เสือสมิง ตอนที่ 8
จ่าชิตพาภราดรกับประเดิมมาที่บ้าน
“ตามสบายนะหมอ บ้านผมเอง ไม่มีใครกล้ามายุ่งหรอก”
“ขอบใจนะจ่า”
“ไม่เป็นไรหรอก มันหน้าที่ของตำรวจอยู่แล้ว”
ประเดิมแซว
“นี่จ่ายังคิดว่าตัวเองเป็นตำรวจอยู่อีกหรือ ผมเห็นเมาทั้งวันนึกว่าเขาไล่ออกแล้ว”
จ่าชิตกระดกเหล้าเข้าปาก
“ปากหรือนั่น เดี๋ยวปั๊ดจับยัดคุกข้อหาปากหมาซะนี่”
ประเดิมงง
“มีด้วยหรือข้อหานี้”
จ่าชิตไม่สนใจประเดิมหันไปแขวะภราดร
“ความรักนี่มันยิ่งใหญ่จริงๆ...ชาวบ้านพวกนี้กำลังขวัญเสีย มีคนตายทุกคืน”
ภราดรตกใจ
“เสือหรือ...”
“ใช่...เห็นเขาพูดกันว่าคืนนี้จะมีการทำพิธีขอขมาเจ้าแม่หน้าทองเรื่องที่เขาบอกว่าหมอเป็นตัวซวยนั่นแหละ เพื่อรักษาขวัญชาวบ้าน”
ภราดรครุ่นคิด
“ตามสบายนะผมไปเข้าเวรก่อน”
จ่าชิตเดินออกไป ประเดิมหันมาถามภราดร
“เอาไงหมอ”
“ผมจะอยู่” ภราดรตัดสินใจ
จ่าชิตมาที่โรงพักเห็นว่าทุกคนทำงานกันเรียบร้อยไม่เหมือนทุกวัน จนเขาสงสัย
“เป็นไงวะ วันนี้ดูเรียบร้อยกันผิดหูผิดตา หมวดสมรักษ์มาแล้วหรือ” จ่าชิตทักนายสิบตำรวจคนหนึ่ง
นายสิบตำรวจคนนั้นหน้าเสีย ก้มหน้าก้มตาทำงานแล้วบุ้ยใบ้ให้จ่าชิตดูข้างหลัง
“ถามทำเป็นไม่ตอบ เดี่ยวปั๊ดสั่งขังซะนี่”
เสียงศักดามาจากข้างหลัง
“ผมจะสั่งขังจ่าก่อนมั้ง...”
จ่าชิตรู้สึกคุ้นหูจึงหันไปดู มองอย่างแปลกใจ
“ผู้กองศักดา...”
ศักดายิ้มยียวน จ่าชิตไม่กล้าเพราะเป็นนายเก่าแต่แสดงท่าทางไม่ชอบ
“ไม่ได้เจอกันซะนานนะจ่า...ยินดีที่ได้เจอกันอีก”
“ทางที่ดีไม่ต้องมาเจอกันก็ได้...ผู้กองมาเยี่ยมหรือ”
“เปล่า...ผมมาประจำการที่นี่”
จ่าชิตขำแทบไม่เชื่อหู
“หูผมฝาดหรือเปล่า หรือว่าวันนี้ผมเมาเร็วกว่าปกติ...ผู้กองจะมาประจำที่นี่ ย้ายไปเสวยสุขในจังหวัดเสียตั้งนาน ทำไมอยู่ดีๆกลับมาบ้านป่าอีกล่ะ”
ศักดาจ้องหน้าจ่าชิต
“ทางจังหวัดส่งผมมาปิดคดีเสือใจ”
จ่าชิตรู้ทัน
“ทางจังหวัดหรือเสี่ยรงค์กันแน่...ผู้กอง”
ศักดาแม้จะมีอำนาจใหญ่กว่าแต่ก็เกรงฝีมือจ่าชิต แล้วเปลี่ยนเรื่อง
“ผมมาตามคำสั่งจ่าจะคิดยังไงก็ช่าง นี่หมวดสมรักษ์ไปไหน”
จ่าชิตเงียบไม่มีคำตอบ เพราะก็ยังสงสัยว่าสมรักษ์ไปไหน
แววกับแก้วจัดวางไม้ฟืนกองโตอยู่ที่ลานกว้างหน้ากระท่อม สมรักษ์กับจงใจเดินเข้ามา
“หายดีแล้วหรือแก้ว” สมรักษ์ทักทาย
“ค่อยยังชั่วแล้วจ้ะหมวด”
“ให้ผมช่วยนะครับน้าแวว” สมรักษ์เดินเข้ามาใกล้
แววพยักหน้ายิ้มๆ มองสมรักษ์อย่างเอ็นดู
“ได้สิ ยังมีอีกกอง ยังไม่ได้ผ่าเลย”
สมรักษ์ตรงไปเอาฟืนวางบนแท่นไม้ แล้วสับทีเดียวขาด
“ไม่เลวนี่หมวด แต่ให้มันว่องหน่อยได้ไหม” จงใจแหย่
แววขัดขึ้น
“น้าก็ไม่เห็นว่าจะช้าตรงไหนเลยนี่ หนูจงใจก็อย่าไปดุเขาสิ เดี๋ยวเขาไปแล้ว ใครจะช่วยล่ะ”
จงใจหน้าเสียเมื่อนึกได้ว่าอีกไม่นานสมรักษ์จะต้องกลับไป แต่ตอบเฉไฉไป
“ก็หินไงล่ะน้า หินอยู่ทั้งคนจะไปกลัวอะไร”
“ไอ้เจ้านั่นน่ะเรอะ จะช่วยอะไรได้ วันๆก็ไม่รู้ว่าหายหัวไปไหน ไม่ค่อยจะโผล่มาให้ได้เห็นหน้าค่าตากันเลยล่ะ”
ทันใดนั้นเสียงหินดังเข้ามาอย่างร้อนรน
“แม่ แม่จ๋า...แม่...”
แววก้มเก็บเศษไม้เล็กๆต่อไป อย่างไม่สนใจจะหันมองตามเสียง
“ตายยากจริง ไอ้ลูกคนนี้”
หินวิ่งกระหืดกระหอบ หน้าตาตื่น ตรงเข้ามา
“แม่...แม่...แม่!!”
“อะไรของเอ็งวะไอ้หิน โดนเสือมันไล่งับมาหรือไง”
“ไอ้แดง ลูกน้านิด ที่อยู่ท้ายหมู่บ้านเราน่ะ มันไม่สบาย ตัวมันร้อนจี๋ เห็นว่าเป็นมาตั้งแต่เมื่อคืน ฉันก็เลยวิ่งมาบอกแม่นี่แหละ ให้ไปดูมันหน่อย”
แววแปลกใจ
“ไอ้แดงเหรอ ไอ้เด็กผู้ชายตัวเล็กนั่นใช่มั้ย มันเพิ่งจะห้าขวบเองนี่ ไม่สบายเป็นอะไรกันอีกล่ะ”
แววรีบวางมือจากกองไม้เล็กๆตรงหน้า
“เออ รอเดี๋ยว...รอเดี๋ยว ล้างไม้ล้างมือก่อน จะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
จงใจหันไปบอก
“เดี๋ยวฉันเก็บตรงนี้ให้เองนะจ๊ะน้า...”
แววเดินออกไป หินนึกบางอย่างได้
“อ๊ะ...เกือบลืมไปเลย พี่จงใจ พ่อเสือบอกว่าให้พี่กับคุณตำรวจไปพบที่ลานฝึกซ้อมด้วย”
จงใจไม่ค่อยสบายใจ
“ให้ไปพบตอนไหน”
“ตอนนี้ครับพี่”
“จะให้ไปพบเรื่องอะไร หิน รู้รึเปล่า”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันพี่ว่าเรื่องอะไร แต่ที่รู้ๆเนี่ยนะ คือว่าตอนนี้ที่ลานฝึกซ้อมน่ะ เต็มไปด้วย” หินทำท่าชก ขึ้นเข่า ตีศอก “หมัด ศอก เข่า เลยล่ะ ไปเหอะพี่ ไปเร็ว พ่อเสือเขาคงอยากเจอน่ะ เดี๋ยวฉันไปด้วย”
จงใจหน้าเสีย สมรักษ์เก็บฟืนเสร็จเรียบร้อย แล้วเดินเข้ามายืนใกล้ๆ
“ไปซีครับ ยังไงก็ต้องเจอกันอยู่ดี มาพักอยู่ที่นี่ตั้งเป็นนานสองนานแล้ว ผมเองก็อยากเจอพ่อเสือของคุณอยู่เหมือนกัน”
จงใจพยักหน้ารับ แต่ในใจยังเครียด
เสือเข้มกับสมุนกำลังชกมวยอยู่ที่ลานฝึกซ้อม โดยมีสมุนโจรรวมทั้งชาวบ้านห้อมล้อมมุงดู ส่งเสียงเชียร์กันอยู่
“เอาโว้ย...ไอ้เข้ม...เอา...เออ...ตี...”
เสือใจนั่งดูอยู่บนแคร่ใต้ร่มไม้ใหญ่ เสือทศเห็นสมรักษ์เดินมาบอก
“มันมาแล้วพ่อ”
“เออ...ตาข้าไม่ได้บอด”
สมรักษ์ จงใจ แก้วและหิน เดินตรงมาที่ลานฝึกซ้อม ทุกคนที่ลานหันมามอง เสือทศก้าวออกมาอย่างกร่างๆ
“ว่าไงวะ ไอ้คุณตำรวจ”
ชาวบ้านและสมุนโจรส่วนใหญ่ที่ไม่เคยรู้ว่ามีตำรวจอยู่ในชุมโจร พากันมองสมรักษ์อย่างไม่ไว้ใจ เสือทศเดินปรี่เข้าไปหา จงใจขวาง
“พี่ทศ จะทำอะไร”
“เป็นห่วงมันเหรอ...”
“ฉันจะพาเขามาหาพ่อ พี่ทศ หลีกไป”
เสือทศยังไม่ยอมหลีก เดินเข้าหาสมรักษ์อย่างหาเรื่อง
“เฮ้ย !”
เสือทศได้ยินเสียงเสือใจก็หันมอง
“อย่าให้มันกร่างนักไอ้ทศ”
เสือทศเกรงใจเสือใจ หลีกทางให้จงใจพาสมรักษ์เดินเข้าไป
“ไม่ค่อยเห็นหน้าเลยนะพักนี้” เสือใจมองลูกสาวที่เข้ามากอดแขนประจบ
“หนูเห็นว่าพ่อไม่ว่าง อยู่แต่ในไร่กับพวกชาวบ้าน หนูก็เลยไม่อยากกวนน่ะจ๊ะ...พ่อจ๋า พ่อเรียกเค้ามาหา มีธุระอะไรเหรอจ๊ะ”
“ธุระกับตำรวจน่ะข้าไม่มีหรอก แต่เห็นว่าอาการไอ้หมอนี่น่ะดีขึ้นมากแล้ว ก็ต้องมาพูดกันให้มันรู้เรื่อง ว่าจะเอายังไงกันต่อ”
เสือทศสอดขึ้นทันที
“พ่อเสือ จะปล่อยมันไปเฉยๆ ไม่ได้นะพ่อ ในเมื่อมันเหยียบเข้ามาถึงนี่แล้ว จะปล่อยให้กลับออกไปง่ายๆได้ยังไง”
จงใจไม่พอใจ
“ทำไมอีกล่ะ พี่ทศ”
“อ๊ะ นี่จงใจน้องพี่ ไม่รู้จริงๆหรือว่าแกล้งไม่รู้กันแน่” เสือทศหันไปหาเสือใจ “พ่อเสือจะปล่อยไอ้นี่กลับไป มันจะได้ไปพาพวก แห่กันมาถล่มหมู่บ้านเราน่ะซี” เสือทศตะคอกใส่หน้าสมรักษ์ “รึว่าไม่จริงวะ”
สมรักษ์ตอกกลับทันที
“จริง...ฉันจะมาจับนายคนแรกเลย”
“นั่นไง...ดูมันพ่อ...ดูมัน อย่างนี้มันน่า...”
สมรักษ์คิดว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด จึงพูดยั่วเสือทศ
“น่าอะไร...น่ารักใช่ไหม ฮ้า...”
ทุกคนขำในท่าทางของสมรักษ์ เสือทศถึงกับสะดุ้ง โกรธจัด ถลันเข้าไปจับคอเสื้อสมรักษ์ ทำท่าเงื้อหมัดจะชกหน้า จงใจ และหินเข้ามาแยก แก้วยืนคุมเชิง
“พ่อเสือ ฉันขอซักวันเถอะ อยากจะรู้นักว่าไอ้หน้าจืดๆแบบนี้ ทำท่าโอหังแบบนี้ จริงๆแล้วจะมีน้ำยาสักแค่ไหนกันเชียว”
เสือทศบอกเสือใจแล้วเดินตรงไปที่ลานฝึกซ้อม หันมามองสมรักษ์อย่างท้าทาย ถอดเสื้อตัวนอกออก โยนให้เสือเรืองถือไว้ จงใจตกใจ
“พ่อ ทำไมไม่ห้ามพี่ทศล่ะ นี่เขาเพิ่งจะหายป่วยนะ”
“ก็ดีเหมือนกัน ผมก็อยากรู้ว่า สุขภาพผมสมบูรณ์ดีแล้วรึยัง”
สมรักษ์ถอดเสื้อตัวนอกส่งให้จงใจถือไว้อย่างไม่สะทกสะท้าน เสือใจมองจงใจอย่างสังเกตอาการ หินเข้ามายืนอยู่ข้างๆจงใจ
“ไม่ต้องห่วงนักหรอกพี่ หมวดเขาต้องมีดีอยู่แล้ว”
จงใจพูดไม่ออก ได้แต่มองสมรักษ์อย่างเป็นห่วง
จ่าชิตยืนอยู่ตรงหน้าศักดาในห้องทำงาน รายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“อืม...ไอ้เรื่องเสือสมิงนี่ ฉันก็ได้ยินจากเสี่ยรงค์...เอ๊ย...คนเขาพูดกันบ้าง ไม่นึกว่ามันจะร้ายกาจขึ้นทุกวัน”
ศักดาหลุดปากไป จ่าชิตรู้อยู่แล้วว่าเสี่ยรงค์ใช้อิทธิพลเรียกศักดามาเพื่อเร่งจับเสือใจ
“หมวดสมรักษ์ตกน้ำหายไป จนทุกวันนี้ยังไม่มีใครพบ”
“เอาเหอะ ยังไงก็ส่งคนไปตามหาแล้วตามล่าเสือใจด้วย ฉันจะลงมือตามล่ามันเอง...”
ศักดาบอกอย่างมั่นใจ จ่าชิตเห็นท่าทีแล้วหนักใจ
เสือทศทะมัดทะแมง เต้นกร่าง ตั้งการ์ด วาดลวดลายอยู่กลางลานอย่างฮึกเหิม
“มา...ไอ้หมวดหน้าจืด ข้าจะสั่งสอนเอ็งให้รู้ซะบ้างว่าโจรอย่าข้ามีดีกว่าตำรวจอย่างเอ็งเยอะ...มา”
เหล่าสมุนโจร และชาวบ้านต่างส่งเสียงเชียร์เสือทศ
“เอาให้หมอบเลยพี่ทศ” เสือเรืองตะโกนลั่น
“อย่าให้ถึงตายนะพี่ เดี๋ยวจะโดนข้อหาข้าคนตายอีกกระทง...ฮา...” เสือชินเย้ยหยัน
สมรักษ์ตั้งสติ ระวังตัวเต็มที่ จงใจยืนอยู่ข้างๆเอาใจช่วยเขา
“สู้เขานะหมวด”
หินกับแก้วคอยมอง ระวังไม่ให้สมุนของเสือทศตุกติก เล่นไม่ซื่อ เสือใจลุกขึ้นจากแคร่ ยืนมองอย่างสนใจ...การต่อสู้ของสมรักษ์ กับ เสือทศ เป็นไปอย่างมีฝีไม้ลายมือทั้งคู่ต่างก็มีฝีมือไม่แพ้กัน สมรักษ์นั้นอาจจะกระดูกอ่อนกว่า เพราะชีวิตไม่ได้โชกโชนมาอย่างเสือทศ แต่ก็มีฝีมือเนื่องจากได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ทั้งคู่ต่างก็แลกหมัด แลกเข่า แลกอาวุธกัน โดยต่างก็อาศัยฝีมือและไหวพริบ เข้าห้ำหั่น โรมรันอีกฝ่าย
ทั้งคู่เหนื่อยหอบสภาพสะบักสะบอมด้วยกัน เหมือนเป็นสัญญาณว่าการทดสอบฝีมือกันในครั้งนี้ได้ยุติลงแล้วโดยปริยาย จงใจวิ่งเข้าประคองสมรักษ์ เช็ดเลือดที่มุมปาก ดูแลด้วยความเป็นห่วง เสือทศมองภาพนั้นอย่างเจ็บแค้น มีเพียงเสือเรืองที่วิ่งเข้าไปจะประคองแต่กลับถูกเสือทศผลักจนเซ ระบายอารมณ์พลุ่งพล่าน
“ไม่ต้องโว้ย !”
เสือทศหันไปมองทางจงใจและสมรักษ์อย่างเจ็บแค้น
จงใจประคองสมรักษ์ เดินตรงไปที่แคร่ใต้ร่มไม้ แล้วถามอย่างห่วงใย
“เป็นยังไงบ้างหมวด”
“ก็พอดู โอย...เจ็บ...” สมรักษ์เหนื่อยแต่แกล้งอ้อน
“ยังไม่หายไข้...ทำเป็นเก่ง ไม่ตายก็บุญแล้ว” จงใจบ่น
สมรักษ์เดินผ่านสมุนโจร และบรรดาชาวบ้านที่มุงดูอยู่ อีกไม่ไกลก็จะถึงตรงที่เสือใจยืนอยู่ ทันใดสายตาของนายตำรวจหนุ่มก็เบิกโพลง เมื่อเห็นงูตัวเขื่อง เลื้อยช้าๆอยู่บนกิ่งไม้เหนือหัวเสือใจ งูร้ายเลื้อยใกล้เข้ามาทุกที เหมือนจะฉกกัด เสือใจไม่รู้ตัว ยืนเตร่ๆอยู่ตรงนั้น สมรักษ์เหลือบเห็นมีดสั้น เหน็บอยู่ที่เอวของสมุนโจรคนหนึ่ง อย่างรวดเร็วเขาดึงมีดสั้นออกจากเอวของสมุนโจรคนนั้น บรรดาสมุนโจรตกใจไม่รู้ว่าสมรักษ์ตั้งใจจะทำอะไร จงใจเองก็ตกใจ
“หมวด...จะทำอะไรน่ะ !”
ขณะที่ทุกคนยังไม่ทันได้ขยับทำอะไร สมรักษ์ก็ปามีดสั้นในมือพุ่งออกไป เป้าหมายคือ งูที่เลื้อยอยู่เหนือหัวของเสือใจนั่นเอง จงใจมองตาค้าง เสือใจหันไปมองตามทิศทางของมีดสั้น เห็นมีดสั้นปักอยู่ที่กลางลำตัวของงูตัวนั้น ก็เข้าใจทันที เสือใจยกมือห้ามสมุนที่จะเล่นงานสมรักษ์
“เฮ้ย...หยุด”
ทุกคนในที่นั้น ต่างก็มองมาที่งูตัวนั้น ก่อนจะลดปืนในมือลง สมรักษ์เซนิดๆ เพราะรู้สึกเจ็บขึ้นมาอีก จงใจเข้าประคองอีกครั้ง เสือใจมองสมรักษ์อย่างรู้สึกดีขึ้น
จงใจประคองสมรักษ์ให้นั่งลงบนแคร่ไม้ในกระท่อม แล้วกุลีกุจอดูแลหยิบหมอนมาหนุนหลังให้ มองชายหนุ่มด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะตะโกน น้ำเสียงร้อนรน
“หิน ได้แล้วยัง เร็วๆหน่อยซี”
หินเดินถือขันใบใหญ่กับผ้าขาวม้าเอามาวางไว้บนแคร่ ข้างๆจงใจ
“ได้แล้วคร้าบ...น้ำอุ่นๆ ตามสั่ง”
หินยืนมองอยู่ใกล้ๆ หน้าทะเล้น แก้วเข้ามา
“มา...ฉันช่วยเอง”
แก้วใช้ผ้าขาวม้าชุบน้ำอุ่นในขัน บิดพอหมาดๆ แล้วหันมาเช็ดหน้าเช็ดตาให้สมรักษ์อย่างเบามือ จงใจยืนมองแววตาเป็นสุข
“เจ็บมากมั้ย...”
สมรักษ์มองหน้าจงใจ ยิ้มน้อยๆอย่างมีความสุขมองสบตาหญิงสาวหวาน ซึ้ง แก้วที่เช็ดตัวให้สมรักษ์หน้าเศร้าหมองลงหลบตาทุกคน
“แต่มันก็คุ้มไม่ใช่เหรอ” สมรักษ์ยิ้มให้จงใจ
จงใจมองสบตา สายตาบอกถึงความรัก ความห่วงใยที่มีต่อเขา
หินรับต้มแซ่บชามใหญ่มาจากมือของแวว แล้วประคองชามนั้น เดินมาวางลงบนแคร่ โดยมีเสือใจ กับ สมรักษ์ นั่งคุยกันอยู่ พร้อมทั้งอาหารอื่นๆวางอยู่ก่อนบ้างแล้ว ไม่ไกลกันนักสมุนคู่ใจทั้งสาม เสือเข้ม เสือดำ เสือชิน นั่งล้อมวงกินอาหารมื้อเย็น ฝีมือของแววอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน เสือใจกินอาหารไป มองสมรักษ์ไปด้วย
“ฝีมือการทำอาหารของน้าแววเนี่ย ไม่แพ้ร้านอาหารอร่อยๆในเมืองเลยนะครับ” สมรักษ์บอกอย่างยิ้มแย้ม
“ชามเนี้ย ฝีมือแก้วเขา”
สมรักษ์มองแก้วอย่างชื่นชม เสือใจยังไม่วางใจสมรักษ์ทีเดียวจึงประชด
“ดูเหมือนหมวดจะชอบที่นี่ ไปซะหมดทุกอย่างเลยนะ”
สมรักษ์วางหน้าไม่ถูก ที่คำพูดของเสือใจ ฟังยังไงก็ดูมีเลศนัย
“ก็... ครับ”
“ยังไงฉันก็ต้องขอบใจ ที่ช่วยฉันไว้เมื่อกลางวัน”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เป็นใครผมก็ต้องช่วย เพราะผมเป็นตำรวจ” สมรักษ์เน้นคำว่าตำรวจ
“แล้วจะเอายังไงต่อไป”
“ผมคงต้องกลับ ผมหายตัวมาอย่างนี้ ไม่รู้ว่าทางโน้นจะวุ่นกันสักขนาดไหน แล้วนี่ผมก็หายมาหลายวันแล้ว ต้องรีบกลับไป...จะทิ้งงาน ทิ้งหน้าที่ ทิ้งความรับผิดชอบมาเฉยๆน่ะ มันไม่ถูกต้อง”
“ฟังแล้ว มันช่างยิ่งใหญ่ซะจริง”
สมรักษ์ได้จังหวะพูดเข้าเรื่องทันที
“มีอีกหลายคดีที่ผมยังปิดไม่ได้”
“คดีไหนมั่งล่ะหมวด...”
สมรักษ์มองจ้องหน้าเสือใจนิ่ง
“งั้นข้าฝากหมวดอีกซักคดีได้ไหม...”
หินเอากับข้าวมาเพิ่มอีก ได้ยินเรื่องคดีๆ วางจานอาหารไปพลาง ก็มีอาการลุ้นไปกับบรรยากาศที่เริ่มจะอึดอัด เสือใจหันไปเรียก
“ไอ้หิน”
“ครับ”
“ดูแลพวกน้าๆ ลุงๆ ของเอ็งให้ดีๆด้วยล่ะ”
“ครับ...”
สมรักษ์นิ่ง รอฟังต่อ เสือใจดื่มน้ำ ก่อนจะพูดต่อ
“ว่าไงล่ะหมวด รับปากรึเปล่า”
“จะให้ผมรับปากเรื่องอะไรล่ะครับ”
สมรักษ์สบตาเสือใจ แววตามุ่งมั่นเต็มไปด้วยอุดมการณ์
“สำหรับผมไม่ว่าคดีไหน ผิด ถูกยังไงก็ต้องว่ากันไปตามนั้น ทุกอย่างต้องอาศัยกระบวนการยุติธรรม คนถูกต้องได้รับความเป็นธรรม คนผิดก็ต้องรับโทษไปตามกฎหมาย”
เสือใจแววตาจริงจังอาฆาต
“ข้าก็ยังสงสัยอยู่เหมือนกัน...ว่ามันจะมีจริงเหรอวะ ไอ้ที่ว่ายุติธรรม ยุติธรรมอะไรนั่นน่ะ”
สมรักษ์ นิ่งสงบ พร้อมรับฟังอย่างเต็มใจ เสือใจ คิดถึงเรื่องเก่า มองเหม่อไปข้างหน้า
“กาลครั้งหนึ่ง…นานมาแล้ว...ตอนนั้นชีวิตของข้าช่างมีความสงบสุข มีครอบครัวที่ข้ารัก มีอาชีพที่สุจริตแต่ไอ้คนกระจอกๆ อย่างข้า ยังไงๆมันก็ต้องตกเป็นเหยื่อของไอ้คนชั่ว ที่มันมีอำนาจ โดยเฉพาะอำนาจเงินของมัน ที่ได้เที่ยวรังแกใครต่อใคร ได้ตามอำเภอใจของมัน...”
เสือใจเล่าถึงอดีต...ใจในวัยหนุ่มกำลังพายเรือรับจ้าง ส่งคนข้ามฟากของแม่น้ำสาละวิน ในเรือมีชาวบ้านนั่งอยู่ ห้าหกคน ใจพายเรือมาถึงอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ จอดเรือเทียบท่า พวกชาวบ้านจ่ายเงินค่าจ้างให้ แล้วต่างก็พากันก้าวขึ้นฝั่ง
“ขอบใจจ๊ะ ขอบใจ แล้วใช้บริการเรือข้ามฟากของข้าอีกนะลุง...”
ชาวบ้านโบกมือให้อย่างเป็นมิตรและมีไมตรี ใจมีความสุข นับเงินเหรียญพวกนั้น แล้วเอาไปรวมกับเหรียญอีกจำนวนหนึ่งที่เก็บไว้อย่างมีความหวัง
ใจเดินเข้ามาในตลาด ตรงมาเลือกหยิบสร้อยที่ห้อยอยู่ที่แผงขายของในตลาดนัด
“ข้าเอาเส้นนี้...เท่าไหร่”
ใจส่งเงินให้ แม่ค้าเอาสร้อยใส่ถุง ส่งให้รับเงินมาแล้วทอนให้
“ไอ้ใจ...ไอ้ใจ เฮ้ย...ไอ้ใจ”
ใจหันมองตามเสียง เห็นทัดลูกน้องของเสี่ยรงค์
“ซื้อสร้อยให้เมียเหรอวะ รักเมียจริงนะเอ็ง”
ใจไม่ตอบ ไม่ชอบให้ใครพูดล้อเล่นไปถึงเมีย
“มีอะไรวะ เรียกซะลั่น”
“มีสิ เรื่องงานโว้ย เงินดี สนใจมั้ยวะ”
ใจฟังอย่างไม่ค่อยสนใจ
“หรือว่า...เอ็งไม่อยากข้ามไปอยู่ฝั่งไทยวะ เมียเอ็งจะได้สบายยังไงล่ะ”
“งานอะไรวะ ต้องไม่ผิดกฎหมายนะโว้ย ไม่งั้นข้าไม่เอาด้วย...”
ทัดเข้ามากระซิบที่ข้างหู เสือใจเริ่มสนใจ
โฉโฉ่หละ รูปร่างอวบอิ่ม หน้าตาสวยงาม สะดุดตา แต่งกายด้วยเสื้อผ้าเก่าๆยืนตากผ้าอยู่ที่ราวข้างๆกระท่อม เธอสวมสร้อยคอ เส้นที่ใจเลือกซื้อมาให้ ใจหาบน้ำเดินเข้ามาแล้วเทน้ำใส่ในตุ่มใบใหญ่ ใกล้ๆราวตากผ้า
“พักก่อนเถอะพี่ กินข้าวกัน มื้อนี้มีกับข้าวที่พี่ชอบด้วยนะ”
ใจมองโฉโฉ่หล่ะอย่างชื่นใจ มีความสุข หันไปล้างหน้าล้างตา แล้วใช้ผ้าขาวม้าเช็ดหน้า เช็ดแขน ก่อนจะเดินมาช่วยโฉโฉ่หละตากผ้า
“เออนี่หวาน...พี่รับงานไอ้ทัด ลูกน้องเสี่ยเขาเอาไว้ อีก 2 วันก็ไปกับพวกนั้นมันแล้ว”
โฉโฉ่หละหน้าเจื่อนไป
“เหรอจ๊ะพี่ งานอะไรเหรอจ๊ะ ไหนพี่เคยบอกฉันว่า พวกนั้นน่ะมันเป็นคนไม่ดี แล้ว...แล้วนี่พี่ไปยุ่งกับพวกมันทำไมล่ะ”
“แต่ว่า...งานที่ไม่ผิดกฎหมายของพวกมันก็มีจ๊ะ อย่างงานที่พี่รับเนี่ยพี่ก็แค่นำทางให้ไอ้พวกนั้นมันน่ะ เป็นเส้นทางใหม่ พวกมันยังไม่คุ้นเคย มันก็เลยมาจ้างพี่”
โฉโฉ่หละ ไม่สบายใจ จะถามอะไรต่อ แต่ใจตัดบทเสียก่อน
“น่า...ไม่ต้องคิดมากหรอก พี่ไม่ได้ไปทำอะไรผิดๆอย่างพวกมันหรอก”
ใจตากเสื้อผ้าเสร็จแล้ว เดินโอบเอวเมียรักไปนั่งที่แคร่หน้ากระท่อม
“นอกจากเรื่องค่าจ้างนำทางนั่นแล้ว พี่ยังอยากให้เสี่ย ช่วยเรื่องที่เราจะข้ามไปอยู่ฝั่งไทยด้วย เสี่ยแกมีอิทธิพล มีพรรคพวก เรื่องแค่เนี้ยแกช่วยเราได้อยู่แล้ว”
“แล้วเขาจะช่วยเราเหรอจ๊ะพี่...”
“ก็นี่แหละ พี่ถึงยอมนำทางให้พวกนั้นมันน่ะ”
โฉโฉ่หละมองสามีอย่างมีความหวัง
“แล้วที่พักล่ะ เราไม่มีบ้าน ไม่มีญาติอยู่ฝั่งโน้นเลยนะ”
โฉโฉ่หละไม่ค่อยสบายใจ
“ใครบอกว่าไม่มี พี่มีเพื่อนรักชื่อไอ้หมู่ชิตเป็นตำรวจอยู่ที่นั่น อีกอย่างคนงานที่บ้านเสี่ยน่ะ มีตั้งเยอะตั้งแยะ ห้องหับเขามีมากมายให้คนงานพักอยู่แล้วพักอยู่ได้สบาย ปลอดภัยดีด้วย...พี่พูดเรื่องนี้กับไอ้ทัดแล้ว มันบอกว่าไม่มีปัญหา”
เสือใจลูบผมลูบไหล่ปลอบใจเมีย
“เอาน่า บางทีชีวิตมันอาจจะกำลังเริ่มต้น...รีบกินข้าวเถอะจะได้เข้านอนกัน”
โฉโฉ่หละหันมามองหน้าสามี เห็นสายตากรุ้มกริ่ม ก็เขินอาย ตีเข้าให้เผี๊ยใหญ่ ผัวหนุ่มเมียสาว หยอกเย้ากันอย่างมีความสุข
โฉโฉ่หละ ถือห่อผ้าเล็กๆ เดินตามหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเข้ามาในบ้านหลังใหญ่ เสี่ยรงค์ยืนถือแก้วเครื่องดื่ม อยู่ที่ชั้นบน มองจ้องลงมาแววตาหื่น หมายมั่น มองตามโฉโฉ่หละอย่างพึงใจ หญิงวัยกลางคนนำหน้าโฉโฉ่หละเข้าไปตามทางแคบๆ แล้วหยุดอยู่หน้าห้องๆหนึ่ง
“ห้องนี้แหละ แล้วห้องอาบน้ำก็อยู่ทางโน้น”
หญิงคนนั้นบุ้ยใบ้ไปทางหนึ่ง โฉโฉ่หละผลักประตูไม้เข้าไปในห้อง เมื่อประตูเปิดออก แสงสว่างก็สาดเข้าไปภายในห้อง โฉโฉ่หละเดินเข้าไปภายในห้อง หมุนคว้างอยู่สักพัก ก่อนจะนั่งลงที่เตียง หันมองไปรอบๆรู้สึกโดดเดี่ยว
ค่ำนั้น โฉโฉ่หละนอนอยู่ พลิกตัวไปมากระสับกระส่าย อยู่ในความมืด ทันใดนั้นมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น โฉโฉ่หละสะดุ้งหน้าตาตื่น
“ใคร...ใครน่ะ !”
เสี่ยรงค์เสียงดังน้ำเสียงมีอำนาจ
“ฉันเอง เปิดประตูหน่อยซิ”
โฉโฉ่หละพึมพำ หน้าเสีย
“เสี่ย...เสี่ยรงค์เหรอ...มีธุระอะไร ตอนนี้ มัน...มันมืดแล้วนะ”
กลอนประตู ซึ่งไม่แข็งแรงอยู่แล้ว ขยับเขยื้อนไปตามแรงผลัก ทำท่าว่าจะหลุดแหล่มิหลุดแหล่ โฉโฉ่หละลุกพรวดขึ้น อย่างตกใจ เดินมาที่ประตู กลอนประตูไม้หลุดออก เสี่ยรงค์ก้าวเข้ามาในห้องอย่างย่ามใจ หน้าตาบ่งบอกอารมณ์หื่น โฉโฉ่หละผงะถอยหนี หน้าซีด ตัวสั่น นัยน์ตาเบิกโพลงด้วยความตกใจสุดขีด
ปัจจุบัน...ใบหน้าของเสือใจนิ่ง และเศร้า แล้วพูดต่ออย่างกล้ำกลืน
“เหตุการณ์ต่อจากนี้ ข้าคงไม่ต้องเล่ามั้ง”
สมรักษ์พยักหน้ารับรู้
“เสือใจเลยปล้นเสี่ยรงค์ล้างแค้น”
“รู้ไหมว่ามันแค้นข้าเรื่องอะไร...”
สมรักษ์มองอย่างสงสัย
“ข้าฉุดเมียรักมันมาด้วยน่ะสิ”
สมรักษ์ชะงัก
“แม่ของจงใจน่ะหรือ”
เสือใจอึกอักนิดหนึ่งแล้วยอมรับอย่างไม่เต็มปาก
“ใช่...”
“ผมรู้แล้วว่าทำไมจ่าชิต ถึงบอกว่าเสือใจปล่อยตัวมา”
เสือใจยิ้มหน้าเหี้ยม
“ข้ากับไอ้ชิตเป็นเพื่อนกันมานาน แต่มันก็ตลก ข้าเป็นโจร มันเป็นตำรวจ มันเคยขอให้ข้ามอบตัวหลายครั้ง แต่ข้าไม่ยอม”
สมรักษ์สงสัย
“แสดงว่าเสือใจจะไม่มอบตัวสู้คดี”
“ข้าว่าข้าสู้กับตำรวจยังจะง่ายกว่าสู้คดี...เอาล่ะ พรุ่งนี้เช้าเอ็งกลับไปได้แล้ว ข้าไม่สนว่าเอ็งจะพาพวกมาถล่มข้า เพราะข้าและคนที่นี่ทุกคนยินดีสู้ตาย...อย่างสมศักดิ์ศรี”
สมรักษ์รู้สึกว่าเสือใจเป็นคนน่ากลัวและน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก
เสือสมิง ตอนที่ 8 (ต่อ)
จงใจออกมายืนที่ลานลั่นทมอย่างเหงาๆ สมรักษ์เดินเข้ามาข้างหลัง เธอหันมามองแล้วพูดอย่างรู้ทัน
“พ่อบอกฉันว่าหมวดจะไปพรุ่งนี้”
สมรักษ์ถอนใจรู้สึกเศร้าไม่แพ้กันแต่ต้องเข้มแข็ง
“ใช่...ฉันต้องไปแล้ว”
“แล้วก็จะลืมที่นี่...ลืมคนที่นี่...แล้วก็...กลับมากวาดล้างคนที่นี่”
“จงใจ...ฉันไม่มีวันลืมที่นี่ ไม่มีวันลืมคนที่นี่...แต่หน้าที่ๆฉันแบกเอาไว้ มันเตือนฉันทุกวินาทีว่าให้ผดุงความยุติธรรม”
จงใจเข้าใจ
“หมวดทำถูกแล้ว...น้าแววก็พูดถูก ฉันเป็นลูกโจร มีพ่อเป็นโจร ญาติพี่น้องเป็นโจร มันคงเข้ากันไม่ได้ ฉันขอให้หมวดโชคดี ไม่รู้ว่าเราจะได้พบกันอีกในสถานะไหนฉันก็จะจดจำสิ่งดีๆของเราเอาไว้...โชคดีนะหมวด”
จงใจพูดจบก็เดินจากไป สมรักษ์ยืนอึ้งไม่รู้จะทำอย่างไร ห่างออกไปเสือใจยืนมองดูเหตุการณ์แล้วสงสารลูกสาว
เสือทศนั่งดื่มเหล้าล้างอายอยู่ที่หน้ากระท่อม
“ไอ้หมวดนั่นมันตั้งใจทำให้ข้าอับอาย”
เสือชินปลอบใจ
“ใจเย็นๆพี่ วันพระไม่มีหนเดียว”
“ข้ารู้...แต่ที่ข้าร้อนรุ่มก็เพราะมันกำลังแย่งจงใจไปจากข้า”
เสือชินรู้ดีไม่มีข้อคิดเห็น เสือทศกระดกเหล้าอย่างแค้นๆ เสือเรืองเข้ามา
“พี่ทศรู้เรื่องหรือยัง”
“เรื่องอะไร”
“พ่อเสือให้ไอ้หมวดนั่นมันกลับพรุ่งนี้เช้า”
เสือชินใจไม่ดี
“อย่างนี้มันไม่ยกกองทัพมาถล่มเราหรือ”
เสือทศกลับยิ้มแล้วหัวเราะด้วยความสะใจ
“นับว่าฟ้ายังมีตา...อย่าห่วงไปเลยไอ้ชิน อย่าว่าแต่มันจะพาพวกมาเลย ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้มันจะกลับถึงบ้านหรือเปล่า”
เสือทศมีแผน เขาคิดดักฆ่าสมรักษ์กลางทาง
ลานหน้าบ้านแม่หมอ มีศาลเพียงตาสร้างเป็นชั้นๆ ชั้นบนวางรูปปั้นผีนัตทั้งสองตัว ชั้นต่อๆมาเป็นเครื่องเส้นตามลำดับ ผู้ใหญ่สน เสน จ่อยและ ชาวบ้านทั้งหลายอยู่กลางลาน พะอูกับมะค่าอยู่ใกล้ๆแม่หมอ
แม่หมอปักธูป แล้วประกาศก้อง
“วันนี้เรามาขอขมาต่อเจ้าแม่หน้าทองกัน ขอให้ทุกคนตั้งจิตอธิษฐาน ขอขมาโดยพร้อมเพียงกัน เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่พวกเจ้าเอง”
จ่าชิต ภราดร ประเดิมจับตาดูอยู่ห่างๆ
“ผมสังหรณ์ใจยังพิกลว่ามันจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นสักอย่าง” จ่าชิตหันมาหาภราดร
ภราดรแปลกใจ
“ไหนว่าเป็นพิธีมงคลไงจ่า”
“ไม่รู้สิ ผมรู้สึกว่าเรากำลังอยู่ท่ามกลางผีร้าย...ไม่ใช่เจ้าแม่หน้าทองอะไรนั่น”
ภราดรตระหนก พอดีกับแม่หมอเริ่มทำพิธีจึงหยุดการสนทนา พะอูตีฆ้อง
“ลูกขออัญเชิญเจ้าแม่หน้าทอง ออกมารับการสมาลาโทษของพวกลูกด้วยเถิด” แม่หมอบริกรรมคาถา
พะอูตีฆ้องเป็นจังหวะ ทุกคนจับจ้องรอกินรีออกมา
ในป่าช้ามืดมิด...มีหลุมฝังศพเรียงราย อองไชยขุดดินที่กลางป่าช้าขึ้นมาก้อนเท่ากำปั้น แล้วเอาดินที่ขุดเมื่อกลางวันออกมาปั้นรวมกัน อองไชยคุกเข่าแล้วทำวงรอบของพิธีด้วยการใช้มีดหมอของเขา ปักลงบนพื้นดินแล้วท่องคาถาบางอย่าง พลันบังเกิดวงสายสิ
จน์ ล้อมรอบ อองไชยลงมือปั้นดินพร้อมบริกรรมคาถา
เสียงฆ้องดังกังวานไปทั่วลานพิธี กินรีในชุดเจ้าแม่หน้าทองสวมหน้ากากเดินออกมาอย่างสง่า เธอฟ้อน ด้วยท่วงท่าที่สวยงาม ภราดรมองอย่างลุ่มหลง จ่าชิตมองพะอูไม่วางตา ผู้คนพากันก้มกราบโดยพร้อมเพรียงกัน กินรีไปนั่งที่แท่นที่จัดเอาไว้ท่าทางสง่า แม่หมอกล่าวนำพิธี
“ข้าแต่แม่เจ้าชะเวมะรัต...ขอเจ้าแม่ทรงเมตตา อย่าได้ ให้ผู้ใดคิดจองล้างลูกหลานต่อไปเลย วันนี้ข้านำลูกหลาน มาขอขมาท่าน ขอให้เจ้าแม่ช่วยปัดเป่าเภทภัยให้พวกเราด้วยเถิด”
กินรีนั่งนิ่ง ภราดรคุ้นหูเมื่อได้ยินชื่อชะเวมะรัต กินรีเสียงเปลี่ยนไป
“ข้าพยายามปกป้องลูกหลานตลอดมา แต่บางอย่างก็อยู่นอกเหนืออำนาจของข้า สิ่งใดจะเกิด มันก็ต้องเกิด พวกเจ้าอย่าไปเป็นทุกข์เป็นกังวล จงดำเนินชีวิตอย่างไม่ประมาท มันจะช่วยให้หนักเป็นเบาได้”
แม่หมอรู้สึกผิดหวังนิดๆ ผู้ใหญ่สนโพล่งออกมา
“ช่วยเราด้วยเจ้าแม่...ช่วยเราด้วย”
ทุกคนพร้อมใจกันก้มกราบ
อองไชยปั้นควายเสร็จ รำพึงอย่างพอใจ
“ดูซิว่า เจ้าจะต้านกำลังควายธนูไฟ ของข้าได้ไหม”
อองไชย วางควายไม้ไผ่ขนาดเท่าหัวแม่มือลงบนผ้าขาวที่ปูอยู่บนพาน แล้วติดครั่งลงรักปิดทอง ลงบนควาย ก่อนจะรวบรวมสมาธิทำพิธี แล้วท่องคาถา
“โอม...ปู่เจ้าสมิงไพร ปู่เจ้ากำแหงให้กูมาทำควาย เชิญพระอิศวรมาเป็นตาซ้าย เชิญพระอาทิตย์มาเป็นตาขวา เชิญพระนารายณ์มาเป็นเขา เชิญพระอินทร์เจ้าเข้ามาเป็นหาง เชิญพระพุทธคีเนตร์ พระพุทธคีนายมาเป็นสีข้างทั้งสอง เชิญพระจัตตุโลกบาลทั้งสี่มาเป็นสี่เท้า เชิญฝูงผีทั้งหลายเข้ามาเป็นไส้พุง นะมะสะตีติ นะมะพะทะ นะมะอะอุ”
ทันใดนั้นบังเกิดฟ้าร้องลมกรรโชก มีแสงล้อมรอบตัวควาย อองไชยลืมตามองรอบๆแล้วหลับตาท่องคาถาต่อไป
สายลมกรรโชก ผมที่ยาวขาวโพลนของงะตินเด ปลิวสะบัดไหวไปตามแรงลม หน้าตาของเขาคลั่งแค้น
“บังอาจ...ไอ้พรานกระจอก เอ็งคิดว่า จะเอากระบือบื้อบ้าใช้ไถนา มาต่อกรกับสมิงทราทัพของข้ารึ...จะได้เห็นดีกัน”
งะตินเดโกรธจัดจะก้าวออกพ้นถ้ำ ทันใดนั้นไฟลุกพรึ่บท่วมขึ้นเหมือนเป็นการขีดเส้นกั้นขวาง งะตินเดหดเท้ากลับอย่างรวดเร็วเจ็บปวดยิ่งนัก ทั้งโกรธ ทั้งเจ็บ เขาส่งเสียงร้องโหยหวน คลุ้มคลั่ง
“อ๊าก! ยัง...ยังไม่ได้หรือนี่ กำลังข้ายังไม่พอ...หัวใจ...ข้าต้องการหัวใจ...ชะเวโบ...หัวใจของบาเยงโบ”
สายลมพัดกรรโชก ต้นไม้น้อยใหญ่ ไหวเอน
นายพรานสองคนแบกสัตว์ป่าที่ล่ามาได้ เดินมาตามป่ามุ่งหน้ากลับบ้าน
“วันนี้โชคดี ออกป่ามาแค่ไม่ถึงครึ่งคืนก็ได้แล้ว”
“รีบกลับเถอะข้ายิ่งหวั่นๆอยู่”
ทันใดนั้น คนรูสองผัวเมีย พุ่งเข้ามาใส่พรานทั้งสองคนหมายเอาชีวิต พรานตกใจ
“เฮ้ย...”
“ช่วยด้วย...”
พรานคนหนึ่งถูกตัวผู้กัดคอเข้าเต็มๆ พรานอีกคนยกปืนยิงแต่พลาดเพราะตัวเมียเกาะข้างหลังแล้วกัดเป็นแผลเหวอะ เขาสะบัดออกแล้วยิงปืนใส่มัน แต่ไม่ถูก แต่ก็ทำให้เขามีจังหวะหนีไปได้ คนรูสองตัวมารุมพรานที่เคราะห์ร้ายอย่างโหดเหี้ยม
“อ้าก!...”
พรานอีกคนที่หนีรอดไปได้วิ่งหนีสุดชีวิตเนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย”
ควายดินเหนียว ค่อยๆเรืองแสงและกลายเป็นควายทั้งตัว อองไชยพอใจ
“ธนูไฟลูกพ่อ...ไหนลองสำแดงเดชให้พ่อดูหน่อยซิ”
อองไชยปลุกปีศาจจากหลุมศพ วิญญาณเป็นแสงพุ่งออกมาจากหลุมศพมากมาย สำแดงเดชดูน่ากลัว
ควายธนูไฟพุ่งเข้าใส่ วิญญาณมอดไหม้ไปหมด แล้วกลับมายืนที่ตรงหน้า
“พ่อจะหาคู่ต่อสู้ที่เหมาะกับเจ้าให้...ไอ้สมิงเอ็งเป็นรายต่อไป” อองไชยหัวเราะอย่างพอใจ
กินรีภายใต้หน้ากากมีน้ำตาไหลออกมาเป็นเลือด กล่าวกับทุกคน
“ข้าสงสารพวกเจ้าทุกคน แต่ข้าก็ไม่รู้จะทำอย่างไร คะยี...ข้ารู้ว่าเจ้าต้องทนทุกข์อยู่กับการโดนทำลายอาคม...นับแต่นี้ขอให้เจ้ามุ่งทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้บรรพบุรุษ บางทีญาณ ของเจ้าอาจจะกลับมา”
แม่หมอนั่งน้ำตาไหล ผู้ใหญ่สนและชาวบ้านต่างส่งเสียงซุบซิบ
“แม่หมอไม่มีอาคมแล้วหรือ” ผู้ใหญ่รำพึงกับจ่อย
จ่าชิตรู้สึกสนใจประโยคนี้ และคิดตาม ยังไม่ทันที่จะทำอะไรต่อ พรานที่รอดชีวิตจากคนรูวิ่งเข้ามาล้มกลางวง
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย...”
ผู้ใหญ่สนและชาวบ้านต่างวิ่งเข้าไปช่วย
“เฮ้ย...ไปโดนอะไรมา...”
“ปีศาจ...ปีศาจ มันกินเพื่อนข้าไปแล้ว...ช่วยข้าด้วย”
ภราดรวิ่งเข้าไป จ่าชิตกับประเดิมตามไปด้วย
“เป็นยังไงบ้างครับ”
ชาวบ้านหลายคนกันภราดรออกไป
“เฮ้ย...ออกไปไม่ต้องมายุ่ง”
ชาวบ้านพากันไล่
“ไป...ไป...”
พะอูจ้องมาที่ภราดรมีเสียงงะดินเดแว่วในหู
“หัวใจ...ชะเวโบ...หัวใจ...บาเยงโบ”
ประเดิมดึงภราดรล่าถอยไป จ่าชิตถามคนเจ็บ
“มันอยู่ไหน”
“ชายป่า...ชายป่า”
จ่าชิตรีบวิ่งไปทันที ผู้ใหญ่สนหันไปบอกชาวบ้าน
“ทุกคนแยกย้ายกันเข้าบ้านเร็ว ปิดประตูลงดานให้แน่น”
ผู้ใหญ่สนกับจ่อยตามจ่าชิตไป ชาวบ้านพากันวิ่งกลับบ้านอย่างชุลมุน กินรีล้มลงแม่หมอเข้าไปประคอง มะค่าเข้าไปช่วย
“พากินรีเข้าบ้านก่อน....พะอู...พะอู...พะอูไปไหนนังมะค่า”
มะค่าหันไปมองรอบๆแล้วสงสัย
“อ้าว...ไปไหนแล้วเมื่อกี้ยังอยู่ตรงนี้เลย”
แม่หมอหน้าเครียด ภราดรยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนที่วิ่งสวนไปมาฝุ่นตลบ เขามองไปรอบๆ พลันที่ตรงนั้นก็เปลี่ยนไป...ผู้คนค่อยๆหายไป บ้านเรือนหายไป...จนเปลี่ยนไปเป็นกลางป่าทึบ...ภราดรยืนอยู่กลางป่าหน้าตาวิตก
“เป็นไปได้ยังไง”
ภราดรเดินไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย เขาพยายามหาทางออก พะอูแฝงตัวอยู่ใต้เงาไม้แอบมองอยู่ไม่ห่างนัก นัยน์ตาของพะอูเหมือนมีพลังอำนาจลึกลับแฝงอยู่ เขาเดินตามภราดรไปสามสี่ก้าว ภราดรหยุดมีความรู้สึกเหมือนมีใครกำลังจ้องมองอยู่
งะดินเดนั่งอยู่บนแท่นหินบริกรรมคาถา ร่ายมนต์ดำตัวของเขาอบอวลไปด้วยหมอกสีเทาลอยฟ่องล้อมอยู่รอบๆ งะตินเดค่อยๆลืมตาขึ้น
พะอูเดินตามหลังภราดรมาช้าๆ เข้าป่าลึกมาเรื่อยๆ พะอูหยุดเดินจ้องมองอย่างเคียดแค้นชิงชัง เสียงพึมพำบริกรรมคาถาของงะตินเดดังแว่วในหัวร่างของพะอูเริ่มมีอาการสั่นสะท้าน ขาและเท้าของพะอูเริ่มเปลี่ยนเป็นลายเสือโคร่ง ภราดร หยุดเดินแล้วหันหลังมา เขาต้องตะลึงงัน เมื่อ เสือโคร่งคำรามอยู่ตรงหน้า
จ่าชิต นำผู้ใหญ่สนและจ่อยวิ่งมาตามป่า แล้วมาถึงที่ที่พรานสองคนถูกคนรูโจมดี แต่สิ่งที่พบคือซากศพของพรานที่หัวใจหายไปพร้อมเนื้อบางส่วนดูน่าสะอิดสะเอียน จ่าชิตพลิกศพ
“หัวใจ...พวกมันล่าเอาหัวใจ”
ผู้ใหญ่สนหวาดหวั่น
“มันโหดเหี้ยมจริง”
จ่อยยืนอาเจียนอยู่ห่างๆ ทันใดนั้นเสียงคำรามของเสือดังมาแต่ไกล จ่าชิตและทุกคนหันไปตามเสียง
ภราดรเผชิญหน้ากับเสือสมิง ป่าที่เงียบสงัดเมื่อครู่ ขณะนี้เกิดมีลมกรรโชกแรง พัดต้นไม้ ใบไม้ไหวโอนเอน เสือสมิงชะงักตกใจกลัว แหงนมองไปรอบๆ ส่งเสียงคำราม ชะเวมะรัตปรากฏกายต่อหน้าเสือสมิงปรามด้วยน้ำเสียงขอร้อง
“ชะเวโบน้องพี่ อย่าได้ก่อกรรมต่อไปเลย จงหยุดเสียตรงนี้เถิด ทุกสิ่งทุกอย่างจะได้ยุติเสียทีอย่าได้มีเวรมีกรรมต่อกัน พี่ขอร้อง”
เสือสมิงนิ่งแต่ยังคงคำรามและจ้องภราดร ชะเวมะรัต หันกลับมามองภราดรที่มองเธออย่างประหลาดใจ
“นาง...นางอีกแล้ว”
ชะเวมะรัตแววเศร้า ความรู้สึกที่มีต่อภราดรคือทั้งรักทั้งเสียใจ
งะดินเดโกรธแค้นอยู่ในถ้ำ เขาพูดผ่านกระแสจิตไป
“ชะเวมะรัต เจ้าไม่ต้องมายุ่ง ปล่อยให้เป็นเรื่องของข้า ชะเวโบ...จัดการกับมันซะแล้วเอาหัวใจมาให้พ่อ...”
งะดินเดบริกรรมคาถาเพื่อสะกดให้เสือสมิงทำตาม
เสือสมิงเตรีมเข้าจู่โจมภราดร โดยมีชะเวมะรัตยืนอยู่ตรงกลางขวางเอาไว้
“น้องพี่...เชื่อพี่เถอะ...อย่าทำแบบนี้เลย”
เสือสมิงท่าทางจะสงบ แต่แล้วมีคาถาจากงะดินเดลอยมาเสียงมันก้องในโสตประสาท ตัดสินใจกระโจนข้ามชะเวมะรัตไปจู่โจมภราดรทันที
“อย่า...”
สิ้นเสียงชะเวมะรัต ควายธนูพุ่งเข้ามาชนเสือกระเด็นไป ชะเวมะรัตหายตัวไป ภราดรอึ้ง อองไชยเปิดเผยตัวเข้ามา
“จัดการมันเลยลูกพ่อ”
ควายธนูสู้กับเสือสมิงอย่างดุเดือด อองไชยบริกรรมคาถา ภราดรถอยออกมาหลบหลังอองไชย เขามองหาชะเวมะรัตแต่ไม่เห็น ไม่นานนักเสือสมิงก็พ่ายต่อควายธนูของอองไชย เสือสมิงพุ่งกับไปบนเขา ควายธนูกลับกลายเป็นควายดินเหนียวกลับเข้าสู่ย่าม อองไชยจะตามไป บังเกิดม่านใสที่มีพลังผลักดันมากระทบ เขากับภราดรกระเด็นถอยออกมา
“เป็นอะไรหรือเปล่าหมอ”
“ผมไม่เป็นไร”
“ใครก็ตามที่มันควบคุมเสือสมิงตัวนี้ มันต้องเป็นคนที่มีวิชาแกร่งมาก ไม่มีใครปราบมันได้นอกจากต้องฆ่าคนที่ควบคุมมันก่อน”
ภราดรเข้าใจแต่ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ เขาคิดถึงแต่ชะเวมะรัต อองไชยสังเกตเห็น
“ข้าเห็นนางผู้นั้นปรากฏกายต่อหน้าเจ้าสองครั้งแล้ว นางเป็นอะไรกับเจ้ากันแน่”
ภราดรส่ายหน้าช้าๆ เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน จ่าชิตกับผู้ใหญ่สนและจ่อยวิ่งเข้ามา
“หมอ...หมอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
จ่าชิตกับผู้ใหญ่สนงงๆ
แม่หมอกับมะค่าช่วยกันปฐมพยาบาลกินรีจนฟื้นขึ้นมา ประเดิมรออยู่หน้าบ้านเป็นห่วงภราดร
“ฉันเป็นอะไรไปยาย” กินรีงุนงง
“เอ็งเป็นลม...รู้สึกเป็นยังไงบ้าง”
“ดีขึ้นแล้วยาย...อ้าวพะอูไปไหนเสียล่ะ”
กินรีมองหาพะอูไปรอบๆ แม่หมอนิ่ง มะค่าตอบแทน
“ไม่รู้เหมือนกัน ช่วงที่ชาวบ้านชุลมุนกันมันก็หายไปแล้ว”
กินรีเป็นห่วง แม่หมอกลบเกลื่อน
“ไม่ต้องเป็นห่วงมันหรอก เดี๋ยวมันก็คงกลับมา”
ประเดิมเห็นภราดรเดินมากับจ่าชิตก็ดีใจร้องเรียก
“หมอ...หมอ”
ภราดรกับจ่าชิตเดินมาถึงหน้าบ้าน ประเดิมรีบเข้าไปหา
“หมอไปไหนมา...ผมเป็นห่วงแทบแย่แน่ะ”
“ไม่มีอะไรหรอก ตามจ่าชิตเขาไปช่วยคนน่ะ”
ประเดิมพยักหน้ารับรู้ แม่หมอ กินรีและมะค่า เดินออกมาหน้าบ้าน ภราดรเห็นกินรีรู้สึกดีใจที่เธอปลอดภัย
“นี่ยังไม่กลับกันอีกหรือ เจ้านี่มันดื้อจริงๆ” แม่หมอจ้องหน้าภราดร
จ่าชิตสายตากร้าวกระชับปืนในมือ
“ไม่ต้องมาพูดมาก...ไอ้เด็กหน้าผีอยู่ไหน”
แม่หมออึกอัก
“มันไม่อยู่ใช่ไหม”
กินรีหันมาบอก
“เอ่อ...พะอูไม่อยู่หรอกจ้ะ มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ”
จ่าชิตจ้องแม่หมอเขม็ง
“ไม่บอกก็ไม่เป็นไร ฉันตามหาเองก็ได้”
จ่าชิตออกไป ภราดรหันไปมองกินรีอย่างอาลัยก่อนจะเดินไปกับประเดิม
พะอูเลือดอาบเต็มตัวนอนสลบอยู่ในถ้ำ คนรูแอบอยู่ในมุมมืด งะดินเดมองพะอูอย่างสงสารและเห็นใจ
“ชะเวโบลูกพ่อ...”
งะดินเดสูดเอาความเจ็บปวดออกจากร่างของพะอู ทันใดนั้นร่างของเขาก็ไม่มีรอยแผลอะไรเลย
“ไอ้พรานนี่มันร้ายนัก เห็นทีข้าจะประมาทเจ้าไม่ได้แล้ว ถึงเวลาแล้วชะเวโบที่เจ้าจะต้องแข็งแกร่งขึ้น พ่อจะใช้วิชาสมิงทราทัพ สร้างเจ้าให้แข็งแกร่งในบัดดล”
งะดินเดนั่งบริกรรมคาถา ตรงหน้าพะอู
จ่าชิตกระดกเหล้าแววตาทั้งแค้นทั้งสงสัย
“คืนนี้หมอกับประเดิมค้างที่นี่แหละ กลับอนามัยตอนนี้มันไม่ปลอดภัย”
“ขอบคุณครับ” ภราดรแปลกใจสงสัย “ทำไมจ่าถึงสนใจพะอูนัก”
“ก็ผมคิดว่ามันต้องเป็นเสือสมิงน่ะสิ”
ภราดรตกใจ ประเดิมหน้าตื่น
“หา...จริงหรือจ่า”
“ฉันไม่รู้ มันไม่มีหลักฐาน แต่จากเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น มันทำให้ฉันเชื่อ”
ภราดรยังเข้าข้างพะอู
“แต่จ่าจะไปกล่าวหาลอยๆมันไม่ได้นะ”
จ่าชิตแววตากร้าว
“นั่นแหละ ที่ผมต้องหาทางพิสูจน์”
ภราดรกับประเดิมสงสัยว่าจ่าชิตจะพิสูจน์ยังไง
กินรียังสงสัยเรื่องที่จ่าชิตมาสอบถามถึงพะอู มะค่าก็เช่นกัน แม่หมอหน้าเคร่งเครียด
“พะอูไปทำผิดอะไรไว้หรือจ๊ะยาย จ่าชิตเขาถึง มาตามหามัน”
“ไม่มีอะไรหรอก มันแค่เรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อย ไปนอนเถอะ”
กินรีจำใจเข้าไปนอนกับมะค่า ในใจกังวล
งะดินเดใช้คาถาสร้างเสือสมิงตัวใหม่ให้อยู่ในร่างพะอู เพิ่มความแข็งแกร่งให้ ร่างของพะอูมีลายเสือพลิ้วไปมาแล้วลายทั้งหมดก็ฝังลงไปในตัวพะอู ร่างกลายเป็นเสือโคร่งตัวใหญ่แววตาเป็นสีแดง งะดินเดสั่งเสียงเข้ม
“ไปได้แล้ว...”
เสือสมิงทะยานออกไป งะดินเดรำพึง
“อีกไม่นานข้าก็จะออกไปจากที่นี่เสียที”
เช้าวันใหม่...อองไชยนั่งอย่างสบายใจอยู่ที่โต๊ะรับแขก เสี่ยรงค์ถือควายธนูของอองไชยแล้ววางลงบนโต๊ะ
“นี่น่ะหรือ พนักงานรักษาความปลอดภัยคนใหม่ของฉัน...”
เสี่ยรงค์หัวเราะ อองไชยยิ้มบางๆ
“อย่าไปดูถูกมันนะ เมื่อคืนมันซัดไอ้สมิงวิ่งราบเข้าป่าไปเลย”
เสี่ยรงค์ประหลาดใจ
“ขนาดนั้นเชียวหรือ แล้วทำไมไม่จับมันเสียเลยล่ะ”
อองไชยแค้นนิดๆ
“ไม่มีทางจะจับมันได้ นอกจากจะจัดการคนที่ควบคุมมันเสียก่อน”
เสี่ยรงค์ชะงัก
“มีคนควบคุมมันด้วยหรือ...ใคร...”
อองไชยนึกถึงคำพูดของงะดินเดเมื่อครั้งได้เจอหน้า
“ข้าเคยประหน้ากับมันมาแล้ว มันบอกว่ามันชื่องะดินเด”
เสี่ยรงค์รู้สึกไม่คุ้นหู
“ใครน่ะ ชื่อแปลกๆ ไม่คุ้นหูเลย”
“งะดินเด เป็นจอมขมังเวทย์ในตำนานของพุกาม...มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นงะดินเดจริงๆต้องมีอายุ 800 กว่าปีแล้ว...ช่างเถอะมันจะแอบอ้างเป็นใครก็ช่าง แต่ข้าต้องกำจัดมันให้ได้ และต้องรู้ให้ได้ว่าเสือตัวที่ 12 อยู่ที่ไหน”
เสี่ยรงค์สงสัย
“ไม่ใช่สิบเอ็ดตัวหรือ”
“นั่นมันยาดองเหล้า”
เสี่ยรงค์หน้าเจื่อนๆ อองไชยหน้าเคร่งขรึม
“มีเสือ 12 ตัว ว่ากันว่ามันเป็นไปตามปีนักสัตว์ จักราศี ข้าจับมันมาได้ 10 ตัวแล้ว รวมไอ้ตัวนี้ เป็น11”
เสี่ยรงค์รับรู้อย่างทึ่งๆ
“ไม่น่าเชื่อ”
เบิ้มเดินขึ้นมาจากข้างล่างแล้วสอบถาม
“จะไปหรือยังครับเสี่ย”
“อืม...ไปกันได้แล้ว”
ทุกคนกำลังจะออกไป ระรินออกมาจากข้างในบ้านเตรียมไปทำงานแล้วเรียกอองไชย
“นี่นายพรานรอเดี๋ยว”
“มีอะไรหรือ”
“ฉันอยากจะให้ช่วยงานอย่างหนึ่ง”
ทุกคนมองระรินอย่างสงสัย
ภราดรขึ้นมาที่อนามัยแต่เช้า เดือนที่มาถึงก่อนทัก
“หายดีแล้วหรือคะคุณหมอ มาแต่เช้าเชียว”
“พอทำงานไหวก็ต้องมา เกรงใจพวกคนไข้เขา มาแล้วไม่เจอหมอมันไม่ดี วันนี้มีคนไข้กี่รายล่ะ”
“สี่ห้ารายค่ะ...ตกค้างจากเมื่อวาน 2 ราย”
“แล้วระรินยังไม่มาอีกหรือ”
“ยังค่ะ”
ภราดรรับรู้ สั่งงานแล้วเดินจากไป
“ทยอยเรียกคนไข้ไปที่ห้องตรวจได้เลยนะ”
“ค่ะ...” เดือนหันไปหาคนไข้ “เอ้า...นายสุดใจ ไปห้องตรวจได้”
เดือนก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป
จ่าชิตขึ้นมาที่โรงพักแต่เช้า แต่ศักดา มาเช้ากว่า เขาเรียกแถวตำรวจทั้งโรงพักหลังจากเคารพธงชาติ
“แถว...ตรง”
ทุกคนอยู่ในท่าตรง
“ตามระเบียบ...พัก”
ทุกคนอยู่ในท่าพัก จ่าชิตตรงเข้าไปที่หน้าแถวมองอย่างสงสัย ศักดาประกาศก้อง
“วันนี้เราจะจัดชุดปฏิบัติการออกตามหาหมวดสมรักษ์กัน”
จ่าชิตรู้สึกดีที่ศักดาเป็นห่วงลูกน้อง
“งานนี้...จ่าชิตเป็นหัวหน้าชุด”
จ่าชิตผิดหวังเพราะ ศักดาไม่ไปด้วย
“อ้าว...ผู้กองไม่ไปด้วยหรือครับ”
ศักดายียวน
“ผมมันนายตำรวจ มีหน้าที่ใช้สมอง ส่วนจ่า ชั้นประทวนมีหน้าที่ใช้แรง เราแบ่งหน้าที่กันทำแบบนี้ถึงจะถูก เข้าใจไหมจ่า”
“ครับผม”
จ่าชิตยืนตัวตรงรับคำสั่ง ศักดายิ้มอย่างพอใจ
ระรินเดินข้นมาบนอนามัยแล้วเดินผ่านไปที่ห้องตรวจ เธอมองผ่านประตูเข้าไปเห็นภราดรกำลังตรวจคนไข้อยู่บนเตียง มีเดือนเป็นผู้ช่วย ระรินมองภราดรแล้วนึกถึงเหตุการณ์ที่คุยกับอองไชยเมื่อเช้า
“ฉันอยากให้พราน ทำเสน่ห์ให้หน่อย”
อองไชยยิ้ม เขารู้ดีว่าระรินต้องการอะไร เสี่ยรงค์มองลูกสาวอึ้งๆ
“เอากันขนาดนั้นเลยหรือ”
“หมอภราดรต้องเป็นของลูก นังกินรีไม่มีทางได้ไปเด็ดขาด ว่าไงพรานตกลงไหม”
“เรื่องแค่นี้ไม่มีปัญหา แต่เจ้าแน่ใจแล้วหรือว่าต้องการแบบนี้”
“ขอแค่ได้หมอภราดรมาครอง ฉันทำได้ทุกอย่าง”
ระรินบอกอย่างเด็ดเดี่ยว
ภราดรตรวจคนไข้เสร็จ แล้วเดินมาที่ห้องน้ำ เข้าไปล้างมือ ล้างหน้าให้สดชื่น เขามองกระจกสำรวจใบหน้าแล้วเอามือเสยผมให้เรียบร้อย แล้วล้างมืออีกครั้ง
ภราดรออกมาจากห้องน้ำ ระรินเข้าไปทันที เธอเห็นเส้นผมของเขาจึงหยิบมาใส่ถุงยาที่เตรียมมา ระรินยิ้มเยาะ
“ดูซิ นังกินรีแกจะมาต่อกรกับฉันยังไง”
ทันใดนั้นใบหน้าของชะเวมะรัตปรากฏที่กระจกยืนอยู่ด้านหลัง ระรินสะดุ้งแล้วผงะออกมา
“ว้าย...”
ระรินหายใจหอบแล้วเดินออกมาอย่างรวดเร็ว
สมรักษ์แต่งกายรัดกุมเดินมากับเสือใจแล้วหยุดที่หน้าทางเข้าชุมเสือ ด้านหลัง เสือทศ เสือเรือง เสือชิน เสือดำ เสือเข้ม เดินเรียงหน้ากันมา
“ได้เวลาไปแล้ว เรื่องคดีของข้าที่ข้าแจ้งความไว้เอ็งจะลืมไปก็ได้นะ”
เสือใจหัวเราะ หินกับแก้วจูงม้ามากับแวว สมรักษ์มองแต่ไม่เห็นจงใจ
“หมวดเอาม้าแก้วไปนะ...ดูแลมันให้ดีด้วยล่ะ”
“ขอบใจนะแก้ว น้องสาวที่น่ารักของฉัน ฉันจะดูแลมันอย่างดีเลย”
เสือสมิง ตอนที่ 8 (ต่อ)
แก้วยิ้มแต่ในใจรู้สึกปวดร้าวเมื่อได้ยินคำว่าน้องสาว แววมองลูกสาวอย่างสงสาร แก้วยื่นสายบังเหียนม้าให้เขาแล้วยัดกระดาษแผ่นเล็กๆที่พับอย่างแนบเนียน ใส่มือเขา เธอเอาตัวบังแล้วกระซิบ
“พี่จงใจให้เอามาให้”
สมรักษ์พยักหน้ารับ แล้วบอกเสือใจกับแวว
“ฉันไปก่อนนะ”
เสือทศแทรกขึ้น
“แล้วไม่ต้องกลับมาอีกล่ะ”
บรรดาเสือต่างๆหัวเราะชอบใจ สมรักษ์อยู่บนม้าหันมาบอกเสียงเข้ม แววตาจริงจัง
“ฉันกลับมาแน่...”
เสือใจโยนปืนพกประจำกายของสมรักษ์พร้อมกระสุนบางส่วนให้
“เอ้า...นี่ของเอ็ง...เอ็งอาจต้องใช้มัน”
สมรักษ์รับไปอย่างแม่นยำ ก่อนจะควบม้าออกไปอย่างรวดเร็ว
จงใจนั่งกอดเข่าเหงาๆอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ แก้วกับหินเดินเข้ามา
“เขาไปแล้วใช่ไหมแก้ว”
“จ้ะ...แก้วให้ม้าของแก้วไป”
จงใจถามแก้วราวกับหาคนช่วยปลอบใจ
“เขาจะกลับมาไหม แก้ว...”
แก้วน้ำตาคลอสงสารจงใจ และตัวเองก็คิดถึงเขาเหมือนกัน ทำไมต้องมารักคนคนเดียวกันด้วย
“มาสิ...แก้วมั่นใจว่าหมวดต้องกลับมาหา...เอ่อ...พี่จงใจแน่นอน”
จงใจน้ำตาคลอในคำปลอบใจ แก้วกล้ำกลืนความรู้สึก
สมรักษ์เบาม้าลงไสเอวตามจังหวะม้าที่เดินไปเรื่อยๆ เขาเอากระดาษแผ่นเล็กออกมาอ่าน
“หมวดคะ หมวดคงคิดว่าจงใจใจดำเสียเหลือเกินใช่ไหม ที่ไม่ยอมมาส่งหมวด จริงๆแล้วจงใจไม่อาจมองภาพที่หมวดเดินจากไปได้ มันโหดร้ายสำหรับคนที่รักกัน จงใจรักหมวดและมอบหัวใจให้หมวดไปแล้ว ไม่รู้ว่าเราจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ จงใจขอให้หมวดรักษาหัวใจของจงใจเอาไว้ด้วย รัก จงใจ”
สมรักษ์หน้าเศร้านึกถึงจงใจแล้วรำพึง
“ผมกลับมาแน่...จงใจ”
สิ้นเสียงสมรักษ์มีกระสุนเฉี่ยวข้างหูเขาไปตัดกิ่งไม้กระเด็น สมรักษ์ก้มลงแล้วควบม้าหลบไปตามสัญชาตญาณ...ห่างออกไปในพง กลุ่มว้าแดง 4 – 5 คนควบม้าออกมาจากที่ซ่อน หัวหน้ามันสั่งการ
“ตามมันไป ใครเอาหัวมันมาได้ข้าให้สองพัน”
พวกว้าแดงต่างควบม้าตามไปด้วยใจคะนอง
เสือทศเตรียมเก็บข้าวของที่จำเป็นกำลังจะออกเดินทางไกล เสือเรืองกับเสือชินเข้ามาหา
“จะไปกันหรือยังพี่”
“ไปสิ...ข้าพร้อมแล้ว เออ...เรื่องที่ข้าสั่งเมื่อวานได้เรื่องไหม”
เสือเรืองบอกอย่างยิ้มแย้ม
“เรียบร้อยพี่ ป่านนี้มันคงกำลังจะถูกฝังแล้วมั้ง...”
เสือทศยิ้มอย่างพอใจ
สมรักษ์ขี่ม้าหนีลูกปืนของพวกว้าแดงออกมาทางโล่งนอกป่า พวกว้าแดงยิงปืนเข้าใส่อย่างไม่ยั้งและไม่เกรงกลัว
สมรักษ์พยายามบังคับม้าเลี้ยวลดไปมา แล้วขี่เข้าป่าไป พวกว้าแดงขี่ตามมาหัวหน้าตะโกนสั่ง
“เฮ้ย...แยกกันไป”
พวกว้าแดงขี่ม้าแยกกันเข้าไปในป่าหวังโอบล้อมสมรักษ์
พวกว้าขี่ม้าอ้อม เขามาในป่าแล้วขี่มาบรรจบกัน หัวหน้าถามทันที
“เจอไหม”
“ไม่เจอ...”
หัวหน้ามองหน้าลูกน้องคนอื่น ลูกน้องส่ายหน้าบอกว่าไม่พบ หัวหน้าครุ่นคิด
“มันหายไปไหนของมันเร็วขนาดนี้”
ทันใดนั้น ม้าของสมรักษ์วิ่งผ่านไป หัวหน้าเห็น
“เฮ้ย...นั่นไง...ตามไปเร็ว”
ทุกคนชักม้าวิ่งตามไป
ม้าของสมรักษ์วิ่งมาหยุดอยู่ที่มุมหนึ่งของป่า แล้วพักแทะเล็มหญ้าเพราะไม่มีใครบังคับมัน พวกว้าแดงขี่ม้าตามมาติดๆแล้วมาหยุดที่ม้า สิ่งที่เห็นบนหลังม้าก็คือ เสื้อของสมรักษ์ที่เอากิ่งไม้ทำเป็นโครง ทำให้ดูเหมือนว่าเขานอนหมอบอยู่ หัวหน้าแค้นจัด
“เราโดนหลอก...”
สมรักษ์กำลังวิ่งข้ามลำธารที่มีน้ำเลยเข่ามานิดหน่อย กลุ่มม้าของพวกว้าแดงตามมา มันคนหนึ่งเห็นก็บอกพรรคพวก
“มันอยู่โน่น กำลังข้ามลำธาร”
หัวหน้าตะโกนสั่ง
“เร็ว...”
ทุกคนชักม้าควบมาอย่างรวดเร็ว สมรักษ์อยู่กลางลำธาร ที่ลึกพอสมควรเขาพยายามหนี หัวหน้าและลูกน้องยิงมาแต่ไม่โดนเพราะมันไกลเกินไป สมรักษ์ตะกายจนถึงฝั่งพอดีกับพวกว้าแดง ขี่ม้าลงน้ำ ทุกคนยิงสาดมา สมรักษ์แอบที่ต้นไม้ใหญ่แล้วยิงปืนสวนกลับไป ลูกปืนถูกลูกน้องคนหนึ่งตกม้าตายคาที่ หัวหน้าและลูกน้องคนอื่นๆ ระวังมากขึ้น
“ยิงมัน...”
ทุกคนกระหน่ำยิงเพื่อไม่ให้สมรักษ์ได้โผล่หัวออกมา ในที่สุดทุกคนก็มาถึงฝั่ง สมรักษ์วิ่งหนีลูกปืนหัวซุกหัวซุน พวกว้าแดงควบม้ามาจนใกล้ สมรักษ์กำลังจะเสียที ทันใดนั้นจ่าชิตกับตำรวจปรากฏกายขึ้นแล้วยิงช่วย สมรักษ์หลบอยู่ที่ต้นไม้รู้สึกโล่งใจ
“จ่าชิต”
การยิงต่อสู้กันเป็นไปได้พักใหญ่ ผลก็คือพวกว้าแดงตายหมด เหตุการณ์สงบลง ตำรวจทุกคนออกมาจากที่กำบัง บางนายไปพลิกศพพวกว้า จ่าชิตตรงเข้าไปหาสมรักษ์
“เป็นยังไงบ้างหมวด”
“ขอบใจนะจ่า นี่มากันยังไง”
“ผู้กองศักดาสั่งให้พวกเราออกตามหาหมวด”
สมรักษ์แปลกใจแทบไม่เชื่อหู
“ผู้กองศักดาเนี่ยนะ...ให้ตายสิ...ยังไม่ไปผุดไปเกิดอีกหรือ”
จ่าชิตนึกขันที่ไม่มีใครชอบศักดาสักคน
อองไชยทำพิธีปล่อยควายธนูให้อารักขารอบๆพื้นที่ปางไม้ ร่างที่เป็นแสงไฟของควายธนู พุ่งออกไปรอบๆแล้วจางหายไป ท่ามกลางความอัศจรรย์ใจของทุกคน คนงานรู้สึกดีขึ้น
“คราวนี้ก็ไม่ต้องกลัวมันแล้ว หลับกันให้สบาย”
เสี่ยรงค์พอใจ
“ต้องอย่างนี้สิ พรานอองไชย”
ศักดาเดินเข้ามาหาแล้วหยอกเย้า
“เดี๋ยวนี้ใช้หมอผีเป็นบอดี้การ์ดแล้วหรือ”
ศักดาหัวเราะ อองไชยรู้สึกไม่ถูกชะตา เสี่ยรงค์แนะนำ
“นี่คือพรานอองไชย เป็นพรานปราบเสือสมิง”
“เดี๋ยวนี้ศัตรูเพิ่มมาอีกแล้วหรือ...ทั้งเสือใจ เสือสมิง”
“ตอนนี้เสือมันอาละวาดหนัก มันเอาคนงานไปกินหลายคนแล้ว”
ศักดารับรู้ เสี่ยรงค์แนะนำให้อองไชยรู้จัก
“นี่ผู้กองศักดา ฉันใช้เส้นสายเรียกมาช่วยงาน เอามาปราบไอ้ใจโดยเฉพาะ”
ศักดาสงสัย
“ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำอะไรกันอยู่ ผมนึกว่าเสี่ยเผาผีไอ้ใจไปแล้วเสียอีก”
“ถ้าไอ้ใจมันไม่เก่ง ก็เป็นเพราะคนของผู้กองไม่ได้เรื่อง”
ศักดารู้สึกเหมือนถูกตบหน้าแต่รู้ทันเสี่ยรงค์
“ผมว่าเสี่ยคงไม่ได้เรียกผมมาปราบเสือใจอย่างเดียวมั้ง...”
เสี่ยรงค์ยิ้มบางๆยอมรับ
เฮโลอีนบริสุทธิ์ กำลังลำเลียงลงลังเพื่อจัดส่ง ศักดา เสี่ยรงค์ เบิ้ม และอองไชยยืนมองอยู่ ศักดาเข้าใจได้ทันที
“ผมนึกอยู่แล้ว...ต้องการให้ผมทำอะไร”
เสี่ยรงค์ยิ้ม
“จัดส่ง”
ศักดาต่อรอง
“ค่ารายทางมันไม่เบานะ”
“เดือนละหนึ่งแสน ผู้กองเอาไปจัดสรรเอง เปอร์เซ็นต์ของผู้กองต่างหาก”
ศักดายิ้มพอใจ
“เป็นข้อเสนอที่ผมปฏิเสธไม่ได้จริงๆ...ตกลง”
เสี่ยรงค์ดีใจ
“ไปหาอะไรเย็นๆดื่มกันดีกว่า”
ทั้งหมดจากไป ชาวมอญสองคนมองตามแล้วทำงานต่อไป
เสือทศกับพวกมาที่คอกม้ากำลังจะเอาม้าออก เสือใจปรากฏตัวขึ้นแล้วถามเสียงมีอำนาจ
“พวกเอ็งกำลังจะไปไหน”
ทุกคนสะดุ้ง เสือทศคุมสถานการณ์
“เอ่อ...ฉันเบื่อๆน่ะ ว่าจะข้ามไปล่าสัตว์ฝั่งโน้นซักวันสองวัน”
เสือใจสังเกตว่าทุกคนเอาอาวุธและเสบียงไปอย่างพอเชื่อได้ว่าไปล่าสัตว์กันจริง
“ระวังตำรวจไว้บ้างก็ดี”
“จ้ะพ่อ...”
เสือทศเอาม้าออกไป เสือใจมองตามในใจกังวลอะไรบางอย่าง
เสือใจเดินคิดอะไรเรื่อยเปื่อย มาตามทาง แววกลับจากเก็บผักที่ไร่มา
“อ้าว...นี่จงใจไม่ได้ไปช่วยหรอกรึ” เสือใจเข้าไปถาม
แววหน้านิ่งท่าทางหนักใจ
“ไม่ได้ไปจ๊ะ วันๆเอาแต่นั่งเศร้า”
“เพราะไอ้หมวดหนุ่มคนนั้นรึ”
แววถอนหายใจเหม่อมองไปที่ท้องทุ่ง
“ฉันก็ไม่เข้าใจว่ามันเป็นรักแรกพบหรือเวรกรรมกันแน่ ฉันรู้ว่าจงใจรักเขาจนหมดหัวใจ”
เสือใจรู้สึกสับสน
“ฉันจะทำยังไงดีแวว”
“พี่ว่าหมวดนั่นจะกลับมาหรือเปล่าล่ะ”
“คำพูดสุดท้ายมันบอกว่าอย่างนั้น”
“พี่เชื่อไหมล่ะ”
“ฉันไม่รู้จักมัน ฉันไม่รู้ว่ามันจะกลับมาหรือเปล่า”
“ฉันก็ไม่รู้ ไม่มีใครเดาใจหมวดสมรักษ์ได้หรอก แต่สิ่งสำคัญก็คือถ้าเขากลับมาจริงๆ พี่จะทำยังไง”
แววทิ้งคำถามเอาไว้ให้เสือใจคิดแล้วเดินจากไป เสือใจคิดตามในใจยังไม่มีคำตอบ
จ่าชิตนั่งกินอาหารกระป๋อง กับสมรักษ์อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ตำรวจนายอื่นแยกกันไปเป็นหย่อมๆ
“ผู้กองเขานึกยังไงนะ ถึงได้ย้ายกลับมา” สมรักษ์สงสัยเรื่องศักดา
“มาปิดคดีเสือใจ...หมวดเชื่อไหมล่ะ”
สมรักษ์รู้ทัน
“เชื่อครึ่งหนึ่ง ผมเดาได้ว่าเสี่ยรงค์ใช้อำนาจเรียกมา”
“แล้วอีกครึ่งนึงล่ะ”
“ไม่รู้สิ รู้แต่ว่าคนอย่างผู้กองศักดาผลประโยชน์ต้องมาก่อน เสี่ยรงค์อาจจะกำลังทำอะไรบางอย่างที่มีผลประโยชน์มหาศาล”
จ่าชิตคิดตามแล้วพยักหน้ารับ
“ผมว่าเราคงต้องรับมือผู้กองให้ดี”
“เออ...หมวดยังไม่ได้บอกผมเลยว่า หมวดไปอยู่ที่ไหนมา”
สมรักษ์กังวล เขาไม่อยากบอกเลยว่าเขาอยู่กับเสือใจ
กินรีกับมะค่าซักผ้าอยู่ด้วยกันที่ลำธาร กินรีท่าทางเหม่อลอย
“พี่กินรี พี่กินรี” มะค่าเรียก
กินรีสะดุ้ง
“มีอะไรมะค่า”
“เป็นอะไรน่ะพี่กินรี ใจลอยไปถึงไหน แล้ว”
มะค่านึกขึ้นได้ แล้วพูดลอยหน้าลอยตาล้อเลียน
“หรือว่าลอยไปแถวอนามัย...กันน้า...”
“จะบ้าหรือมะค่า”
กินรีแก้เขิน วักน้ำใส่มะค่าเป็นการใหญ่
“นั่นแน่...คิดถึงหมอภราดรใช่ไหมล่ะ...”
“ไม่ใช่ซะหน่อย”
“ไม่คิดถึงก็ไม่เป็นไร ว่าจะชวนไปอนามัยเป็นเพื่อนเสียหน่อย”
“มะค่าจะไปอนามัยหรือ พี่ไปเป็นเพื่อนก็ได้”
มะค่าขำๆ
“นั่นแน่...ไหนบอกว่าไม่คิดถึงไง”
“ก็แค่อยากเจอหมออีกครั้ง...ว่าแต่มะค่าจะไปอนามัยทำไม”
“อ๋อ...แม่ฉันจะไปตรวจมะเร็งเต้านมน่ะ พ่อไม่ว่างเลยให้ฉันไปเป็นเพื่อน”
“เมื่อไหร่”
“พรุ่งนี้”
กินรียิ้มในใจคิดถึงภราดร ขณะเดียวกันมีเสียงสวบสาบดังมาจากในป่า กินรีกับมะค่าหันไปมอง
“อะไรน่ะพี่กินรี”
“ไปดูกัน”
มะค่าหวาดๆ
“อย่าเลยพี่กินรี ฉันว่าเรารีบกลับกันดีกว่า”
“พี่จะไปดู”
กินรีรีบวิ่งเข้าไปตามเสียง มะค่ากลัวๆแต่ก็ต้องตามไป
“รอด้วย”
กินรีเดินหาตามเสียงเข้าไปในป่า มะค่าตามาติดๆ
“ไม่เห็นมีอะไรเลย กลับกันเถอะพี่กินรี”
“พี่ได้ยินเสียงมาจากแถวนี้แหละ”
กินรีส่ายสายตาหาบริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่ โดยไม่เห็นเสือสมิงที่อยู่บนคบไม้...ทันใดนั้น เสือสมิงกระโจนลงมาด้านหลังกินรีแต่เมื่อตกลงมาถึงพื้นกลับกลายเป็นพะอู...กินรีกับมะค่าหันหลังไปเห็นเป็นพะอูก็โพล่งออกมาพร้อมกัน
“พะอู...”
กินรีรีบไปประคองพะอูที่ดูท่าทางอ่อนล้า
ประเดิมจัดหาอาหารกลางวันมาวางที่โต๊ะอาหาร ภราดรเดินเข้ามาล้างไม้ล้างมือแล้วเตรียมตัวกินข้าว
“น่ากินจัง ฝีมือใครเนี่ย”
“จะใครเสียอีกล่ะครับ ก็มีแต่ผมนี่แหละ นายประเดิม พ่อครัวหัวแม่เท้าเจ้าเก่า”
ประเดิมพูดไปหัวเราะไป
“เปล่า...ผมเห็นว่าทุกครั้งระรินเขาเป็นคนจัดมา”
“เออ...นั่นสิหมอ วันนี้ดูคุณระรินแปลกๆ ดูเงียบๆพิกล”
เดือนเดินเข้ามาพอดี ภราดรหันไปชวน
“เดือนมาทานข้าวด้วยกัน ระรินล่ะ”
“ระรินเขาบอกว่าไม่สบาย ลากลับบ้านไปแล้วค่ะ เขาเห็นหมอกำลังตรวจคนไข้ยุ่งอยู่เลยไม่อยากกวนค่ะ”
ภราดรรับรู้ และรู้สึกแปลกที่ระรินดูเงียบไปแต่ไม่ได้สงสัยอะไร
“ทานข้าวกันเถอะ เดี๋ยวบ่ายจะได้ทำงานต่อ”
ทั้งหมดลงมือกินข้าวกลางวันกัน
ระรินปิดประตู หน้าต่างในห้องนอนจนมืดทึบเพื่อทำพิธี เธอวางเส้นผมของภราดรที่แอบหยิบมาจากห้องน้ำลงบนพาน อองไชยมองดูเส้นผมแล้วมองหน้าระริน
“ข้าขอถามอีกครั้งว่าเจ้าแน่ใจแน่นะ”
ระรินพยักหน้า
“แน่ใจ...เริ่มพิธีเถอะท่านพราน”
อองไชยทำตามคำขอ เขาเริ่มบริกรรมคาถา แล้วหยิบก้อนดินที่ปั้นเป็นหุ่นดินเหนียวสองตัว ซึ่งเป็นตัวแทนของระรินและภราดร
“พนมมือแล้วตั้งจิตถึงหมอภราดร อย่าวอกแวก”
ระรินทำตามเธอหลับตาแล้วพนมมือ อองไชยบริกรรมคาถาแล้วเอาหุ่นสองตัวประกบหน้าเข้าหากัน แล้วเอาเส้นผมของภราดรมาพันหุ่นทั้งสองตัว ตามด้วยเชือกสายสินจ์ มัดหุ่นไปอีกหลายรอบ บังเกิดเป็นแสงเรืองขึ้น ที่หุ่นตลอดเวลา
อองไชยเอาหุ่นวางบนพาน แล้วสั่งระริน
“ถอดเสื้อออก”
ระรินตกใจ
“ถอดเสื้อ...ไหนเจ้าบอกยอมทุกอย่างไง”
ระรินจำยอมถอดเสื้อออก เธอค่อยๆปลดกระดุมทีละเม็ด อองไชยทำพิธีที่บริเวณหน้าอกหลับตาบริกรรมคาถา โดยมีผีเจ็ดป่าช้าล้อมรอบ พลันมีแสงเรืองขึ้นที่ตัวระรินแล้ววูบลงในหุ่นบนพาน ทุกอย่างกลับคืนสู่ปกติ
“ใส่เสื้อซะ”
ระรินรีบใส่เสื้อทันที
งะดินเดหลับตาบริกรรมคาถาบำเพ็ญเพียรอยู่บนแท่น รับรู้ถึงพิธีกรรมของอองไชย งะดินเดลืมตากร้าวก่อนจะหัวเราะออกมา
“บาเยงโบ เจ้ากำลังได้รับกรรมของเจ้าแล้ว...เจ้ากับชะเวมะรัตไม่มีทางที่จะสมหวังกันได้ในชาตินี้...และตลอดไป”
พระธุดงค์ที่นั่งสมาธิเข้าญาณอยู่แล้วรับรู้เรื่องทำเสน่ห์เช่นกัน ได้แต่ปลงๆ เพราะทำอะไรไม่ได้
“เวรกรรมจริงๆ”
ขณะที่ภราดรตรวจคนไข้ เกิดร่างกระตุกขึ้น เขาจะล้มคว้าแก้วที่โต๊ะตกลงมาแตก ภราดรรู้สึกมึนศีรษะแล้วทรุดลง เดือนตกใจ
“คุณหมอ...คุณหมอเป็นอะไรไปคะ”
ภราดรเปลี่ยนไปทั้งน้ำเสียงและท่าทาง ดูกร้าวขึ้นแววตาแข็ง เพราะโดนเสน่ห์เข้าแล้ว
“ผมไม่เป็นไร...เสร็จแล้ว...พาคนไข้ไปรับยาไป”
เดือนงงๆ แล้วทำตามสั่ง ภราดรคิดๆแล้วตัดสินใจออกมาข้างนอกห้อง
“ผมไปข้างนอกเดี๋ยวนะ”
ภราดรเดินลงมาที่ลานด้านล่างอนามัยตรงไปที่รถ แล้วเปิดประตูรถจะขับออกไป ประเดิมเห็นเข้ารีบวิ่งมาหา
“จะไปไหนหรือครับคุณหมอ...มาผมขับให้”
ภราดรแววตาแข็งจนประเดิมแปลกใจ แล้วพูดด้วยเสียงห้วนๆ
“ไม่ต้อง”
ภราดรขับรถอกไปทันที ประเดิมมองตามงงๆ
“จะรีบไปไหนของเขาวะ”
เมื่อกลับมาถึงบ้าน พะอูนอนลงพักผ่อน กินรีกับมะค่าคอยดูแลด้วยความเป็นห่วง แม่หมอเดินเข้ามาเอายามาให้กิน
“กินยาซะจะได้มีแรง”
พะอูทำตามอย่างว่าง่าย แม่หมอเดินออกไปข้างนอกบ้าน
“มะค่า คอยดูแล พะอูก่อนนะ”
กินรีออกมาถามแม่หมอที่เดินไปผ่าฟืน
“ยาย พะอูเป็นอะไรกันแน่”
“ข้าไม่รู้จะบอกเอ็งว่ายังไงกินรีเอ๊ย...”
กินรีสงสัย
“หรือว่า...พะอูจะเป็น...”
กินนรีจะพูดว่าเสือสมิง แม่หมอแทรกขึ้น
“ยายไม่อยากคิดอย่างนั้นเลย”
“แต่หนูรู้สึกว่าจ่าชิตจะสงสัยพะอูนะ”
แม่หมอหน้าหม่นหมอง
“ถ้ามันเป็นจริงก็ต้องยอมรับกรรมไป ข้าช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ”
กินรีหน้าเครียดไม่อยากให้เป็นจริง ในใจคิดถึงพระธุดงค์
ระรินแต่งตัวเรียบร้อย ออกมาคุยกับอองไชยที่ห้องรับแขก
“ท่านพรานแน่ใจนะว่าได้ผล”
“อาคมของข้าไม่เคยพลาด อีกไม่กี่อึดใจมันต้องมาหาเจ้า แต่จำเอาไว้นะ เจ้าต้องเก็บหุ่นไว้ใต้หมอตลอด และห้ามเอาออกไปเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นอาคมมันจะคลายทันที”
ระรินพยักหน้าเข้าใจ ขณะเดียวกันนั้นเสียงรถมาจอดที่หน้าบ้าน
“ใครมาน่ะ”
ระรินลุกออกไปดู ภราดรลงมาจากรถแล้วเดินมาที่ตัวบ้าน
“หมอ...ท่านพรานได้ผลจริงๆด้วย”
ระรินหันไปหาอองไชยก็พบว่าเขาหายไปจากที่ตรงนั้นแล้ว แต่ระรินไม่สนใจเธอรีบวิ่งไปรับภราดร
“คุณหมอ”
ภราดรแววตาหวาน เคลิ้มๆเมื่อเจอระริน
“คุณระริน ทำไมคุณกลับมาแล้วไม่บอกผม ผมคิดถึงคุณนะ”
“ขึ้นบ้านก่อนดีกว่าค่ะ”
ทั้งคู่ตระกองกอดกันขึ้นบ้านไป
กินรีเดินมาในป่าอย่างรีบเร่งในมือมีตะกร้าใส่ของมาด้วย หญิงสาวมองหาใครบางคน เวลาผ่านไปพอสมควรกินรีมาหยุดใต้โคนต้นไม้ใหญ่แล้วมองไปรอบๆ ไม่เห็นมีใคร
“อยู่ไหนนะ...”
ทันใดนั้นเสียงพระธุดงค์ดังลอดมาจากข้างหลัง
“มองหาอาตมาอยู่หรือ”
กินรีหันขวับไปตามเสียงเห็นพระธุดงค์ปักกลดอยู่ ด้านหลัง หญิงสาวประหลาดใจมากเพราะเดินผ่านมายังไม่มีเลย
“หลวงพ่อ...”
พระธุดงค์มองอย่างมีเมตตา
กินรีรินน้ำสมุนไพรที่เตรียมมาประเคน พระธุดงค์รับประเคนแล้วยกขึ้นดื่ม
“เจริญพร โยมมีเรื่องร้อนรนอะไรหรือ ดูท่าทางจะร้อนรุ่มในใจ”
“ก็เรื่อง...น้องชายของหนูน่ะค่ะพระคุณเจ้า”
พระธุดงค์รู้เรื่องด้วยญาณก่อนหน้านี้แล้ว
“มันเป็นเรื่องตั้งแต่อดีต ความจริงเด็กคนนั้นน่ะ ตายไปแล้วแต่...”
กินรีชะงักอึ้ง
“ตายไปแล้วหรือเจ้าคะ...เป็นไปไม่ได้ยายบอกว่าตอนยายไปพบยังร้องแว้ๆอยู่เลย”
พระธุดงค์หลับตาดูทางใน
“ที่เห็นว่ายังอยู่เพราะต้องมารับกรรม เด็กคนนั้นมีกรรมสั่งสมมาไม่รู้ต่อกี่ชาติ”
“แล้วเรื่อง...เสือสมิงล่ะเจ้าคะ”
พระธุดงค์ถอนหายใจแล้วพยายามตอบเลี่ยงๆ
“มัน ก็เป็นส่วนหนึ่งของกรรมที่ต้องชดใช้”
กินรีตกใจน้ำตาเริ่มคลอ
“โธ่...พะอู แล้วมีวิธีอะไรช่วยเหลือพะอูไหมเจ้าคะ”
“ทุกอย่างย่อมเป็นไปตามกรรม ใครทำอย่าไรก็จะเป็นอย่างนั้น ไม่มีใครฝืนหรือลบล้างการกระทำที่ได้ก่อไปแล้วได้หรอก ตัวโยมเองก็เช่นกัน ช่วงนี้ก็ต้องระวังให้ดีจงยึดมั่นในความดี ยึดมั่นในความรักแล้วทุกอย่างก็จะผ่านไปด้วยดี”
“เจ้าค่ะ”
กินรีก้มลงกราบ พระธุดงค์ล้วงเข้าไปในย่ามแล้วหยิบลูกประคำโยนให้
“เอานี่ไปให้น้องชายโยมสวมไว้”
กินรีรับไปแล้วกราบลา ก่อนจะเดินจากไป พระธุดงค์และกลดเลือนหายไป เหลือแต่ความว่างเปล่าราวกับไม่เคยมีการปักกลดมาก่อน
จ่าชิตนั่งดูดยาอยู่ที่ระเบียงหน้าห้อง...ในห้อง สมรักษ์ยืนรายงานตัวอยู่หน้าโต๊ะ ศักดากำลังวางมาดไล่บี้
“ไหนคุณบอกผมมาซิ หายไปไหนมาตั้งสองสามวัน อย่างนี้ถือว่าละทิ้งหน้าที่นะ...คุณก็รู้โทษทางวินัยอยู่แล้วนี่ ไหนบอกมาซิว่าคุณหายไปไหนมา”
“ผมหลงป่าขณะปฏิบัติหน้าที่”
ศักดาเชื่อแล้วไล่ต่อ
“ผมมาที่นี่เพื่อปิดคดีเสือใจ และผมต้องการให้หมวดออกล่าเสือใจอย่างจริงๆจังๆ ภายใน 7 วัน ผมต้องได้ตัวเสือใจ ไม่ว่าจะมีลมหายใจหรือว่าไม่มีลมหายใจ...7 วัน...และนี่คือคำสั่ง”
“ครับ”
สมรักษ์ทำความเคารพ แล้วเดินหน้ามุ่ยออกมานอกห้อง เจอจ่าชิตที่เดินเข้าไปหา
“เป็นยังไงบ้างหมวด”
“มีเหล้าเหลือไหม...”
จ่าชิตงงแล้วพยักหน้า
เสือสมิง ตอนที่ 8 (ต่อ)
เสือทศ เสือเรืองและเสือชิน มาที่ตลาดชายแดน เสือชินไม่เคยมาจึงสงสัยแล้วถามเสือเรือง
“พี่ทศเขามาซื้อกับข้าวหรือไงพี่”
“ถ้าอยากรวยมีหญิงกอดทุกวัน ก็รูดซิปปากซะ”
เสือชินเงียบรอดูเหตุการณ์ สักครู่พ่อค้าชาวว้า 2 คนก็เดินมาหาเสือทศ
“ของเรียบร้อยไหม”
“เงิน...”
เสือทศโยนเป้ใส่เงินและเครื่องประดับให้ พ่อค้ารับไปแง้มดู แล้วพยักหน้าให้เพื่อน
“ตามมา”
พ่อค้าทั้งสองเดินไป เสือทศกับลูกน้องเดินตามไปอย่างระวังตัว
ในโรงนา...พ่อค้าเปิดผ้าคลุมเข่งออกเห็นยางฝิ่นเต็มไปหมด เสือทศมองด้วยความพอใจ เสือชินตาวาวแล้วหลุดปาก
“นี่มันยางฝิ่นนี่”
“ยังไม่รู้ว่าใช่หรือเปล่า” เสือทศสั่ง “เอ็ง...ไอ้ชินเอ็งรู้จักฝิ่นมากกว่าใครลองพิสูจน์ดูซิ”
เสือชินเดินไปเอามาบี้และแตะลิ้นดู แล้วพยักหน้า
“ใช่จ้ะพี่...”
เสือทศหันไปบอกพ่อค้าชาวว้า
“อย่างนี้คงคบกันอีกยาว...ไปพวกเรา”
เสือทศ กับลูกน้องเตรียมตัวเดินทาง
จ่าชิตชวนสมรักษ์มาที่บ้านของเขา สมรักษ์ยกเหล้าดื่มรวดเดียวหมด จ่าชิตรินเติมให้ ทั้งคู่สนทนากันมาพอสมควรแล้ว
“เบาๆหมวด...เปลือง...”
“ไปเอามาอีกสองขวดไปฉันเลี้ยงเอง...”
จ่าชิตหัวเราะแล้วถอนหายใจ
“สรุปแล้ว หมวดไปอยู่ในชุมโจรไอ้ใจมันมา 2 วัน แถมยังชอบลูกสาวเขาอีก มันจะหนังไทยอะไรขนาดนั้น...เอ ผมไม่ยักรู้ว่าไอ้ใจมันมีลูกสาวนะ อาจจะเป็นลูกกับเมียเสี่ยรงค์ก็ได้...”
สมรักษ์คิดไม่ตก
“ผู้กองศักดาให้เวลาแค่ 7 วัน ไปลากตัวเสือใจมา”
“หมวดก็ไปลากตัวมันมาสิ...ไม่เห็นยาก ทางเข้าทางออกก็รู้อยู่แล้ว”
“มันไม่ใช่อย่างนั้นน่ะสิ...เสือใจไม่ใช่คนผิด”
จ่าชิตตบเข่าฉาด
“นั่นปะไร...ทีนี้เชื่อผมหรือยัง...ผมกับไอ้ใจน่ะคบกันมานานรู้นิสัยใจคอมันดี มันไม่มีทางเป็นอย่างนั้นได้หรอก เสี่ยรงค์ต่างหากบังคับมัน”
“แต่เสือใจก็เอาเมียเสี่ยรงค์ไปด้วยนี่”
“นั่นก็ต้องว่ากันไป...แล้วหมวดจะทำยังไง”
สมรักษ์พยายามหาทางออก
“ต้องให้เสือใจมอบตัว มาสู้คดี”
“มันคงยอมหรอก”
“แต่ถ้าลูกสาวเขาขอร้องล่ะ”
จ่าชิตคิดตามแต่ไม่ตอบ
“ผมอยากรู้จริงๆว่าอะไรทำให้ผู้กองศักดากลับมา”
จ่าชิตนึกถึงชาวมอญสองคนที่เขาเคยช่วยชีวิตเอาไว้ เขาคิดว่าคงจะให้คำตอบเรื่องนี้ได้
เสือทศคุมคาราวานฝิ่นมา ม้าและลูกหาบชาวว้าแดง เดินทางมาตามสันเขา มุ่งหน้าปางไม้เสี่ยรงค์ เสือเรืองรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจ
“พี่ เราจะไว้ใจไอ้เสี่ยรงค์มันได้หรือ”
“ไม่ได้...”
“อ้าว...แล้วพี่ยังจะค้าขายกับมันอีกหรือ”
“มันไม่มีทางจะเทียบเราได้หรอก เราถือวัตถุดิบ มีใครอยากได้ตั้งมากมาย หักกับมันเราก็มีเจ้าอื่น”
“แต่ฉันคิดว่ามันไม่น่าจะมาร่วมมือกับเรา แค่เรื่องนี้นะ”
เสือทศคิดๆและเข้าใจ ทั้งหมดเดินทางต่อไป
ภราดรนั่งสบายอยู่ที่ห้องนั่งเล่น ระรินยกจานผลไม้ออกมาแล้วป้อนเอาใจ ภราดรตกอยู่ในวังวนของเสน่ห์ จึงไม่เป็นตัวของตัวเอง
“คุณระรินนี่น่ารักที่สุดเลย ผมแทบจะไม่อยากกลับบ้านเลย อยากอยู่กับคุณระรินไปชั่วชีวิต”
ระรินทำเป็นจริตเอียงอาย
“แหม...คุณหมอนี่ปากหวานจังเลยระรินชักกลัวแล้วสิ”
“กลัวอะไรครับ”
“กลัวคุณหมอพอได้ชื่นชมระรินจนอิ่ม คุณหมอก็จะทิ้งระรินไป”
ภราดรดึงระรินเข้ามากอด
“โธ่...ผมรักคุณระรินด้วยใจจริงนะครับ รักจนสุดหัวใจ เชื่อผมเถอะครับ”
ระรินจริตทำออเซาะคลายตัวออกมา ก่อนจะวางหน้าให้ดูน่าสงสาร
“ถ้าอย่างนั้นก็ให้ผู้ใหญ่ของเรามาคุยกันไหมคะ ระรินเป็นผู้หญิงมีแต่จะเป็นขี้ปากชาวบ้าน”
“เรื่องนั้นไม่ยากเลยผมคิดเอาไว้แล้ว ผมตั้งใจจะให้ผู้ใหญ่มาคุยกับคุณระรินเร็วที่สุด”
ภราดรดึงตัวเข้ามากอดอย่างหวานซึ้ง ระรินยิ้มสมใจ เสี่ยรงค์เดินเข้ามากับศักดาแล้วเห็นทั้งคู่กอดกัน
“นี่มันอะไรกันเนี่ย” เสี่ยรงค์โวยลั่น
ภราดรสะดุ้งแล้วผละออกอย่างตกใจ เสี่ยรงค์หน้าเข้ม
กินรีกลับมาที่บ้าน เห็นพะอูนอนหลับอยู่ แม่หมอที่กำลังเย็บหมอนหันมาถาม
“ไปไหนมารึ”
“ไปหาหลวงพ่อธุดงค์มาจ้ะ...”
แม่หมอสงสัยว่าไปทำไม
“หนูรู้สึกไม่สบายใจ เรื่องพะอู เลยคิดจะลองไปให้ท่านเข้าญาณดู”
“ได้เรื่องไหม”
กินรีส่ายหน้า
“ท่านไม่ได้บอกอะไร แต่ให้ประคำนี่มา ท่านบอกว่าให้พะอูสวมไว้หนักจะได้เป็นเบา”
แม่หมอพินิจดูประคำ แล้วพยักหน้าช้าๆ ให้เอาไปสวมให้พะอู กินรีต่อยๆคลานเข้าไปที่พะอูแล้วบรรจงสวมประคำลงไปเกิดปาฏิหาริย์ มีแสงเรืองรอบตัวพะอูแล้วจางหายไป
“ขอให้คุณพระคุณเจ้า จงคุ้มครองพะอูด้วยเจ้าค่ะ”
พะอูหลับอยู่ไม่รู้เรื่อง
งะดินเดบังเกิดการสะดุ้งเพราะรับรู้ในอาคมของประคำ มีลมพัดวูบใส่ใบหน้าของเขา
“อยากลองดีกับข้านักรึ”
งะดินเดนั่งบริกรรมคาถาต่อสู้
พระธุดงค์กำลังวิปัสสนาอยู่ รับรู้เช่นกัน
“ทำไมถึงวนเวียนอยู่ใน วังวนแห่งโมหะ ทำไม่ไม่หาทางออกเสียที เห็นทีอาตมาคงต้องยอมผิดศีลเป็นแน่”
พระธุดงค์หลับตานั่งบริกรรมต่อไป
ภราดรนั่งอยู่กับเสี่ยรงค์ มีกินรีอยู่ข้างๆ ศักดานั่งอยู่ร่วมโต๊ะเดียวกัน
“ผมยินดีครับถ้าคุณหมอรักลูกสาวผมจริงๆ ก็เป็นวาสนาของระรินเขา” เสี่ยรงค์ท่าทางพอใจ
“อย่าคิดอย่านั้นเลยครับ เป็นโชคดีของผมมากกว่า”
ระรินแอบยิ้มให้ภราดร
“เย็นแล้วผมกลับก่อนนะครับ ไม่รบกวนแล้วครับ”
“ตามสบายนะ”
ระรินเดินไปส่งภราดร เสี่ยรงค์นั่งคุยกับศักดา...ภราดรเดินผ่านรูปปั้นบาเยงโบ แล้วหยุดกึก ร่างกายของเขารู้สึกมึนงง และเหมือนมีอะไรมาฉุด เขาตกอยู่ในภวังค์
“หมอ...หมอ...เป็นอะไรคะ” ระรินเขย่าตัว
ภราดรรู้สึกตัว
“ไม่เป็นไรครับ”
ระรินเดินไปส่งเขาที่รถ
เสี่ยรงค์คุยเรื่องสำคัญกับศักดา
“คืนนี้ผมจะล่องของ ผู้กองเคลียร์เส้นทางแล้วนะ”
“เรียบร้อย พรุ่งนี้เช้าถึงมือลูกค้าแน่นอน”
เสี่ยรงค์พอใจ แล้วซักเรื่องเสือใจ
“แล้วเรื่องเสือใจ”
“ใจเย็นๆสิ เสี่ย...ผมเพิ่งมาได้วันสองวันเอง แต่อย่าห่วงเลยผมสั่งสมรักษ์ไปแล้วภายใน 7 วัน ถึงจะจับยังไม่ได้แต่ก็ต้องได้อะไรบ้างล่ะ”
เสี่ยรงค์พอใจแล้วตัดสินใจ
“ผมต้องการมันเป็นๆ ผมจะตั้งรางวัลนำจับมัน 5 แสนบาท”
“โอ้โห ค่าหัวเท่าๆกับมือปืนระดับพระกาฬในเมืองหลวงเลย...ถามจริงๆเถอะทำไมถึงจองล้างจองผลาญเสือใจจัง ทั้งๆที่เรื่องมันก็เลยมาเกือบ 20 ปีแล้ว จะว่าเรื่องจันทร์แก้วมันก็น่าจะลืมๆไปได้แล้วนี่”
เสี่ยรงค์แววตาแค้น
“แต่ผมไม่ลืม นอกจากมันจะเอาจันทร์แก้วไปจากผมแล้ว มันยังเอาของบางอย่างของผมไปด้วย
ศักดาสงสัยว่ามันคืออะไร
ในอดีต...บ้านเสี่ยรงค์ช่วงหัวค่ำไฟเปิดสว่าง พวกคนรับใช้ยังคงทำงานอยู่ในบ้าน จันทร์แก้วอุ้มระรินวัย 2 ขวบป้อนนมจากขวดอยู่ เสี่ยรงค์กลับจากปางไม้ตรงเข้ามาหาอย่างเอาใจพลางทักลูกสาว
“เป็นยังไงจ๊ะระรินลูกพ่อ...นี่พ่อมีของเล่นมาให้ลูกด้วยนะนี่ไง”
เสี่ยรงค์เอาของเล่นให้ ระรินเล่นสนุกสนาน จันทร์แก้วสั่งคนรับใช้
“มะคิ่น มาเอาระรินไปนอนไป”
มะคิ่นมาอุ้มระรินไปนอน ส่วนจันทร์แก้วเดินหนี เสี่ยรงค์ตามง้อ
“จะไปไหนล่ะจันทร์แก้ว ผัวมาเหนื่อยๆน่าจะมาให้หอมให้ชื่นใจหน่อย”
“พี่มีสาวให้หอมมากมากมายไม่ใช่หรือ ล่าสุดก็เมียนายใจ ฉันไม่เข้าใจเลยว่าพี่ทำไปได้ยังไง”
เสี่ยรงค์เจ้าเล่ห์พยายามแก้ตัว
“โธ่...ก็นังโฉโฉ่หละมันยั่วพี่นี่ใครจะอดใจไหว นะ...แหม...ไหน...ไหนมันก็ไปดีแล้ว...นี่วันนี้พี่มีของมาฝากจันทร์แก้วด้วย”
จันทร์แก้วมองดูเสี่ยรงค์หยิบพลอยสีแดงสดเม็ดใหญ่ เจียรนัยสวยงามขนาดนิ้วโป้งออกมา จันทร์แก้วรู้สึกชอบมันและถือมันอย่างหลงใหล
“สวยจังเลย พี่เอามาจากไหนน่ะ”
“มีพวกพม่าเอามาขายให้...”
ทั้งคู่ยังไม่ได้พูดอะไรกันต่อก็มีเสียงปืนดังเข้ามา เปรี้ยงๆ...พร้อมกับเสียงเสือใจตะโกนลั่น
“ไอ้เสือบุกโว้ย”เสี่ยรงค์รีบไปคว้าปืนข้างในห้อง
จันทร์แก้วเอาพลอยแดงใส่ไว้ที่หน้าอก เสี่ยรงค์มองไปด้านนอกเห็นเสือใจขี่ม้ามาปล้น
"ไอ้ใจ...จันทร์แก้ว หลบไปก่อนเร็ว”
จันทร์แก้ววิ่งเข้าไปข้างใน มะคิ่นอุ้มระรินเตรียมหนี เสี่ยรงค์ยิงปืนใส่เสือใจ
“มา...ไอ้ใจ...มึงเข้ามา...”
เสือใจบัญชาการการปล้นอย่างแข็งขัน ลูกน้องต่างยิงและบุกเข้าไปปล้นในบ้าน เสี่ยรงค์ต้านไม่ไหวหนีเข้าข้างในแล้วพาจันทร์แก้ว กับลูกหนีไปด้านหลัง
“ไปจันทร์แก้ว หนีกันก่อน”
เสือใจเห็นไวๆว่าเสี่ยรงค์ จันทร์แก้วและมะคิ่น อุ้มระรินหนีไป เขาจึงไสม้าตามไป เสี่ยรงค์กระสุนหมดหนีหัวซุกหัวซุน เสือใจตามมาทันแล้วยิงเข้าที่ขา เสี่ยรงค์ล้มลง
“วันนี้จะเป็นวันที่โฉโฉ่หละตายตาหลับ”
เสือใจขึ้นนกปืนหมายจะยิงแต่จันทร์แก้วขอร้อง
“อย่า...นายใจ ฉันขอร้องล่ะ”
เสือใจแม้หน้าจะเข้มแต่แววตาอ่อนโยน ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจ
“กูจะไม่ฆ่ามึงก็ได้ แต่กูจะทำให้มึงช้ำใจไปตลอดชีวิต มึงเอาของรักกูไปได้ กูก็จะเอาของมึงไปบ้าง...มานี่...เสือใจฉุดจันทร์แก้วลุกขึ้นแล้วจะเอาตัวไป”
เสี่ยรงค์ร้องห้าม
“อย่า...ไอ้ใจ อย่า...”
จันทร์แก้วตื่นกลัว
“อย่านายใจ ปล่อยฉัน...”
เสือใจไม่สนใจลากจันทร์แก้วขึ้นม้าไปด้วยกัน เสี่ยรงค์ได้แต่นอนมองอย่างเจ็บใจ
“จันทร์แก้ว...”
เสือใจตะโกนลั่งสมุน
“ไอ้เสือถอย...”
พวกเสือใจควบม้าจากไป เสี่ยรงค์มองน้ำตาอาบหน้า
“โธ่...จันทร์แก้ว”
เสี่ยรงค์นั่งแววตากร้าว ศักดาฟังอย่างตั้งใจ
“ผมมารู้ภายหลังว่า พลอยเม็ดนั้นมันเป็นของกษัตริย์โบราณ ทุกวันนี้ราคามันประเมินค่าไม่ได้”
ศักดาตาโต
“จริงหรือ...”
“จับมันได้ เดี๋ยวก็รู้”
เสี่ยรงค์แววตากร้าวในใจแค้น
เสือใจเดินเข้ามาในบ้านเห็นสำรับกับข้าวยังไม่พร่อง แสดงว่าจงใจไม่กินข้าวเย็น จึงเดินเข้าไปเห็นเธอนอนอยู่จึงไม่อยากเข้าไปรบกวน มองอย่างสงสาร
“ท่าทางจะเป็นเอามาก...เฮ้อ...”
เสือใจเดินไปที่เตียงนอน แล้วล้วงกล่องใบหนึ่งออกมาหยิบพลอยแดงเม็ดที่จันทร์แก้วเอามาจากเสี่ยรงค์ ขึ้นมาดูเขาหวนรำลึกถึงความหลัง
ในอดีตเมื่อ 20 ปีที่แล้ว...เสือใจในวัยหนุ่มกอดจันทร์แก้วที่ท้องแก่นั่งมองทิวทัศน์ อยู่ใต้ร่มเงาไม้ที่ร่มรื่น ทั้งคู่มีความสุข
“ฉันขอบใจพี่เสือด้วยนะที่ดูแลฉันกับลูกอย่างดี”
“มันเป็นหน้าที่ของพี่อยู่แล้ว”
จันทร์แก้วลูบท้อง
“ลูกฉันจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายนะ...”
“จะหญิงหรือชาย ฉันก็จะรักเขาและดูแลเขาอย่างดีที่สุด ฉันสัญญา”
จันทร์แก้วหยิบพลอยเม็ดนั้น ออกมาจากอกเสื้อแล้วบอก
“นี่คือสมบัติชิ้นเดียวของฉันที่ฉันมีติดตัวมา ฉันจะเก็บเอาไว้เป็นของขวัญวันแต่งงานของเขา”
เสือใจยิ้มรับ
เสือใจยังคงมองพลอยเม็ดนั้นแล้วรำพึง
“สงสัยจะได้ใช้มันแล้วมั้ง...จันทร์แก้ว...”
เสือใจคิดถึงอนาคตหน้าอิ่มเอิบขึ้นมา
ค่ำคืนนั้น เบิ้มนั่งมากับรถบรรทุกผักที่วิ่งมาตามถนน ลูกน้องหันมาถามอย่างไม่ค่อยมั่นใจ
“นายเคลียร์เส้นทางเรียบร้อยแล้วนะพี่เบิ้ม”
“เออสิวะ ระดับเสี่ยรงค์แล้ว เอ็งไม่ต้องห่วง...ผ่านฉลุย”
ห่างออกไปข้างหน้ามีด่านตำรวจตั้งอยู่ ลูกน้องท่าทางกลัวๆ
“พี่เบิ้ม...ด่าน”
“เออ...แล้วไงวะ ขับไปเถอะน่า”
รถวิ่งมาที่ด่านแล้วชะลอ ตำรวจมองหน้าเบิ้มแล้วถาม
“ขนอะไรมา”
“กะหล่ำปลีของเสี่ยรงค์ครับ จะเข้ากรุงเทพ”
ตำรวจพยักหน้าอย่างเข้าใจกัน แล้วปล่อยผ่านไป
พะอูนอนหลับกระสับกระส่ายไปมา เหมือนมีเสียงก้องอยู่ในหู
“ไปได้แล้ว ไปทำหน้าที่ของเจ้า ข้าต้องการหัวใจ”
พะอูพยายามจะออกไปแต่ไปไม่ได้ กินรีนอนข้างๆสะดุ้งตื่น
“เป็นอะไร”
พะอูพยายามดึงประคำออกจากคอ แต่มันไม่ออก แม่หมอจุดตะเกียงเข้ามาดู
“พะอู...เป็นอะไร”
ร่างของพะอูกลายเป็นลายเสือขึ้น แต่ไม่ได้เป็นเสือเสียทีเดียว เพราะถูกอาคมของประคำสะกดเอาไว้ แม่หมอกับกินรีเห็นกับตาก็ผงะออกมา
“พะอู...โธ่...” กินรีหน้าเสีย
แม่หมอมองหลานอย่างสงสาร
“อดทนเอาไว้พะอู”
พะอูต่อสู้กับอาคมทั้งสองฝ่าย ใบหน้าของเขาดูน่ากลัว กินรีกับแม่หมอมองอย่างเอาใจช่วย ในที่สุดประคำก็เป็นฝ่ายมีชัย พะอูสงบนิ่งลงแล้วหลับไป กินรีกับแม่หมอมองหน้ากันโล่งอก แม่หมอเข้าไปลูบผมหลานชาย
“พะอูเอ๊ย...มันเวรกรรมอะไรของเอ็งนักหนานะ ใบหน้าอัปลักษณ์ยังไม่พอ ยังมาเป็นแบบนี้อีก”
กินรีมองน้องชายอย่างเครียดๆ ไม่รู้จะทำยังไงดี
“อย่าให้ใครรู้เรื่องนี้เด็ดขาด”
แม่หมอสั่ง กินรีพยักหน้ารับอย่างกังวล ขณะเดียวกันทางด้านพระธุดงค์ รับรู้ถึงเรื่องที่งะดินเดจะใช้พะอูไปล่าหัวใจ ท่านนั่งท่องคาถาเพิ่มความศักดิ์สิทธิ์ให้ลูกปะคำเพื่อสะกดเอาไว้
ระรินเตรียมเข้านอน เธอเดินมานั่งที่เตียง หยิบหุ่นที่อองไชยทำเสน่ห์ให้ออกมา แล้วหลับตาภาวนา ตามคำสั่งอองไชยที่บอกว่า...
‘เจ้าจะต้องภาวนาถึงคนรักเจ้าทุกวันเป็นเวลา 7 ราตรี เสน่ห์จะยิ่งฝังลึกลงไปเรื่อยๆ เมื่อครบ 7 ราตรีแล้ว จะไม่มีผู้ใดถอนอาคมนี้ได้เลย เจ้าทั้งสองจะอยู่ด้วยกันจนตาย’
ระรินลืมตาแล้วยิ้มอย่างพอใจ เอาหุ่นใส่ไว้ใต้หมอน
ภราดรนอนกระสับกระส่ายอยู่ในห้องเพ้อออกมา
“ระริน...ระริน...”
ภราดรฝันถึงระริน...ภาพในฝัน เขากำลังเดินมาบนสะพานในสวนสวยกับระริน ทั้งคู่กอดกันอย่างมีความสุข เมื่อลงสะพานระรินเดินแยกไปที่ลำธาร เธอสวมชุดบางเดินลงไปในลำธารแล้วเรียกเขาท่าทางยั่วยวน ภราดรเดินลงไปในลำธารทั้งคู่กอดกันนัยน์ตาหวานซึ้ง เขาจะหอมแก้มแต่เธอปัดป้องด้วยจริตกร้านก่อนจะผละออกไป แล้วว่ายน้ำหนีไปช้าๆอย่างยั่วยวน ภราดรจะตามไปพลันสายตาไปเจอรูปปั้นไม้ของบาเยงโบอยู่บนตลิ่งแล้วกลายร่างมาเป็นบาเยงโบยืนมองแววตากร้าวไม่พอใจ ภราดรตกใจ...ทันใดนั้นเหมือนมีมือมาดึงเท้าเขาลงไปในน้ำจมลง แต่เขาพยายามขัดขืนและทะลึ่งขึ้นมา ระรินมองเห็นแล้วตกใจตะโกนเรียก ระรินถอยห่างออกไปทุกที ภราดรขัดขืนจนหมดแรงจึงถูกดึงลงไปใต้น้ำเกือบหมดอากาศหายใจ
ภราดรสะดุ้งตื่นแล้วผุดลุกขึ้นมานั่ง หน้าซีดเหงื่อเต็มใบหน้าหายใจหอบ แล้วตั้งสติได้ จึงรู้ว่าฝันไป เขารูดม่านที่หัวเตียงเปิดออกเห็นว่าเช้าแล้ว
มะค่ามาเรียกกินรีอยู่ที่หน้าบ้าน
“พี่กินรี...พี่กินรี”
กินรีอยู่ในบ้านรีบออกมา
“เสร็จแล้ว...ไป...”
แม่หมอเดินมาจากไปเก็บผักพอดี
“จะไปไหนกันรึ”
“ข้าจะพาแม่ไปตรวจที่อนามัย เลยให้พี่กินรีไปเป็นเพื่อน”
แม่หมอไม่ค่อยจะสบอารมณ์
“ไปอนามัยหรือ”
กินรีหลบตายาย รู้อยู่แก่ใจว่าจะไปหาภราดร
“เอ่อ...ถ้ายายไม่ให้ไปฉันก็ไม่ไปจ้ะ”
แม่หมอเข้าใจ น้ำเสียงอ่อนลง
“ไปเถอะ...เอาพะอูมันไปเป็นเพื่อนด้วยสิ...พะอู...พะอู”
พะอูออกมาหน้าตายิ้มแย้ม กินรีหนักใจแต่ต้องทำตามที่ยายบอก
“ไปกันเถอะ”
ภราดรนั่งอยู่ในห้องทำงานเหม่อมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง ในใจคิดถึงระริน ประเดิมเดินเข้ามาพร้อมปิ่นโตอาหารเช้า
“อ้าว...หมอมาแต่เช้าเชียวครับ ผมจัดอาหารเช้าให้เลยนะครับ”
ภราดรหันมาแววตาแข็ง
“ฉันยังไม่หิว”
ประเดิมแปลกใจ
“เอ๊ะ...ทุกวันคุณหมอต้องทานอาหารตรงเวลานี่ครับ วันนี้เป็นอะไรหรือครับ”
ภราดรหงุดหงิด ขึ้นเสียง
“เอ๊ะ...บอกว่าไม่หิวก็ไม่หิวสิ...เซ้าซี้จังเลย คุณระรินมาหรือยัง”
ประเดิมงงเพราะภราดรไม่เคยเป็นแบบนี้ ระรินเดินยิ้มแย้มเข้ามา
“คุณหมอคะ...”
ภราดรหันมาตามเสียงอย่างดีใจ
“คุณระริน ผมรอคุณตั้งนาน”
“ระรินขอโทษค่ะ ไปทานข้าวกันดีกว่า วันนี้ระรินเตรียมของที่คุณหมอชอบทั้งนั้นเลย”
“ไปสิ...ผมหิวจะตายอยู่แล้ว”
ภราดรน้ำเสียงและท่าทางออดอ้อน เดินออกไปกับระรินโดยไม่สนใจประเดิม ทำราวกับว่าเขาไม่ได้อยู่ตรงนั้น
“สงสัยโลกจะหมุนกลับ...หมอเป็นอะไรของเขานะ”
ประเดิมรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก
เสือทศกับเสือเรืองมาหาเสี่ยรงค์แต่เช้า เขาทั้งคู่มามือเปล่า
“ยินดีที่พวกนายกลับมา ไหนของ” เสี่ยรงค์สอบถามด้วยสายตาไม่ไว้ใจ
เสือทศกวนๆวางท่าทางเป็นต่อ
“ไหนเงิน”
“นายนี่มันไม่เลวเลยนะ...แต่ทำธุรกิจมันต้องหัดไว้ใจกันบ้าง”
เสี่ยรงค์หันไปมองลูกน้อง เบิ้มหยิบถุงเงินมาให้แล้วเปิดให้เสือทศกับเสือเรืองดู เห็นเป็นแบงค์ร้อยเต็มไปหมด
“ฉันเอาของไว้ที่ชายป่า...ต้องขอโทษด้วยที่ต้องทำแบบนี้”
“นายทำถูกแล้ว เป็นฉันฉันก็ต้องทำแบบนี้ เราเพิ่งทำธุรกิจกันนี่...”
“เรือง”
เสือทศเพยิดหน้าให้เสือเรืองไปเอาฝิ่นมา
“ครับพี่”
เสือเรืองเดินออกไป เสี่ยรงค์ชวนเสือทศไปดื่มเครื่องดื่ม
“คนงานไปไหนหมดเนี่ย”
“วันนี้ฉันให้พวกเขาพัก...ไป...ไปหาอะไรเย็นๆดื่มข้างในดีกว่า”
เสือทศเดินตามเสี่ยรงค์ ไป
จ่าชิตกับสมรักษ์จำเป็นต้องเข้ามาในอำเภอ เพื่อมานำเบี้ยเลี้ยงไปแจกที่โรงพัก ทั้งคู่ออกมาจากสถานีตำรวจภูธร
“หมวดจะตามผมมาทำไม กับไอ้แค่มาเบิกเบี้ยเลี้ยง” จ่าชิตหันมาถามสมรักษ์
“ก็แค่เบื่อ...ผมไม่อยากอยู่โรงพัก อยากออกมาทำงานข้างนอกมากกว่า ขี้เกียจตอบคำถามผู้กองศักดา”
จ่าชิตหัวเราะอย่างสะใจ
“วงการตำรวจนี่มันน้ำเน่าจริงๆนะหมวด แต่เราก็ยังต้องเป็นตำรวจเพราะอย่างน้อยก็ต้องมีตำรวจดีๆอย่างเราอยู่บ้าง...ไป...ไปหาอะไรกินกันดีกว่า...หมวดเลี้ยงนะ”
“ได้...จ่า”
ทั้งคู่เริ่มมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันแล้วเดินไปตามถนน
จ่าชิตกับสมรักษ์เดินมาถึงร้านเหล้าในตลาด ปรากฏว่าโต๊ะเต็มหมดทุกโต๊ะ บรรดาคนงานจากปางไม้มานั่งกินกันเป็นกลุ่มๆ จ่าชิตแปลกใจจึงเข้าไปถามเจ้าของร้านที่คุ้นเคยกันดี
“นี่เฮีย...หวยก็ยังไม่ออก ทำไมคนแน่นร้านอย่างนี้ล่ะ”
“อ้าว...อาจ่าชิต...แหม วันนี้คนงานที่ปางไม้เสี่ยรงค์น่ะสิ ได้โบนัสกันมั้ง มาซื้อข้าวซื้อของกันแทบหมดตลาด แล้วก็พากันมานั่งกินที่ร้านอั๊วนี่แหละ”
จ่าชิตกับสมรักษ์แปลกใจ
“เสี่ยรงค์นี่นะแจกโบนัส”
“นั่งก่อนสิ มาอั๊วจัดให้...เด็กๆ เพิ่มโต๊ะให้จ่าชิตหน่อยซิ”
เด็กในร้านเอาโต๊ะมาตั้งให้ข้างหน้าร้าน จ่าชิตหันไปเห็น ชาวมอญสองคนที่เคยช่วยชีวิตเอาไว้ เขาบอกสมรักษ์
“รอเดี๋ยวนะหมวด”
จ่าชิตเดินไปหาชาวมอญ
“ว่าไงน้องชาย”
ชาวมอญสองคนจำจ่าชิตได้
“อ้าวจ่า สวัสดีครับ”
“พูดไทยชัดแล้วนี่...”
ทั้งคู่หัวเราะและดีใจที่ได้เจอผู้มีพระคุณ
“ดูท่าทางมีเงินกันนี่เป็นไง เสี่ยรงค์จ่ายดีหรือ”
“เสี่ยรงค์แจกโบนัสครับ”
“กิจการคงดีสิ ทำไม้ไม่น่าจะมีเงินมาแจกลูกน้องอย่างนี้นะ ถามจริงๆเถอะเสี่ยรงค์ทำอะไรกันแน่”
ชาวมอญสองคนมองหน้ากัน จ่าชิตมองหน้าสองคนแบบทวงบุญคุณ
“ฉันพูดตรงนี้ไม่ได้ เอาไว้คืนนี้เจอกันได้ไหม”
“ได้...”
สมรักษ์ยืนมองคนทั้งสามคนคุยกัน ท่าทางสนใจ จ่าชิตคุยกับสองคนนั้นเสร็จก็เดินกลับมาหาสมรักษ์ หัวหน้าคนงาน เดินออกมาจากซอกเสาเขาได้ยินการสนทนาทั้งหมด
“มีอะไรหรือจ่า”
“เปลี่ยนร้านดีกว่า...ไปหมวด”
สมรักษ์เดินตามไปงงๆ
กินรี พะอู มะค่า แม่ของมะค่า มาถึงอนามัย แล้วเจอเดือน มะค่าแจ้งความจำนง
“ข้า...เอ๊ย...ฉันพาแม่มาตรวจมะเร็งตามที่หมอภราดรนัดจ้ะ หมออยู่ไหม”
กินรีรอฟังคำตอบในใจอยากเจอเขาใจจะขาด
“เอ่อ...ตอนนี้หมอยังไม่ว่าง”
เดือนกลบเกลื่อนอะไรบางอย่าง ประเดิมเดินผ่านมาพอดี
“อ้าว กินรี มาหาหมอหรือ”
“พอดีพาแม่ของมะค่ามาตรวจตามที่หมอนัดน่ะจ้ะ”
ประเดิมอึกอัก ไม่รู้จะบอกยังไง
“เอาไว้ค่อยมาวันหลังได้หรือเปล่า กินรีคือว่าวันนี้หมอไม่ว่างน่ะ”
พะอูชักฉุนทำท่าบอกว่าไม่ว่างแล้วมานัดทำไม ประเดิมไม่เข้าใจ
“พะอูเขาว่ายังไง”
กินรีอธิบาย
“เขาบอกว่าไม่ว่างแล้วมานัดทำไม เสียเวลา”
มะค่าแปลกใจสงสัย
“ทำไมอยู่ดีๆหมอถึงไม่ว่างขึ้นมาล่ะพี่ประเดิม”
ทันใดนั้นเสียงระรินดังขึ้น
“ก็กำลังเอาใจฉันอยู่ไงจ๊ะ”
ระรินเดินออกมาจากห้อง มีภราดรตระกองกอดอย่างใกล้ชิด ท่าทางเหมือนคนรักกัน กินรีแทบช็อค
“คุณหมอ”
กินรีทั้งตกใจและเศร้าใจ
จบตอนที่ 8
โปรดติดตามตอนต่อไป