พรพรหมอลเวง ตอนที่ 5
เช้าวันใหม่ ประภัสสรจัดเตรียมอาหารเช้าให้เมธี เมธีเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ เมธีมองหน้าประภัสสรแต่ประภัสสรเมิน
“คุณภัส...ผม”
เสียงโทรศัพท์ของเมธีดังขึ้น เมธีรีบกดรับ ประภัสสรเมินหน้าด้วยความน้อยใจ
เมธีหงุดหงิด “ลืมได้ยังไง ผมต้องใช้นะ ทีหลังต้องรอบคอบกว่านี้นะ”
เมธีกดปิดโทรศัพท์แล้วหันมาทางประภัสสร
“เอกสารมีปัญหาผมต้องแวะเข้าออฟฟิศก่อนไปสนามบิน คงอยู่ทานอาหารเช้าไม่ได้แล้ว ผมไปก่อนนะคุณภัส”
เมธีหยิบกระเป๋าเอกสารแล้วเดินเข้าไปจะหอมแก้มประภัสสร แต่ประภัสสรเบี่ยงตัวหลบ
“คุณรีบไม่ใช่หรือ ไปเถอะค่ะ เดี๋ยวจะเสียงาน”
เมธีชะงักแล้วถอนหายใจ
“งั้นผมไปก่อนละ”
เมธีเดินออกไป ประภัสรนั่งลงแล้วน้ำตาก็คลอ
เมธีเดินออกจากบ้านมาอย่างเร่งร้อน ปฐวีเดินเข้ามาเห็น
“อ้าวพี่เมธี ไปไหนแต่เช้าเชียวครับ แล้วนี่เจ้าตัวเล็กตื่นหรือยัง”
“พอดีพี่มีงานด่วนต้องรีบไป น้องเมย์ สายแก้วคงกำลังจัดการอยู่”
“หรือครับ พี่เมธีรีบไปเถอะ เดี๋ยวผมไปหาเจ้าตัวเล็กหน่อย”
“พี่ไปก่อนนะวี ฝากคุณภัสกับน้องเมย์ด้วย”
เมธีขึ้นรถไป ปฐวีมองตามแล้วส่ายหน้า
“พูดจาแบบนี้สงสัยมีเรื่องกับพี่ภัสแน่เลย”
ปฐวีเดินเข้ามาในบ้าน ประภัสสรเห็นปฐวีก็รีบเบือนหน้าแล้วเช็ดน้ำตา
“ผมจะมาดูน้องเมย์ไปโรงเรียนวันแรกหน่อย” ปฐวีอึ้ง “พี่ภัสร้องไห้หรือครับ”
“เปล่าหรอกจ๊ะ ไม่มีอะไร”
“ทะเลาะกับพี่เมธีหรือเปล่าครับ”
“ไม่มีอะไรหรอกจ๊ะวี ไปดูน้องเมย์กันดีกว่า”
ประภัสสรฝืนทำท่าร่าเริงแล้วเดินไป ปฐวีมองตามแล้วถอนหายใจ
นาฬิกาปลุกส่งเสียงปลุก เมรินกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่งอย่างงัวเงีย
“ขอให้ชั้นเป็นตันหยง”
เมรินเปิดผ้าออก ดูมือ ดูตัวแล้วเธอก็หน้าเบะด้วยความเศร้าพร้อมกับถอนใจ
เมรินรีบล้มตัวลงนอนคลุมโปงต่อ สายแก้วเดินเข้ามา
“น้องเมย์ขา ตื่นได้แล้ว วันนี้ต้องไปโรงเรียนแล้วนะ”
เมรินโวย
“ไม่ไป อย่ามายุ่ง”
สายแก้วไม่รู้จะทำยังไงดี ปฐวีเดินเข้ามาทางด้านหลังสายแก้วแล้วสะกิดให้สายแก้วหลบไปปฐวียื่นมือไปแล้วค่อยๆดึงผ้าห่มออกจากตัวเมริน
“บอกแล้วว่าอย่ามายุ่ง ชั้นไม่ไปโรงเรียน”
ปฐวีดึงผ้าห่มเมรินออกแล้วลงมือจั๊กกะจี๋ทันที
“นี่แน่ะ เด็กขี้เกียจต้องโดนแบบนี้”
“โอ๊ย... โอ๊ย.. ไม่” ตันหยงคิดในใจ “โอ๊ย.. อย่าเล่นแบบนี้นะ อย่าเล่นแบบนี้ซิ”
ตันหยงดิ้นเพราะจักจี๋จนร้องไม่ออก ปฐวีก้มลงไปจนหน้าชิดกัน
“จะไปหรือไม่ไป บอกมาเดี๋ยวนี้”
ตันหยงอายจนหน้าแดง
“ถ้าไม่ลุกละก็น้าวีจะเอาหนวดถูให้น้องเมย์หายดื้อเลย”
“ไปค่ะไป ยอมแพ้แล้ว”
“แน่ใจนะ”
“แน่ค่ะแน่ ลุกก่อน น้องเมย์หายใจไม่ออก”
ปฐวีลุกขึ้นมามองเมรินยิ้มๆ
“ให้เวลา 15 นาที เจอกันข้างล่าง สายกว่านี้ละก็”
ปฐวีทำท่าจะเข้ามากอดแล้วจั๊กกะจี๋อีก
“ไปแล้วค่ะ”
ตันหยงลุกแล้ววิ่งหนีเข้าห้องน้ำ ปฐวีมองตามแล้วยิ้มขำ
ตันหยงวิ่งเข้ามาในห้องน้ำแล้วปิดประตู ก่อนจะพิงประตูหอบ
“บ้าจริง เล่นอะไรแบบนี้ก็ไม่รู้”
ตันหยงมองกระจกเห็นเงาตัวเองเป็นเมรินก็ถอนหายใจเฮือก
“แต่เค้านึกว่าเราเป็นหลานเค้านี่”
ตันหยงทำหน้าเซ็ง
ปฐวีดื่มกาแฟอย่างรวดเร็ว ส่วนเมรินนั่งเขี่ยอาหารเช้าแบบเบื่อๆ ปฐวีมองนาฬิกา
“ไปได้แล้วน้องเมย์ ไม่ต้องถ่วงเวลาเลย” ปฐวีพูดกับประภัสสร “ช่วงบ่าย ผมไม่ต้องเข้าเวรที่ รพ.เดี๋ยวผมไปรับน้องเมย์กลับบ้านเองนะครับพี่ภัส”
“ไม่เป็นไรหรอกวี พี่ไม่ได้เป็นอะไรมาก”
“พี่ภัสพักเถอะครับ เรื่องน้องเมย์ผมจัดการเอง”
“ขอบใจมากนะวี น้องเมย์อย่าดื้อกับน้าวีนะรู้มั๊ยคะ”
เมรินทำเชิด “รับรองค่ะ เมย์ไม่ดื้อนิดเดียวหรอก”
“ถ้าแถวนี้มีเด็กดื้อละก็ น้าวีจะจี๋ให้หายดื้อเลย”
ปฐวีทำท่าจะจั๊กกะจี๋ เมรินทำท่ายอมแพ้
“ไม่เอานะคะ น้องเมย์ยอมแพ้ก็ได้”
“ดีมาก สวัสดีคุณแม่ซะ ไปกันเถอะ”
ปฐวียื่นมือให้เมรินจับ เมรินจับอย่างเต็มใจแล้วทั้งคู่ก็เดินไป
“ไป วิ่ง วิ่ง เร็วเข้า” ปฐวีบอก
เมรินขำพร้อมกับวิ่งนำไปเพราะกลัวโดนจั๊กกะจี๋ ประภัสสรมองตามเศร้าๆ
ปรางค์ทิพย์เดินเข้ามาเห็นประภัสสรหน้าเศร้า ปรางค์ทิพย์ก็แอบยิ้มร้ายแล้วพูด
“ผัวออกจากบ้านแต่เช้าทำเป็นเศร้าสร้อย หมั่นไส้นัก”
ปรางค์ทิพย์เดินมาหาประภัสสร
“พี่ปรางค์ เด็กๆไปโรงเรียนแล้วหรือคะ” ประภัสสรถาม
“จ๊ะ คุณสรรเค้าเป็นคนไปส่งลูกด้วยตัวเอง รายนี้ยอมไม่ได้เลยเรื่องส่งลูก จะให้ใครส่งแทนก็ไม่ยอม เออ แล้วนี่เมธีไปส่งยายเมย์หรือ”
ประภัสสรอึกอัก “เปล่าหรอกค่ะ ตาวีไปส่ง ภัสไม่ค่อยสบายเลยไม่ได้ไปด้วย”
“นั่นน่ะสิ พี่ก็ว่า เธอดูหน้าซีดๆนะแม่ภัส นี่รอเมธีจนดึกจนดื่น”
“เมื่อคืนคุณเมธี กลับดึกน่ะคะ แล้ววันนี้ก็ออกไปต่างจังหวัดแต่เช้า”
“อะไรจะขยันขนาดนี้เนี่ย บริษัทนี้เค้าทำงานคนเดียวรึไงกัน ทำไมงานจะเยอะขนาดนั้น แล้วเค้าไปกับใครล่ะรู้มั๊ย”
“ภัสไม่ทราบค่ะ ไม่ได้ถาม”
“ถึงเธอไม่ถาม สามีเธอก็ควรจะต้องเล่า ถ้าไม่มีอะไรปิดบังกันน่ะ อ๊ะหรือว่า เค้าจะปิดบังอะไรเธอ”
“ไม่หรอกค่ะพี่ปรางค์”
“โถแม่ภัส เธอก็ช่างแสนดีซะเหลือเกิ๊น เฮ้อ จะยังไงซะเธอเองก็ต้องคอยสอดส่องสามีให้ดีนะจ๊ะ เดี๋ยวจะหาว่าพี่ไม่เตือน”
ประภัสสรเครียด ปรางค์ทิพย์แอบยิ้มอย่างสะใจ
ปฐวีจูงเมรินมาที่หน้าโรงเรียนในจุดรับส่งเด็ก เมรินหน้าหงิก ปฐวีมองเมรินแล้วยิ้มขำ
“น้องเมย์พร้อมหรือยัง”
เมรินงอน “ถ้าบอกว่าไม่พร้อมได้มั๊ยคะ”
“ไม่ได้ ไปเถอะ เดี๋ยวน้าวีไปส่ง”
เมรินถอนหายใจเฮือกแล้วเดินจูงมือปฐวีไปต่อ
คุณครูสาวๆพากันยิ้มให้ปฐวี ปฐวียิ้มตอบ เมรินแอบมองค้อนปฐวี
“เสน่ห์แรงจริงนะ น้าวี” ตันหยงคิดในใจ
ปฐวีเดินจูงเมรินเข้ามาในโรงเรียน เมรินเครียด เด็กๆวิ่งเล่นกันที่สนามเด็กเล่นในโรงเรียน เด็กกลุ่มหนึ่งวิ่งกรูเข้ามาทักทายเมริน
“น้องเมย์มาแล้วเหรอเป็นไงบ้าง”
เมรินตกใจและงงๆ
“น้องเมย์ทำไมไม่คุยกับเพื่อนล่ะ” ปฐวีถาม
“เอ่อ ยังไม่ชินกับเด็ก” เมรินบอก
“อ้าว น้องเมย์ก็เป็นเด็กไม่ใช่หรือ”
ตันหยงคิดในใจ “ก็ไม่ใช่น่ะสิ”
เมรินเมินหน้าไม่ตอบ ปฐวียิ้มขำ
สุดนภาเดินเข้ามาแล้วยิ้มอ่อนหวานให้ปฐวี
“สวัสดีค่ะ คุณหมอวี” สุดนภามองเมริน “หยง..เอ๊ย น้องเมย์”
“ครูบี๋ครับ ผมฝากน้องเมย์ด้วยนะครับ”
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ บี๋จะดูแลเป็นอย่างดีเลยค่ะ”
ปฐวีคุกเข่าลงพูดกับเมริน
“น้องเมย์ตั้งใจเรียนนะครับ บ่ายนี้น้าวีจะมารับน้องเมย์เอง สัญญานะ”
เมรินเบื่อหน่าย “ค่ะ”
เมรินเดินไปหาสุดนภา สุดนภายิ้มให้ปฐวี
“ผมไปก่อนนะครับครูบี๋”
“ค่ะ บ๊าย บายนะคะ คุณหมอวี”
สุดนภามองปฐวีจนลับสายตาแล้วยิ้มเขิน เมรินแอบหยิกจนสุดนภาสะดุ้งโหยง
“โอ๊ย อะไรกัน นี่แกมาหยิกชั้นทำไม”
“นี่ สนใจชั้นบ้าง...” เมรินมอง “ชั้นว่าแกออกนอกหน้าไปหรือเปล่า”
สุดนภาปฏิเสธเสียงสูง “เปล๊า”
สุดนภาเขิน เมรินมองสุดนภาแบบรู้ทัน
ปฐวีเปิดประตูห้องทำงานของนาวินเข้ามาแล้วก็ชะงักเมื่อเห็นนาวินกำลังจุดธูปบูชาพระจนควันโขมงไปหมด
“รอแป๊บ เดี๋ยวชั้นไหว้พระก่อน” นาวินบอก
ปฐวีนั่งรอ เขาเห็นนาวินไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์จนครบ ปฐวีมองนาฬิกาแล้วส่ายหน้า
นาวินกำลังจุดธูปบูชาหินศักดิ์สิทธิ์ พร้อมอธิษฐานนานมาก
“นี่แกบูชาเทพเจ้าครบทุกองค์เลยหรือเปล่า” ปฐวีแซว
“ไม่หรอก เฉพาะองค์ที่นับถือ”
“ถึงสองร้อยองค์มั๊ย”
“ไม่ถึง แต่เกือบ นี่แกถามทำไมวะ หรือว่าแกจะบูชาบ้าง ชั้นแนะนำได้นะโว๊ย เริ่มจากนี่เลย พระพิฆเณศ องค์นี้เรื่องความสำเร็จ”
“พอเลย เจ้าวิน แกเนี่ยยิ่งเรียนสูงยิ่งงมงาย”
“เฮ้ยๆ ของแบบนี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะโว๊ย ว่าแต่แกมาหาชั้นวันนี้มีอะไรรึเปล่าวะ”
“เปล่าชั้นมาส่งน้องเมย์ แล้วก็เลยแวะมาหาแกนี่แหละ”
“แล้วแกเจอครูบี๋รึเปล่าวะ”
ปฐวียิ้มแต่ไม่ตอบ
นาวินระแวง “แล้วคุยอะไรกันบ้างหรือเปล่า”
“ก็หลายเรื่อง จะว่าไป ชั้นว่าครูบี๋ก็น่ารักดีนะ แถมยังเข้ากับน้องเมย์ได้ดีอีกด้วย น่าสนใจ”
“เฮ้ย ครูคนนี้น่ะดุ ชั้นขอเตือน แล้วแกจะรู้สึก”
“ที่พูดนี่เพราะห่วง หรือว่าหวงกันแน่วะ ไหนบอกว่าสมภารไม่กินไก่วัดไง”
“มีลูกชั้นจะไม่ให้เรียนหมอเลย แกมันฉลาดเกินไป”
ปฐวีหัวเราะ “เอาเป็นว่าชั้นฝากหลานด้วยนะโว๊ย ไปละ”
ปฐวีเดินไป นาวินเซ็ง
นาวินหมั่นไส้ “รู้ทันดีนัก”
นนท์ แฟนของเมรินเดินเข้ามาหาเมรินในมาดเท่ห์ พร้อมกับถือดินสอสวยไว้ในมือ
“น้องเมย์ ยินดีต้อนรับที่น้องเมย์กลับมานะครับ” นนท์ส่งดินสอให้
เมรินงง “ขอบใจนะหนู”
นนท์ชะงัก “เรียกนนท์ว่าหนูได้ไง น้องนนท์โตเป็นหนุ่มแล้วนะ ที่สำคัญหล่อด้วย”
ตันหยงขำในใจ “อีกซักสิบปีล่ะก็คงใช่”
นนท์ส่งดินสอให้เมริน
“นี่น้องนนท์เอามาให้ น้องเมย์ ดีใจจังที่น้องเมย์มาเรียน นนท์คิดทึ้ง คิดถึงนะ”
แคทเดินมายื่นทอฟฟี่ให้เมริน
“นี่ของเรา ดีใจจังที่เมย์กลับมาเรียนแล้ว”
เมรินมองหน้าแคทแล้วยิ้มก่อนจะเอื้อมมือไปรับ มิ้งค์ เด็กเกเรประจำห้องเดินมาชน ทอฟฟี่จนกระเด็นไป มิ้งค์มองแล้วเมิน เมรินมองจะเอาเรื่อง
ตันหยงคิดในใจ “ต๊าย ตัวแค่นี้ เยอะไปไม่เนี่ย”
“อย่าไปยุ่งเลยน้องเมย์ เราไปกันเหอะ”
แคทดึงมือเมรินไปนั่งที่โต๊ะ นนท์รีบวิ่งตามเมรินไป
มิ้งค์มองตามอย่างไม่พอใจ
เมรินนั่งอยู่ในห้องเรียน เธอมองรอบๆตัวอย่างเซ็งๆ สุดนภาเดินเข้ามาในห้อง
“สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้น้องเมย์ กลับมาเรียนได้เหมือนเดิมแล้วนะคะ หลังจากที่หยุดไปหลายวัน”
เพื่อนทุกคนหันมายิ้มให้ เมรินยิ้มให้แบบง่อยๆ
“น้องเมย์ค่อยๆเรียนตามเพื่อนให้ทันนะคะ อ่ะ มา เรามาเริ่มเรียนกันเลยดีมั๊ย” สุดนภาถาม
เมรินยกมือแล้วถาม “เราจะพักกันตอนกี่โมงคะ”
“อีกนานมากเลยจ๊ะ” สุดนภาพูดกับทุกคน “เรามาเริ่มต้นท่อง ABC พร้อมๆกันนะคะ”
เมรินทำหน้าเบื่อ สุดนภายิ้ม
สุดนภายกรูปภาพต่างๆขึ้น เด็กๆแย่งกันตอบเป็นภาษาอังกฤษ เมรินนั่งกอดอกเบื่อๆ
นักเรียนตั้งใจวาดรูปตามจินตนาการ สุดนภาเดินมาส่งกระดาษให้เมริน เมรินรับมาอย่างเบื่อๆ
เวลาผ่านไป ทุกคนชูภาพอวดสุดนภา พอถึงภาพของเมรินเป็นรูปวาดที่สวยเกินจริง สุดนภารีบเดินมาหยิบรูปของเมรินมาเก็บใส่แฟ้ม เมรินปากคว่ำ
เด็กๆ นอนกลางวันเรียงกันในห้องเรียน เมรินนอนหรี่ตาดูสุดนภาที่เดินผ่านมา เมรินรีบลุกขึ้นเดินตามสุดนภาไป
“เฮ้ยนี่เวลานอนนะแก ไปนอนไป๊” สุดนภาว่า
“นี่ ชั้นเกินวัยที่จะต้องนอนกลางวันแล้วนะบี๋” เมรินบอก
“ชั้นรู้ แต่คนอื่นเค้ารู้กับแกด้วยมั๊ยล่ะ”
“ไม่เอา ชั้นไม่นอน จะบ้าหรือ”
“งั้นแกจะทำอะไรยะ”
เมรินนิ่งคิด แคทเดินมาหาพร้อมกับทำท่าปวดท้อง
“คุณครูขา ขออนุญาตไปปัด-ซา-ว่ะ”
“ต้องพูดว่าไปปัสสาวะค่ะ น้องแคท” สุดนภาบอก
แคทยืนบิดแล้วลากมือเมรินไปด้วย เมรินเซตามแรงแคทไป สุดนภามองตามแล้วหัวเราะ
“งานเข้าแล้ว หยงเอ๊ย...”
เมรินยืนรอแคทอยู่หน้าห้องน้ำอย่างเบื่อๆ สักครู่แคทก็เดินออกมา
“ล้างมือหรือยัง” เมรินถาม
แคททำท่าตกใจแล้วผลุบกลับเข้าห้องน้ำไปล้างมือ เมรินส่ายหน้า
“ตายแน่ชั้น ต้องกลายเป็นพี่เลี้ยงเด็กหรือเนี่ย”
แคทเดินสะบัดมือออกจากห้องน้ำ
“ทีหลังเข้าห้องน้ำเสร็จต้องล้างมือทุกครั้งรู้มั๊ย” เมรินบอก
“รู้แล้ว น้องเมย์พูดเหมือนคุณแม่เราเลยรู้เปล่า”
เมรินทำท่าเบื่อๆ แคทรีบยิ้ม
“เราจะบอกให้ ทำไมมิ้งค์ไม่ชอบตัวเองรู้ไม๊”
เมรินเบื่อ “ไม่รู้สิ ทำไมหรือ”
แคทกระซิบกระซาบ “ก็เพราะน้องมิ้งค์ อยากเป็นแฟนน้องนนท์ไงล่ะ”
เมรินหัวเราะขำ “แก่แดดไปมั๊ยเนี่ย”
“เรื่องจริงนะ เราแอบได้ยิน ว่าน้องมิ้งค์ชอบน้องนนท์”
นนท์วิ่งเข้ามา
“อ้าว น้องนนท์ ทำไมไม่ยอมนอน เดี๋ยวครูบี๋ก็ว่าเอาหรอก” เมรินถาม
“น้องนนท์เอานี่มาให้น้องเมย์” นนท์แบมือออกเห็นเป็นทอฟฟี่คำทำนาย “ลองชิมดูสิ อร่อยนะ มีคำทำนายด้วย”
เมรินรับมาขำๆ “ขอบใจนะ”
เมรินแกะทอฟฟี่แล้วส่งขนมให้แคท แคทรีบรับมาอมทันที
เมรินอ่าน “จะพบเนื้อคู่เร็วๆนี้”
นนท์ยิ้มกริ่ม
“สงสัยเป็นน้องนนท์แน่เลย”
นนท์เก๊กหล่อแล้ววิ่งกลับไป แคทอ้าปากค้าง เมรินขำกิ๊ก
“มันอะไรกันเนี่ย ไม่เด็กไปหน่อยหรือจ๊ะ”
เมรินยิ้มขำ
เมรินลากแขนสุดนภาออกมาจากหน้าห้อง
“นี่ชั้นจะต้องทนมาเรียนกับเด็กเล็กอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหนเนี่ย”
“ก็จนกว่าจะปิดเทอมนั่นแหละ” สุดนภาบอก
“หาอะไรนะ นานขนาดนั้นเลยเหรอชั้นต้องเป็นบ้าตายแน่เลยยัยบี๋เอ๊ย”
“ไม่บ้าหรอก ชั้นอยู่กับเด็กวันละ 8 ชั่วโมงอาทิตย์ละ 5 วันไม่เห็นเป็นไรเลย”
“ก็แกเป็นครูอนุบาลนี่”
“เอาน่า ทนอีกหน่อย เดี๋ยวก็ปิดเทอมแล้ว อดทนหน่อยนะเพื่อน”
เมรินเซ็ง “ใช่สิ แกก็พูดได้สิ ลองมาเป็นชั้นซักอาทิตย์ แกต้องไม่พูดแบบนี้แน่”
เมรินทำหน้าเซ็ง สุดนภามองอย่างเห็นใจ
ปรางค์ทิพย์เดินเข้ามาในบ้าน เสกสรรเดินย่องลงมาจากข้างบน พอเห็นปรางค์ทิพย์เสกสรรก็สะดุ้ง
“คุณสรรคะ ทำไมกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าตอนนี้” ปรางค์ทิพย์ถาม
“เดี๋ยวผมต้องไปงานกับท่านประธานเลยกลับมาเปลี่ยนเสื้อก่อน ผมไปนะ”
“เดี๋ยวก่อน ชั้นมีเรื่องจะพูดกับคุณ”
เสกสรรชะงักด้วยความหนักใจ เขาจำใจหันไปเผชิญหน้ากับปรางค์ทิพย์
“มีเรื่องอะไรหรือ สั้นๆนะ ผมรีบ”
“ตอนนี้แม่ภัสกำลังมีปัญหา นายเมธีไม่กลับบ้าน อ้างแต่เรื่องงานตลอด คนอะไรมันจะทำงานหนักได้ขนาดนั้น ถ้าไม่ได้มีเรื่องอย่างว่าน่ะ คุณว่าไหม”
เสกสรรถอนหายใจโล่งอก “เมธีเป็นเจ้าของบริษัท ก็ต้องทำงานหนักกว่าลูกน้องเป็นธรรมดา คุณเมธี ทำงานหนักก็เพื่อครอบครัว คุณภัสก็ไม่น่าคิดมาก”
“ไม่เหมือนคุณใช่ไหมคะ ไม่เอาไหน ทำอะไรก็ไม่ก้าวหน้า” ปรางค์ทิพย์ว่า
“ก็ผมมันเป็นแค่ลูกจ้างนี่คุณ จะไปหาความก้าวหน้าได้แค่ไหนกันเชียว เพราะอย่างนี้ไงครับ ผมถึงอยากที่จะลาออกมาทำธุรกิจของตัวเอง ทำเองรวยเอง ไปต้องไปช่วยคนอื่นรวยแต่ตัวเองได้เงินเดือนแค่ไม่เท่าไร”
“แล้วทำไมคุณไม่ทำล่ะ ดีแต่พูดอยู่นั่นแหละ”
“ผมจะไปเอาทุนมาจากไหนล่ะเงินเดือนผมก็นิดเดียวเอง ทำไมคุณไม่ลองไปขอมรดกจากคุณย่ามาลงทุนสักก้อนละ ถ้าเรามีเงินเราจะเปิดบริษัท มีคนเอาโครงการดีๆ มาเสนอผมเยอะ” เสกสรรพาภรรยาเดินไปหยิบใบโปรเจคในลิ้นชัก “โปรเจ็คนี้ดีมากเลย แต่ขาดเงินลงทุนนี่แหละ”
ปรางค์ทิพย์อึ้ง
“ขอมรดก นี่มันเรื่องใหญ่เลยนะคุณสรร”
“เชอะ เมธีท่านยังช่วยเลย ผมก็หลานเขยเหมือนกันนะ หรือ ท่านรักแต่หลานย่า จนไม่เห็นหัวหลานยายเลย”
เสกสรรเดินออกไปจากบ้าน
“เดี๋ยวก่อนสิ คุณสรร”
“ผมต้องรีบไป ผมเป็นลูกจ้างนะ ไม่ใช่เจ้าของกิจการ”
เสกสรรเดินไป ปรางค์ทิพย์มองตามแล้วคิดหนัก
ประภัสสรถือจดหมายในมือแต่ตามองเหม่อ ปรงทองยืนมองแล้วส่ายหน้า
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่า แม่ภัส” ปรงทองถาม
ประภัสสรตกใจ “เปล่าค่ะคุณย่า ภัสสบายดี”
“ไม่ต้องมาปดย่า คนไม่มีเรื่องจะอ่านหนังสือกลับหัวหรือ”
ประภัสสรมองจดหมายในมือแล้วหลบตาปรงทอง
“มีเรื่องกับพ่อเมธีใช่มั๊ย บอกย่ามาตามจริงเถอะ”
“ภัสคงแก่เกินไปมั้งคะคุณย่า ไม่เหมือนสาวๆที่ออฟฟิศ คุณเมธีเลยไม่อยากกลับบ้าน”
ปรางค์ทิพย์เดินเข้ามาได้ยินพอดี
“โถ แม่ภัส เป็นอะไรไปจ๊ะ” ปรางทิพย์พูดกับปรงทอง “สวัสดีค่ะคุณยาย นี่แม่ภัสเธอวิตกเรื่องเมธีใช่มั๊ย”
ประภัสสรก้มหน้า ปรงทองมองปรางค์ทิพย์อย่างเบื่อหน่าย
“พี่บอกเธอแล้วใช่ไหมล่ะว่าอย่าปล่อยตัวเกินไป หัดเอาอกเอาใจคุณเมธีเค้าบ้างเค้าจะได้ไม่เบื่อ ผู้ชายนะเค้าก็ต้องชอบอะไรที่มันเจริญหูเจริญตาเป็นธรรมดา จริงไหมคะคุณยาย”
“นี่วันนี้เธอไม่มีงานอะไรทำหรอกเหรอแม่ปรางค์” ปรงทองว่า
“แหมคุณยายก็ ลูกก็ไปโรงเรียนแล้ว ปรางก็ว่างทั้งวันแหล่ะค่ะ สู้แม่ภัสก็ไม่ได้ ได้ทำงานมูลนิธิ ใครๆก็รู้ว่า ได้ช่วยเหลือสังคม มีหน้ามีตา รู้ไม๊คะ เด็กในบ้านมันพูดเหมือนกันหมดเลย ว่าคุณย่าน่ะ ไม่ยุติธรรม”
“เด็กในบ้านพูด หรือเราพูด มีอะไรในใจก็พูดมา ว่าชั้นไม่ยุติธรรมยังไง อย่ามากระทบกระเทียบให้เสียเวลา ที่ชั้นให้แม่ภัสมาทำงานที่มูลนิธิ เพราะแม่ภัสสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง ไม่ชอบทำธุรกิจ ชั้นจึงเลือกงานให้เหมาะกับคน”
“ก็นั่นแหละค่ะ ปรางค์ก็ไม่ได้ว่าอะไรคุณยายนะคะ เพียงแต่อยากให้คุณย่ายุติธรรม เมตตาครอบครัวปรางบ้าง”
“งั้นก็พูดมาตรงๆ แกจะให้ชั้นทำยังไงถึงเรียกว่ายุติธรรม”
ปรางค์ทิพย์ยิ้มประจบ
“เอ่อ คือ ปรางค์อยากจะมารบกวนขอทุนจากคุณยาย ให้คุณสรรไปเปิดบริษัท จะได้มีกิจการเป็นของตัวเอง ไม่ต้องไปเป็นลูกจ้างคนอื่นน่ะค่ะ”
ปรงทองหน้าเครียดและถอนหายใจ
ประภัสสรกับปรางค์ทิพย์เดินมาพร้อมกัน
“แม่ภัส เธอต้องช่วยพี่นะ เงินแค่นี้ ถ้าเธอสนับสนุนพี่ คุณยายต้องยอม”
ประภัสสรอ้ำอึ้ง “แต่เรื่องแบบนี้ ต้องแล้วแต่คุณย่านะคะ ภัสไม่กล้า...”
“ถ้าเธอไม่ช่วย แสดงว่าเธอไม่อยากให้ได้ดี ถ้าเธอคิดอย่างนั้นพี่จะเสียใจมาก เพราะพี่ทั้งรักและหวังดีกับเธอมาตลอดคอยดูแลเธอดีซะยิ่งกว่าผัวเธอซะอีกนะแม่ภัส คุณยายต้องฟังเธออยู่แล้วเพราะเธอมันหลานรัก”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะพี่ปรางค์ คุณย่าน่ะยุติธรรมเสมอละคะ แต่ท่านจะมีเหตุผลของท่านน่ะค่ะ ว่าอะไรเหมาะอะไรควร ท่านถึงได้ประสบความสำเร็จมาจนถึงทุกวันนี้ไงคะ”
“ไม่รู้ละ ถ้าคุณย่าไม่ยอมช่วยพี่ แสดงว่าเธอกับคุณย่าไม่สนับสนุนพี่ กับคุณสรร พี่จะได้จำเอาไว้”
ปรางค์ทิพย์เดินไป ประภัสสรอึดอัด
ปฐวีและหนึ่งฤทัยไปเยี่ยมตันหยงที่ห้องพัก
“คนไข้เริ่มมีปฏิกริยาตอบสนองอะไรบ้างรึเปล่าครับ” ปฐวีถาม
“เหมือนเดิมค่ะ ไม่มีอะไรคืบหน้าเลยค่ะ” หนึ่งฤทัยบอก
“มีวิธีไหนที่จะกระตุ้นให้ลูกผม มีปฏิกิริยาตอบรับบ้างมั๊ยครับ” พินิจถาม
“หมอคะ ขืนปล่อยไว้แบบนี้ ชั้นต้องบ้าตายแน่ๆเลย” บุหงาบอก
“ผมอ่านพบเคสคล้ายๆ ของคุณตันหยง ที่อเมริกา มีการทดลองให้คนใกล้ชิด หรือคนที่ผูกพันกับคนไข้มากๆ พูดคุยกับคนไข้บ่อยๆ อาจจะทำให้อาการดีขึ้นนะครับ”
“จริงหรือคะคุณหมอ”
“จริงครับ แต่ว่าไม่มีสถิติแน่ชัดว่าได้ผลแค่ไหน เป็นเพียงแต่เป็นการทดลองเท่านั้น”
พินิจและบุหงามองหน้ากันอย่างมีหวัง
“ครับ ขอแค่มีความหวัง ยังไงผมก็ต้องขอบคุณคุณหมอด้วยนะครับ” พินิจบอก
“ไม่เป็นไรครับ เป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว”
ปฐวีมองตันหยงแล้วยิ้มให้พินิจ
“ลองดูนะคะ ลองหลายๆทางไม่มีอะไรเสียหาย เผื่อจะได้ผล” หนึ่งฤทัยบอก
พินิจกับบุหงามองหน้ากัน
พรพรหมอลเวง ตอนที่ 5 (ต่อ)
พิรามนั่งทำงานอยู่ในห้อง พัดชาเปิดประตูเข้ามาในสภาพข้อมือมีผ้าพันแผล เธอเอาหนังสือแต่งตั้งมาขว้างลงที่โต๊ะทำงานของพิรามอย่างแรง พิรามมองเฉย
“คุณส่งชั้นไปคุมโปรเจ็คที่ภูเก็ตใช่มั๊ย” พัดชาถาม
“ใช่”
“คุณทำแบบนี้ทำไม คุณนึกเหรอว่าชั้นจะยอมไปง่ายๆ”
พิรามพูดเรียบๆ “ถ้าคุณไม่ไป ผมไปเองก็ได้”
พิรามลุกขึ้น พัดชายืนขวางไม่ยอมให้ไป
“เราต้องพูดกันให้รู้เรื่อง”
“พัดชา ผมพูดทุกอย่างไปหมดแล้ว”
พัดชาจ้องหน้าพิราม
“เรื่องระหว่างเรามันคือความผิดพลาดนะพัดชา คุณบอกผมเองว่าคุณไม่คิดจริงจัง แต่ผมก็พยายามรับผิดชอบในสิ่งที่ผมทำลงไป ทั้งๆที่ผมไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อน”
พัดชาอับอายจึงเบือนหน้าหนี
“ผมเสียใจจริงๆ พัดชา เราสองคนทำผิดกับตันหยงมามากแล้ว การที่ตันหยงเป็นแบบนี้ เพราะเรา เราสองคน ถึงเวลาที่เราควรจะหยุดได้แล้ว พัดชา ได้โปรดเถอะ หยุดเรื่องนี้ซะที”
พัดชาจุกกับคำพูดของพิราม พัดชาจ้องหน้าพิรามก่อนจะหันหนีแล้วเดินออกจากห้องไป พิรามนั่งที่เก้าอี้ด้วยความเหนื่อยหน่ายกับสิ่งที่ตัวเองกระทำและเสียใจจนต้องหลับตาลง
เวลาผ่านไป พิรามดูรูปตันหยงแล้วตัดสินใจเผชิญหน้ากับความเป็นจริง เขาลุกขึ้นเดินออก
พินิจกับบุหงานั่งมองหน้ากัน พิรามที่นั่งตรงข้ามก้มหน้าสำนึกผิด
“ผมเข้าใจถ้าคุณพ่อคุณแม่ยังโกรธผม ผมยอมรับผิดทุกอย่าง จะตำหนิว่าผมยังไงผมก็ยอม แต่ขอโอกาสให้ผมได้ดูแลตันหยง”
บุหงาเมินหน้าหนี
“เธอยังมาขอโอกาศอีกเหรอ หยงเป็นแบบนี้เพราะเธอใช่ไม๊ ชั้นเสียใจจริงๆ เสียใจที่มองคนผิดไป”
“ผมขอโทษ ผมแก้ไขในสิ่งที่ผมทำผิด ผมทำลายความไว้ใจของตันหยง และคุณพ่อคุณแม่ เป็นเพราะไม่หนักแน่นพอ ตั้งแต่เกิดเรื่องไม่มีวันไหนเลยที่ผมจะไม่เสียใจ ผมเหมือนตกนรกทั้งเป็น........ ใจผมจะขาดอยู่แล้วครับ”
บุหงาทำท่าจะโวยวายแต่พินิจรีบปราม
“พ่อรู้ว่าพิรามไม่ใช่คนเลวร้าย มนุษย์เรา ทำผิดพลาดกันได้ คนเราถ้ายอมรับผิดอย่างลูกผู้ชายได้ เค้าก็ควรได้รับโอกาสที่สอง”
พิรามเงยมองพินิจอย่างมีหวัง
พินิจหันไปพูดกับภรรยา “และที่หยงต้องเป็นแบบนี้ มันก็เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุ อย่าไปโทษพิรามเค้าเลย”
บุหงามองหน้าพินิจแล้วมองพิรามแบบตัดพ้อ ก่อนจะซบหน้าร้องไห้ที่ไหล่พินิจ
“ขอบคุณมากครับ ผมสัญญา ว่าจากนี้ไป ผมจะดูแลตันหยงไปตลอด และผมจะไม่ทำอะไรผิดพลาดอีก ผมสัญญาครับ”
บุหงามองหน้าพินิจเป็นเชิงถาม พินิจพยักหน้า ทุกคนหันไปมองร่างตันหยงที่นอนอยู่
เด็กนักเรียนกำลังวิ่งเล่นอยู่ในสนาม สุดนภากับเมรินยืนอยู่ด้วยกันที่หน้าประตู เมรินมองเด็กวิ่งเล่นรอบๆตัวอย่างเบื่อๆ ปฐวีเดินเข้ามา สุดนภาเห็นปฐวีก็รีบทักอย่างอ่อนหวาน
“คุณหมอวีมารับเองเลยนะคะ”
“ครับครูบี๋ วันนี้น้องเมย์เป็นยังไงบ้างครับ ดื้อหรือเปล่า”
สุดนภามองเมริน เมรินเมินหน้า
“ทำไมไม่สวัสดีน้าวีก่อนล่ะ”
เมรินยกมือไหว้อย่างไม่เต็มใจ
“สงสัยวันนี้น้องเมย์นอนไม่เต็มตาน่ะค่ะ เลยหงุดหงิด”
เมรินค้อน สุดนภาเลยหันไปยิ้มหวานให้ปฐวี นาวินเดินเข้ามา
“เฮ้ย ไอ้วี วันนี้มาทั้งส่งทั้งรับน้องเมย์เลย” นาวินชำเลือง “เลยมีบางคนหน้าบานเชียว”
สุดนภาตกใจว่านาวินจับได้รึเปล่า เธอทำเป็นมองซ้ายมองขวาว่านาวินพูดถึงใคร
ปฐวีชี้เพื่อน “แซวแบบนี้ เดี๋ยวมาทุกวันเลย”
นาวินยกมือห้าม “ไม่ต้อง ไม่ต้องมาบ่อยก็ได้นะ มาที ครูแถวนี้สติสตางค์ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว”
สุดนภาอายมากและแค้นนาวิน ปฐวีขำแล้วส่ายหัว เมรินมองทุกคนแล้วพูดตัดบท
“เมย์อยากกลับบ้านค่ะ”
ปฐวีแกล้งพูดหวานเพื่อยั่วเพื่อน “งั้นผมไปก่อนนะครับครูบี๋” ปฐวียิ้มกวนนาวิน “ชั้นไปก่อนนะ”
นาวินมองสุดนภาที่ยิ้มปลื้มให้ปฐวีแล้วก็แค้น นาวินเดินเข้ามาใกล้สุดนภาแล้วจะชวนคุย
“...จะมองส่งกันถึงบ้านเลยเหรอครับ” นาวินมองสุดนภา “พูดแค่นี้ต้องทำถอนหายใจ”
สุดนภามองนาฬิกาแล้วเชิดเปลี่ยนคาแรคเตอร์ “หมดเวลางานแล้ว ขอตัวกลับก่อน”
สุดนภาเดินไปแบบไม่สนใจนาวิน นาวินมองตามด้วยความหมั่นไส้
“เปลี่ยนบุคลิกได้ชัดมาก”
ปฐวีกับเมรินเดินมาขึ้นรถ
“เป็นไงคะน้องเมย์ มาโรงเรียนวันแรกสนุกไหมคะ”
“มาโรงเรียนนะคะไม่ได้ไปเที่ยวสวนสนุก สักกะหน่อยถึงจะได้สนุก” เมรินย้อน
ปฐวีขำ “กวนใช่ไหมเราเนี่ย เดี๋ยวโดน”
ปฐวีทำท่าจะหอมและฟัดเมริน เมรินขยับตัวหนี
“อย่านะ นี่มันในโรงเรียนอย่ามาโดนตัวน้องเมย์นะคะ น้าวีเป็นผู้ชาย น้องเมย์เป็นผู้หญิงเดี๋ยว ใครมาเห็นเข้ามันไม่ดีค่ะ”
ปฐวีหัวเราะก๊าก “นี่นาวีนะ ทำไมต้องหวงเนื้อหวงตัว” ปฐวีคิด “สาวๆสมัยนี้ยังมีเหลืออีกหรือ
“อย่างน้อยก็มีชั้นคนนึงแหละ”
ปฐวีทำหน้าดุใส่เมริน
“ทำไมพูดชั้นกับน้าวีอย่างนี้ล่ะ ไม่น่ารักเลย ถ้าพูดชั้นกับน้าวีอีก เรื่องนี้ต้องถึงหูครูบี๋แน่นอน”
เมรินยื่นหน้าใส่ “ขอโทษค่ะ น้าวี”
เมรินทำท่างอนแล้วขึ้นรถไป ปฐวีมองตามแล้วส่ายหน้า
ประภัสสรนั่งหน้าเครียดอยู่ในบ้าน เธอนึกถึงตอนที่คุยกับปรางค์ทิพย์ก่อนหน้านี้
ปรางค์ทิพย์ต่อว่า “.....ถ้าเธอไม่ช่วยพี่ก็เท่ากับเธอ เห็นผัวดีกว่าพี่...”
ประภัสสรกลุ้มใจ
“หรือว่าจะปรึกษาตาวีดี แต่ถ้าปรึกษาตาวีพี่ปรางค์รู้เข้าจะโกรธเราหรือเปล่านะ” ประภัสสรนิ่งคิด “ทำยังไงดี โทรปรึกษาคุณเมธีดีมั๊ยนะ”
ประภัสสรมีสีหน้ากังวลใจ
เมรินกับปฐวีเดินเข้ามาหา
“สวัสดีค่ะคุณแม่”
ประภัสสรรีบปั้นยิ้มรับลูก ปฐวีสังเกตเห็น
“พี่ภัส มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“อ๋อ ไม่มีหรอกวี วันนี้อากาศร้อนจังเลย”
“ครับ ช่วงนี้อาการแปรปรวน พี่ภัสต้องพักผ่อนมากๆนะครับ”
“จ๊ะ ทานของว่างด้วยกันมั๊ย เดี๋ยวพี่จัดให้”
“ขอตัวไปอาบน้ำก่อน ร้อนจังเลย เดี๋ยวผมมาทานด้วยนะครับ” ปฐวีพูดกับเมริน “น้องเมย์เดี๋ยวน้าวีมาทานด้วยนะ”
“ค่ะ แต่ช้าหมดไม่รู้ด้วยนะคะ”
ปฐวีหันมายิ้มเพราะรู้สึกว่าเดี๋ยวนี้หลานสาวพูดจากวนดีจริงๆ ประภัสสรมองตามปฐวีแล้วถอนหายใจ
ประภัสสรดูแลให้เมรินทานของว่างอยู่ ปรางค์ทิพย์เดินเข้ามา
“แม่ภัส ทำอะไรอยู่” ปรางค์ทิพย์ถาม
เมรินเห็นปรางค์ทิพย์ก็ทำหน้าเหนื่อย ปรางค์ทิพย์รีบดึงประภัสสรออกห่างเมริน
“ไง เธอช่วยสนับสนุนพี่กับคุณย่าหรือเปล่า”
ประภัสสรทำท่าอึกอัก
“ยังเลยค่ะ ภัสยังไม่ได้คุยเลย”
“อะไรกัน เรื่องแค่นี้ เธอจะไม่ช่วยพี่หรือ เสียแรงพี่ฝากความหวังไว้กับเธอ”
“ภัส...ตัดสินใจไม่ได้ค่ะ งั้นเดี๋ยวภัส ขอโทรปรึกษาคุณเมธีก่อนนะคะ”
ประภัสสรกดโทรศัพท์ ปรางค์ทิพย์ปรี๊ดแตกจึงเดินไปกระชากโทรศัพท์และขว้างทิ้ง
“อะไรกัน แม่ภัส เรื่องแค่นี้เธอต้องโทรรายงานผัวด้วยสมองน่ะมีไหม หัดคิดอะไรเองบ้างนะ คิดอะไรไม่เป็น เป็นซะแบบนี้แหละ ผัวถึงเบื่อ”
ประภัสสรอึ้งกับความหยาบคายของปรางค์ทิพย์
เมรินเดินมามองแล้วพูด
“ป้าปรางทำไมทำแบบนี้ล่ะคะ ไม่น่ารักเลย”
“แกไม่ต้องมายุ่ง นังเมย์ เรื่องของผู้ใหญ่เด็กอย่ามาสอด”
“เมย์ต้องยุ่ง ถ้าเป็นเรื่องของคุณแม่”
ปรางค์ทิพย์โกรธ “หนอยแนะ นังเมย์ นี่แกจะยุ่งมากเกินไปแล้วนะ”
“น้องเมย์ขา เดี๋ยวแม่คุยกับป้าปรางเองค่ะ หนูไปทานของว่างเถอะนะคะ” ประภัสสรบอกลูกสาว
“นิสัยเหมือนพ่อมันไม่มีผิด ไม่มีความยำเกรงผู้ใหญ่ ชอบยุ่งนัก”
เมรินถอนใจ “จริงๆก็ไม่ได้อยากยุ่งหรอกค่ะ แต่ที่ป้าปรางค์ทำมันเป็นกิริยาที่ไม่ดี ดูแล้วไม่น่าเชื่อว่าป้าปรางค์กับคุณแม่ จะมีสายเลือดเดียวกัน”
“นังเมย์ มันจะมากไปแล้วนะ”
ปรางค์ทิพย์กระชากแขนเมรินมาฟาดไม่ยั้ง
ประภัสสรเข้าไปขวาง “อย่าค่ะพี่ปราง อย่าค่ะ อย่าตีน้องเมย์ค่ะ ภัสขอโทษ”
ปรางค์ทิพย์ผลักประภัสสรกระเด็นไปแล้วเงื้อมือจะตีอีก
“ไม่ได้ เด็กเลวแบบนี้ต้องสั่งสอน”
เสียงปฐวีดังขึ้น “หยุดเดี๋ยวนี้นะพี่ปรางค์”
ปรางค์ทิพย์ชะงัก เมรินสะบัดจนหลุดแล้ววิ่งไปหาปฐวี
“น้าวี”
ปฐวีกอดหลานไว้แบบปกป้องพร้อมกับจ้องหน้าปรางค์ทิพย์แบบจะเอาเรื่อง
ปรงทองนั่งเป็นประธานด้วยสีหน้าเครียด ในขณะที่เมรินนั่งตักปฐวี
ปรางค์ทิพย์รีบฟ้อง “น้องเมย์พูดจาก้าวร้าว ไม่รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่ ปรางค์เองกลัวว่าแกจะเสียคนเลยต้องตีกำราบบ้างน่ะค่ะ”
“แต่ที่ผมเห็นน่ะไม่ใช่การตีสั่งสอนนะครับ พี่ปรางค์” ปฐวีแย้ง
“วีพูดแบบนี้ หมายความว่าพี่ทำเกินกว่าเหตุใช่มั๊ย วีคิดว่าพี่จะใจไม้ ไส้ระกำฆ่าหลานหรือไง”
“ผมไม่ได้พูดขนาดนั้น เพียงแต่จะลงโทษกันก็อย่าให้มันเกินไป ทำไมต้องรุนแรงขนาดนั้น”
“ก็โอ๋กันเข้าไป น้องเมย์ถึงได้เป็นแบบนี้ไงละ พี่ถือคติว่ารักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี นี่เห็นเป็นลูกเป็นหลานเลยอบรม ถ้าไปทำกับคนอื่นเค้า จะว่าได้ว่าพ่อแม่ไม่สั่งสอน”
“พอเถอะ แม่ปรางค์” ปรงทองปราม “ชั้นขอร้อง ทีหลังอย่าทำรุนแรงกับหลานขนาดนี้ ถ้าแม่ภัสเค้าทำกับลูกหล่อนบ้าง หล่อนคงจะไม่นั่งซับน้ำตาแบบแม่ภัสหรอกใช่มั๊ย”
ประภัสสรนั่งซับน้ำตา
ปรางค์ทิพย์ยักไหล่ “ลูกปรางค์ไม่วันแสดงกริยาก้าวร้าว กับผู้ใหญ่แบบนี้หรอกค่ะ เพราะไม่มีเชื้อสายแบบนั้น แต่ถ้าคุณย่าจะโทษปรางค์ ปรางก็ยอมรับผิด ปรางค์ไม่ใช่หลานรักนี่คะ ทำอะไรก็ผิดไปหมด ไม่เคยดีในสายตาคุณย่าเลยใช่ไหมคะ”
ปรางค์ทิพย์ทำมารยาซับน้ำตา
“เอาละ ๆ แม่ปรางค์ไม่ต้องสาธยายหรอก ชั้นน่ะยุติธรรมเสมอ เรื่องนี้ก็ให้เลิกแล้วต่อกัน เจ้าเมย์ขอโทษป้าปรางเค้าซะ ส่วนเราก็ต้องขอโทษหลานที่ใช้อารมย์รุนแรงกับเด็ก” ปรางทิพย์แค้น แล้วต่างคนก็ต่างขอโทษกัน ปรงทองพูดต่อ “เรื่องที่หล่อนขอชั้นน่ะ เดี๋ยวชั้นจะจัดการให้”
ปรางค์ทิพย์ยิ้มออก
“จริงหรือคะคุณยาย ปรางค์กราบขอบพระคุณค่ะ”
ปรางค์ทิพย์กราบปรงทองแล้วแอบยิ้ม ปรงทองหนักใจ ปฐวีมองปรางทิพย์แล้วส่ายหน้า ก่อนจะโอบกอดหลานเอาไว้
ปฐวีเดินจูงมือเมรินมาที่สวนหลังบ้าน
“เป็นไงบ้างจ๊ะน้องเมย์เจ็บมากไหมคะ เจ็บตรงไหนบอกมาเดี๋ยวน้าวีเป่าให้นะคะ”
“ไม่เจ็บกายค่ะ แต่เสียใจมากกว่า” เมรินบอก
“น้องเมย์....”
“เมย์ทำผิด เมย์ยอมรับ แต่ป้าปรางค์พูดจาหยาบคายกับคุณแม่ก่อน ทำไมไม่มีใครลงโทษ หรือว่าเป็นเด็กต้องผิดเสมอ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ป้าปรางขอโทษเราแล้วไง”
“แต่ไม่ขอโทษคุณแม่ เมว่ามันไม่ถูก”
“อย่าคิดอย่างงั้นน้องเมย์ ที่ป้าปรางขอโทษเราก็พอแล้ว เราเป็นเด็กต้องมีความเคารพผู้ใหญ่”
“แล้วถ้าผู้ใหญทำตัวไม่น่าเคารพล่ะคะ เราควรจะเคารพหรือเปล่า”
“ถามแบบนี้ตอบยากแฮะ มาน้าวีดูแผลให้ เจ็บตรงไหนบ้าง”
ปฐวียกแขนเมรินขึ้นดูก็เห็นเป็นรอยแดง ปฐวีเป่าแผล เมรินมอง
“เพี๊ยง หายนะ”
เมรินมองขำๆ “หมอที่ไหนเค้ารักษากันแบบนี้คะ”
“ก็น้าวีนี่แหละ รักษากับน้องเมย์คนเดียวเท่านั้น หายหรือยังคะ”
เมรินเขินจึงเมินไปทางอื่น “หายแล้วค่ะ”
ปฐวีมองเมรินที่เขินแบบเอ็นดู
รถเมธีวิ่งเข้ามาจอด เมธีลงจากรถ สายแก้วรีบเดินมารับกระเป๋าจากเมธี
“น้องเมย์กลับมาหรือยังนี่” เมธีถาม
“กลับมาแล้วค่ะ อยู่ที่สวนหลังบ้าน คุณวีกำลังดูแผลให้ค่ะ”
“ดูแผลหรือ น้องเมย์เป็นอะไร ทำไมมีแผล”
สายแก้วอึกอัก “...เอ่อ...คือว่า...”
เมธีมองสายแก้วอย่างหงุดหงิดแล้วพุ่งเข้าบ้านไป
“เกิดเรื่องแน่งานนี้ ทำไงดีล่ะทีนี้”
สายแก้วร้อนรน
ประภัสสรนั่งดมยาดมและซับน้ำตาอยู่ เมธีเดินเข้ามา
“ไหน น้องเมย์เป็นอะไร คุณภัส”
“คุณเมธี น้องเมย์ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ ฟกช้ำนิดหน่อย”
“ฟกช้ำ ทำไมถึงฟกช้ำ ใครทำอะไรลูกหรือ”
ประภัสสรอึกอัก “คือ วันนี้พี่ปรางค์เค้า มีเรื่องกับภัสนิดหน่อย แล้วน้องเมย์ไปต่อว่า พี่ปรางค์เลยลงโทษน้องเมย์ค่ะ”
“คุณภัส คุณปล่อยให้คุณปรางค์มาทำร้ายน้องเมย์ได้ยังไง มันจะมากไปแล้วนะ ทำไมคุณไม่ปกป้องลูกมัวทำอะไรอยู่”
ประภัสสรหงุดหงิดทันที “นี่คุณโทษภัสหรือคะ แล้วคุณล่ะค่ะ คุณอยู่ที่ไหน เวลาที่ลูกมีปัญหา”
“มันจะมากไปแล้ว คุณปรางค์ ทำร้ายผม ผมทนได้ แต่อย่ามาทำร้ายลูกผม ผมไม่ยอม”
เมธีผลุนผลันจะไป แต่ประภัสสรดึงมือไว้
“คุณจะไปไหนคะ อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เลยค่ะมันจบไปแล้วภัสขอร้อง ภัสเหนื่อยเหลือเกิน”
เมธีกับประภัสสรมองหน้ากันแล้วเมินใส่กัน
ปฐวีนั่งคุยกับเมริน สายแก้ววิ่งหน้าตื่นเข้ามา
“คุณวีขา เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
“อะไรกันสายแก้ว” ปฐวีถาม
“คุณเมธีค่ะ พอรู้เรื่องคุณเมย์ คุณเมธีก็โกรธใหญ่เลย”
ปฐวีถอนหายใจ “พี่เมธีรู้เรื่องแล้วเหรอ บ้านแตกแน่”
“งั้นเราเข้าไปดูดีกว่าค่ะ คุณแม่คงไม่ยอมให้คุณพ่อไปทำอะไรป้าปรางค์แน่” เมรินบอก
“ทำไมน้องเมย์มั่นใจขนาดนั้น” ปฐวีถาม
“ไม่เชื่อคอยดูก็แล้วกัน”
“สายแก้วว่า คุณวีเข้าไปดูหน่อยดีมั๊ยคะ สายแก้วใจคอไม่ดีเล๊ย”
“ไปเข้าไปดูกันเถอะ” เมรินชวน
เมรินลุกขึ้นเดินเข้าบ้านไป ปฐวีมองหน้าเมรินอย่างแปลกใจแล้วรีบเดินตามไป
ประภัสสรนั่งร้องไห้ เมธียืนหงุดหงิด
“ใช่สิ ภัสมันไม่ดี ภัสมันไม่ได้เรื่องถึงดูแลลูกไม่ได้”
“โธ่ภัส ผมไม่ได้หมายความแบบนั้นซะหน่อย”
ปฐวี และเมริน เดินเข้ามายืนมองประภัสสรกับเมธีทะเลาะกัน เมรินหันไปมองหน้าปฐวี แล้วรีบวิ่งไปหาเมธี
“คุณพ่อขา กลับมาแล้วหรือคะ คิดถึงจังเลย”
เมธีรีบคว้าตัวเมรินมาอุ้มแล้วสำรวจตัวลูกสาวอย่างรวดเร็ว
“เป็นยังไงบ้าง เจ็บตรงไหนหรือเปล่าบอกพ่อมา เดี๋ยวพ่อจะไปคุยกับป้าปรางค์”
เมรินส่ายหน้า “ไม่เป็นอะไรเลยค่ะ เรื่องเล็ก คุณพ่อมาเหนื่อยๆไปอาบน้ำก่อนดีไหมคะ แล้วมาทานข้าวกันนะคะ น้องเมย์หิ๊ว หิว วันนี้คุณแม่ทำของโปรดที่คุณพ่อชอบด้วยละคะ”
เมธีมองเมรินคุยจ๋อยๆ ก็เริ่มสงบลง
“ก็ได้ลูก รอพ่อแป๊บนึงนะ เดี๋ยวพ่ออาบน้ำแล้วลงมาทานข้าวพร้อมกัน”
“ค่ะ เร็วๆนะคะ เมย์หิว”
“จ๊ะ ไม่นานหรอก”
เมธีวางเมรินลงแล้วหันไปมองหน้าประภัสสร ประภัสสรเมินหน้าแล้วเดินเลี่ยงไป เมธีถอนหายใจยาวแล้วเดินไป
“โห..น้องเมย์หลานน้าวีนี่สุดยอดจริงๆ” ปฐวีชมเชย
เมรินยิ้มให้ปฐวี ปฐวีมองหลานอย่างชื่นชม
กลางดึก ปฐวีกำลังเสริชหาข้อมูลเรื่องอาการป่วยของตันหยงเป็นภาษาอังกฤษ
“มีแต่เรื่องวิญญาณ จะเกี่ยวกับคุณได้ยังไงนะ คุณตันหยง”
ปฐวีหยุดพักแล้วลุกขึ้นเดินไปที่ริมหน้าต่าง
ปฐวีนึกถึงภาพตันหยงที่สนามบิน นึกถึงตอนที่ตันหยงเถียงเถียงกับไกด์ นึกถึงเมรินที่คุยกับเขาอย่างฉาดฉานแล้วปฐวีก็ยิ้มขำ
เขานึกถึงตันหยงที่ร้องไห้ขับรถเฉี่ยวหน้าโรงแรม นึกถึงตอนที่เมรินแก้สถานการณ์พ่อกับแม่ทะเลาะกัน
ปฐวียิ้มขำๆ แล้วก็สะบัดหัว
“นี่เราเป็นอะไรไป คิดพัวพันกันไปหมด”
ปฐวียิ้มอย่างมีความสุข
ประภัสสรนั่งแปรงผมอยู่หน้ากระจก เมธีเดินเข้ามากอดประภัสสรทางด้านหลังแล้วพูดนุ่มๆ
“คุณภัสครับ ผมขอโทษนะที่พูดรุนแรงไปหน่อย ผมโกรธเลยควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ไม่ได้ตั้งใจที่จะว่าคุณดูแลลูกไม่ดี”
ประภัสสรหน้าเฉย เธอลุกขึ้นเดินเบี่ยงตัวออกจากอ้อมกอดเมธี เมธีหน้าเสีย
“เป็นความผิดของภัสเอง ภัสดูแลลูกไม่ดีพอ” ประภัสสรบอก
“โธ่คุณภัส ไม่เอาน่า ผมขอโทษ”
“ถ้าคุณอยู่ เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้นใช่มั๊ยคะ”
เมธีเดินจะเข้าไปหาประภัสสรอีกครั้ง แต่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เมธีชะงัก ประภัสสรเมินหน้าหนี เมธีถอนหายใจยาวก่อนจะกดรับโทรศัพท์
“มีเรื่องอะไร ...”
ประภัสสรเชิดหน้าเดินไปนั่งที่เตียง เมธีมองตามอย่างหนักใจ
“ได้ๆ เดี๋ยวผมจะรีบจัดการให้นะครับ” เมธีกดวางสาย “ภัสครับ ผมต้องรีบไปก่อน”
“งานด่วนใช่มั๊ยคะ”
“ครับ ลูกค้าอยากคุยเรื่องแบบ ไม่รู้จะมีปัญหาอะไรนักหนา จะวางโครงสร้างพรุ่งนี้แล้ว”
“ไปเถอะ ภัสเข้าใจทุกอย่าง จริงอย่างที่พี่ปรางค์พูด ภัสมันโง่ไม่ทันใครเค้า”
เมธีชะงัก “นี่คุณภัส คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง เมื่อไรคุณจะเชื่อผมมากกว่าคนอื่นซะที”
“คนอื่นของคุณ คือพี่สาวภัสนะคะ และเป็นห่วงภัสมาตลอด ไม่เหมือนคุณที่เอาแต่เรื่องงานมาเป็นข้ออ้างตลอด คุณไม่เคยมีเวลาให้ภัสกับลูกเลย งานๆ ทุกอย่างงานต้องมาก่อนเสมอ”
“ผมบอกคุณกี่ครั้งแล้วว่าคุณปรางค์ไม่เคยหวังดีกับครอบครัวเราเลย คุณก็ไม่เคยเชื่อผมเลยสักครั้ง หนักแน่นหน่อยสิครับคุณภัส”
“นี่คุณหาว่าชั้นหูเบาเหรอคะ ถ้าคุณเห็นว่างานมันดีกว่าชั้นกับลูก คุณก็ไปอยู่กับงานของคุณเลย ไม่ต้องมาแคร์ชั้น ไปเลยจะไปไหนก็ไป”
เมธีชะงัก “คุณไล่ผมหรือภัส”
ประภัสสรพูดไม่ออก
เมธีผลุนผลันออกจากห้องไป ประภัสสรผวาจะตาม
“คุณเมธี ...”
แล้วประภัสสรก็นั่งร้องไห้
เมธีกางแบบแล้วปรึกษางานกับลูกค้า เมธีอธิบายแผนผังให้ลูกค้าฟัง เมธีชี้อธิบายตามโมเดลรูปตึก ลูกค้าพยักหน้าพอใจ เมธีเก็บเอกสารบนโต๊ะ
“ผมต้องขอโทษที่โทรตามคุณมาด่วน บอสจะกลับญี่ปุ่นวันนี้ ผมต้องให้ข้อมูล ขอโทษนะครับ” ลูกค้าบอก
“ไม่เป็นไรครับ มันเป็นหน้าที่ของผม”
“ผมขอเชิญคุณเมธี ไปที่คลับเป็นการขอโทษนะครับ เจ้านายผมพอใจผลงานของคุณมาก”
เมธีอ้ำอึ้ง “ผม”
“อย่าปฏิเสธเลยนะครับ เจ้านายผมพอใจกับการทำงานของคุณมาก ท่านอยากตอบแทนคุณเมธีตามธรรมเนียม”
เมธีจำใจ “ก็ได้ครับ ขอผมเก็บของก่อน”
ลูกค้าตบบ่าเมธีอย่างพอใจ เมธีมีสีหน้าหนักใจ
ที่โต๊ะของเมธีในคลับ ทุกคนชูแก้วเหล้าชนกัน
ลูกค้าบอก “ดื่มเพื่อโครงการของเรา”
ทุกคนดื่ม เมธีจิบไปนิดนึงแล้ววางแก้ว เมธีหยิบโทรศัพท์ขึ้นมามองแล้วเก็บใส่กระเป๋า เขามองไปที่เวทีเห็นฉัตรพรกำลังร้องเพลง เมธีนั่งมองด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
ประภัสสรนอนร้องไห้อยู่บนเตียง เธอนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
เมธีมองประภัสสรอย่างผิดหวัง แล้วหันเดินออกจากห้องไป
“ภัสขอโทษ...”
ประภัสสรน้ำตาไหลพราก
พระอาทิตย์ยามเช้าโผล่พ้นขอบฟ้า พระสงฆ์กำลังรับบาตรที่หน้าบ้านปรงทอง ปรงทองและประภัสสรใส่บาตรจนเสร็จ
“เป็นไงแม่ภัส ทำไมเช้านี้ตาบวมๆ เมื่อคืนนี้นอนบ้างหรือเปล่า”
“ค่ะ ภัสปวดหัวนิดหน่อย”
ปรงทองมองหน้าประภัสสรแล้วส่ายหน้า เมธีขับรถมาจอด เมธีเดินลงจากรถแล้วยกมือไหว้ปรงทอง ประภัสสรเห็นเมธีก็ทำเมิน
“งานยุ่งล่ะสิ ไปทานข้าวเช้าด้วยกันนะ พ่อเมธี แม่ภัส” ปรงทองชวน
“ครับคุณย่า”
พรพรหมอลเวง ตอนที่ 5 (ต่อ)
ปรงทองเดินเข้าไป ประภัสสรจะตาม เมธีรีบดึงมือไว้
“เดี๋ยวก่อนสิคุณภัส ผมอยากคุยกับคุณ”
“แต่ภัสไม่มีเรื่องคุยกับคุณ ปล่อยค่ะ ภัสจะไปหาคุณย่า”
ปรางค์ทิพย์ที่ยืนมองทั้งคู่อยู่พูดขึ้น
“เพิ่งกลับเข้าบ้านเหรอคะเนี่ย อยากรู้จังที่ทำงานมีอะไรดีนะ ถึงได้ติดอกติดใจ จนลืมบ้านลืมลูกลืมเมีย น่าสงสารแม่ภัสจัง”
“ที่ทำงานผมไม่มีอะไรดีหรอกครับ มีแต่งาน ที่ผมต้องรับผิดชอบ” เมธีบอก
“งั้นหรือ ชั้นก็แค่ถามดู สงสารแต่แม่ภัสที่ต้องทนอดตาหลับขับตานอนเฝ้ารอผัวที่รัก เมื่อไหร่จะกลับมา นั่งคอยหา แต่คอยแล้วไม่เห็น”
“คุณปรางค์ ผมอยากคุยกับภรรยาผม คุณปรางค์อย่ายุ่งดีกว่า” เมธีว่า
ปรางค์ทิพย์โมโหที่เมธีพูดแบบนั้น “ชั้นไม่อยากจะยุ่งด้วยหรอก แต่บังเอิญ เมียของเธอก็เป็นน้องสาวของชั้น” ปรางค์ทิพย์พูดกับประภัสสร “เธอจะเชื่อผัวก็ตามใจนะ ชั้นไม่ยุ่งด้วยหรอก”
“คุณภัส นี่คุณไม่เชื่อผมหรือ”
ประภัสสรนิ่งไม่ตอบแล้วเมินหน้า
“รู้มั๊ย งานหนักแค่ไหน ผมทนได้ ไม่เคยท้อ แต่สิ่งเดียวที่ผมทนไม่ได้ก็คือ คุณไม่เคยเชื่อมั่นในตัวผมเลย จะมีผัวคนไหนจะทนอยู่กับภรรยาที่ไม่เคยไว้เนื้อเชื่อใจในตัวสามีแม้แต่น้อยได้”
เมธีเดินออกไป ประภัสสรผวาจะตาม แต่ปรางค์ทิพย์ดึงมือไว้
“หล่อนต้องใจแข็งเข้าไว้นะแม่ภัส เห็นไหมละ พอจี้ใจดำเข้าหน่อยก็ปึงปัง ทำเป็นโกรธ เอาแต่งานมาบังหน้า ร้ายจริงๆ”
ประภัสสรทรุดทำท่าจะเป็นลม ปรางค์ทิพย์รับไว้
“เร็วใครก็ได้มาช่วยแม่ภัสหน่อย แม่ภัสจะเป็นลม”
ปรางค์ทิพย์ตะโกนให้คนช่วยแต่แอบยิ้มสะใจ
ปฐวีถือแฟ้มเดินมาตามทางเดินในโรงพยาบาล พอถึงหน้าห้องของตันหยงเขาก็หยุดชะงัก ปฐวียืนลังเลก่อนจะตัดสินใจค่อยๆผลักประตูเข้าไป
พิรามนั่งกุมมือตันหยงอยู่ในห้อง
“หยงที่แล้วผม ผมเป็นคนผิดเอง ผมขอรับโทษทั้งหมด ขอให้ผมได้มีโอกาสอีกสักครั้งนะ ให้ผมได้ดูแลคุณในฐานะคู่หมั้นเถอะนะครับ”
ปฐวียืนตะลึงอยู่ที่หน้าประตู
ปฐวียืนอึ้ง พิรามหันมาเห็นปฐวีก็ลุกขึ้นยืน
“คุณหมอ มาตรวจหยงหรือครับ” พิรามถาม
ปฐวีอึกอัก “ผมเป็นที่ปรึกษาเคสของคุณตันหยงครับ แค่แวะมาดูเท่านั้น เอ่อ ..ผมหมอปฐวีครับ” ปฐวียื่นมือให้จับ
“ผมชื่อพิรามครับ เป็นคู่หมั้นของตันหยง”
ปฐวียิ้มแต่แอบเศร้า
พิรามมองตันหยง “หมอครับ หยงจะมีโอกาศฟื้นขึ้นมาเป็นปกติไหมครับ”
“เคสคุณตันหยง ทางโรงพยาบาลกำลังหาขั้นตอนการรักษาอยู่ครับอาจจะต้องใช้เวลาอีกซักระยะ เพราะมีความแตกต่างจากเคสอื่นที่ควรจะฟื้นแล้ว เรากำลังพยายามกันอย่างเต็มที่ครับ”
พิรามรู้สึกปวดใจ “ตอนที่เธอเป็นปกตีดี ผมแทบไม่มีเวลาได้คุยกับเธอเลยตอนนี้สิ่งที่ผมพูดไป ไม่แน่ใจว่าเธอจะรับรู้รึเปล่า”
ปฐวีมองตันหยง “คุณตันหยงต้องรับรู้ได้แน่นอนครับ”
“ขอบคุณนะครับ ที่หมอช่วยดูแลคู่หมั้นผมเป็นอย่างดี”
“นั่นเป็นหน้าที่ของหมอทุกคนอยู่แล้วครับ”
พิรามยิ้มให้ปฐวีแล้วหันไปมองตันหยงอย่างมีความหวัง ปฐวียิ้มเศร้าเพราะรู้สึกเจ็บ
ปฐวีเดินเข้ามาที่ริมสระน้ำ เขาคลายปมเน็คไทแล้วทรุดลงนั่งริมสระน้ำ
“ไม่อยากจะเชื่อเลย เรานี่บ้าหรือเปล่า แอบชอบผู้หญิงที่ไม่รู้จักและเค้ายังมีคู่หมั้นอยู่แล้วอีก”
ปฐวีส่ายหน้าแล้วยิ้มเยาะตัวเอง เมรินเดินเข้ามาจากทางด้านหลังแต่ปฐวีไม่เห็น
“บ้ารึเปล่าเนี่ย..” ปฐวียังบ่น
เมรินยืนมองอยู่
“น้าวีเป็นอะไร พูดคนเดียวด้วย”
ปฐวีสะดุ้งพอเห็นเมรินปฐวีก็ยิ้มเขิน
“อ้าวน้องเมย์ ทำไมป่านนี้ยังไม่นอน”
“น้าวียังไม่ตอบเลย น้าวีบ่นเรื่องอะไรอยู่คะ”
ปฐวีเขิน “น้าวีกำลังคิดถึงผู้หญิงคนนึง”
เมรินชะงัก
“ผู้หญิงคนนึง” เมรินคิด “ครูบี๋”
ปฐวีมองแล้วส่ายหน้า
เมรินคิดใหม่ “คุณหมอหนึ่ง”
ปฐวีมองหลานสาวแล้วส่ายหัว
เมรินงงเพราะคิดไม่ออก “งั้นใครคะ”
ปฐวีมองหลานยิ้มๆ
ปฐวีเอานิ้วแตะจมูกเมริน “ก็คิดถึงสาวคนนี้ไง”
เมรินยิ้มขำ
“แล้วเราทำไมยังไม่นอน” ปฐวีถาม
เมรินถอนใจ “นอนไม่หลับค่ะ คุณพ่อกับคุณแม่คงงอนกันอีกแล้วทำไมคนรักกันต้องเป็นแบบนี้ หรือผู้ชายเชื่อไม่ได้ซักคน”
“อ้าว ทำไมเหมาแบบนั้นล่ะ น้าวีไม่เกี่ยวด้วยนะ แล้วน้องเมย์พูดถึงหนุ่มคนไหนเนี่ย น้องนนท์หรือเปล่าน๊า”
เมรินค้อน ปฐวียิ้มขำ
ปฐวีดึงเมรินเข้ามาใกล้ “น้าวีจะบอกอะไรให้ เรื่องของคุณพ่อคุณแม่เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เค้าต้องหาทางแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง น้องเมย์ยังเด็ก อย่าเอามาใส่ใจเลย”
“แล้วถ้าผู้ใหญ่แก้ไขไม่ได้ล่ะคะ ผลกระทบจะไปตกอยู่กับใคร”
ปฐวีนิ่งคิดตาม “น้องเมย์ชักจะรู้เยอะแล้วนะเนี่ย ไปนอนได้แล้ว”
เมรินค้อน “เฮ้อ เป็นเด็กก็ไม่ดีแบบนี้นั่นแหละ มีแต่คนคอยสั่งๆๆ”
เมรินเดินไป ปฐวีมองตามแล้วส่ายหน้าขำ
เมธีนั่งดื่มเหล้าอยู่ที่คลับ ฉัตรพรที่ร้องเพลงอยู่บนเวทีมองลงมา เมื่อร้องจบเธอก็เดินเข้ามาหา
“ฉัตรจำคุณได้นะ วันก่อนคุณก็นั่งอยู่ตรงนี้ ฉัตรขอนั่งด้วยคนนะคะ”
“คุณเมธี มีสาวมาขอนั่งด้วย ขยับหน่อยสิครับ” เพื่อนเมธีบอก
“เชิญครับ” เมธีขยับ
“กำลังคิดอะไรอยู่คะ หน้าตาเคร่งเครียดเชียว ฉัตรเติมเหล้าให้นะคะ”
“อย่าเอาใจแต่เมธีนะครับ เติบให้ผมบ้าง” เพื่อนเมธีรีบบอก
“ยินดีค่ะ มาค่ะ ฉัตรเติมให้”
“คุณเมธี หน้าตาเคร่งเครียดเชียว คิดอะไรอยู่คะ เครียดงาน หรือปัญหาที่บ้าน” ฉัตรพรถาม
เพื่อนเมธีหัวเราะ “คุณฉัตรนี่รู้จริง”
“ฉัตรเข้าใจผู้ชายที่มาเที่ยวค่ะ ส่วนใหญ่ไม่ปัญหาเรื่องงาน ก็เรื่องครอบครัว”
เมธีมองหน้าฉัตรพรแล้วเหม่อลอย “ถ้าภรรยาผม เข้าใจผมอย่างคุณก็ดีสิ”
ฉัตรพรมองจ้องแล้วยิ้ม “ถ้าอย่างงั้น เราก็ไม่ได้เจอกันสิคะ”
ฉัตรพรยิ้มอ้อนและออดอ้อน เพื่อนเมธีมอง เมธีมองฉัตรพรแล้วเริ่มยิ้มผ่อนคลายก่อนจะคุยด้วย
เมรินที่อยู่หน้าห้องนอนมองไปที่ห้องประภัสสรก็เห็นไฟยังเปิดอยู่
“คุณภัสยังไม่นอนอีก คุณเมธีคงยังไม่กลับบ้าน”
เมรินเคาะประตูห้องแล้วผลักเข้าไป
เมรินเดินเข้าไปในห้อง ประภัสสรกำลังกระวนกระวายใจ เมรินมองด้วยความสงสาร ประภัสสรหันมาเห็น
“ยังไม่นอนหรือคะ น้องเมย์”
“เมย์นอนไม่หลับค่ะ แล้วคุณแม่ล่ะคะ”
“คุณแม่รอคุณพ่ออยู่ค่ะ เดี๋ยวคงกลับ”
“ทำไมคุณแม่ไม่โทรไปหาล่ะคะ จะได้รู้ว่าคุณพ่อจะกลับรึยัง”
“โทรไปหรือ” ประภัสสรนิ่งคิด “แม่ไม่กล้าหรอก เดี๋ยวคุณพ่อจะคิดว่าแม่ก้าวก่าย แล้ว จะพาลโกรธแม่อีก”
“คุณพ่อรักคุณแม่จะตาย คุณพ่อไม่โกรธคุณแม่หรอกค่ะ น่าจะดีใจซะอีก”
ประภัสสรคิดได้ “แหม น้องเมย์ลูกแม่นี่พูดจาเป็นผู้ใหญ่จริงๆ แม่จะลองโทรดูนะ”
ประภัสสรหยิบโทรศัพท์โทรหาเมธี
เมธียกแก้วขึ้นชนกับเพื่อน 2-3 คน โทรศัพท์ของเมธีหล่นอยู่บนเก้าอี้ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ฉัตรพรมองที่หน้าจอโทรศัพท์ก็เห็นชื่อประภัสสร ฉัตรพรหยิบขึ้นมารับ
“ฮัลโหล... โทรศัพท์ของคุณเมธีค่ะ”
ประภัสสรชะงักแล้วรีบกดปิดโทรศัพท์ทันที เมรินที่มองอยู่เห็นท่าทางประภัสสรแปลกไป
“เป็นอะไรคะคุณแม่”
ประภัสสรอ้ำอึ้ง “คือ..คุณพ่อ คงติดงานอยู่น่ะค่ะ”
เมรินมองประภัสสรที่กำลังตกใจ
ปรงทองนั่งนิ่งเพราะใช้ความคิดอยู่ที่โต๊ะประจำตัว มือของเธอถือซองเอกสารของเสกสรรไว้ โดยมีแม้นวาดนั่งอยู่ด้านข้าง
“คราวนี้คุณหญิงจะตัดสินใจยังไงคะ” แม้นวาดถาม
“จะทำยังไงได้ล่ะแม่วาด ต่างคนต่างก็เป็นหลานทั้งสองฝ่าย ถ้าชั้นไม่ให้คงจะแตกแยกกันเป็นแน่”
“อิชั้นว่า ฝ่ายที่จะแตกเห็นจะเป็นฝ่ายคุณปรางค์ซะมากกว่า”
“ชั้นรู้ แต่ยังไงแม่ปรางค์ก็เป็นหลานเหมือนกัน ถ้าชั้นไม่ให้ ก็จะกลายเป็นว่าชั้นไม่ยุติธรรม”
“ถึงคุณหญิงจะยุติธรรมมากแค่ไหน ยังไงก็ไม่ถูกใจคุณปรางค์อยู่ดีแหละค่ะ”
ปรงทองนิ่งคิด แม้นวาดมองปรงทองด้วยความเห็นใจ
ปฐวีนั่งพิมพ์คอมพิวเตอร์และคิดเรื่องรักษาตันหยงอยู่ในห้อง เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ปฐวีลุกขึ้นไปเปิด ปรงทองยืนยิ้มอยู่หน้าประตู
“คุณย่า ....มีอะไรหรือครับ”
“ย่ามีเรื่องอยากปรึกษาวีหน่อย”
ปรงทองเดินเข้ามาในห้องแล้วนั่งลง เธฮมองเห็นหนังสือบนโต๊ะปฐวี
“กำลังทำงานอยู่รึเปล่า”
“อ่านดูข้อมูลอะไรไปเรื่อยน่ะครับ คุณย่ามีอะไรหรือครับ”
ปรงทองยื่นซองเอกสารให้ปฐวี “วีลองอ่านดู”
ปฐวีรับมามองแล้วเปิดออกดู
“ย่าอยากขอความเห็นวีก่อน” ปรงทองบอก
ปฐวีหยิบอกมาดู
“วีเห็นว่ายังไง” ปรงทองถาม
ปฐวีเก็บเอกสารใส่ซองแล้วนิ่งคิด
“เรื่องนี้ผมแล้วแต่คุณย่าจะตัดสินใจดีกว่าครับ ผมคิดว่าคุณย่าคงมีคำตอบในใจอยู่แล้ว”
ปรงทองยิ้มพอใจ “ย่าอยากฟังความเห็นของเจ้าก่อน” ปรงทองมองปฐวีอย่างสังเกต “เจ้าวี มีเรื่องอะไรกวนใจรึเปล่า”
“อ๋อ .... เรื่องคนไข้อ่ะครับ”
“ย่าว่า เจ้าน่าจะหาคนมาช่วยคิด ช่วยแชร์ความรู้สึกซักคนนะ เจอหรือยัง ถ้ายัง ให้ย่าช่วยหาให้ดีมั๊ย”
ปฐวียิ้มเขิน “ขอบคุณครับคุณย่า อาจจะเจอแล้วก็ได้ครับ”
“หมอหนึ่งหรือเปล่า ก็น่ารักดีนะ”
ปฐวียิ้ม
เช้าวันใหม่ ปรงทองนั่งเป็นประธานที่โถงกลางบ้าน ประภัสสร ปฐวี และปรางค์ทิพย์นั่งฟังอยู่
“คุณยายเรียกมากันพร้อมหน้า มีอะไรหรือคะ” ปรางค์ทิพย์ถาม
“ก็เรื่องของหล่อนนั่นแหละ ชั้นอยากให้พี่น้องทุกคนรับรู้เป็นพยาน แม่แม้น” ปรงทองเรียก
แม้นวาดหยิบเช็คมาส่งให้ปรางค์ทิพย์ ปรางค์ทิพย์รับมาดูแล้วตาโต
“ปรางค์กราบขอบพระคุณคุณยายที่เมตตาปรางค์ค่ะ”
“ต่อไปจะได้เลิกตีโพยตีพายซะที ว่าชั้นน่ะลำเอียง”
“ปรางค์ไม่ได้พูดแบบนั้นซะหน่อยค่ะ”
“ถึงหล่อนไม่พูดชั้นก็รู้ว่าหล่อนคิดอยู่ตลอดเวลาแม่ปรางค์แต่การให้ครั้งนี้ชั้นมีข้อแม้...”
ปรางค์ทิพย์ชะงักแล้วหน้าเปลี่ยนไปทันที
ปรงทองพูดต่อ “เงินก้อนนี้ชั้นให้หล่อนไปลงทุน แต่หล่อนต้องส่งรายงานบัญชีให้กับชั้นทุกเดือน ไปให้บริษัทแม่ตรวจสอบ เข้าใจไหม”
“ทำไมล่ะคะคุณยาย” ปรางทิพย์ถาม
“หล่อนจะกลัวอะไรกับส่งบัญชี เพราะถ้ามันจะมีปัญหา รายงานการเงิน มันจะบอกล่วงหน้าได้ จะได้ช่วยกันแก้ไขทัน”
“แต่ว่า.....”
“ถ้าชั้นไม่ให้หล่อน หล่อนก็จะมารำพึงรำพันว่าชั้นไม่ยุติธรรม แต่อย่าลืมนะ ว่าหล่อนน่ะ เคยได้ไปแล้ว และหล่อนก็ทำมันสูญไปหมดแล้ว แต่ชั้นก็จะให้โอกาศหล่อนอีกครั้ง ตามข้อตกลงของชั้น หล่อนจะทำได้ไหม”
ปรางค์ทิพย์หงุดหงิด “ทำได้ค่ะ คุณยาย”
ปรางค์ทิพย์หันไปมองปฐวีกับประภัสสรอย่างหงุดหงิด ปรงทองมองปรางค์ทิพย์อย่างหนักใจ
ปรางค์ทิพย์กับประภัสสรเดินออกจากบ้านปรงทอง ปรางค์ทิพย์หงุดหงิด
“แหม..คุณยายนะคุณยาย เงินแค่นี้ก็ต้องให้ส่งรายงานด้วย ทำเหมือนไม่ไว้ใจกันเลย”
“โธ่พี่ปรางค์คะ คุณย่าท่านก็บอกแล้วว่า เผื่อมีปัญหาอะไรจะได้ช่วยแก้ได้”
“มันก็ไอ้ลำเอียงนั่นแหละ ทีเมธีไม่เห็นต้องส่งรายงานเลยไม่ใช่หรือ”
ประภัสสรอึกอัก “เรื่องนี้ภัสไม่ทราบจริงๆค่ะ”
“หล่อนจะไปรู้อะไรแม่ภัส เชื่อแต่ผัวจนไม่ลืมหูลืมตา ไม่ได้เรื่องจริงๆ”
ปรางค์ทิพย์เดินไป ประภัสสรมองตามแล้วส่ายหน้า
ปฐวีนั่งคุยกับปรงทอง
“ย่าทำแบบนี้ เจ้ากับแม่ภัสคงไม่ว่าย่าลำเอียงนะ” ปรงทองถาม
“ครับคุณย่า ผมกับพี่ภัส ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ พี่ปรางค์ก็พี่สาวผมเป็นหลานคุณย่าเหมือนๆกัน”
ปรงทองยิ้ม “เจ้าไปทำงานเถอะ เสียเวลามากแล้ว”
“ครับคุณย่า”
ปฐวีกราบลาปรงทองและแม้นวาดก่อนเดินออกไป แม้นวาดมองตามไปอย่างชื่นชม
“แล้วคุณท่านจะทำยังไงต่อไปคะ” แม้นวาดถาม
“จะทำอะไรได้ล่ะแม่แม้น ก็ต้องรอดูต่อไปน่ะสิ ชั้นคิดว่าคงไม่ผิดจากที่คาดไว้หรอก”
ปรงทองยิ้มแบบปลงตก
เสกสรรแต่งตัวพร้อมจะออกจากบ้านไปตีกอล์ฟ ปรางค์ทิพย์เดินเข้ามาหาอย่างร่าเริง
“ชั้นมีข่าวดีจะบอก”
เสกสรรไม่สนใจ “วันนี้ผมไปตีกอล์ฟกับท่านประธานนะ เสร็จแล้วจะไปงานเลี้ยงต่อ คงดึก ไม่ต้องรอทานข้าวนะ”
“คุณดูนี่ก่อน”
ปรางค์ทิพย์โบกเช็คตรงหน้าเสกสรร เสกสรรชะงักแล้วคว้าเช็คมาดูด้วยความตื่นเต้น
“นี่คุณทำได้ยังไงเนี่ย ไม่อยากเชื่อเลย”
ปรางค์ทิพย์เชิด “บอกแล้วไง ถ้าชั้นจะทำอะไร ก็ต้องได้”
เสกสรรกอดปรางค์ทิพย์อย่างชื่นชมแล้วหอมแก้มเธอ
“คุณนี่เป็นสุดยอดภรรยาจริงๆ”
“ทีนี้คุณก็ลาออกจากบริษัทได้แล้ว ไม่ต้องไปทนเป็นลูกจ้างเค้าอีกต่อไป”
“ไม่ต้องห่วงหรอกคุณปรางค์ ผมจะทำให้เงินก้อนนี้มันงอกเงย คุณกับลูกจะได้อยู่สบาย”
“ไม่ใช่แค่นั้นนะ คุณต้องทำให้ชั้นเหนือกว่าแม่ประภัสสรให้ได้”
เสกสรรมองเช็คแล้วยิ้ม ปรางค์ทิพย์ยิ้มมาดมั่น
หนึ่งฤทัยกำลังตรวจอาการของตันหยง โดยมีพินิจกับบุหงาคอยมองอยู่อย่างเป็นห่วง“หมอจะให้พยาบาลคอยพลิกตัวทุก 3 ชั่วโมง จะได้ไม่มีแผลกดทับ และจะมีพยายาลมาคอยทำกายภาพบำบัดให้คุณตันหยงด้วย พ่อคุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ” หนึ่งฤทัยรายงาน
“ถ้าไม่เป็นอะไร ทำไมหยงถึงไม่ฟื้นล่ะลูก” บุหงาถาม
บุหงาน้ำตาร่วง พินิจมองอย่างวิตก
“ผมขอคุยกับคุณหมอเป็นการส่วนตัวหน่อยครับ” พินิจว่า
หนึ่งฤทัยพยักหน้าแล้วเดินตามพินิจไป
พินิจยืนคุยกับหนึ่งฤทัย
“ลูกผมจะมีโอกาสฟื้นขึ้นมาหรือเปล่าครับคุณหมอ”
“หมอก็ตอบไม่ได้นะคะ แต่ตอนนี้ทางเราไม่ได้นิ่งนอนใจ เราเรียกประชุมทีมแพทย์ทุกสาขา เพื่อลงความเห็นว่าจะทำการรักษาคุณตันหยงต่อไปยังไง ใจเย็นอดทนรออีกนิดนึงนะคะ”
“ผมเป็นห่วงภรรยาผม ถ้ายังเป็นแบบนี้ ผมกลัวเธอจะทรุดซะก่อน ตันหยงเป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัวเรา”
“ค่ะ หมอเข้าใจ ตอนนี้หมอทุกคนช่วยกันค้นหาวิธีที่จะรักษาคุณตันหยงเต็มที่ค่ะ และเราเจอเคสที่คล้ายกับคุณตันหยง แต่เกิดขึ้นที่ฝรั่งเศส”
“จริงหรือครับ ที่ไหนคุณหมอบอกผมด้วยนะครับ ผมจะพาเธอไปรักษาเอง”
“ตอนนี้หมอปฐวีกำลังเช็คข้อมูลในให้แน่ชัดก่อนค่ะ คงต้องอดใจรอหน่อยนะคะ คืบหน้ายังไงเราจะแจ้งให้ทราบทันที”
พินิจมองไปที่บุหงากับตันหยงแล้วถอนหายใจ
“ขอให้ลูกสาวผมฟื้นกลับมาอีกครั้งหนึ่ง จะให้ทำอะไรผมก็ยอม”
หนึ่งฤทัยมองพินิจอย่างเห็นใจ
พิรามกำลังเจรจากับลูกค้าชาวต่างชาติอยู่ในห้องประชุม พิรามอธิบายชาร์ตการทำงาน ลูกค้าพยักหน้าพอใจ พิรามเซ็นต์สัญญากับลูกค้าแล้วแลกสัญญากัน พิรามกับลูกค้าจับมือกัน
เวลาผ่านไป พิรามยืนคุยโทรศัพท์อยู่ที่ร้านดอกไม้ ในออฟฟิศ
“คุณนุช ช่วยจัดการเลื่อนนัดบ่ายให้ผมด้วย วันนี้ผมมีธุระไม่เข้าบริษัท”
พิรามกดปิดโทรศัพท์แล้วหันไปมองดอกกุหลาบสวย เขายิ้มอย่างมีความหวัง
นุช เลขาคนใหม่ของพิรามวางหูโทรศัพท์แล้วหยิบสมุดนัดของพิรามขึ้นมาโทรแจ้งยกเลิกนัด พัดชาสะพายกระเป๋าเดินมาจะเปิดเข้าไปในห้องของพิราม แต่นุชรีบห้าม
“คุณพัดชาคะ คุณพิรามไม่อยู่ค่ะ”
“ไม่อยู่หรือ ไปไหนรู้มั๊ย” พัดชาถาม
“ไม่ทราบค่ะ คุณพิรามสั่งให้นุชยกเลิกนักตอนบ่าย”
“ยกเลิกนัดบ่ายหรือ” พัดชานิ่งคิด “ชั้นรู้นะ ว่าคุณอยู่ที่ไหน” พัดชากัดปากตัวเอง
พัดชาพุ่งออกไปทันที นุชมองตามแล้วส่ายหน้า
สุดนภายืนอยู่ข้างร่างของตันหยงในห้องพัก
สุดนภามอง “ชั้นมาเยี่ยมนะ ไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็ตามที่มาอยู่ในร่างของเพื่อนชั้น ถ้าเป็นไปได้ ช่วยลุกขึ้นมาเปลี่ยนตัวกับเพื่อนชั้นหน่อยได้มั๊ย”
สุดนภาชะงักเมื่อเห็นดอกไม้เล็กๆวางไว้ข้างหมอนของตันหยง เธอหยิบขึ้นมาดูแล้วยิ้ม
“พยาบาลที่นี่น่ารักจัง มีดอกไม้มาวางไว้ด้วย”
พิรามเดินเข้ามา พอเห็นสุดนภาพิรามก็ชะงัก สุดนภาทำหน้าเฉย
“ผมมาหาหยง” พิรามบอก
สุดนภามองดอกไม้ในมือพิรามแล้วเมิน เธอวางดอกไม้ไว้ข้างหมอนตามเดิม
“ดอกไม้มีแล้ว ทีหลังไม่ต้องลำบากก็ได้”
“คุณบี๋ ผมขอโทษ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมทำ”
“ไม่ต้องบอกชั้นหรอก ชั้นเป็นแค่เพื่อนของหยง ถ้าคุณพ่อคุณแม่เค้าอนุญาต ชั้นจะทำอะไรได้”
พิรามมองสุดนภาอย่างขอบคุณ แต่สุดนภาเมินหน้า
พิรามพูดกับตันหยง “คุณเป็นยังไงบ้าง ผมซื้อดอกกุหลาบแบบที่คุณชอบมาฝากนี่ไง”
ทันใดนั้นพัดชาก็เปิดประตูพรวดเข้ามา
“พิราม ที่แท้คุณก็หนีหน้าพัดมาอยู่ที่นี่เอง”
“พัดชา”
สุดนภากับพิรามมองพัดชาอย่างตกตะลึง
จริญทิพย์เดินถือแจกันดอกกล้วยไม้เข้ามาในห้อง
“มาแล้วค่ะ แหมช่วงนี้คุณหมอวีสดชื่นนะคะ สั่งดอกไม้มาทุกวันเลย”
ปฐวีมองดอกไม้ “ผมก็แค่อยากเห็นอะไรที่มันสดชื่นบ้าง”
จริญทิพย์พยายามเสนอตัวจนบังแจกัน ปฐวียิ้มขำ
“แต่จะว่าไป มีแค่คุณจริญทิพย์ผมก็สดชื่นแล้วนะครับ”
จริญทิพย์เขิน “หมอวีก๊อ ชอบเอาความจริงมาพูดเล่น ทิพย์ไปดีกว่า เดี๋ยวดอกไม้จะหมอง”
จริญทิพย์วางแจกันดอกไม้แล้วเดินออกไป ปฐวีเอนหลังพิงแจกันดอกไม้แล้วยิ้ม แล้วปฐวีก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องไป
พัดชาเดินไปมองหน้าตันหยงบนเตียง
“พัดอยากรู้ ทำไมคุณตัดใจจากแม่นี่ไม่ได้ซะที ทั้งๆที่เค้าไม่มีวันจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว”
“หยุดเดี๋ยวนี้นะพัดชา คุณอย่ามาล่วงเกินตันหยงนะ” พิรามว่า
“พัดไม่ได้ล่วงเกิน พัดพูดความจริง แต่คุณรับมันไม่ได้ต่างหาก”
“ไม่ว่าความจริงจะเป็นยังไง ผมก็ไม่มีวันกลับไปหาคุณเด็ดขาด”
พัดชาชะงักก่อนจะโผเข้ากอดพิรามจากด้านหลัง
“อย่าค่ะ พิราม พัดขอโทษ อย่าทิ้งพัดนะคะ พัดรักคุณ”
“พัดชา ขอบคุณที่คุณรักผม แต่ผมจะไม่มีวันทำผิดกับตันหยงอีก” พิรามจับพัดชาออกมาคุยดีๆ “และคุณเปลี่ยนความรักที่ผมมีต่อตันหยงไม่ได้หรอกพัดชา ผมให้สัญญากับตัวเองแล้ว ไม่ว่าหยงจะฟื้นหรือไม่ ผมก็จะดูแลเค้าตลอดไป” พิรามมองตันหยง “ลาก่อนนะ พัดชา”
พัดชาอึ้งเพราะรู้ว่าไม่มีทางได้พิรามมาเป็นของตัวแน่ๆ จึงปิดปากร้องไห้แล้วจ้องพิรามเป็นครั้งสุดท้าย
“ได้ค่ะ ในเมื่อคุณไม่ต้องการพัดอีกแล้ว เราก็อย่าอยู่ร่วมโลกกันอีกเลย”
พิรามหันมอง “อย่าใช้ไม้นี้กับผมอีกพัดชา”
“พัดจะทำ เพื่อปล่อยคุณไป ลาก่อนค่ะ พิราม”
พัดชาวิ่งออกไปจากห้องทันที พิรามอึ้ง
“รีบตามไปดูเถอะค่ะ เดี๋ยวเธอก็ทำอะไรบ้าๆหรอก” สุดนภาบอก
พิรามส่ายหน้าแล้วรีบตามออกไป สุดนภาวิ่งตาม
ปฐวีเดินผ่านบันไดหนีไฟ พัดชาวิ่งมาชนปฐวี
“ขอโทษครับ” ทั้งสองเงยหน้าขึ้นมองกัน
แล้วพัดชาก็วิ่งเข้าไปทางบันไดหนีไฟ ปฐวีมองตาม
“คุณ....”
พิรามกับสุดนภาวิ่งตามมา
“คุณหมอวี เห็นผู้หญิงวิ่งผ่านมารึเปล่าคะ” สุดนภาถาม
“ครับ เธอพึ่งวิ่งออกไปทางบันไดหนีไฟ” ปฐวีบอก
“ตายจริง รีบตามไปเร็วเข้า”
พิรามกลุ้มแต่ก็รีบวิ่งตามไป
“เกิดอะไรขึ้นครับ” ปฐวีถาม
“คุณหมอวีตามรีบไปดูก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวบี๋ค่อยเล่า”
พิราม ปฐวี และสุดนภาวิ่งตามบันไดหนีไฟขึ้นมามองหาพัดชา
“ไปไหนแล้ว” พิรามมองหา
ปฐวีเงยขึ้นไปเห็น
“อยู่ข้างบน”
พิรามกลุ้ม “จะขึ้นไปทำไมนะ”
พิรามวิ่งตามไป สุดนภาหันไปมองปฐวี ปฐวีคิด
“ผมว่าตาม รปภ.ดีกว่า ไปครับคุณบี๋”
ปฐวีหยิบโทรศัพท์มากดแล้ววิ่งตามไป
“โอ๊ย จะทำอะไรของเค้านะ” สุดนภากลุ้มใจ
พรพรหมอลเวง ตอนที่ 5 (ต่อ)
พัดชาวิ่งไปที่ริมตึกแล้วตั้งท่าจะปีน พิราม สุดนภา ปฐวีวิ่งตามมา ปฐวีวิ่งเข้าไปก่อน พิรามตามเข้าไปช่วยกันจับพัดชาไว้
“ปล่อยชั้น ปล่อยชั้นเดี๋ยวนี้นะ ปล่อย ปล่อย” พัดชาโวยวาย
“พัดชา คุณจะทำอะไร หยุดเดี๋ยวนี้นะ” พิรามห้าม
“ไม่ต้องมาห้ามชั้น เราไม่เกี่ยวอะไรกันอีก”
“ใจเย็นๆนะครับ คุณ ค่อยๆพูดค่อยๆจากันก่อนดีมั๊ย” ปฐวีเตือนสติ
รปภ.วิ่งตามขึ้นมาหลายคนเริ่มล้อมวงมามุงไกลๆ
พัดชายังคงดิ้นต่อ
“ปล่อยชั้น ปล่อยให้ชั้นตาย”
“ถึงคุณทำแบบนี้ ก็ไม่มีประโยชน์ ยังไงผมก็ไม่กลับไปเป็นเหมือนเดิม”
พิรามโมโหจึงเดินหนีออก พัดชาหยุดด้วยความเสียใจเธอจึงร้องไห้อีก ปฐวีมอง
“ใจเย็นก่อนนะครับ” ปฐวีบอก
“ชั้นรักคุณ พิราม ไม่มีคุณแล้วชั้นจะอยู่ได้ยังไง”
พัดชาทรุดลงกับพื้น ปฐวีมองก่อนก้มลงปลอบ
“ก่อนหน้านั้น คุณก็ไม่มีคุณพิรามไม่ใช่หรือ ผมรู้ว่ามันยากที่จะทำใจได้ แต่ผมเชื่อว่า คุณอยู่ได้โดยไม่ต้องมีเค้า”
“ไม่ชั้นอยู่ไม่ได้”
“พัดชา” พิรามมอง
พัดชาร้องไห้หนัก ทุกคนได้แต่ยืนมอง
ปฐวีนั่งลง “ชีวิตทุกคนมีคุณค่า เราต้องเห็นค่าของตัวเรา อย่างน้อยที่สุดคุณควรอยู่เพื่อตัวคุณเอง”
พัดชาเริ่มเงีบบลง
“คุณพัดชา” ปฐวีเรียก
พัดชามองหน้าปฐวี ปฐวีพยักหน้าให้
พัดชาร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้ง “ชั้นขอโทษ ขอโทษพวกคุณทุกคน”
ปฐวีแอบถอนหายใจโล่ง พัดชายังร้องไห้ต่อ พิรามสงสารจึงจะเข้าไปแต่สุดนภาดึงไว้
“ผมขอโทษนะพัดชา” พิรามพูด
พิรามยืนอยู่ข้างเตียงตันหยง
“ผมขอโทษนะหยง ที่ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายที่นี่”
สุดนภายืนมองพิรามแล้วถอนหายใจ
“โชคดีที่ไม่มีเหตุร้าย คราวนี้ เค้าคงยอมจบกับคุณจริงๆ” สุดนภาบอก
“ขอบคุณหมอปฐวีด้วยนะครับ” พิรามพูด
“ไม่เป็นไรครับ หน้าที่หมอคือช่วยชีวิตคน”
สุดนภามองตันหยงแล้วถอนหายใจหนัก พิรามหน้าเครียด
วันต่อมา เด็กๆลุกขึ้นยืนทำความเคารพสุดนภา
“สวัสดีค่ะคุณครูบี๋”
“สวัสดีค่ะ นักเรียนทุกคน วันนี้เราจะเรียนอะไรกันดีเอ่ย”
นักเรียนทุกคนแย่งกันยกมือ เมรินชูมือสูงกว่าใครเพื่อน สุดนภาเดินเข้ามาใกล้
“น้องเมย์อยากเรียนอะไรเอ่ย”
“ไม่อยากเรียนเลย ขอไปพักได้มั๊ยคะ” เมรินถาม
สุดนภางงก่อนจะเดินเข้ามากระซิบ
“ไม่ได้ค่ะ” สุดนภากระซิบขู่ “แกอย่าทำตัวมีปัญหา ไม่งั้นชั้นจะให้แกคาบไม้บรรทัดอวดเด็กทั้งห้อง แล้วถ่ายวีดีโอลงยูทูป”
“แกไม่กล้าหรอก”
สุดนภายิ้มหวาน “ลองดูมั๊ยคะน้องเมย์”
สุดนภายักคิ้วให้เมริน เมรินถอนหายใจอย่างเซ็งๆ
“หยิบกระดาษออกมา เราจะต่อเติมตัวอักษรภาษาอังกฤษ ให้เป็นสัตว์ในจินตนาการของเด็กๆ เร็วเข้า”
เด็กทุกคนตื่นเต้น แต่เมรินนั่งกอดอกมองสุดนภาอย่างสุดเซ็ง
สุดนภานั่งตรวจงานของเด็กๆ เมรินนั่งเท้าคางมองอย่างเบื่อหน่าย
“ตายจริง เด็กพวกนี้ เขียนรูปน่าเอ็นดู ดูสิหยง แมวจากตัวเอน่ารักมั๊ย” สุดนภาถามเพื่อน
“ถามจริงเหอะบี๋ แกทนอยู่ได้ยังไง วันละแปดชั่วโมง”
“อ้าว แกลืมไปแล้วหรือว่าชั้นเป็นครู ใช่สิ วันๆแกทำงานแต่กับคอมพิวเตอร์ไม่ค่อยได้เจอคน นี่แหละนะ เค้าเรียกว่าพรหมลิขิต”
“แกไม่ต้องมาตอกย้ำชั้นเลย คนยิ่งหงุดหงิดอยู่ด้วย”
สุดนภาแอบมองเมรินเพื่อสังเกตอารมณ์เพื่อน
“นี่แก วันก่อนชั้นไปเจอพิรามที่โรงพยาบาล เค้าไปเยี่ยมแก” สุดนภาเล่า
เมรินอึ้ง “หยุดเลย บี๋ ถ้าแกยังเป็นเพื่อนชั้น ห้ามเอ่ยชื่อคนๆนี้ให้ชั้นได้ยินเด็ดขาด”
“นี่แก เป็นเอามากนะ ยังโกรธเค้าอยู่อีกหรือ”
“แกลองมาเป็นชั้นดูบ้างสิ แล้วแกจะรู้” เมรินบอก
“แล้วถ้าเค้าสำนึกผิดล่ะ แบบว่ากลับตัวกลับใจแล้ว”
“เค้าเป็นคนทำให้ชั้นตกในสภาพนี้ แกคิดว่าชั้นควรจะให้อภัยเค้าหรือบี๋”
เมรินทำหน้าแค้น สุดนภาส่ายหัวและไม่กล้าพูดต่อ
นาวินคุยงานอยู่กับครูผู้หญิงคนหนึ่ง
นาวินพูดจริงจัง “ผมอยากให้การเรียนการสอนเป็นแบบที่ผมวางไว้ ไม่อยากเห็นการลงโทษเด็กแบบเดิมๆ และผมหวังว่าครูจะเข้าใจ” นาวินแอบแหย่ “ขอความกรุณาด้วยนะครับ” นาวินยิ้ม
ครูผู้หญิงหน้าแหย “ดิชั้นจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีกค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ” ครูผู้หญิงยกมือไหว้
นาวินยิ้มพอครูออกไปเขาก็ทำหน้าเซ็ง
“แม่นะแม่ ทำไมต้องให้ผมมาบริหารโรงเรียนด้วยนะ หือ เหมาะสม เหมาะสม ถามซักคำไหม ว่าชอบรึเปล่า”
นาวินพูดเลียนเสียงแม่ “เชื่อแม่” เขาจับแก้มตัวเอง “ลูกแม่น่ะ เหมาะสมที่สุดเลยค่ะ เพียงแต่ลูกน่ะ อาจจะยังไม่รู้จักตัวเอง ต่อไป ลูกจะรักมันมากเลยล่ะ”
นาวินเซ็ง
เสียงแม่ดังในหัวเขา “แล้วหนูสุดนภาน่ะ เค้าไม่ใช่ครูอย่างเดียวนะ เค้าเป็นหุ้นส่วนของเราด้วย ลูกสาวของป้าแต๋วไงล่ะ ดูแลเค้าดีๆนะ”
“ยัยบี๋”
นาวินมองไปเห็นดอกไม้บนโต๊ะ
“ไปแกล้งยัยบี๋คลายเครียดดีกว่า”
นาวินหยิบดอกไม้ออกไปอย่างร่าเริง
นนท์เดินเข้ามาหาเมริน
“ครูบี๋ครับน้องนนท์ขออนุญาต” นนท์พูดกับเมริน “น้องเมย์ น้องนนท์มีของจะให้”
นนท์หยิบดอกกุหลาบออกมาคาบไว้แล้วคุกเข่าต่อหน้าเมริน
“น้องเมย์ จะช่วยรับดอกไม้ของน้องนนท์ได้มั๊ยครับ ถ้าน้องเมย์ไม่รับ น้องนนท์จะคุกเข่าตรงนี้แหละ”
สุดนภากับเมรินมองหน้ากันแล้วหัวเราะ สุดนภาพยายามกลั้นไว้
“เอ๊ะมุกนี้มันมาจากหนังเกาหลีเรื่องอะไรนะ” เมรินถาม
นนท์เขิน “น้องเมย์ก็ดูด้วยหรือ น้องนนท์ก็เหมือนพระเอกนั่นแหละ เมื่อย ก็จะทน คนมีความรักก็ต้องมีความอดทน”
เมรินหันไปมองเห็นสุดนภายิ้มขำ
นาวินถือดอกกุหลาบเดินมาที่หน้าห้องสุดนภา เขาเห็นนนท์กำลังคุกเข่าถือดอกกุหลาบยื่นไปข้างหน้า
“เฮ๊ย มันมุกซ้ำนี่หว่า”
นาวินมองกุหลาบในมือแล้วแอบดูเหตุการณ์
เมรินกับสุดนภามองหน้ากัน
“แหม..จะแก่แดดไปไหนเนี่ย” เมรินพูดกับนนท์ “เอารับก็ได้”
เมรินเอื้อมมือไปรับดอกกุหลาบมาถือ ไว้ นนท์กระโดดดีใจ
“เป็นอันว่าน้องเมย์เป็นแฟนกับน้องนนท์แล้วนะ”
นนท์วิ่งไป เมรินกับสุดนภาหัวเราะขำ
“ขี้ตู่ชะมัดเลย แหม นี่ชั้นมีแฟนโดยประมาทหรือเปล่าเนี่ย” เมรินยิ้มๆ
“แสดงว่า สเน่ห์แรงเหมือนกันนะ ชั้นชักจะอิจฉาแล้วสิ แหมถ้ามีใครซักคนเอาดอกไม้มาให้ชั้นตอนนี้ ชั้นจะรับรักเลยดีมั๊ย หยง จะได้ไม่น้อยหน้าแกไง”
“แกแน่ใจนะ บี๋”
สุดนภาฝันหวาน “แน่สิยะ” สุดนภามองนาฬิกา “เดี๋ยวหมอวีก็มารับแกแล้วไม่พลาดแน่”
เมรินขำ “น้าวีคงมาไม่ทันแล้วละ บี๋”
เมรินเดินออกไป สุดนภามองตามอย่างงงๆ นาวินเดินถือดอกกุหลาบยืนยิ้มให้สุดนภาที่หน้าประตู สุดนภาทำหน้าเซ็ง
“ตายละ ขอถอนคำพูดได้มั๊ยเนี่ย”
สุดนภาเดินถือดอกไม้ของนาวินแล้วเดินจ้ำไป นาวินรีบเดินจ้ำตาม
“นี่คุณรอผมก่อนสิ”
“รอทำไม เดี๋ยวชั้นต้องรีบไปสอน”
“เดี๋ยวผมช่วยสอนก็ได้”
สุดนภาชะงักแล้วหันมามองหน้านาวินก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์
“แน่ใจนะ ว่าคุณรับมือไหว เหนื่อยนะคะ ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น”
“โธ่ แค่ทำกิจกรรมกับเด็ก จะไปยากอะไร ผมเป็นผู้บริหารโรงเรียนนะทำได้อยู่แล้ว”
สุดนภาทำเป็นลังเล “งั้นหรือคะ แต่ชั้นว่ามันจะยากอยู่นะ”
นาวินทำฮึกเหิม “เอางี้ เดี๋ยวคุณไปพักนั่งดูเฉยๆ ผมจัดการเอง”
“ก็ได้ ตามใจนะคะ ท่านผู้บริหาร”
สุดนภาเดินนำนาวินเข้ามาในห้องเรียน
“นักเรียนทุกคน คงรู้จักผู้บริหารโรงเรียนของเรานะคะ คุณนาวิน”
นาวินเก๊ก “เรียกครูวินก็ได้นะครับ เด็กๆ”
“วันนี้ ครูวินจะมาทำกิจกรรมสันทนาการกับเด็กๆนะคะ เชิญค่ะ”
สุดนภาทำท่าจะเดินไป นาวินรีบเรียก
“อ้าว แล้วคุณจะไปไหนล่ะ”
“คุณทำกิจกรรมกับเด็กๆ แล้ว ชั้นก็จะไปพักน่ะสิคะ ท่านผู้บริหาร”
“เดี๋ยวก่อนสิ แล้วจะให้ผมทำอะไรล่ะ”
“กิจกรรมสันทนาการไงคะ”
สุดนภายิ้มหวานให้นาวินแล้วเดินไป นาวินเอ๋อ เด็กๆกรูเข้ามาหานาวิน
นาวินเล่นทอยตุ๊กตุ่นกับเด็กผู้ชาย
นาวินนั่งเล่นตุ๊กตาจิบน้ำชากับกลุ่มเด็กผู้หญิง
นาวินเดินนำหน้ากลุ่มเด็กผู้ชายถือหุ่นยอดมนุษย์เดินไถไปตามข้างห้องเรียน โดยมีเด็กเดินตามเป็นพรวน
เด็กหญิงมารุมล้อมนาวินแล้วร้องจะเอาโน่นเอานี่ นาวินวุ่นวายไปหมด ส่วนเด็กชายก็มารุมนาวิน
เวลาผ่านไป นาวินนั่งพิงกระดานเพราะหมดแรง สุดนภาที่ยืนแอบมองอยู่อมยิ้มอย่างสะใจก่อนจะเดินเข้ามา
“เป็นยังไงคะ กิจกรรมสันทนาการ”
นาวินเหนื่อยอ่อน “สบายมาก”
สุดนภายิ้มสะใจแล้วเดินไป นาวินมองตามในท่านั่งคอพับคออ่อน
“ฝากไว้ก่อนเถอะ โอ๊ย...แทบแย่แน่ะเรา”
เสียงออดหมดเวลาดังขึ้น
เลิกเรียน สุดนภาเดินจูงมือเมริน
“บี๋ชั้นว่า นายนาวินต้องมีใจให้แกแน่เลย ดูสิ เจอแกงี้เชื่องเป็นแมวเลย” เมรินบอก
“นี่แกหยุดพูดเลย ขนลุกไปหมดแล้ว...คนอะไรเพี้ยนสุดๆ จุกจิกจู้จี้ก็เท่านั้น เอาไว้เหลือเป็นคนสุดท้ายของโลกแล้วค่อยมาคุยกันดีมั๊ย”
“นี่หมายความว่า แกไม่สนเลยงั้นหรือ”
“ชั้นมีคนที่ใช่อยู่แล้ว”
ปฐวีเดินเข้ามา
เมรินรีบถาม “นี่เป้าหมายแกใช่มั๊ย”
“ใช่แล้ว แกต้องช่วยชั้นนะหยง”
เมรินงง “ช่วยอะไร”
“ไม่รู้ละ ช่วยอะไรก็ได้”
สุดนภารีบเดินไปรับปฐวี เมรินมองตามอย่างเซ็งๆ
สุดนภาเดินมาหาปฐวีด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“สวัสดีค่ะคุณหมอวี มาเร็วจังเลย”
“วันนี้ไม่มีเคส เลยรีบออกมารับยายตัวแสบก่อน ไงเราทำไมหน้าไม่ยิ้มเลย สวัสดีกันหรือยังเนี่ย”
เมรินเดินเข้ามายกมือไหว้ปฐวี
“ก็มันเหนื่อยนี่คะน้าวี”
“โถน่าสงสารจังเลย ไป งั้นกลับบ้านดีกว่าป่านนี้คุณแม่คงตั้งโต๊ะไว้รอแล้ว” ปฐวีบอก
สุดนภาแอบสะกิดเมรินยิกๆ เมรินมองงงๆ แล้วก็นึกได้
“วันนี้น้องเมย์ขออนุญาตชวนครูบี๋ไปทานข้าวด้วยได้มั๊ยคะ”
“ได้สิครับ ทำไมจะไม่ได้” ปฐวีพูดกับสุดนภา “ไม่ทราบครูบี๋จะว่างหรือเปล่า”
สุดนภาตื่นเต้นจนออกนอกหน้า “ว่างค่ะว่าง ยินดีค่ะ”
เสียงนาวินดังขึ้น “ชั้นก็ว่างนะ เจ้าวี ไม่ชวนชั้นมั่งหรือ”
สุดนภาหันไปเห็นนาวินก็ทำหน้าเซ็ง
“อย่างแกต้องชวนด้วยหรือ แกไปออกบ่อย” ปฐวีว่า
“งั้นดีเลย วันนี้ชั้นจะไปกินข้าวบ้านแก เดี๋ยวไปพร้อมกันเลย” นาวินสรุป
สุดนภาแอบเซ็ง “ไปน้องเมย์มาครูบี๋จูงดีกว่านะคะ”
สุดนภารีบจูงเมรินเดินไป ปฐวีหันไปมองหน้านาวิน
ปฐวีชำเลืองอย่างรู้ทัน “นี่แกนึกยังไงวะ อยากกินข้าวบ้านชั้น”
“บางเรื่อง ไม่เห็นต้องอธิบายเหตุผล” นาวินบอก
ปฐวีขำ
“ขำอะไร”
“ก็ขำ ไม่มีเหตุผล”
นาวินซัดไหล่เพื่อนเบาๆ ปฐวีขำ
สุดนภายืนมองรถตัวเองอย่างอารมณ์เสีย
“ตายจริง ยางแบนได้ยังไงเนี่ย”
“โอโห วิ่งไปเหล็กบดยางแน่” นาวินแซว “เดี๋ยวผมเรียกช่างมาจัดการให้ดีกว่า”
“ขอบคุณมากนะคะ ท่านผู้บริหาร งั้นเราไปกันเถอะค่ะน้องเมย์”
สุดนภาทำท่าจะจูงเมรินไปขึ้นรถปฐวี แต่นาวินดึงสุดนภาไว้
“คุณไปกับผมดีกว่า”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ชั้นไปกับน้องเมย์”
“นี่คุณ ไปกับน้องเมย์จะนั่งได้ยังไง ก็เคยบอกแล้วว่ารถเจ้าวีมีแค่สองที่นั่ง จะนั่งตักน้องเมย์หรือ ไปกับผมดีกว่า”
เมรินมองหน้าปฐวีแล้วแอบยิ้ม นาวินรีบสะกิดปฐวี
“เอ่อครับ ไปรถเจ้าวินก็ได้สะดวกดี” ปฐวีบอก
“แกไปเลยเดี๋ยวชั้นขับตามไป เจอกันที่บ้านนะน้องเมย์” นาวินรีบพูด
“ค่ะ ฝากครูบี๋ด้วยด้วยนะคะ” เมรินบอก
ปฐวีกับเมรินขึ้นรถไป สุดนภาหันมามองหน้านาวินอย่างจะเอาเรื่อง นาวินทำไม่รู้ไม่ชี้
ประภัสสรกำลังจัดเตรียมชุดให้เมธีอยู่ในห้องนอน ประภัสสรหยิบโทรศัพท์เมธีที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมามองลังเล เธอมองไปที่ห้องน้ำแล้วตัดสินใจกดดูโทรศัพท์
ประภัสสรนึกไปถึงตอนที่ฉัตรพรรับโทรศัพท์เธอ ประภัสสรนิ่งนึก เมธีกำลังเดินออกจากห้องน้ำ ประภัสสรรีบเก็บโทรศัพท์แล้วหันไปหยิบชุดออกมาวางให้เมธี แล้วรีบเดินออกจากห้องไป
ประภัสสรเดินออกมาจากห้องนอนของตัวเองแล้วยืนพิงประตูเพื่อสงบใจ
“หรือว่า คุณเมธีจะมีผู้หญิงอื่นจริงๆ”
เสียงปรางค์ทิพย์ดังในหัว “ถึงเธอไม่ถาม เค้าก็ควรจะบอก ถ้าไม่บอกแสดงว่ามีอะไรปิดบัง”
ประภัสสรเริ่มระแวง เธอสูดลมหายใจรวบรวมความกล้าแล้วเดินกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง
เมธีกำลังแต่งตัวจะออกไปข้างนอก ประภัสสรเดินมายืนมอง
“เดี๋ยวผมต้องไปงานเลี้ยงลูกค้า คงจะกลับดึกนะครับภัส”
ประภัสสรถามทันที “แน่ใจนะคะว่าเป็นลูกค้าจริงๆ”
เมธีงง “จริงสิครับ ลูกค้ารายนี้เป็นญี่ปุ่น พวกนี้พอประชุมเสร็จจะต้องไปสังสรรค์ทุกที ผมจะเลี่ยงก็ไม่ได้”
ประภัสสรเมินหน้าแล้วทำท่าไม่เชื่อถือ
“เมื่อไหร่คุณจะเลิกทำหน้าแบบนั้นกับผมซะทีนะคุณภัส”
“หน้าแบบไหนคะ ภัสก็เป็นแบบนี้มาตลอด ไม่เคยเปลี่ยน คุณต่างหากที่เปลี่ยนไป”
“คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง”
“คนที่เปลี่ยนไปคือคุณ ไม่ใช่ภัส”
เมธีมองหน้าประภัสสรนิ่ง ทันใดนั้นเสียงแมสเสจก็ดังขึ้น เมธีกดดูแล้วแต่งตัวต่อ
“ไว้เราค่อยคุยกัน วันนี้ผมต้องรีบไป”
เมธีเดินออกไปจากห้อง ประภัสสรมองตามด้วยความหงุดหงิดแล้วรีบวิ่งตามออกไป
เมธีเดินมาขึ้นรถแล้วขับออกไปอย่างหงุดหงิด ประภัสสรเดินมาจะร้องเรียกแล้วก็เปลี่ยนใจนิ่งมอง เมรินกับปฐวีเดินเข้ามา
“อ้าว พี่เมธีออกไปข้างนอกหรือครับ” ปฐวีถาม
“จ๊ะวี พอดีเค้ามีงานเลี้ยง” ประภัสสรพูดกับเมริน “น้องเมย์ หิวหรือยังลูก”
“คุณแม่ขา น้องเมย์ขออนุญาตพาครูบี๋มาทานข้าวนะคะ”
“ผมของฝากเจ้าวินด้วยคนนะครับพี่ภัส มันร้องจะมากินข้าวด้วย” ปฐวีบอก
“เพื่อนวีทำไมจะไม่ได้ล่ะ เดี๋ยวพี่สั่งให้สายแก้วจัดการให้ แต่พี่ต้องขอตัวนะ วันนี้พี่ปวดหัวจริงๆ”
“พี่ภัสเป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ เดี๋ยวผมตรวจให้ดีมั๊ย”
“พี่ไม่เป็นไรหรอก วี เออจะทานที่นี่หรือจะทานที่สวนหลังบ้านดีจ๊ะ บรรยากาศดีเหมือนกันนะ”
“ในสวนก็ดีเหมือนกันครับพี่ภัส”
สุดนภากับนาวินเดินเข้ามา สุดนภารีบเดินมายกมือไหว้ประภัสสรอย่างเรียบร้อย
“สวัสดีค่ะ คุณภัส”
“สวัสดีค่ะ ครูบี๋ คุณนาวินด้วย ตามสบายนะคะ เดี๋ยวพี่สั่งให้สายแก้วจัดโต๊ะริมสวนให้”
ประภัสสรขอตัวเดินเข้าไปในบ้าน สุดนภาเดินไปสะกิดเมริน
“คุณภัสเป็นอะไรน่ะ หน้าตาดูไม่ดีเลย”
“มรสุมมั๊ง....” เมรินตอบเบาๆ
สุดนภาทำหน้างง เมรินฉุดสุดนภาเดินเข้าบ้านไป
ปฐวีกับนาวินยืนคุยกัน
“ถามจริงเหอะ ยางอ่อนนี่แผนแกใช่มั๊ยเจ้าวิน” ปฐวีถาม
“ไม่เห็นรู้เรื่องเลย” นาวินตอบ
“ไปล้างมือซะก่อนไป๊”
ปฐวีเดินไป นาวินมองมือตัวเองก็เห็นว่าเป็นคราบดำเต็มไปหมด เขาเหล่ซ้ายเหล่ขวา
โต๊ะอาหารถูกจัดในสวนริมคลอง ปฐวีตักอาหารให้เมรินแล้วตักจะใส่จานให้สุดนภา
“ทานเยอะๆนะครับ ครูบี๋ต้องรบกับเด็กทั้งวัน คงเหนื่อย”
สุดนภาขยับปากจะตอบ นาวินรีบแทรก
“ถ้างั้น ชั้นกินเอง วันนี้ชั้นรบกับเด็กทั้งวันเลย”
นาวินตักกับข้าวที่ปฐวีใส่จานสุดนภามากินเองหน้าตาเฉย สุดนภาอึ้ง เมรินแอบขำ
“นี่คุณ เสียมารยาทมาก คุณวีตักให้ชั้นนะ”
“แหม แค่นี้ทำเป็นงกไปไปได้ เดี๋ยวผมตักใช้คืนให้ก็ได้”
นาวินตักอาหารใส่จานสุดนภาแล้วยิ้มหวาน
“ทานเยอะๆนะครับ”
สุดนภาพยายามสะกดอารมณ์ ปฐวีกับเมรินมองหน้ากันแล้วยิ้ม
“น้าวินนี่น่ารักจังเลยนะคะ ใครได้เป็นแฟนคงรักตายเลย” เมรินพูด
สุดนภารีบว่า “ลักไปทิ้งทะเลน่ะสิ”
“ของแบบนี้ไม่ลองไม่รู้นะครูบี๋ จะลองเป็นแฟนกับผมไหมล่ะ จะได้รู้ว่าน้องเมย์พูดถูก”
สุดนภามองนาวินตาโต แล้วมองปฐวีกับเมริน เธอโกรธนาวิน แต่นาวินทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนจะตักอาหารใส่จานสุดนภาอีก
สุดนภาเขิน “ชั้นขอตัวก่อนนะคะ”
“อ้าว จะไปไหน” นาวินถาม
สุดนภากระซิบ “ชั้นจะไปห้องน้ำ จะตามไปมั๊ย”
“ถ้าให้ไป ผมก็จะไป”
สุดนภามองนาวินแล้วระงับอารมณ์สุดขีด
“ฮาคูน่า มาทาท่า ใจเย็นไว้ บี๋ ใจเย็นไว้”
สุดนภาลุกขึ้นไป ปฐวีมองตามแล้วหัวเราะ
“นี่ไอ้วิน แกทำไมชอบกวนครูบี๋นักวะ ชอบเค้า หรือแค่อยากแกล้งกันแน่”
“ก็เวลาโมโหน่ะ น่ารักจะตาย จริงไหมน้องเมย์” นาวินถาม
“เมย์ว่าน้าวินน่ะ ชอบครูบี๋แน่ๆ ครูบี๋น่ะปากร้าย แต่ใจดีสุดๆ”
นาวินสนใจ “จริงหรือน้องเมย์ แล้วถ้าน้าวินชอบ น้าวินต้องทำยังไงล่ะ”
นาวินทำเป็นถามที่เล่นที่จริง เมรินทำหน้ามีลับลมคมนัย