เซาท์ ไชน่ามอร์นิ่ง โพสต์--นายหว่อง กัม เส็ง เลขาธิการสำนักงานสิ่งแวดล้อมแห่งฮ่องกงแถลงเมื่อวันจันทร์(3 ธ.ค.)ว่า สำนักงานได้จัดตั้ง “คณะกรรมการวางระเบียบวาระโครงการบริโภคอาหารที่ชาญฉลาดแห่งฮ่องกง” (Food Wise Hong Kong Steering Committee) เพื่อวางกลยุทธ์และมาตรการลดปริมาณขยะทางอาหารให้ได้ 10 เปอร์เซนต์ ตามเป้าหมายที่วางไว้
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือจากหลายหน่วยงานโดยมีสำนักงานสิ่งแวดล้อมฮ่องกงเป็นหัวเรือใหญ่ ได้แก่ บริษัทสินค้าบริโภคในเครือแม็กซิม เวลคอมซุปเปอร์มาร์เก็ต กลุ่มตัวแทนของธนาคารอาหาร ผู้อำนวยการโรงเรียน สถานศึกษา กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
นายหว่อง ยังให้คำมั่นว่า จะกำหนดค่าธรรมเนียมสำหรับทิ้งขยะมูลฝอยภายในปี 2016 และจะพิจารณาวิธีการการเรียกเก็บฯในปีถัดไป
เขากล่าวว่า เป้าหมายของการรณรงค์คือการลดแหล่งกำเนิดขยะ โดยที่ไม่มีการเปิดเผยกำหนดเวลาแก่สาธารณชน เพียงกำหหนดเป้าหมายไว้ในปี 2015 เท่านั้น “เรากำลังผลักดันโครงการรณรงค์ “ฉลาดกิน”สู่เวทีการเลือกตั้งผู้บริหาร เพื่อกำจัดขยะทางอาหาร” นายหว่องกล่าว
นายหว่องยังกล่าวอีกว่า คณะกรรมการฯจะดำเนินแผนงานโดยเริ่มจากการเปลี่ยนอุปนิสัยตั้งแต่ในระดับครัวเรือน สร้างกฎเกณฑ์สำหรับการปฏิบัติของภาคธุรกิจ และอำนวยความสะดวกในการบริจาคอาหารเพื่อการกุศล นอกจากนี้ยังจะต้องอาศัยความร่วมมือจากรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐ เป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ประชาชน
ปริมาณขยะอาหาร มีสัดส่วน 40 เปอร์เซนต์ ของขยะทั้งหมดในฮ่องกง และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆตามการเติบโตของเศรษฐกิจ ปีที่แล้วขยะอาหารกว่า 3,500 ตัน ถูกทิ้งในหลุมฝังกลบ
นายแอนกัส โฮ ฮอน ไว ผู้อำนวยการบริหารกลุ่มพิทักษ์สิ่งแวดล้อม หนึ่งในสมาชิกของคณะกรรมการโครงการกล่าวว่า เมื่อเป้าหมาย 10 เปอร์เซนต์ ที่ตั้งไว้สำเร็จแล้ว เขาเชื่อมั่นว่าเป้าหมาย 30 เปอร์เซนต์ ก็สามารถเป็นไปได้
“ มันขึ้นอยู่กับว่าเราใส่ความพยายามมากแค่ไหน ภาครัฐร่วมมือกันอย่างไร และผู้บริหารระดับสูงทุ่มเทและผลักดันกับโครงการนี้หรือไม่” เขากล่าว
นางมิเชล อู วิง- เซ ผู้จัดการอาวุโสกลุ่มมิตรโลก (Friends of the Earth)กล่าวว่า ประเทศอย่างเยอรมัน และเกาหลีใต้ได้เริ่มแก้ปัญหา จัดการกับขยะอาหารแล้ว รัฐบาลเกาหลีใต้ให้เงินอุดหนุนแก่ผู้ประกอบการร้านอาหารที่เสนอเมนูบุฟเฟต์สลัดบาร์ แทนการเสริฟอาหารเรียกน้ำย่อยหลากหลายเมนูเป็นรายบุคคล
จากผลสำรวจโดยกลุ่มมิตรโลก (Friends of the Earth) เมื่อเดือนที่แล้วพบว่า 65 เปอร์เซนต์ จากผู้ตอบแบบสอบถาม 1,000 คน โดยผู้สนับสนุนเพิ่มขึ้น 13 เปอร์เซนต์ จากการสำรวจครั้งก่อนหน้า ซึ่งมีผู้สนับสนุน 51.7 เปอร์เซนต์
