มณีสวาท”
ฉันพลัน ฉากและไฟบนเวทีก็แปรเปลี่ยนเป็นท้องน้ำ ทุกคนนั่งมองเหมือนถูกสะกด และจริงๆ
ก็ถูกสะกดจิตไปแล้ว
บนเวทีเป็นจินตลีลา ผู้แสดงหญิงชาย ในชุดมรกต เหลือบฟ้า เหลือบเขียวเหมือนสีของงู นำโดยชรายุออกมาร่ายรำ งดงาม อ่อนช้อยแต่ว่องไว ตัวอ่อนเหมือนไร้กระดูก ราวกับงูเลื้อย ภาพนั้นสะกดทุกสายตา ให้จดสายตาจ้องไม่กระพริบ
ภุชคินทร์จ้องมองอย่างสนใจ ส่วนสุบรรณจ้องมองด้วยอาการกระวนกระวายความรู้สึกร้อน
รุ่ม ด้วยว่าสัญชาติญาณเดิมของความเป็นครุฑถูกกระตุ้น ที่ไม่ชอบนาค งู นั่นเอง
รูปปั้นพญานาคบนเวทีดูเสมือนมีชีวิต เลื้อยร่าย ส่ายดวงตาแดง อย่างน่าสะพรึงมองลงมา
เสียงผู้คนชมอื้ออึง รูปปั้นส่ายเร็วขึ้นตามจังหวะการร่ายรำ นักแสดงชายหญิง ร่ายรำรายล้อมรูปปั้นพญานาค และตีวงห่างออกไปเข้าหลังเวที
ฉับพลันรูปปั้นที่ส่ายรวดเร็วก็เกิดละอองน้ำกระเซ็น ประหนึ่งมีน้ำพุเป็นพวยพุ่ง ซึ่งแท้จริงคือเกล็ดพญานาคนั่นเอง และพริบตานั้นเองรูปปั้นพญานาคผ่อนร่างเลื้อยลงสู่พื้นกลายร่างเป็นอิสสตรี เธอผู้นั้นหันหลัง เห็นทรวดทรงองค์เอวงดงาม อ่อนช้อย เหมือนไร้กระดูก และเมื่อเธอหันมา ทุกคนก็ตกตะลึง เมื่อเห็นเป็นเจ้าอุรคา
ภุชคินทร์ กับสุบรรณร้องอุทานขึ้นมาพร้อมกัน “เจ้าอุรคา!”
ผู้คนในงานเหมือนตกอยู่ในภวังค์ ร่างเจ้าอุรคาแสดงจินตลีลาร่ายรำด้วยท่าทางเหมือนงูเลื้อย ก่อนที่ร่างบอบบางนั้นจะเดินเหมือนเลื้อยลงมาจากเวที ตรงเข้ามาหาภุชคินทร์ ยื่นมือให้จับ
“ตามข้ามาเถิด ผู้เป็นที่รักแห่งข้า”
เหมือนไม่รู้สึกตัว ภุชคินทร์ยื่นมือออกไปให้เจ้าอุรคาจับ พริบตานั้นร่างของภุชคินทร์ถูกดึงกลับขึ้นไปบนเวที เคียงข้างเจ้าอุรคา
บนเวทีร่างสองร่างคลอเคลียกันด้วยความเสน่หา เหมือนคนรักที่คิดถึงอย่างที่สุด ผู้ชมที่อยู่ด้านล่างเหมือนจะรับรู้ถึงความรักนั้นได้
มีเพียงสุบรรณนั่งมอง แม้จะเหมือนอยู่ในภวังค์ แต่ลึกๆ สุบรรณรู้สึกถึงความโกรธ ริษยา หึงหวง ที่พุ่งขึ้นมาอย่างคุมไม่อยู่ สุบรรณลุกพรวดขึ้นและเดินขึ้นไปบนเวที ทำตัวเนียนๆ ไปกับการแสดง จินตลีลา ไม่ใช่พาล
ขณะที่บนเวทีร่างของภุชคินทร์และเจ้าอุรคา ผงะ มองสุบรรณอย่างตะลึงคาดไม่ถึง เจ้าอุรคายกมือขึ้นเหมือนจะขวาง คล้ายเล่นกลในท่าทางเสกมนตร์ ทันใดนั้น สุบรรณก็กางมือออกมาเหมือนมือครุฑที่พร้อมขย้ำเหยื่อ บรรยากาศ ตื่นเต้น เร้าใจ เมื่อมือของสุบรรณตะครุบเข้าที่ร่างของภุชคินทร์
และภุชคินทร์กระตุกวูบ สีหน้าแสดงออกมาว่าเจ็บปวดอย่างที่สุด ขณะที่เจ้าอุรคาในคราบของนาคเทวี และทุกคนที่ชมอยู่ต่างตกตะลึง
เพราะภาพการแสดงตรงหน้ามันช่างสมจริงเสียเหลือเกิน
ด้านสุรินทร์ซึ่งอยู่บริเวณหน้าห้องจัดงานมีท่าทางฉุนเฉียว
“นังงูผีอุรคา มันเข้าไป โดยเราไม่เห็นจนได้”
สุรินทร์โมโห จะกลับเข้าไปในงาน แต่เห็นอำนาจ เดินตรวจตรารอบๆ บริเวณอย่างระแวดระวัง ฉับพลันนั้นสุรินทร์ในร่างนินจาก็วิ่งแว้บๆๆๆๆ เข้ามาหา แต่ความที่รู้จักกันมานาน อำนาจรู้ในทันที
“ไอ้สุรินทร์”
อำนาจตั้งท่าจะยิงกราดใส่ แต่สุรินทร์ไวกว่า มันกระโดดถีบยันร่างของอำนาจจนล้มลง อำนาจลุกขึ้นสู้ สองคนต่อสู้กัน มีลูกน้องของอำนาจช่วย ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เสมือนการมาของนินจา ก่อนที่สุรินทร์จะใช้ความรวดเร็ววิ่งหายเข้าไปภายในงาน อำนาจและลูกน้องวิ่งตาม
ส่วนบนเวที มือของสุบรรณยังคงขย้ำที่ลำคอของภุชคินทร์อยู่อย่างนั้น ภุชคินทร์เจ็บปวด มอง
สุบรรณเขข็ง สุบรรณยกมือขึ้นขย้ำจะทำร้ายอีก เจ้าอุรคาในชุดนาคเทวีร้องลั่น
“อย่า”
พร้อมกับร่างงามถลันเข้ามาช่วยภุชคินทร์อย่างโกรธแค้น สุบรรณเหวี่ยงร่างของเจ้าอุรคาออก เหมือนไม่ตั้งใจ นาคเทวีล้มลงร้องครวญคร่ำ
“ไยต้องมาพรากความรักของเรา”
สุบรรณพูดออกไปโดยไม่รู้ตัว พูดด้วยสัญชาติแห่งพญาครุฑ “เพราะข้ารักเจ้า”
อุรคาเทวีมองตาวาววับ โกรธขึ้งสุบรรณมาก “แต่ข้าไม่ได้รักเจ้า...ข้ารักท่านภุชเคนทร์”
ภุชคินทร์มองมาที่เจ้าอุรคา คำพูดนั้นช่างจริงจังและชัดเจน ระหว่างนั้นร่างของเจ้าอุรคาคลานเข้าไปหาภุชคินทร์ ที่นอนบาดเจ็บอยู่ สายตาห่วงหาอาทร เจ็บปวดแทน และแทบจะขาดใจไปด้วยกัน
สุบรรณมองภาพตรงหน้าด้วยความเจ็บปวด แรงริษยาพวยพุ่ง สุบรรณตะคอก
“พวกเจ้าไม่มีสิทธิรักกัน นาคเทวีต้องเป็นของข้าเท่านั้น”
พูดจบสุบรรณก็กระโจนเข้าไปหาทั้งสอง ทุกคนที่ด้านล่างเห็นร่างสุบรรณกลายเป็นพญาครุฑ กระพือปีก สยายกรงเล็บแหลมคมพุ่งเข้าจิกร่างของเจ้าอุรคาและภุชคินทร์ ให้แยกออกจากกัน
“ข้าจะตามทำลายความรักของพวกเจ้าทุกชาติไป”
พญาครุฑสุบรรณจิกเล็บลงตรงร่างภุชคินทร์สุดแรง ภุชคินทร์ร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด
ภุชคินทร์และสุบรรณ ต่างมองอดีตชาติของเห็นกันและกัน พญานาคภุชเคนทร์ และพญาครุฑสุบรรณ แต่เหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้ พญาครุฑจิกเล็บลงลึกอีก ภุชคินทร์กระอักเลือดออกมาเห็นเลือดเป็นสีเขียวเข้มจัด เลือดนั้นกลายเป็นอัญมณีที่เรียกว่ามรกต หรือนาคสวาท
มรกตเม็ดนั้นหล่นลงมาที่พื้น สีหน้าผู้คนตื่นตะลึง โดยเฉพาะหม่อมภาณี
ภุชคินทร์โกรธฮึดสู้ ถูกพญาครุฑเอากรงเล็บ จิกคอเหวี่ยง ร่างของภุชคินทร์สะบัดเร่าๆ ลงกับพื้น กระอักเลือดออกมาเป็นสีเขียวอ่อน และกลายเป็นอัญมณีมรกต ภุชคินทร์ไม่ยอมแพ้ แต่คราวนี้ถูกพญาครุฑทำร้าย จนกระอักเลือดออกมาเป็นอัญมณีสีเขียวจางๆ ปนเลือดนั่นคือ ครุฑธิการ
ทุกสายตาจดจ้องที่อัญมณีทั้งสาม เห็นร่างของภุชคินทร์และเจ้าอุรคาหมอบแทบเท้าของสุบรรณ ในร่างคนเท่ๆ ไม่ใช่ครุฑแล้ว
พลัน ดาวห้าแฉก สัญลักษณ์ของนินจาถูกเขวี้ยงเข้ามาอย่างเร็ว ผู้คนปกติไม่มีใครมองเห็น โดยที่
สุรินทร์ไม่ได้คาดคิด สุบรรณกางมือออกไปรับกลางอากาศ คว้าหมับเอาไว้ ขณะเดียวกันกับที่สุรินทร์ในร่างของนินจากระโจนขึ้นบนเวที เงื้อมีดขึ้นมาหมายจะแทงสุบรรณ อำนาจวิ่งตามเข้ามา
“ท่านสุบรรณ ระวัง”
ไม่รอให้อำนาจเตือน สุบรรณที่สภาวะจิตยังเป็นพญาครุฑ มองสุรินทร์เหมือนเห็นตั้งแต่ต้นแล้ว หันหลังขวับ คว้ามือของสุรินทร์ที่เป็นนินจาบิดอย่างแรง นินจาว่าเคลื่อนไหวรวดเร็วแล้ว แต่ในสถานการณ์นี้ ครุฑเร็วกว่า
สีหน้าสุรินทร์ตกใจมาก ว่าตัวเองเป็นนินจา เคลื่อนไหวรวดเร็ว ว่องไว คนอื่นไม่เห็น แต่ทำไมสุบรรณเห็น
สุบรรณบิดข้อมือของสุรินทร์อย่างแรง และใช้เท้าถีบออกไปเต็มเหนี่ยว ราวกับฉากแอ็คชั่นในหนังบู๊ ภาพสวย เท่สุดๆ
ร่างของนินจาสุรินทร์กลิ้งหลุนๆ ไปตามแรงถีบ กลายร่างเป็นสุรินทร์นอนคว่ำอยู่กับพื้น ผู้คนฮือฮา สุบรรณย่างเท้าเข้าหาสุรินทร์อย่างโกรธแค้นกะเอาให้ถึงตาย
สุรินทร์มองสุบรรณอย่างคาดไม่ถึง กระเสือกกระสนเร้นกายหนีหายไปหลังเวทีอย่างรวดเร็ว อำนาจมองตะลึง
มณีสวาท ตอนที่ 8 (ต่อ)
จังหวะนั้นเสียงฆ้อง ดัง ตรึม..ตรึม ตรึม ขึ้นติดต่อกัน เหมือนทุกคนในงานถูกดึงให้หลุดพ้นจากห้วงภวังค์ ต่างก็มองจ้องภาพที่ภุชคินทร์นอนอยู่บนเวที และสุบรรณซึ่งยังยืนอยู่อีกมุมหนึ่ง
ส่วนเจ้าอุรคาหายไปแล้ว เหลือเพียงรูปปั้นพญานาคที่ตั้งตระหง่านเหมือนเมื่อแรกแทน!
ม่านบนเวทีปิดลงไป ทุกคนอื้ออึงกับการแสดง ไพศิษฐ์เดินลิ่วไปที่เวที จดสายตามองราวกับจะจดจำรายละเอียดทุกอย่างใส่สมอง พึมพำอย่างไม่เชื่อสายตา
“เหมือนจริง ทุกอย่างเหมือนจริงมาก”
นาถสุดาเองก็ทั้งทึ่ง ทั้งงง “รวมทั้งนินจาที่มาตอนท้าย ก็เป็นการแสดงด้วยหรือคะคุณศิษฐ์”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน...รู้แต่ว่า...” ผู้กองหนุ่มชูดาวห้าแฉกขึ้นมา “ผมเจอสัญลักษณ์ของกลุ่มนินจัตสุ ตกอยู่ที่นี่”
นาถสุดามองดาวในมือของแฟนหนุ่ม เห็นสีหน้าของไพศิษฐ์สงสัยคาใจเป็นอย่างมาก
ครู่ต่อมาทุกคนทยอยเดินออกมา ท่าทางยังตื่นเต้นไม่หาย แต่ละคนปลาบปลื้มไปกับการแสดง บนเวที เมื่อครู่ ภิงคารถามขึ้นเป็นคนแรก
“นี่เจ้าอุรคาไปจ้างออร์แกไนซ์และทีมแสดงมาจากไหนกัน ทำไมถึงเก่งกันขนาดนี้”
“แต่ละคนเนื้อตัวอ่อนเหมือนไม่มีกระดูก เหมือนกับงูจริงๆ เลยนะคะ” เจ้าประกายคำว่า
“และที่ผมทึ่งมาก มันเหมือนกับเราถูกดึงไปอยู่ในเรื่องราวนั้นด้วยจริงๆ” ภิงคารบอกอีก
“จริงด้วยภิงคาร...ตอนที่พี่นั่งดูนะ พี่เคลิ้มลอยๆ เหมือนถูกสะกดจิตยังไงยังงั้น อยากจะปรบมือ อยากจะแสดงความรู้สึกก็ทำไม่ได้ เหมือนถูกตรึงเอาไว้เลย” หม่อมภาณีบอก
“นี่ล่ะค่ะ เค้าถึงว่าเหมือนต้องมนต์สะกด เจ้าอุรคาเก่งจริงๆ” เจ้าประกายคำปลื้มเอามากๆ
“และที่ดิฉันสงสัย....นายชายขึ้นไปเล่นบนเวทีกับเจ้าได้ยังไง”
ภิงคารก็สงสัยเช่นเดียวกับพี่สาว “แล้วยังท่านสุบรรณอีก?”
“นี่ก็คงเป็นเซอร์ไพร้ส์หนึ่งของเจ้าอุรคา โอ้โห! เจ้านี่สุดยอดจริงๆ เก็บทุกอย่างเป็นความลับ จนเราไม่รู้อะไรเลย” เจ้าประกายคำยิ้มปลื้มไม่หุบ
ภิงคารกวาดสายตามองหา “แล้วนี่เจ้าอุรคาอยู่ที่ไหนกัน? ผมอยากจะชื่นชมการแสดงของเจ้า
แล้วท่านสุบรรณ นายชายอีก”
ทุกคนกวาดสายตามองหา เจ้าอุรคา สุบรรณ และภุชคินทร์
จังหวะนั้นชรายุเดินออกมา เห็นประกายความน่ากลัวของชรายุแผ่ซ่าน ทุกคนมองอย่างหวั่นเกรง เจ้าประกายคำแนะนำ
“ชรายุ” หันมาทางหม่อมภาณี “คนสนิทของเจ้าอุรคาค่ะ...หม่อมจำได้มั้ยคะ”
“จำได้ค่ะจำได้...เห็นแสดงอยู่บนเวทีด้วย”
หม่อมภาณียิ้มให้ชรายุ ก่อนชม
“คุณแสดงเก่งจังเลยนะค่ะ ชื่อชรายุก็เพราะมากด้วย”
“ชรายุ แปลว่า...คราบงู...เพราะหรือคะ? ดิฉันว่าน่ากลัวออก”
ทุกคนนิ่งๆ อึ้งๆ ไป เมื่อได้ฟังคำแปลจากปากชรายุ หม่อมภาณียิ้ม ถามต่อ
“เจ้าล่ะคะ”
“กลับไปแล้วค่ะ”
“กลับไปแล้ว” ทุกคนประสานเสียง มองหน้ากันงงๆ
“เจ้าฝากขอบคุณ ที่ทุกคนให้ความสนใจในการแสดงของเจ้าเป็นอย่างมาก หวังว่าทุกคน
จะจดจำและซาบซึ้งกับตำนานนาคเทวี มณีสวาท”
ชรายุพูดแค่นั้นก็เดินกลับเข้าไป เร็ว แต่ดูเนิบช้า คล้ายตัวลอยๆไป ชนิดที่ไม่มีใครเรียกได้ทัน
“คุณชรายุคะ”
ร่างชรายุหายลับหายเข้าข้างในไปแล้ว ทุกคนมองหน้ากัน
“ไปหานายชายกับท่านสุบรรณดีกว่า”
ภิงคารตัดบท สามคนเดินกลับไปข้างใน แต่ยังไม่วายมองเหลียวไปมองตามชรายุ ที่หายไปอย่างรวดเร็ว สามคนมองหน้ากันอีกสีหน้าเต็มไปด้วยคำถาม เหมือนคืนนี้ จะเจอแต่เรื่องเหลือเชื่อเกินจริง
ส่วนสุบรรณกับภุชคินทร์เดินลิ่วมายังข้างหลังเวทีอย่างสงสัย สองหนุ่มมาจากคนละมุม คนละด้าน ต่างกวาดสายตามองหาเจ้าอุรคา และถามทีมงานคนหนึ่งที่เดินมาพร้อมๆ กัน
“เจ้าอุรคาล่ะ”
สองหนุ่มหันไปมองหน้ากัน เหมือนคนเพิ่งเห็นกันและกัน แล้วชักสีหน้า ทีมงานตอบ
“ไม่รู้เหมือนกันครับ ผมไม่เห็น”
สุบรรณฟังแล้วหงุดหงิด “จะไม่เห็นได้ยังไง? เจ้าแสดงเสร็จ เจ้าก็ต้องกลับเข้ามาในนี้สิ”
“ผมไม่เห็นเจ้าจริงๆ ครับท่าน”
ทีมงานเดินเลี่ยงไปทำงานส่วนอื่น สุบรรณพึมพำ
“เจ้าจะหายไปได้ยังไง”
ภุชคินทร์พูดแทรกขึ้น “ผมว่า...เรื่องที่เจ้าหาย ยังไม่น่าแปลกใจเท่า...เราสองคนขึ้นไปแสดงบนเวทีได้ยังไง”
สองหนุ่มมองหน้ากัน เริ่มรู้สึกแปลกๆ ถึงอะไรบางอย่าง สุบรรณมองมาอย่างสงสัย
“และสิ่งที่ผมสงสัยมากกว่านั้น เราสองคนเป็นใครกันแน่ เพราะผมไม่เห็นท่านเป็นท่าน” ภุชคินทร์ว่า
“ผมก็ไม่เห็นคุณชาย เป็นคุณชาย”
สองหนุ่มมองหน้ากันอย่างพินิจพิเคราะห์อีกครั้ง และต่างคนต่างงุนงง สงสัย
ระหว่างนั้น ภิงคาร หม่อมภาณี และเจ้าประกายคำเดินเข้ามา หม่อมภาณีเอ่ยขึ้น
“อยู่ที่นี่กันเอง...” หม่อมหันมาพูดกับลูกชาย “แม่ตามหาชายตั้งนาน”
ภิงคารมองท่าทางของสองคนที่ดูตึงๆ คุมเชิงกันอยู่จึงถามสุบรรณ “มีอะไรกันหรือเปล่าครับ”
“ผมกับคุณชาย กำลังสงสัยว่าเราสองคนขึ้นไปบนเวทีได้ยังไง” สุบรรณว่า
“อ้าว ฉันนึกว่าเจ้าอุรคาเตี๊ยมกับท่านสุบรรณกับคุณชายขึ้นแสดงซะอีก” เจ้าประกายคำฉงน
“แม่ก็นึกว่าชายอยากเซอร์ไพร้ส์แม่” หม่อมภาณีว่า
“ผมไม่รู้ตัวเลยครับว่าไปทำอะไรมา” ภุชคินทร์บอก
“งั้น....ต้องเป็นเจ้าอุรคาเล่นกลแน่ๆ เลยค่ะ” เจ้าประกายคำบอกยิ้มๆ
“เล่นกล”
ทุกคนทวนถามแบบไม่แน่ใจ เหมือนจริงขนาดนี้ จะเป็นเล่นกลจริงหรือ?
ส่วนที่ด้านนอก อำนาจตามหาร่องรอยการหายตัวไปของสุรินทร์ เห็นหญ้าถูกเหยียบเป็นทางยาว ลักษณะเท้าเหมือนคนกดน้ำหนักอย่างแรง ขณะวิ่งหนี สุบรรณเดินออกมา ถามเสียงเข้ม
“เจอร่องรอยไอ้สุรินทร์บ้างมั้ย”
“เจอครับท่าน มันบาดเจ็บกลับไป”
สุบรรณพึมพำ “งั้นสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ใช่การเล่นกลแน่ๆ”
“ท่านหมายถึง ท่านไปแสดงกับเจ้าอุรคาได้ยังไงใช่มั้ยครับ”
สุบรรณพยักหน้ารับ อำนาจค่อยๆ บอกท่าทีเกรงใจ
“ไอ้สุรินทร์มันเคยบอก ว่าเจ้าอุรคาไม่ใช่คนธรรมดา...เธอเป็น...”
อำนาจพูดไม่ทันจบสุบรรณตวาดขึ้นก่อน “หยุด ไม่ต้องพูด กลับ!”
อำนาจยืนนิ่ง ท่าทางลำบากใจ สุบรรณตะคอกดุซ้ำ
“ฉันบอกให้กลับ”
“ครับนาย”
สุบรรณหน้าเครียดเดินลิ่วออกไป อำนาจกวาดสายตามองหาสุรินทร์ก่อนเดินตามไปพร้อม บอดี้การ์ดอย่างรวดเร็ว ที่แท้สุรินทร์นั่งขดตัวซุกอยู่ใต้พุ่มไม้แถวนั้น ท่าทางเจ็บปวด คำรามออกมา
“ไม่...คนที่ทำร้ายเราตอนนั้น ไม่ใช่ไอ้สุบรรณ”
สายตาของสุรินทร์ที่มองไปยังสุบรรณมีแต่ความเคลือบแคลงสงสัย
ภุชคินทร์นอนไม่หลับ ท่าทางครุ่นคิดหนัก
เช่นเดียวกับสุบรรณที่อยู่ในคฤหาสน์ ก็ยังนอนไม่หลับ ครุ่นคิดหนักเหมือนกัน ภาพการแสดงบนเวที ที่ดูเหมือนจริงมากผุดขึ้นในความคิด
สุบรรณเดินไปหยุดมองตัวเองที่กระจก กระจกเงาสะท้อนร่างสูงใหญ่งามสง่า สุบรรณจ้องมองนึกถึงเหตุการณ์ ตอนสุบรรณเห็นตัวเองเป็นพญาครุฑสะท้อนออกมาจากกระจก
สุบรรณมองตามเนื้อตามตัวตัวเอง สลับกับมองภาพในกระจก ยังเห็นว่าร่างเป็นคน
“เราก็ยังเป็นคน แต่ทำไมตอนนั้น เรารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นครุฑจริงๆ”
สุบรรณมองตัวเองอย่างสงสัยคาใจมากๆ
ขณะเดียวกันภุชคินทร์ เดินไปหยิบครุฑธิการขึ้นมามอง ภาพฉากการแสดงบนเวทีในงาน ภุชคินทร์กระอักเลือดออกมาเป็นครุฑธิการผุดขึ้นในหัว
“นี่เจ้าสะกดจิตเรา หรือเจ้าเล่นกลอะไร...” ภุชคินทร์ครุ่นคิดหนัก “เจ้าต้องการให้เรารู้อะไร? ภุชคินทร์...ภุชเคนทร์ อุรคา..นาคเทวี
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ภุชคินทร์มั่นใจ ว่าทุกอย่างเกิดจากเจ้าอุรคา หลังจากที่ผ่านๆ มา เขาไม่แน่ใจ
ที่เฮือนภูจำปา เจ้าอุรคาเยื้อนยิ้มเยือกเย็น เห็นภาพเหตุการณ์ทุกอย่าง
“ใกล้แล้ว...ภุชคินทร์ ท่านกำลังจะจดจำเราได้แล้ว ภุชเคนทร์”
สีหน้าของเจ้าอุรคาเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข ความหวัง
รุ่งเช้าวันต่อมา สองแม่ลูกนั่งรับประทานอาหารเช้าอยู่ที่บ้านภิงคาร หน้าตาหงิกงอ
“เมื่อคืนฟีบี้ถูกยัยเจ้าอุรคาขโมยซีนอีกแล้วคุณแม่”
“ก็ทุ่มทุนบริจาคเป็นสิบๆ ล้าน มันก็ต้องเด่นอยู่คนเดียวอยู่แล้วลูก เฮ้อ! แล้วแสดงบ้าอะไร
ไม่รู้..ไม่เห็นจะเกี่ยวกับการช่วยเหลือผู้ประสบภัยซักนิด แล้วพรรคพวกของมันยังมาช่วยกันแถอีก ยังไงก็เกี่ยวกับน้ำเหมือนกัน.. อี๋!!ได้ร้อยล้านเข้าไป เข้าใจกันดีจริง..จริ๊ง” เฟื่องฟ้าอารมณ์เสีย
“จริงด้วยค่ะ อีกอย่างเรื่องเซอร์ไพร้ส์ ฟีบี้ก็นึกว่าจะเซอร์ไพร้ส์อะไร เซอร์ไพร้ส์ให้ท่าผู้ชายชัดๆ ไม่ใช่แค่คนเดียวด้วยนะค่ะเล่นควบสองเลย อยากรู้นักถ้าท่านสุบรรณกับพี่ชายรู้ว่าเจ้าอุรคาไม่ใช่คนธรรมดา มีบริวารเป็นผี ยังจะหลงอยู่อีกมั้ย”
“ว่าไม่ได้หรอกลูก...คุณชายกับท่านสุบรรณยังโดนเสน่ห์ยัยเจ้านั่นอยู่” เฟื่องฟ้าหนักอก
“งั้น...ตอนที่พี่ชายไปทำงาน.....เราต้องทำอะไรสักอย่างแล้วล่ะคุณแม่”
เฟื่องวลีบอกอย่างหมายมาดและมุ่งมั่น
ช่วงเวลาตอนกลางวันในวันนั้น ทุกคนถูกสองแม่ลูกนัดให้มาเจอที่ห้องโถงของวังนาเคนทร์ อ้างว่ามีเรื่องสำคัญจะบอก นาถสุดาที่มาพร้อมกับไพศิษฐ์ถามอย่างแปลกใจ
“นัดนาถมาเจอที่นี่..มีอะไรหรือคะ”
เฟื่องวลีพูดอย่างคนรู้ลึกรู้ดี “ใจเย็นๆ ก่อนนะคะคุณนาถ เดี๋ยวได้รู้พร้อมกันค่ะ”
นารีวรรณเดินออกมาพร้อมกับพะนอฤดี สองแม่ลูกชักสีหน้า เฟื่องวลี ปรายตามองพะนอฤดีพูดเหน็บอย่างขวางตา
“เกี่ยวอะไรด้วยไม่ทราบ ไม่ได้เชิญยังจะมาอีก”
“ฤดีมาที่นี่เป็นประจำอยู่แล้วค่ะ เสมือนคนในครอบครัว” นารีวรรณบอก
พะนอฤดียิ้มเย้ย เฟื่องวลีค้อนขวับ เฟื่องฟ้าถามถึงหม่อมภาณี
“แล้วหม่อมล่ะคะ”
“คุณแม่ไม่อยู่ค่ะ คุณเฟื่องฟ้ามีอะไร ฝากหนูนาไว้ก็ได้ค่ะ”
สองแม่ลูกมองหน้ากันเป็นเชิงหารือ
“เอาไงคะคุณแม่...” เฟื่องวลีปรายตามองคนอื่นๆ ยั่วให้อยากรู้ พูดกำกวมเป็นนัย “แต่ถ้าเราไม่พูดไม่บอก พี่ชายกับท่านสุบรรณอาจจะมีอันตรายถึงชีวิตนะคะ”
นารีวรรณกับนาถสุดาแทบจะถามพร้อมกัน “มีอะไรเหรอคะ”
เฟื่องฟ้าทำท่าอึดอัดเหมือนไม่อยากพูด แต่จำเป็นต้องพูด “ก็...เจ้าอุรคาน่ะสิคะ...ทำเสน่ห์ใส่คุณชาย ท่านสุบรรณ จนไม่เป็นตัวของตัวเองกันแล้วค่ะ”
ไพศิษฐ์ท้วง “โทษนะครับ ทำไมคุณน้าถึงคิดว่ายังงั้นครับ”
“เอ๊า! ก็พวกเราก็รู้นี่คะ...ว่าเจ้าอุรคาเป็นคนประหลาด แถมยังมีบริวารเป็นผีอีกด้วย” เฟื่องฟ้าจีบปากจีบคอ
นารีวรรณกับนาถสุดาอุทานพร้อมๆ กันอีก “บริวารเป็นผี”
“ก็ฟีบี้กับคุณแม่...เคยเห็นคนของเจ้าอุรคา ที่ชื่อชรายุอะไรนั่น เลื้อยเป็นงูไปโผล่ที่บ้านค่ะ” เฟื่องวลีว่าสำทับ
“แล้วคุณฟีบี้รู้ได้ยังไงว่าเป็นชรายุ”
“ก็หน้างูผีตัวนั้น เป็นหน้าของชรายุไงล่ะค่ะ” เฟื่องวลีบอกอย่างมั่นใจ
ทุกคนมองหน้ากัน ไพศิษฐ์นิ่งไม่ได้ขวางเหมือนเคย แต่เหมือนได้รู้ข้อมูลเพิ่มเติมเข้ามา
ยามเย็นภายในเฮือนภูจำปา เจ้าอุรคาอมยิ้มบางๆ รับรู้เรื่องที่ทุกคนคุยกัน ปรารภกับนางกำนัลคนสนิทขึ้นอย่างเหนื่อยใจ
“เราล่ะแปลกใจกับมนุษย์เสียจริง ทำท่าเหมือนกับว่ากลัวเรา แต่ยิ่งกลับเข้ามาใกล้ อยากรู้อยากเห็นเสียทุกอย่าง”
“ก็นี่ล่ะคะเจ้า เขาถึงเรียกว่ามนุษย์ อยากรู้ อยากเห็นไปเสียทุกสิ่ง ยกเว้น เรื่องของตัวเอง” ชรายุว่า
เจ้าอุรคาบอกเสียงเศร้า “ไม่เว้นแม้แต่ท่านภุชเคนทร์ เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว ท่านภุชเคนทร์คงอยากรู้
อดีตชาติของตัวเองบ้าง เขาจะได้จดจำ ถึงสิ่งที่เขาเคยตั้งสัตย์สาบานเอาไว้ได้ ว่ามันทำให้เราต้องเจ็บปวด ทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสมานานเพียงใด”
สีหน้าของเจ้าอุรคามีแต่ความหดหู่เศร้าสร้อย
ภุชคินทร์ขับรถมาตามทาง ก่อนที่จะจอดนิ่งที่ริมทาง และก้าวลงมาหยุดยืนอยู่ตรงริมบึงกว้าง เห็นบรรยากาศสวยงามยามเย็น ตอนพระอาทิตย์ใกล้จะตกดิน
ภุชคินทร์เดินระเรื่อยตามเส้นขอบฟ้า ก่อนที่จะหยุดทอดสายตามอง ท้องน้ำนิ่งที่อยู่เบื้องหน้า เหมือนไร้จุดหมายปลายทาง เพราะมัวแต่ครุ่นคิด เสียงของไพศิษฐ์ดังก้อง
“ก็อย่างที่ฉันเล่าให้นายฟังน่ะชาย...” ไพศิษฐ์เน้นคำ “ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ฉันมั่นใจว่า...เจ้าอุรคาต้องการให้เรารู้อะไรบางอย่าง จากตำนานนาคเทวี มณีสวาท”
สีหน้าภุชคินทร์เคร่งเครียด ชายหนุ่มก้มมองลงไปในน้ำ เห็นเงาตัวเองสะท้อนในน้ำ สายลมพัดโชยเอื่อย พาน้ำในบึงกระเพื่อมเป็นระลอกอ่อนๆ
น่าประหลาดนัก ที่ภุชคินทร์เห็นเงาของตัวเองที่ถูกลมพัดอยู่นั้น แลคล้ายพญานาคราชกำลังเคลื่อนไหวยังไงยังงั้น
ตกตอนกลางคืน ภุชคินทร์เดินเข้าวังนาเคนทร์สีหน้าเครียดขรึม นารีวรรณเห็นรีบวิ่งออกมารายงาน สีหน้าไม่สู้ดี
“เมื่อกลางวันคุณฟีบี้มาที่นี่ แล้วบอกว่า…”
ภุชคินทร์โบกมือห้าม “นายศิษฐ์โทร.มาเล่าให้พี่ฟังแล้ว” เดินเข้าบ้านหน้าเครียด
นารีวรรณบอกต่ออีก “แล้วพี่ศิษฐ์บอกเรื่องหนูนาหรือเปล่าคะ”
ภุชคินทร์หยุด หันมาถามอย่างสนใจ “เรื่องอะไร”
“ตำนานนาคเทวีที่หนูนาเคยอ่านเจอ เหมือนกับเรื่องที่เจ้าอุรคาแสดงบนเวทีเลยค่ะ”
ภุชคินทร์มองน้องสาว เป็นเชิงว่า...อีกแล้วเหรอ? นารีวรรณบอกต่อ
“จริงๆ ค่ะพี่ชายมันเหมือนมากๆ เหมือนจนหนูนาคิดว่า เจ้าอุรคากำลังแสดงชีวิตของเจ้าเอง”
สีหน้าภุชคินทร์ขรึมนิ่ง ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นไม่เข้าใจ
พอเข้ามาในห้องนอน ภุชคินทร์เครียดจัดขว้างปาข้าวของ ระบายอารมณ์อย่างรุนแรง ส่วนที่ด้านนอกห้อง หม่อมภาณีกับนารีวรรณได้ยินเสียงโครมครามดังลอดออกมา
หม่อมภาณีฉงน “เสียงอะไร”
นารีวรรณหน้าแหย “มาจากห้องพี่ชายค่ะ”
สองแม่ลูกหน้าตาตื่นรีบวิ่งไปทันที
ภุชคินทร์ยังขว้างปาข้าวของอยู่ พร้อมกับโวยวาย
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเรา” ตะโกนก้อง “อะไร?”
ภุชคินทร์เดินตรงไปที่ลิ้นชัก ที่เก็บกล่องใส่ครุฑธิการ เปิดกล่องออกมาจ้องมองดู ก่อนทำท่าจะ
เขวี้ยงออกไปทางหน้าต่าง หม่อมภาณีกับนาเปิดประตูวิ่งเข้ามา หม่อมร้องห้ามดังลั่น
“อย่านะ ชาย!”
หม่อมภาณีตรงเข้ามาแย่งครุฑธิการจากมือภุชคินทร์ สองคนยื้อยุดฉุดกระชากครุฑธิการกันอยู่
“ปล่อยครับคุณแม่ ปล่อยผม!” ภุชคินทร์จะแย่งเพื่อเขวี้ยงออกนอกหน้าต่าง
หม่อมภาณียื้อไว้ พลางถาม “จะทิ้งมันทำไมลูก”
ภุชคินทร์เครียด “ตั้งแต่มีมันเข้ามา ชีวิตผมก็เจอแต่เรื่องบ้าๆ เรื่องที่ผมหาคำตอบไม่ได้ มัน
เกิดอะไรขึ้นกับผม ผมเป็นใคร? ผมเป็นอะไร? จนผมจะบ้าตายอยู่แล้ว” ว่าแล้วก็ยื้อแย่งต่อ “ผมจะทำลายมันๆ”
หม่อมภาณีตะโกนห้าม “อย่าชาย!”
สองแม่ลูกมองหน้ากัน หม่อมภาณีมองลูกชายด้วยความสงสาร ถามด้วยใจระรัว
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพลอยครุฑธิการนี่ด้วย”
“จริงด้วยค่ะพี่ชาย” นารีวรรณเรียกดึงสติพี่ชายกลับมา “มันเกี่ยวอะไรกับครุฑธิการด้วยคะ”
“หนูนาก็รู้ไม่ใช่เหรอ? ตั้งแต่มีมันเข้ามา มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับพี่บ้าง เพราะมัน” ภุชคินทร์แค้นจัด
“ไม่ใช่เพราะพลอยนี่หรอกค่ะ”
ภุชคินทร์กับหม่อมภาณีหันมามองนารีวรรณเป็นตาเดียว เด็กสาวบอกด้วยดวงตาใส่ซื่อบริสุทธิ์ จริงจัง
“แต่เป็นเพราะเจ้าอุรคา”
“เจ้าอุรคา” หม่อมภาณีอึ้ง
“เพราะเจ้าอุรคาเป็นคนที่นำครุฑธิการมาให้พี่ชาย”
ภุชคินทร์ได้แต่นิ่ง สีหน้าเครียดเคร่ง นั่นเป็นสิ่งที่เขาคิดอยู่ในใจตลอดมา
ภุชคินทร์ขับรถมาตามทางอย่างเร็วและแรง แต่แล้วก็ต้องเบรกกะทันหัน เมื่อมีรถคันที่อยู่ด้านหน้า
เบรคจอดอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ภุชคินทร์เดินลงไปท่าทางโมโหจัด แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นเจ้าอุรคาก้าวลงมาจากรถ
“เจ้าอุรคา”
เจ้าอุรคาเยื้อนยิ้ม “ค่ะ ดิฉันเอง จิตใจของคุณชาย คิดถึงแต่ดิฉัน จนเกือบขับรถชนคันหน้าเลยนะคะ”
ภุชคินทร์ฉุน “เจ้าจงใจแกล้งผม”
“ดิฉันไม่เคยคิดแกล้งคุณชาย คอยแต่จะคิดว่าสิ่งใดที่คุณชายปรารถนา ดิฉันก็พร้อมจะทำให้คุณชายทันที”
ภุชคินทร์มองอย่างอึ้ง และทึ่ง เจ้าอุรคายิ้มๆ ขณะบอก
“ก็ที่คุณชายขับรถเร็วอย่างนี้ เพราะคุณชายต้องการเจอดิฉัน ดิฉันก็มาให้เจอแล้วนี่คะ”
ภุชคินทร์อึ้งอีก เจ้าอุรคารู้ใจเขาทุกอย่าง เจ้าหญิงผู้ลึกลับหัวเราะน้อยๆ พลางย้อนถาม
“หรือว่าไม่จริงคะ?”
“เจ้ามีตาทิพย์ หูทิพย์” น้ำเสียงภุชคินทร์เหมือนประชด
เจ้าอุรคาหัวเราะเบาๆ “ไม่เพียงเท่านี้นะคะ ดิฉันยังมีกายทิพย์อีกด้วย”
ภุชคินทร์หรี่ตามองย้อนถาม “เจ้ากำลังจะบอกว่า ผมกำลังคุยกับกายทิพย์ของเจ้า”
เจ้าอุรคาทำหน้าเศร้า “ไม่ใช่”
ภุชคินทร์ถามอีก “งั้นก็กายหยาบ”
สีหน้าเจ้าอุรคายิ่งเศร้าลงถนัดตา “กายหยาบของดิฉันไม่เป็นอย่างนี้ ดิฉันขอเรียกว่ากายนิรมิตแล้วกัน”
ภุชคินทร์ฉุนอีก “เจ้ากำลังทำให้ผมงง!”
“งั้นถือว่าดิฉันกำลังเล่นกลให้คุณชายดู”
มณีสวาท ตอนที่ 8 (ต่อ)
คำพูดเล่นลิ้น กำกวมของเจ้าอุรคา ยิ่งทำให้ภุชคินทร์หงุดหงิดมากขึ้น
“เหมือนงานคืนนั้นน่ะเหรอ” หัวเราะเยาะ พูดแดกดัน “เล่นกล?” มองตาขวางอย่างโกรธขึ้ง “เจ้าคิดว่า...ผมโง่จนไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเองน่ะหรือ?” ราชนิกุลหนุ่มเสียงดัง เริ่มคุมตัวเองไม่อยู่ กระชากร่างเจ้าอุรคาเข้ามาหา “รู้ไว้ด้วย บนเวทีวันนั้นผมรู้ว่าผมทำอะไร แต่ผมควบคุมตัวเองไม่ได้ ผมขัดขืน สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้”
“งั้นตอนนี้คุณชายก็ควบคุมตัวเองก่อนสิคะ” เจ้าอุรคาประชด
ภุชคินทร์ผละตัวเองออกจากเจ้าอุรคา หันหลังให้ “จะให้ผมควบคุมตัวเอง แต่ที่ผ่านมาเจ้าอยากทำอะไรเจ้าก็ทำ ทำโดยไม่คิดถึงหัวใจว่าผมรู้สึกยังไง ผมแทบเป็นบ้า กับสิ่งที่ผมหาคำตอบไม่ได้ ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วทำไมมันต้องเกิด” เสียงภุชคินทร์ดังมากขึ้น จนเป็นตะเบ็งเหมือนคนสติแตก “ทำไมต้องเกิดขึ้นกับผม.....ทำไม?”
เจ้าอุรคาเสียงดังใส่ “เพราะท่านไม่เคยรับฟังเราไง?”
ภุชคินทร์หันขวับมามองหน้าเจ้าอุรคา เห็นเจ้าอุรคาน้ำตาไหล
“ท่านภุชเคนทร์ เราพยายามบอกท่านมาตลอด แต่ท่านก็ไม่เคยเปิดใจฟังเราซักที เพราะ
ท่านมัวแต่จดจำ แต่สิ่งที่ท่านสาบานเอาไว้” อุรคาเทวีร้องไห้หนักกว่าเดิม “คำสาบานที่ทำร้ายเราจนถึงบัดนี้ รู้เอาไว้ท่านภุชเคนทร์”
“ผมไม่เคยสาบานอะไร” ภุชคินทร์ถามเสียงดัง
เจ้าอุรคาร้องไห้เสียใจมาก น้ำเสียงแผ่วลง “ท่านสาบาน...”
ภุชคินทร์ตะเบ็งถามเสียงดัง “สาบานอะไร?”
“ท่านสาบานว่า...”
เจ้าอุรคาพูดไม่ทันจบ ยมนาก็ปรากฏกายขึ้นตรงที่นั่งข้างคนขับรถของเจ้าอุรคา เจ้าอุรคาชะงัก
ขณะที่ภุชคินทร์ก็ขนลุกซู่ที่จู่ๆ ยมนาโผล่กายมา
“มากับข้าอุรคา”
“ไม่” เจ้าอุรคาไม่ยอม
“เจ้าต้องมา”
เจ้าอุรคากรีดร้องดังลั่น “ไม่.....”
ฉับพลันนั้นเอง ร่างของเจ้าอุรคาก็เหมือนถูกพลังบางอย่างดูดดึงไป ร่างเจ้าอุรคาลอยละลิ่วไปยังที่นั่งข้างยมนา ขณะที่ภุชคินทร์วิ่งตามพร้อมกับร้องตะโกนห้ามไว้
“อย่าไป...ผมไม่ให้เจ้าไปไหนทั้งนั้น อย่าเพิ่งไป”
ภุชคินทร์สะดุ้งตื่นขึ้นมาตอนรุ่งเช้า เหงื่อแตกพลั่กเต็มหน้า ได้ยินเสียงตัวเองร้องเรียก
“เจ้าอย่าเพิ่งไป เจ้าอุรคา”
รอบกายเงียบกริบ จนภุชคินทร์ต้องกวาดสายตามองดูรอบๆ ตัวเอง จึงเห็นว่าเป็นห้องนอน
นั่นหมายความว่าที่แล้วมาเป็นเพียงความฝัน แต่เป็นฝันที่ภุชคินทร์ถูกดึงจิตไป เสมือนจริง
ภุชคินทร์ถอนใจ ได้แต่ยกมือขึ้นลูบใบหน้า
“ฝัน” ภุชคินทร์เว้นไปนิดหนึ่ง พร่ำบ่นกับตัวเอง “ทำไมเราไม่รู้สึกเลยว่าเป็นเป็นความฝัน มันเหมือนจริง...เหมือนจน...น่าจะเป็นเรื่องจริง”
ส่วนยมนาผลักร่างของเจ้าอุรคาเข้ามาในห้องลับอย่างแรง จนเจ้าอุรคาเซถลา ยมนาตวาดอย่างกราดเกรี้ยว ด้วยโกรธมาก
“เจ้าทำผิดอย่างมหันต์ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ที่นำความลับสวรรค์มาเปิดเผย”
“ข้าเพียงแต่ต้องการให้ท่านภุชเคนทร์ได้ล่วงรู้ถึงอดีตชาติ” อุรคาเทวีเสียงเข้มตอนท้าย “ก็เท่านั้น”
“เจ้าคิดแค่ผลที่จะเกิดขึ้นกับเจ้าเท่านั้นนาคเทวี แต่เจ้าไม่รู้หรอกว่าสิ่งเลวร้ายอันยิ่งใหญ่มันกำลังจะเกิดขึ้นตามมา และโทษของมันจะมหันต์เหนือกว่าที่เจ้าคิด ร้อยเท่าพันทวี”
“แค่ระลึกชาติ เท่านั้นน่ะหรือ”
“ใช่! เพียงมนุษย์ผู้หนึ่งระลึกชาติได้ ความอาฆาตพยาบาทจะเกิดขึ้นอย่างมากมายไม่รู้จบสิ้นโดยเฉพาะกับภุชเคนทร์ เจ้าคงจำได้ ก่อนตายนาคาภุชเคนทร์มีสภาพเช่นไร”
ภาพนาคาภุชเคนทร์ถูกพญาสุบรรณจิก ทำร้าย จนร่างแทบแหลกเหลว แว้บๆๆๆ ขึ้นมาอย่างน่า
กลัว ดวงตาของเจ้าอุรคาเบิกกว้าง เงียบงัน รู้สึกเจ็บปวดแทนผู้เป็นยอดเสน่หาทุกครั้งไป
วันต่อมาไพศิษฐ์เดินขึ้นสน.มา ด้วยสีหน้าท่าทางเคร่งเครียด ถามจ่าชิดทันทีที่เห็นหน้า
“ได้เบาะแสกลุ่มนินจัตสุเพิ่มรึเปล่าจ่า?”
“ยังเลยครับผู้กอง”
ไพศิษฐ์ขัดใจ “แต่ที่สายของผมรายงานมา พวกมันมีตัวตนจริงๆ และยังวนเวียนอยู่ในกรุงเทพฯ นี่” ผู้กองนิ่งคิดไปนิดก่อนสั่ง “จ่าสะกดรอยตามกลุ่มผู้ต้องสงสัยทุกคนเลย ผมจะช่วยตามอีกแรง”
“ครับผู้กอง” จ่าชิดมองหน้าเจี๋ยมเจี้ยม
“อ้าว! แล้วยืนอยู่ทำไม? ทำไมไม่ไปทำงานต่อ”
“ผู้กอง เชื่อเรื่องผีรึยังครับ” จ่าชิดถามขึ้น
ไพศิษฐ์หัวเราะ “ที่มายืนจ้องหน้าผม เพราะอยากรู้เรื่องนี้น่ะนะ”
จ่าชิดย้ำถาม “ก็ผู้กองเชื่อหรือยังล่ะครับ”
ไพศิษฐ์นิ่งไป ทำหน้าอีหลักอีเหลื่อก่อนบอก “ห้าสิบ ห้าสิบ”
จ่าชิดหัวเราะ “แสดงว่าพอจะเชื่อขึ้นมาบ้างแล้ว”
“แล้วไงจ่า”
“เก๊าะ! ผมจะชวนผู้กองไปพิสูจน์เรื่องผีน่ะสิครับ”
ไพศิษฐ์ยิ้มขำ “ว่างมากเลยนะนี่”
“ไม่ได้ว่างครับ แต่ผมกำลังจะชวนผู้กองไปทำงาน...เพราะที่สายรายงานมา นายอากรลูกน้องของเสี่ยทรงยศ ที่หลบหนีไปตอนคดีคุณชายภุชคินทร์ ตอนนี้เจอผีเข้าอย่างจัง วันๆ ร้องแต่ว่า ผีงูๆๆๆ ครับ”
“ผีงู”
ไพศิษฐ์พึมพำ มองหน้าจ่าชิดอย่างสนใจ
ไม่นานต่อมา ไพศิษฐ์ออกจากโรงพักเดินลิ่วตรงมาที่รถ ด้านหลังมีจ่าชิดเดินตามมาด้วย ที่คอของจ่าชิด เต็มไปด้วยเครื่องรางของขลัง ทุกสำนัก ทุกอาจารย์ ห้อยเต็มคอ ไพศิษฐ์กดโทรศัพท์หาเพื่อนเกลอ
ส่วนที่กระทรวงการต่างประเทศ ภุชคินทร์บอกกับลูกน้องหน้าเครียด
“ผมอยากได้ประวัติเจ้าอุรคาอย่างละเอียด”
“ค่ะ”
ลูกน้องเดินออกไป เสียงมือถือดัง ภุชคินทร์กดรับ
“ว่าไงศิษฐ์”
“ว่างหรือเปล่า...ฉันอยากให้นาย ไปกับฉันหน่อย”
“มีอะไร”
“เจ้าหน้าที่ตำรวจตามตัวนายอากร คนที่ทำร้ายนายได้แล้ว”
“ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่เอาเรื่อง”
“ถึงนายไม่เอาเรื่อง แต่ฉันต้องทำตามหน้าที่ ที่สำคัญ ที่ฉันอยากให้นายไปด้วย”
“ทำไม”
“นายอากรเพ้อพูดอยู่คำเดียวว่าเห็นผีงู!”
สีหน้าภุชคินทร์แสนเบื่อหน่าย ...อีกแล้ว แต่คราวนี้หนักกว่าเดิม ใกล้จะทนไม่ไหว
สภาพบ้านของอากร เป็นบ้านไม้เก่าๆ แถวชานเมือง ไพศิษฐ์ กับภุชคินทร์ก้าวเข้ามา ตามด้วยจ่า
ชิดและตำรวจอีกนาย ทุกคนเห็นบ้านไม้หลังเก่าๆ โทรมๆ เหมือนคนเป็นเจ้าของบ้านไม่ได้สนใจ เสียงของอากรดังลั่นออกมา
“อย่า อย่า ฉันกลัวแล้ว กลัวๆๆๆ ผี..ผีๆๆๆงูๆๆๆ ผีงู”
ที่ด้านนอกบริเวณหน้าบ้านทุกคนมองหน้ากัน ไพศิษฐ์บอกภุชคินทร์
“ชาวบ้านแถวนี้บอก นายอากรร้องลั่นอย่างนี้ทั้งวัน”
“ดีนะที่ผมห้อยพระมาเป็นพวง...ไม่งั้น..ผีงู มีหวังออกมาจะเอ๊ก๊ะผม!” จ่าชิดบอก
เสียงของอากรดังออกมาอีก “ผีงูๆๆๆ กลัวแล้วผีงู” ภุชคินทร์ถามไพศิษฐ์
“ผีงู อย่างที่นายบอกว่าฟีบี้เคยเห็น”
“ไม่รู้ว่ะ ไม่เคยเจอ แต่จากการสันนิษฐานคิดว่างั้น”
“เข้าไปดูกันดีกว่า”
ภุชคินทร์กับไพศิษฐ์สาวเท้าเข้าไปข้างใน ตามด้วยคนอื่นๆ
ไพศิษฐ์ผลักประตู แล้วทุกคนก็ก้าวเข้าไป ทันทีที่เห็นกลุ่มคนอากรก็ร้องลั่น
“อย่า...อย่าเข้ามากลัวๆๆๆ”
“กลัวอะไร นี่คน คนทั้งนั้น ไม่ใช่ผี” ไพศิษฐ์บอก
“ไม่...ไม่...ไม่ใช่คน ผะ..ผีๆ” ร้องดังลั่น “ผีงู”
อากรมองทะลุด้านหลังของทุกคน เห็นงูชรายุ ที่หน้าเป็นคน ตัวเป็นงูเลื้อยอยู่ ในท่าทีของงู ตามอง ลำตัวนิ่ง ตาน่ากลัว ทุกคนหันไปมองตามสายตาอากรแต่ไม่เห็นอะไร งูชรายุเลื้อยเข้ามาใกล้ แล้วผงกหัวขึ้นจ้องมองอากร ตาขวาง
“แกมันลามปาม สามหาว ที่บังอาจไปลองดีกับเจ้า”
อากรร้องลั่น กลัวจนตัวสั่น กลอกตา “ไม่...ฉันไม่ได้ลองดี ฉันไม่รู้ ต่อไป ฉันไม่ทำอีกแล้ว ปล่อยฉันไปเถอะนะ” อากรพูดแทบไม่เป็นภาษาคน ยกมือไหว้ปลกๆ “ปล่อยๆๆๆ”
ชรายุไม่ตอบ แต่ชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ แล้วใช้หางตวัดรัดเข้าที่ร่างของอากร อากรร้องลั่น ดิ้น
พล่านไปมาอย่างเจ็บปวด แต่ทุกคนเห็นแค่อากรดิ้นรนไปมา ทั้งที่ไม่มีใครทำอะไร
“ฉันว่าท่าไม่ดีแล้ว รีบพาไปส่งโรงพยาบาลก่อนดีกว่า”
ภุชคินทร์ตัดบท ไพศิษฐ์พยักหน้าให้ผู้ใต้บังคับบัญชา เท่านั้นเหล่าผู้ใต้บังคับก็ตรงเข้าไปที่ร่างของอากร ที่ยังดิ้นรนไม่หยุด
ชรายุเหลียวหันมามองทุกคนตาขวาง ที่เข้ามายุ่ง คำรามก้อง แต่คนอื่นๆ ไม่ได้ยิน
“คิดว่า จะขัดขวางข้าได้หรือ”
ชรายุออกแรงรัดมากขึ้น อากรร้องลั่นอย่างเจ็บปวด
“อย่า...อย่าทำฉัน พอแล้ว พอๆๆๆๆ ฉันสาบานต่อไป ฉันจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเจ้าอุรคาอีกแล้ว ฉันสัญญา”
สิ้นเสียงของอากร ทุกคนหันขวับมามองโดยเฉพาะภุชคินทร์และไพศิษฐ์ ขณะที่ร่างของอากรถูก
หามออกไป ไพศิษฐ์พึมพำ
“เจ้าอุรคาอีกแล้ว”
สองหนุ่มมองหน้ากัน สายตาเต็มไปด้วยคำถาม โดยไม่เห็นงูชรายุเกาะติดรัดร่างของอากรไปด้วย
คืนเดียวกันนั้น ที่ด้านในคฤหาสน์ สุบรรณยืนครุ่นคิด ใคร่ครวญ นึกถึงเหตุการณ์ที่เห็นตัวเองเป็นครุฑและความรู้สึกเกลียดภุชคินทร์ อำนาจเดินเข้ามา สุบรรณได้สติร้องถาม
“มีอะไร”
“ผมขอโทษที่ยังตามตัวไอ้สุรินทร์มารับโทษไม่ได้”
สุบรรณโบกมือไม่ใส่ใจ “ไม่เป็นไร แต่ตอนนี้ แกช่วยมองฉันสิ...แกเห็นฉันเป็นใคร”
สุบรรณยืดตัวตรง ผายมือออก พร้อมให้อำนาจดูตัวเต็มที่ อำนาจมองเจ้านายอย่างงวยงง
“ก็...เห็นนายเป็นนาย เป็นท่านสุบรรณ ที่มีอำนาจ สง่า เหมือนตัวนายจะเปล่งรังสีได้”
สุบรรณถอนหายใจยาว “แล้วแกยังเห็นฉันเป็นคนอยู่หรือเปล่า”
อำนาจยิ่งงงใหญ่ “ก็เป็นสิครับ”
“แต่ตอนนี้ฉันไม่แน่ใจแล้วว่ะ ฉันเห็นพญาครุฑซ้อนอยู่ในตัวฉัน แกมองฉันอีกทีสิอำนาจ” สุ้มเสียงสุบรรณรัวเร็ว ลุ้นจัด “แกเห็นฉันเป็นอะไร”
อำนาจเพ่งมองเขม็ง “ผมก็เห็นนายเป็นนายเหมือนเดิม”
สุบรรณทรุดตัวลงนั่ง เอามือลูบหน้า เครียดจัด
“ฉันไม่เคยเชื่อเรื่องชาติภพ แต่ตอนนี้ ฉันคิดว่า มันกำลังจะเกิดขึ้นกับฉัน...” สุบรรณพูดเหมือนรำพึง เพ้อๆ งุนงง “ฉันรักเจ้าอุรคาอย่างไม่เคยรักใครมาก่อน รักทั้งๆ ที่เพิ่งรู้จัก รักจนแทบคลั่งจนฉันไม่เข้าใจตัวเอง ทำไมฉันถึงรักเจ้าได้อย่างมากมายขนาดนั้น รักจนต้องลดตัวลงไปแย่งชิงกับคุณชายภุชคินทร์ ทั้งๆ ที่ความเป็นจริง ชีวิตของฉันไม่จำเป็นต้องแย่งชิงผู้หญิงคนไหนกับใครเลย แต่นาทีนี้” น้ำเสียงสุบรรณเปลี่ยนเป็นเข้มขณะพูดประโยคต่อมา “ฉันต้องแย่งเจ้าอุรคามาจากคุณชายภุชคินทร์ และไม่ใช่แค่แย่ง แต่ต้องแย่งมาเป็นผู้หญิงของฉันให้ได้”
สุบรรณคำรามลั่น หน้าตาเกรี้ยวกราด ดูน่ากลัว
ทางด้าน นาถสุดาเดินครุ่นคิดอยู่ในสวนที่บ้าน นึกถึงเรื่องราว เหตุการณ์ และสิ่งแปลกประหลาดที่เกิดขึ้น
ทั้งตอนที่ไพศิษฐ์บอกว่า ไม่ใช่ฝันแล้ว มันคือเรื่องจริง เหตุการณ์ในงานกาล่าดินเนอร์ การแสดงของเจ้าอุรคาบนเวที โดยมีสุบรรณกับภุชคินทร์ร่วมแสดงเหมือนจริงมาก กระทั่งตอนที่เฟื่องวลีเล่าเรื่องเห็นชรายุ ของเจ้าอุรคาเป็นผีงู
นาถสุดาว้าวุ่นสับสนหนัก
“ถ้าเจ้าอุรคาไม่ใช่คนจริงๆ เจ้าก็ต้องเป็นสิ่งที่น่ากลัวสำหรับทุกคน...เราก็จะเป็นอีกคนหนึ่งล่ะ ที่จะไม่อยู่ใกล้เจ้าอีกเลย” เดินวนไปวนมา “แล้วเราจะรู้ได้ยังไง ว่าที่จริงแล้ว เจ้าเป็นใคร?” หญิงสาวนิ่งคิดจนคิดออก “ใช่! เราต้องทำจิตให้นิ่งอย่างคุณพ่อบอก”
นาถสุดาเดินไปทรุดตัวลงนั่งยังโขดหินในสวน เห็นท่ามกลางความมืด บรรยากาศร่มรื่น สงบ แต่ดวงหน้าของนาถสุดา เกร็ง ขมวดคิ้วอยู่ตลอดเวลา ด้วยจิตยังไม่นิ่ง นาถสุดานั่งฮึดฮัด ทำปากจิ๊จ๊ะขัดใจ
“เฮ้อ! ทำไมไม่เห็นมีอะไรเลย”
เสียงของผู้พันนรินทร์ ดังก้องขึ้นในหัว
“นาถยิ่งอยากรู้เท่าใด สิ่งที่อยากรู้ยิ่งห่างไกล ยิ่งจิตวุ่นวาย สิ่งที่อยากรู้ยิ่งกระเจิง เหมือนละอองฝุ่น แต่ถ้าจิตนิ่ง จิตจะมีพลัง ทุกอย่างจะเปิดเผยให้นาถรู้เอง...โดยที่นาถมิได้เป็นผู้หยั่งรู้ฟ้าดิน ผู้วิเศษ แต่มันเป็นกฎธรรมชาตินาถ...มันคือกฎธรรมชาติของจิต”
“เราต้องนิ่ง”
นาถสุดาบอกตัวเอง พยายามรวบรวมสมาธิ หลับตาลงไปใหม่ คราวนี้เห็นนาถสุดานั่งนิ่ง ต้นพญานาคราชในกระถางชูช่อ เหมือนกำลังเริงระบำต้อนรับผู้มาเยือน หญ้าที่ปลูกในสนามเป็นรอยยวบเหมือนมีบางสิ่งย่ำเข้ามา ลักษณะรอยย่ำไม่สม่ำเสมอเหมือนงูเลื้อย ก่อนจะปรากฏร่างเจ้าอุรคายืนอยู่ตรงหน้านาถสุดา เจ้าอุรคายกฝ่ามือขึ้นอยู่เบื้องหน้า ใบหน้านาถสุดาเกร็งเครียดขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“ฟัง และจดจำ”
ได้ฟังดังนั้นใบหน้าของนาถสุดาคลายลง แล้วยิ้มบางๆ เสมือนว่ากำลังต้องมนต์สะกดของเจ้าอุรคา
“ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้ากำลังค้นหาเกี่ยวกับข้า ลืมมันซะ! หน้าที่ของเจ้า คือปกป้องข้า ช่วยข้า...เจ้าต้องปกป้องข้า...นาถสุดา...”
นาถสุดาพึมพำ “ค่ะเจ้า....ฉันจะลืมสิ่งที่ฉันค้นหา ฉันจะช่วยเจ้า ฉันจะปกป้อง...เจ้าอุรคา”
เจ้าอุรคาเยื้อนยิ้มพอใจก่อนที่ร่างจะเลือนหายไป
เช้าวันต่อมา พันเอกนรินทร์เอาดอกไม้ธูปเทียนไหว้พระอยู่ในห้องพระ ตามปกติ จู่ๆ เสียงตาจั่นคนตัดหญ้าร้องดังลั่น
“ผู้การครับผู้การ”
นรินทร์เดินออกไป ชะโงกหน้าลงไปคุยกับตาจั่น ที่แหงนหน้าขึ้นมา
“มีอะไรตาจั่น? ตัดหญ้าเสร็จแล้วรึ? เร็วจริง”
ตาจั่นหน้าตาตื่นเลิ่กลั่ก “ยังไม่ได้ตัดเลยครับ”
“ก็แล้วทำไมไม่ตัดล่ะ”
ตาจั่นหน้าตื่นท่าทางตกใจ “ผมเห็นรอยงูใหญ่ ในสวนหลังบ้านครับ”
“รอยงูใหญ่?”
ผู้พันนรินทร์รำพึง
รอยยวบลงไปของหญ้าเป็นทางยาวเหมือนรอยพญางูเลื้อยผ่าน หน้าตาท่าทางของตาจั่นตื่นเต้นเอามากๆ
“รอยขนาดนี้ต้องเป็นพญางูใหญ่แน่ๆ เลยครับผู้การ โห! ปล่อยไว้ไม่ได้นะครับ ผมจะไปตามกู้ภัยมาจับมัน” ตาจั่นทำท่าจะเดินไป
ผู้พันนรินทร์เรียกไว้ “ไม่ต้อง ตาจั่น”
ตาจั่นหันมามองผู้การนรินทร์ เห็นดวงหน้านั้นนิ่งสงบ ดวงตาเพ่งมองไปที่รอยงู ไม่หวาดหวั่นแต่อย่างใด ตาจั่นมองงง
“ท่านไม่กลัวหรือครับ ตัวมันใหญ่นะครับ มันอันตราย”
“ป่านนี้เขาไปแล้วล่ะ ตาจั่นตัดหญ้าต่อเถอะ”
ตาจั่นมองผู้การนรินทร์อย่างไม่เข้าใจ ทำท่าหวาดกลัว “งั้น..ผมขอกลับบ้านดีกว่านะครับ วันหลังค่อยมาใหม่ ผมกลัว”
ตาจั่นเดินออกไปพลางบ่น
“โอ๊ยย...ทำยังกับเขตอภัยทานไม่ฆ่าสัตว์ ไม่กลัวหรือไงผู้การ?”
ผู้พันนรินทร์ยืนนิ่ง เพ่งมองรอยหญ้าที่ยวบเป็นรอยงูใหญ่เลื้อย สายตาบ่งบอกว่ารู้
“ท่านมาถึงที่นี่แล้ว”
พันเอกได้แต่พึมพำ ทันใดนั้นเหมือนเสียงของเจ้าอุรคาจะลอยแว่วมาในกระแสจิต
“เราไม่ทำร้าย คนที่คิดดีกับเรา เราจะทำร้ายก็แต่คนที่คิดร้ายต่อเรา”
สีหน้าพันเอกนรินทร์นิ่งสงบ เหมือนรับฟัง
ช่วงตอนกลางวัน เจ้าอุรคาเดินเยื้องกรายท่วงท่างามสง่า ตามทางตรงมาที่ร้านเพชรของเจ้าประกายคำ ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างมองเจ้าอุรคาด้วยความชื่นชม ราวกับต้องมนต์สะกด
ส่วนอีกมุมหนึ่ง เฟื่องฟ้ากับเฟื่องวลีกำลังเดินมา และเห็นเจ้าอุรคาพอดี สองแม่ลูกมองตะลึงระคนหวาดหวั่น
“เจ้าอุรคา”
สองแม่ลูกรีบหลบเข้าซอกตึก กลัวอยู่เหมือนกัน เจ้าอุรคาเยื้อนยิ้ม ไม่ถือสาหาความแกล้งทำไม่เห็นเดินต่อไป สองแม่ลูกชะโงกหน้าออกมามองตาม เฟื่องวลีกระซิบเฟื่องฟ้า
“คนอะไร ขนาดเห็นกลางวัน ยังน่ากลัวเลย คุณแม่ดูสิ...ขนฟีบี้ลุกหมดเลย” ยื่นแขนให้แม่ดู
เฟื่องฟ้ายื่นแขนมาสมทบ “แม่ก็เหมือนกัน” ยื่นหน้ามองตามไป “แต่ที่แม่สงสัย ถ้ามันเป็นผีกลางวันมันออกมาได้ยังไง หรือว่ามันจะไม่ใช่ผี” ทำหน้าไม่แน่ใจ “แต่แม่ว่า ยังไงมันก็ไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ”
“งั้นเราต้องพิสูจน์สิคะคุณแม่ วันนี้ฟีบี้สวมพระมา” เฟื่องวลีจับสร้อยพระที่คอให้แม่ดู “ไม่ต้องกลัว”
เฟื่องฟ้ากริ่งเกรง ไม่แน่ใจ “แล้วผีเจ้าอุรคาจะกลัวพระเหรอ”
“ขึ้นชื่อว่าผี ก็กลัวพระทั้งนั้นล่ะคะ”
“มันก็ไม่ใช่อย่างนั้นเสมอไปนะลูก ไม้กางเขน กระเทียม ผีก็กลัว”
“นั่นมันผีอินเตอร์ ผีฝรั่งค่ะคุณแม่ แต่นี่เจ้าอุรคาเป็นผีไทย เจอพระยังไงก็กลัว”
เฟื่องฟ้านึกตามมองพระยิ้มอุ่นใจ “งั้นไป”
เฟื่องฟ้าจูงมือฟีบี้เดินตามเจ้าอุรคาไป
ส่วนภายในร้านเพชร เจ้าประกายคำกำลังปลอบหม่อมภาณีที่มาหารือเรื่อง ม.ร.ว. ภูชคินทร์ นาเคนทร์ ผู้เป็นบุตรชาย
“อย่าคิดมากค่ะ เจ้าอุรคาก็เป็นคนธรรมดาเหมือนกับเรานี่แหละ แล้วเรื่องพลอยครุฑธิการก็เป็นของมงคล ป้องกันภยันอันตรายได้นะคะ ไม่ใช่ของอัปมงคลแน่นอนค่ะ”
“ดิฉันก็คิดอย่างเจ้านี่ล่ะค่ะ แต่อีกใจก็อดคิดไม่ได้ เพราะมีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นกับครอบครัวของดิฉันหลายอย่าง โดยเฉพาะกับตาชาย”
“งั้นถ้าคุณชายมารับหม่อม...ดิฉันคงต้องถามแล้วล่ะค่ะ ว่าคุณชายเจออะไร” เจ้าประกายคำว่า
“อย่าถามเชียวนะคะ ฉันไม่อยากให้ตาชายไม่สบายใจ คิดมากขึ้นมาอีก”
เจ้าประกายคำยิ้มไม่ติดใจ “งั้นถ้าหม่อมสงสัย ก็...ถามเจ้าเลยแล้วกันค่ะ เจ้าเดินมาโน่นแล้ว”
เจ้าประกายคำมองไปที่ประตูทางเข้าร้าน หม่อมภาณีหันไปมองก็เห็นเจ้าอุรคายืนอยู่ข้างหลัง หม่อมภาณีสะดุ้ง หน้าซีด เอ่ยตะกุกตะกัก
“เจ้า...”
เจ้าอุรคายิ้มแย้ม “ขอโทษค่ะที่ทำให้ตกใจ คุยอะไรกันอยู่ มาขัดจังหวะมั้ยคะนี่” เจ้าหญิงพูดพลางมองหม่อมภาณี
เจ้าประกายคำทำท่าจะพูด แต่หม่อมภาณีรีบสั่นหน้าเป็นเชิงไม่ให้พูด แล้วชิงตอบเอง
“ก็คุยเรื่องนั้นเรื่องนี่ ไม่มีสาระอะไรหรอกค่ะ”
“เรากำลังคุยกันถึงเรื่องวันงานน่ะค่ะ วันนั้นทุกคนชมเจ้าเป็นเสียงเดียวกันเลยค่ะ ว่าการแสดงของเจ้าเหมือนจริงมาก” เจ้าประกายคำเสริม
“นั่นเป็นแค่สิ่งเล็กน้อย ถ้ามีโอกาส ดิฉันจะแสดงให้เห็นมากกว่านี้”
เจ้าอุรคายิ้มอย่างมีเลศนัย ขณะปรายตามองไปทางด้านหลัง เห็นเฟื่องวลีกับเฟื่องฟ้ากำลังย่องมาแอบมอง เจ้าอุรคายิ้มเย้ยพูดเหมือนถาม
“รู้สึกเหมือนมีคนสะกดรอยตามดิฉันมานานแล้ว”
สองแม่ลูกสะดุ้งเฮือก หม่อมภาณีกับเจ้าประกายคำมองหน้ากันก่อนถาม
“ใครหรือคะ”
“ไม่ทราบค่ะ ตอนนี้เค้าอยู่หน้าร้าน”
เจ้าประกายคำกับหม่อมภาณี หันไปมองก็เห็นสองแม่ลูกหน้าแหยหลบมุมอยู่
“อ้าว! คุณเฟื่องฟ้ากับคุณฟีบี้” เจ้าประกายคำทัก
“ฟีบี้ไปหลบอะไรอยู่ตรงนั้น คุณเฟื่องฟ้าเชิญเข้ามาข้างในก่อนสิคะ” หม่อมภาณีเรียกอีกแรง
สองแม่ลูกทำท่ากล้าๆ กลัวๆ ไม่ยอมเข้ามา หม่อมภาณีเดินออกไปหา
“ก็แล้วทำไมไม่เข้าไปล่ะ?” ลดเสียงลงเป็นเชิงติ “ทำอย่างนี้เจ้าอุรคากลัวนะ”
เฟื่องฟ้ากระซิบ “เราสิคะหม่อม ต้องกลัวเจ้า”
เจ้าอุรคาเดินออกมาพร้อมรอยยิ้ม “กลัวดิฉันทำไมคะ”
สองแม่ลูกทำหน้าเอาเรื่องฮึดสู้ แต่ถอยหลังกรูด เฟื่องวลีเอามือกุมพระ เฟื่องฟ้าหลบหลังลูกสาว
“อย่าเข้ามานะ พวกฉันมีพระ” เฟื่องจับพระของลูกสาว ยื่นไปข้างหน้า
เจ้าอุรคาหัวเราะขำ สมเพช “ดิฉันมาจากภูจำปา อีกฟากฝั่งของน่านน้ำไทย”
เฟื่องฟ้าร้อง “ว้าย!! งั้นเจ้าก็ไม่ใช่ผีไทยน่ะสิ”
เจ้าประกายคำ มองอย่างตำหนิ
“คุณเฟื่องฟ้าพูดอย่างนี้ไม่สมควรนะคะ เจ้าไม่ใช่ผี จะได้กลัวพระ พูดอย่างนี้เชิญออกจากร้านของดิฉันไปเลย”
เฟื่องฟ้ากับเฟื่องวลีโวยพร้อมกัน “ไปแน่”
“ก็ไม่ได้อยากอยู่ใกล้ภูตผีปีศาจหรอก” เฟื่องฟ้าแสยะปาก
เจ้าอุรคาเดินมาเผชิญหน้า ขยับชิดเข้าไปอีก เยื้อนยิ้ม “ฉันเหมือนภูตผีตรงไหน”
เจ้าอุรคายิ้ม สองแม่ลูกกลัว มองจ้องสร้อยเพชรในคอของเจ้าอุรคาที่กลายเป็นงู เลื้อยจะฉกหน้า
“แอร๊ย...งูๆๆๆๆ”
สองแม่ลูกกรี๊ดลั่นประสานเสียง ชี้ไปที่คอเจ้าอุรคาอย่างตื่นกลัว
ติดตาม "มณีสวาท" ตอนที่ 9