ตะวันฉายในม่านเมฆ ตอนที่ 6
ตกเย็น รถเมฆแล่นมาจอดหน้าบ้าน ตะวันฉายเปิดประตูรั้ว เมฆขับรถแล่นเข้าไป ตะวันฉายมองเห็นรถลีมูซีนของอิงฟ้าแล่นมาจอด
ตะวันฉายถอนใจ “นายปากเป็ดนี่จะพรากลูกพรากแม่ไปถึงไหนนะ”
ตะวันฉายส่ายหน้าแล้วปิดประตู อิงฟ้ากดกระจกลงแล้วมองไปที่ตัวบ้านก่อนจะยิ้มอย่างมีหวัง
ตะวันฉายเดินมาหาเมฆกับหมอกที่ลงมาจากรถ ตะวันฉายเปิดประตูหลังแล้วหยิบกระเป๋าของหมอกมา
“หิวไหมครับคุณหมอก” ตะวันฉายถาม
“หิวมว๊ากกก” หมอกตอบ
“งั้นเดี๋ยวเราอาบน้ำ ทานข้าว แล้วค่อยทำการบ้านนะครับ”
“ซัน...เดี๋ยวฉันขอคุยกับหมอกหน่อยนะ”
ตะวันฉายมองเมฆอย่างงงๆ เมฆดึงหมอกให้เดินไปที่โต๊ะในสนามหน้าบ้าน ตะวันฉายลังเลจะเดินตามไปแต่ก็ไม่กล้า เมฆหันมาจ้องตะวันฉาย ตะวันฉายเลยจะเดินไปแต่เมฆเรียกไว้
“ไปฟังด้วยสิ นายมันชอบยุ่งเรื่องคนอื่นอยู่แล้วนี่”
เมฆพูดจบก็จูงมือหมอกเดินไป ตะวันฉายมองตามอย่างเข็ดเขี้ยว
ตะวันฉายบ่น “ฮึ่ยยยย...มาว่าฉันสอดรู้สอดเห็นเหรอ เขาเรียกอัพเดทข่าวสารย่ะ”
พูดจบตะวันฉายก็เดินตามเมฆกับหมอกไป
เมฆจูงหมอกมานั่งที่โต๊ะในสนามหน้าบ้าน แล้วเมฆก็นั่งยองๆกับพื้น
“หมอกครับ พ่อมีเรื่องสำคัญที่จะคุยกับหมอกนะครับ หมอกรู้ใช่มั๊ยครับว่าพ่อรักหมอกมากแค่ไหน”
“รู้ครับ”
“ทุกอย่างที่พ่อทำ เพื่อหมอกนะครับ แต่บางทีพ่อก็ลืมที่จะถามหมอกไปเหมือนกันว่าสิ่งที่พ่อเลือกให้ หมอกต้องการให้มันเป็นอย่างนั้นหรือเปล่าหมอกอายุเท่าไหร่แล้วครับ”
“สี่”
“หมอกโตแล้วใช่มั๊ยลูก”
“ครับ”
“เพราะฉะนั้นถ้าหมอกมีอะไรที่หมอกไม่สบายใจ หรือว่าอึดอัดใจ หมอกต้องสัญญากับพ่อนะลูก ว่าหมอกจะบอกพ่อทุกครั้ง”
“ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นพ่อจะขอถามหมอกนะครับว่า ถ้าสมมุติว่าวันนี้ แม่ของหมอกมาที่นี่ หมอกจะดีใจไหม”
“แต่พ่อบอกหมอกว่าแม่อยู่สวรรค์”
“พ่อขอโทษที่เคยบอกอย่างนั้น แต่ถ้าวันนี้แม่เขามาหาหมอกแล้ว หมอกอยากเจอเค้าไหมครับ”
“อยากครับ!!”
เมฆถึงกับนิ่งอึ้งไป เขาหันไปมองตะวันฉาย ตะวันฉายเดินมาหาเมฆ เมฆลุกขึ้นยืนมองหน้า
ตะวันฉาย
“โอเคลูก แต่หมอกอย่าลืมสัญญาของเรานะครับ มีอะไรหมอกต้องบอกพ่อนะครับ”
“สัญญาครับ”
“เดี๋ยวนายพาหมอกไปอาบน้ำนะ ฉันจะโทรเรียกแม่ของเขา” เมฆบอก
ตะวันฉายพูดกับหมอก “ไปครับคุณหมอก เราไปเตรียมตัวพบกับคุณแม่ของคุณหมอกกันนะครับ”
ตะวันฉายยื่นมือให้หมอกจับ แต่หมอกกระตุกมือของตะวันฉายสองครั้งแล้วยักคิ้วให้ ตะวันฉายขำแล้วนั่งยองๆ หมอกกระโดดขึ้นขี่หลัง แล้วตะวันฉายก็พาหมอกวิ่งออกไป
หมอกตะโกนด้วยความดีใจ “จะเจอแม่แล้ว จะเจอแม่แล้ว ไชโย”
เมฆมองตามยิ้มๆแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมามากดโทรออก
เมฆ อิงฟ้า หมอก ตะวันฉาย และเก่งนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น หมอกมองอิงฟ้าด้วยความสงสัย
“หมอก นี่แม่อิงฟ้า เป็นแม่ของหมอกครับ” เมฆแนะนำ
อิงฟ้ายิ้มหวานให้หมอก หมอกยืนอึ้ง
เก่งก็แปลกใจเช่นกัน เขารีบกระซิบถามตะวันฉาย
“นี่มันคุณคนเมื่อวานนี่”
ตะวันฉายพยักหน้ารับแล้วจุ๊ปากให้เก่งเงียบ
“หมอกครับ ไหว้แม่ฟ้าสิลูก” เมฆบอก
หมอกยกมือไหว้อิงฟ้า “สวัสดีครับ”
อิงฟ้าเข้าไปกอดหมอก “ให้แม่กอดหน่อยนะลูก”
อิงฟ้ากอดหมอกอย่างมีความสุข แต่หมอกยอมให้กอดแป๊บเดียวก็แกะมืออิงฟ้าแล้วเดินกลับไปอยู่กับเมฆ เพราะยังไม่คุ้นกับแม่ อิงฟ้าหน้าเสียที่หมอกไม่ยอมรับแต่ก็ยิ้มกับเมฆ
“ไม่เป็นไรหรอกเมฆ ให้เวลาแกสักนิดแล้วกัน” อิงฟ้าพูดกับตะวันฉายและเก่ง “เดี๋ยวเธอสองคนช่วยยกกระเป๋าของฉันหน่อยนะ เอาไปไว้ที่ห้องของเมฆ เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
เมฆพูดกับตะวันฉายและเก่ง “เอาไว้ที่ห้องพี่ธีร์จะดีกว่า”
อิงฟ้าอึ้ง “เมฆ”
เมฆนั่งนิ่ง อิงฟ้ามองด้วยความไม่พอใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้
ตะวันฉายกับเก่งช่วยกันยกกระเป๋าของอิงฟ้ามาวางในห้องธีรภพ อิงฟ้าเดินเข้ามาแล้วมองไปรอบๆ
“วางไว้นั่นแหล่ะ ฉันจะการเอง”
ตะวันฉายกับเก่งจะเดินออกไป แต่อิงฟ้าเรียกไว้
“เดี๋ยว พวกเธอชื่ออะไรกัน”
“เก่งครับ”
“ซันครับ”
อิงฟ้าเดินมาหาซันแล้วมองจ้อง
“ไปได้”
อิงฟ้าเดินจะเดินมาเปิดกระเป๋าแล้วก็มองไปเห็นรูปธีรภพ อิงฟ้าเดินมาดูรูปธีรภพที่วางอยู่บนโต๊ะทำงาน
“อย่าโกรธที่ฟ้าทำแบบนี้เลยนะคะพี่ธีร์ เพราะตอนนี้ฟ้ารู้แล้วว่าเมฆคือผู้ชายที่น่าจะดีที่สุดสำหรับฟ้า เมฆ หมอก แล้วก็ฟ้า จะต้องเป็นครอบครัวที่อบอุ่นที่สุด ขอโทษด้วยนะคะ” อิงฟ้าเก็บรูปธีรภพลงลิ้นชัก
ตะวันฉายกับเก่งเดินคุยกันมาตามทางลงข้างล่าง
“คุณอิงฟ้าแฟนคุณเมฆนี่สวยมากนะ แต่ดูแปลกๆไหม?” เก่งว่า
“แปลกไงเหรอพี่”
“เอ้า...สวยก็สวย ท่าทางก็ดี แต่คนดีแบบนี้ทำไมคุณเมฆถึงไม่มีรูปหรืออะไรสักอย่างที่ทำให้เรารู้จักบ้างเลยหรือ เอางี้ ขนาดคุณหมอกก็เพิ่งรู้ว่าคุณอิงฟ้าเป็นแม่พร้อมๆกับเราสองคน แค่นี้ไม่แปลกแล้วจะเรียกว่าอะไรวะ”
ตะวันฉายคิดตามแล้วมองไปที่ประตูห้องธีรภพ
เสียงเมฆดังขึ้น “อะไรที่ว่าแปลก”
เก่งกับตะวันฉายสะดุ้งแล้วหันไปตามเสียงก็เห็นเมฆจูงมือหมอกเดินขึ้นบันไดมา เก่งรีบเอาตัวรอดทันที
“พี่เตือนหลายหนแล้วว่าอย่านินทาเจ้านาย มันไม่ดี” เก่งทำเป็นส่ายหน้าด้วยความระอาใจ “ไม่เอาแล้วเสียเวลาทำงาน”
เก่งรีบวิ่งเอาตัวรอดไปทันที เมฆจูงหมอกเดินมาหาตะวันฉาย
“ยังไม่ได้ทำอาหารใช่ไหม” เมฆถาม
“ครับ”
“งั้นวันนี้ฉันอาบน้ำหมอกเอง นายไปทำอาหารให้หมอกเถอะ”
ตะวันฉายรับคำแล้วเดินลงไป เมฆมองตามสักพักแล้วจูงหมอกเดินเข้าห้อง
เวลาผ่านไป เมฆนั่งแต่งเพลงอยู่ที่เปียโนแต่ก็ไม่มีสมาธิทำงาน เมฆเลยเดินไปเปิดเพลงฟัง สักพัก อิงฟ้าก็เปิดประตูห้องทำงานของเมฆแล้วเดินยิ้มหวานเข้ามา
“ดึกแล้วทำไมยังไม่นอน” อิงฟ้าถาม
“ผมต้องทำงาน”
อิงฟ้าเดินอ้อมไปด้านหน้าแล้วจับมือเมฆ
“ฟ้าก็นอนไม่หลับ ขออยู่เป็นเพื่อนเมฆนะ” อิงฟ้าบอก
เมฆดึงมืออิงฟ้าออกแล้วถอยห่าง
“ฟ้าขอมาอยู่ที่นี่เพราะลูกไม่ใช่เหรอ”
อิงฟ้าอึกอักเพราะพูดอะไรไม่ออก
“และผมให้ฟ้าอยู่ที่นี่ก็เพราะหมอก”
พูดจบเมฆก็เดินหนีออกไปจากห้อง อิงฟ้ามองตามแล้วถอนใจด้วยความเซ็ง
“จะใจแข็งได้นานแค่ไหน” อิงฟ้าบ่น
เอวาพูดโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงตกใจ
“เฮ้ย จริงดิ พี่เมฆมีเมีย มีตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ฉันจะรู้ไหม ขนาดแกรู้จักเขาก่อนฉันยังไม่รู้เลย” ตะวันฉายคุยโทรศัพท์กับเอวา
“แหม...ยายนั่นมาถูกเวลานะ เล่นมาวันหยุดของวงฉันด้วย เสียดายไม่งั้นจะขอไปดูหน้าหน่อยสิ ว่าแต่แกแน่ใจเหรอว่าผู้หญิงที่ชื่ออิงฟ้าอะไรนั่นเป็นแม่น้องหมอก”
“อย่างแรกนายนั่นแนะนำด้วยตัวเอง อย่างที่สองฉันแอบเห็นรูปที่นายนั่นซ่อนไว้ แถมยังมีซองอะไรด้วยอีกซอง เสียดายเปิดไม่ทัน แต่ไม่เป็นไรฉันปั๊มกุญแจได้เมื่อไหร่รู้กัน”
“จ้า.... ตกลงไม่สืบเรื่องพี่ธีร์แล้วเหรอ เห็นสนแต่เรื่องพี่เมฆ” เอวาแซว
ตะวันฉายอึ้งแล้วก็ได้สติ “แหม...สืบสิเรื่องนั้นน่ะเรื่องใหญ่ แต่เรื่องนี้ฉันถือว่าเป็นเกร็ดความรู้แล้วกัน”
“เอาเหอะ ยังไงก็อย่ามัวแต่ตามเกร็ดความรู้จนทำงานไม่ทันส่งแล้วกัน”
ตะวันฉายกดวางสายแล้วเดินมาดูคอมพิวเตอร์ที่เปิดทิ้งไว้ด้วยความเซ็ง
“เฮ้อ...ป่านนี้ยังไม่ได้ข้อมูลพระเอกเลย แล้วจะแก้ไขไงดีเนี่ย มีแต่ข้อมูลผู้ร้าย” ตะวันฉายนึกได้ “เออ...ปรับเรื่องผู้ร้ายก่อนก็ได้” ตะวันฉายยิ้มร้าย “นายปากเป็ด มาเป็นผู้ร้ายให้ฉันหน่อยนะ”
ตะวันฉายเริ่มลงมือพิมพ์อย่างขมักเขม่น เธอมองจอด้วยสายตาเหยียดหยัน ในระหว่างที่พิมพ์ไปก็กัดฟันบ้าง ตบมือเพราะมันบ้าง
ตะวันฉายพิมพ์ไปอ่านไป “ท๊อฟฟี่สุดจะทานทน จึงหยิบไม้หน้าสามกระหน่ำฟาดไปที่เมฆจนล้มฟุบ จำไว้นะนายหน้าหนวด ผู้หญิงไม่ได้มีไว้ให้รังแก”
ตะวันฉายมองหน้าจอแล้วอ่านทวนก่อนจะหัวเราะด้วยความสะใจ
“นายเมฆ นายนี่มันเหมาะจะเกิดเป็นผู้ร้ายจริงจริ๊งง”
เช้าวันใหม่ อิงฟ้าเดินเข้ามาในครัวก็เห็นว่าตะวันฉายกำลังทำไข่คนอย่างตั้งใจ
“ของหมอกเหรอ” อิงฟ้าถาม
ตะวันฉายหันไปเห็นอิงฟ้า “ครับ.เดี๋ยวผมจะปิ้งขนมปังกับทอดไส้กรอกให้คุณหมอกด้วย คุณฟ้าอยากทานด้วยมั้ยครับผมจะทำเผื่อ..”
“ไม่ต้องหรอก ฉันไม่กินมื้อเช้า กาแฟแก้วเดียวก็พอแล้ว”
ตะวันฉายวางมือจากการทำไข่ดาวแล้วก็เตรียมกาแฟให้อิงฟ้า อิงฟ้ารับไปแล้วดูมือตะวันฉายก่อนจะมองหน้าตะวันฉายไม่วางตา ตะวันฉายเริ่มระแวง
“มือไม้เธอนี่เหมือนผู้หญิงนะ” อิงฟ้ามองทั่วตัวตะวันฉาย “ผิวพรรณก็ด้วย”
ตะวันฉายอึ้งแล้วจึงหันไปก้มหน้าก้มตาปิ้งขนมปังต่อ
“นี่..ไม่ต้องอายหรอกน่า เดี๋ยวนี้มีสาวๆอย่างเธอเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด บางทีฉันก็แยกไม่ออกหรอกว่าคนไหนผู้ชายจริงไม่จริง”
ตะวันฉายนิ่งไป จังหวะเดียวกับที่ขนมปังปิ้งเด้งขึ้นมา ตะวันฉายหยิบขนมปังใส่จานโดยไม่มองหน้าอิงฟ้า อิงฟ้าเห็นตะวันฉายจัดอาหารชุดเดียวก็ถาม
“แล้วของเมฆล่ะ”
“ปกติผมจะทำแต่อาหารคุณหมอกครับ พี่เก่งจะดูอาหารคุณเมฆ แต่คุณเมฆก็ไม่ค่อยทานอะไร บางทีก็กาแฟแก้วเดียวเหมือนคุณฟ้าครับ”
อิงฟ้ายิ้มดีใจ “รู้ไหม ฉันกับเมฆรักกันเพราะเรามีอะไรๆเหมือนกันแบบนี้แหล่ะ”
“ครับ”
“แต่ฉันอยากให้มีอาหารของเมฆหน่อย เธอช่วยทำอะไรง่ายๆอีกอย่างแล้วกัน ข้าวต้มกุ้งก็ได้ทำเป็นใช่ไหม”
“ครับ”
“ดี แต่ฉันจะบอกเมฆว่าฉันเป็นคนทำ เธอไม่ต้องพูดมากไปล่ะ”
ตะวันฉายเหวอไป
อิงฟ้ายิ้ม “ทำเลยสิ เดี๋ยวเธอต้องไปอาบน้ำแต่งตัวให้หมอกอีกไม่ใช่เหรอ”
อิงฟ้าพูดยิ้มๆ ตะวันฉายยิ้มรับเจื่อนๆแล้วจึงรีบทำอาหาร อิงฟ้าเดินถือแก้วกาแฟไปนั่งดื่มที่โต๊ะใกล้ๆ
อิงฟ้าช่วยหมอกตัดใส่กรอกให้เป็นชิ้นๆ แล้วจะป้อนให้ หมอกมองแล้วส่ายหน้า
“พ่อป้อนหมอกหน่อยครับ” หมอกบอก
อิงฟ้าหน้าเจื่อนไปทันที
“ทำไมล่ะครับ แม่ป้อนก็เหมือนกัน” อิงฟ้าว่า
อิงฟ้ามองหน้าหมอกนิ่ง แล้วหมอกก็ยอมให้อิงฟ้าป้อน ตะวันฉายตักข้าวต้มมาเสิร์ฟให้เมฆ เมฆมองงงๆ
อิงฟ้ายิ้ม “ซันเขาบอกแล้วว่าเมฆยังไม่ทานอาหารเช้าเหมือนเดิมเลย แต่วันนี้ฟ้าอยากเริ่มต้นชีวิตครอบครัวที่ดี เลยทำข้าวต้มกุ้งให้เมฆ”
“ทีหลังไม่ต้องก็ได้” เมฆรีบบอก
อิงฟ้าอึ้งไป “แต่ฟ้า....”
“ผมต้องการให้ฟ้าดูแลหมอกคนเดียว”
อิงฟ้าจ๋อยและพูดไม่ออก เมฆลุกขึ้นจากโต๊ะ
เมฆพูดกับหมอก “หมอกทานเสร็จก็ตามไปนะครับ”
“ครับ”
เมฆลุกเดินออกไป อิงฟ้ามองตามแล้วถอนใจด้วยความเซ็ง ตะวันฉายมองตามแล้วครุ่นคิดด้วยความสงสัย อิงฟ้าหันขวับมามองตะวันฉาย ตะวันฉายรีบหลบตา
เมฆกำลังดูอิงฟ้าที่ยืนคุยกับครูที่มารับหมอกที่หน้าโรงเรียนด้วยสีหน้านิ่ง อิงฟ้านั่งลงแล้วจูบหมอกแต่หมอกมีท่าทีไม่คุ้น หมอกรีบวิ่งเข้าโรงเรียนไปทันที อิงฟ้าเดินกลับมาที่รถ
“ขอบคุณนะเมฆที่ให้ฟ้ามาส่งหมอกด้วย”
“ไม่เป็นไร”
“เดี๋ยวเราแวะซุปเปอร์มาร์เก็ตหน่อยได้ไหม ฟ้าอยากซื้อของไปทำอาหารให้หมอก”
“เรื่องนั้นให้ซันมันจัดการเถอะ”
“แต่ไหนๆเราก็ออกมาแล้ว ไปกับฟ้าเถอะนะ..ฟ้าอยากให้เมฆช่วยดูด้วยว่าลูกชอบอะไรไม่ชอบอะไร”
เมฆไม่ตอบแต่ออกรถไป อิงฟ้าแอบอมยิ้มพอใจ
“ผมจะแวะไปส่งให้ แล้วกลับไปทำงานต่อ ฟ้าซื้อของเสร็จก็กลับแท็กซี่นะ” เมฆพูด
“อะไรนะ จะให้ฟ้ากลับแท็กซี่เองเหรอ”
“ถ้างั้นก็รถเมล์”
อิงฟ้าหงุดหงิด “โอเค งั้นฟ้าไม่ไปก็ได้”
เมฆขับรถต่อโดยไม่สนใจ อิงฟ้ามองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อจะสะกดอารมณ์โกรธ
เมฆรับรถเข้ามาจอดในบ้าน เมฆลงจากรถโดยไม่สนใจอิงฟ้า อิงฟ้าเดินตามเมฆไป เมฆเดินเข้ามาในบ้านโดยไม่คิดจะหันไปคุยกับอิงฟ้า อิงฟ้าที่เดินตามมาเริ่มอึดอัดจนทนไม่ไหวจึงเข้าไปกอดเมฆจากด้านหลัง
“เมฆ อย่าทำเหมือนรังเกียจฟ้าเลยนะ”
“ปล่อยเถอะฟ้า”
“ไม่...ฟ้าจะไม่ปล่อยเมฆไปไหนอีกแล้ว ฟ้ารู้ว่าเมฆยังโกรธฟ้า แต่เมฆให้โอกาสฟ้าหน่อยนะ ฟ้าจะแก้ไขทุกอย่างเอง”
เมฆพยายามแกะมืออิงฟ้าออกแต่อิงฟ้ายิ่งเกาะแน่น ทั้งสองยื้อกันอยู่โดยไม่เห็นว่าตะวันฉายเดินเข้ามา ตะวันฉายมองเห็นเหมือนทั้งสองกำลังนัวเนียกันอยู่
ตะวันฉายอุทานเสียงดัง “อุ้ย..!!”
เมฆและอิงฟ้าหันมามองตะวันฉาย ตะวันฉายคิดว่าตัวเองเข้ามาขัดจังหวะจึงรีบผลุนผลันออกไป จนหัวไปกระแทกกับกรอบประตูอย่างแรง
ตะวันฉายอุทานด้วยความเจ็บปวด “โอ๊ย...!!!”
ตะวันฉายกุมหัวตัวเองแล้วทรุดนั่ง เมฆเห็นก็ตกใจจึงสะบัดอิงฟ้าออกแล้วเข้าไปดูตะวันฉาย
“เป็นยังไงบ้าง ไหนดูสิ”
อิงฟ้าเห็นเมฆเข้าไปดูแลตะวันฉายก็ชักสีหน้า ตะวันฉายค่อยๆเอามือที่กุมออกให้เมฆดูตรงที่หัวกระแทกขอบประตู
“ฉันจะพาไปใส่ยา” เมฆบอก
เมฆพาตะวันฉายออกไป อิงฟ้ามายืนขวาง
อิงฟ้าถามตะวันฉาย “เธอไปหายาใส่เองได้ไหม”
“ครับ”
ตะวันฉายพยายามจะเบี่ยงตัวจากการประคองของเมฆ แต่เมฆไม่ยอมปล่อย
“ฉันบอกแล้วไงว่าจะพาไปใส่ยา” เมฆพูด
เมฆดึงตะวันฉายเดินไปโดยไม่สนใจอิงฟ้า อิงฟ้าทั้งอึ้งทั้งโกรธสุดๆ
“เมฆ จะบ้าหรือไง นั่นมันแค่พี่เลี้ยงเด็กนะ”
อิงฟ้าเดินตามไปด้วยความโมโห
เมฆดึงให้ตะวันฉายนั่งลงแล้วจึงทายาหม่องให้ โดยที่อิงฟ้ายืนดูอยู่ห่างๆ
“ไม่เป็นไรครับ ผมทาเองได้”
“อยู่เฉยๆ ฉันทาให้” เมฆบอก
เมฆทายาหม่องให้ตะวันฉาย อิงฟ้าเดินเข้ามาเห็นเมฆเป็นห่วงตะวันฉายก็ยิ่งไม่พอใจ
“ฟ้าว่าให้ซันเขาทายาเองก็ได้”
“ไม่ได้หรอก ผมต้องดูแลซันให้เหมือนกับที่เขาดูแลหมอกอย่างดี คนอย่างผมใครดีต้องดีตอบ ถ้าใครไม่ดีผมจะไม่ดีด้วย”
อิงฟ้าเจ็บใจที่โดนเมฆตอกกลับ เธอทำอะไรไม่ได้เลยเดินงอนออกไป พออิงฟ้าไปเมฆก็ยัดยาใส่มือตะวันฉาย
“ไม่ทาแล้วเหรอครับ กำลังเพลินเลย” ตะวันฉายบอก
“อย่าทะลึ่ง” เมฆว่า
“อ้าว...คุณเมฆอารมณ์ไม่ดีมาว่าผมซะงั้น”
“ใครบอกว่าฉันอารมณ์ไม่ดี”
“ไม่ต้องมีใครบอกก็รู้ครับ”
เมฆมองหน้าตะวันฉายแล้วนิ่งคิดเหมือนจะเห็นด้วย แต่แล้วเขากลับเอามะเหงกเขกหัวตะวันฉายเบาๆ
“โอ๊ย...คุณเมฆ”
เมฆยิ้มกวนประสาทให้ตะวันฉายแล้วเดินออกไป
ตะวันฉายบ่น “นี่จะช่วยหรือจะซ้ำกันแน่...ตาบ้า” ตะวันฉายนึกได้ก็รีบปิดปาก
เสียงเมฆซ้อมดนตรีดังออกมาจากในห้องทำงานของเขา อิงฟ้าเดินมาหยุดที่หน้าประตูแล้วยืนคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหมุนลูกบิดแต่เมฆล็อคห้องไว้ อิงฟ้าเคาะประตู
“เมฆ..เมฆ..เปิดประตูให้ฟ้าหน่อย” อิงฟ้าเคาะอีก “เมฆ..เปิดเถอะ ฟ้าอยากขอโทษที่วันนี้ทำกิริยาไม่ดี”
เสียงดนตรียังดังลอดออกมาต่อเนื่องโดยไม่มีวี่แววว่าจะหยุด
เมฆยังคงซ้อมดนตรีโดยไม่สนใจเสียงเรียกของอิงฟ้า จนกระทั่งอิงฟ้าเลิกเคาะประตูไปเอง เมฆหยุดซ้อมดนตรีเมื่อไม่ได้ยินเสียงอิงฟ้าเคาะประตูแล้ว แล้วเขาก็ยิ้มอย่างโล่งใจ
ตะวันฉายปีนขึ้นบันไดไปตัดแต่งกิ่งไม้ที่เก่งปีนตัดไม่ถึง โดยมีเก่งยืนสั่งอยู่ข้างล่าง
“เออ..ตรงนั้นล่ะไอ้ซัน...นี่ถ้าสรีระพี่เอื้ออำนวยนะ จะแต่งต้นมะม่วงให้เป็นรูปหมาพุดเดิ้ลให้ดู”
“เก่งเหลือเกิ้น...พูดน่ะพูดได้แต่มาทำเองเอามั้ย..เมื่อยจะแย่แล้ว”
ตะวันฉายปีนบันไดลงมาด้วยท่าทางเมื่อยมาก เธอเห็นเศษกิ่งไม้ใบไม้ที่กองอยู่
“เป็นลูกน้องพี่เก่งห้ามบ่น” เก่งชี้ไปที่เศษกิ่งไม้ “นี่..กวาดให้เรียบร้อยด้วย”
“อะไรอ่ะ..ไม่แฟร์นี่..ผมช่วยปีนขึ้นไปตัดให้แล้วพี่เก่งก็กวาดสิ”
ห่างออกไป อิงฟ้าเห็นทั้งสองคนกำลังต่อปากต่อคำกันอยู่เธอก็คิดอะไรออก
“สองคนนั้นน่าจะรู้เรื่องเมฆบ้างสินะ”
ตะวันฉายแกล้งกวาดใบไม้ใส่เก่ง เก่งหลบไปทางไหนตะวันฉายก็กวาดไปทางนั้น
“เว้ย..ไอ้ซันเอ็งแกล้งข้าเหรอ”
“เปล่านะพี่..ลมมันพัด” ตะวันฉายแอบขำ
เก่งเดินหลบ ตะวันฉายแกล้งกวาดเศษใบไม้ไปทางเก่งอีก แต่คราวนี้เก่งหลบได้ เศษใบไม้จึงกระจายใส่หน้าอิงฟ้าที่เดินเข้ามาหาพอดี
“ว้าย..!! เล่นอะไรเนี่ย” อิงฟ้าโวยวาย
ตะวันฉายได้ยินเสียงร้องของอิงฟ้าก็หันไปมองแล้วก็ตกใจที่เห็นอิงฟ้าอยู่ตรงนั้น
“ขอโทษครับคุณอิงฟ้า ผมไม่ได้ตั้งใจครับ”
อิงฟ้าส่ายหน้า “บ้าจริงเลย”
เก่งรีบประจบ “คุณอิงฟ้าออกมาตากแดดตากลมทำไมล่ะครับเนี่ย ผิวเสียหมด”
“ฉันถามอะไรหน่อยสิ เอ่อ...เมฆเขามีแฟนหรือเปล่า”
เก่งรีบดึงตะวันฉายออกแล้วมายืนรับหน้ายิ้มแป้นให้อิงฟ้า
“ถามผมดีกว่าครับ ตั้งแต่ผมอยู่ที่นี่มา ไม่เคยเห็นนะครับ เช้าไปทำงาน เย็นมาดูแลคุณหมอก ค่ำๆอังคารถึงอาทิตย์ก็ไปเล่นดนตรี ผมว่าไม่มีชัวร์ครับ” เก่งบอก
อิงฟ้าได้ฟังก็ยิ้มอย่างพอใจ
“ฉันอยากรู้แค่นี้แหละ...ขอบใจนะ”
อิงฟ้าเดินกลับเข้าบ้านไป เก่งกับตะวันฉายมองหน้ากันอย่างงงๆ
“เจ้านายเราเขามีดีอะไร คุณอิงฟ้าเขาถึงต้องกลับมา ถ้าเป็นผมนะหาคนอื่นดีกว่า ผู้ชายแบบนี้ไม่เห็นน่าสนใจตรงไหน” ตะวันฉายบอก
เก่งงง “เอ็งพูดอย่างกับเอ็งเป็นผู้หญิงงั้นแหล่ะ”
ตะวันฉายเพิ่งรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป
“ไม่มีอะไรหรอกพี่ ผมแค่คิดว่าคุณฟ้าเขาสวยมากน่าจะหาแฟนใหม่ดีๆ ไปเลย”
ตะวันฉายกลับมาในห้องแล้วก็ถอนหายใจโล่งอกที่เอาตัวรอดมาได้ เธอหยิบโทรศัพท์มาเปิดดู
“พี่ยุทธ..ฝากข้อความอะไรไว้นะ..”
ตะวันฉายทำหน้าสงสัย
ยุทธการแล่นขับรถอยู่บนถนนแล้วก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ยุทธการมองที่หน้าจอคอนโซลรถเห็นชื่อตะวันฉายขึ้นเขาก็อมยิ้มแล้วกดรับ
“ว่าไง หายไปอีกแล้ว”
“ไม่ได้หายนะ พอดีงานยุ่งนิดหน่อย แต่เมื่อกี้ซันฟังข้อความแล้ว พี่ยุทธอยากเจอซันเหรอ เห็นว่ามีธุระด่วนมากเหรอ”
“ใช่นะสิ นี่พี่กำลังขับรถไปหาซันแล้วนะ”
ตะวันฉายตกใจ “นี่พี่ยุทธกำลังไป..... ไปที่ไหน”
“ก็คอนโดซันไง พี่โทรหาก็ไม่เปิดเครื่อง ส่งข้อความก็ไม่ตอบ พี่ก็เลยจะไปหาที่คอนโด อีกไม่เกินสิบนาทีคงถึง”
“พี่ยุทธ เดี๋ยวก่อนนะ คือซันไม่ได้อยู่ที่คอนโดอ่ะ ไว้วันหลังได้ไหม”
“คงไม่ได้หรอก เพราะพ่อแม่พี่ก็กำลังจะมาหาซันที่คอนโดเหมือนกัน ตอนนี้คงออกจากบริษัทแล้ว”
“ห๊า...พ่อแม่พี่ก็กำลังมา”
ตะวันฉายอึ้งเพราะทำอะไรไม่ถูก แล้วเธอก็ทำโทรศัพท์หล่นจากมือ
ยุทธการได้ยินเสียงโทรศัพท์ตกพื้นก็แปลกใจ
“ซัน...ซัน เสียงอะไรน่ะ ซันอยู่หรือเปล่า”
ตะวันฉายรีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาคุยต่อ
“พี่ยุทธ...คือ พี่ยุทธกับคุณพ่อคุณแม่อย่าเพิ่งมาหาซันที่คอนโดได้ไหม”
ยุทธการยิ้มขำ “ทำไมล่ะ ซันมีอะไรปิดบังไว้เหรอ”
“คือ ห้องซันรกอ่ะ ซันอาย เดี๋ยวอาพงษ์กับอารีมาเห็นซันจะดูไม่ดี”
ยุทธการหัวเราะออกมา “แค่นี้เอง โอเค งั้นพ่อกับแม่พี่ไม่มาแล้ว คือพี่ล้อเล่น”
“หืมมมม...เล่นซะเนียนเลยนะ ตกใจหมดเลย”
“แต่ที่พ่อแม่พี่ให้พี่มารับซันไปทานข้าววันนี้น่ะจริงนะ และซันก็ห้ามปฎิเสธด้วย เพราะเย็นนี้คุณแม่พี่ลงมือทำอาหารเองเลยนะ”
“แต่ซัน..เอ่อ...ซันยังไม่แน่ใจว่าเย็นนี้จะว่างหรือเปล่า”
“งั้นซันไปเช็คเวลาของซันแล้วกัน พี่จะไปหาที่เดินเล่นรอนะ”
ตะวันฉายกลุ้มใจ “เอาไงดีล่ะเนี่ยชั้น”
เมฆเดินออกมาจากห้องทำงานแล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นอิงฟ้านั่งคอยอยู่หน้าห้อง
“ฟ้านั่งคอยเมฆอยู่ตั้งนาน คิดว่าเมฆจะโกรธจนไม่ยอมออกมาจากห้องทำงานแล้ว” อิงฟ้าบอก
“ฟ้ามีอะไร”
อิงฟ้ายิ้มดีใจก่อนจะรีบเดินไปหาเมฆ
“เมฆจะไปรับหมอกใช่มั้ย..ฟ้าไปด้วยนะ เสร็จแล้วฟ้าอยากชวนเมฆกับหมอกไปทานข้าว แล้วก็ไป....”
เมฆสวนขึ้น “ผมไปรับลูกแป๊บเดียว แล้วก็จะรีบกลับมาเตรียมตัวไปเล่นดนตรีต่อ ไม่มีเวลาไปไหนกับฟ้าหรอก”
“งั้นให้ฟ้าไปดูเมฆเล่นดนตรีด้วยนะ ฟ้าคิดถึงภาพตอนที่เมฆเล่นดนตรีจัง”
“อย่าเลยฟ้า ผมไม่อยากเห็นฟ้าเวลาผมเล่นดนตรีอีก”
เมฆจะเดินหนีแต่อิงฟ้าเดินมาขวางแล้วกอดคอพร้อมทั้งจ้องตาเมฆ เมฆรู้สึกอึดอัดจึงพยายามหลบตา
“ฟ้า ปล่อยผมเถอะ”
อิงฟ้ายิ้มหวาน “ไม่ ฟ้ารู้ว่าเมฆยังรักฟ้าอยู่”
“ผมว่าฟ้าเข้าใจผิดนะ”
“ถ้าเข้าใจผิดก็มองตาฟ้าสิ”
อิงฟ้าเริ่มลูบไล้แก้มเมฆ เมฆพยายามจะถอยหนีแต่อิงฟ้าก็โน้มคอเมฆเข้ามาใกล้ๆ
“เมฆ...ฟ้ารู้ว่าตัวเองทำผิดกับเมฆ ผิดเกินกว่าที่จะอภัย แต่ฟ้าไม่เหลือใครแล้วนอกจากเมฆกับลูก ให้โอกาสฟ้านะ”
ตะวันฉายในม่านเมฆ ตอนที่ 6 (ต่อ)
อิงฟ้ายื่นหน้าไปจะจูบ ส่วนเมฆก็ตกอยู่ในภวังค์จนเคลิ้มไป แม้จะพยายามฝืนแต่เขาก็แพ้ใจตัวเอง ยังไม่ทันที่จะจูบ ตะวันฉายก็เดินเข้ามาเห็นภาพนี้เข้า เธอตกใจ “อุ่ย....”
เมฆกับอิงฟ้าสะดุ้ง เมฆรีบถอยห่างจากอิงฟ้า ตะวันฉายจะเดินไป
“นี่เธออีกแล้วเหรอ” อิงฟ้าไม่พอใจ
“ขอโทษครับ” ตะวันฉายจะเดินไปแต่เมฆเรียกไว้
“เดี๋ยวสิ เข้ามามีอะไร”
อิงฟ้าหงุดหงิด “เมฆ”
“เอ่อ...คือ.. ผมปวดหัวครับ เลยจะมาขอไปหาหมอ สงสัยจะกระทบกระเทือนจากที่ชนเมื่อกลางวัน” ตะวันฉายเห็นเมฆมองอย่างสงสัยก็คิดหาเหตุผลเพิ่ม “แล้ว...แล้วตอนนี้ผมก็รู้สึกมีไข้นิดๆ ไม่รู้เป็นผลจากการชนหรือเปล่า”
เมฆงง “มันจะหนักขนาดนั้นเลยเหรอ”
“เรื่องแบบนี้ทำเล่นไม่ได้นะครับ อาจจะมีเลือดคั่งก็ได้ ผมเลยจะมาขอไปหาหมอไงครับ”
“งั้นจะมามัวรออะไรล่ะ ก็รีบๆไปสิ” อิงฟ้าไล่
ตะวันฉายรับคำแล้วจะรีบเดินไปแต่เมฆเรียกไว้
“เดี๋ยวซัน....ฉันจะไปส่ง”
ตะวันฉายตกใจ “ห๊า...อะไรนะครับ”
เมฆดึงตะวันฉายออกไปทันที อิงฟ้าอึ้งและฉุนที่เมฆพาตะวันฉายหนีไป
“เมฆ...เมฆ...นี่มันอะไรกันเนี่ย”
อิงฟ้าโมโหจึงตบโต๊ะด้วยความเจ็บใจ
-ตะวันฉายนั่งรถคู่มากับเมฆด้วยสีหน้าอึดอัด เมฆแอบสังเกตอาการของตะวันฉาย พอตะวันฉายมองมาเมฆก็รีบหันหนี ตะวันฉายต้องกุมศรีษะเพราะเริ่มจะปวดหัวขึ้นมาจริงๆ
“เอ่อ...คุณเมฆปล่อยผมลงตรงนี้ก็ได้ครับ ผมไปหาหมอเองคุณเมฆจะได้ไปรับคุณหมอกดีไหมครับ”
เมฆมองหน้าตะวันฉาย ตะวันฉายรีบยิ้มแล้วพยักหน้าต่อรอง เมฆทำเป็นนิ่งคิดให้ตะวันฉายลุ้น “ไม่ดีกว่า” เมฆชี้ “โรงพยาบาลอยู่ที่นั่นจะถึงแล้ว มันคงไม่เสียเวลามากหรอก”
ตะวันฉายยิ่งร้อนรนเพราะไม่รู้จะทำอย่างไร เธอตัดสินใจทำตัวกระฉับกระเฉงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาดื้อๆ
“ผมหายแล้ว” ตะวันฉายบอก
“หายแล้ว?” เมฆงง
“ครับ” ตะวันฉายเอามือแตะหน้าผาก “แปลกนะครับ จู่ๆก็ไม่ปวดซะงั้น”
“แล้วไข้ล่ะ” เมฆถาม
ตะวันฉายทำเป็นจับตัวจับแขนตัวเอง “ก็หายเหมือนกันครับ”
“เออ...ดีนะ อยู่ๆก็หายได้”
ตะวันฉายหน้าเจื่อนไปเล็กน้อยแต่รีบกลบเกลื่อน “งั้นคุณเมฆไปรับคุณหมอกเลยนะครับ ผมกลับบ้านเอง” พอเมฆมองหน้าตะวันฉายก็รีบหาเหตุผลต่อ “คือ...ถ้าคุณเมฆไปส่งผมมันก็จะเสียเวลาไงครับ
เมฆมองตะวันฉาย ตะวันฉายรีบยิ้มให้ เมฆยิ้มตอบ
“ไหนๆก็ออกมาแล้ว นายไปรับหมอกกับฉันดีกว่า วันนี้ฉันอยากพาหมอกไปเดินเล่น นายไปด้วยกันนะ”
“ไปเดินเหรอครับ ที่ไหน...นานไหม?” ตะวันฉายถาม
เมฆยักไหล่ “ไม่รู้”
ตะวันฉายแอบเบือนหน้าเข้าหากระจกแล้วถอนใจเด้วยความซ็ง ส่วนเมฆก็แอบมองตะวันฉายด้วยความสงสัย
ตะวันฉายนั่งกินอาหารไม่ค่อยติดเพราะกังวลเรื่องเวลาจนไม่ได้กินอาหารของตัวเอง“อ้าว..ทำไมไม่กินล่ะ..” เมฆถาม
“ไม่เป็นไรครับ” ตะวันฉายหยิบช้อนของหมอกจะตักป้อน “ผมดูแลคุณหมอกกินให้เสร็จก่อนดีกว่า”
“ไม่ต้องดู หมอกกินเองได้” หมอกรีบบอก
หมอกแย่งช้อนมากินเอง ระหว่างนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือของตะวันฉายก็ดังขึ้นจนตะวันฉายสะดุ้ง เมฆมองหน้าตะวันฉาย ตะวันฉายหยิบมาแอบดูก็เห็นเป็นชื่อยุทธการก็ไม่กล้ารับ
“ไม่รับเหรอ” เมฆถาม
ตะวันฉายจำใจต้องกดรับโทรศัพท์ตามคำสั่งเมฆเพื่อไม่ให้เขาสงสัย
“บอกว่าไม่ซื้อไง..บอกว่าไม่มีตังค์ยังจะตามมาตื๊ออีก..ไม่ต้องโทรมาแล้วนะ..รำคาญ”
แล้วตะวันฉายก็ปิดมือถือต่อหน้าเมฆ
“ไอ้พวกขายประกันน่ะครับ..ไม่รู้จะตื๊อไปถึงไหน” ตะวันฉายบอกเมฆ
เมฆยิ้มๆ “ตื๊อขนาดนี้แปลว่าเครดิตดี รู้มั้ย”
“อ๋อ...เหรอครับ..ผมไม่เห็นรู้เลย”
ตะวันฉายทำหน้าแอ๊บไม่รู้เรื่องแล้วกดปิดเครื่อง
“ถึงขนาดปิดเครื่องเลยเหรอ” เมฆถาม
“เอ่อ...คือ..แบตมันจะหมดด้วยครับ ผมอยากเซฟแบตไว้”
“นึกว่ากลัวใครตาม”
เมฆพูดจบก็กินข้าวต่อนิ่งๆ ตะวันฉายแอบมองค้อน
ยุทธการพยายามกดโทรศัพท์หาตะวันฉายอีกครั้งแต่ก็ได้ยินเสียงสัญญาณว่าปิดเครื่อง ยุทธการทำหน้าเซ็งๆ แล้วมองไปที่ถุงขนมที่เบาะข้างตัวแล้วกดต่อสายโทรศัพท์หามยุรี
“คุณแม่ครับ เอ่อ...พอดีวันนี้ผมติดธุระด่วน คงต้องเลื่อนทานข้าวกับซันเป็นคราวหน้านะครับ”
มยุรีนั่งคุยโทรศัพท์ด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจ โดยมีพงษ์พัฒน์นั่งข้างๆ
“อ้าว...แล้วหนูซันล่ะ” มยุรีถาม
“ผมคุยกับซันแล้วครับ” ยุทธการบอก
“ดูสิ เรานี่จริงๆเลย ทำให้แม่กับพ่ออดเจอหนูซันไปด้วย”
“ครับ ผมขอโทษนะครับ”
มยุรีกดวางสาย
“ทำไมลูกชายตัวดีผิดนัดเหรอ” พงษ์พัฒน์ถาม
“ใช่น่ะสิคะ ฉันเลยทำกับข้าวเก้อเลย”
พงษ์พัฒน์ยิ้ม “เก้อที่ไหน ผมน่ะแอบคิดถึงฝีมือคุณมานานแล้วนะ”
มยุรีเขิน “แหม...คุณก็พูดเข้า อยากให้ฉันทำวันไหนก็บอกสิคะจะรีบกลับมาทำให้”
“ขอทุกวันได้ไหม”
มยุรียิ้ม “งั้นฉันต้องลาออกจากตำแหน่งรองประธานแล้วล่ะค่ะ”
พงษ์พัฒน์กับมยุรียิ้มให้กันอย่างมีความสุข
เอวากับนิคนั่งคุยกับยุทธการอยู่ที่โรงเรียนสอนดนตรีของเอวา ถุงขนมของยุทธการเปิดอยู่ใกล้ๆ นิคกับเอวากินขนมกันอย่างเอร็ดอร่อย
“พี่ยุทธโทรผิดหรือเปล่าครับ หรือไม่ก็สายพันกัน” นิคบอก
“ไม่นะ เสียงที่รับก็เป็นเสียงซัน แต่เขาพูดแปลกๆ”
นิคกับเอวาพูดพร้อมกัน “แปลก”
“ก็พูดเหมือนจะไม่ซื้อไม่ต้องตื้ออีก จะว่าไม่รู้ว่าเป็นเบอร์พี่แต่ชื่อมันก็ต้องโชว์สิใช่ไหม”
นิคกับเอวามองหน้ากันว่าเอาไงดีแล้วทั้งสองก็รีบช่วยกันแก้ตัวแทนเพื่อน
“พี่ยุทธลองโทรกลับไปอีกหรือเปล่า” เอวาถาม
“โทร แต่ซันปิดเครื่องไปแล้ว”
“งั้นเดี๋ยวซันมันก็คงโทรกลับมาครับ” นิคบอก
“ทุกครั้งกว่าซันจะโทรกลับก็ข้ามวันไปแล้ว”
ยุทธการยิ้มรับเซ็งๆจนเอวาเห็นใจ
“เดี๋ยวเอวาจะพยายามติดต่อซันให้ได้ แล้วจะรีบรายงานพี่ยุทธเลย”
นิคกับเอวายิ้มให้ยุทธการ
“ขอบใจนะ” ยุทธการดูเวลา “เอวากับนิคต้องไปเล่นดนตรีแล้วสิ งั้นพี่ไม่กวนล่ะ”
ยุทธการลุกขึ้น เอวารีบลุกตาม
“แล้วพี่ยุทธจะไปไหนล่ะคะ ก็พี่บอกคุณแม่พี่ว่าติดธุระไม่ใช่เหรอคะ”
ยุทธการนิ่งคิด เอวามองยุทธการ ส่วนนิคมองเอวาอีกที
เมฆ ตะวันฉาย และหมอกเดินมาที่รถที่จอดอยู่ ตะวันฉายกระวนกระวายและแอบเหลือบดูโทรศัพท์ตลอด
“เป็นอะไร ทำไมดูแปลก ตกลงนายหายป่วยแน่หรือเปล่า”
“หายครับ...หายจริงๆ ว่าแต่นี่ก็ใกล้เวลาคุณเมฆไปเล่นดนตรีแล้ว ผมว่าผมพาคุณหมอกกลับแท๊กซี่ดีกว่า คุณเมฆก็ไปทำงานที่ผับได้เลย”
หมอกสวนขึ้น “ไม่เอา หมอกไม่กลับบ้าน”
“แต่คุณพ่อต้องไปทำงานนะครับ” ตะวันฉายบอก
“หมอกไปด้วย”
“อย่าเลยครับ กลับกับพี่ซันดีกว่านะครับ อย่าดื้อนะครับ”
หมอกกับตะวันฉายเถียงกัน
“เอาอย่างนี้แล้วกัน ยังไม่ต้องกลับบ้าน ไปด้วยกันหมดนี่แหล่ะ” เมฆว่า
“ไปไหนครับ ไปที่ผับน่ะเหรอครับ”
เมฆพยักหน้ารับ หมอกร้องดีใจ
“เอ่อ... งั้นผมกลับบ้านแล้วกันนะครับ”
ตะวันฉายจะรีบเดินแยกไป แต่เมฆจับข้อมือเธอไว้ ตะวันฉายรู้สึกเขินที่โดนจับข้อมือ
“จะแอบหนีไปไหนหรือเปล่าเนี่ย ดูรีบๆนะ”
ตะวันฉายรีบพูดกลบเกลื่อน “ไม่นี่ครับ ผมก็จะกลับบ้านไงครับ”
“ฉันว่าในฐานะพี่เลี้ยงนายควรจะไปดูแลหมอกที่นั่นด้วยนะ”
เมฆเลิกคิ้วเหมือนต้องการถามความเห็น ตะวันฉายจำใจพยักหน้ารับแล้วดึงข้อมือกลับ เมฆผายมือให้ตะวันฉายพาหมอกไปขึ้นรถ เมฆแอบมองตามแล้วยิ้มๆ
รถของเมฆแล่นเข้ามาจอดหน้าผับ เมฆ ตะวันฉาย และหมอกลงมาจากรถ อีกด้านหนึ่งของลานจอดรถ รถของยุทธการแล่นเข้ามาแล้วมาจอดข้างๆรถเมฆ พอเห็นรถยุทธการตะวันฉายก็ตกใจจนตาโต เธอรีบหันหลังให้
ยุทธการลงมาจากรถแล้วยืนรอโดยไม่ได้สนใจเมฆและตะวันฉาย เมฆหยิบโน้ตเสร็จแล้วก็ล็อครถ ก่อนจะเดินจูงหมอกเพื่อจะเข้าประตูด้านหลัง ตะวันฉายรีบก้มหน้าก้มตาเดินตาม แต่พอจะเข้าประตูเมฆก็นึกได้
“ซัน กระเป๋านายหมอกล่ะ”
ตะวันฉายสะดุ้งที่เมฆเรียกชื่อ ส่วนยุทธการได้ยินก็รู้สึกสะดุดหูจึงรีบหันไป ตะวันฉายหันมาเจอหน้ายุทธการก็รีบหันหนีทันที ยุทธการมองด้วยความสงสัย เมฆเห็นยุทธการมองมาแต่ก็ไม่ได้สนใจ
“อยู่ในรถครับ” ตะวันฉายตอบ
เมฆกดรีโมทรถ ตะวันฉายเดินก้มหน้าก้มตาไปเปิดประตูหยิบกระเป๋าแล้วเดินก้มหน้ากลับมาเมฆ
เมฆสงสัย “เป็นอะไรทำไมเดินแปลกๆ”
“ไม่ได้เป็นอะไรนี่ครับ”
เมฆจะเดินเข้าด้านใน แต่หมอกเห็นรถเอวาแล่นเข้ามาพอดี
“พี่เอวามาแล้ว” หมอกบอก
เมฆมองตาม “งั้นรอพี่เอวาก่อนแล้วกันนะครับ”
ตะวันฉายถอนใจด้วยความเซ็ง
รถของเอวาเลี้ยวเข้ามาที่ลานจอดรถแล้วเบรกเอี๊ยด นิคที่นั่งมาด้วยถึงกับหัวทิ่ม
“เฮ้ย...จะเบรกทำไมวะ” นิคว่า
เอวาชี้ “ดูนั่นสิ”
นิคมองตามไปก็เห็นเมฆ ตะวันฉาย และหมอกยืนอยู่ไม่ห่างจากยุทธการ
“ทำไงดีล่ะแก เฮ้อ...ฉันไม่น่าแวะเติมน้ำมันเลยจริงๆ” เอวากังวล
“The show must go on แกเข้าไปจอดก่อนเดี๋ยวฉันไปประกบพี่เมฆกับไอ้ซันเอง แกก็ไปหาพี่ยุทธ”
รถเอวาแล่นมาจอด นิคกับเอวารีบลงจากรถแล้วนิคก็รีบเดินไปหาเมฆ ตะวันฉาย และหมอก โดยเข้าไปยืนในตำแหน่งที่จะบังตะวันฉายได้แบบเนียนๆ
“โห...น้องหมอกวันนี้มาเล่นกับพี่นิคใช่ไหม”
“หมอกจะเล่นมวยปล้ำกับพี่นิค” หมอกบอก
“งั้นเรารีบเข้าไปกันเถอะ ไปครับพี่เมฆ ผมอยากเล่นกับเจ้าตัวเล็กแล้ว”
เมฆจะเดินเข้าไปแต่ก็หยุดแล้วหันมองไปทางเอวาที่กำลังเดินไปหายุทธการ
“เอวามีเพื่อนมาเหรอ” เมฆถาม
“ครับ เพื่อนรุ่นพี่น่ะครับเขามาทานข้าว” นิคตอบ
เมฆ ตะวันฉาย นิค และหมอกพากันเดินเข้าทางด้านหลังของผับไป
ยุทธการมองตามกลุ่มของเมฆไป เอวาจึงต้องรีบดึงความสนใจ
“รุ่นพี่ในวงน่ะค่ะ”
ยุทธการยิ้มรับแล้วเอวาก็พายุทธการเดินเข้าทางด้านหน้าผับ
ยุทธการสั่งอาหารเสร็จก็ส่งเมนูคืนให้พนักงานเสิร์ฟ
“เอวา...พี่ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม”
“อะไรคะ”
“ก็รุ่นพี่ของเอวาน่ะ พี่ได้ยินเขาเรียกชื่อคนที่มากับเขาว่าซัน”
เอวาเผลอตกใจ “เอ่อ...ค่ะ แต่ซันคนนี้เขาเป็นผู้ชายนะคะ เป็นพี่เลี้ยงลูกของรุ่นพี่เอวาค่ะ”
“เป็นผู้ชายเหรอ” ยุทธการขำ “เขาดูตัวเล็กบางๆเหมือนผู้หญิง ตอนแรกพี่เห็นแว๊ปๆตาฝาดนึกว่าเป็นซันเลยนะ”
เอวาแกล้งหัวเราะ “โห...พี่ยุทธ นี่คิดถึงซันจนมองผู้ชายเป็นมันไปแล้วเหรอคะ ถ้ามันได้ยินคงงอนพี่ยุทธแน่เลย จากคนสวยๆไปมองว่าหล่อซะงั้น”
ยุทธการหัวเราะ “อย่าไปบอกซันนะ”
“ค่ะสารวัตร”
พนักงานเอาเครื่องดื่มมาวาง เอวาลอบเป่าปากด้วยความโล่งอก
เมฆกำลังคุมหมอกเล่นอยู่ในห้องพักนักดนตรี นิคกับตะวันฉายนั่งดูอยู่ด้วย โดยนิคเตรียมเครื่องดนตรีไปด้วย
“รุ่นพี่ของนิคกับเอวานี่พี่ไม่เคยรู้จักใช่ไหม เหมือนไม่เคยเห็นหน้า” เมฆถาม
“ครับ เค้าไม่ชอบเที่ยว ก็เลยไม่ค่อยมาที่นี่” นิคบอก
“จริงสิ พี่ได้ส่วนลดมากกว่านิคกับเอวา เดี๋ยวพี่ไปบอกเขาให้ลงบัญชีไว้ดีกว่า”
เมฆลุกขึ้น ตะวันฉายกับนิคมองหน้ากัน ตะวันฉายส่งสัญญาณให้นิครีบห้าม
“เอ่อ...ไม่ต้องหรอกครับ เกรงใจพี่เมฆ” นิคบอก
“เฮ้ย...เกรงใจอะไร พี่ยังไม่เคยใช้สิทธิ์พี่เลย ขอยกให้เพื่อนน้องๆแล้วกัน”
พูดจบเมฆก็เดินออกไปเลย นิคห้ามไม่ทัน ตะวันฉายเองก็ตกใจ
“ทำไงดีวะ” นิคกังวล
ตะวันฉายมองตามไปด้วยความเครียด
ตะวันฉายบ่น “อีตานี่ก็จุ้นเหมือนกันนะ”
ยุทธการกับเอวานั่งกินอาหารอยู่ด้วยกัน สักพักเมฆก็เดินเข้ามาหา
“ขอโทษนะครับ ผมชื่อเมฆเป็นรุ่นพี่ของเอวาครับ” เมฆแนะนำตัว
“ครับสวัสดีครับ ผมยุทธการครับ”
“พี่เมฆมีอะไรคะ” เอวาถาม
“พี่เห็นว่าคุณยุทธการเป็นเพื่อนของนิคกับเอวา พี่เลยจะขอเซ็นลดให้”
เอวายิ้ม “ดีจังเลย ขอบคุณค่ะ”
“ไม่เป็นหรอกครับ ผมเกรงใจ”
“ไม่ต้องเกรงใจครับ ผมยินดี”
ตะวันฉายกับนิคโผล่หัวแอบดูจากด้านนอกเสร็จแล้วก็หันกลับมาคุยกัน
“แกว่าสองคนนั่นจะคุยอะไรกันวะ” ตะวันฉายถาม
“ไม่รู้ว่ะ แต่ที่แน่ๆฉันไม่อยากให้สองคนนั่นรู้จักกันเลย” นิคบอก
“ยังกับฉันอยากให้รู้จักแน่ะ”
“งั้นแกก็รีบๆหาข้อมูลพี่ธีร์สิวะ ถ้าเกิดพี่เมฆรู้เรื่องมีหวังฉันตกงานแหงๆ”
“เอาน่า ไม่ต้องห่วง ฉันจะรีบจัดการภารกิจของฉันให้เสร็จเร็วๆ”
ตะวันฉายรู้สึกกังวล
อิงฟ้าพยายามมองลอดหน้าต่างบ้านเมฆออกไปข้างนอกรั้ว แต่ก็เห็นแต่ความมืด อิงฟ้ากดโทรศัพท์ในมือแล้วยกขึ้นแนบหู
“ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลยที่ท่านเรียก”
อิงฟ้ากดวางสาย
“ไปอยู่ที่ไหนกันนะหายไปหมดเลย”
อิงฟ้าหงุดหงิดแต่ก็ยังพยายามโทรต่อไป
ยุทธการกับเอวากินข้าวจนเสร็จ
“แล้วพี่ยุทธจะกลับเลยเหรอคะ” เอวาถาม
“พี่ว่าจะแวะไปดูซันที่คอนโดนหน่อย ป่านนี้คงจะกลับมาแล้ว ไว้คราวหน้าพี่จะพาซันมาฟังเอวาด้วยนะ”
เอวาฝืนยิ้ม “ค่ะ ขับรถดีๆนะคะ”
ยุทธการยิ้มให้แล้วลุกเดินออกไป เอวามองตามอย่างใช้ความคิดแล้วรีบลุกเดินเข้าห้องพักนักดนตรีทันที
หมอกทำท่าดีดกีต้าร์ด้วยมือเปล่า แล้วก็ลี้ดกีต้าร์อย่างเมามันส์เหมือนพวกร็อคเกอร์โดยวิ่งจากฟากหนึ่งไปอีกฟากหนึ่งไปด้วย เมฆกำลังจัดเรียงโน้ตเพลงที่จะเล่น ส่วนนิคก็กำลังเตรียมเครื่องดนตรี
ตะวันฉายยืนกระซิบคุยอยู่กับเอวาที่มุมหนึ่งห่างออกไป
“พี่ยุทธกลับไปแล้วเหรอ” ตะวันฉายถาม
เอวาพยักหน้ารับ “แกไม่โทรหาพี่ยุทธหน่อยเหรอ”
“ตอนไหนล่ะ แกก็เห็นนี่นายนั่นประกบฉันติดตลอดเวลาเลย”
“ไปห้องน้ำสิ”
“ไม่เอาแล้ว เดี๋ยวเกิดนายนั่นตามไปจะมาชวนฉันยืนฉี่อีก”
“เอางี้ เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
เอวาเดินเข้าไปหาหมอกแล้วปรบมือเป็นจังหวะเพลง หมอกยิ่งร้องยิ่งเล่นใหญ่
“โอ้โห...นิค แกดูสิ ศิลปินคนใหม่จะมาเบียดแกแล้วนะ” เอวาพูด
นิคหัวเราะ “จริงด้วย แบบนี้เกิดเร็วๆนี้แน่”
“ไปๆ ไปเล่นให้คุณพ่อฟังดีกว่า”
เอวาแกล้งดึงหมอกให้ไปเล่นหน้าเมฆโดยให้หมอกยืนในตำแหน่งที่เมฆต้องหันหลังให้ประตู เมฆหัวเราะลูกชายด้วยความสนุกสนาน ตะวันฉายได้โอกาสรีบเดินหนีออกไปทันที
เก่งนั่งกึ่งนอนดูถ่ายทอดฟุตบอลอยู่บนโซฟาอย่างเมามันส์ โดยที่กินป๊อบคอร์นไปด้วย
“เออ...เลี้ยงดีๆ ซีวะลูกน่ะ ฮึ่ย...ไม่ได้ใจเก่งเลยอ่ะ”
อิงฟ้าเดินเข้ามาเขาด้วยใบหน้าบูดบึ้ง
“คุณเมฆบอกไหมว่าจะกลับมาตอนไหน” อิงฟ้าถาม
เก่งเชียร์บอลโดยไม่ได้สนใจฟังอิงฟ้า “เออ...ตอนนี้แหละ”
อิงฟ้าขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ
เก่งยังเชียร์บอลต่อ “เออ...นั่นแหละ...ตอนนี้เลย ส่งเลย เอ้ารับไป...เออ...ยิงเลยซีวะ โห พลาดอีกแล้ว”
อิงฟ้าโมโหจึงหยิบรีโมทมากดปิด เก่งตกใจ
อิงฟ้าตวาด “คุณเมฆจะกลับมาตอนไหน”
“ก็เกือบเที่ยงคืนครับ” เก่งตอบ
“อะไรกัน แล้วก็เอาหมอกไปด้วยแบบนี้ทุกคืนเหรอ”
“เปล่าครับ เฉพาะเวลาที่ไม่มีพี่เลี้ยง แต่วันนี้พาไอ้ซันหาหมอแล้วคงรับคุณหมอกไปด้วยเลยครับ”
อิงฟ้าเดินออกไปด้วยความหงุดหงิด เก่งหยิบรีโมทมาเปิดทีวีดูแล้วตกใจ
“โห...เอาอีกแล้ว ทำลูกหลุดไปอีกแล้ว” เก่งเน้นเสียง “บอกแล้วให้เลี้ยงให้ดี ๆ” เก่งเชียร์บอลโดยไม่ได้คิดว่าคำพูดคล้ายกำลังเหน็บอิงฟ้า
อิงฟ้าชะงักแล้วทำหน้าเจ็บใจเพราะคิดว่าเก่งหลอกด่า เธอเดินขึ้นห้องไปอย่างไม่พอใจ
ยุทธการเดินตรงมาหาพนักงานที่ล็อบบี้คอนโดของตะวันฉาย พนักงานยกมือไหว้
“ซันกลับมาหรือยังครับ” ยุทธการถาม
“ยังค่ะสารวัตร”
“แล้วปกติเขากลับกี่โมงครับ”
“ยังไงก็ไม่ทราบนะคะ แต่เห็นคุณตะวันฉายมาฝากกุญแจไว้ให้แม่บ้านขึ้นไปทำห้องมาหลายวันแล้วค่ะ”
“หมายความว่ายังไงครับ”
“คือแกสั่งให้แม่บ้านขึ้นไปทำห้องทุกวันในช่วงที่แกไม่อยู่ค่ะ”
ยุทธการอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน ระหว่างนั้นโทรศัพท์ของยุทธการก็ดังขึ้น พอเห็นเป็นชื่อตะวันฉายยุทธการก็รีบกดรับ
“ซัน อยู่ที่ไหนอ่ะ เสร็จธุระหรือยัง”
ตะวันฉายยืนคุยโทรศัพท์เสียงอ่อยอยู่ที่ลานจอดรถ
“พี่ยุทธ.. เอ่อ...คือ...ซัน...ต้องขอโทษพี่ยุทธจริง ๆซัน..ยังติดงานอยู่เลย”
“ที่คอนโดเขาบอกว่าซันฝากกุญแจไว้หลายวันแล้ว ซันไม่ได้กลับบ้านเหรอ”
ตะวันฉายเอามือปิดโทรศัพท์บ่นกับตัวเอง “โอ๊ย..ไม่น่าลืมบอกให้ปิดปากเลย” ตะวันฉายปล่อยมือแล้วพูดต่อ “อ๋อ ซันมีกุญแจสองชุด ฝากไว้ที่นั่นชุดหนึ่งให้แม่บ้านไว้ขึ้นไปทำห้อง”
“พี่เข้าใจแล้ว” ยุทธการถอนใจ “แล้วพี่จะได้เจอซันหรือเปล่า”
“ไว้ซันเสร็จธุระ ซันจะรีบโทรเรียกพี่ยุทธมาเลี้ยงข้าวเลยนะ”
ยุทธการทำเป็นร่าเริง “สัญญากับพี่แล้วนะ”
ยุทธการกดวางสายแล้วเดินเซ็งๆออกไป
ตะวันฉายกดปิดโทรศัพท์แล้วถอนหายใจ พอหันหลังจะกลับเข้าไปก็ต้องหยุดกึกด้วยความตกใจเมื่อเห็นเมฆยืนอยู่
“เมื่อกี๊คุยกับกิ๊กเหรอ เอวารู้ไหมเนี่ย” เมฆถาม
ตะวันฉายอึ้ง “ไม่ใช่ครับ ผมไม่ได้มีแฟนมีกิ๊กอะไรทั้งนั้น”
“เอาละๆ ฉันไม่ได้จะว่าอะไรหรอกนะ ถ้านายจะมีแฟน แต่นายไม่ควรทิ้งหมอกออกมาอย่างนี้”
“ผม เห็นว่าคุณเมฆยังไม่ขึ้นเล่น คงจะอยู่เป็นเพื่อนคุณหมอกได้ก่อน”
“นายก็เลยสบโอกาส”
ตะวันฉายถอนใจ “ผมไม่ได้คุยกับแฟนจริงๆ”
“งั้นคุยกับใคร เฮ้ย...อย่าให้รู้นะว่านายเป็นสายโจร”
“เอาเป็นว่า วันหลังถ้าผมจะคุยกับโจร หรือจะคุยกับแฟน ผมจะเปิดสปีคเกอร์โฟนให้คุณเมฆได้ยินด้วยดีไหมครับ”
“ดี...พูดแล้วนายต้องทำนะ”
ตะวันฉายเหวอไปเลย เมฆยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วเดินไป
“ตาบ้า ฉันว่านายสอดรู้สอดเห็นแล้วยังไม่สำนึกอีก”
อิงฟ้าเปิดประตูเดินเข้ามาในห้องนอนของเมฆ เธอมองไปรอบๆห้องแล้วยิ้มอย่างมีความหวัง อิงฟ้าเดินไปที่หน้ากระจก
“อีกไม่นานฟ้าจะย้ายมาอยู่ห้องนี้กับเมฆ”
อิงฟ้าเดินลูบคลำโต๊ะ ตู้และเตียงอย่างมีความสุข
ยุทธการเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นที่พงษ์พัฒน์กับมยุรีนั่งดื่มกาแฟและดูทีวีอยู่ด้วยกัน ทั้งสองเห็นลูกชายเดินเนือยๆผ่านไปก็สะกิดกันดูแล้วดึงกันให้เดินตามยุทธการไป
มยุรีเรียก “ยุทธ”
ยุทธการหยุดเดินแล้วเดินกลับมาหาพงษ์พัฒน์กับมยุรี
“ทำไมดูเหนื่อยละลูก” มยุรีถาม
“งานยุ่งละสิท่า ยังไงก็อย่าไปผิดนัดหนูซันเขาบ่อยๆล่ะ เดี๋ยวเขาไม่รักนะ” พงษ์พัฒน์เตือน
ยุทธการถอนใจ “คุณพ่อคิดว่าผมดีพอที่ซันเขาจะรักไหมครับ”
พงษ์พัฒน์กับมยุรีมองหน้ากันอย่างงงๆ
“พูดแบบนี้....ทะเลาะกันหรือเปล่า”
“เปล่าครับ ผมไปอาบน้ำก่อนนะครับ”
ยุทธการจะเดินไปมยุรีดึงแขนเอาไว้
“ยุทธ...มีอะไรอยากคุยกับพ่อกับแม่ใช่ไหม”
ยุทธการมองหน้าพงษ์พัฒน์กับมยุรีด้วยแววตาคิดหนัก
ตะวันฉายในม่านเมฆ ตอนที่ 6 (ต่อ)
ยุทธการ มยุรี พงษ์พัฒน์เดินคุยมาด้วยกันที่สระว่ายน้ำหน้าบ้าน
“บางทีผมอาจจะตามซันเขามากเกินไปจนเขารำคาญ”
พงษ์พัฒน์เดินไปตบไหล่ยุทธการ
“เอ้า...สารวัตรหนุ่ม ไหนบอกปัญหามาสิ เผื่อประชาชนจะช่วยปัดเป่าทุกข์ให้ตำรวจได้บ้าง”
ยุทธการเศร้าแต่ก็อดยิ้มกับมุขของพ่อตัวเองไม่ได้
ยุทธการเล่าถึงตอนที่เขาโทรไปหาตะวันฉายเมื่อครั้งที่เธอมากรุงเทพฯใหม่ๆ...
ตะวันฉายส่งสัญญาณให้เพื่อนเงียบ “อ๋อ...ซันก็อยู่ที่เกาะไง กำลังเดินเล่นอยู่เลย”
“ทำไมเสียงเงียบจัง เดินที่ไหนอ่ะ ไม่มีลมเหรอ” ยุทธการถาม
ตะวันฉายปิดโทรศัพท์ “ตายแล้ว ลมอ่ะ”
นิคลากตะวันฉายมาถึงจุดที่ขายพัดลมแล้วตะวันฉายก็รีบเอาหน้าเข้าไปใกล้พัดลม
“เมื่อกี้ซันเดินตรงล้อบบี้ นี่ออกมาข้างนอกแล้ว” ตะวันฉายเดินส่ายตามพัดลม
“ดีจังพูดถึงลมๆก็มา แต่ลมวันนี้พัดสม่ำเสมอจังนะ”
ตะวันฉายค้อนใส่โทรศัพท์ “เห็นเขาว่าพายุจะเข้า ลมเลยแรง”
“ตกลงซันอยู่ที่เกาะจริงหรือเปล่าเนี่ย”
“จริงสิ ช่วงนี้รีสอร์ทเต็มซันไปไหนไม่ได้หรอก”
“พี่นึกว่าซันอยู่ที่ห้าง”
ตะวันฉาย นิค และเอวาหันหลังไปตามเสียงก็เห็นยุทธการ ทั้งหมดหน้าเจื่อน นิคกับเอวารีบยกมือไหว้ยุทธการ ยุทธการจ้องหน้าทั้งสามนิ่ง
ยุทธการเล่าถึงตอนที่เขาไปนั่งคุยกับตะวันฉายที่ล็อบบี้คอนโด...
“ซันนี่ชอบทำอะไรแปลกๆอยู่เรื่อยเลยนะ โดยเฉพาะช่วงนี้ซันมีอะไรปิดบังพี่อยู่หรือเปล่า”
“มีอะไร ไม่มีหรอกพี่ยุทธ”
“ถ้าไม่มีแล้วซันหายไปไหน”
“ตอนนี้ซันก็กำลังหาข้อมูลที่จะเอามาเขียนนิยายอยู่ มันก็เลยยุ่งๆค่ะ”
ยุทธการหน้าเสีย เขาจ้องหน้าตะวันฉายอย่างคาดคั้น
“ซันพี่ขอถามตรงๆนะ ที่ซันหายไปน่ะเรื่องงานหรือว่า....ซันมีใคร”
ตะวันฉายหลบตา “โธ่...พี่ยุทธซันกำลังเตรียมเขียนงานจริงๆค่ะ”
พงษ์พัฒน์กับมยุรีฟังเรื่องราวของยุทธการจนจบ
“ฟังๆดูแล้วแม่ก็ไม่เห็นมีอะไรบอกว่าหนูซันไม่ได้รักลูกนี่” มยุรีแสดงความเห็น
“โห คุณ...หนูซันกำลังมีความลับกับลูกเราเนี่ยนะ” พงษ์พัฒน์บอก
“เราเห็นหนูซันมาตั้งแต่เกิดด้วยซ้ำ ยังไงฉันก็เชื่อว่าหนูซันต้องมีเหตุผลที่ทำแบบนี้”
มยุรีแอบค้อนพงษ์พัฒน์
“แล้วนี่ลูกคิดว่าจะทำยังไงต่อ” พงษ์พัฒน์ถามยุทธการ
“ถ้าเป็นคุณพ่อๆจะทำยังไงครับ”
“ตอนพ่อจีบแม่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย แม่เขาก็ไม่ได้ชอบพ่อนะ”
“แหม...ก็พ่อเขาชอบแซวแม่เวลาเดินผ่านคณะเขานี่ ใครจะไปชอบ”
พงษ์พัฒน์พูดกับยุทธการ “รู้ไหม คนนำทีมแซวน่ะ พ่อหนูซัน”
“จริงเหรอครับ”
“จริงไม่จริง เจ้าเกริกก็แต่งงานกับคุณรุ้งแม่หนูซัน แล้วรุ่นน้องสวยๆคนหนึ่งก็มาเป็นแม่ยุทธอยู่ทุกวันนี้ไง”
“นี่พ่อจะบอกให้ผมทำอะไรครับ”
“ทำตามที่หัวใจยุทธบอก” พงษ์พัฒน์กระซิบ “แต่เอาแบบมีศีลธรรมด้วยนะ ไม่ใช่ไปฉุดลูกเขาล่ะ”
ยุทธการหัวเราะ “พ่อ...ผมเป็นตำรวจนะครับ”
มยุรีตีแขนพงษ์พัฒน์ “คุณนี่ เดี๋ยวเหอะ” มยุรีพูดกับยุทธการ “แต่แม่ก็เห็นด้วยกับพ่อนะ ตอนนั้นแม่มีคนจีบเยอะ เวลาพ่อกับคุณเกริกและเพื่อนๆแซวแม่กับเพื่อน แม่น่ะเชิดใส่เลย สวยเลือกได้ พ่อเขาเปลี่ยนแผนใหม่ พอแม่เดินผ่าน พ่อเขาก็ซื้อน้ำแดงให้แม่ทุกครั้ง แม่ก็ให้เพื่อนๆทานนะ จนวันหนึ่งแม่ถามพ่อว่าไม่เบื่อเหรอ ซื้อแล้วแม่ไม่ทาน พ่อเขาบอกว่า ไม่ซื้อน่าเบื่อกว่า เพราะความสุขของพ่อเขาอยู่ที่ตอนยื่นน้ำแดงให้แม่”
“โห...พ่อนี่ ร้ายเหมือนกันนะครับ” ยุทธการแซว
“แม่เขาถึงน้ำตาลในเลือดสูงมาจนทุกวันนี้ไง” พงษ์พัฒน์บอก
สามคนพ่อแม่ลูกหัวเราะกันอย่างมีความสุข แล้วพงษ์พัฒน์ก็ตบไหล่ยุทธการอีกครั้ง
“รู้แล้วใช่ไหมว่าควรจะทำอะไรต่อไป”
ยุทธการพยักหน้ารับแล้วยิ้มอย่างมีความสุข มยุรีกับพงษ์พัฒน์ยิ้มให้กัน
รถของเมฆแล่นเข้ามาจอดบริเวณที่จอดรถของบ้าน เก่งงัวเงียลุกขึ้น เมฆอุ้มหมอกที่หลับไปแล้วเข้าบ้านมา ตะวันฉายเดินตามมาห่าง ๆ
“ปิดบ้านเลยนะ” เมฆสั่ง
เก่งรับคำ “ครับ”
เก่งหยิบกุญแจจะเดินไป
“เดี๋ยวเก่ง คุณอิงฟ้าว่าไงบ้าง” เมฆถาม
“ก็ถามนะครับว่าคุณเมฆเอาคุณหมอกไปที่ผับทุกคืนเหรอ แค่นี้แหล่ะครับ”
เมฆอึ้งไปเล็กน้อย “ไปปิดบ้านเถอะ”
เก่งเดินออกไป เมฆอุ้มหมอกขึ้นบันไดไปก่อนจะหยุดเดินแล้วหันมองตะวันฉายที่เงอะๆงะๆไม่ยอมตามขึ้นมา
“รีบขึ้นไปเตรียมที่นอนให้หมอกสิ”
ตะวันฉายรับคำ “ครับๆ”
เมฆเดินขึ้นไป ตะวันฉายทำปากขมุบขมิบก่อนจะเดินตามขึ้นไป
เมฆวางหมอกลงบนที่นอนก่อนจะทิ้งตัวลงข้าง ๆ ด้วยความเหนื่อยล้า
“โอย หนักใช่ย่อย”
“คุณหมอกครับตื่นครับ...ไปอาบน้ำก่อน” ตะวันฉายปลุก
“หลับสนิทเลย ฉันว่าอย่าปลุกเลยดีกว่า” เมฆบอก
“แต่คุณหมอกยังไม่ได้อาบน้ำแปรงฟันเลยนะครับ”
“ไม่อาบน้ำแปรงฟันวันนึง ไม่เป็นไรหรอก หลับไปแล้ว สงสารหมอก”
“คุณเมฆครับ ไม่ได้นะครับ อย่างน้องเด็กก็ต้องเปลี่ยนชุดให้คุณหมอก ได้นอนสบายๆ หน่อย ปล่อยไว้อย่างนี้แกนอนอึดอัดทั้งคืนแน่เลยครับสงสารแก”
ตะวันฉายจัดการเปลี่ยนชุดให้หมอกอย่างทะนุถนอมและดูมีความสุขที่ได้ดูแลหมอก เมฆมองดูแล้วสัมผัสได้ถึงความรักความเอาใจใส่ที่ตะวันฉายมีให้กับหมอก
“ฝากด้วยนะซัน”
เมฆยิ้มแล้วเดินออกไปจากห้อง
เมฆเดินเข้ามาในห้องนอน เขาเปิดตู้ หยิบผ้าเช็ดตัวเพื่อจะเข้าไปอาบน้ำ แต่แล้วก็สะดุดใจกับคำพูดของตะวันฉายขึ้นมา
“คุณเมฆครับ คุณก็เคยอายุเท่าคุณหมอกคุณน่าจะรู้นะครับว่าเด็กๆเวลาหลับสนิทแล้วต้องถูกปลุกขึ้นมามันทรมานขนาดไหน ไม่ใช่ว่าผมขี้เกียจนะครับ แต่ผมสงสารคุณหมอก อยากให้แกได้พักผ่อนเต็มที่”
เมฆนั่งลงที่ขอบเตียงแล้วก็ยิ้ม
“เธอนี่ยังรักนายหมอกมากกว่าแม่เขาซะอีก”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“บ่นถึงปุ๊ปมาปั๊บเลยนะ”
เมฆเปิดประตู พร้อมกับพูดกวนๆ
“อะไรอีกล่ะ”
เมฆเห็นว่าเป็นอิงฟ้าก็ถึงกับหุบยิ้มทันที อิงฟ้าเข้าไปเกาะแขนเมฆ เมฆพยายามเอามืออิงฟ้าออก
“ฟ้านอนไม่หลับ ให้ฟ้านอนใกล้ๆเมฆนะ”
“ไม่ได้หรอก”
“ทำไมล่ะ เมฆเมื่อก่อนเราก็เคย...”
เมฆพูดแทรกขึ้น “ฟ้า...ลืมเรื่องเก่าๆให้หมด”
อิงฟ้ายิ้ม “เมฆลืมได้จริงๆเหรอ เมฆลืมไปแล้วเหรอว่าเราเคยรักกันมาก”
เมฆไม่ตอบแต่พยายามแกะมืออิงฟ้าออก อิงฟ้ายังกอดเมฆแน่น เมฆถอยหลังจะหนีแต่กลายเป็นว่าทั้งสองล้มตัวลงไปบนเตียงด้วยกันแล้วจ้องหน้ากันนิ่ง
“เมฆเริ่มต้นใหม่กับฟ้านะ อย่าทิ้งฟ้าเลยนะเมฆ”
“ไปนอนได้แล้วฟ้า”
“ไม่...ฟ้าไม่ไป ฟ้าจะอยู่ห้องของเมฆ ฟ้าสัญญาฟ้าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่เพื่อเมฆ”
“เพื่อหมอกดีกว่าฟ้า ทำตัวให้สมกับเป็นแม่ของหมอก”
เมฆดันอิงฟ้าออกไปจากห้องแล้วล็อคห้องก่อนจะถอนใจ เขาเดินไปดื่มน้ำให้หายปากสั่นมือสั่น
อิงฟ้าเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนก่อนจะปิดโครมด้วยใบหน้าบูดบึ้ง เธอเดินไปนั่งที่เตียงด้วยความเจ็บใจ
“ทำตัวเป็นแม่เหรอ”
อิงฟ้าหงุดหงิดจึงหยิบหมอนขว้างทิ้ง
เช้าวันใหม่ เก่งนั่งเล่นกีตาร์ ตะวันฉายเดินถือตะกร้าผ้าของเก่งลงมาเพื่อจะเอาไปใส่เครื่องซัก
“เฮ้ยไอ้ซัน พี่ฝากของคุณเมฆด้วยสิ” เก่งบอก
ตะวันฉายแอบค้อนแต่ก็เอาผ้าไปลงเครื่องให้ เสร็จแล้วเธอก็มานั่งฟังเก่งเล่นดนตรี
“จริงๆพี่เก่งก็เล่นดนตรีเก่งนี่” ตะวันฉายชม
“ก็ใช่นะสิ ดนตรีมันเป็นความฝันของพี่เลยนะ”
“จริงเหรอพี่”
เก่งถอนใจ “พี่อยากเป็นนักดนตรีที่เก่งมากๆ แต่ไม่เคยมีใครให้โอกาสพี่เลย”
“พี่ไม่ลองขอคุณเมฆล่ะ”
เก่งส่ายหน้า “ที่พี่มาอยู่ที่นี่ ก็เพราะพี่อยากเป็นนักดนตรี แต่พอนึกถึงสมัยที่พี่เข้ากรุงเทพฯแล้วไปสมัครงานที่ไหนเขาก็ไม่รับ พี่ก็เลยคิดว่าคุณเมฆก็คงไม่รับเหมือนกัน”
“ผมบอกคุณเอวากับคุณนิคให้เอาไหม” ตะวันฉายเสนอ
“ฮึ...น้ำหน้าอย่างเอ็งคุณเอวากับคุณนิคเขาจะฟังเหรอวะ”
“มันก็ไม่แน่นะพี่”
“ไม่เอา...เอ็งไม่ต้องยุ่งดีกว่า พี่ไม่อยากผิดหวังอีกแล้ว”
เก่งลุกขึ้นจะเดินไป
ตะวันฉายเรียกเอาไว้ “พี่เก่ง”
เก่งยืนหันหลังเก๊กๆ แล้วยกมือห้ามแบบเท่ๆ
“อย่าเลยไอ้ซัน เอ็งไม่ต้องพยายามช่วยพี่ พี่มีศักดิ์ศรีพี่จะก้าวขึ้นด้วยตัวเอง สักวันเอ็งจะได้เห็นผลงานพี่”
“พี่เก่ง”
“บอกแล้วไงไม่ต้องตื้อ พี่ไม่ชอบให้ใครมาสงสาร”
“เปล่าพี่....ผมจะบอกว่าพี่อย่าลืมล้างจานด้วยล่ะ”
เก่งหันกลับมามองอย่างไม่พอใจ “นี่เอ็งกล้าเก็บจานให้อนาคตนักดนตรีโลกล้างเหรอวะ”
“ผมล้างของผมกับของเจ้านายแล้ว เหลือแต่ของพี่แหล่ะที่ชอบวางไว้ให้ผมล้าง ผมไม่ล้างแล้ว”
“ไอ้ไม่มีน้ำใจ ก็ได้ในเมื่อเอ็งจะเอาเปรียบพี่ พี่ล้างจานของพี่ก็ได้ แต่เอ็งต้องไปทำความสะอาดห้องนั่งเล่นกับห้องทำงานแทนพี่”
พูดจบเก่งก็วิ่งหนีไปทันที
“เฮ้ย...พี่เก่ง โห...โยนงานอีกแล้ว”
เมฆนั่งทำงานแต่งเพลงด้วยเปียโนอยู่ที่ห้องทำงาน อิงฟ้าเปิดประตูเข้ามา เมฆเห็นแต่ทำไม่สนใจ อิงฟ้าเข้าไปจับไหล่แต่ใช้นิ้วเขี่ยไปเขี่ยมาก เมฆสมาธิเสียถึงกับเล่นโน้ตผิด
อิงฟ้ายิ้มพอใจ “เมฆไม่ไปทำงานเหรอ”
“ผมก็ทำอยู่นี่ไง”
อิงฟ้าลงนั่งข้างๆ แล้วเอาเมือลูบเอวเมฆ เมฆหยุดเล่นดนตรี
“ฟ้าหมายถึงเข้าไปทำที่บริษัท” อิงฟ้าบอก
“ผมให้พี่วัฒน์ดูแลทั้งหมด”
“ให้พี่วัฒน์ดูแล เมฆ..ฟ้าไม่เห็นด้วยเลยนะ ฟ้าว่าเมฆกลับไปทำงานเถอะ ให้ฟ้าไปช่วยก็ได้”
“ไม่จำเป็นหรอก พี่วัฒน์จัดการทุกอย่างได้อยู่แล้ว”
อิงฟ้าไม่พอใจ “เมฆ.... พี่ธีร์เป็นคนสร้างบริษัทนี้ขึ้นมานะ จะไปให้หุ้นส่วนที่เล็กกว่าอย่างพี่วัฒน์ดูแลได้ไง”
“พี่ธีร์สร้างขึ้นมา ฟ้าทำพัง และผมกอบกู้ เพราะฉะนั้นฟ้าไม่มีสิทธิ์อะไรอีกแล้ว”
“แต่อย่างน้อยฟ้าก็เป็น...”
เมฆสวนขึ้น “ฟ้าแค่เคยเป็นคนในครอบครัวนี้ เรื่องในบริษัทผมกับพี่ๆที่ทราเวล ทีจะดูแลกันเอง”
พูดจบเมฆจะเดินหนีแต่อิงฟ้าดึงแขนเขาไว้
“เมฆ เราค่อยๆคุยกันด้วยเหตุผลดีกว่านะ ที่ฟ้าพูดว่าจะช่วยดูแล เพราะฟ้าเป็นห่วงนะ อย่างน้อยให้ฟ้าไปนั่งที่บริษัทแล้วเมฆจะอยู่ที่บ้านก็ไม่เป็นไร” อิงฟ้ายิ้ม “เดี๋ยวเมฆพาฟ้าไปบริษัทนะ”
“วันนี้ผมไม่ไปไหนทั้งนั้น”
เมฆแกะมืออิงฟ้าออกแล้วเดินออกจากห้องไป ฟ้าเดินไปที่เปียโนแล้วกำมือแน่น ในใจอยากจะดึงโน้ตมาทำลายแต่ก็ไม่กล้าเลยได้แต่ทุบเปียโนไปหนึ่งที ส่วนเมฆเดินจ้ำอ้าวผ่านตะวันฉายที่ถือไม้ม๊อบกับถังจะมาทำความสะอาดแต่ยืนแอบฟังอยู่
“สงสัยเกิดอารมณ์ต้องรีบไปเตะบอล” ตะวันฉายขำ
พอจะเดินออกไป ตะวันฉายก็คิดนิดหนึ่งก่อนจะยิ้มดีใจที่คิดอะไรบางอย่างออกแล้วก็รีบวิ่งออกไป
ตะวันฉายรีบเปิดประตูเข้าห้องนอนแล้วไปเปิดตู้หยิบแผ่นดินน้ำมันที่เคยเอาไปปั้มกุญแจซึ่งทำเป็นพิมพ์ห่อด้วยพลาสติกใส่อย่างดีออกมาใส่ในกระเป๋าเสื้ออย่างค่อยๆประคองเพราะกลัวดินน้ำมันผิดรูป เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก
“เอวา...บ่ายนี้แกกับนิคมาเจอฉันหน่อยได้ป่ะ ฤกษ์สะดวกแล้ว”
ตะวันฉายมาตามทางแล้วมาเจอเมฆยืนอยู่ที่รถ ตะวันฉายเบรกจนเกือบหน้าทิ่ม
“จะไปไหน” เมฆถาม
“ไปซื้อกับข้าวครับ” ตะวันฉายบอก
“อืม ไปด้วยกันสิ ฉันมีธุระจะออกไปข้างนอกพอดี ซื้อไม่นานใช่ไหม เดี๋ยวฉันกลับมาส่งให้ด้วย”
ตะวันฉายตกใจ “ก็ไหนคุณเมฆบอกคุณอิงฟ้าเมื่อเช้าว่าจะไม่ไปไหน”
“นี่แอบฟังเหรอ”
“เปล่าครับ มันได้ยินเอง”
“ที่ฉันไม่ไปน่ะคือบริษัท เพราะจริงๆฉันมีนัดอีกที่ เคลียร์ไหม” เมฆนึกได้ “แล้วฉันจะต้องมาแจกแจงให้นายฟังทำไมวะ ตกลงฉันไปด้วยนะ”
“อย่าดีกว่าครับ คุณเมฆไปธุระเถอะครับ ผมไปเองดีกว่า”
“ดีกว่า? นายจะไปยังไงที่ว่าดีกว่า”
“ก็...ก็นั่งรถเมล์ไงครับ”
“นั่งรถเมล์ตอนแดดร้อนๆเนียนะดีกว่ามีรถเปิดแอร์เย็นๆให้นั่ง”
“ผมชอบตากแดดน่ะครับ เคยทำไร่ทำนา แดดแค่นี้กำลังสบายครับ”
เมฆจะอ้าปากพูดแต่ตะวันฉายตัดบททันที
“ผมไปเปิดประตูให้นะครับ”
“ไม่ต้องหรอก ฉันยังเตรียมของที่จะไปธุระไม่เสร็จ นายไปก่อนเถอะ”
ตะวันฉายลังเลว่าจะเอายังไงดี เมฆมองด้วยความสงสัย
“ไม่ไปแล้วเหรอ หรือจะรอฉัน”
“เอ่อ..ไปครับไป”
ตะวันฉายจะเดินไปแต่เมฆเรียกไว้
“เดี๋ยวซัน”
เมฆจ้องมองที่หน้าอกของตะวันฉายแล้วขมวดคิ้วสงสัย ตะวันฉายไม่พอใจรีบเอามือปิดเพราะนึกว่าโดนจ้องหน้าอก
“อะไรอยู่ในกระเป๋าเสื้อ” เมฆถาม
ตะวันฉายรีบหาคำตอบ “เอ่อ...อ๋อ..ดินน้ำมันคุณหมอกครับ ผมเผลอหยิบติดมือมา”
ตะวันฉายหยิบให้ดูอย่างเร็วแล้วใส่กลับเข้ากระเป๋าไป ตะวันฉายยิ้มแล้วรีบเดินหนีไป เมฆมองตามด้วยความสงสัย
ตะวันฉายเดินไปตามฟุตปาทแล้วก็ปาดเหงื่อไปบ่นไป
“ โอ๊ย...นี่ฉันเดินอยู่บนเตาย่างไก่หรือเปล่าเนี่ย” ตะวันฉายหันกลับไปมองทางบ้านเมฆ “อีตานั่นก็ไม่ออกมาสักที ดัดขนตาอยู่เหรอไง”
ไม่ทันขาดคำ เมฆก็ขับรถมาชะลออยู่ข้างๆตะวันฉาย ตะวันฉายหันไปยิ้มแล้วโค้งก่อนจะผายมือให้เมฆไปก่อน เมฆยิ้มกวนแล้วขับรถไป ตะวันฉายชะเง้อคอมองพอเห็นรถเมฆเลี้ยวไป ตะวันฉายก็เรียกแท๊กซี่ทันที
รถของเมฆจอดอยู่ที่หัวมุม เมฆเหลียวหลังมองผ่านกระจกหลังเห็นท้ายรถแท๊กซี่แล่นไปอีกทาง
“นึกอยู่แล้วว่าเธอมันไม่เคยซื่อ”
รถของเมฆเลี้ยวกลับรถแล้วขับตามรถแท๊กซี่ไป
ที่ห้างสรรพสินค้า ตะวันฉายเล่าเรื่องเมฆกับอิงฟ้าให้นิคกับเอวาที่ตั้งใจฟังอยู่
“ฉันได้ยินนายเมฆกับยัยอิงฟ้าทะเลาะกัน ประมาณว่าอิงฟ้าไปทำลายบริษัทพี่ธีร์”
เอวาถามต่อ “แล้วไง?”
“อ้าว....แกไม่สงสัยเหรอ นายเมฆนี่มีอะไรแปลกๆ ถ้าอิงฟ้าเป็นเมียนายเมฆ แต่บริษัทเป็นของพี่ธีร์ แล้วพี่ธีร์จะยอมให้น้องเมียมาทำเจ๊งเหรอ”
“นี่ตกลงแกจะสืบเรื่องพี่ธีร์หรือพี่เมฆกันแน่วะ เห็นสนใจเรื่องพี่เมฆจังเลย” นิคขัด
“เออ วันก่อนฉันก็ทักมันเงี้ย มันก็บอกเปล๊า...จะสืบเรื่องพี่ธีร์” เอวาบอก
“ก็ต้องสืบเรื่องพี่ธีร์สิ แต่ฉันแค่สงสัยว่านายปากเป็ดนั่นจะต้องทำอะไรกับพี่ธีร์จนพี่ธีร์ต้องทิ้งบริษัทไป”
“เฮ้ย...เยอะไปป่ะแก ฉันว่ามันคงไม่โยงกันยุ่งเหมือนนิยายแกหรอก” เอวาขัด
“ว่าไม่ได้นะ พี่ธีร์ก็ไม่อยู่ หายสาบสูญแบบนี้ทะเลาะกันแหงๆ นี่เมียก็อีกกลับมาทั้งทีตานี่ดูไม่อยากให้อยู่บ้านเลยอ่ะ”
นิคกับเอวามองหน้ากันเหมือนไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตะวันฉายเล่า
“พวกแกไม่เชื่อฉันใช่ไหม คอยดูไปสิ เจ๊เคยดูคนผิดเหรอ”
นิคกับเอวาพูดพร้อมกัน “ประจำ!”
ตะวันฉายสะดุ้งแล้วหน้าจ๋อยจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง
“ไปเลยนิค แกไปปั้มกุญแจมาให้ฉันด่วนเลย เดี๋ยวฉันกับเอวาจะไปช็อบกันตามประสาสาว”
นิคแยกไปทาง ซันกับเอวาเดินแยกไปอีกทาง สักพักเมฆก็เดินเข้ามามองหาซัน
พนักงานเอาเสื้อแบบเดียวกับที่โชว์กับหุ่นหน้าร้านมาให้ตะวันฉายกับเอวาดู สองสาวตาลุกวาว
“กรี๊ดดดด โอ๊วพระเจ้า....มันเหมาะกับฉันมาก” ตะวันฉายบอก
“ไปลองกันเถอะ” เอวาชวน
ตะวันฉายกับเอวาจะเดินไปเข้าห้องลองเสื้อด้วยกัน พนักงานตกใจรีบห้าม
“เอ่อ..คุณคะ เข้าลองได้ห้องละคนนะคะ”
“งั้นฉันเข้าคนเดียวก็ได้” ตะวันฉายบอก
“และนั่นชุดผู้หญิงนะคะ”
ตะวันฉายกับเอวาหัวเราะขำ
“เฮ้ยซัน แปลงร่างให้พี่เขาดูเหอะ” เอวาบอก
ตะวันฉายถอดแว่นแล้วก็ถอดวิกก่อนจะสยายผมเป็นสาวสวย พนักงานตกใจอีกรอบ
“ลองได้แล้วใช่ไหมคะ” ตะวันฉายถาม
พนักงานพยักหน้ารับ ตะวันฉายส่งวิกกับแว่นตาวางไว้ที่เคาน์เตอร์แล้วเดินเข้าไปในห้องลองชุด
เมฆเดินผ่านร้านเสื้อไป เอวาเดินดูเสื้อในร้านรอตะวันฉายที่กำลังลองชุดอยู่
เอวานั่งรอตะวันฉายอยู่หน้าห้องลองเสื้อ
“เสร็จยัง ไหนออกมาให้ดูหน่อยซิ” เอวาถาม
“เออ แป๊บนึง”
ทันใดนั้นก็มีมือมาสะกิดไหล่เอวาจากด้านหลัง
“มาช็อปปิ้งกับใครเหรอ?” เมฆถาม
เอวาหันไปเห็นเมฆก็แก้ตัวไม่ถูก
“อ้าว..พี่เมฆ..มายังไงคะ?”
“ที่นี่มันแถวบ้านพี่ พี่น่าจะต้องเป็นคนถามเอวามากกว่า ว่ามาทำอะไรแถวนี้”
“อ๋อ..พอดีเอวาอยากได้เสื้อตัวนึง แล้วเค้าบอกว่ามีที่นี่สาขาเดียว ก็เลยต้องมาถึงที่นี่ไงคะ แต่พอมาเห็นของจริงแล้ว ไม่ชอบแล้วอะคะ เอวาไปก่อนนะคะพี่เมฆ”
เอวาจะชิ่งหนีทันที
“แล้วเมื่อกี๊พี่เห็นเหมือนคุยอยู่กับใคร มากับเพื่อนไม่ใช่เหรอ”
เอวานึกขึ้นได้ว่ายังทิ้งตะวันฉายไว้อยู่ในห้องลองเสื้อเลยเดินกลับมา
“อ๋อ...นิคไงคะ แหม ลืมไปเลย”
“นิคลองชุดอยู่เหรอ” เมฆงง
เมฆจะเดินไปดูตรงห้องลองเสื้อ แต่นิคเดินเข้าร้านมาพร้อมกุญแจที่ปั้มแล้ว นิคเดินยื่นกุญแจเข้ามาแต่ไกล
“เอ้า..นี่ได้แล้ว”
เมฆหันไปเห็นนิคที่เพิ่งเดินเข้ามาก็รู้ทันทีว่าเอวาโกหก เอวาจ๋อย
“อ้าว!! ไหนบอกว่านิคลองเสื้ออยู่ไง”
เอวารีบแก้ตัว
“นี่มันร้านเสื้อผ้าผู้หญิง นิคจะลองเสื้อได้ยังไงละคะพี่เมฆ”
ตะวันฉายกำลังลองชุดและปล่อยผมยาวสลวยเต็มที่
“โอ๊ย!! ไม่ได้เป็นตัวเองมาตั้งนาน อึดอัดจนแทบจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว”
เอวาทำเป็นทักนิค “อ้าว นิค.. ออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่บอกชั้นเลย”
นิคงงแต่ก็รีบเออออไปด้วย
“อ๋อ..ก็แกมัวแต่ดูเสื้อผ้า ฉันเบื่อก็เลยเดินออกไปดูอย่างอื่นข้างนอก”
ทันใดนั้นตะวันฉายที่แต่งตัวสวยงามเดินออกมาจากห้องลองเสื้อแบบพร้อมพรีเซ้นท์ตัวเองเต็มที่ โดยที่เมฆยืนหันหลังอยู่
“แอ่น..แอน..แอ๊นนนน”
ตะวันฉายเห็นด้านหลังก็รู้ทันทีว่าเป็นเมฆ นิคกับเอวารีบเข้ามาดึงเมฆไว้เพื่อไม่ให้หันกลับไป ตะวันฉายรีบวิ่งกลับเข้าห้องลองไป
“พี่เมฆคะ/ครับ มีเรื่องปรึกษานิดหน่อย” เอวากับนิคพูดพร้อมกัน
ตะวันฉายนึกได้ว่าวางวิกกับแว่นตาไว้ข้างนอก
“ทำไงดีละเนี้ย ตายแน่คราวนี้”
ทันใดนั้นเอง ตะวันฉายก็หันไปเห็นถุงใส่ของวางอยู่เธอจึงนึกอะไรขึ้นได้
วิกกับแว่นตาวางอยู่ที่โต๊ะในร้านเสื้อแต่เมฆยังไม่เห็น
นิคพูดขึ้นก่อน “พี่เมฆครับ พอดีเรื่องเพลงใหม่ที่เราจะเล่นกัน”
“เออใช่คะ..พี่เมฆ เอวาไม่เข้าใจอยู่ท่อนนึงอะค่ะ” เอวารีบเสริม
“เอาไว้เดี๋ยวค่อยว่ากันก็ได้มั่ง”
นิคกับอวาหันไปเห็นตะวันฉายเดินออกมาจากห้องลองเสื้อพร้อมเอาผมปิดหน้าเป็นผีจูออนตะวันฉายเดินก้มหน้าในสภาพผมปิดหน้าออกจากร้าน นิคกับเอวาเลยพยายามดึงเมฆไปอีกทาง ตะวันฉายกำลังจะเดินพ้นประตูออกนอกร้าน ทันใดนั้นก็มีมือมาจับแขนตะวันฉายเอาไว้ ตะวันฉายตกใจจนแทบทรุด เธอหันไปเห็นว่าเป็นพนักงานของร้านที่ดึงไว้ พนักงานก็ตกใจ
“ว๊าย..” พนักงานตกใจ “เออ..คุณยังไม่ได้จ่ายค่าชุดเลยคะ”
เมฆเห็นเหตุการณ์จากหน้าร้านก็งงๆ และกำลังจะเดินไปดู ตะวันฉายรีบหยิบเงินจากถุงส่งให้พนักงาน
“ไม่ต้องทอนนะคะ” ตะวันฉายบอก
ตะวันฉายรีบเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว
เมฆจะเดินตามไปดู แต่นิคกับเอวารีบพูด
“พี่เมฆครับ เดี๋ยวพวกผมคงกลับเลยแล้วกันนะครับ”
“อ๋อ โอเค..พี่ก็จะไปแล้วเหมือนกัน แล้วเจอกันนะ”
เมฆเดินออกไปคนละทางกับที่ตะวันฉายเดินไป
“เกือบไปแล้วมั้ยหละ เอาไงต่อดี” เอวาเป่าปาก
“ไอ้ซันมันคงเอาตัวรอดได้หน่ะ ถ้ามีอะไรเดี๋ยวมันคงโทรมาเองแหละ”
เอวานึกขึ้นได้ก็รีบวิ่งกลับเข้าไปในร้าน แล้ววิ่งกลับออกมาพร้อมวิกกับแว่นของตะวันฉาย ทั้งสองคนมองหน้ากันคล้ายจะพูดว่า “ซวยแล้ว” เอวารีบยกโทรศัพท์หาตะวันฉายทันที
ตะวันฉายคุยโทรศัพท์กับเอวาอยู่ในมุมลับตาคน
“รู้แล้ว..พวกแกไปรอที่รถเลย เดี๋ยวฉันหาทางตามไป”
ตะวันฉายมองซ้ายมองขวา พอเห็นว่าปลอดภัยแล้วก็รีบเดินออกมา แต่พอเดินออกมาก็ชนเข้ากับคนๆ หนึ่งจนข้าวของตกกระจายลงบนพื้น ตะวันฉายล้มลง ส่วนคนที่ชนรีบเข้ามาช่วย
“ขอโทษครับ เป็นไรมากไหมครับ”
ตะวันฉายหงุดหงิดเพราะรีบแล้วดันเจอคนซุ่มซ่ามอีกจึงโวยวาย
“เดินยังไงเนี้ย ซุ่มซ่ามจริงๆ เลยไม่เห็นคนหรือไง”
ตะวันฉายเงยหน้าขึ้นมาถึงได้เห็นว่าเป็นเมฆ ใจของเธอหล่นไปที่ตาตุ่มเพราะคิดว่าโดนจับได้แล้วคราวนี้
เมฆร้องออกมา “นี่เธอ!!!”
ตะวันฉายลุ้นว่าจะโดนเมฆจับได้
“ยัยผู้จัดการรีสอร์ทตัวแสบ ตามมารังควานฉันถึงนี่เลยเหรอ” เมฆว่า
ตะวันฉายแทบหยุดหายใจเพราะนึกว่าจะโดนจับได้ เธอรีบสวนกลับ
“อะไรนะ นายว่าใครตัวแสบ”
“แหม นึกว่าใคร อยู่ๆ ก็โผล่พรวดพราดออกมา ตัดหน้าทางเดินคนอื่นเค้า” เมฆว่า
“ปากดีนัก ยังจะกล้ามาว่าคนอื่นเค้าอีก ตัวเองเดินมาชนเค้า ขอโทษซักคำยังไม่มีเลย”
“ขอโทษไปแล้วตั้งแต่แรก แต่ตอนนี้พอรู้ว่าเป็นเธอ ฉันขอเอาคืนดีกว่า น่าจะชนให้แรงกว่านี้ด้วย ให้ตีลังกาซัมเมอร์ซอล์ทไปซักสามตลบเลย”
“อี..อี..อี..อีปากเน่า ปากเหม็น ปากเป็ด”
“อ้าว..อ้าวๆๆๆ ด่าไม่ทันเลย คิดไม่ออกเหรอ สมองกระทบกระเทือนด้วยหรือเปล่า?? นี่ยังน้อยไปนะ อย่าคิดนะว่าฉันจะลืมว่าคราวก่อนเธอทำชั้นแสบขนาดไหน ไฟช็อตกระตุกไปตั้งหลายวัน”
“สมน้ำหน้า”
ตะวันฉายในม่านเมฆ ตอนที่ 6 (ต่อ)
เมฆเดินเข้าหาตะวันฉายเพื่อจะเอาเรื่อง
“แสบนักนะ” เมฆฉุน
ตะวันฉายตะโกนทันที “ช่วยด้วยคะ ถูกลวนลานคะ ช่วยด้วย!!! โรคจิตคะ ช่วยด้วย!!”
ตะวันฉายร้องโวยวายตะโกนให้คนช่วย คนเริ่มมามุงดู เมฆทำอะไรไม่ถูก
“ไม่ใช่นะครับ เข้าใจผิดนะครับ”
ตะวันฉายอาศัยจังหวะชุลมุนพยายามวิ่งหนี เมฆรีบจับตัวเอาไว้ ตะวันฉายยังโวยวายต่อ
“ช่วยด้วยค่า!!!”
จังหวะนั้นเอง ตะวันฉายเตะเข้าที่หน้าแข้งของเมฆจนเมฆตัวงอแล้วเอาถุงและมือทุบไปที่หัวและหลังของเมฆไม่ยั้งจนเมฆทรุด ตะวันฉายจะวิ่งหนี แต่เมฆยังจับไว้ทัน ตะวันฉายเลยตุ๊ยท้องเมฆเข้าไปอย่างแรง แล้วผลักเมฆเข้าไปตรงกลางน้ำพุ จนเมฆล้มแล้วนั่งเปียกเป็นลูกแมวตกน้ำอยู่ในสระน้ำพุ ตะวันฉายยืนมองแล้วขำอย่างมีความสุข
“ยัยตัวแสบ จะตามไปเล่นงานให้ถึงรีสอร์ทเลยคอยดู”
ตะวันฉายหันไปแลบลิ้นให้แล้ววิ่งหนีไป
ตะวันฉายกำลังแต่งตัวกลับเป็นทอม ทำผมสั้น ใส่แว่นเรียบร้อยอยู่ที่รถที่จอดในลานจอดรถ
“แกเล่นงานพี่เมฆเค้าหนักขนาดนั้นเลยเหรอวะ” นิคถาม
“ก็เค้ามาทำเกรียนใส่ฉันก่อนทำไมละ ช่วยไม่ได้ 55555”
“แล้วแกแน่ใจเหรอว่าเค้าจะจำแกไม่ได้” เอวาถาม
“ชัวร์ ล้านเปอร์เซ็นต์ ตอนแรกฉันก็นึกว่าซวยแล้ว แต่พอนายปากเป็ดเห็นหน้าฉันปั๊บ ก็เรียกฉันยัยผู้จัดการรีสอร์ทตัวแสบเลย บื้อเป็นบ้าเลยตานั่นเรารีบไปกันเถอะ”
รถเอวาวิ่งออกไปผ่านเมฆที่ยืนตัวเปียกน้ำหยดติ๋งๆ แต่ได้ยินหมดทุกอย่างแล้ว
จอมสยามและทีมงานนั่งรายรอบโต๊ะประชุม ทีมงานคนหนึ่งกดรีโมทเพื่อเปิดเพลงเดโม ทุกคนนั่งฟังอย่างตั้งใจ เมฆใช้นิ้วเคาะกับโต๊ะเป็นจังหวะและครุ่นคิดอยู่กับตัวเอง จอมสยามหันไปพยักหน้าชื่นชอบเพลงเดโมของเมฆกับทีมงาน ซึ่งทีมงานก็ชื่นชอบด้วย จอมสยามยิ้มระรื่นอย่างพอใจแล้วหันมาหาเมฆ
“โอเคไหมเมฆ พี่ว่าเพลงนี้ล่ะเป็นซิงเกิ้ลแรก”
เมฆคิ้วขมวดเพราะกำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเองจนไม่ได้ยินจอมสยาม
จอมสยามเรียก “เมฆ...เมฆ”
เมฆยังเหม่อ จอมสยามจึงไปหยิบซีดีอีกแผ่นมาจากชั้นวาง แล้วเปลี่ยนใส่แทนซีดีเดโมของเมฆ กดรีโมทเพิ่มvolumn แล้วกดเปิดเพลงฮาร์ดคอร์หนักๆ จนดังลั่น ทุกคนตกใจ แต่เมฆยังหันมาทำหน้าเบลอๆ
“นี่ไม่ใช่เพลงของผมนี่พี่” เมฆบอก
“เออ ยังดีนะที่รู้ว่านี่ไม่ใช่เพลงตัวเอง นี่พี่ใช้งานนายจนไม่มีเวลาพักผ่อนหรือเปล่าเนี่ย”
“เปล่าครับ พอดีมีเรื่องให้คิดนิดหน่อย....”
“คงไม่หน่อยแล้วมั้ง เอางี้...” จอมสยามพูดกับทีมงาน “พักประชุมก่อนดีกว่า ตอนบ่ายค่อยมาคุยกันใหม่”
ทีมงานเก็บข้าวของแล้วเดินออกไปจากห้อง
ที่มุมหนึ่งของค่ายเพลง จอมสยามตกใจเกือบสำลักกาแฟ
“อะไรนะ ยัยพี่เลี้ยงนายหมอกคือผู้จัดการรีสอร์ทคู่ปรับนายงั้นเหรอ”
เมฆกับจอมสยามกำลังยืนดื่มกาแฟอยู่ด้วยกัน เมฆมีสีหน้าครุ่นคิด
“ผมถึงว่าตั้งแต่เห็นครั้งแรกแล้วว่าทำไมมันคุ้นๆ” เมฆบอก
“เฮ้ย เมฆ พี่ว่าแบบนี้ไม่น่าไว้ใจแล้วนะ ยัยนั่นอาจจะเป็นพวกโรคจิตที่แค้นฝังหุ่น เลยปลอมตัวเข้าบ้านนายก็ได้นะ บอกตรงๆพี่ชักเป็นห่วงไอ้ตัวเล็กมัน เกิดเขาทำอะไรขึ้นมามันแก้ไขไม่ทัน”
“คงไม่หรอกมั้งพี่ ถ้าเค้าคิดทำไม่ดีคงทำไปนานแล้ว มีโอกาสให้ทำตั้งเยอะแยะ”
“แล้วเรื่องดินน้ำมันกับร้านกุญแจล่ะ” จอมสยามถาม
เมฆอึ้งเพราะตอบไม่ได้
“พี่ว่านายตรวจสอบความเป็นไปเป็นมาของเขาให้ละเอียดก่อนดีกว่า เผื่อมีอะไรจะได้แก้ไขได้ทัน”
รีเซฟชั่นสาวของ The Sunrise Beach Resort มีสีหน้ากังวล และลนๆ หลังจากรับโทรศัพท์ เธอพยายามมองหาตัวช่วย
“ขะ..ขอสายผู้จัดการเหรอคะ?”
รีเซฟชั่นมองหาตัวช่วยอย่างร้อนใจ
“ไม่ทราบว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ”
เมฆนั่งคุยโทรศัพท์อยู่ในห้องทำงานของจอมสยามด้วยสีหน้าเครียด
“ผมอยากถามอะไรสักหน่อย คุณช่วยโอนสายให้ผมได้ไหม”
อ้อกำลังยืนคุมลูกน้องเตรียมกุญแจสำหรับแขกจะเช็คอินอยู่ในเคาน์เตอร์ รีเซฟชั่นรีบกดพักสายแล้วเรียกอ้อ
“แย่แล้วพี่อ้อ ลูกค้าถามหาผู้จัดการ”
อ้อเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ
“มีปัญหาเรื่องอะไร”
“คงจะcomplain เรื่องอะไรสักอย่างมั้งคะ พี่อ้อคุยกับลูกค้าเองดีกว่า”
พูดจบรีเซฟชั่นก็โอนสายไปที่เครื่องใกล้อ้อทันที อ้อค้อนก่อนรับสายด้วยเสียงหวาน
“สวัสดีค่ะ ดิฉันเป็นซุปเปอร์ไวเซอร์ค่ะ มีอะไรให้รับใช้คะ”
“คุณอ้อใช่ไหม” เมฆถาม
อ้อตกใจจนหน้าเสียทันที “อุ๊ย ทราบชื่ออ้อด้วย เอ่อ...ถ้าจะComplain กรุณาใจเย็นๆก่อนนะคะ ถ้าอ้อทำอะไรผิด อ้ออธิบายได้นะคะ”
“ผมแค่อยากรู้ชื่อของผู้จัดการคุณเท่านั้น พอดีผมมีของขวัญที่อยากส่งไปขอบคุณที่บริการผมได้ดีมากๆน่ะ แต่ผมจำชื่อเธอไม่ได้”
อ้อค้อนขวับใส่โทรศัพท์
“อ๋อ..ผู้จัดการ ตอนนี้เธอลาพักร้อนค่ะ ยังไม่ทราบว่าจะกลับมาเมื่อไหร่”
“นี่รีสอร์ทคุณยอมให้พนักงานลางานได้นานยังงั้นเลยเหรอ”
“อุ้ย..ทำไมจะไม่ได้ล่ะคะ ก็คุณตะวันฉายน่ะเป็นพนักงานธรรมดาซะที่ไหนล่ะคะ เธอเป็นลูกสาวคนเดียวของคุณเกริกไกรกับคุณสายรุ้งเจ้าของที่นี่ค่ะ” อ้อบอก
เมฆอึ้ง
“ลูกสาวเจ้าของเหรอ”
เมฆกับจอมสยามมองหน้ากันแบบเหวอไปทันที
เมฆกับจอมสยามหน้าเหวอด้วยความตกใจ
เสียงอ้อถามผ่านหูโทรศัพท์ “ฮัลโหล ยังอยู่หรือเปล่าคะ”
“เอ่อ...ผมยังฟังอยู่ แล้วยังไงผมจะส่งของขวัญไปให้เธอนะ”
เมฆวางสายโทรศัพท์แล้วมองหน้ากับจอมสยามอย่างอึ้งๆ
อ้อส่งโทรศัพท์คืนให้รีเซฟชั่นสาว
“ทีหลังหัดทำเองบ้างนะ ไม่ใช่อะไรๆก็โยนมาที่ฉัน” อ้อพึมพำกับตัวเอง “ไอ้เรารึทำงานแทบตายแขกกลับจะส่งของขวัญให้คนที่ลางานซะงั้น โอ๊ย...ไหนใครบอกว่าคนสวยและเก่งจะได้แต่สิ่งดีๆในชีวิตไง”
“คงเป็นการเข้าใจผิดน่ะค่ะ” รีเซฟชั่นบอก
“ใช่...ฉันก็ว่าอย่างงั้นแหล่ะ”
“เปล่า หนูหมายถึงพี่น่ะเข้าใจผิดว่าตัวเองสวย”
อ้อจ้องหน้ารีเซฟชั่นจนตาแทบกลับ
จอมสยามวางถ้วยกาแฟแล้วนั่งครุ่นคิดกับเมฆ
“ตะวันฉาย....ซัน....Sunrise beach รีสอร์ท โอ๊ย...ผมน่าจะฉุกใจตั้งแต่ชื่อแล้ว”
“ที่ผ่านมาแล้วช่างมันเถอะ พี่ว่าตอนนี้มาคิดดีกว่าระดับลูกสาวเจ้าของ รีสอร์ทสุดหรู มาเลี้ยงลูกชายให้นายทำไม” จอมสยามทิ้งคำถาม
เมฆพยายามคิดตาม เขานึกไปถึงตอนที่ไปโวยวายเรื่องตะวันฉายกับเกริกไกร...
“คุณเกริกไกร ผมขอเสนอให้ไล่ผู้จัดการคนออก” เมฆพูด
เกริกไกรกับตะวันฉายพูดพร้อมกัน “ไล่ออก”
“ใช่...เพราะถ้าผู้จัดการคนนี้ยังทำงานอยู่ ผมจะถือว่าทางรีสอร์ทไม่ได้แสดงความรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น ผมจะยกเลิกสัญญา และอาจจะลงประจานทุกสื่อถึงบริการแย่ๆของที่นี่”
จอมสยามส่ายหน้าไม่เชื่อ
“พี่ว่าไม่ใช่เรื่องที่นายขู่ยกเลิกสัญญา เพราะนายยังไม่ได้ทำ น่าจะเป็นเหตุผลอื่นที่มันต้องสำคัญกับเขามาก”
“นอกจากเรื่องธุรกิจแล้วผมจะไปขัดแย้งอะไรกับยัยตะวันเฉานั่น”
จอมสยามยักไหล่ “นี่เป็นเรื่องที่นายต้องหาให้เจอ แต่พี่ก็ไม่รู้นะว่านายควรจะทำยังไงกับเขา”
เมฆคิดหนักแล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“มันมีวิธีเดียวล่ะครับ มายังไงก็ไปอย่างงั้น”
จ่าสมถือแฟ้มมาวางบนโต๊ะยุทธการ
“รายละเอียดของผู้หญิงที่ชื่อ อินฤดีครับ”
ยุทธการงง “แล้วจ่าไม่เชิญตัวมาล่ะ”
“เชิญไม่ได้ครับ ตายไปแล้ว” จ่าสมบอก
ยุทธการแปลกใจจึงรีบเปิดแฟ้มดู แล้วหยิบแฟ้มอีกอันมาดูแล้วก็ตกใจ
“เป็นไปได้ไง นี่เขาตายก่อนจะซื้อขายบ้านอีกนะ”
“เป็นไปแล้วครับ ที่นี้เราจะทำไงกันดีครับ เจ้าของบ้านตายไปแล้ว” จ่าสมถาม
“ตายไปแล้วผมก็จะเรียกมาสอบสวนให้ได้”
“ห๊า...สารวัตรจะปลุกผีเหรอครับ”
ยุทธการมีสีหน้ามุ่งมั่น
รถของยุทธการแล่นมาจอดที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ยุทธการกับจ่าสมลงมาจากรถ จ่าสมดูข้อมูลจากไอโฟนแล้วดูเลขที่บ้าน
“บ้านเลขที่นี้แน่ๆครับ”
ยุทธการพยักหน้ารับแล้วเดินไปกดกริ่ง ป้าเจ้าของบ้านเดินออกมาโดยมีเด็กรับใช้จูงออกมาด้วย ทั้งสองยืนอยู่ห่างรั้วยังไม่กล้ามาเปิดประตู ทั้งสองจ้องมองยุทธการกับจ่าสมอย่างไม่ไว้ใจ ยุทธการยกมือไหว้ จ่าสมไหว้ตาม
ป้าเจ้าของบ้านถาม “มีธุระอะไรคะ”
ยุทธการยิ้มอย่างมีไมตรีให้ป้าเจ้าของบ้าน
หลังจากนั้นยุทธการกับจ่าสมก็เข้ามาคุยกับป้าเจ้าของบ้านในบ้าน
“บ้านหลังนั้นป้าขายไปนานแล้วค่ะ 5-6 ปีได้แล้วมั้ง” ป้าบอก
“แล้วคุณป้ายังเก็บหลักฐานของผู้ซื้อหรือเบอร์ติดต่อไว้บ้างไหมครับ” ยุทธการถาม
“ป้าไม่มีเบอร์ติดต่ออะไรหรอกค่ะ ตอนนั้นเขามีคนไทยมาติดต่อให้ ป้าเห็นเขาให้ราคาดีมากไม่ต่อสักบาทก็เลยขายไป”
“นายหน้าคนไทยเหรอครับ คุณป้าหมายความว่ายังไงครับ”
“ก็คนซื้อจริงๆน่ะเป็นฝรั่ง แต่เขาให้ผู้หญิงไทยใส่ชื่อเป็นเจ้าของ แล้วก็มีนายหน้าคนไทยดำเนินการให้”
“ป้าหมายถึงฝรั่งซื้อให้เมียคนไทยเหรอครับ” ยุทธการถาม
“ก็คงงั้นแต่ป้าไม่รู้หรอกว่าเขาเป็นผัวเมียกันหรือเปล่า เจอกันวันโอนวันเดียว”
“แล้วนายหน้าคนไทยล่ะครับ ป้ายังติดต่อหรือเปล่า” ยุทธการถามต่อ
ป้าส่ายหน้า “จริงๆป้าก็ไม่รู้ว่าเป็นนายหน้าหรือเปล่า เพราะลูกสาวป้าเขาประกาศขายทางเน็ต แล้วพ่อคนนี้เขาก็มาติดต่อ ป้าก็เลยเรียกว่านายหน้า”
ยุทธการพยักหน้าให้จ่าสม จ่าสมหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งซึ่งเป็นภาพถ่ายเอกสารจากบัตรประชาชนขนาดขยายมาให้ป้า ป้ารับมาดู
“ผู้หญิงใช่คนหรือเปล่าครับป้า” จ่าสมถาม
“โอ๊ย..ไม่แก่ขนาดนี้หรอกค่า คนนั้นน่ะเขาสาวสวยมาก”
ยุทธการกับจ่าสมมองหน้ากันอย่างงงๆ
ป้าร้องขึ้นมา “เอ๊ะ...แต่ชื่อนามสกุลนี่มันเหมือนกันนี่ อินฤดี สุรพรพงษ์ ป้าจำได้”
“ป้าแน่ใจนะครับว่าชื่อนี้แต่สาวกว่า” จ่าสมถาม
“จำได้แน่นอนค่ะ ก็เซ็นโอนอยู่ด้วยกัน”
“แล้วชื่อนายหน้ากับฝรั่งล่ะครับ ป้าจำได้ไหมว่าเขาชื่อนามสกุลอะไร” ยุทธการถามต่อ
“อีตานายหน้านี่รู้แต่ว่าชื่อเอค่ะ ส่วนฝรั่งก็....” ป้าพยายามนึก “ป้าก็นึกไม่ออก ชื่อมันไม่เหมือนฝรั่งที่เราได้ยินกัน มันชื่ออะไรน้า”
ยุทธการมองหน้าป้าอย่างลุ้นๆ
ยุทธการกับจ่าสมเดินออกมานอกบ้านเพื่อขึ้นรถ ยุทธการหน้าเครียดมาก
“เฮ้อ...สุดท้ายก็มืดแปดด้านเหมือนเดิม มีแค่ชื่อเล่นนายหน้า จะไปหาเจอยังไง”
“ผมคิดอยู่แล้วว่าเรื่องมันไม่น่าจะง่ายขนาดนี้” จ่าสมบอก
“แล้วตอนนี้เราจะสืบต่อยังไงดีล่ะครับสารวัตร”
ยุทธการหน้าเครียดเพราะคิดไม่ตก ระหว่างนั้นป้าเจ้าของบ้านเดินออกมาเรียกอีก
“คุณตำรวจค่ะ”
ยุทธการกับจ่าสมรีบเดินไปหาป้า
“ป้านึกออกแล้วค่ะ เห็นผู้หญิงคนนั้นเขาพูดเหมือนขอบคุณเฮลมุท ป้าว่าเขาคงชื่อเฮลมุท”
“เฮลมุทงั้นเหรอครับ”
ยุทธการกับจ่าสมยิ้มอย่างมีความหวัง
เฮลมุทนั่งจิบไวท์ฟังเพลงอยู่ในห้อง ลูกน้องเคาะประตูเดินเข้ามา
“Hast du sie? (ได้ตัวผู้หญิงหรือยัง)” เฮลมุทถาม
“Nein, aber die Polizei ist das Haus in Bangkok Gestrumt. (ยังครับแต่ตำรวจบุกบ้านที่กรุงเทพฯแล้วครับ)” ลูกน้องตอบ
เฮลมุททุบโต๊ะด้วยความโกรธ
“Was warden Sie als nachstes tun? (นายจะให้ทำยังไงต่อครับ)”
เฮลมุทขว้างแก้วไวท์ลงพื้น
“Ich werde nach Bangkok so schnell wie moglichkeit fliegen. (ฉันจะไปกรุงเทพฯให้เร็วที่สุด)”
ณ Sunrise Beach resort อ้อยืนกางแฟ้มอธิบายงานให้สายรุ้งฟังที่เคาน์เตอร์
“นี่ค่ะคุณรุ้ง กรุ๊ปที่จะเข้าบ่ายนี้ อ้อ บล็อกห้องให้หมดแล้วค่ะ”
สายรุ้งส่งแฟ้มคืน “ดี อย่าลืมดู welcome drink กับ cold towel ด้วยล่ะ”
เกริกไกรเดินเข้ามาหาสายรุ้งแล้วยื่นจดหมายให้
“กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาเขาเชิญผู้ประกอบการโรงแรมสัมมนา”
“ตายจริง แต่เราไม่ได้เป็นนักกีฬานี่พ่อ” สายรุ้งบอก
เกริกไกรกับอ้อหันขวับไปมองสายรุ้งงง สายรุ้งหัวเราะสนุก
“แหม...เดี๋ยวนี้คุณรุ้งก็เล่นมุขกับเขาด้วยนะคะ” อ้อแซว
“ไม่ได้สิ เห็นยิงกันเหลือเกิน”
“นี่พ่อก็คิดว่าจะเปลี่ยนชื่อโรงแรมเราเป็นขำขันรีสอร์ทอยู่แล้วนะเนี่ย” เกริกไกรบอก
“ก็ดีนะพ่อ ชัดเจนไปเลย จะให้แม่ทำแผนการตลาดเลยไหม”
“เอ้า...ได้ทียิงไม่เลี้ยงกันเลย” อ้อแซว
“ไปแม่ ตกลงเราเลิกงานไปเล่นตลกกันเถอะ”
เกริกไกรทำท่าจูงไปสายรุ้งแอบตีแขนแล้วค้อน
“ตกลงพ่อจะถามอะไรแม่” สายรุ้งถามขึ้น
“ก็จะชวนไปสัมมนา ไปด้วยกันนะ”
สายรุ้งอ่านจดหมาย
“ดีเหมือนกันแม่จะได้ถือโอกาส visit ลูกค้าแล้วก็ไปหาซันด้วย” สายรุ้งบอก
“แต่พ่อว่าเราไม่ต้องบอกซันหรอก”
อ้อตะแคงหูฟัง “อ้าว...ทำไมล่ะคะ”
เกริกไกรกับสายรุ้งมองอ้ออย่างไม่พอใจ อ้อทำเป็นเปิดแฟ้มอ่าน เกริกไกรกับสายรุ้งพากันเขยิบหนี อ้อทำเป็นหันหลังแต่เดินถอยหลังตาม เกริกไกรกับสายรุ้งหยุด อ้อถอยมาชนทั้งคู่แล้วยิ้มแหย
“ต๊าย...เกียร์ถอยหลังมันล็อคค่ะ โทษที แฮ่ะๆ”
อ้อเดินไปแต่ไม่วายยังอยากรู้ พออยู่กันสองคนเกรียงไกรกับสายรุ้งก็คุยกัน
“วันที่เราประชุมน่ะ วันเกิดไอ้ซันพอดี พอเราประชุมเสร็จก็โผล่ไปเซอร์ไพรส์มันเลยดีไหม”
สายรุ้งดีใจ “ดีสิพ่อ” สายรุ้งนึกได้ “แต่คืนก่อนหน้านั้นล่ะ เราก็ไปพักคอนโดไม่ได้น่ะสิ”
“ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร พักบ้านอนาคตลูกเขยเราสิ พ่อบอกไอ้เกี๊ยงไว้แล้ว”
เกริกไกรกับสายรุ้งยิ้มพอใจกับแผนนี้
เก่งรดน้ำต้นไม้อยู่หน้าบ้าน รถของเมฆแล่นเข้ามาในบ้าน ตะวันฉายเดินออกมารับหมอก เก่งรีบวางสายยางไปยืนเอาหน้ากับเมฆ พอเมฆกับหมอกลงจากรถตะวันฉายก็ไปช่วยหมอกถือกระเป๋า
“วันนี้พี่ซันทำไก่อบ มันบด แล้วก็ทูน่าสลัดด้วย คุณหมอกหิวหรือยังครับ” ตะวันฉายถาม
“หิวแล้ว” หมอกพูดกับเก่ง “พี่เก่งนั่งลง”
“โอ๊ย...อีกแล้วเหรอ คุณหมอกครับ พี่เก่งจะมายืนประจบ เอ๊ย..มารอว่าคุณพ่อจะมีอะไรให้ถือหรือเปล่าครับ”
“พ่อไม่มีหรอก พี่เก่งถือหมอกไปแทนแล้วกัน” หมอกบอก
“อย่างคุณหมอกไม่เรียกว่าถือหรอกครับ ต้องบอกว่าบรรทุกเลยล่ะ ตัวแค่นี้หนักน่าดู”
เก่งจำใจนั่งลง หมอกกระโดดขึ้นขี่ แล้วเก่งกับหมอกก็แบกกันเขาไป ตะวันฉายจะเดินตามแต่เมฆเรียกไว้
“กลับมานานแล้วเหรอ” เมฆถาม
“ครับ พอซื้ออาหารให้คุณหมอกเสร็จก็รีบกลับเลยครับ”
เมฆยิ้ม “ดี..น่ารักมาก”
ตะวันฉายงงที่เมฆพูดจาแปลกๆ แต่พอมองหน้าเมฆ เมฆก็ยิ้มพร้อมกับจ้องตะวันฉาย ตะวันฉายเริ่มรู้สึกแปลกๆ จึงไม่กล้าสบตา เธอรีบเดินเข้าบ้านไปทันที เมฆมองตามแล้วยิ้มพอใจ
เมฆเดินเข้ามาเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบน้ำมาดื่ม อิงฟ้าเดินเข้ามา เมฆเะเดินหนีแต่อิงฟ้าเดินเข้ามาหา เมฆมือสั่นเพราะทำอะไรไม่ถูก
“อยู่คุยกันก่อนสิเมฆ ฟ้าอยู่บ้านมาทั้งวัน เบื่อจะตายอยากหาเพื่อนคุย”
“ผมต้องเตรียมตัวไปเล่นดนตรี”
เมฆจะวางขวดน้ำบนโต๊ะแต่มือสั่นจนอิงฟ้าเห็นก็ยิ้มขำ
“งั้นฟ้าไปเตรียมเสื้อผ้าให้นะ จำได้ไหม ตอนที่ฟ้าไปหาเมฆที่เชียงใหม่ เมฆบอกว่ามีความสุขทุกเช้าที่ตื่นมาแล้วเห็นฟ้าเตรียมเสื้อผ้าให้”
“ขอโทษนะ ผมลืมหมดแล้ว”
อิงฟ้ายิ้ม “ไม่เป็นไร ฟ้าจะทำให้เมฆจำทุกอย่างได้เอง”
เมฆหลบตาแล้วจะเดินไป แต่อิงฟ้ามายืนขวางไว้ เมฆจะเดินไปทางไหนอิงฟ้าก็ปิดทางหมด
“ฟ้ารู้ว่าเมฆยังอยากให้ฟ้าดูแลเมฆ และเมฆก็รู้ว่าฟ้าทำได้ดีเหมือนอย่างที่เคยทำ”
อิงฟ้าเดินมากอดแล้วซบอกไม่ให้เมฆเดินต่อ เมฆทำอะไรไม่ถูก อิงฟ้าขำ
“เสียงหัวใจเมฆเต้นแรงจัง”
เมฆรีบแกะอิงฟ้าออก แล้วจะเดินไปแต่ก็สะดุดขอบประตู อิงฟ้าหัวเราะแล้วยิ้มมีความสุข
ตะวันฉายถอดชุดนักเรียนให้หมอกเสร็จแล้วก็เอาเสื้อคลุมอาบน้ำมาใส่ให้ แล้วตะวันฉายก็นั่งนิ่งเพราะเหม่อ
“วันนี้จะหมอกเล่นลูกบอลในอ่าง” หมอกบอก
ตะวันฉายทวนคำ “ลูกบอล?”
“สีส้มไงครับ”
ตะวันฉายมองหาไปรอบๆแล้วเดินไปที่มุมของเล่น
“อยู่ในห้องทำงานพ่อ เดี๋ยวหมอกลงไปเอานะครับ” หมอกบอก
หมอกจะวิ่งไปแต่ตะวันฉายรีบดึงแขนไว้อย่างรู้ทัน
“นั่นแน่ คิดจะหนีไม่ยอมอาบน้ำใช่ไหม พี่ซันรู้ทันแล้ว”
“หมอกจะเอาลูกบอลจริงๆ”
“ได้ครับ แต่อาบน้ำเสร็จแล้วค่อยลงไปเล่น”
หมอกยืนนิ่งจ้องหน้าตะวันฉายสักพักแล้วฉีกยิ้มยิงฟันให้ ตะวันฉายยิ้มตอบ แต่ทันใดนั้นหมอกก็แหกปากลั่น
“จะเอาลูกบอล หมอกจะอาบน้ำกับลูกบอล พี่ซันใจร้ายยยย”
ตะวันฉายรีบเอามือปิดปากหมอก แต่หมอกก็ดิ้นและแหกปากไม่หยุด
เมฆกำลังเตรียมโน้ตใส่สมุดแต่ก็ไม่ค่อยมีสมาธิ มือไม้ของเขาสั่นแล้วเขาก็ทุบโต๊ะด้วยความไม่พอใจที่เก็บความรู้สึกกับฟ้าไม่ได้ ทันใดนั้นเมฆก็เห็นเงาคนที่ประตู เมฆรีบทำเป็นไม่สนใจแล้วหันหลังให้ทันที พอได้ยินเสียงเปิดประตูก็ยิ่งทำเป็นเก็บของทั้งๆ ที่ยังมือไม้สั่น
เมฆทำเสียงเข้ม “ฟ้า...ผมขอร้อง คุณดูแลหมอกอย่างเดียวเถอะ ผมไม่อยากกลับไปรื้อฟื้นอดีตอีกแล้ว”
เมฆพูดจบก็ยืนนิ่ง สักพักเขาก็รู้สึกว่าเงียบก็เลยหันหน้าไปดูแล้วก็ต้องสะดุ้งที่เห็นว่าเป็นตะวันฉายที่กำลังยืนหน้าเหวออยู่
“เข้ามาทำไม ทำไมไม่เคาะห้อง เสียมารยาท”
ตะวันฉายเถียง “ผมน่ะเหรอเสียมารยาท ผมก็นึกว่าคุณเมฆขึ้นไปอาบน้ำแล้ว ใครจะไปคิดล่ะครับว่าจะได้ยินความในใจที่คุณจะบอกคุณฟ้า”
“นายเงียบไปเลยนะ ไม่งั้น....”
ตะวันฉายทำเป็นขำกวนประสาทเมฆ เมฆเดินเข้ามาจ้อง ตะวันฉายถอยหลัง เมฆเดินเข้าหาอีก ตะวันฉายถอยจนสุดกำแพงแล้วทำตาโต เมฆยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ แล้วแกล้งหายใจดังๆ ทำท่าหื่นๆ เมฆทำตายิ้มกริ่ม ตะวันฉายหน้าแหย เมฆดีใจที่ได้แกล้งเธอ
“โอเคๆ ไม่ต้องห่วงครับ ผมก็ไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน ที่มานี่ก็เพราะคุณหมอกแกจะเอาลูกบอลที่แกลืมไว้ที่นี่ไปอาบน้ำด้วยแค่นี้ละครับ”
เมฆถอยออกมา ตะวันฉายเดินมองหาลูกบอลตามพื้น เมฆหยิบลูกบอลมาจากหลังตู้แล้วมองตะวันฉายด้วยความหมั่นไส้ก่อนจะขว้างลูกบอลใส่หัว ตะวันฉายฉุน
“โอ๊ย”
ตะวันฉายเดินไปเก็บลูกบอลแล้วก็แอบมองเขม่นเมฆก่อนจะเดินไป เมฆขำแล้วนึกได้จึงรีบหุบยิ้มทันที