ตะวันฉายในม่านเมฆ ตอนที่ 5
เกริกไกรกับสายรุ้งนั่งเหวออยู่หน้าจอทีวีมืดๆ
“พ่อว่าเมื่อกี้เสียงใคร ไม่ใช่เสียงตายุทธนะ” สายรุ้งกังวล
“เจ้าหน้าที่คอนโดมั้ง” เกริกไกรว่า
“เขาจะเรียกซันเหรอ ไม่นะ ปกติก็ต้องเรียกคุณตะวันฉายสิ”
เกริกไกรนั่งนิ่งเพราะคิดไม่ออก
ตะวันฉายนั่งนิ่งปิดปากเงียบอยู่ในห้อง
“ซัน ยังไม่นอนไม่ใช่เหรอ เมื่อกี้ฉันได้ยินเสียงนายคุยนี่” เสียงเมฆดังเข้ามา
ตะวันฉายตาโตแล้วพึมพำ “ตายแล้ว หูดีแบบนี้น่าเอาไปเฝ้าบ้านจริงๆเลย”
“ซันเปิดหน่อย ฉันมีธุระ”
ตะวันฉายหันรีหันขวางรีบลุกขึ้นไปเปิดไฟแล้วเก็บมือถือ พอจะเดินไปเปิดประตูก็นึกได้เลยรีบหยิบแว่นตามาใส่แล้วทำงัวเงียไปเปิดประตู
“คุณเมฆมีอะไรเหรอครับ” ตะวันฉายถาม
เมฆมองเห็นตะวันฉายพร้อมหมวกคลุมผมก็อึ้งๆ
“นายนอนแล้วเหรอ” เมฆถาม
“ครับ”
“ใส่หมวกคลุมผมอาบน้ำของผู้หญิงนอนด้วยเหรอ”
ตะวันฉายรีบจับหัวตัวเองแล้วดึงหมวกออก
“คือผมหนังหัวแห้งน่ะครับ สระผมบ่อยไม่ได้”
เมฆพยักหน้ารับรู้ “แต่เมื่อกี้ฉันได้ยินเสียงนายคุย”
ตะวันฉายหาว “อ๋อ...สงสัยเป็นละครวิทยุที่ผมเปิดจากมือถือครับ”
ตะวันฉายโชว์มือถือให้ดู
เมฆจ้องโทรศัพท์ “รุ่นนี้แพงนะ”
ตะวันฉายรีบเก็บโทรศัพท์
“เอ่อ...คุณเอวาให้มาครับ” ตะวันฉายบอก
“เอวานี่ท่าทางจะรักนายมาก”
ตะวันฉายรีบเปลี่ยนเรื่อง “แล้วคุณเมฆมีอะไรครับถึงมาปลุกผม”
“ฉันจะจัดกระเป๋าให้หมอกไปโรงเรียนวันพรุ่งนี้ แต่หาตารางสอนไม่เจอ” เมฆบอก
ตะวันฉายจัดกระเป๋าตามตารางสอนโดยมีเมฆนั่งคุมอยู่
“นายกับเอวานี่คงสนิทกันมากนะถึงให้ของแพง” เมฆลงความเห็น
“ไม่หรอกครับ คือคุณเอวาแกได้มาจากไหนก็ไม่ทราบ แต่แกไม่ใช้เลยให้ผม”
“น่าเสียดายนะ โทรศัพท์ดีๆจะไม่ได้ใช้ ขายฉันไหม”
“เอ่อ...ไม่ได้ครับ เดี๋ยวคุณเอวาโกรธ อีกอย่างผมใช้เป็นนาฬิกาปลุกก็ได้ครับ”
“ถ้าจะขายก็บอกแล้วกันนะ ฉันอยากฟังละครวิทยุ”
ตะวันฉายชะงักไปเล็กน้อย แล้วทำเป็นพยักหน้ารับรู้ก่อนจะก้มหน้าก้มตาจัดกระเป๋าต่อไม่กล้าสบตาเมฆ
ตะวันฉายเดินเข้ามาในห้องนอนด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“ถ้าจะขายก็บอกแล้วกันนะ ฉันอยากฟังละครวิทยุ” เสียงเมฆดังขึ้นในหัว
“ทำไมนายนั่นพูดจาแปลกๆ ไม่น่า...เราคงคิดมากไปเอง”
ตะวันฉายล้มตัวลงนอนแล้วก็เด้งขึ้นมานั่งเครียดอีก
เมฆนั่งครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น
ภาพเหตุการณ์ในอดีตย้อนกลับมา หมอกกระโดดอีกครั้งแล้วลื่น เมฆกับตะวันฉายรีบเข้ามารับ เมฆกับตะวันฉายตัวชนกัน หมอกกอดคอเมฆกับตะวันฉายเอาไว้ ตะวันฉายตาโตด้วยความตกใจพร้อมกับมองหน้าเมฆเพราะรู้ว่าหน้าอกของเธอโดนอกของเมฆ เมฆมองหน้าตะวันฉายด้วยสีหน้านิ่ง ตะวันฉายเหลือบตามองลงล่างแล้วค่อยๆถอยออกมา
ภาพเหตุการณ์ตอนที่เมฆจับบ่าตะวันฉายย้อนกลับมา ตอนนั้นตะวันฉายตกใจรีบสะบัดออกทันที เมฆเองก็ตกใจ
“คุณเมฆมีอะไรอีกครับ”
“ฉันแค่จะบอกว่าขอบใจนะสำหรับทุกอย่าง”
เมฆนึกถึงคำพูดของตะวันฉาย
“แต่ถ้าคุณหมอกมีพี่เลี้ยงที่เป็นมืออาชีพก็คงจะดีกว่านี้ คุณเมฆครับ คือผมคิดว่า....ผมจะขอลาออก”
เมฆตัดสินใจลุกขึ้นไปหยิบโทรศัพท์มากดโทรออก
“คุณหนิง ขอโทษที่โทรตอนนี้นะ พรุ่งนี้คุณช่วยโทรแจ้งศูนย์พี่เลี้ยงเด็ก บอกเขาว่าผมได้คนแล้ว....ครับ...ขอบคุณมาก”
เมฆกดวางสายทันที
“จะรีบหนีไปไหนล่ะ ฉันยังไม่รู้เลยว่าเธอเข้ามาที่นี่ทำไม” เมฆพูดกับตัวเอง
เมฆมีสีหน้าสงสัย
นิค เอวา และจอมสยามเล่นดนตรีอยู่ที่ผับ ยุทธการเดินเข้ามาแล้วมองไปที่เวที
เวลาผ่านไป นิค เอวา และจอมสยามเดินเข้าห้องพักนักดนตรี
“ขอบคุณพี่จอมมากนะครับที่มาเล่นให้พวกเรา” นิคกล่าว
“ไม่เป็นไร พี่ก็ไม่ได้เล่นวงนานแล้วสนุกดีเหมือนกัน คราวหน้าต้องบอกให้เมฆมันขาดบ่อยๆแล้ว จะได้มาสนุกกับน้องๆ งั้นพี่ไปก่อนนะ”
“ขอบคุณค่ะพี่” เอวาบอก
นิคกับเอวาไหว้ลาจอมสยาม พอจอมสยามเดินออกไป ยุทธการก็เดินเข้ามา
เอวายิ้มดีใจ “พี่ยุทธ..”
นิคเห็นสีหน้าท่าทางของเอวาที่มีต่อยุทธการก็ยิ้มฝืดๆ
“มาได้ไงคะ” เอวาถาม
“ก็เอวาชวนหลายทีพี่ยังไม่เคยมา วันนี้เลยลองมาดูหน่อยสิ” ยุทธการบอก
“จริงเหรอ ไปซ่อนอยู่ตรงไหนคะ ทำไมเอวาไม่เห็นเลย”
“พี่ล้อเล่นน่ะ จริงๆพี่ก็เพิ่งมาได้สักครู่” ยุทธการถอนใจ “พี่มีเรื่องอยากคุย”
เอวาหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย “เรื่องของซันใช่ไหมคะ”
เอวาทำหน้าเคืองๆ
“แต่เอวาบอกซันแล้วนะคะว่าให้โทรหาพี่ยุทธ ยัยซันนี่แย่จัง..”
“วันนี้พี่ก็รอเขาทั้งวันเลย ก็ไม่โทรมา ตกลงซันเขาทำอะไรอยู่ นิคกับ เอวาบอกพี่ไม่ได้เหรอ” ยุทธการถาม
นิคกับเอวาจ๋อยและไม่กล้าสู้หน้า
“ให้ซันมันบอกเองดีกว่าครับ” นิคตัดบท
“แล้วพี่จะเจอซันได้ยัง หรือพี่ต้องเริ่มสืบอย่างจริงจัง”
“อุ๊ย...ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้มั้งคะ เอวาเชื่อนะคะว่าถ้าซันว่างมันต้องโทรหาพี่ยุทธแน่ๆ”
“ถ้ายังไงพี่รบกวนนิคกับเอวาด้วยนะ”
“ไม่รบกวนหรอกค่ะ เราเต็มใจช่วยพี่ยุทธ”
ยุทธการยิ้มแล้วขึ้นรถขับออกไป นิคกับเอวายืนส่ง
“ถ้าซันมันโทรหาพี่ยุทธแล้วแกจะดีใจไหม” นิคถาม
เอวาพูดกลบเกลื่อน “ก็ต้องดีใจสิ ถามแปลกๆ ไป กลับกันเถอะ”
เอวาเดินหงุดหงิดไปขึ้นรถ
“ดีใจแต่หงุดหงิด” นิคบ่น
ตะวันฉายเดินเข้าห้องมาแล้วเปิดตู้หยิบผ้าเช็ดตัวกับเป้ใส่เสื้อผ้ามาวางบนเตียง พอล้วงมือหยิบเสื้อผ้าแล้วเธอก็ถึงกับชะงัก ก่อนจะหยิบเสื้อออกมาวางสองชุด
“ตายแล้วชุดชั้นในเหลือชุดเดียวเองเหรอ”
ตะวันฉายเดินไปหยิบถุงผ้าใส่เสื้อผ้าที่ใช้แล้วที่เธอซ่อนในตู้มาวางบนเตียงแล้วเทเสื้อผ้าออกมา“ถ้าซักแล้วจะตากเจ้าพวกนี้ที่ไหนวะเนี่ย”
ตะวันฉายยืนมองเสื้อผ้าใช้แล้วอย่างเซ็งๆ
เอวาในสภาพหัวฟูเพราะเพิ่งตื่นนอนกำลังคุยโทรศัพท์อยู่บนเตียง แล้วเธอก็ร้องลั่น
“อ๊าย...จะบ้าเหรอ โทรมาปลุกฉันตอนนี้ เพื่อจะให้ฉันซักชุดชั้นในให้แกเนี่ยนะ”
“ฉันไม่ได้ให้แกซักเอง ให้เอาไปส่งซักให้หน่อย เพราะถ้าฉันซักที่นี่แล้วตากในห้องมันไม่มีแดดฉันกลัวเป็นตกขาว”
เอวาอิดออดเพราะไม่อยากทำ “แหม...แต่ถ้าฉันเอาชุดชั้นในไปส่งซัก ร้านซักรีดคงมองฉันแปลกๆนะ แกซื้อใหม่เลยไม่ได้เหรอ”
“ซื้อใหม่แล้วของเก่านี่จะให้ทิ้งที่ไหนล่ะ ฉันก็ต้องฝากแกทิ้งอยู่ดี มาถึงขั้นนี้แล้วแกก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุดสิวะ”
“มันสุดตรงที่ฉันพาแกเข้าไปอยู่บ้านพี่เมฆได้ต่างหาก เรื่องเครื่องในแกมันอยู่นอกเหนือแผนการณ์เว้ย”
“โธ่...เอวาเพื่อนรัก ถ้าแกไม่ช่วยฉันอาจจะต้องตายเพราะเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายก่อนจะเจอรักแท้ก็ได้นะ แกไม่อายเหรอถ้ามีใครถามว่าเพื่อนที่ดีที่สุดของแกตายเพราะอะไร” ตะวันฉายถาม
“ไม่ค่อยนะ ฉันก็จะติดไว้ที่โลงของแกเลยว่า เสียชีวิตจากการตากชุดชั้นในในที่อับชื้นจนเกิดเชื้อรา ดีไหม...ไม่ต้องตอบคำถามด้วย” เอวาประชด
“ขอบใจย่ะ...เพื่อนรัก”
เอวาหัวเราะ “เอาละๆ ฉันช่วยแกก็ได้”
“นี่สิถึงได้เรียกว่าเพื่อน แต่แกมาห้างแถวบ้านพี่เมฆของแกนะ เพราะฉันคงถ่อไปที่โรงเรียนแกไม่ไหว”
“จ้ะ... ได้จ้ะคุณเพื่อน” เอวานึกได้ “ว่าแต่แกจะออกมาได้เหรอ ก็พี่เมฆเขาอยู่บ้านนี่”
ตะวันฉายวางสายแล้วยิ้มพอใจ เธอเอาชุดชั้นในใส่ถุงแล้วใส่ลงในเป้อีกที
ตะวันฉายยืนคุยกับเมฆที่กำลังดูแลหมอกที่นอนหลับอยู่บนเตียง
“พอดีเห็นกับข้าวที่จะทำให้คุณหมอกหมด ผมเลยจะขอไปซื้อครับ” ตะวันฉายบอก
“ดีเหมือนกัน ฉันไปกับนายด้วย” เมฆว่า
ตะวันฉายตกใจ “อะไรนะครับ”
“ก็นายเพิ่งมาอยู่ยังไม่คุ้นทาง ฉันจะพาไปห้างเอง คราวหน้าจะได้ไปเอง”
“แล้ว...แล้วใครจะอยู่กับคุณหมอกตอนคุณหมอกตื่นละครับ”
“เดี๋ยวเรียกเก่งมาก็ได้นี่”
“ไม่เป็นไรครับคุณเมฆ ผมไปได้”
“เมื่อคืนนายก็ดูแลหมอกอย่างดี นี่ก็ยังไม่ได้พักแต่จะไปซื้อของให้ฉันดี ฉันคงเป็นเจ้านายที่เลวถ้าไม่ช่วยเหลืออะไรนายบ้าง”
เมฆลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากห้อง ตะวันฉายหน้าเจื่อนๆ แล้วก็ถอนใจด้วยความเครียด
เมฆยืนคอยอยู่ที่รถ ตะวันฉายเดินมาพร้อมเป้ เมฆมองตะวันฉายอย่างงงๆ
“เอาเป้ไปทำไม”
ตะวันฉายอึ้ง “ร้องเท้าผมเจ๊งครับ เลยจะเอาไปซ่อม”
เมฆเอื้อมมือจะจับเป้ “ไหนดูสิ”
“ไม่ได้ครับ จะมาดูได้ไง”
“อ้าว...ก็ถ้ารู้ว่ามันขาดหรือเสียยังไงจะได้พาไปซ่อมถูก นี่จะช่วยนะ”
“ไม่ต้องครับ ของส่วนตัวผมจัดการเองได้”
พูดจบตะวันฉายก็รีบเดินไปที่รถ เมฆเดินตามไป
ตะวันฉายเดินตามหลังเมฆไปตรงที่วางตะกร้ารถเข็น ทันใดนั้นโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงของตะวันฉายก็สั่น
ตะวันฉายรีบจับกระเป๋ากางเกงแล้วพึมพำ “เอวา” ตะวันฉายเห็นเมฆกำลังเอารถเข็นมาก็รีบเข้าไปบอก “คุณเมฆ ผมขอไปห้องน้ำก่อนนะครับ คุณเมฆซื้อของไปก่อนแล้วกันนะครับ”
“อ้าวเหรอ ฉันก็ปวดพอดี ไป ไปเข้าพร้อมกันเลย”
“หา ปวดตอนนี้เหรอครับ”
“ทำไมล่ะ ฉันจะปวดตอนนี้บ้างไม่ได้เหรอ ไปๆ”
ตะวันฉายทำหน้ากระอักกระอ่วนแต่ก็จำใจเดินไป
เอวารอให้ตะวันฉายรับโทรศัพท์จนหงุดหงิด
“ทำไมไม่รับสายนะ” เอวาสไลด์หน้าจอโทรศัพท์
เอวากดเปิด Line แล้วพิมพ์ถามไปว่า “รออยู่ มาถึงหรือยัง” แล้วเธอก็รอคำตอบด้วยความกระวน
กระวายใจ
ตะวันฉายกับเมฆเดินมาถึงหน้าห้องน้ำ ตะวันฉายชะงักมองป้ายสัญลักษณ์ชายหญิงแล้วก็ลังเล
“เข้าไปสิ”
เมฆผายมือให้ตะวันฉาย ตะวันฉายจะเดินเข้าแต่มีผู้ชายคนหนึ่งเดินสวนออกมา
ตะวันฉายตกใจ “อุ่ยย”
“มีอะไรเหรอ”
“เปล่าครับ” ตวันฉายปฏิเสธ
เมฆเดินนำเข้าไป ตะวันฉายกลั้นใจกัดฟันเดินตามไป
ตะวันฉายเข้ามาเห็นผู้ชายยืนปัสสาวะอยู่ก็ผงะก้มหน้าด้วยความอาย เมฆเหลือบมองตะวันฉาย แต่ก็ทำเป็นไม่สนใจก่อนจะเข้าไปยืนที่โถปัสสาวะ ตะวันฉายเงอะงะหันรีหันขวางทำอะไรไม่ถูก
“อ้าว มานี่สิมายืนโถนี้ก็ได้” เมฆเรียก
ตะวันฉายหน้าซีด “ยืน?”
เมฆงง “เป็นอะไรไปล่ะ ไม่ปวดแล้วเหรอ”
“ปวดครับ ผมปวดท้องด้วยน่ะครับ ขอเข้าห้องน้ำดีกว่า” ตะวันฉายรีบเข้าห้องน้ำไปทันที
พอเข้ามาในห้องส้วมได้ ตะวันฉายก็ถอนใจแล้วก็นึกได้ จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เห็นมิสคอลเอวา 10 สาย และยังมี Line ขึ้นเตือนด้วย แล้วเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ตะวันฉายสะดุ้ง
เสียงเมฆดังเข้ามา “ซัน ฉันไปรอข้างนอกนะ”
“คุณเมฆไม่ต้องรอหรอกครับ ผมคงอีกนาน”
“เสร็จแล้วก็มาเจอกันข้างนอกแล้วกัน” เมฆบอก
ตะวันฉายรีบเรียกเมฆ
“คุณเมฆ คุณเมฆครับ” ตะวันฉายไม่ได้ยินเสียงตอบก็ค่อยๆแง้มประตูออกมา ตะวันฉายไปแอบมองที่หน้าห้องน้ำก็เห็นเมฆยืนรออยู่จริงๆ เธอรีบผลุบเข้ามาในห้องน้ำแล้วรีบกดโทรศัพท์ทันที
เอวารับโทรศัพท์แล้วก็เม้งแตกทันที
“โห ไอ้ซัน ฉันโทรหาแกจนมือจะหงิกแล้วเนี่ย”
ตะวันฉายแอบคุยโทรศัพท์ในห้องน้ำ
“ก็พี่เมฆของแกตามฉันด้วยน่ะสิวะ ขนาดมาเข้าห้องน้ำ ยังมาด้วยเลย ฉันเลยต้องเข้าห้องน้ำชายเลยอ่ะแก๊.. แถมตอนนี้ก็ยังยืนรออยู่หน้าห้องน้ำ ฉันกระดิกไปไหนไม่ได้เลย”
ผู้ชายที่ยืนที่โถเริ่มหันมามองตะวันฉายเพราะได้ยินว่าเป็นเสียงผู้หญิง
เอวาตกใจ “แล้วแกปล่อยให้พี่เมฆมาด้วยทำไม”
“ฉันก็ไม่ได้อยากให้มา แต่นายนั่นขอตามมา”
“งั้นเราค่อยเจอกันวันอื่นแล้วกัน”
ตะวันฉายเผลอพูดเสียงดัง “เฮ้ย ไม่ได้ แล้วเสื้อในกางเกงในฉันล่ะ”
ผู้ชายที่ล้างมือ และยืนฉี่อยู่ต่างหันมามองทางตะวันฉายเป็นตาเดียวกัน ตะวันฉายนึกได้รีบเก็กแมนทันที
“ก็พวกเสื้อกล้าม กางเกงเตะบอลอ่ะ จะเอาไงมันต้องซักวันนี้นะโว้ยช่วยกันคิดหน่อยพรรคพวก”
เอวามองไปรอบๆแล้วหยุดที่หนึ่ง “ฉันรู้แล้วว่าจะทำไง”
ตะวันฉายยิ้มอย่างมีความหวัง แต่พอเห็นบรรดาผู้ชายในห้องน้ำมองด้วยความสงสัยอีกก็พยายามหลบตา
ตะวันฉายเดินออกจากห้องน้ำ เมฆยืนรออยู่
“อ้าว เรียบร้อยแล้วเหรอ” เมฆถาม
ตะวันฉายยิ้ม “ครับ สบายตัวขึ้นเยอะเลย”
“ไป งั้นก็ไปซื้อของกันได้แล้ว”
“เอ่อ..คุณเมฆครับเมื่อกี้ผมได้ยินคนในห้องน้ำเขาคุยกันว่ามีละครมาถ่ายที่ชั้นบน ผมขอไปดูได้ไหมครับ”
“ดูทำไม ไม่เห็นน่าสนใจเลย”
“น่าสนสิครับ เห็นว่าชาย ชาตโยดมกับวิกกี้ก็มานะครับ”
“บ้าดาราเหมือนกันเหรอเนี่ย”
เมฆกับตะวันฉายเดินไปขึ้นบันไดเลื่อน ตะวันฉายยิ้มร้ายทันทีที่เห็นกองละครและบรรดาไทยมุง
“คุณเมฆครับ ผมไปดูนะครับ” ตะวันฉายรีบวิ่งเข้าไปในกลุ่มคนที่มุงอยู่ทันที
“อ้าว ซัน รอด้วยสิ” เมฆวิ่งตามไป
ตะวันฉายหลบอยู่ในกลุ่มไทยมุง แล้วรีบเผ่นเข้าไปในร้านที่อยู่ใกล้ๆ เมฆเดินมาถึงบริเวณกองถ่าย ก็พยายามตามหาตะวันฉาย แต่ก็ไม่เจอ ตะวันฉายแอบมองเมฆอยู่ในร้านแล้วก็รีบเดินหนีไป
ตะวันฉายมองซ้ายมองขวาอย่างระวังภัยแล้วก็รีบเอาถุงชั้นในจากเป้ ส่งให้เอวา เอวาเอาใส่กระเป๋าถือของตัวเอง แล้วเอวาก็ส่งถุงให้ ตะวันฉายมองถุงอย่างงงๆ
“อะไรเหรอ”
“ก็ชุดชั้นในใหม่น่ะสิ แกส่งนี่ให้ฉันซักแล้วจะไปเดินซื้อใหม่กับพี่เมฆหรือไง” เอวาถามกลับ
“อร๊ายยย...เพื่อนฉันนี่ Mega clever จริงๆเลยนะ มามะ มาให้ป๋าจูบุ๊..จูบุ๊หน่อยสิ”
ตะวันฉายแกล้งโน้มคอเอวาจะหอมแก้ม เอวาดิ้นไม่ยอม
“บ้าแกนี่เล่นบ้าๆ นี่ไหนๆก็เจอกันแล้ว ฉันต้องเฉ่งแกอีกเรื่อง”
“เรื่องอะไร?”
“ก็เรื่องพี่ยุทธนั่นแหล่ะ ตกลงแกจะไม่โทรหาเขาหน่อยเหรอ”
“ก็เมื่อคืนว่าจะโทร แต่นายนั่นมาขัดซะก่อน ทำไมเหรอ พี่ยุทธมาฟ้องแกอีกแล้วเหรอ” ตะวันฉายถาม
“เขาบอกว่าถ้ายังติดต่อแกไม่ได้ เขาจะลงมือสืบแล้วนะว่าแกอยู่ที่ไหนทำอะไร”
ตะวันฉายรำคาญ “เฮ้อ...พี่ยุทธนี่ก็เยอะขึ้นทุกวันเลย”
“ซัน ฉันถามจริงๆนะ แกไม่ชอบเหรอ มีคนดีๆอย่างพี่ยุทธมาคอยเป็นห่วงเป็นใยแบบนี้ ฉันว่าดีออก”
“พูดแบบนี้แสดงว่าอยากมีแฟนแล้วละสิ” ตะวันฉายแซว
“บ้าเหรอ ไม่มี”
“ไม่เชื่อ ฉันว่าแกต้องแอบชอบใครแน่ๆ บอกมาเดี๋ยวนี้นะ”
ทันใดนั้นเอวาก็เห็นเมฆเดินหาตะวันฉายมาจากอีกทาง
“พี่เมฆ!”
เอวารีบผลักตะวันฉายจนกระเด็นเข้าไปในร้านที่เดินผ่านได้ทันพอดี เมฆเดินมาเห็นเอวาก็แปลกใจ
“อ้าว เอวา”
ตะวันฉายที่ล้มอยู่รีบพยุงสังขารหลบด้านหลังเสื้อผ้า
“พี่เมฆ” เอวามอง “ไม่ได้มากับหมอกเหรอคะ”
“มากับซันน่ะ แต่หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้”
เอวาทำเป็นตื่นเต้น “ซันมาด้วยเหรอคะ อยู่ไหนล่ะ”
“เนี่ย พี่ก็หาอยู่ เห็นบอกจะไปดูเขาถ่ายละคร แต่พี่เดินหาก็ไม่รู้ไปไหน นี่เอวามาที่นี่ได้ไง”
“อ๋อ...ค่ะ ว่าจะมาซื้อเสื้อผ้า” เอวาบอก
“มาถึงนี่อ่ะนะ”
“คือเขาเซลไงคะ แหม...ผู้หญิงไงคะ ต่อให้ไกลแค่ไหนถ้าเซลเราบุกไปหมดแหล่ะค่ะ”
เมฆหัวเราะขำ แล้วเอวาก็แกล้งชี้ไปอีกทาง
“นั่นซันหรือเปล่าคะ”
เอวารีบทำเป็นดึงเมฆให้หันไปมองอีกทาง ตะวันฉายได้ทีจึงรีบหลบออกจากร้านไป เมฆกับเอวาเดินไปอีกทาง
เอวากับเมฆเดินมองหาไปเรื่อยๆ
“คงจะหลงทางแน่ๆ” เอวาบอก
“ซันไม่ค่อยได้เดินห้างเหรอ”
“โอ๊ย...ไม่เค้ยไม่เคยค่ะ มาจากบ้านนอกก็มาอยู่ที่บ้านเอวาทำงานหาเงินส่งพ่อแม่ที่ต่างจังหวัด ไม่มีได้ออกไปไหนหรอกค่ะ”
“เฮ้อ..แบบนี้พี่ชักเป็นห่วงแล้วสิ”
“เอวาว่าเราลองไปติดต่อที่เคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์ทางโน้นดีกว่าไหมคะ”
“แล้วทำไมเอวาไม่โทรล่ะ มีเบอร์ซันไม่ใช่เหรอ”
“อ๋อ...เอ่อ...ใช่ค่ะ เอวาลืมสนิทเลย”
เอวาหยิบโทรศัพท์มาแล้วกดจะโทรออก
เสียงตะวันฉายดังขึ้น “คุณเอวา คุณเมฆ”
ทั้งสองหันไปตามเสียงก็เห็นตะวันฉายยืนยิ้มอยู่
“หายไปไหนมา ฉันตามหาตั้งนาน” เมฆถาม
“ผมเดินดูดาราอยู่ หันมาอีกทีคุณเมฆหายไปแล้ว” ตะวันฉายตอบ
“เหรอ...ไม่น่าหลงกันได้” เมฆสงสัย
เอวารีบสวนขึ้น “แหม...เจอกันก็ดีแล้ว เดี๋ยวเอวากลับเลยแล้วกันนะคะพี่เมฆ”
“อ้าว...ไม่ทักทายกับซันหน่อยเหรอ เพิ่งเจอกันนี่”
ตะวันฉายกับเอวาเหวอไปเล็กน้อยแล้วรีบกลบเกลื่อน
ตะวันฉายยกมือไหว้ “สวัสดีครับคุณเอวา”
“จ้ะ สวัสดีจ้ะซัน สบายดีนะ” เอวาทำเป็นทัก
“สบายดีครับ คุณเอวาก็สบายดีนะครับ”
“จ้ะๆๆๆ งั้นฉันไปนะพอดีมีสอน ไปนะคะพี่เมฆ เย็นนี้เจอกัน”
เอวารีบเดินไป เมฆหันมามองหน้าตะวันฉาย ตะวันฉายยิ้มรับเนียนๆพยายามไม่ตื่นเต้น
“ทักกันจริงๆเลยนะ” เมฆงง
ตะวันฉายกับเมฆเข็นรถเข็นอยู่ในซุปเปอร์มาร์เก็ต
“นายจะเอารองเท้าไปซ่อมก่อนไหม” เมฆถาม
“อย่าดีกว่าครับ เมื่อกี้ผมเดินผ่านร้านซ่อมรองเท้าเห็นราคาแล้ว ผมว่าซ่อมเองดีกว่า” ตะวันฉายตอบ
“ซ่อมเป็นเหรอ”
“คนจนๆอย่างผมต้องทำให้เป็นทุกอย่างครับ”
เมฆพยักหน้ารับรู้แล้วทั้งสองก็เข็นรถไปตรงมุมของสด ตะวันฉายหยิบผักคอสมาห่อหนึ่ง กุ้งมาแพ็คหนึ่ง พาม่าแฮมห่อหนึ่ง หลังจากนั้นก็เข็นไปเลือกซอสเพสโต้ที่อีกมุมหนึ่ง
“จะทำอะไรให้นายหมอกกินเหรอ” เมฆถาม
“ซีซ่าสลัดพาม่าแฮมกับ สปาเก็ตตี้เพสโต้กุ้งดีไหมครับ ผมว่าเด็กๆน่าจะชอบ”
เมฆอึ้งไปเล็กน้อย “รายการอาหารน่ากินดีนะ”
ตะวันฉายยิ้มรับแล้วเดินเลือกซื้อของต่อ เมฆมองสังเกตจนตะวันฉายรู้สึก
“มีอะไรครับ” ตะวันฉายถาม
“นายนี่เดินซุปเปอร์มาเก็ตคล่องดีนะ มาบ่อยเหรอ”
ตะวันฉายนึกหาข้ออ้าง “คุณเอวาเธอให้ผมมาช่วยหิ้วของบ่อยๆน่ะครับ ก็เลยคล่อง พอรู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน แล้วซุปเปอร์มาเก็ตที่มันก็สาขาเดียวกับแถวบ้านคุณเอวาด้วย การวางของก็ไม่ต่างกันครับ”
“แต่เมื่อกี้เอวาบอกว่านายไม่เคยเดินห้าง ตั้งแต่มาจากต่างจังหวัดก็อยู่แต่ที่บ้าน”
ตะวันฉายพึมพำ “ซวยละสิ”
“ว่าไง จะบอกความจริงๆได้หรือยัง”
ตะวันฉายตกใจ “ความจริง? เอ่อ..ความจริงอะไร..ครับ”
เมฆจ้องหน้าตะวันฉายอย่างคาดคั้นจนตะวันฉายเริ่มกลัว
เมฆมองไปรอบๆ “บางทีที่นี่อาจจะไม่เหมาะที่เราจะคุยกัน กลับไปที่บ้านเราคงได้คุยกันยาว”
ตะวันฉายหน้าซีด เมฆยิ้มแล้วเดินเข็นรถไป ตะวันฉายเริ่มกลืนน้ำลายไม่คล่องคอ
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ตะวันฉายยืนกระสับกระส่ายต่อหน้าเมฆที่นั่งนิ่งมองเธออย่างใช้ความคิด
เมฆพูดยิ้มๆโดยไม่ได้มองตะวันฉาย “ดูกระสับกระส่ายนะ”
“ตกลงคุณเมฆจะคุยอะไรกับผมครับ”
“นายปิดบังตัวตนของนายอยู่ใช่ไหม”
ตะวันฉายตกใจ “ต..ตะ..ตัวตนของผมเหรอ?”
“จะยอมรับเองหรือจะให้ฉันพูดให้หมด” เมฆถาม
“คุณรู้แล้ว”
เมฆพยักหน้า “นายกับเอวาอาจจะคิดว่าหลอกให้ฉันไขว้เขวได้” เมฆยิ้มกวน “แต่เสียใจนะที่ฉันได้รู้ความจริงแล้ว”
เมฆลุกขึ้นเดินมาจ้องหน้าตะวันฉาย ตะวันฉายก้มหน้าหลบตาเพราะไม่กล้าสู้หน้าเมฆ เมฆยิ้มแล้วส่ายหน้า
“นายกับเอวา....กิ๊กกันใช่ไหม” เมฆถามขึ้น
ตะวันฉายเงยหน้าจ้องหน้าเมฆทันที “หา?”
“ก็ใช่น่ะสิ ตอนแรกฉันเกือบคิดว่านายเป็นตุ๊ดซะอีก เห็นตัวบางๆผิวเนียนๆ แต่พอนายบอกว่ามาเดินห้างกับเอวาบ่อยๆ ในขณะที่เอวากลับบอกว่านายไม่เคยออกจากบ้านไปไหนเลย ฉันก็รู้ทันที เป็นไงฉันเดาถูกใช่ไหม”
ตะวันฉายฟังจบก็พยายามกลั้นหัวเราะแต่ก็กลั้นไม่อยู่จึงหัวเราะออกมาแบบผู้หญิง
“เลิกแกล้งหัวเราะสไตล์ผู้หญิงได้แล้ว ยังไงฉันไม่เชื่อหรอก” เมฆว่า
ตะวันฉายหยุดทันทีเพราะนึกได้ว่ามาผิดทาง
“ตกลงจะตอบฉันได้หรือยังว่านายกับเอวาเป็นแฟนกันหรือเปล่า” เมฆถาม
“เปล่าครับ”
“เปล่าอะไร ฉันรู้ว่าการที่เราเจอเอวาวันนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญใช่ไหม”
“บังเอิญจริงๆครับ”
“ฉันไม่เชื่อ ตกลงนี่นายยังโกหกต่อเหรอ?”
“ไม่เชื่อก็ตามใจครับ” ตะวันฉายพยายามกลั้นหัวเราะ “ผมขอเอาของที่ซื้อมาไปเก็บเข้าตู้เย็นก่อนนะครับ”
พูดจบตะวันฉายก็เดินไปทันที เมฆมองตามแล้วหัวเราะขำ
“ที่แท้ก็เป็นแฟนทอมของเอวานี่เอง บอกตรงๆก็ได้ ไม่รู้จะโกหกให้มันเยอะไปทำไม” เมฆขำแล้วก็ส่ายหน้า
เมฆเดินไปที่เปียโน เขาหยิบโน้ตเพลงที่เขียนไว้ขึ้นมากาง แล้วหยิบกระดาษที่แต่งเนื้อค้างไว้มาดู พอจะนั่งลงเล่นเขาก็ชะงักแล้วคิด
“แต่ทำไมรู้สึกคุ้นๆหน้าไอ้ซัน เหมือนเคยเจอกันมาก่อน”
ตะวันฉายในม่านเมฆ ตอนที่ 5 (ต่อ)
ตะวันฉายเดินเข้ามาในห้องแล้วรีบปิดประตูพร้อมกับกระโดดขึ้นไปนั่งบนเตียง คิดสักครู่เธอก็หัวเราะออกมา
“เป็นแฟนกะเอวาเหรอ ฮ่าๆๆๆ คิดได้นะ”
ตะวันฉายลุกไปดูกระจกแล้วยืนกอดอกแมนๆเท่ๆ ก่อนจะเปลี่ยนท่าไปล้วงกระเป๋า แล้วเปลี่ยนไปเบ่งกล้าม
ตะวันฉายยิ้ม “เนียนสุดๆ”
สักพักโทรศัพท์ของตะวันฉายก็สั่น ตะวันฉายดูเบอร์แล้วรีบกดรับสาย
“พี่ยุทธ”
ยุทธการโทรศัพท์ที่โต๊ะทำงานด้วยมีสีหน้าเป็นห่วงตะวันฉาย
“ซัน...ทำไมผิดสัญญากับพี่ ไหนบอกว่าจะไม่ปิดเครื่องอีกแล้ว”
“ซันขอโทษ”
“ตกลงซันกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ ทำไมต้องปิดบังพี่ รู้ไหมว่าพี่ก็โกหกอาเกริกกับอารุ้งด้วยนะ”
“ซันขอบคุณพี่ยุทธมากที่ช่วยซัน แต่เอาไว้วันหนึ่งจะเล่าให้พี่ยุทธฟังนะ”
“เสียใจนะ เรื่องนี้พี่คงรอไม่ได้ ถ้าพี่ไม่รู้ว่าซันกำลังทำอะไรอยู่ ต่อไปพี่ก็คงโกหกอาเกริกกับอารุ้งไม่ได้เหมือนกัน”
ตะวันฉายอึ้งไปทันที ยุทธการถอนใจด้วยความเครียด
“พี่ขอโทษที่ดุซันนะ แต่พี่เป็นห่วงซันมาก ยิ่งไม่ได้เจอกันพี่ยิ่งเป็นห่วง”
ตะวันฉายถอนใจ “งั้นคืนนี้พี่ยุทธมาหาซันที่คอนโดแล้วกัน แต่ซันขอเจอดึกๆหน่อยนะคะ พอดีซันต้องทำธุระก่อน”
ยุทธการยิ้มดีใจ “ได้สิ ดึกแค่ไหนพี่ก็จะรอ”
ยุทธการกดวางสาแล้วยยิ้มดีใจ ส่วนตะวันฉายนั่งหน้าเครียด
พงษ์พัฒน์กับมยุรีดีใจที่ยุทธการนำข่าวดีมาบอก
“แหม...แม่นึกแล้วเชียวว่าคุณลูกชายกลับบ้านเร็ววันนี้ก็เพราะจะมาเตรียมตัวไปรับแฟนนี่เอง” มยุรียิ้ม
“โธ่..คุณแม่ อย่าเพิ่งเรียกแฟนเลยครับ ซันเขายังไม่ตอบรับผมเลย”
“เขาเป็นผู้หญิง ให้เวลาเขาหน่อยแล้วกัน คอยคนดีๆน่ะไม่ถือว่าเสียเวลาหรอก” พงษ์พัฒน์ให้กำลังใจ
“นี่ แล้วอย่าลืมบอกหนูซันล่ะว่าแม่คิดถึง รีบมาทานข้าวกันเร็วๆ ไม่งั้นแม่งอนด้วยนะ”
“จริงด้วย พ่อก็จะงอนตามแม่เขานะ”
ยุทธการหัวเราะ “ได้ครับผมจะบอกซันให้ และจะรีบพาเขามาหาคุณพ่อคุณแม่ให้เร็วที่สุดเลยครับ งั้นเดี๋ยวผมขอไปอาบน้ำก่อนนะครับ”
พงษ์พัฒน์กับมยุรียิ้มมีความสุขให้กับยุทธการ ยุทธการเดินไป
“ดูลูกเราวันนี้สิ มีความสุขมากเลยนะคะ” มยุรีพูด
“มันก็เหมือนผมเมื่อก่อนไง จำได้ไหมสมัยจีบคุณน่ะ ถ้าวันไหนคุณรับปากจะไปทานข้าวเย็นกับผมน่ะ ผมก็กลับบ้านมาเตรียมตัวแต่หัววันแบบนี้เลยนะ”
มยุรีตกใจ “ตายจริง...นี่คุณก็ทำเหมือนฉันเลยเหรอคะ”
พงษ์พัฒน์กับมยุรีจับมือกันแล้วทั้งคู่ก็ซบกันอย่างมีความสุข
“ฉันมีความสุขไปกับลูกจังเลยค่ะ”
รถเมฆแล่นมาจอดที่หน้าประรั้วตูบ้าน เก่งรีบวิ่งมาเปิดประตูให้ รถเมฆแล่นเข้ามาจอด เก่งใส่กุญแจล็อคประตูรั้วบ้าน แล้ววิ่งกลับมาที่เมฆซึ่งกำลังขนเสื้อสูทและโน้ตเพลงลงจากรถ
“ผมช่วยนะครับ” เก่งบอก
เมฆส่งเสื้อให้ “หมอกกับซันนอนแล้วเหรอ”
“ครับ เห็นซันมันบอกว่าคุณหมอกหลับไปตั้งแต่สองทุ่ม มันเลยไปนอน”
เมฆพยักหน้ารับรู้ แล้วเดินเข้าบ้านไปพร้อมเก่ง ตะวันฉายโผล่ออกมาจากที่ซ่อนที่อยู่มุมหนึ่งบริเวณนั้น
เมฆกับเก่งเดินเข้ามาในบ้าน
“เอาเสื้อมานี่ ฉันถือขึ้นไปเอง ปิดไฟแล้วไปนอนเถอะ”
เก่งรับคำแล้วส่งเสื้อให้ เมฆถือของเดินขึ้นไปชั้นบน
เก่งปิดไฟในบ้านแล้วเอากุญแจบ้านไปแขวนบนหลังตู้ แล้วเขาก็เดินออกไปจากบ้าน ตะวันฉายออกมาจากที่ซ่อนแล้วย่องไปหยิบกุญแจบ้านทันที
ตะวันฉายเห็นห้องเมฆเปิดไฟอยู่ ในขณะที่เธอนั่งตบยุงอยู่หน้าบ้าน สักพักโทรศัพท์ก็สั่นขึ้นอีก
ตะวันฉายดูเบอร์แล้วกดรับ “ค่ะพี่ยุทธ เอ่อ...พอดีซันยังติดธุระอยู่อ่ะ....อีกแป๊บนะ รับรองไม่เกินชั่วโมงนะๆ”
ตะวันฉายกดวางสาย แล้วมองไปที่ห้องเมฆ
“เมื่อไหร่จะหลับซะที”
เมฆที่อยู่ในชุดนอนผมเปียกหมาดๆเดินออกมาจากห้องน้ำแล้วตรงไปที่เตียงนอนก่อนจะปิดไฟในห้องแล้วล้มตัวลงนอน
พอเห็นไฟห้องนอนเมฆปิดตะวันฉายก็ยิ้มดีใจ แล้วลุกขึ้นปัดหญ้าออกจากตัว เมฆลุกขึ้นนั่งแล้วเปิดไฟอีก ตะวันฉายกำลังจะเดินไปพอเห็นไฟในห้องนอนเมฆสว่างก็ชะงัก
“อะไรของเขาวะ” ตะวันฉายเริ่มหงุดหงิด เธอดูเวลาในมือถือไปด้วย
สักพักโทรศัพท์ก็สั่นอีก ตะวันฉายกดรับ
“สวัสดีค่ะ อ๋อ...มาแล้วเหรอคะ” ตะวันฉายมองไปนอกรั้วเห็นแท็กซี่แล่นมาจอด “รอแป๊บนะคะ เดี๋ยวจะออกไปแล้ว ค่ะๆ ขอบคุณค่ะ”
เมฆเดินไปดูที่โต๊ะหน้ากระจก เขาหยิบเสื้อกางเกงขึ้นมาหาของแต่ก็ไม่พบ เมฆหยิบโทรศัพท์ในห้องนอนกดโทรออก โทรศัพท์เมฆที่วางอยู่ในรถสั่น หน้าจอสว่าง
เมฆยืนโทรศัพท์แล้ววางสาย ก่อนจะเดินไปหยิบกุญแจรถ แล้วดับไฟในห้องก่อนจะเดินออกไป ตะวันฉายเห็นไฟห้องเมฆดับอีกก็เดินย่องไปที่ประตูบ้าน เธอเอากุญแจไขประตูเล็กอย่างเบามือที่สุด พอเปิดประตูได้ค่อยๆย่องออกไปพร้อมกับปิดประตู
เมฆเดินลงมาที่รถและกำลังจะกดรีโมทเปิดรถ เขามองไปที่นอกรั้วก็เห็นคนเดินจากหน้าบ้านไป เมฆรีบวิ่งไปที่หน้าบ้านแล้วเปิดประตูเล็กออกไป เขาเห็นตะวันฉายเรียกแท็กซี่แล้วขึ้นรถออกไป
เมฆรีบวิ่งกลับเข้ามาในบ้านแล้วกดรีโมทเปิดรถ ก่อนจะวิ่งไปที่ประตูใหญ่เพื่อจะเปิดประตูแต่เห็นกุญแจอันใหญ่ปิดอยู่ เมฆนึกเจ็บใจ
นิคกับเอวานั่งกินบะหมี่กันที่ร้านชายสี่บะหมี่เกี๊ยวใต้สะพานพระราม 8 เอวาแอบขโมยเกี๊ยวในชามของนิค
นิคร้องออกมา “เฮ้ย”
“ทำไม...เดี๋ยวนี้ขอไม่ให้เหรอ”
“เปล่า”
นิคกินต่อ เอวามองด้วยความสงสัยแล้วคืนเกี๊ยวให้
“ทำไมอ่ะ” นิคถาม
“ฉันแค่แหย่แกเล่น อยากรู้ว่าแกหายซึมหรือยัง” เอวาบอก
“ก็บอกแล้วว่าฉันไม่ได้เป็นอะไร”
“นี่แกกำลังโกหกเพื่อนหรือโกหกตัวเองกันแน่”
“อะไรของแกวะ”
“นิค... แกไม่เคยเป็นแบบนี้นะ ขนาดตอนแกตกภาษาอังกฤษตอนปีหนึ่ง ยังไม่ซึมนานขนาดนี้ ฉันอยากรู้จริงๆว่าแกเป็นอะไร” เอวาพยายามคิด “เรื่องแฟนแกก็บอกว่าไม่ใช่ เรื่องที่บ้านแม่กับพี่ๆแกก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้วนี่ เงินเดือนค่าสอนฉันก็จ่ายแกตรงเวลา แล้วตกลงแกมีอะไรในใจ”
นิคเห็นเอวาพยายามหาเหตุผลก็อดหัวเราะไม่ได้
“นี่ฉันก็มีอิทธิพลกับแกเหมือนกันเหรอเนี่ย” นิคกินต่อ
“แหงล่ะ ก็แกฉันเป็นเพื่อนรักกับแกมาตั้งแต่เด็กๆ ถ้าแกเศร้าแล้วฉันจะสุขได้ไง”
นิคจะคีบหมูเข้าปากได้ยินเอวาพูดแบบนั้นก็ต้องชะงักหันมองเอวาแล้ววางตะเกียบทันที
“โอเค เพื่อความสุขของแกฉันจะตัดความเศร้าแล้วโยนทิ้งไปนะ” นิคบอก
“ทำได้เหรอ”
นิคลุกขึ้นทำท่ายกมือสองมือห่อๆ แล้วสูดหลมายใจลึกๆยาวๆ ก่อนจะถอนใจเฮือกใหญ่ใส่ในมือแล้วทำท่าโยนทิ้งไปในแม่น้ำให้ไกลๆแล้วหันกลับมายิ้มให้กับเอวา
“ฉันโยนทิ้งไปแล้ว แกเลิกเศร้าได้หรือยัง” นิคถาม
“มันทิ้งได้ง่ายๆแบบนี้เลยเหรอวะ” เอวางง
นิคยักไหล่ “ก็เจ๊สั่งนี่”
เอวาค้อน “ไอ้บ้า....” เอวายิ้ม “แต่เห็นแกยิ้มได้ฉันก็มีความสุข แต่จะให้ดีถ้าแกไม่ทุกข์ฉันจะสุขกว่านี้ มีอะไรให้ฉันช่วยแกต้องบอกนะ เพราะเรามีกันอยู่แค่นี้”
“แกก็เหมือนกันนะ วันหนึ่งถ้าแกมีอะไรที่อยากระบายแกต้องบอกฉันนะ”
“ฉันนะเหรอจะมีทุกข์ เสียชื่อสาวอารมณ์ศิลป์หมด”
ทั้งสองหัวเราะออกมาด้วยกัน ระหว่างนั้นโทรศัพท์เอวาก็มีเสียงข้อความเข้ามา เอวากดดูแล้วหน้าเจื่อนไปเล็กๆ
“มีอะไรวะ” นิคถาม
“พี่ยุทธบอกว่ารอซันอยู่ที่คอนโด เขาขอบใจฉันที่ช่วยทำให้ซันมันยอมมาพบเขาน่ะ”
“แล้วแกคิดไง”
เอวากลบเกลื่อน “เอ้า...ก็ดีใจนะสิ” เอวาเห็นนิคมอง “กินเสร็จยัง ฉันง่วงแล้วจะได้กลับไปนอน”
นิคพยักหน้ารับแต่สายตายังจ้องเอวาอยู่ เอวารีบลุกไปจ่ายเงิน
ตะวันฉายในชุดผู้หญิงยืนอยู่หน้ากระจกด้วยสีหน้าเซ็งๆที่เห็นตัวเองผมสั้นเหมือนผู้ชาย
“ขืนโผล่ไปลุคนี้ มีหวังพี่ยุทธต้องสงสัยไม่เลิกแน่”
ตะวันฉายเดินไปเปิดตู้ที่มีหัวหุ่นใส่วิกนานาชนิดซึ่งเรียงรายอยู่ในตู้ ตะวันฉายดูอย่างพิจารณาไปทีละอัน
“โห...แต่ละทรง สาบานว่าฉันซื้อเองนะเนี่ย”
ยุทธการพบตะวันฉายที่ล็อบบี้คอนโดก็ถึงกับอึ้งเหวอจนตาค้าง
“ซันนี่ชอบทำอะไรแปลกๆอยู่เรื่อยเลยนะ โดยเฉพาะช่วงนี้ซันมีอะไรปิดบังพี่อยู่หรือเปล่า”
“มีอะไร ไม่มีหรอกพี่ยุทธ” ตะวันฉายทำไก๋
“ถ้าไม่มีแล้วซันหายไปไหน”
“ตอนนี้ซันก็กำลังหาข้อมูลที่จะเอามาเขียนนิยายอยู่ มันก็เลยยุ่งๆค่ะ”
ยุทธการหน้าเสียจ้องหน้าตะวันฉายคาดคั้น
“ถ้าเป็นเรื่องหาข้อมูลพี่ช่วยเอาไหม เหมือนสมัยซันเรียนมหาลัยไง พี่ก็ช่วยหาข้อมูลทำรายงาน”
“แหม...นั่นมันสมัยเรียนซันทำเอาคะแนน แต่ตอนนี้มันเป็นงานของซันๆ ต้องทำเอง”
“ซันพี่ขอถามตรงๆนะ ที่ซันหายไปน่ะเรื่องงานหรือว่า....ซันมีใคร”
ตะวันฉายหลบตา “โธ่...พี่ยุทธซันกำลังเตรียมเขียนงานจริงๆค่ะ”
“ค่อยยังชั่วหน่อย คนรอจะได้มีกำลังใจ แล้วนี่ซันว่างวันไหนบ้าง คุณพ่อคุณแม่พ่ออยากจะนัดทานข้าว”
“ไว้ซันค่อยโทรหาพี่ยุทธได้ไหมคะ”
ยุทธการถอนใจ “นี่พี่ต้องรออีกแล้วเหรอ”
ตะวันฉายยิ้มเจื่อนเพราะไม่รู้จะตอบยังไง
รถของเอวาแล่นมาจอดที่หน้าคอนโดของเอวา นิคกับเอวาลงมาจากรถ
“เมื่อกี้ตอนกินบะหมี่บอกฉันซึม แต่ตอนนี้แกซึม” นิคว่า
“ซึมอะไร ฉันง่วงต่างหาก” เอวาบอก
“จริงอ่ะ”
“นี่ไอ้นิค ถ้าแกไม่เลิกคิดว่าฉันชอบพี่ยุทธ อีกหน่อยแกเสียเพื่อนดีๆอย่างฉันแน่ แล้วฉันก็จะบอกไอ้ซันให้เลิกคบแกด้วย”
“จัดหนักนะเนี่ย โอเค ไม่ชอบก็ไม่ชอบ ว่าไปก็ดีเหมือนกันแฮะ”
“ดียังไง”
“อ๋อ...เปล่า ฉันก็พูดไปเรื่อยอ่ะ”
เอวางง “อะไรของแกเนี่ย ไม่เอาฉันไปนอนดีกว่า แกก็เดินกลับบ้านดีๆล่ะ”
เอวาโบกมือให้แล้วเดินเข้าตึกไป นิคมองตามแล้วยิ้มๆ
“ที่ว่าดีก็เผื่อแกจะมองฉันบ้างไง”
เอวาเดินเข้าห้องมาเปิดไฟแล้วไปนั่งที่โซฟาด้วยความเหนื่อยล้า เธอมองไปบนตู้โชว์ที่มีรูปถ่ายเต็มไปหมด เอวาเดินไปหยิบรูปถ่ายที่มีนิค เอวา และตะวันฉายถ่ายด้วยกันสมัยเรียนมหาวิทยาลัย และรูปวันรับปริญญาของทั้งสามโดยมียุทธการมาถ่ายร่วมกับทั้งสามด้วย
“ฉันจะบอกใครได้ล่ะ ว่าใจฉันคิดอะไรอยู่”
เอวาเอามือลูบที่รูปหน้าของยุทธการในรูป
ตะวันฉายกับยุทธการยังนั่งคุยกันอยู่ที่ล็อบบี้คอนโด
“รู้ไหม วันนี้พี่สบายใจขึ้นเยอะที่ได้เจอซัน ไม่งั้นพี่ก็ฟุ้งซ่านคิดไปเรื่อย”
ตะวันฉายใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เธอคอยเหลือบมองที่นาฬิกาผนังจนไม่ได้ฟังยุทธการ
ยุทธการเรียก “ซัน”
ตะวันฉายสะดุ้ง “อะไรเหรอพี่ยุทธ”
“ซันไม่ได้ฟังพี่เหรอ”
“เอ่อ...ขอโทษ คือซันคิดเรื่องงาน พี่ยุทธพูดว่าอะไรนะ”
“ไม่มีอะไรหรอก นี่ซันง่วงแล้วใช่ไหม”
“ก็นิดหน่อยค่ะ”
“งั้นพี่ไม่กวนนะ ซันไปนอนเถอะ แล้วอย่าลืมสัญญาล่ะ”
ตะวันฉายงง “สัญญา?”
ยุทธการฝืนยิ้ม “ก็สัญญาที่บอกว่าจะหาเวลาว่างแล้วโทรนัดกันไปทานข้าวกับคุณพ่อคุณแม่ของพี่ไง”
“อ๋อ...ได้สิ แล้วไงซันโทรไปนะ”
“ซันไปนอนเถอะ”
“พี่ยุทธก็ขับรถดีๆนะ”
“ขอบใจนะ”
ตะวันฉายยิ้มรับแล้วเดินไปกดลิฟท์รีบขึ้นชั้นบน ยุทธการโบกมือส่ง ตะวันฉายโบกกลับจนลิฟท์ปิด
ยุทธการเดินเซ็งๆมาที่รถที่จอดอยู่หน้าคอนโดของตัวันฉายแล้วเปิดรถเข้าไปนั่ง ยุทธการหยิบมือถือมาดูรูปของตะวันฉายที่เป็นภาพหน้าจอแล้วถอนใจก่อนจะสตาร์ทรถแล้วขับออกไป
เวลาผ่านไป ตะวันฉายแอบเปิดประตูบ้านเมฆเข้ามาแล้วค่อยๆใส่กุญแจประตูเล็กอย่างเบามือที่สุด ก่อนจะเดินย่องๆจะเข้าหลังบ้านแต่พอถึงมุมหนึ่งก็เห็นเมฆโผล่มาก ตะวันฉายตกใจสุดขีด
ตะวันฉายร้องเสียงผู้หญิง “อ๊ายยย”
เมฆก็ตกใจเหมือนกัน ตะวันฉายรีบเก็บถุงซ่อนไว้
“ทำไม่เสียงนายเหมือนผู้หญิงอีกแล้ว” เมฆถาม
“ก็ผมบอกแล้วไง เวลาตกใจมันก็เป็นแบบนี้ แล้วคุณเมฆทำไมมาหลบอยู่นี่ล่ะครับ”
“ฉันไม่ได้หลบ นายนั่นแหล่ะหลบไปไหนมา”
“มือถือผมตังค์หมด เลยออกไปโทรหาพ่อกับแม่ข้างนอกครับ”
“ต้องนั่งแท็กซี่ออกไปเลยเหรอ”
ตะวันฉายตกใจ “เอ่อ...ก็...ผมหิว เลยไปหาก๋วยเตี๋ยวทานด้วยครับ”
เมฆมองไปที่มือตะวันฉายที่ซ่อนถุงพลาสติกไว้ด้านหลัง
“แล้วเมื่อกี้ฉันเห็นนายถืออะไรมาด้วย” เมฆถาม
“อ๋อ...ไม่มีอะไรครับ แค่ถุงขนมน่ะครับ”
ตะวันฉายเอาถุงมากำในมือจนแน่น เมฆพยายามเพ่งมองแต่ตะวันฉายก็ไม่ค่อยอยากให้เห็น
“คุณเมฆมีอะไรอีกหรือเปล่าครับ ถ้าไม่มีผมขอไปนอนครับ”
พูดจบตะวันฉายก็รีบเดินเข้าบ้านไปอย่างเร็ว พอเดินพ้นเมฆมาได้เธอก็เป่าปากโล่งอก ส่วนเมฆมองตามด้วยความสงสัย
“มันจะเยอะไปไหน ก็แค่บอกว่าจะไปหาเอวาแฟนหนู เอ๊ย แฟนผมก็จบ”
เมฆส่ายหน้าด้วยความระอาใจ
ยามเช้า หมอกเปิดประตูออกมาจากห้องในชุดนักเรียน โดยมีตะวันฉายเดินตามออกมา
“เดี๋ยว เรียกพ่อก่อน” หมอกบอก
หมอกเดินไปเคาะห้องเมฆ ตะวันฉายเดินตามไป
หมอกเคาะประตู “พ่อครับ...พ่อครับ”
เมฆเปิดประตูออกมาในสภาพนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียว ตะวันฉายเห็นก็สะดุ้งแล้วรีบหันหน้าหนีทันที
“หมอกเสร็จแล้วครับ” หมอกพูดกับเมฆ
เมฆยิ้ม “หมอกลงไปทานข้าวก่อนนะครับ เดี๋ยวพ่อตามลงไป”
“ไม่เอา หมอกจะรอลงไปกับพ่อครับ”
“งั้นหมอกมารอก่อนนะครับ พ่อขอสองนาที”
หมอกรีบเดินเข้าห้องเมฆ เมฆจะหันกลับไปแต่เห็นตะวันฉายยืนก้มหน้า
“ซัน” เมฆเอามือจับไหล่ตะวันฉาย
ตะวันฉายสะดุ้งแล้วรีบเบี่ยงหลบ “มีอะไรครับ”
“เข้ามารอในห้องสิ”
ตะวันฉายลังเลแล้วเดินเข้าไปยืนข้างๆหมอก เมฆไปหยิบเสื้อยืดมาสวม
“ซัน หยิบกางเกงยีนส์ในตู้ให้หน่อยสิ ตัวไหนก็ได้” เมฆบอก
ตะวันฉายแอบเบ้ปากแล้วหันไปที่ตู้เสื้อผ้าเห็นกุญแจเสียบอยู่ก็ตาโตทันที เธอรีบเดินไปที่ตู้แล้วเปิดออก ตะวันฉายเห็นเสื้อแขวนอยู่เรียงรายส่วนด้านล่างเป็นลิ้นชักต่างๆ เธอแอบเหลือบดูก็เห็นเมฆยังหวีผมอยู่ ตะวันฉายพยายามจะดึงลิ้นชักต่างๆ ให้เปิดแต่ก็เปิดไม่ได้ เธอแอบเอามือจับพวงกุญแจจะดึงออกจากประตูตู้
“ได้หรือยัง” เมฆถาม
“ตัวไหนก็ได้ใช่ไหมครับ” ตะวันฉายถามกลับ
“ก็ใช่น่ะสิ บอกแล้วไง”
ตะวันฉายจำใจปล่อยพวงกุญแจแล้วหยิบกางเกงในตู้ส่งให้เมฆ พอเมฆรับกางเกงไป ตะวันฉายก็เหม่อคิดพร้อมกับแอบมองไปทางพวงกุญแจที่คาอยู่ที่ประตูตู้
“อ่ะ...ฝากตากนี่ด้วย” เมฆพูด
ตะวันฉายหันกลับไปก็เห็นเมฆกระตุกปมผ้าเช็ดตัวออก ตะวันฉายตกใจจนอ้าปากเหวอ เมฆที่ใส่ บ๊อกเซอร์ไว้ยื่นผ้าเช็ดตัวให้ ตะวันฉายรับเอาไปตาก พอเดินกลับมาก็เห็นเมฆกำลังใส่กางเกงตะวันฉายจึงเขินจนทำอะไรไม่ถูก เมฆหวีผมที่หน้ากระจก แล้วเดินไปปิดตู้ล็อคเอากุญแจใส่กระเป๋ากางเกงแล้วมาเดินจูงมือหมอก
“ไปทานข้าวกันแล้วเดี๋ยวไปโรงเรียนกันนะครับ”
แล้วสองพ่อลูกก็เดินลงไป ตะวันฉายมองตามแล้วยิ้มร้าย
ตะวันฉายกำลังเอาเสื้อผ้าของหมอกใส่ในเครื่องที่อยู่หลังบ้าน เก่งถือตะกร้าของเมฆเดินมา
“เฮ้ย ไอ้ซันเดี๋ยวต้องทำอะไรบ้าง” เก่งถาม
“ก็ซักผ้าให้คุณหมอกครับ แล้วผมก็จะไปซักของผมเอง” ตะวันฉายบอก
“เออ...ดีเลย ฝากซักของคุณเมฆหน่อยสิ” เก่งบอก
“โห...พี่เก่ง อู้อีกแล้ว”
“เฮ้ย..อู้อะไร คิดดูสิถ้าซักสองรอบมันเปลืองแค่ไหน มาขนาดนี้แล้วก็ใส่ไปด้วยกัน แล้วเอ็งก็ออกแรงเอาตากคนเดียว ประหยัดทั้งน้ำไฟและแรงพี่ด้วย”
“ได้...ผมทำให้ แต่พี่เก่งตอบอะไรผมอย่างสิ”
“เอาอีกแล้วไอ้นี่ ชวนพี่นินทาเจ้านายประจำ ว่าแต่คราวนี้เรื่องอะไรล่ะ”
“ผมสงสัยน่ะ ทำไมคุณเมฆถึงต้องปิดตู้ลิ้นชักในห้องนอนด้วย”
“แกก็คงมีเอกสารสำคัญหรือเงินทองของเขาสิวะ” เก่งเดา
“ก็คงจะจริงนะพี่ ไม่เคยเห็นแกวางกุญแจทิ้งไว้ที่ไหนเลย ผมเองยังเพิ่งเห็นไอ้กุญแจนี่เมื่อเช้านี้เอง”
“โอ๊ย...ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก เวลาคุณเมฆเล่นดนตรีเพลินๆ พี่ก็เคยเห็นแกวางทิ้งไว้บนโต๊ะทำงานประจำ”
“เวลาแกเล่นดนตรีนี่ถึงกับลืมทุกอย่างเลยเหรอ”
“เอ้า...ก็เขาเป็นนักดนตรีนี่หว่า”
ตะวันฉายยิ้มกระหยิ่มด้วยความพอใจ
ตะวันฉายเดินกลับเข้ามาในห้อง แล้วเปิดตู้หยิบเป้ออกมา เธอหยิบก้อนดินน้ำมันจากเป้ออกมา
ตะวันฉายเอาดินน้ำมันใส่กระเป๋ากางเกงไว้ ระหว่างนั้นโทรศัพท์ก็สั่นตะวันฉายดูเบอร์แล้วรีบกดรับ“สวัสดีค่ะ”
เสียงบก. ดังจากปลายสาย “เป็นไงคะหายไปเลย ตกลงน้องจะส่งนิยายที่พี่ให้ปรับแก้ไหมคะ”
ตะวันฉายตกใจ “นี่พี่ บก.โทรเองเลยเหรอคะ” ตะวันฉายดีใจ “ส่งค่ะส่ง ซันส่งแน่ๆ”
“ถ้ายังไงก็รีบหน่อยนะคะ เพราะเร็วๆนี้พี่จะเริ่มทยอยส่งเรื่องที่พี่คัดรอบแรกให้กรรมการอ่านแล้ว”
“ค่ะ ซันจะเร่งเต็มที่เลยค่ะ ขอบคุณนะคะพี่”
ตะวันฉายกดวางสายด้วยสีหน้าเครียด แล้วก็รู้สึกปวดท้อง
“โอ๊ย...ให้มันได้อย่างนี้สิ ประดังประเดกันเข้ามา” ตะวันฉายกดโทรศัพท์โทรออก “เอวา...ช่วยฉันหน่อย”
เวลาผ่านไป เอวาส่งถุงกระดาษสีดำใบใหญ่ให้ตะวันฉายที่หน้าตาซีดเซียวอยู่ที่มุมลับตาคนแถวๆ บ้านเมฆ โดยที่นิคนั่งอยู่ข้างๆ
“อ่ะ โน้ตบุ๊ค ผ้าอนามัย กับยาแก้ปวดครบตามที่สั่ง”
“ขอบใจนะ” ตะวันฉายรับมา
“แกเนี่ยน้า ลืมของสำคัญอย่างงี้ได้ยังไง”
“โชคดีที่ไม่ได้เป็นไข้ด้วย ไม่งั้นแย่แน่”
“แกให้เอาโน้ตบุ๊คมาทำไม ตกลงแกจะอยู่ยาวเลยเหรอ” นิคถาม
“ตอนนี้ฉันจะเสียเวลาไม่ได้แล้ว ยังไงก็ต้องเริ่มแก้งาน”
“แต่แกยังไม่เจอพี่ธีร์เลยนี่”
“ไม่ต้องห่วงนะ ฉันกำลังจะได้ข้อมูลพี่ธีร์แล้ว”
“เหรอ...ยังไงอ่ะ”
“ก็วิธีโจรของเอวาไง” ตะวันฉายเอาดินน้ำมันมาให้เพื่อนดู “ฉันจะปั๊มกุญแจแล้วค้นตู้ในห้องนายนั่น”
“จะทำอะไรก็เร็วๆเข้าเถอะ ฉันไม่อยากมาแถวนี้บ่อยๆให้พี่เมฆสงสัยแบบคราวที่แล้วอีก” เอวาบอก
“เออน่า...ฉันก็อยากกลับไปเป็นคนสวยจะแย่อยู่แล้ว”
ตะวันฉายพูดจบก็ปวดท้องขึ้นมาอีก
“ฉันกลับก่อนดีกว่า”
“ไหวนะแก” เอวาถาม
“หายห่วง ฉันไม่ได้เพิ่งมีประจำเดือนครั้งแรกนะ”
พูดจบตะวันฉายก็เดินกุมท้องไป เอวากับนิคมองตามด้วยความเป็นห่วง
ตะวันฉายเดินตัวงอเข้ามาในห้องแล้วรีบเอาโน้ตบุ๊คเก็บใส่ในเป้ เธอหยิบกล่องผ้าอนามัยซ่อนในเสื้อพร้อมยาแล้วเดินออกไป พอเดินออกมาหน้าห้องเมฆก็เดินมาพอดี
“ซัน เย็นนี้ไม่ต้องทำอาหารนะ ฉันจะพาหมอกทานข้าวนอกบ้าน”
“ครับ”
ตะวันฉายเริ่มหน้าซีด
เมฆเห็นก็ถามขึ้น “เป็นอะไรหรือเปล่า”
“เปล่าครับ”
เมฆเห็นมือตะวันฉายอยู่ในเสื้อ
“แล้วมือเป็นอะไร”
“ผมปวดท้องครับ ขอตัวก่อนนะครับ”
พูดจบตะวันฉายก็เดินไป เมฆเดินตามทันที
ตะวันฉายเดินมาถึงหน้าห้องน้ำแล้วเปิดไม่ได้
ตะวันฉายเคาะเรียก “พี่เก่ง อยู่ในห้องน้ำเหรอ ออกมาก่อน”
เก่งเปิดประตูออกมาในสภาพนุ่งผ้าขาวม้าและตัวเปียก
“อะไรของเอ็งวะ” เก่งถาม
“ผมปวดท้องขอเข้าก่อน”
ตะวันฉายรีบแทรกแล้วดันเก่งออกแล้วปิดประตูทันที
“เฮ้ย...ไอ้ซัน เปิดก่อน พี่ยังอาบไม่เสร็จเลย”
เมฆเดินมาถึงหน้าห้องน้ำ
“ซันล่ะ” เมฆถามเก่ง
“เข้าห้องน้ำครับ”
เวลาผ่านไป ตะวันฉายเปิดประตูห้องน้ำออกมา ก็เจอเมฆกับเก่งยืนอยู่ เธอรีบยัดซองที่ใส่ผ้าอนามัยใส่กระเป๋ากางเกงทันที
“คุณเมฆทำไมมาอยู่นี่ครับ” ตะวันฉายถาม
“ก็ตามนายมาน่ะสิ เห็นแปลกๆ” เมฆบอก
“ผมท้องเสียน่ะครับ”
“แล้วทำไมเข้าห้องน้ำแป๊บเดียว” เมฆสงสัย
“เอ่อ....มันคงยังเป็นไม่มากครับ”
“ไปหาหมอไหม” เมฆถามต่อ
“ไม่ต้องหรอกครับ”
“งั้นเอายาไหม”
“ผมไปซื้อยามาแล้วครับ”
“ยาอะไร ขอดูหน่อย ไปซื้อมั่วซั่วมาหรือเปล่า”
ตะวันฉายอึกอัก “ไม่มั่วหรอกครับ ยานี้ผมเคยกินมาแล้ว” ตะวันฉายหาทางเอาตัวรอด “โอ๊ย ปวดอีกแล้ว ขอไปพักหน่อยนะครับ” ตะวันฉายรีบเดินไปทันที
เมฆและเก่งมองตาม
“อาการมันแปลกๆนะครับ” เก่งว่า
เมฆพึมพำเบาๆ “อาการแบบนี้จะใช่หรือเปล่า”
“คุณเมฆว่าอะไรนะครับ”
“อ๋อ...เปล่า ไม่มีอะไร”
ตะวันฉายในม่านเมฆ ตอนที่ 5 (ต่อ)
เมฆกำลังเล่นดนตรีอยู่ในห้อง บนโต๊ะมีพวงกุญแจวางอยู่ เมฆเล่นดนตรีไปสักพักแล้วก็จดเนื้อ หลังจากนั้นก็เล่นดนตรีต่อ เก่งเปิดประตูเข้ามา เมฆหันไปเห็นก็หยุดเล่น
“ขอโทษครับคุณเมฆ ผมจะเข้ามาทำความสะอาด”
“ไม่เป็นไร ฉันว่าจะพักพอดี”
เก่งเริ่มเสียบเครื่องดูดฝุ่น
“เก่ง แล้วซันมันเป็นไงบ้าง” เมฆถาม
“ก็เห็นมันนอนเงียบอยู่ในห้องเลยครับ”
“งั้นแกทำงานไป เดี๋ยวฉันจะไปดูซันมันหน่อย”
เมฆเดินออกไปจากห้อง เก่งเปิดเครื่องดูดฝุ่น
เมฆเดินมาหน้าห้องตะวันฉายแล้วเคาะเรียก
“ซัน...ซัน เป็นไงบ้าง”
เมฆรอสักพักแต่ก็ยังเงียบ เขาจึงเคาะใหม่
“ซัน...ได้ยินไหม” เมฆเคาะประตูอีก
เมฆเริ่มมีสีหน้าเครียด
“ซัน...” เมฆเรียกดังขึ้น “ซัน”
ขวดน้ำและยาแก้ปวดประจำเดือนที่ถูกแกะกินไปแล้ววางอยู่ข้างเตียง ตะวันฉายที่นอนหลับอยู่ต้องสะดุ้งเพราะได้ยินเสียงเคาะประตูที่ดังมาก ตะวันฉายรีบหยิบแว่นมาใส่แล้วเดินไปเปิดประตู เมฆเดินเข้ามา
“เป็นไงบ้าง” เมฆถาม
“ก็ดีขึ้นแล้วครับ”
“ฉันจะให้เก่งมันไปซื้อข้าวให้ จะเอาอะไร ข้าวต้มร้อนๆไหม”
“ก็ได้ครับ”
“งั้นนายไปนอนรอเลย”
ตะวันฉายเดินไปนอนที่เตียง เมฆเดินตามมาจนเห็นยาแก้ปวดประจำเดือน เขาหยิบขึ้นมาดูแล้วแอบยิ้มเจ้าเล่ห์
“นี่มันยาแก้ปวดประจำเดือนนี่”
ตะวันฉายตกใจ “เอ่อ...ใช่เหรอครับ”
“เป็นผู้ชายภาษาอะไรวะ ไม่เคยมีแฟนหรือไงถึงไม่รู้”
“มีครับ แต่ เอ่อ..ไม่เคยเห็น..เขากิน”
เมฆส่ายหน้า “แล้วตอนซื้อบอกเขาว่าอะไรถึงได้ยานี่มา”
“ก็บอกว่าปวดท้องครับ”
“สงสัยคนขายคงเห็นว่านายเหมือนผู้หญิงมั้ง” เมฆขำ
ตะวันฉายหน้าเสียแต่พยายามพูดกลบเกลื่อน
“ตกลงว่าไม่ใช่ยาแก้ปวดท้องเสียหรือครับ”
“แล้วนายอาการดีขึ้นไหมล่ะ” เมฆถาม
“ก็...นิดหน่อยครับ ผมคงถ่ายท้องไปหมดแล้วด้วย”
“ไม่รู้ว่ายาแปลกหรือนายแปลก ปวดท้อง ท้องเสียแต่กินยาแก้ปวดประจำเดือนแล้วหายได้”
เมฆเดินออกไป ตะวันฉายหยิบยามาดูแล้วก็แทบร้องไห้
เมฆส่งเงินให้เก่งที่ยืนอยู่ในห้องนั่งเล่น
“เดี๋ยวไปซื้อข้าวต้มให้ซัน แล้วค่อยกลับมาทำงานต่อ”
“แล้วอาการไอ้ซันมันเป็นไงบ้างครับ คุณเมฆไม่พาไปโรงพยาบาลหน่อยเหรอครับ”
“พาไปทำไม มันก็เป็นของมันทุกเดือน ทานยาไปเดี๋ยวก็น่าจะดีขึ้นแล้ว”
“โห...นี่คุณเมฆดูโรคมันออกเลยเหรอครับ งั้นไอ้ซันมันเป็นอะไรครับ”
เมฆยิ้ม “แกรีบไปซื้อข้าวเถอะ ป่านนี้มันหิวแย่แล้ว”
“เอ่อ..แล้วไอ้ซัน”
“ไอ้นี่...ถามอะไรนักหนา ไปได้แล้ว”
เก่งเดินออกไปอย่างงงๆ เมฆนึกถึงตะวันฉายแล้วขำ
“ฮึ...ผู้ชายรอบเดือน”
ยุทธการกับจ่าสม ซุ่มดูคนดำที่นั่งรอลูกค้าอยู่หน้าร้านขายของ โดยที่อีกคนหนึ่งยืนดูต้นทาง สักพักลูกค้าคนหนึ่งขี่มอร์เตอร์ไซค์มาจอดที่หน้าร้านแล้วส่งซิกให้ คนดำที่นั่งอยู่เดินออกมาส่งของให้ แล้วลูกค้าก็บึ่งมอเตอร์ไซค์ออกไปโดยเร็ว คนดำคนเดิมขยับไปยืนรอที่หน้าร้าน เหมือนจะรอใครอีกคนที่นัดหมายไว้
“สายของจ่ามันบอกไอ้นั่นแล้วใช่ไหมว่าเราจะมารับของ” ยุทธการถามจ่าสม
“ครับ....แต่พวกมันก็ไม่พูดถึงเปเปอร์เลยครับ”
“บางทีเราอาจจะได้รู้วันนี้”
จ่าสมสตาร์ทมอเตอร์ไซค์ ยุทธการซ้อนท้าย ก่อนจะขับตรงไปหาคนดำที่ยืนรออยู่
คนดำยืนรอลูกค้าอยู่ จ่าสมขี่มอเตอร์ไซตค์มาจอดตรงหน้า ยุทธการลงจากรถไปหาคนดำที่รออยู่
ยุทธการบอกรหัส “หลังคารั่วซึม”
คนดำพยักหน้ารับแล้วหยิบของออกมาเตรียมจะส่งให้ ยุทธการจะยื่นมือไปรับแต่คนดำดึงของกลับแล้วส่ายหน้า
“ค่าจ้างล่ะ”
ยุทธการหยิบเงินที่เตรียมไว้ยื่นให้คนดำ คนดำหยิบเงินแล้วจะดึงไป แต่ยุทธการยื้อไว้ไม่ยอมให้ คนดำมองหน้ายุทธการ
“นายบอกให้ถามเรื่องเปเปอร์” ยุทธการพูด
คนดำมองหน้ายุทธการด้วยความสงสัย
“แกรู้เรื่องนี้ด้วย” คนดำสงสัย
ยุทธการพยักหน้า “เท่าไร?”
คนดำยิ้มให้ยุทธการ ยุทธการรอคำตอบ คนดำหุบยิ้มแล้วดึงมือกลับไปก่อนจะจ้องยุทธการเขม็ง แล้วกระโดดถีบรถจนล้ม คนดำวิ่งหนีพร้อมกับเป่าปาก จ่าสมกับยุทธการลุกขึ้นได้ก็วิ่งตาม คนดำอีกคนรีบวิ่งมาเอาไม้ตีจ่าสม ยุทธการเข้าไปช่วย คนดำคนแรกกระโดดถีบยุทธการจนล้ม แล้วคนดำทั้งคู่ก็วิ่งขึ้นรถกระบะไปด้วยกัน
“พวกมันรู้ได้ไงว่าเราเป็นตำรวจ” จ่าสมงง
“คงเพราะเรารู้เรื่องเปเปอร์” ยุทธการบอก
ยุทธการกับจ่าสมพยุงกันขึ้นมอเตอร์ไซค์แล้วขี่ตามไป
ยุทธการล้างหน้าทำแผลที่แตกที่คิ้ว ระหว่างนั้นจ่าสมก็เดินเข้ามา
“สารวัตรเป็นไงบ้างครับ” จ่าสมถาม
“สบายมากจ่า ว่าแต่จ่าเถอะ วันนี้จะกลับไปพักผ่อนก็ได้นะ เดี๋ยวผมเขียนรายงานเอง”
“เอ่อ...สารวัตรครับ ถ้าจะขอนายว่ายังไม่ส่งรายงานได้ไหมครับ”
“ทำไมล่ะ”
จ่าสมส่งกระดาษให้ ยุทธการรีบเช็ดมือแล้วรับกระดาษมาดูแต่ก็ยังงง
“อะไรน่ะจ่า แผนที่บ้านใคร” ยุทธการงง
“ที่นี่เป็นบ้านเช่าเก่าของไอ้ดำสองคนที่เราตามอยู่ครับ”
“ก็ไหนจ่าบอกว่าเจ้าของเป็นผู้หญิงแก่ๆไง”
“ครับ เท่าที่สืบในตอนแรกก็คิดว่ามันคงเช่าเป็นที่กบดาน สายของผมตามไปดู แต่ตอนนี้มันเผ่นไปแล้ว”
“ขอเข้าค้นหรือเปล่า”
“ค้นไม่ได้ครับ เพราะยัยป้าเจ้าของบ้านก็หายไปด้วย”
“เฮ้ย...นี่หมายความว่า”
“พวกมันระวังตัวมาก ขนาดสร้างคนมาหลอกเรา”
“งั้นก็เจ้าของบ้านตัวจริงล่ะสืบหรือยัง” ยุทธการถาม
“ครับ เจ้าของชื่ออินฤดี สุรพรพงษ์ แต่ยังหาตัวไม่เจอครับ”
“จ่าสืบดูนะ ผมว่างานนี้ขบวนใหญ่เลย”
“ครับผม”
จ่าสมเดินออกไป ยุทธการดูชื่อในกระดาษ
“อินฤดี สุรพรพงษ์”
ตะวันฉายนอนเอามือกุมท้องด้วยความเซ็งอยู่บนเตียง
“โอ๊ยยย เมื่อไหร่จะหายปวดซักทีว่ะ ไม่เป็นอันทำอะไรกันพอดี”
ตะวันฉายหงุดหงิด
ทันใดนั้นสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ตะวันฉายถอนหายใจเพราะเซ็งหนักกว่าเดิม
“ไอ้ปากเป็ดแน่ๆ จุ้นจริงๆ เลย”
ตะวันฉายลุกขึ้นกุมท้องแล้วค่อยๆ เปิดประตูแต่ก็ไม่เห็นใคร พอก้มหน้าลงมาจึงเห็นว่าหมอกถือดอกไม้ดอกนึงยืนอยู่
“คุณหมอก”
“หมอกมาเยี่ยมพี่ซันครับ” หมอกบอก
ตะวันฉายยิ้มด้วยความดีใจ เธอนั่งลงแล้วรับมา
“ขอบคุณครับ”
“พี่ซันอยากหายเร็วๆ มั๊ยครับหมอกมีเวทมนต์นะ”
ตะวันฉายแกล้งทำเป็นตื่นเต้น
“เวทย์มนต์ยังไงหรอครับ”
หมอกยื่นหน้าไปใกล้ๆ ตะวันฉาย
“โอมเพี้ยง พี่ซันจงหายเดี๋ยวนี้”
ตะวันฉายแกล้งทำเป็นตัวสั่นดิ๊กๆ แล้วลุกขึ้น
“หายจริงๆด้วย คุณหมอกเก่งจังเลยครับ”
หมอกกระโดดโลดเต้นดีใจ “ไชโย พี่ซันหายแล้ว งั้นหมอกออกไปข้างนอกกับพ่อก่อนนะครับ”
“ครับผม ขอบคุณนะครับ”
ตะวันฉายกอดหมอกด้วยความรัก
เก่งกำลังกินอาหารอยู่ในครัว ตะวันฉายเดินเข้ามา
“เฮ้ย...เป็นไงบ้างวะ” เก่งถาม
“ดีขึ้นมากแล้วพี่”
“กินอะไรไหม พอดีวันนี้คุณเมฆกับคุณหมอกเขาไปทานข้าวนอกบ้าน เลยซื้อเป็ดย่างมาให้ อร่อยนะเว้ย”
เก่งกุลีกุจอตักข้าวให้
“ไม่ต้องเยอะนะพี่เก่ง ผมกินนิดเดียว”
เก่งเอาข้าวมาวางให้ ตะวันฉายลงมือกิน
“คุณเมฆนี่ก็เก่งยังกับหมอนะ บอกว่าเอ็งป่วยไม่นานจะหาย นี่ก็หายจริงๆไม่ต้องหาหมอ” เก่งว่า
ตะวันฉายชะงัก “จริงเหรอพี่”
เก่งพยักหน้ารับ ตะวันฉายหน้าเจื่อนไปทันที
ตะวันฉายเคาะประตูแล้วเปิดห้องเข้าไปก็เห็นเมฆกำลังเช็ดตัวให้หมอกอยู่
“เป็นไง หายแล้วเหรอ” เมฆถาม
“ครับ”
“ที่จริงนายพักก่อนก็ได้นะ พรุ่งนี้ค่อยทำงานก็ได้” เมฆบอก
“ผมไม่เป็นไรแล้วก็ทำงานดีกว่าครับ”
“หมอก งั้นตอนพ่อไม่อยู่คืนนี้ อย่าดื้ออย่าซนนะครับ”
“หมอกเล่นชกมวยกับพี่ซันได้ไหมครับ”
“ไม่ได้ครับ พี่ซันไม่สบาย อยากเล่นอะไรต้องรอพี่ซันหายก่อนนะ”
หมอกหน้ามุ่ย “ก็ได้ครับ”
“เดี๋ยวนายแต่งตัวให้หมอกแล้วพาไปทานข้าวนะ ฉันจะไปเตรียมตัวไปทำงาน”
เมฆจะเดินออกไปแล้วนึกได้จึงเดินย้อนกลับมา
“ลืมบอกไป นายเป็นผู้ชายแล้วทานยานั่นแล้วหาย วันหลังฉันท้องเสียจะขอลองบ้างนะ”
ตะวันฉายยิ้มรับเจื่อนๆ
นิคกับเอวาเดินออกมาจากโรงเรียนของเอวา
“แกหิวไหม” เอวาถาม
“ก็หิวนะ ไปหาอะไรกินกันก่อนก็ได้” นิคบอก
ระหว่างนั้นโทรศัพท์ของเอวาก็ดังขึ้น เอวาหยิบมาดูแล้วเผลอยิ้มจนนิคสงสัย
“หวัดดีค่ะพี่ยุทธ....อ๋อ...เพิ่งเลิกสอนค่ะ....ได้ค่ะยังมีเวลาอีกนานเลย....ไม่เป็นไรค่ะ งั้นเดี๋ยวเราไปเจอกันนะคะ”
เอวากดวางสายแล้วยิ้มอารมณ์ดี
“พี่ยุทธบอกมีเรื่องอยากคุย” เอวาบอก
นิคทำร่าเริงกลบเกลื่อน “ว้า...ฉันก็ต้องทานข้าวคนเดียวน่ะสิ”
“ได้ไง แกไปกับฉันนั่นแหล่ะ พี่ยุทธเขาก็ชวนแกด้วย เผื่อไงก็ทานข้าวด้วยกันเลย”
“ไม่เอาหรอก ฉันไปที่ผับแล้วไปขอข้าวแม่ครัวทานดีกว่า” นิคบอก
“ไอ้นิค แกอย่ามาเยอะนะ ฉันรู้นะว่าแกคิดจะเปิดโอกาสให้ฉันกับพี่ยุทธใช่ไหม นี่...ฉันบอกแล้วไงว่ามันไม่มีอะไร แล้วที่พี่ยุทธบอกมีเรื่องจะคุย แกก็น่าจะรู้ว่าต้องเป็นเรื่องไอ้ซัน ไป..ไปเป็นเพื่อนฉันหน่อย”
“เฮ้ย...ก็แกบอกฉันว่าไม่มีอะไรฉันก็เชื่อแกนะ แต่ที่ฉันไม่ไปเพราะว่า...ฉันจะไปโอนตังค์ให้แม่ เอาเป็นว่าแกไปเถอะ คราวหน้าฉันค่อยไปแจม”
พูดจบนิคก็รีบเดินแยกไปเลย
“เฮ้ย...นิค เดี๋ยวสิ”
เอวามองค้อนตามแล้วเดินแยกไปอีกทาง
นิคที่เดินไปแล้วหันกลับมามองก็เห็นเอวาเดินอย่างรีบเร่งไป นิคถอนใจแล้วตัดใจก้มหน้าเดินไป
ยุทธการกับเอวาเดินคุยกันที่สวนสาธารณะ
“เมื่อคืนนี้พี่เจอกับซันแล้ว” ยุทธการเล่า
เอวายิ้ม “สบายใจแล้วใช่ไหมคะ”
ยุทธการส่ายหน้า “พี่ว่าซันเขาแปลกๆ”
“เอ่อ...พี่ยุทธหมายถึง...เอ่อ...ทรงผมหรือเปล่าคะ”
“เรื่องแต่งตัวพี่ไม่ได้คิดอะไรหรอก ที่พี่ว่าแปลกก็เพราะซันเขาดูเหมือนไม่สนใจพี่เลย”
“คงไม่มั้งคะ ซันมันกำลังสนใจแต่เรื่องงาน เห็นว่า บก. เขาก็เร่งอยากให้ส่งเร็วๆน่ะค่ะ”
“แย่จังเลยนะ ซันกลับมาอยู่ใกล้พี่ แต่ทำไมมันเหมือนห่างกันยิ่งกว่าตอนที่เขาอยู่ที่เกาะซะอีก”
“เอวาว่า....ถ้าซันเสร็จงานเมื่อไหร่คงมีเวลาให้พี่ยุทธมากขึ้น”
ยุทธการยิ้ม “ไม่เป็นไร แต่ช่วงนี้พี่คงต้องกวนเอวาบ่อยหน่อยนะ พี่ไม่อยากจะคุยเรื่องซันกับเพื่อนคนอื่น นอกจากนิคกับเอวา”
“เอ...งั้นเอวาต้องขอเก็บเงินค่าปรึกษาปัญหาหัวใจพี่ยุทธซะหน่อยแล้ว”
“ได้เลย งั้นวันนี้ขอเลี้ยงไอติมเป็นค่าปรึกษางวดแรกแล้วกันนะ”
เอวายิ้มรับ ยุทธการเดินแยกไปซื้อไอศกรีมที่ร้าน เอวามองตามแล้วถอนใจ
“เอวาเอ๊ย...แกนี่มันนางฟ้าตัวจริงเลยนะเนี่ย”
เช้าวันใหม่ อิงฟ้าเข็นรถเข็นออกมาจากสนามบิน ตรงมาที่ลิมูซีนที่จอดรออยู่ด้านนอก อิงฟ้าขึ้นรถ
“บริษัท Travel T นะครับ” คนขับรถถาม
อิงฟ้าถอดแว่นกันแดดออก “ค่ะ..”
คนขับรถขับออกไปตามคำสั่งของอิงฟ้า
อิงฟ้าเปิดประตูบริษัทเข้ามา วิวัฒน์ที่กำลังคุยกับพนักงานอยู่ตรงนั้นเงยหน้าขึ้นมาเห็นอิงฟ้าพอดี
วิวัฒน์ประหลาดใจ “อิงฟ้า”
อิงฟ้ายิ้มให้วิวัฒน์
“ค่ะ..พี่วัฒน์ ไม่เจอกันเสียนานนะคะ”
อิงฟ้ามองไปรอบๆแล้วยิ้มให้วิวัฒน์
“นี่..คงเป็นฝีมือเมฆนะคะ..ธีร์ไว้ใจคนไม่ผิดจริงๆ”
“คุณคงคิดว่ามันจะล้มไม่เป็นท่าไปพร้อมกับการจากไปของไอ้ธีร์หรือ” วิวัฒน์ถาม
“อย่าพูดถึงอดีตเลยค่ะ..เมฆอยู่มั้ยคะ”
“ไม่อยู่”
“เหรอคะ..ถ้าอย่างนั้นช่วยโทรตามให้หน่อยได้มั้ยคะ บอกว่าฟ้ามารอที่นี่”
“รอไปก็เสียเวลาเปล่า”
อิงฟ้าแปลกใจ “ทำไมล่ะคะ”
“พี่บอกได้แค่นี้ล่ะครับ แล้วทางที่ดีพี่ว่าคุณอย่ามายุ่งกับบริษัทของผมอีกเลยจะดีกว่า”
อิงฟ้าโกรธ “นี่พี่วัฒน์กำลังไล่ฟ้านะคะ”
“ถ้าทราบอย่างนั้น คุณจะยังอยู่ทำไมล่ะครับ” วิวัฒน์ถาม
“แต่ฟ้าเป็นภรรยาพี่ธีร์”
“อดีตภรรยาครับ”
อิงฟ้าค้อน “ถึงอย่างนั้นพี่วัฒน์ก็ควรให้เกียรติฟ้าบ้าง”
“ฟ้ายังมีเกียรติเหลือให้คนที่นี่นึกถึงอีกเหรอ”
อิงฟ้าเถียงไม่ออก เธอสวมแว่นดำแล้วเดินสะบัดออกไป วิวัฒน์มองตามแล้วทำหน้าสยองเหมือนเจอผี เขารีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกทันที
โทรศัพท์มือถือของเมฆที่วางทิ้งไว้บนโต๊ะดังขึ้น ตะวันฉายที่ทำงานอยู่ใกล้ๆ ได้ยินเสียงโทรศัพท์ก็หันไปมอง พอเห็นหน้าจอเป็นหน้าผู้ชายก็ยิ้มเยาะ
“ผู้ชาย...เชอะ..คู่ขาล่ะสิ”
ตะวันฉายจะก้มดูชื่อใกล้ๆ แต่เมฆมาเดินมาหยิบโทรศัพท์ไปก่อน
“เอ่อ...ผมกำลังจะหยิบโทรศัพท์ไปให้คุณเมฆครับ” ตะวันฉายแก้ตัว
เมฆมองหน้าตะวันฉายแบบเคืองๆ ก่อนจะเดินออกไปคุยโทรศัพท์ที่หน้าบ้าน
ทันใดนั้นเก่งกับหมอกในชุดกีฬาก็วิ่งถือลูกบอลเข้ามา
“พี่ซัน ไปเตะบอลกัน” หมอกชวน
“เอ่อ...ไม่ดีกว่าครับ คุณหมอกเล่นกับพี่เก่งเถอะ”
“เฮ้ยได้ไง ก็ไม่ครบคนสิ” เก่งว่า
“ครบคน...สามคนเนี่ยนะ” ตะวันฉายถามกลับ
“พ่อก็จะเล่นด้วย เป็นสองทีมๆละสองคน” หมอกบอก
“ไปเร็วไอ้น้อง ไปวอร์มรอคุณเมฆกันก่อน”
“เอ่อ...แต่ว่า”
เก่งกับหมอกรีบลากตะวันฉายออกไปทันที
เมฆคุยโทรศัพท์กับวิวัฒน์ที่หน้าบ้าน
เมฆประหลาดใจ “อะไรนะ!!!...อิงฟ้ากลับมา พี่วัฒน์รู้ได้ยังไงครับ”
วิวัฒน์คุยโทรศัพท์อยู่ที่บริษัท
“เขามาตามหานายที่บริษัท แต่พี่ไม่ได้ติดต่อให้นาย เธอก็โมโหกลับไป นายคงไม่โกรธพี่นะ แต่พี่อดใจไว้ไม่ไหวจริงๆ”
เมฆอึ้ง “ครับ”
“ถ้าไงพี่คิดว่าเขาต้องเจอตัวนายกับหมอกแน่ๆ ก็เลยโทรมาเตือน”
เมฆเงียบไป
“เมฆ แล้วนายจะทำไงต่อ” วิวัฒน์ถาม
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ”
เมฆวางสายจากวิวัฒน์แล้วก็มีสีหน้าเครียดขึ้นมาทันที
รถลีมูซีนมาจอดที่หน้าบ้านของธีรภพ อิงฟ้าเดินลงมาจากรถแล้วเดินดูรอบๆ เธอทำหน้าแปลกใจ
อิงฟ้าเดินไปที่ประตูบ้านก็เห็นว่ามีโซ่คล้องกุญแจอยู่
“เมฆไม่ได้อยู่ที่นี่เหรอ?” อิงฟ้ายิ้มๆ “เมฆคงจะทำใจไม่ได้แน่ๆ”
อิงฟ้าเดินกลับไปขึ้นรถลีมูซีน แล้วรถลีมูซีนก็แล่นออกไป
หมอกกำลังเตะฟุตบอลอยู่ที่สนามหน้าบ้านกับตะวันฉาและเก่งย เมฆยืนเหม่อมองไปที่หน้าบ้าน ตะวันฉายสังเกตเห็น
“ยืนนิ่งเป็นหุ่นอย่างนั้น..สงสัยจะคิดๆไม่ตกเรื่องผู้ชายแน่ๆ” ตะวันฉายพูดเบาๆ กับตัวเอง
หมอกเตะฟุตบอลมากระแทกโดนหัวตะวันฉายอย่างจัง ตะวันฉายหันไปโวยวาย
“โอ๊ย !!! คุณหมอก..หัวพี่ซันไม่ใช่โกล์บอลนะครับ”
หมอกหัวเราะ “ก็หมอกจะให้พี่ซันโหม่งเข้าโกล์น่ะ”
ตะวันฉายเก็บบอลขึ้นมา แล้วส่งคืนให้หมอก
ตะวันฉายบ่นกับตัวเอง “เออ..ชั้นผิดเอง”
หมอกตั้งบอลเตรียมจะเตะอีก ตะวันฉายคิดอะไรบางอย่างออกจึงหันไปมองเมฆอย่างเจ้าเล่ห์
“แอ๊บนัก..เดี๋ยวจะทำให้สาวแตกเลย”
ตะวันฉายแอบขยับไปยืนทางเมฆ แล้วตั้งท่ารับบอล
“เตะมาเลยครับคุณหมอก”
หมอกถอยไปตั้งหลักก่อนจะวิ่งเข้ามาเตะฟุตบอลไปทางตะวันฉายอย่างแรง ตะวันฉายแกล้งทำเป็นรับพลาด ลูกบอลจึงพุ่งไปกระแทกเมฆที่ยืนเหม่ออยู่จนหน้าหงาย
“อุ้ย..พี่ซันรับพลาด” ตะวันฉายแกล้งพูด
ตะวันฉายแอบยิ้มเยาะ ที่เห็นเมฆคลำหัวตัวเองป้อยๆ
“ไอ้ซัน..เล่นอะไรของนาย ตกลงเล่นบอลเป็นหรือเปล่าเนี่ย”
“ก็คุณหมอกเล่นเตะซะแรง..ใครจะกล้ารับล่ะครับ แล้วผมก็ไม่รู้ว่าคุณหมอกจะเตะแม่นขนาดนี้”
เมฆพูดกับตะวันฉาย “นายนั่นแหละผิด ไม่ต้องไปโทษหมอก”
“คุณหมอก..พี่ซันโดนคุณพ่อใส่ร้าย ช่วยพี่ซันด้วยนะครับ”
เมฆหยิบลูกบอลขึ้นมาปาใส่ตะวันฉาย ตะวันฉายหลบไม่ทันจึงโดนบอลเข้าไปเต็มๆ
“พูดมากกว่านี้ เดี๋ยวจะโดนซ้ำ ไอ้ซัน”
ตะวันฉายโกรธจนพูดไม่ออก เธอจะเดินกลับเข้าไปในบ้าน
“แล้วนั่นแกจะไปไหน” เมฆถาม
“ก็..จะเข้าไปเอาน้ำหวานให้คุณหมอกครับ”
เมฆพยักหน้ารับ ตะวันฉายเดินเข้าบ้านไป
ตะวันฉายเข้าไปเตรียมน้ำหวานให้หมอก แต่ก็อดมองไปทางหน้าบ้านไม่ได้
ตะวันฉายบ่นกับตัวเอง “สงสัยจะอาการหนักนะ เล่นด้วยก็ไม่เล่นด้วย ทีหลังฉันอยู่เฉยๆดีกว่า” ตะวันฉายคลำหัว “อย่างน้อยก็ไม่เจ็บตัว”
รถลีมูซีนของอิงฟ้าแล่นมาจอดที่หน้าบ้านเมฆ อิงฟ้าเปิดประตูลงมาจากรถแล้วมองไปที่บ้านของเมฆก่อนจะยิ้มออกมา อิงฟ้ากดออดหน้าบ้านแล้วยืนรอ
เก่งที่กำลังเล่นบอลกับหมอกได้ยินเสียงออดเลยหยุดเล่นแล้วจะไปเปิดประตู
“ไม่ต้องเก่ง..เดี๋ยวฉันไปเปิดเอง แกเล่นกับหมอกไปเถอะ” เมฆบอก
เมฆมองไปที่ประตูหน้าบ้านเหมือนรู้ว่าใครมา แล้วเขาก็เดินออกไป
อิงฟ้ายืนรอคนมาเปิดประตู สักพักประตูก็เปิดออก อิงฟ้าเห็นว่าเป็นเมฆ เธอยิ้มให้เขา แต่เมฆทำหน้าเฉยและเปิดประตูทิ้งไว้ ตะวันฉายเดินถือถาดใส่แก้วน้ำหวานออกมาหาหมอกที่เล่นอยู่กับเก่ง ตะวันฉายเห็นเมฆยืนคุยกับอิงฟ้า เธอก็ทำหน้าสงสัย
“อุ้ย..ใครกันน่ะพี่เก่ง”
“เอ..พี่ก็ไม่เคยเห็นหน้าเหมือนกันว่ะ” เก่งบอก
“คุณหมอกรู้จักมั้ยครับ” ตะวันฉายถาม
หมอกมองไปที่อิงฟ้าก่อนจะส่ายหน้า ตะวันฉายยิ่งสงสัย เมฆกับอิงฟ้ายืนประจันหน้ากันโดยยังไม่มีใครเริ่มพูดกับใครก่อน
เมฆกับอิงฟ้ายังยืนประจันหน้ากัน เมฆมองคออิงฟ้าแล้วเห็นสร้อยแต่ก็ทำเป็นไม่สนใจ อิงฟ้าเห็นเมฆอึ้งก็ยิ้มออกมาแล้วพูด
“เมฆ ฟ้ากลับมาแล้วค่ะ”
อิงฟ้าเดินเข้าไปประชิดตัวเมฆแล้วโอบกอดเมฆ
ตะวันฉาย หมอก และเก่งที่ยืนอยู่ที่สนามถึงกับอ้าปากค้าง
“บร๊ะเจ้า!!!” เก่งรีบเอามือปิดตาหมอก หมอกรีบแกะมือออกทันที
เมฆยืนนิ่งแล้วก็พยายามแกะมืออิงฟ้าออก
“ปล่อยเถอะฟ้า”
อิงฟ้ามองหน้าเมฆแล้วยิ้มยั่วยวน “เมฆอยากให้ฟ้าปล่อยเมฆไปจริงๆเหรอ”
เมฆชะงักมองหน้าอิงฟ้า ทันใดนั้นหมอกก็วิ่งเข้ามายืนจ้องเมฆกับอิงฟ้า ตะวันฉายกับเก่งรีบวิ่งตามมา
“ใครครับพ่อ” หมอกถาม
พอเห็นหมอก เมฆก็รีบแกะมืออิงฟ้าอีกครั้ง อิงฟ้าเองก็อึ้งจึงยอมปล่อยเมฆเพราะเห็นหมอก อิงฟ้ากับหมอกจ้องหน้ากัน
อิงฟ้าอึ้งเพราะทำตัวไม่ถูก “เมฆ....เด็กคนนี้คือ....”
“ไปคุยกันที่อื่นเถอะ”
เมฆดึงอิงฟ้าที่ยืนนิ่งจะไปขึ้นรถแต่หมอกก็มาดึงแขนเมฆไว้
“พ่อจะไปไหน ไม่เล่นบอลกับหมอกเหรอครับ”
“เดี๋ยวพ่อกลับมานะครับ” เมฆพูดกับตะวันฉาย “ซันฝากดูหมอกด้วย”
ตะวันฉายเดินไปจูงมือหมอก เมฆดันอิงฟ้าให้ขึ้นรถแล้วเมฆก็ขึ้นตามไป เก่งเดินมาสมทบกับตะวันฉายและหมอก
“เอ็งว่าคุณผู้หญิงนั่นเขาเป็นใครวะไอ้ซัน” เก่งถาม
ตะวันฉายมองตามรถที่วิ่งไปแล้วหันกลับมามองหน้าหมอกด้วยความสงสัย
อิงฟ้ากับเมฆนั่งกันเงียบในรถลีมูซีน อิงฟ้าถอนใจแล้วตั้งสติเธอพยายามยิ้มให้เมฆเพื่อสร้างบรรยากาศ พร้อมกับยื่นมือไปจับมือเมฆ
“เมฆจะพาฟ้าไปไหน” อิงฟ้าทำเป็นนึก “ไปร้านประจำของเรานะ ฟ้าจำได้ ลงมาจากเชียงใหม่ทีไร เมฆชอบพาฟ้าไปร้านนั้นทุกที แหม นึกถึงเมนูแล้วหิวเลย”
เมฆดึงมืออิงฟ้าออก “ไปแถวๆนี้แหล่ะ”
“เมฆ...เราไม่เจอกันตั้งนาน น่าจะทำอะไรที่ชวนให้คิดถึงอดีตของเราดีกว่าไหม”
“อดีตของเรามันไม่น่าจดจำขนาดนั้นหรอกฟ้า” เมฆบอก
อิงฟ้าจ๋อยและพูดไม่ออก
ตะวันฉายในม่านเมฆ ตอนที่ 5 (ต่อ)
เมฆกับอิงฟ้ายืนคุยกันอยู่ที่สวนสาธารณะ อิงฟ้ายื่นหนังสือ Far Eastern Economics Review ให้เมฆแต่เมฆไม่รับ
“ฟ้าติดตามข่าวเมฆมาตลอด เมฆเก่งมากที่กอบกู้บริษัทของพี่ธีร์ได้ดี จนติดอันดับบริษัทที่มีการบริหารจัดการดีเด่นด้านธุรกิจการท่องเที่ยว ฟ้าขอแสดงความยินดีด้วย”
“ธุระของฟ้ามีแค่นี้ใช่ไหม” เมฆถาม
อิงฟ้าเดินเข้ามาจ้องหน้าเมฆด้วยรอยยิ้มที่หวานที่สุด
“เมฆ เรามาเริ่มต้นกันใหม่ได้ไหม ฟ้ารู้ว่าฟ้าทำผิดกับเมฆไว้เยอะ แต่ตลอดเวลา..ฟ้าไม่เคยลืมเมฆเลย เมฆจำสร้อยเส้นนี้ได้ใช่ไหม”
อิงฟ้าจับมือเมฆมาจับที่สร้อยคอ เมฆมองด้วยสายตาเย็นชาแล้วดึงมือกลับ
“ทุกอย่างที่เมฆเคยทำให้ฟ้า มันยังมีค่าอยู่เสมอ” อิงฟ้าบอก
“ไม่จริงหรอก ฟ้าไม่เคยเห็นค่าคนจากการกระทำเท่ากับเงินทองหรอก”
อิงฟ้าอึ้ง
เมฆยิ้มเยาะ “ยินดีด้วยนะ ในที่สุดฟ้าก็หาจี้ราคาแพงมาใส่กับสร้อยจนได้ ดูแล้วคงจะแพงกว่าสร้อยมาก”
อิงฟ้าจ๋อย “เมฆ..”
“ผมกลับล่ะ”
อิงฟ้ารีบบอก “ขอให้ฟ้าไปอยู่ที่บ้านเมฆได้ไหม ฟ้าจะได้อยู่กับลูก”
เมฆส่ายหน้า “เขาไม่ใช่ลูกของฟ้า เขาเป็นลูกของผม และเราก็มีกันเพียงสองคนพ่อลูก เราอยู่กันได้โดยไม่ต้องมีฟ้า”
“เมฆ...เมฆจะเกลียดฟ้าก็ได้ แต่ขอว่าอย่าให้ลูกต้องเกลียดฟ้าไปด้วยเลยนะ อย่างน้อยฟ้าก็อยากแก้ไขในสิ่งที่เคยทำผิดกับเขาไว้”
เมฆฟังแล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจหันหลังเดินกลับ อิงฟ้ารีบพูดไล่หลัง
“ลูกของฟ้าไม่เกี่ยวอะไรกับปมในใจของเมฆนะ”
เมฆชะงักแล้วหันกลับไปหาอิงฟ้าทันที
“ฟ้าพูดอะไร?”
“ฟ้าพูดความจริงไง แต่เมฆล่ะยอมรับและจะอยู่กับมันได้หรือเปล่า”
อิงฟ้าเห็นเมฆนิ่งก็เดินมาหาแล้วจับมือ
“ฟ้าต้องการลูก และลูกก็ต้องการฟ้า” อิงฟ้าบอก
เมฆมองอิงฟ้าด้วยสีหน้านิ่งก่อนจะดึงมือตัวเองออก
หัวค่ำ หมอกในชุดนอนเล่นเกม PS 3 กับเก่งแล้วชนะ
“เย้...ชนะอีกแล้ว” หมอกดีใจ
“เชิญคร๊าบบบ ผู้ชนะ”
เก่งทำเป็นม้าให้หมอกขี่ไปรอบๆห้อง ตะวันฉายที่นั่งดูอยู่หัวเราะขำแล้วก็นึกได้
“พี่เก่ง เดี๋ยวผมฝากดูคุณหมอกหน่อยนะครับ จะเอาเสื้อผ้าคุณหมอกที่รีดไปเก็บ”
เก่งโวยวาย “เฮ้ย ได้ไงวะซัน นี่มันหน้าที่เอ็งนะ”
“เอ่อ...ผมขอโทษ งั้นไม่ไปก็ได้”
“จะบ้าเหรอ ไม่ไปแล้วใครจะเก็บเสื้อผ้าคุณหมอก”
“ตกลงจะให้ผมทำไงเนี่ย”
“คือพี่จะฝากเอ็งเอาเสื้อผ้าคุณเมฆไปด้วย ส่วนคุณหมอกนี่เดี๋ยวพี่ยอมเหนื่อยเล่นเกมกับแกเอง ไม่ต้องขอบใจหรอก” เก่งพูดกับหมอก “คุณหมอกครับ มาสู้กันใหม่คราวนี้พี่เก่งไม่ยอมแน่ๆ”
เก่งกับหมอกเล่นเกมส์ต่อ ตะวันฉายส่ายหน้าด้วยความระอาใจ
ตะวันฉายยกเสื้อผ้าเข้ามาในห้องเมฆแล้วเปิดตู้แขวนเสื้อต่าง เธออดไม่ได้ที่จะดึงลิ้นชักต่างๆแต่ก็เปิดไม่ออก
“หืมมมม...อย่าให้ฉันปั๊มกุญแจได้นะ ฉันจะเปิดแล้วสแกนให้ละเอียดเลย”
ตะวันฉายจะเดินออก แต่พอมองไปที่โต๊ะในห้องก็สะดุดตากับพวงกุญแจ ตะวันฉายรีบเดินไปหยิบดูทันที
ตะวันฉายดีใจ “อ๊ายยย ไม่ต้องปั๊มให้เสียเวลาแล้ว”
เวลาผ่านไป ตะวันฉายนั่งหน้าตู้ค้นลิ้นชักต่างๆที่เปิดได้จนเหนื่อย
“บนนี้ก็มีแต่โฉนดแล้วก็โน้ตเพลงอีกแล้ว นี่นายนั่นไม่คิดจะเก็บอะไรที่เกี่ยวกับพี่ธีร์ไว้บ้างเลยเหรอ”
ตะวันฉายล็อคลิ้นชักในตู้เสื้อผ้าด้วยความอ่อนใจ แล้วจะเอากุญแจไปวางคืนแล้วเธอก็นึกได้จึงกลับมาเปิดตู้ก่อนจะนับลิ้นชัก แล้วนับกุญแจในมือ
“เกินมาสองดอกนี่มันไขที่ไหน”
ตะวันฉายครุ่นคิด
ตะวันฉายเดินกลับมาดูที่ห้องนั่งเล่นก็ยังเห็นเก่งกับหมอกนั่งเล่นเกมส์อยู่ ตะวันฉายมองไปรอบๆห้องก็ไม่เห็นว่ามีอะไรที่กุญแจไขได้ เธอจึงแอบเดินออกไปจากห้องเงียบๆโดยที่เก่งกับหมอกไม่รู้ตัว
ตะวันฉายเดินเข้ามาในห้องทำงานของเมฆ แล้วเดินไปดูตามตู้ต่างๆ
“พวกนี้เราก็ดูหมดแล้ว เฮ้อ...มันเหลือที่ไหนอีกวะ”
ตะวันฉายหันไปเจอโต๊ะทำงาน เธอยิ้มแล้วเดินไปเสียบกุญแจไขลิ้นชักก็พบว่าไขได้ ตะวันฉายดึงลิ้นชักออกมาจึงเห็นอัลบั้มรูปเล่มไม่ใหญ่นักวางอยู่ในลิ้นชัก เธอหยิบขึ้นมาดู เมื่อเปิดออกก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นรูปถ่ายของเมฆกับอิงฟ้าหอมแก้มกันตอนไปเที่ยวภูเขาทางเหนือ และมีการ์ดเล็กๆสอดไว้ที่รูปนี้ ตะวันฉายหยิบมาอ่าน
“ขอบคุณสำหรับความรู้สึกดีๆที่เมฆมีให้ฟ้ามาตลอด ฟ้ารู้ว่าเราจะรักกันตลอดไป”
“ไม่ธรรมดาแล้วงานนี้” ตะวันฉายรื้อต่อ แต่ไม่มีอะไรจึงไปไขตู้อื่นต่อ แล้วเธอก็เจอรูปอิงฟ้าถูกเก็บอยู่เต็มทั้งเป็นกรอบรูป เป็นอัลบั้ม เป็นรูปถ่ายกับเมฆสมัยเป็นนักเรียนจนเป็นนิสิต
“ที่แท้ผู้หญิงคนนั้นก็เป็นเมียนายปากเป็ดนี่เอง” ตะวันฉายคิดอะไรได้ก็รีบเปิดหาต่อ “ทำไมไม่มีรูปแต่งงานเลย หรือว่าอยู่กันเฉยๆ”
ตะวันฉายหาต่อ เธอมองไปเห็นซองใหญ่สีน้ำตาลซองหนึ่ง ตะวันฉายดึงซองออกมาแล้วกำลังจะเปิดแต่ได้ยินเสียงกริ่งเสียก่อน ตะวันฉายถือซองไปดูที่หน้าต่างก็เห็นเก่งกับหมอกวิ่งไปเปิดประตู เมฆเดินเข้ามาแล้วยิ้ม หมอกกระโดดกอด ตะวันฉายรีบวิ่งไปปิดไฟในห้องทันที
“โอ๊ย...ตาบ้านี่ชอบอ่านนิยาย ดูละครหรือเปล่าเนี่ย นางเอกจะเจอความลับทีไรดันกลับมาทุกทีเลย”
ตะวันฉายรีบเอาข้าวของเรียงเก็บแล้วดูซองในมืออย่างครุ่นคิด เธอ พยายามจะเอาใส่ในเสื้อ ในกางเกง แต่ซองก็ใหญ่เกินไป
“ไว้คราวหน้าก็ได้วะ”
ตะวันฉายเอาซองใส่ในลิ้นชัก แต่ต้องยกรูป ยกอัลบั้มออกมาเพื่อใส่ซองไปใหม่จนวุ่นวาย
เมฆอุ้มหมอกเดินมาตามทางหน้าบ้าน เก่งเดินตาม
“เมื่อกี้ฉันเหมือนเห็นเหมือนไฟในห้องทำงานมันเพิ่งปิด” เมฆบอก
เก่งตกใจ “ผี เหรอครับ”
หมอกกอดเมฆแน่น “พ่อ...หมอกกลัวผีครับ”
เมฆลูบหน้าเก่งหนึ่งที “ไอ้บ้า ผีที่ไหนล่ะ เพ้อเจ้อ” เมฆพูดกับหมอก “ไม่ต้องกลัวนะครับหมอก ผีไม่มีหรอก อาจจะเป็นพี่ซันก็ได้”
“ไม่น่านะครับ ซันมันเอาเสื้อขึ้นไปเก็บข้างบน จะมาที่ห้องทำงานคุณเมฆทำไม”
“ฉันคงตาฝาด” เมฆบอก
เมฆอุ้มหมอกเดินเข้าบ้านไป เก่งมองไปที่ห้องทำงานแล้วขนลุกก่อนจะรีบวิ่งตามเมฆกับหมอกไป
เมฆอุ้มหมอกเดินเข้าบ้านมาก็เจอกับตะวันฉายที่กำลังจะขึ้นด้านบนเพื่อเอากุญแจไปเก็บ
“ซัน ทำอะไรอยู่” เมฆถาม
ตะวันฉายรีบเอากุญแจซ่อนได้ทัน
“กำลังจะขึ้นไปเตรียมให้คุณหมอกแปรงฟันนอนครับ” ตะวันฉายตอบ
“เมื่อกี้เข้าไปในห้องทำงานหรือเปล่า”
“ใช่ครับ ผมเข้าไปหาเผื่อมีหนังสือนิทานใหม่ให้คุณหมอกครับ เพราะที่มีอยู่อ่านหมดแล้ว”
เมฆจ้องหน้าตะวันฉายจนตะวันฉายเริ่มใจไม่ดี
“ตอนนี้ก็รู้แล้วสิว่า ห้องนั้นไม่มีหนังสือนิทาน” เมฆบอก
“ครับ”
“งั้นก็พาหมอกไปอาบน้ำสิ”
“แล้วคุณเมฆล่ะครับ”
เมฆงง “ฉัน...ทำไม”
“วันนี้คุณเมฆไม่ไปเล่นดนตรีเหรอครับ” ตะวันฉายถาม
“ฉันหยุดทุกวันอาทิตย์ไง อะไรวะลืมเหรอ”
“อ๋อ...วันนี้วันอาทิตย์นั่นเอง”
เมฆมองตะวันฉายอย่างงงๆ แล้วจะเดินไปต่อแต่ตะวันฉายพูดขึ้น
“วันอาทิตย์ทั้งที คุณเมฆไม่อยากพาคุณหมอกไปแปรงฟันเหรอครับ”
หมอกรีบบอก “หมอกอยากแปรงฟันกับพ่อครับ”
“แล้วนายจะทำอะไร ยังมีงานเหลือเหรอ” เมฆถาม
“เอ่อ...คือ...ผมจะไปเตรียมที่นอนให้คุณหมอกไงครับ ระหว่างคุณเมฆพาคุณหมอกแปรงฟัน ผมก็รีบไปจัดที่นอนจะได้ไม่เสียเวลาไงครับ โถ...ดูคุณหมอกสิครับท่าทางง่วงเชียว”
หมอกสวนทันที “หมอกยังไม่ง่วงสักหน่อย”
ตะวันฉายรู้สึกเซ็งที่หมอกไม่รับมุก พอมองหน้าเมฆก็เห็นเมฆยิ้มกวน
“ตกลงนายไม่ต้องโยนงานให้ฉันแล้วนะ” เมฆพูด
ตะวันฉาย เมฆและหมอกเดินขึ้นมาถึงโถงชั้นสอง เมฆเดินเข้าห้องไป หมอกก็เดินเข้าห้องตัวเอง ตะวันฉายหยิบกุญแจจากกระเป๋ากางเกงมาดูเพราะคิดไม่ตกว่าจะทำยังไงดี หมอกเปิดประตูห้องออกมา ตะวันฉายรีบเก็บกุญแจ
“มาหรือยัง” หมอกถาม
ตะวันฉายถือแปรงสีฟันกับหลอดยาสีฟันไว้ แต่ในใจระทึกเพราะกลัวต่างๆนานา
ตะวันฉายพึมพำ “ทำไงดีวะ”
หมอกกำลังรอแปรงสีฟันที่ตะวันฉายกำลังบีบยาใส่ให้ หมอกงงที่เห็นตะวันฉายไม่บีบยาให้ซะที
“อ้าว พี่ซันแปรงได้หรือยัง”
“อ่อ ครับ” ตะวันฉายบีบยาสีฟันใส่แปรง แต่ในใจก็ยังกังวลอยู่ อยู่ๆ เธอก็ยกแปรงขึ้นมาแปรงฟันตัวเอง หมอกยืนมองงงๆ ก่อนจะสะกิดเรียก
“พี่ซัน นั่นแปรงหมอก”
ตะวันฉายตกใจทั้งๆ ที่แปรงยังคาปากตัวเอง เธอมองหน้ากับหมอกแล้วทั้งสองก็ร้องออกมาพร้อมกัน “อี๋....”
อิงฟ้านั่งที่มุมหนึ่งในห้องพักของโรงแรม กระเป๋าต่างๆ ของเธอยังไม่ได้เปิดออก อิงฟ้านั่งครุ่นคิดในขณะที่มือจับสร้อยคอและจี้แล้วเธอก็ยิ้มพอใจ
“ฟ้าจะทำทุกวิถีทางให้เมฆกลับมารักฟ้าให้ได้”
ตะวันฉายพาหมอกมานอนแล้วห่มผ้าให้ แล้วเธอก็ได้ยินเสียงเปิดประตู
“เอ๊ะ...เสียงห้องคุณเมฆใช่ไหมครับ”
หมอกพยักหน้ารับ “พ่อออกจากห้อง”
ตะวันฉายรีบเดินไปแง้มประตูดู เธอเห็นเมฆเปิดประตูห้องนอนธีรภพแล้วเดินเข้าไป ตะวันฉายยิ้มพอใจ
“คุณหมอกครับ เดี๋ยวพี่มานะ”
“จะไปไหน” หมอกถาม
“เอ่อ...พี่ขอไปอาบน้ำแป๊บนะครับ”
“ไม่เอา...เล่านิทานก่อน”
“แป๊บเดียวเองนะครับ เดี๋ยวพี่มานะ”
ตะวันฉายจะเปิดประตูเพื่อเดินออกไป แต่หมอกร้องลั่น
“ไม่เอา จะฟังนิทาน มาเร็วๆสิ” หมอกตั้งท่าจะตะโกน “พ่อคร๊าบ...”
ตะวันฉายรีบกระโดดเอามือไปปิดปาก
“ได้ๆๆๆ ครับ เดี๋ยวพี่เล่าให้ฟัง”
ตะวันฉายค้อนใส่หมอก หมอกยักคิ้วกวน
เมฆเดินมาในห้องของธีรภพ แล้วไปยืนต่อหน้ารูปของธีรภพ เสียงของอิงฟ้าดังขึ้นมาในความคิดของเมฆ
“ลูกของฟ้าไม่เกี่ยวอะไรกับปมในใจของเมฆนะ”
“ฟ้าพูดอะไร?”
“ฟ้าพูดความจริงไง แต่เมฆล่ะยอมรับและจะอยู่กับมันได้หรือเปล่า”
เมฆนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต
เมฆกับอิงฟ้านอนกอดกันหลับอยู่ในเต้นท์ที่กางอยู่บริเวณภูเขาทางภาคเหนือที่หมอกลงจัด เมฆลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วมองอิงฟ้าที่หลับอยู่ในอ้อมกอดของเขา เมฆค่อยๆลุกขึ้นมามองอิงฟ้าที่นอนหลับ เมฆยิ้มมีความสุขแล้วหอมแก้มอิงฟ้า อิงฟ้ารู้สึกตัวตื่นขึ้น
“ตื่นหรือยังคนดีของผม ไปดูพระอาทิตย์ยามเช้าด้วยกันไหม” เมฆชวน
อิงฟ้ายิ้ม “ไปสิ”
“เดี๋ยวผมไปต้มน้ำให้ฟ้าล้างหน้านะ”
อิงฟ้ากับเมฆลุกขึ้นนั่ง เมฆจะลุกออกไป แต่อิงฟ้าดึงไว้ เมฆชะงัก อิงฟ้ายิ้มแล้วหอมแก้มเมฆ
“ฟ้ารักเมฆนะ”
เมฆยิ้ม “ผมก็รักฟ้า”
เมฆลุกเดินออกจากเต็นท์ อิงฟ้ามองตามแล้วยิ้มอย่างมีความสุข
.
เมฆกับอิงฟ้านั่งห่มผ้าห่มกอดกันดูทะเลหมอกยามเช้าอย่างมีความสุข
“สวยจังเลยนะเมฆ”
“ปีที่แล้วตอนผมเพิ่งมาถึงที่นี่ เวลาไม่มีเรียนหรือไม่ต้องเล่นดนตรี ผมจะขี่รถเครื่องขึ้นมากางเต้นท์นอนดูดาวแล้วก็คิดถึงฟ้า”
“วันนี้ฟ้าก็มาหาเมฆให้หายคิดถึงแล้วนี่”
เมฆถอนใจ “แต่เราก็ต้องอยู่ห่างกันอีกตั้งสามปีกว่าจะจบ”
อิงฟ้าขำ “เห็นไหมล่ะ อยากเลือกเรียนไกลๆเอง สมน้ำหน้า”
เมฆหอมหน้าผากฟ้า
“ฟ้า...รออีกหน่อยนะ ถ้าเรียนจบเราแต่งงานกันนะ”
“เมฆเลี้ยงฟ้าไหวเหรอ ฟ้าจะไม่ทำงานนะ ฟ้าจะเป็นแม่บ้าน อยู่บ้านคอยดูแลเวลาเมฆไปทำงานเล่นดนตรีกลับมาบ้านดีไหม”
“ได้สิ ผมจะทำงานเลี้ยงฟ้าเอง”
“ถ้าเมฆไม่รวยฟ้าไม่แต่งด้วยนะ”
“งั้นผมจะเริ่มเล่นดนตรีเก็บเงินเยอะๆไว้แต่งงานกับฟ้า ผมสัญญา”
“ฟ้ารักเมฆที่สุดของที่สุดเลย”
เมฆยิ้มแล้วหยิบกล้องถ่ายรูปออกมาถ่ายภาพเขาหอมแก้มอิงฟ้า
ในเหตุการณ์ปัจจุบัน เมฆยังยืนมองรูปธีรภพ เสียงของฟ้าดังขึ้นมาในความคิดของเมฆอีกครั้ง
“ฟ้าพูดความจริงไง แต่เมฆล่ะยอมรับและจะอยู่กับมันได้หรือเปล่า”
เมฆน้ำตาไหลต่อหน้ารูปธีรภพ
“พี่ธีร์ครับ ผมจะทำยังไงดี”
ตะวันฉายนั่งอ่านนิทานให้หมอกฟัง
ตะวันฉายอ่าน “เจ้าชายเห็นท่าไม่ดีก็รีบดึงดาบศักดิ์สิทธิ์ออกมาทันที”
ตะวันฉายหยุดอ่านแล้วมองที่หมอกก็เห็นว่าหมอกหลับไปแล้ว
ตะวันฉายถอนใจ “กว่าจะหลับได้”
ตะวันฉายรีบวางหนังสือแล้วหยิบกุญแจออกมา เธอรีบลุกจากเตียงไปเปิดประตูเบาๆ พอจะเดินออกไปก็เห็นเมฆเดินออกมาจากห้องของธีรภพพอดี ตะวันฉายรีบกลับเข้ามาแล้วแอบดู เธอเห็นเมฆเดินเข้าห้องตัวเอง ตะวันฉายถอนใจเซ็ง เธอมองกุญแจในมือพลางครุ่นคิดอย่างหนัก
เมฆเดินเข้ามาแล้วไปเปิดตู้เพื่อหยิบผ้าเช็ดตัวจะเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำ พอเดินผ่านตรงที่วางกุญแจแล้วเขาก็รู้สึกแปลกๆ จึงเดินกลับมาดูใหม่แต่ก็ไม่เห็นกุญแจ เมฆหาๆไปทั่วแต่ก็ยังไม่เจอ เมฆหาจนหมดทุกซอกทุกมุมแต่ก็ไม่พบ
เมฆเดินออกจากห้องทันที สักพักตะวันฉายก็เปิดห้องเมฆแล้วเดินเข้าไป เธอเอากุญแจออกมาปั๊มดอกหนึ่งกับดินน้ำมัน ตะวันฉายยิ้มร้ายก่อนจะวางกุญแจไว้ที่เดิมแล้วก็นึกเปลี่ยนใจจึงหยิบมาถือแล้วมองไปรอบๆห้อง
เมฆเดินกลับเข้ามาที่ห้องทำงาน แล้วมองหากุญแจ เขาดึงตามตู้ ตามลิ้นชักต่างๆ แต่ก็ไม่พบ เมฆถอนใจแล้วเดินออกไป เมฆเดินหาไปตามทางเดินขึ้นชั้นสอง เขาเจอต้นไม้หรือกล่องต่างๆก็เปิดดู แล้วเดินหาต่อ
เมฆกลับมาในห้องอีกครั้ง เขาถอนหายใจด้วยความหนักใจ เมฆนั่งกลุ้มอยู่ที่ปลายเตียง เขาคิดแล้วบังเอิญเหลือบเห็นกุญแจตกอยู่ข้างถังขยะใต้โต๊ะ
“เฮ้ย” เมฆเดินไปหยิบ “อยู่นี่ได้ไงเนี่ย”
เมฆงง
รถเมฆที่มีหมอกนั่งไปด้วยแล่นออกจากบ้านไป ตะวันฉายที่มาเปิดประตูกำลังจะลากประตูปิด แต่ก็เห็นบางอย่างจึงหยุดชะงัก ตะวันฉายเห็นรถลีมูซีนของอิงฟ้าจอดซุ่มอยู่ ก่อนที่รถของอิงฟ้าจะแล่นตามรถของเมฆไป ตะวันฉายออกมายืนมองตามหลังรถอิงฟ้าไปด้วยสีหน้าสงสัย
“นี่เขาเล่นอะไรกัน”
รถเมฆแล่นมาจอดหน้าโรงเรียนของหมอก แล้วรถของอิงฟ้าก็มาจอดต่อรถเมฆ เมฆลงจากรถแล้วเดินไปจูงหมอก แต่เขาก็ต้องตกใจที่หันกลับมาเห็นอิงฟ้าเดินเข้ามา
อิงฟ้านั่งลงคุยกับหมอก “สวัสดีครับคนเก่ง”
หมอกยกมือไหว้ “หวัดดีครับ”
อิงฟ้ายิ้ม “แหม น่ารักจัง ชื่ออะไรครับ”
“หมอกครับ”
เมฆรีบดึงอิงฟ้าขึ้นมา
เมฆกระซิบ “จะทำอะไร”
“ก็ไปส่งลูก....”
“ผมบอกแล้วไงว่าเขาไม่ใช่...” เมฆเห็นหมอกมองตาแป๋วก็หยุดพูด
“พ่อครับ หมอกเข้าโรงเรียนได้หรือยัง” หมอกถาม
“งั้นเราเข้าไปด้วยกันนะ” อิงฟ้าบอก
อิงฟ้าจะจูงมือหมอกแต่หมอกดึงแขนออก
“พ่อบอกว่าอย่าให้คนที่ไม่รู้จักจูงมือ เดี๋ยวเขาจับไปเป็นขอทาน”
อิงฟ้ากระอักกระอ่วนเพราะไปต่อไม่ถูกได้แต่ยืนดูหมอกวิ่งเข้าไปหาเพื่อนๆ
นักเรียนร้องเพลงชาติควบคู่ไปกับเสียงเพลงจากโรงเรียนจนจบ เด็กๆทยอยกันเข้าห้อง เมฆกับอิงฟ้ายืนดูหมอกเดินเข้าห้องเรียนไปกับเพื่อนๆ หมอกหันมาโบกมือให้เมฆก่อนเดินเข้าไปในห้องเรียน
“แกน่ารักจังเลยนะ” อิงฟ้าบอก
เมฆไม่สนใจจะเดินหนี แต่อิงฟ้าดึงแขนไว้
“เมฆ...อย่าบังคับให้ฟ้าต้องทำอะไรรุนแรงเลย”
“หมายความว่ายังไง”
“ถ้าเมฆไม่ต้องการฟ้าแล้ว ฟ้าก็จะไป แต่ฟ้าจะขอเอาหมอกไปด้วย”
เมฆได้ฟังก็ขบกรามแน่นด้วยความโกรธ
“อิงฟ้า”
“อย่าให้เราสองคนต้องตั้งทนายคุยกันเลยนะ”
เมฆกับอิงฟ้าจ้องหน้ากัน
พงษ์พัฒน์กับมยุรีนั่งหันหน้ามาทางกล้อง พงษ์พัฒน์แบ่งหูฟังกับมยุรีขณะกำลังSkypeกับเกริกไกรและสายรุ้งที่แบ่งหูฟังกันคนละข้างเหมือนกัน
“แกไม่ต้องห่วงหนูซันหรอก เจ้ายุทธน่ะมันคอยตามดูแลไม่ห่างอยู่แล้ว ลองมันไม่ดูสิ ฉันนี่แหล่ะจะจัดการสารวัตรให้ดู” พงษ์พัฒน์บอก
“เออ...ขอบใจว่ะเกี๊ยง ได้ยินอย่างนี้ค่อยสบายใจหน่อย เพราะยัยซันน่ะไม่เห็นค่อยเล่าอะไรเลย ไปกรุงเทพฯคราวนี้ดูมันลึกลับซับซ้อนไงไม่รู้ นี่ถ้าไม่รู้จากแกว่ายุทธคอยดูอยู่ ฉันคงคิดว่าลูกหนีออกจากบ้าน” เกริกไกรว่า
“แบบนี้แหล่ะค่ะ ตามวัยของเขา ตอนนี้เขาเป็นแฟนกัน มีอะไรก็คงคุยกันเอง พ่อแม่อย่างเราน่ะเด็กๆเขาไม่ปรึกษาแล้วค่ะ มันไม่ใช่ยุคเขา” มยุรีบอก
“ยังไงก็ฝากบอกตายุทธหน่อยแล้วกันว่าเร่งเครื่องหน่อย อาเกริกกับอารุ้งน่ะเชียร์เต็มที่”
“ตายแล้วพ่อนี่” สายรุ้งตีแขน “ลูกเราเป็นผู้หญิงนะ เก็บอาการบ้างก็ได้”
“ไม่ต้องมาเหนียมกันแล้วค่ะคุณเกริกคุณรุ้ง ทางนี้ก็เหมือนกัน ถ้าไม่ได้หนูซันเป็นสะใภ้คุณพงษ์กับรีก็คงไม่ยอมเหมือนกัน” มยุรีบอก
“เอาเป็นว่าตอนนี้แกไอ้เกริกไปเตรียมคิดเลยว่าจะเรียกสินสอดเท่าไหร่ ตอนสู่ขอจะได้คุยกันง่ายหน่อย” พงษ์พัฒน์พูด
แล้วพ่อแม่ของทั้งสองครอบครัวก็หัวเราะกันอย่างมีความสุข
ยุทธการนั่งงงต่อหน้าพงษ์พัฒน์ มยุรีในร้านอาหาร ขณะที่พนักงานเอาอาหารมาเสิร์ฟเต็มโต๊ะ
“คุณพ่อกับคุณแม่สั่งมาเสียเยอะอย่างนี้ ผมไม่มีเวลาทานให้หมดหรอกนะครับ ต้องรีบกลับไปทำงาน” ยุทธการบอก
“เออ..พ่อข้าราชการตัวอย่าง เมืองไทยมีคนไม่โกงเวลาทำงานอย่างลูกเยอะๆ คงได้เจริญเป็นประเทศโลกที่หนึ่งแน่”
ยุทธการหัวเราะ “แล้วคุณพ่อกับคุณแม่มีธุระสำคัญอะไรหรือเปล่าครับ อยู่ๆก็นัดกินข้าวอย่างนี้”
“ก็เรื่องหนูซันน่ะสิ เมื่อไหร่จะพามาหาแม่กับพ่อซะที คิดถึงจะแย่อยู่แล้ว” มยุรีว่า
“นั่นสิ นี่ถ้ายังพาหนูซันมาไม่ได้ พ่อกับแม่จะเชิญฝ่ายหนูซันมาที่นี่แล้วคุยกันเรื่องการแต่งงานให้รู้เรื่องไปเลยดีไหม”
ยุทธการอึ้ง “เอ่อ...อย่าเพิ่งดีกว่าครับ”
“จะให้รออะไรอีกจ๊ะพ่อลูกชาย”
“คือ....ให้ผมกับซันได้คุยเรื่องนี้กันก่อนนะครับ” ยุทธการบอก
“ได้...แต่ยังไงเอาหนูซันมาพบพ่อกับแม่ก่อน เร็วที่สุดด้วย”
ยุทธการมองหน้าพ่อแม่ที่ส่งสายตาคาดหวงปนกดดันมาให้ ก็เหนื่อยใจ
เก่งนั่งเล่นอูคูเลเล่และใส่หมวกที่มีดอกไม้คล้องคอ เขาเต้นไปร้องไปรอบๆห้องครัวประหนึ่งว่าเป็นนักร้องฮาวาย ตะวันฉายเดินเข้าห้องครัวมาเห็นเก่งก็ไม่สนใจ เธอเดินไปเปิดตู้กับข้าวแล้วก็สงสัยจึงเดินกลับมาหาเก่ง
“พี่เก่ง” ตะวันฉายเรียก เก่งยังไม่สนใจตะวันฉายเรียกดังขึ้น “พี่เก่ง”
“เฮ้ย...นี่เอ็งมีมารยาทในการดูคอนเสิร์ตหรือเปล่าวะ รู้ไหมว่าไม่ควรขัดศิลปิน มีอะไร?”
“นี่มันเที่ยงกว่าแล้ว พี่ไม่จัดอาหารให้คุณเมฆเหรอ?”
“คุณเมฆบอกพี่ว่ามื้อกลางวันแกจะไม่กิน”
“ทำไมล่ะพี่ เมื่อเช้าก่อนไปส่งคุณหมอกแกก็ไม่ได้กินนี่”
“เอ็งจะสงสัยอะไรนักหนาว่า คุณเมฆไม่กินก็ดีออกเอ็งก็ไม่ต้องทำกับข้าว เรากินเป็ดย่างของคุณเมฆนี่แหล่ะ แล้วก็เอาค่ากับข้าวมาแบ่งกัน เป็นไงแผนนี้ดีไหม อร่อยจัง ตังค์หารสอง”
ตะวันฉายฟังแล้วก็รีบเดินออกไปจากครัว เก่งมองตามด้วยความงุนงง
“เฮ้ย...ไอ้ซัน จะเก็บค่าข้าวคนเดียวหรือไงวะ”
เมฆนั่งแต่งเพลงอยู่ในห้องทำงานโดยฟังเสียงดนตรีเดโมแล้วใช้ดินสอเขียนบนกระดาษ แต่พอเขียนลงไปได้ไม่กี่คำเขาก็โมโหจึงขยำกระดาษปาทิ้งแล้วลุกเดินไปดูวิวที่หน้าต่าง ตะวันฉายเดินมาแอบดู พอเมฆหันมาตะวันฉายก็หลบ แต่เมฆก็เห็นพอดี
“มีอะไรก็เข้ามา ไปยืนหลบทำไม”
ตะวันฉายค่อยๆโผล่มา
“คือผมจะมาถามว่าวันนี้คุณเมฆยังไม่ทานข้าวเลยเหรอหรือครับ”
“ฉันไม่หิว”
“ทั้งวันเนี่ยนะครับ”
“ทำไม เกี่ยวอะไรกับนาย” เมฆเดินมาจ้องหน้า “เป็นห่วงฉันเหรอ”
ตะวันฉายหัวเราะกลบเกลื่อน “ผมไม่ได้ห่วงอะไรหรอกครับ แต่ที่ถามก็เพื่อความแน่ใจ เพราะว่าผมจะเอาเป็ดย่างที่เตรียมไว้ให้คุณเมฆมาทานกับพี่เก่ง”
เมฆกับตะวันฉายจ้องหน้ากัน ระหว่างนั้นโทรศัพท์มือถือของเมฆก็ดังขึ้น เมฆเดินไปหยิบมาดูเห็นเป็นเบอร์แปลกๆก็รีบหันหลังแล้วกดรับสาย
“สวัสดีครับ”
ตะวันฉายทำท่ากำหมัดขึ้นเหมือนอยากจะชกเมฆด้วยความหมั่นไส้ แต่ก็เปลี่ยนใจมาทำท่าตบหัวเมฆรัวๆจากด้านหลัง พอจะเดินออกไปก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงเมฆพูดสายด้วยเสียงเข้ม
“เอาเบอร์ผมมาจากไหน..........คุณไม่ควรโทรมาอีกนะฟ้า....ไม่ว่าจะต้องตั้งกี่ทนาย จะฟ้องร้องกันกี่ศาล ผมก็ไม่ยอมให้คุณใกล้หมอก”
เมฆกดวางสายอย่างอารมณ์เสีย ตะวันฉายที่ยืนอยู่ด้านหลังตัดสินใจหันกลับมาคุย
“คุณผู้หญิงนั่นเป็นแม่คุณหมอกเหรอครับ”
เมฆหันกลับมาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว “จะไปกินข้าวไม่ใช่เหรอ ไปสิ”
เมฆจะเดินหนีออกจากห้องแต่ตะวันฉายพูดขึ้นมา
“คุณเมฆนี่เห็นแก่ตัวนะครับ”
เมฆชะงักแล้วหันกลับมาจ้องหน้าตะวันฉายอย่างเอาเรื่อง
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคนนอก”
“แล้วใครอีกครับที่คุณเมฆไม่อยากให้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ คุณหมอกเหรอครับ ผมเพิ่งทราบว่าแม่กับลูกไม่ควรจะเกี่ยวข้องกัน”
“ที่ฉันทำก็เพราะหวังดีกับหมอก”
“คุณหมอกขอคุณแล้วเหรอครับ?” ตะวันฉายถาม เมฆอึ้ง “ผู้ใหญ่มีปัญหากัน แต่เด็กต้องรับผลของปัญหาเพียงเพราะผู้ใหญ่อ้างว่าหวังดี เปลี่ยนคำว่าหวังดีเป็นทำดีต่อกันทั้งคุณและคุณแม่คุณหมอก มันไม่ดูจะเป็นการให้ความหวังที่ดีกับคุณหมอกเหรอครับ”
“ซัน...ถ้านายไม่อยากไปจากที่นี่ ก็อย่าล้ำเส้นฉัน”
ตะวันฉายถอนใจ “ผมขอโทษครับ ผมแค่อยากให้คุณคิดถึงความรู้สึกคุณหมอกไม่ใช่เอาแต่คิดถึงแต่ความรู้สึกตัวเองโดยอ้างความหวังดีบังหน้า”
ตะวันฉายเดินออกจากห้องไป เมฆถอนใจด้วยความเครียดแล้วมองไปที่รูปหมอกที่ติดอยู่ในห้องทำงานของเขา