มณีสวาท ตอนที่ 1
เมื่อหลายพันปีก่อน ท้องฟ้าเหนือลำน้ำโขงเป็นสีดำทะมึน แลดูน่ากลัว ฟ้าแลบแปลบปลาบ และร้องครืนๆ ดังกึกก้องกัมปนาทดุจฟ้าถล่มดินทลาย สายน้ำในลำน้ำโขงกระเพื่อมตามแรงลมฝน ยิ่งทำให้บรรยากาศดูน่ากลัวขึ้นไปอีก
ในผืนน้ำยามนั้น มีนาคชายหญิงสองตัวในอาภรณ์สีเขียวแซมน้ำเงินเข้มขลังงดงามวิจิตร กำลังคลอเคลียล้อเล่นลมฝนอย่างสุขสำราญ
แต่แล้วจู่ๆ ก็มีครุฑตัวหนึ่งโฉบบินลงฉกเข้าตรงที่นาคชายจังๆ มันรวดเร็วจนนาคหญิงไม่อาจช่วยอะไรได้ นาคชายผู้โชคร้ายบิดตัวเร่าๆ อย่างเจ็บปวดเหลือแสน ก่อนจะเห็นเลือดไหลนองแดงฉานเต็มท้องน้ำอย่างน่าสะพรึง นาคหญิงกรีดร้องเสียงดังโหยหวน รวมกับลมฝนที่โหมกระหน่ำพัดผ่านไป
วันเวลาหมุนเวียนผ่านไป
เช้าวันนี้บรรยากาศแจ่มใส มองเห็นวิวทิวทัศน์สองฝั่งโขงดูเงียบสงบและสวยงาม ภุชคินทร์ขับรถมาตามทางเลียบริมแม่น้ำโขงพร้อมกับภิงคาร รัฐมนตรีในคณะรัฐบาลชุดปัจจุบัน ผู้เป็นน้าชาย ท่าทางสองคนดูอารมณ์ดี ภิงคารเป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบขึ้น
“ริมน้ำโขง มาทีไรก็สบายตา สบายใจเหมือนเดิม ชายชอบมั้ย”
ชายหนุ่มรูปงามเชื้อพระวงศ์ ภุชคินทร์ หรือ ชาย ที่ภิงคารผู้เป็นน้าเรียกหันมามองผู้ถามแวบหนึ่ง ก่อนจะผินหน้ากลับไปมองทางเบื้องหน้าพร้อมกับตอบออกมา
“ชอบครับ สวย เงียบสงบดี กลับไป ผมว่าจะชวนคุณแม่มาดูที่แถวนี้อยู่เหมือนกัน”
ภิงคารรัฐมนตรีมือสะอาดหัวเราะเบาๆ “ขนาดนั้นเชียว”
ภุชคินทร์ทำหน้าฉงน “ไม่รู้สิครับ...ขนาดเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก ผมกลับรู้สึกคุ้นเคยกับที่นี่อย่างประหลาด เหมือนกับ..ว่าเคยอยู่ที่นี่มาก่อน”
ภิงคารยิ้มขำๆ ขณะแซว “แปลกดี ไปอยู่เมืองนอกเมืองนาตั้งหลายปี ไม่รู้สึก กลับมารู้สึกคุ้นเคยที่
ริมน้ำโขง”
ภุชคินทร์ยิ้มๆ “สงสัยเนื้อคู่ผมจะอยู่แถวนี้มั้งครับคุณน้า”
“ถ้าใช่จริงๆ...ก็ต้องเรียกว่าบุพเพสันนิวาสแล้วล่ะชาย” ภิงคารสัพยอกผู้เป็นหลาน
ภุชคินทร์หัวเราะขำ “บุพเพอาละวาดมากกว่าครับ..เพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก ที่นี่ยังติดใจผมถึงขนาดนี้ ถ้าได้อยู่นานกว่านี้ จะมีอะไรเกิดขึ้นกับผมอีก”
สองน้าหลาน ยิ้มให้กันอย่างอารมณ์ดี
ระหว่างนั้น มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งยืนมุงบางอย่างอยู่ข้างทาง ภิงคารแปลกใจ
“ชาวบ้านมุงดูอะไรกัน”
“นั่นสิครับ...คุณน้าจะแวะดูหน่อยมั้ยครับ” ภุชคินทร์ว่า
ภิงคารพยักหน้าเห็นงามด้วย “ก็ดี”
ภุชคินทร์เบนรถเข้าจอดข้างทางทันที ครู่ต่อมาสองน้าหลานเดินลงจากรถตรงไปยังชาวบ้านกลุ่มนั้น
ภุชคินทร์และภิงคารเดินเข้าไปหากลุ่มคนดังกล่าว เห็นสีหน้าชาวบ้านแต่ละคนเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เสียงพูดเซ็งแซ่จนแทบจับใจความไม่ได้ มนตรี ช่างภาพและนักข่าวหนึ่งในทีมนักข่าวที่เดินทางมาทำข่าวที่นี่ กำลังกตชัตเตอร์ถ่ายรูปพรึ่บพรั่บ
สองน้าหลานเดินแหวกคนเข้าไป มนตรีหันมาเห็นภิงคารก็จำได้
“สวัสดีครับ ท่านภิงคาร”
นักข่าวอีกคนเห็นภุชคินทร์ก็ยิ้มทักทาย “คุณชาย”
ภิงคารถามทันที “ดูอะไรกัน”
“ท่านดูเองดีกว่าครับ” มนตรีพูดเป็นนัย
สองน้าหลานเดินแหวกผู้คนเข้าไป เห็นร่องรอยตรงพื้นคล้ายกับรอยเท้าของอะไรบางอย่าง เป็นทางลากยาวมาจากแม่น้ำโขงขึ้นมาบนฝั่ง ภุชคินทร์สนใจอย่างประหลาด ราชนิกูลหนุ่มคว้ากล้องขึ้นมาถ่ายรูปเอาไว้ พลางหันมาถามมนตรี
“รอยเท้าอะไร แปลกจริง”
“ชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นรอยเท้าพญานาคครับ” มนตรีบอก
สองคนชะงัก อุทานพร้อมกับ “รอยเท้าพญานาค”
มนตรีเล่าต่อ “ครับ..เขาว่าพญานาคออกมาเล่นน้ำฝน”
“พญานาคออกมาเล่นน้ำฝน”
ภุชคินทร์ฉงน เพ่งสายตามองไปที่รอยเท้าประหลาดนั้นอย่างพินิจ เขากลับเห็นว่าเจ้าของรอยเท้านั้นเลื้อยเข้ามาเป็นวงกลม มันเลื้อยเข้ามาอย่างเร็วและพุ่งเข้าใส่ฉกดวงตาของภุชคินทร์อย่างจัง ภุชคินทร์ร้องเสียงหลง
“โอ๊ย” พร้อมกับซวนเซทำท่าจะล้มลง
ภิงคารเห็นรีบประคองหลานชายไว้ทัน “ชาย...เป็นอะไรไปชาย ชาย”
ภุชคินทร์ไม่ได้ตอบ หัวสมองอื้ออึง พยายามตั้งสติหรี่ตาขึ้นมามอง แต่กลับเห็นรอยเท้านั้น
วนเวียนอยู่ตรงหน้า ลักษณะเหมือนโลกหมุนคว้าง แต่แปลกที่ลายเส้นของรอยเท้านั้นยังคงวนๆ เวียนๆ กันลักษณะคล้ายรูปหน้าของสตรีเพศนางหนึ่ง ภุชคินทร์สะบัดหน้า ไล่ความมึนงง แต่กลับได้ยินเสียงเรียกเบาๆ แต่ดังก้องหู
“ภุชเคนทร์...ภุชเคนทร์”
สีหน้าแววตาของภุชคินทร์มึนงงเหมือนควบคุมตัวเองไม่อยู่ ภิงคารเรียก
“ชาย..ชาย เป็นอะไรหรือเปล่า”
มนตรีช่วยเรียกด้วย “คุณชายภุชคินทร์ๆ”
ภุชคินทร์ได้ยินเสียงทุกอย่างพยายามจะหรี่ตาขึ้นมามอง แต่กลับรู้สึกเหมือนมีลมปะทะเข้าที่ใบหน้า
อย่างแรง ราชนิกูลหนุ่มรูปงามทำท่าเหมือนจะหมดสติ ได้ยินเสียงคนพูดแว่วๆ มา
“พาไปส่งโรงพยาบาลดีกว่าครับท่าน” ที่แท้เป็นเสียงของมนตรี
จากนั้นภิงคารและมนตรีช่วยกันประคองภุชคินทร์ตรงไปที่รถทันที ชาวบ้านต่างส่งเสียงถามกันต่อเซ็งแซ่
“ใครเป็นอะไรเหรอ” คนแรกถาม
อีกคนตอบ “ผู้ชายคนนั้นเห็นรอยเท้าพญานาคแล้วเป็นลม”
“สงสัยต้องมนต์พญานาค” ชาวบ้านคนที่สามฟันธงตามความเชื่อ
ชาวบ้านคนแรกเนื้อเต้น “มนต์พญานาค? โห! รอยเท้าชัดขนาดนี้ให้ลาภกันชัดๆ”
ชาวบ้านคนที่สามตีเป็นเลขเด็ด “ฉันเห็นเป็นเลข 18”
ชาวบ้านคนที่สองท้วง “ฉันเห็น 39”
และจากนั้นอีกหลายเลขเด็ดก็หลุดออกมาเป็นยวง
ชาวบ้านต่างหันไปสนใจเรื่องหวยกันต่อ ไม่มีใครสนใจอาการภุชคินทร์แล้ว
ภิงคารกับมนตรีช่วยกันประคองภุชคินทร์มาที่รถ ภิงคารถามทาง
“รพ.อยู่ไกลจากที่นี่มั้ย”
“ไม่ครับ เลี้ยวรถออกไปจากตรงนี้ก็ถึง เดี๋ยวผมจะขับรถนำไป ท่านขับตามแล้วกัน” มนตรีอาสาอย่างมีน้ำใจ
ภุชคินทร์พยายามบอก “ผมไม่เป็นไร”
“แต่ท่าทางชายไม่ค่อยดีนะ น้าว่าแวะไปหาหมอหน่อยแล้วกัน” ภิงคารว่า
“ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ รู้สึกมึนๆเหนื่อยๆ เท่านั้นเอง” ภุชคินทร์ยืนยัน
ภิงคารยิ้มๆ “ก็น่าจะเหนื่อยอยู่หรอก เมื่อวานเพิ่งกลับจากดูงานฝั่งโน้น” ท่านรัฐมนตรีหมายถึงฝั่งบ้านพี่เมืองน้อง สปก.ลาว “เมื่อคืนกว่างานเลี้ยงจะเลิกก็ดึก แถมน้ายังปลุกซะเช้าอีก เดี๋ยวน้าขับรถกลับเอง”
ภุชคินทร์ยืนกรานคำเดิม “ไม่เป็นไรครับ ผมไหว”
ภิงคารเย้าหลานชาย “ชายไหว...แต่น้าน่ะสิจะไม่ไหว ถูกพี่ภาณีดุแน่ ถ้าชายเป็นอะไร” ภิงคารหันมาทางมนตรี “ขอบใจมากนะมนตรี ที่ช่วยเป็นธุระ”
“ยินดีครับท่าน”
มนตรียิ้มก่อนจะถอยออกไป ภุชคินทร์ขึ้นไปนั่งบนรถ ภิงคารเข้าไปประจำที่คนขับ จะออกรถไปแล้ว
ภุชคินทร์หันกลับไปมองยังริมน้ำโขงตรงจุดที่มีคนมุงดูรอยเท้าพญานาค แต่แล้วต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นหญิงสาวคนเดิม ภุชคินทร์ไม่รู้ว่าที่แท้เธอคือ เจ้าอุรคา ปรากฏในสภาพเลือนรางยืนจ้องมองมา ดวงตาของเธอฉายแววอาลัยอาวรณ์เด่นชัด
ภุชคินทร์ร้องลั่น “เฮ้ย”
ภิงคารตกใจเบรกรถแทบหน้าทิ่มหันมาถาม “มีอะไรชาย”
ภุชคินทร์หันกลับไปมองยังร่างของอุรคาอีก แต่ก็ไม่เห็นแล้ว เห็นแต่ชาวบ้านไทยมุงชุดเดิม
“ไม่มีอะไรครับ”
“ร้องยังกับเห็นผีงั้นแหละ”
ภิงคารประหลาดใจใจ ก่อนจะขับรถออกไป ภุชคินทร์หันกลับไปมองภาพตรงนั้นด้วยความสงสัยและสนใจแต่ก็ไม่เห็นเงาของสตรีนางนั้นแต่อย่างใด ราชนิกูลรูปงามนิ่วหน้า เกิดคำถามค้างคาใจ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองกันแน่
ขณะเดียวกันที่บ้านของพันเอกนรินทร์ ซึ่งเป็นบ้านสวนบรรยากาศร่มรื่น พันเอกนรินทร์กำลังนั่งสมาธิอยู่ในห้องพระ แลเห็นภาพในนิมิต
เป็นภาพท้องฟ้ามืดน่ากลัว ลมพัดแรง ฝนตกหนัก ท้องน้ำสั่นสะเทือนน่ากลัวราวกับบ้าคลั่ง ก่อนที่จะมีพญานาคผุดขึ้นมาจากลำน้ำท่าทางพญานาคตัวนั้นเกรี้ยวกราดดุจกำลังโกรธแค้นอะไรสักอย่าง นรินทร์ขมวดคิ้ว เหมือนพยายามจะรับสารที่พญานาคสื่อมา แต่ยังไม่ทันรู้เรื่องใดๆ ประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามาขัดเสียก่อน ร่างของพอ.นรินทร์สะดุ้งเฮือก หลุดออกจากนิมิต ลืมตาขึ้น ขณะที่นาถสุดาผู้เป็นบุตรสาวบอกอย่างเกรงใจ
“ขอโทษค่ะคุณพ่อ พอดีนาถหาคุณพ่อไม่เจอ ไม่คิดว่าคุณพ่อจะนั่งสมาธิตอนนี้”
“พ่อรู้สึกยังไงไม่รู้ แปลกๆ เลยอยากนั่งนิ่งๆ หน่อย” นรินทร์ว่า
“แต่ดูเหมือนตะกี้ ในนิมิตคุณพ่อจะ...เจออะไร” นาถสุดาสงสัย
“พ่อก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าสิ่งที่เห็น หมายถึงอะไร? พ่อแค่รู้สึก ว่ามันไม่น่าจะเป็นเรื่องดี”
“ไม่ดี? หรือคุณศิษฐ์ พี่สุบรรณ?”
นาถสุดาตกใจนิดๆ ถึงกับรำพึง ด้วยรู้สึกห่วงไพศิษฐ์แฟนหนุ่มกับสุบรรณ ลูกพี่ลูกน้องขึ้นมาทันที
สุบรรณนักการเมืองมาแรง และส.ส. สมัยนี้เดินออกมาจากห้องประชุมในที่ทำการพรรค นักข่าวกรูกันเข้ามาหาเยอะแยะ มากมาย แสดงให้เห็นว่าสุบรรณเป็นหนุ่มที่คนให้ความสนใจกันมาก
“จริงหรือเปล่าคะที่ท่านสุบรรณแอบไปเดทกับน้องมิลกี้ นางแบบหน้าใหม่ที่กำลังมาแรงน่ะค่ะ” นักข่าวคนหนึ่งถาม
สุบรรณเยื้อนยิ้มอย่างใจเย็น “ถามผมเกี่ยวกับนโยบายทางเศรษฐกิจดีกว่านะครับ”
นักข่าวอีกคนซักเรื่องเดียวกัน “แต่ตอนนี้ ข่าวดังมากเลยนะคะ ว่าท่านกับน้องมิลกี้กิ๊กกั๊กกัน”
สุบรรณหัวเราะ เสตอบไปเรื่องอื่น “เศรษฐกิจตอนนี้ถือว่ากำลังดีเลยครับ ยิ่งถ้ามีการกระจาย
รายได้ไปไปทางส่วนภูมิภาคตามที่เราวางนโยบายเอาไว้ ผมว่าเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ยิ่งจะดีกว่านี้แน่นอน”
สุบรรณตอบพร้อมรอยยิ้มแล้วเดินเลี่ยงออกไป พร้อมด้วยอำนาจ ซึ่งเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัว และคนอื่นๆ ที่เดินตามหลัง นักข่าววิ่งตามถามต่อ
“เดี๋ยวก่อนสิคะท่าน...ตอบคำถามก่อน”
สุบรรณยิ้มอารมณ์ดี อำนาจบอดี้การ์ดกันออก
“ขอโทษครับ ท่านมีประชุมต่อ”
อำนาจพาสุบรรณเดินออกไป นักข่าวบ่นอุบ
“ไม่ได้ข่าวเลย ท่านสุบรรณเอาแต่ยิ้มแล้วก็เลี่ยงอย่างนี้ทุกที”
“ท่านถึงได้สมญานามไง ว่าเป็นหนุ่มเจ้าเสน่ห์ เพราะอารมณ์ดี ไม่เคยหงุดหงิดกับใครซักคน”
กลุ่มนักข่าวมองตามสุบรรณในอาการปลื้มๆ
ไม่นานต่อมา ตรงมายังลานจอดรถด้านนอก ทันทีที่อยู่กันตามลำพัง รอยยิ้มของสุบรรณก็หุบลง กิริยาของนักการเมืองอารมณ์ดี เปลี่ยนเป็นดุดันราวกับเป็นคนละคนกัน สุบรรณถามเสียงแข็ง
“อำนาจ เรื่องที่ให้ไปตาม ตกลงเป็นยังไง”
อำนาจหน้าเคร่งดุดันไม่แพ้สุบรรณขณะตอบ
“เรียบร้อยครับนาย อาทิตย์หน้าคุ้มเหนือ...” อำนาจระบุชื่อซุ้มมือปืน “จะส่งคนมาหานาย”
สุบรรณไม่ทันตอบ เสียงมือถือดัง สุบรรณรับ น้ำเสียงเปลี่ยนไปเป็นอ่อนโยนเหมือนเดิม
“มีอะไรจ๊ะนาถ”
นาถสุดาโทร.จากบ้านพันเอกนรินทร์ พูดแบบกลัวๆ กล้าๆ
“เอ่อ..พี่สุบรรณกับคุณศิษฐ์อยู่ที่ไหน ทำอะไรกันอยู่หรือคะ”
“พี่มาประชุมที่ทำงาน เลยไม่ได้ให้ผู้กองไพศิษฐ์มาด้วย มีอะไรหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ”
“งั้นแค่นี้ก่อนนะ พี่ต้องทำงาน”
“ค่ะๆ”
สุบรรณวางสาย หันมาบอกอำนาจเสียงเข้ม “ฉันอยากให้มันเร็วกว่านี้ แกรีบจัดการตามมันมาด่วน”
“ครับนาย”
อำนาจเปิดประตูรถให้ สุบรรณก้าวขึ้นไปนั่ง รถของอำนาจเคลื่อนตัวออกไป ขณะที่นาถสุดาวางสายทันทีพึมพำกับตัวเอง
“หวังว่าคุณศิษฐ์อย่าเป็นอะไรนะ”
นาถสุดาร้อนใจกดสายโทร.หาผู้กองไพศิษฐ์ทันที
มือของผู้ชายคนหนึ่ง เหนี่ยวไกปืน ท่าทางคร่ำเคร่งจริงจัง ที่แท้เป็นผู้กองไพศิษฐ์ ซึ่งกำลังฝึกซ้อมยิงปืนอยู่ที่สนามยิงปืน ไพศิษฐ์ยิงเปรี้ยง เห็นกระสุนเข้าเป้าจุดสำคัญเป๊ะๆ ฝีมือแม่นมาก
ไพศิษฐ์มองเป้ายิ้มพอใจ วางปืนลง เดินออกมา เสียงมือถือดัง ไพศิษฐ์รับ
“ว่าไงจ๊ะนาถ”
นาถสุดาได้ยินเสียงปืนดังลั่น ถามเร็วปรื๋อ
“คุณศิษฐ์ทำอะไร?อยู่ที่ไหนคะ”
“ผมฝึกยิงปืน อยู่ที่สนาม”
นาถสุดาถอนหายใจอย่างโล่งอก ไพศิษฐ์ได้ยินเสียงถอนหายใจก็แปลกใจถาม
“มีอะไรหรือจ้ะนาถ”
“ก็คุณพ่อน่ะสิคะ...เห็นนิมิตไม่ค่อยดี นาถเลยเป็นห่วง กลัวว่าคุณศิษฐ์จะเป็นอะไร??
ไพศิษฐ์ยิ้มขำ “ตอนนี้ผมไม่เป็นอะไรหรอก แต่ถ้าช่วงใกล้เลือกตั้ง ล่ะไม่แน่”
“คุณศิษฐ์ชอบพูดอย่างนี้ทุกที” นาถสุดาพูดประชด “มันสะเทือนถึงพี่สุบรรณของนาถนะคะ”
“ก็นาถจะกลัวทำไมล่ะ?? ในเมื่อนาถเคยบอกพี่สุบรรณของนาถเป็นคนดี”
“พี่สุบรรณเป็นคนดีแน่ค่ะ แต่คนรอบๆ ข้างของเค้านาถไม่รู้”
“อย่าคิดมากน่า ผมก็แค่พูดเล่น ไม่มีอะไรหรอก ผมซ้อมต่อก่อนนะ” ไพศิษฐ์ปลอบ
“ค่ะ”
ขณะที่นาถสุดาวางสาย หล่อนพึมพำอย่างเป็นห่วงกังวล
“เวลาคุณพ่อเห็นนิมิตมักเกิดเรื่องไม่ดีทุกครั้ง อย่าให้มีเรื่องไม่ดี เกิดขึ้นกับครอบครัว คนที่
เรารักเลย”
สายตาของนาถสุดาเต็มไปด้วยความกังวลใจ
ช่วงหัวค่ำวันนั้นที่วังนาเคนทร์ เห็นงูตัวขนาดย่อมเลื้อยคลานอยู่บริเวณสนามหญ้าหน้าวัง ไม่มีใครรู้ว่ามันคือ ชรายุ นั่นเอง มันค่อยๆ เลื้อยเรื่อยเอื่อยๆ แล้วไปหยุดอยู่ที่ประตูวังด้านใน ขดตัวนอนเป็นวงกลม ผงกหัวขึ้น ดุจรอฟังอะไรบางอย่าง
ส่วนที่ด้านใน หนูนาหรือนารีวรรณกอดแขนภุชคินทร์อย่างประจบขณะพาไปนั่งที่โซฟา
“เดี๋ยวหนูนาหาอะไรร้อนๆให้ดื่มนะคะพี่ชาย จะได้หายเหนื่อย”
ภิงคารโวยเล่นๆ “อ้าว แล้วน้าล่ะ”
“ก็ด้วยค่ะแต่สำหรับคุณน้าต้องเป็นเอสเพรสโซ่ขมปี๋เท่านั้น เดี๋ยวหนูนาจะรีบจัดมาให้ค่ะ” นารีวรรณยิ้มแล้วเดินออกไป
“ขอบใจจ้ะ” ภิงคารมองตามยิ้มด้วยความเอ็นดู “ยัยนา ช่างเอาอกเอาใจเสียจริงๆ”
หม่อมภาณีค้อนน้องชาย “ใครจะเหมือนเธอล่ะภิงคาร คนเก่ง คนตงฉิน ไปต่างบ้านต่างเมืองไกลขนาดนั้น ใช้งบหลวงเดินทางคงไม่มีใครว่าอะไรหรอก จะขับรถเองทำไม? ดูซิ..ลูกชายฉันต้องมาเจ็บมาไข้เลย”
“ก็นายชายเป็นผู้ช่วยผม นายชายก็ต้องไปกับผมสิครับพี่”
หม่อมภาณีเย้าขำๆ “ไปน่ะไม่ว่า แต่ที่ให้ลูกชายฉันขับรถ ย้ำอีกที ว่าฉันเคือง”
“อย่าว่าคุณน้าเลยครับคุณแม่ ผมอาสาเอง ขับรถเองอยากดูอะไร แวะทำธุระอะไร จะได้ไม่ต้องเกรงใจคนอื่น” ภุชคินทร์ว่า
“แต่มันตั้งไกลนะชาย” ผู้เป็นมารดายังไม่ยอม
“ลูกผู้ชาย ขับรถแค่นี้ไม่ไกลหรอกพี่ภาณี” ภิงคารยิ้มๆ “อีกอย่าง ผม ภิงคารต้องทำได้ทุกอย่างเสียดาย ถ้าตาชายไม่วูบไปเสียก่อน ผมจะอยู่ดูรอยเท้าพญานาคต่ออีกหน่อย”
จังหวะนั้นเองที่ด้านนอกหน้าประตู งูที่นอนสงบ ยืดหัวตรง เหมือนกำลังตั้งใจฟังเป็นอย่างยิ่ง
ฝ่ายหม่อมภาณียิ้มด้วยทีท่าเหมือนไม่ค่อยเชื่อ
“สนใจตรงเป็นรอยเท้าพญานาคจริงๆ หรือเป็นขบวนการแหกตาของพวกมิจฉาชีพล่ะ”
สายตาของงูตัวนั้นวาววาม เกรี้ยวกราดไม่พอใจ
ภิงคารซีเรียส “เรื่องแบบนี้ ล้อกันเล่นไม่ได้หรอกพี่ภาณี ชาวบ้านรู้ เขาเอาตาย เพราะเขาเชื่อว่าเป็นปาฏิหาริย์ ที่จะเกิดขึ้นช่วงเทศกาลออกพรรษา ที่เขาแห่บั้งไฟพญานาคกัน”
หม่อมภาณียิ้มขำ ไม่ได้ลบหลู่ “งั้นพญานาคคงขึ้นมารับรู้และให้พร ที่ชาวบ้านทำบุญไปให้เค้านั่นแหละ ไม่มีอะไรหรอก”
หนูนาหรือนารีวรรณเดินเอาเครื่องดื่มมาให้ เสริมว่า
“แต่หนูนาว่า...พญานาคคงอยากมาพบปะผู้คนบ้างน่ะค่ะ โดยเฉพาะพี่ภุชคินทร์ไปเยือนถึงที่”
ภุชคินทร์ฉงน “เกี่ยวอะไรกับพี่ล่ะยัยนา”
“ก็คุณแม่บอกว่า ภุชคินทร์แปลว่า นาคราชผู้เป็นใหญ่ไม่ใช่หรือคะ”
ภุชคินทร์เพิ่งนึกได้ “แล้วทำไมคุณแม่ถึงตั้งชื่อผมว่า ภุชคินทร์ล่ะครับ”
“ตอนแม่ท้องชาย...แม่ฝันถึงพญานาคราชจ้ะ”
ผู้เป็นมารดาบอกยิ้มๆ แต่ภุชคินทน์ทำหน้าเครียดขึ้นมาทันที ขณะเดียวกันที่ด้านนอกงูตัวนั้นค่อยๆ
เลื้อยออกไปอย่างนิ่งสงบ
ครู่ต่อมาที่ป่ารกชัฏแห่งหนึ่ง เห็นงูตัวเดิมนั้นค่อยๆ เลื้อยไปตามแนวหญ้า ฉันพลับมันก็หยุดเมื่อปรากฏเงาของเจ้าอุรคาลางๆ มองเห็นตัวไม่ชัดเจน ทาบทับตามแนวหญ้า เสียงของอุรคาดังขึ้น ด้วยน้ำเสียงอยากรู้ แต่เนื้อเสียงกลับนิ่งสงบทรงอำนาจ
“ว่าอย่างไรชรายุ”
งูตัวนั้นผงกหัวขึ้น ก่อนที่จะกลายร่างเป็น ชรายุ ผู้รับใช้คนสนิท ที่คอยติดตามดูแลเจ้าอุรคานั่นเอง
“ท่านภุชเคนทร์ จำเรื่องราวทุกอย่างไม่ได้ ไม่รู้ด้วยซ้ำ เหตุใด ถึงได้ชื่อภุชคินทร์”
เงาของเจ้าอุรคาสะท้านไปร่าง ก่อนที่น้ำเสียงแผ่วร้าวรานจะดังขึ้น
“ไม่เป็นไร เราจะทำทุกอย่างให้ภุชเคนทร์จำได้” แผ่วกังวานและฟังแล้วน่ากลัว “ภุชเคนทร์จะต้อง
จำได้”
“ค่ะ ท่านภุชเคนทร์จะต้องจำได้”
สายตาของชรายุมีแต่ความสงสารและเห็นใจเจ้าอุรคา
ด้านภุชคินทร์นอนอยู่ในห้องแต่ยังไม่หลับ ท่าทางชายหนุ่มยังอิดโรย เสียงของหม่อมภาณีผู้เป็นมารดาดังก้องในหัว
“ตอนแม่ท้องชาย...แม่ฝันถึงพญานาคราชจ้ะ”
ภุชคินทร์รำพึง “พญานาค”
ห้วงความคิดของภุชคินทร์ประหวัดไปถึงเหตุการณ์วันที่เจอรอยเท้าพญานาคที่ริมน้ำโขง เขาเห็นรอยเท้าพญานาค และทำท่าจะเป็นลม แล้วได้ยินเสียงเรียก กระมั่งเห็นเงาเลือนรางของสตรีนางหนึ่ง...เจ้าอุรคา
ภุชคินทร์ดึงตัวเองกลับมา นิ่วหน้าก่อนผุดลุกขึ้นมาจากเตียง เดินมายังโต๊ะทำงานทันที
ภุชคินทร์เอากล้องมาโหลดรูปรอยเท้าพญานาคดู พลางค้นหาข้อมูลจากอินเทอร์เนต เห็นข้อมูลรอยเท้าพญานาคโผล่ที่ฝั่งแม่น้ำโขงมากมาย แต่เป็นลักษณะของผู้คนที่มากราบไหว้บูชา ขอหวย ทำนายฝัน ไม่มีแหล่งข่าวไหนระบุหรืออ้างอิงถึงความจริงสักแห่ง
ภุชคินทร์เขม้นมองดูภาพที่ได้จากอินเทอร์เนต และภาพที่โหลดมาจากกล้อง ไม่มีสิ่งใดแตกต่างกัน
“ก็เหมือนกันนี่...หรือเหตุการณ์เมื่อเช้าจะเป็นขบวนการแหกตา”
ภุชคินทร์ถามตัวเองอย่างสงสัย แต่สิ้นคำถามเท่านั้น มีลมแรงพัดมาปะทะที่หน้าต่างวูบใหญ่ จนภุชคินทร์สะดุ้ง ชายหนุ่มหันกลับไปมอง อย่างแปลกประหลาดใจ
“ฝนฟ้าก็ไม่ได้จะตก แล้วทำไมลมพัดแรงเสียจริง”
ภุชคินทร์ปิดหน้าต่าง แล้วเดินกลับมาเพ่งมองดูรูปรอยเท้าพญานาคที่โหลดมาจากกล้องอีกครั้ง ทันใดนั้นเอง ปรากฏการณ์ประหลาดก็เกิดขึ้นมาอีก ภุชคินทร์รู้สึกเหมือนตัวเองวูบๆ ไป และกำลังถูกดูดกลืนเข้าไปในรอยเท้านั้น จนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
ร่างของภุชคินทร์เดินตัวลอย มาอยู่หยุดอยู่ที่ริมน้ำโขงในยามค่ำคืนที่เงียบสงบแต่ดูวังเวงและน่ากลัว ครั้นพอเท้าสัมผัสผิวน้ำที่เย็นเฉียบ ภุชคินทร์ก็รู้สึกตัว รีบกวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างงวยงง
“นี่มันแม่น้ำโขงนี่...เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
กลางหว่างความมืดมิดวิเวกวังเวงนั้น ยินเสียงดนตรีบรรเลงพื้นบ้านก็ดังขึ้น ท่วงทำนองหวานซึ้ง แต่ฟังแล้วหดหู่โศกเศร้า ภุชคินทร์เพ่งมองไปทางต้นเสียง ก็เห็นสตรีนางหนึ่ง ซึ่งก็คือเจ้าอุรคา ยืนหันหลังอยู่ในลำน้ำ
ด้านหลังของเธอขาวโพลน จนดูเด่นในความมืด สตรีนางนั้นค่อยๆ หันมามองภุชคินทร์เพียงเสี้ยวหน้า พร้อมกับพูดเบาๆ แต่ก้องกังวานไปทั้งลำน้ำ
“ข้าดีใจเหลือเกินที่ท่านมา...ภุชเคนทร์...มา...กลับมาอยู่ด้วยกัน...มา”
ภุชคินทร์มองด้วยความสงสัย ขณะที่สตรีนางนั้นเดินลึกลงไปในลำน้ำโขง
“มา...มา....ภุชเคนทร์....มา”
ร่างของเจ้าอุรคาค่อยๆ จมลงไปในน้ำโดยที่ภุชคินทร์ไม่ทันเห็นเต็มดวงหน้า ภุชคินทร์ร้องลั่นเมื่อเห็นร่างนั้นทำท่าว่าจะจมลงไป
“อย่า..อย่าไป..อย่า”
ภุชคินทร์วิ่งลุยน้ำลงไป แต่ยิ่งวิ่งก็ยิ่งเหมือนเธอผู้นั้นจะยิ่งห่างออกไป ร่างของเธอทำท่าว่าจะจมลงไปทุกทีๆ ภุชคินทร์ตะโกนสุดเสียง
“อย่า”
พร้อมกันนั้นภุชคินทร์กระโจนเข้าไปคว้าร่างเธอไปไว้ กระชากอย่างแรง เธอผู้นั้นหันมา ภุชคินทร์แทบสิ้นสติเมื่อเห็นสตรีนางนั้นกลายร่างเป็นนาคแทน ภุชคินทร์ตะลึงร้องลั่น ประสานกับเสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงๆ เสียงดังกึกก้องกัมปนาท ดุจฟ้าถล่มดินทลาย
ที่วังนาเคนทร์ เช้าวันต่อมา ภุชคินทร์ต้องสะดุ้งตื่นเมื่อมีเสียงเคาะประตูอย่างแรง ด้วยฝีมือนารีวรรณที่เคาะประตูเรียก
“พี่ชายคะ...พี่ชาย”
“จ้ะหนูนา....พี่ตื่นแล้วจ้ะ”
ภุชคินทร์ตะโกนออกไป แล้วงัวเงียลุกจากเตียงมาเปิดประตู นารีวรรณบอกสุ้มเสียงสดใสในท่าทีนอบน้อม
“ขอโทษนะคะที่หนูนามารบกวน คุณแม่เห็นว่า สายแล้วพี่ชายยังไม่ลงไปเลยให้หนูนามาตาม เกรงว่าพี่ชายจะไม่สบายค่ะ” หนูนาบอก
“พี่ไม่ได้เป็นไรจ้ะ คงนอนดึกไปหน่อย”
“งั้น...พี่ชายรีบอาบน้ำลงไปทานข้าวเช้าด้วยกันนะคะ”
“จ้ะ”
นารีวรรณเดินไปลับตัวแล้ว ภุชคินทร์ปิดประตู ตั้งสติ เดินหลับไปยังโต๊ะทำงาน ดูที่โน๊ตบุ๊ค เห็น
รอยเท้าพญานาคที่ถ่ายไว้ปรากฏหน้าจอ ภุชคินทร์ยิ้มบอกตัวเองขำๆ
“สงสัยดูรอยเท้าพญานาคมากเกินไป เลยฝันซะเลอะเทอะเลยเรา”
ภุชคินทร์ปิดคอมพ์ ทิ้งความสนใจเรื่องรอยเท้าพญานาคไว้เพียงแค่นั้น
มณีสวาท ตอนที่ 1 (ต่อ)
เวลาเดียวกันที่บ้านภิงคาร ซึ่งเป็นบ้านรูปทรงทันสมัยหลังใหญ่โต ด้านในห้องทานอาหารยามนี้เฟื่องฟ้านั่งที่โต๊ะกินข้าวกับฟีบี้ หรือ เฟื่องวลี ชื่อที่เจ้าหล่อนอยากลืม! มีป้าน้อมแม่บ้านสูงวัยกับต้อยติ่ง เด็กสาววัยยี่สิบรอรับใช้อยู่
เฟื่องฟ้ากับเฟื่องวลีหน้าหงิกหน้างอ มองไปที่บันไดชั้นบน เฟื่องฟ้าเอ่ยขึ้น
“สายป่านนี้แล้ว ทำไมท่านภิงคารยังไม่ลงมาอีกเนี่ย”
เฟื่องวลีเห็นด้วย “นั่นสิคะคุณแม่ ฟีบี้หิวจะตายอยู่แล้ว”
เฟื่องฟ้าบ่นอุบพลางค้อนขวับ “ทำตัวกร่าง วางท่าใหญ่โต รู้แล้วล่ะว่าเป็นเจ้าของบ้าน แต่จะทำ
อะไรน่าจะคิดถึงใจเราบ้าง ไม่ใช่ปล่อยให้รอท้องกิ่วกันอย่างนี้”
ป้าน้อมกับต้อยติ่งมองหน้ากันระอาเหลือ ขณะที่ป้าน้อมพูดน้ำเสียงนิ่งๆ แต่แอบกัดอยู่ในที
“เมื่อคืนท่านภิงคาร ทำงาน กลับมาดึกมากค่ะ” ป้าน้อมเน้นคำตรงคำว่า “ทำงาน”
เฟื่องฟ้าไม่รู้ตัวว่าถูกด่า เสริมทันที “เป็นคนทำงาน กินภาษีประชาชน ก็ถูกแล้วนี่ที่จะต้องทำงานหนัก ไม่ใช่ลอยไปลอยมาแล้ววันๆ ก็เอาแต่รอสัมภาษณ์ออกทีวี นั่นละหน้าไม่อาย”
จังหวะนั้นภิงคารเดินลงมาจากบันไดชั้นบน ฟีบี้เห็นรีบเอาศอกสะกิดแม่ประสาคนไร้มารยาท
“คุณลุงภิงคารลงมาแล้วค่ะคุณแม่”
เฟื่องฟ้าที่หน้าตาหงิกงอ รีบปรับเป็นยิ้มแย้มทันที พูดทักทายเสียงดังแบบดีใจมาก
“พี่ภิงคาร ลงมาพอดีเลย ฟ้าว่าจะขึ้นไปตามอยู่พอดีเชียว กลัวจะไม่สบาย เห็นเมื่อคืนพี่ภิงคารกลับดึก”
“พี่แวะไปบ้านนายชายมาน่ะ” ภิงคารว่า
เฟื่องฟ้าตัดพ้อ “คุณลุงไปบ้านพี่ชาย ทำไมไม่บอกฟีบี้คะ”
ภิงคารย้อนขำๆ ไม่ถือสา “จะบอกทำไมล่ะ”
“ก็ฟีบี้จะได้ไปด้วยไงคะ” เฟื่องฟ้าว่า
เฟื่องวลีเห็นด้วย “ใช่ค่ะ...ฟีบี้อยากไปหาพี่ชาย”
ภิงคารลากเสียงยาว อย่างไม่ได้ถือสา “ไปทำไม๊รบกวนเค้าเปล่าๆ นายชายยิ่งไม่ค่อยสบายอยู่ด้วย”
สองคนถามพร้อมกัน “คุณชายไม่สบาย” / “พี่ชายไม่สบาย”
ภิงคารมองท่าทีงงๆ “ก็แค่ไม่สบาย ทำไมต้องตกใจกันด้วย”
เฟื่องวลีกระเง้ากระงอด “ก็ฟีบี้เป็นห่วงพี่ชาย”
ภิงคารเริ่มระอานิดๆ “นายชายไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก ไม่ต้องห่วง อ้อ! แล้วคราวหลัง ลุงว่าเฟื่องเรียกตัวเองว่าเฟื่องเหมือนเดิม หรือจะเฟื่องวลีตามชื่อจริงก็ได้นะ จู่ๆ เปลี่ยนชื่อเป็นฟีบี้อย่างนี้ ลุงไม่คุ้นหู คุ้นปากเลย”
ภิงคารจิบกาแฟอีกอึกเดียว ก็เดินออกไปอย่างเร่งๆ เฟื่องฟ้าถามเอาใจ
“พี่ภิงคาร อิ่มแล้วหรือคะ”
“ยังไม่อิ่มแต่ต้องรีบไป ห่วงงาน” ภิงคารจะเดินออกไป
สองแม่ลูกพูดประสานเสียง “เดี๋ยวเฟื่องไปส่งค่ะ” / “เดี๋ยวฟีบี้ไปส่งค่ะ”
ไม่เพียงเท่านั้นสองแม่ลูกถลันไปคว้ากระเป๋าของภิงคารมาถืออย่างเอาใจ
พอคล้อยหลังเจ้านาย ป้าน้อมกับต้อยติ่งหันมามองหน้ากัน ต้อยติ่งส่ายหัวปวดตับแทนเจ้านาย
“เมื่อไหร่คุณสองคนนั่นจะกลับไปอยู่บ้านตัวเองล่ะป้า เค้าไม่ได้เป็นญาติกับคุณท่านไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ใช่ญาติก็เหมือนญาติล่ะ คุณเฟื่องฟ้าเป็นพี่สาวภรรยาของท่านภิงคาร”
ต้อยติ่งทักท้วง “แต่ภรรยาของคุณท่านเสียไปแล้วตั้งหลายปี ก็ไม่น่าจะมีอะไรต้องเกี่ยวข้องกันอีก”
“ใช่! ไม่ควรจะมีอะไรเกี่ยวข้องกัน แต่ทำไงได้ ในเมื่อคนมันไม่มีที่ไป ก็ต้องอยู่เป็นปลิงคอยเกาะเค้าอยู่อย่างนี้ล่ะ โดยเฉพาะคุณท่านเป็นคน ที่สุดแสนจะใจดี สองแม่ลูกนั่นดูดเลือดคุณท่านกันสนุกล่ะ”
ป้าน้อมกับต้อยติ่งมองหน้ากันระอาเหลือ
ขณะเดียวกันไพศิษฐ์ขับรถมาจอดหน้าวังนาเคนทร์ เขาก้าวลงมาพร้อมกับนาถสุดาแฟนสาว แต่แล้วต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อมีรถสปอร์ตคันหรูแล่นมาจอดเทียบเท่า แทบจะชนไพศิษฐ์ร้องลั่น
“เฮ้ย”
ไพศิษฐ์คว้าร่างของนาถสุดาเอาไว้ สายตาของสองหนุ่มสาวมองไปยังรถคันดังกล่าวท่าทางไม่พอใจ
เจ้าของรถคือ เฟื่องวลี ที่ชอบให้ใครต่อใครเรียกว่า ฟีบี้ นั่นเอง วันนี้เฟื่องวลีแต่งตัวดูสวยเปรี้ยว โฉบเฉี่ยว เปิดประตูลงมาพร้อมกระเช้าเยี่ยมไข้ใบโตใหญ่เว่อร์ นาถสุดาร้องทักทาย
“คุณเฟื่องวลี”
“ฉันชื่อฟีบี้” เฟื่องวลีค้อนขวับ
ไพศิษฐ์ยิ้มขำ “ฟีบี้ก็ฟีบี้ มาแต่เช้าเชียวนะครับ”
เฟื่องวลียิ้มย่อง “แต่ยังช้ากว่าผู้กองอยู่ดีค่ะ”
“พอดีได้ข่าวว่านายชายไม่ค่อยสบายน่ะครับ” ไพศิษฐ์บอก
เฟื่องวลีคุยอวด “แต่สำหรับฟีบี้ คุณลุงภิงคารบอกฟีบี้เอง ว่าพี่ชายไม่สบายค่ะ”
ไพศิษฐ์อมยิ้มขำๆ ปากบ่นอุบอิบ “ยอมไม่ได้สักเรื่องเลยนะ”
เฟื่องวลีได้ยินไม่ถนัด “บ่นอะไรคะ”
“เปล่าครับเปล่า”
“ดีแล้วล่ะค่ะที่เปล่า เพราะขืนมีอะไร ฟีบี้ต้องคิดว่า ผู้กองแอบกิ๊กกับพี่ชายแน่ๆ แต่แกล้งมีคุณนาถสุดาไว้บังหน้า”
นาถสุดาหันมามองหน้าไพศิษฐ์ตาเขียว “จริงหรือเปล่าคะผู้กองไพศิษฐ์”
ไพศิษฐ์รีบแก้ต่าง “เปล่าจ้ะนาถ...เปล่า” ก่อนจะหันมาทางเฟื่องวลี “คุณฟีบี้ก็พูดไปเรื่อยเปื่อย”
“เรื่อยเปื่อยที่ไหนละคะ...ผู้ชายเดี๋ยวนี้ แอบ กันอยู่เต็มเมืองไปหมด”
นาถสุดาแก้แทน “แต่ไม่ใช่ผู้กองไพศิษฐ์แน่ค่ะ”
“อย่าออกตัวแรงค่ะคุณนาถ เกิดมันไม่ใช่ จะหน้าแตกเสียเปล่าๆ”
เฟื่องวลีเหน็บแนมนาถสุดา
ขณะที่เฟื่องวลีตั้งใจจะเดินเข้าบ้านก่อน แต่แล้วต้องหยุดกึกเมื่อเห็นนารีวรรณเดินออกมา จึงร้องเรียกเสียงหวานท่าทีดีใจ
“คุณหนูนา”
นารีวรรณยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะผู้กอง คุณนาถ คุณเฟื่องวลี”
“ฟีบี้ค่ะ คุณหนูนาจำไม่ได้อยู่เรื่อย” เฟื่องวลีหรือฟีบี้หน้าตึงที่เห็นหนูนาทำเฉยๆ แต่พูดเสียงใส
“เอ่อ...นี่ออกมารับพี่เองเลยเหรอคะ”
“เปล่าค่ะ พอดีเพื่อนหนูนารู้ข่าวว่าพี่ชายไม่สบายเลยบอกว่าจะมาเยี่ยม”
ขาดคำรถยนต์คันหนึ่งแล่นมาจอดเทียบ แล้วกับเห็นสาวสวย พะนอฤดี ก้าวลงมาพร้อมกระเช้าใหญ่เว่อร์พอกันกับของเฟื่องวลี
“ยัยพะนอฤดี”
เฟื่องวลีหน้าตึงทันที ไพศิษฐ์ยิ้มกระซิบนาถสุดา
“คุณฟี้บี้เค้าเปลี่ยนคู่ชกแล้วล่ะนาถ เรารอดตัวไป”
สองหนุ่มสาวมองหน้ากันยิ้มแบบขำๆ ขณะที่ฟีบี้กับพะนอฤดีมองหน้ากันอาการเขม่น คู่ปรับของหัวใจ
กันและกัน
ไม่นานนักกระเช้าใหญ่เว่อร์สองใบวางประชันกันต่อหน้าภุชคินทร์ หม่อมภาณียิ้มแย้มทักทายพูดเหน็บ
“ตาชายไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย จะขนมาทำไมเยอะแยะจ๊ะ”
สองสาวพูดพร้อมๆ กัน “ก็ฟีเป็นห่วง” / “ก็ฤดีเป็นห่วง”
สองสาวมองหน้ากันไม่พอใจอีก ไพศิษฐ์หัวเราะขำ
“ฉันก็ห่วงนะชาย แต่มามือเปล่าว่ะ”
“แต่นาถตุ๋นยาจีนมาให้ค่ะ คุณชายจะได้แข็งแรงเร็วๆ”
พลางนาถสุดาเอายาจีนหม้อเล็กๆ ส่งให้ สมจิตมารับ หม่อมภาณีบอก
“เอากระเช้าไปเก็บด้วย”
สมใจ เข้ามาช่วยสมจิตยกออกไป ภุชคินทร์ต่อว่าหน้าตึง
“ฉันไม่ได้เป็นอะไร ใครกันที่ปล่อยข่าวว่าฉันป่วย น่าเตะจริงๆ”
“นายต้องไปเช็คเอาเองว่ะ เพราะหนังสือพิมพ์ลงข่าวหลายฉบับเลย ว่า ม.ร.ว.ภุชคินทร์ ผู้ช่วยสุดหล่อของท่านภิงคาร เจอรอยเท้าพญานาคเข้าหน่อย ถึงกับไปลม”
ภุชคินทร์ทำหน้าเมื่อยขึ้นมาทันที “ลงข่าวอะไรเลอะเทอะ”
“ไม่เห็นจะเลอะเทอะเลยค่ะ รอยเท้าพญานาค น่าทึ่งออก” พะนอฤดีว่า
เฟื่องวลีหมั่นไส้มองหยามหยันพะนอฤดี “แต่ฟีบี้เห็นด้วยค่ะว่าเลอะเทอะ เพ้อเจ้อ แล้วก็งมงาย ใครที่เชื่อก็ไร้สมองเต็มที”
พะนอฤดีมองเฟื่องวลีอย่างเข่นเขี้ยว โกรธเอามากๆ
ครู่ต่อมาพะนอฤดีเดินจ้ำอ้าวออกมา ท่าทางโมโหจัด นารีวรรณตามมาติดๆ
“ฤดีใจเย็นๆ ก่อนสิจ้ะ”
“จะเย็นได้ยังไง หนูนาก็เห็น ยัยเฟื่องวลีว่าฤดีไร้สมอง นี่ถ้า ไม่เกรงใจ หม่อมแม่ของหนูนา ไม่เกรงใจคุณชาย ฤดีฉะกลับไปแล้ว”
“ผู้ดีน่ะเค้าไม่ตัดสินกันด้วยกำลังนะจ๊ะ”
พะนอฤดีเย็นลง “ก็เพราะว่าที่นี่เป็นที่ของผู้ดีนะสิจ๊ะ ฤดีถึงต้องทำตัวเป็นผู้ดีตามไปด้วย ไม่อย่างนั้น หนูนาคงรู้ ว่าลูกแม่ค้าคนนี้จะจัดการกับยัยซอมบี้นั่นยังไง”
นารีวรรณยิ้มขำที่เพื่อนเปลี่ยนชื่อให้คู่ปรับใหม่ “เค้าเปลี่ยนชื่อเป็นฟีบี้”
พะนอฤดีอารมณ์ดีขึ้น ยิ้มขำเหมือนกัน “จะเฟื่องวลีหรือฟีบี้ ยังไงหน้าตาก็เหมือนซอมบี้เหมือนเดิม”
นารีวรรณปราม “ฤดี”
“ก็หนูนาดูหน้าหล่อนสิ แทบไม่เหลือเค้าหน้าเดิม ไม่รู้บินไปเกาหลีกี่สิบรอบ”
นารีวรรณอดขำไม่ได้ “จะบินไปอัพหน้าด้วยรึไง”
พะนอฤดีหัวเราะร่วน “ไม่หรอก เพราะไม่มีเงินขนาดนั้น ไม่มีอะไรแล้วล่ะ ฤดีได้ระบายอารมณ์ดีขึ้นแล้ว ฝากขอโทษพี่ชายด้วยนะที่เสียมารยาท ฝากบอกด้วยวันหลังเดี๋ยวดีจะมาหาใหม่”
“จ้ะ...เดี๋ยวหนูนาบอกให้”
พะนอฤดียิ้ม แล้วทำท่านึกบางอย่างได้ “อ้อ แล้วหนูนาต้องช่วยฤดีอีกอย่างด้วย”
“อะไรจ๊ะ”
พะนอฤดียิ้มๆ “ก็..กันยัยซอมบี้ฟีบี้ออกจากพี่ชายนะสิ ไม่งั้น ฤดีสู้เค้าไม่ได้แน่ๆหนูนาก็รู้ ฤดีต้องทำมาหากิน ไม่มีเวลาตามผู้ชายตล๊อด..ตล้อด อย่างหล่อนหรอก”
“แต่ถ้าตามพี่ชายแล้วฤดีคว้าหัวใจมาได้ หนูนาว่า...ก็น่าจะคุ้มนะ”
พะนอฤดียิ้มย่อง “แหม มีเพื่อนคอยเชียร์อย่างนี้ ฤดีสู้ตาย...” ดึงตัวนารีวรรณมากอด “รักจริงๆ เลยเพื่อนคนนี้ ฤดีกลับก่อนนะจ้ะหนูนา”
“จ้า”
ขณะที่พะนอฤดีจะเดินออกไปที่รถ แต่แล้วต้องร้องกรี๊ดสุดเสียงเมื่อมีงูตัวหนึ่ง ซึ่งมันก็คือชรายุ บ่าวคนสนิทของเจ้าอุรคา ซึ่งกำลังเลื้อยผ่านมาอย่างรวดเร็ว มันชูคอแผ่แม่เบี้ยมองมาที่พะนอฤดีเขม็ง
“ว้ายงูๆๆๆ”
พะนอฤดีกระโจนมาหาหนูนา ตาสิน คนสวนวิ่งหน้าตั้งเข้ามา ภุชคินทร์ ไพศิษฐ์ นาถสุดา หม่อมภาณี และเฟื่องวลีก็วิ่งออกมา ภุชคินทร์ถามเสียงดัง
“มีอะไรกันหนูนา”
พะนอฤดีรีบบอก “งูๆๆๆๆๆๆ งูค่ะงู...อ๊าย”
พวกผู้หญิงร้องพากันร้องกรี๊ดๆ บอกแบบตกใจ หม่อมภาณีร้องบอกตาสินในอาการตกใจ
“ยืนมองทำไม จัดการเร็วสิตาสิน!”
“ครับๆ”
ตาสินคว้าจอบเดินไปที่งู แต่งูตัวนั้นกลับขู่ฟอดๆ ท่าทางไม่กลัว สู้ตาย ภุชคินทร์รีบห้าม
“อย่าทำอะไรเค้าครับ...ไล่ไปก็พอ”
สิ้นเสียงภุชคินทร์ งูตัวนั้นเหมือนหันมามอง แล้วเลื้อยไปอย่างว่าง่าย ไม่มีวี่แววว่าดุร้ายแต่อย่างใด
ไพศิษฐ์ทึ่ง พูดเย้า “มีมนต์อะไรวะเพื่อน แค่พูดงูก็เลื้อยหนีไปเลย”
“งูเค้ารับรู้ได้ด้วยเมตตาจิตค่ะ คุณชายไม่อยากทำร้ายเค้า เลยรีบเลื้อยหนีไป” นาถสุดาบอก
เฟื่องวลีแขวะ “คุณนาถคุยกับงูรู้เรื่องด้วยหรือคะ”
“ไม่หรอกค่ะ นาถก็พูดตามที่ได้ศึกษาธรรมะมา การไม่เบียดเบียนกันได้เป็นสิ่งดี”
เฟื่องวลียิ้มอย่างระอา “ฟีบี้คงไม่ใจดีอย่างคุณนาถหรอกค่ะ ลองงูมันเข้ามา จะฟันให้คอขาดไปเลย”
พูดจบฟีบี้ก็แกล้งร้องกรี๊ดๆๆๆๆๆ พร้อมกับกระโจนเข้าไปกอดภุชคินทร์ ทุกคนมองงง
“เป็นอะไรไปจ้ะฟีบี้” หม่อมถาม
“งูค่ะงู”
“ไม่มีงูที่ไหนเลยครับ คุณฟีบี้คงตาฝาด” ราชนิกูลรูปงามว่า
ไพศิษฐ์แซว “หรือไม่ก็..หาเรื่องแตะอั๋งผู้ชาย”
“ผู้กอง!” เฟื่องวลีตวัดเสียงใส่ และยอมถอนตัวออกจากภุชคินทร์รวดเร็ว
“ขอโทษครับ...ผมแค่หวงเพื่อนมากไปหน่อย อนุญาตให้คิดได้ครับว่าผมเป็นอีแอบ” ไพศิษฐ์คว้ามือนาถ “กลับกันเถอะนาถ” พลางยกมือไหว้หม่อมภาณี “กลับก่อนนะครับคุณอา”
ผู้กองหนุ่มหันมาทางภุชคินทร์บอกลา “เจอกันวันงานเลี้ยงนะเพื่อน”
ไพศิษฐ์เดินออกไปกับนาถสุดาแล้ว หม่อมภาณีมองหน้าเฟื่องวลีเป็นเชิงตำหนิ เฟื่องวลีรีบแก้ตัวเสียงอ่อยๆ
“ฟีบี้ไม่ได้ทำอย่างที่ผู้กองว่านะคะ”
“ฉันก็ไม่รู้นะจ๊ะ...ที่รู้คือ ไม่เห็นมีงูสักตัว”
หม่อมภาณีเดินกลับเข้าไปด้านใน เฟื่องวลีหันไปมองภุชคินทร์เสียงอ่อย
“ฟีบี้ไม่ได้แตะอั๋งพี่ชายนะคะ”
“พี่รู้...แต่พี่ว่า ฟีบี้รีบกลับไปก่อนดีกว่า”
“ทำไมคะ”
“พี่เห็นงูตัวหนึ่งกำลังมองฟีบี้อยู่”
“งู!”
เฟื่องวลีผงะ หันไปมองตามสายตาภุชคินทร์ ก็เห็นงูตัวหนึ่งแผ่แม่เบี้ยมองอยู่ เฟื่องวลีทำท่าแขยง
“อี้! ฟีบี้กลับก่อนนะคะพี่ชาย”
เฟื่องวลีวิ่งจู๊ดออกไปอย่างรวดเร็ว ภุชคินทร์มองไปที่งูตัวนั้น
“ไปซะ...ไปเร็ว”
งูตัวนั้นไม่ยอมไป แต่พอร่างของเฟื่องวลีวิ่งหายขึ้นรถไป เจ้างูตัวนั้นจึงยอมเลื้อยไปอย่างรวดเร็ว
ภุชคินทร์ถามตาสินอย่างสงสัย “ทำไม วันนี้งูที่วังเรา เยอะเสียจริง”
“เดี๋ยวผมจะตรวจดูให้ทั่วเลยครับคุณชาย ถ้าเจอรังงู จะจัดการซะหมด”
ภุชคินทร์รีบห้าม “อย่าฆ่าเค้านะ...เอาเค้าไปปล่อยก็พอ”
“ครับ” ตาสินรับคำ
ภุชคินทร์เดินกลับเข้าไปด้านใน ตาสินถือจอบเดินหางูไปเรื่อยๆ โดยไม่ทันเห็นว่าที่ด้านหลังมีงูตัวหนึ่งเลื้อยออกมามองตามภุชคินทร์นิ่งนาน
ไม่นานต่อมาไพศิษฐ์ขับรถเข้ามาที่คฤหาสน์หลังใหญ่มหึมาของสุบรรณ พร้อมกับนาถสุดา เห็นบอดี้การ์ดยืนอยู่ด้านหน้าตัวตึกหลายคน แต่ละคนหน้าตาถมึงทึงน่ากลัว ไพศิษฐ์บ่นขำๆ
“ถ้านาถไม่ใช่ลูกพี่ลูกน้องของท่านสุบรรณ ผมคงไม่ยอมเป็นผู้ติดตามท่านหรอก มาที่นี่ที่ไร รู้สึกเป็นบอดี้การ์ดของเจ้าพ่อฮ่องกงยังไงก็ไม่รู้”
นาถสุดายิ้มขำตาม “ก็ก่อนจะมีตำแหน่งพี่สุบรรณเค้าเป็นนักธุรกิจใหญ่มาก่อนนี่คะ ก็เป็นธรรมดาที่จะต้องมีคนอารักขามากหน่อย แต่คุณศิษฐ์อย่ากังวลไปเลยนะคะ พี่สุบรรณเป็นคนดี รับรองผู้ติดตามคนนี้”พลางเอานิ้วจิ้มที่ไพศิษฐ์ “ไม่มีวันม่องเท่งในหน้าที่หรอกค่ะ”
ไพศิษฐ์ยิ้มกริ่ม “ขอให้เป็นอย่างที่นาถว่าแล้วกัน ผมยังหนุ่มยังอยากอยู่ดูลูกโตอยู่”
“พูดซะยังกับว่ามีลูกแล้วงั้นแหล่ะ เก็บเงินมาขอนาถแต่งงานก่อนแล้วกันค่ะ”
อำนาจเดินมาหา รัศมีความเหี้ยมแผ่ออกมา ไพศิษฐ์กระซิบนาถสุดา
“ว่าจะไม่คิดแล้วเชียว แต่ผู้ช่วยพี่ชายนาถคนนี้...มาดเหี้ยมยังกับนึกว่าอยู่ในซ่องโจร”
นาถสุดาเอาศอกถองไพศิษฐ์ “นาถเอาเสื้อที่จะไปงานเลี้ยงมาให้พี่สุบรรณค่ะ”
“เชิญข้างในครับ”
พูดจบอำนาจหันหลังเดินเข้าไปในตัวคฤหาสน์ ไพศิษฐ์อมยิ้มยักไหล่ล้อๆ ก่อนเปิดประตูรถคว้า
เสื้อผ้าของสุบรรณลงมาแล้วเดินเข้าไปพร้อมนาถสุดา
สุบรรณเดินลงบันไดมาด้วยบุคลิกน่าเกรงขาม ถามนาถสุดา
“ตกลงเราไม่ไปงานเลี้ยงด้วยกันหรือยัยนาถ”
“ไม่ดีกว่าค่ะ นาถไม่เกี่ยวอะไรด้วยไปก็เก้อๆ ไม่รู้จะทำอะไร”
“ก็ไปในฐานะน้องสาวพี่ไง” สุบรรณปรายตาชำเลืองมองไพศิษฐ์ “แล้วก็คนรักของผู้กองไพศิษฐ์”
“ให้คุณศิษฐ์ไปทำงานดีกว่าค่ะ นาถไม่อยากไปกวน”
สุบรรณมองนิ่งๆ “ดี เป็นผู้หญิงต้องรู้จักปล่อยช่องว่างให้แฟนบ้าง” ก่อจะหันมาทางไพศิษฐ์ “แล้วงานเลี้ยงที่จะจัดรับรองแขกต่างประเทศเรียบร้อยดีมั้ยผู้กอง”
“ผมคุยกับหม่อมราชวงศ์ภุชคินทร์ ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับ”
สุบรรณได้ยินชื่อทำท่านึก “ม.ร.ว.ภุชคินทร์ อ้อ! ผู้ช่วยของท่านภิงคาร” น่าประหลาดสุบรรณรู้สึกเขม่นภุชคินทร์ตั้งแต่ได้ยินชื่อ “ผมได้ยินข่าวมาว่าจบจากต่างประเทศ เป็นคนเก่งมาก”
“ครับ...คุณชาย ภุชคินทร์เป็นคนเก่ง เก่งมาก” ไพศิษฐ์ว่า
นาถสุดาเสริม “เท่ห์มากด้วยค่ะ”
สุบรรณเหยียดยิ้ม “คงได้เจอตัวก็งานนี้เอง ฝากบอกเขาด้วย...ว่าผมอยากรู้จัก”
ไพศิษฐ์งงๆ “วันงาน คงได้รู้จักกันหมดน่ะครับ”
สุบรรณหันมาทางคนสนิท “อำนาจ”
“ครับ”
“รีบเคลียร์งานทุกอย่างให้เรียบร้อย ฉันรู้สึกแปลกๆ ยังไงไม่รู้ว่าคืนวันนั้น ฉันอยากจะอยู่ในงานเลี้ยงนานๆ”
สุบรรณพูด ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน
ที่โรงแรมหรูระดับ 5 ดาว คืนนี้ มีงานเลี้ยงรับรองแขกต่างประเทศซึ่งสุบรรณเป็นแม่งาน แขกในงานล้วนเป็นผู้คนที่อยู่ในแวดวงสังคมชั้นสูง ทูตพร้อมภริยาทูตจากประเทศต่างๆ และผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองเดินกันขวักไขว่
เฟื่องวลีมากับเฟื่องฟ้าผู้เป็นแม่ซึ่งกวาดสายตามองไปทั่วงานอย่างตื่นตา
“งานเลี้ยงคืนนี้ยิ่งใหญ่จริงๆ เลยนะลูก”
“ก็งานเลี้ยงรับรองระดับประเทศนี่คะ ผู้หลักผู้ใหญ่ก็ต้องมาหมด”
เฟื่องฟ้ากระซิบแนะเบาๆ “หาทางประกบคุณชายให้ได้นะยัยเฟื่อง เวลาออกข่าว จะได้เห็นหน้าแก”
“ค่ะคุณแม่ เรื่องแบบนี้ถึงคุณแม่ไม่สอน ฟีบี้ก็ไม่ยอมพลาดอยู่แล้ว อ้อ! ตอนนี้ลูกชื่อฟีบี้ค่ะ อย่าเผลอเรียกอีกว่า เฟื่องวลีอีกนะคะคุณแม่”
เฟื่องวลีทำหน้าเชิดๆ เริดๆ แล้วหันไปเห็นภุชคินทร์เดินมาในงาน ฟีบี้บอกเฟื่องฟ้าเสียงใส
“พี่ชายอยู่ทางนั้นค่ะคุณแม่” รีบเรียกทันที “พี่ชายคะ”
ภุชคินทร์หันมามอง แต่ต้องชะงักเมื่อไพศิษฐ์ร้องเรียกอยู่อีกทาง
“เฮ้! ชาย”
ภุชคินทร์หันไปทางไพศิษฐ์ เฟื่องวลีหน้างอ เฟื่องฟ้าเชียร์ให้ตาม
“ตามไปเลยๆ”
“งั้นคุณแม่รอนี่นะคะ”
เฟื่องวลีรีบเดินมาหาภุชคินทร์ ขณะที่ไพศิษฐ์ถามภุชคินทร์
“ท่านภิงคารล่ะ”
“ถูกรุมสัมภาษณ์อยู่”
“นายก็ว่างนะสิ..ดีเลย..มานี่หน่อย มีคนอยากรู้จัก”
ภุชคินทร์นิ่วหน้า “ใคร”
“เดี๋ยวก็รู้...มา”
ขณะที่ไพศิษฐ์จะพาภุชคินทร์เดินไป ฟีบี้เดินมาถึงพอดีถามขึ้นทันที
“ผู้กองจะพาพี่ชายไปไหนคะ”
ไพศิษฐ์ยิ้มกวนๆ “แหม...คุณเฟื่องวลี เอ๊ยคุณฟีบี้ไม่ต้องรู้สักเรื่องก็ได้มั้ยครับ”
“ไม่ได้ค่ะ วันนี้คุณแม่มาด้วย” ฟีบี้เอาแม่มาอ้าง “คุณแม่อยากเจอพี่ชาย”
ภุชคินทร์ออกตัว “พี่มีธุระ....ฝากเรียนท่านก่อน เดี๋ยวพี่จะมาสวัสดี”
เฟื่องวลีหน้างอ ตะบึงตะบอนใส่ “พี่ชาย”
“แล้วค่อยเจอกันนะครับคุณฟีบี้”
ไพศิษฐ์ลากตัวภุชคินทร์ไป เฟื่องวลีหน้างอไม่พอใจ
“ธุระอะไรนักหนา”
เฟื่องวลีมองตามสองหนุ่ม ก่อนตัดสินใจเดินตามไปแบบไม่ยอมแพ้
ที่งานเลี้ยงตอนนั้น สุบรรณคุยกับแขกเหรื่อด้วยหน้าตายิ้มแย้ม นักข่าวยังคงให้ความสนใจสุบรรณเป็น
อย่างมาก
“ในฐานะที่เป็นคนดูแลเศรษฐกิจแห่งชาติ ผมจะทำให้เศรษฐกิจของเราเทียบเท่ากับอารยประเทศแน่นอนครับ”
ระหว่างนั้นไพศิษฐ์กับภุชคินทร์เดินเข้ามา เหมือนรู้สึกสุบรรณหันขวับมามองยังภุชคินทร์ทันที
แค่เจอสายตา ภุชคินทร์ก็ผงะไปทันที ไพศิษฐ์ถามแปลกใจ
“เป็นอะไร”
ภุชคินทร์งงตัวเอง “เปล่า!”
ไพศิษฐ์ตั้งข้อสังเกต “ทำท่าแปลกๆ ยังกับเจอรังสีอำมหิตอะไรอย่างนั้นแหละ ท่านสุบรรณ อยากจะ
รู้จักนาย”
ภุชคินทร์ฉงน “รู้จักฉัน”
ไพศิษฐ์กระแทกเสียง “เออ!”
จากนั้นก็พาภุชคินทร์เดินเข้าไป สุบรรณมองภุชคินทร์ไม่วางตา
“ท่านครับ...นี่..หม่อมราชวงศ์ภุชคินทร์ นาเคนทร์”
“ยินดีที่ได้รู้จัก”
สุบรรณยื่นมือมาให้ ภุชคินทร์ยื่นมือจับตอบ สุบรรณจับเบาๆ แต่ภุชคินทร์แทบสะดุ้ง เหมือนมือนั้นจะมีแรงมหาศาลบีบมือเขาอยู่
“ยินดีที่ได้รู้จักท่านเช่นกันครับ”
“เหมือนเราจะเคยรู้จักกันมาก่อน” สุบรรณว่า
ไพศิษฐ์มองหน้าสุบรรณสลับกับภุชคินทร์ พูดเบาๆ กับตัวเอง
“อย่าบอกนะเว้ย..ว่าท่านสุบรรณจะแอบอีกคน”
ภุชคินทร์ถอนมือออกจากสุบรรณพลางบอก
“ผมรู้จักท่าน ในฐานะหนุ่มไฟแรง คนเก่ง แต่ท่านคงไม่รู้จักผม”
“รู้จักสิ ผมได้ยินชื่อคุณมานาน ตั้งแต่คุณอยู่ต่างประเทศเลยมั้ง รู้ด้วยว่าเป็นหลานรักของท่านภิงคาร แต่ที่ผมแปลกใจ ผมรู้สึกว่าเราจะเคยรู้จักกันมาก่อน แต่จำไม่ได้จริงๆ ว่าที่ไหน”
ว่าพลางสุบรรณจ้องหน้าภุชคินทร์เขม็ง ไพศิษฐ์มองแล้วยิ้มเฝื่อนๆ กับตัวเอง
ไพศิษฐ์พูดเบาๆ “อย่าบอกนะ...ที่ท่านสุบรรณสังหรณ์ใจว่าอยากจะอยู่งานเลี้ยงนานๆ เพราะอยากเจอไอ้ชาย”
สุบรรณเรียก “ผู้กอง”
ไพศิษฐ์สะดุ้ง “ครับ”
“ช่วยประสานงานต่อด้วย เสร็จจากงานเลี้ยงคืนนี้ ผมอยากเชิญคุณชายรับประทานอาหารเป็นการส่วนตัว”
สีหน้าไพศิษฐ์ดูแหยงๆ ทำนอง กรูว่าแล้ว
“คุณชายคงไม่รังเกียจ” สุบรรณถาม
“ด้วยความยินดีครับ”
ฟีบี้เดินเข้ามาแจม
“พี่ชายคะ...”
ฟีบี้ยังไม่ทันพูดจบ ก็มีเสียงฮือฮาของหมู่นักข่าวแถวหน้าประตูห้องบอลลูม
ที่แท้เป็นเจ้าอุรคาปรากฏกายในชุดสีเขียวมรกตเดินเข้ามาในห้อง ทุกคนหันขวับไปมองเป็นตาเดียว
หน้าของภุชคินทร์และสุบรรณสลับกัน สุบรรณมองแบบตะลึง สวยมาก ส่วนภุชคินทร์ รู้สึกคุ้นหน้าแต่จำไม่ได้ว่าที่ไหน
เจ้าอุรคาเยื้องกรายกรีดกรายด้วยท่วงท่างามสง่ามาก เธอเดินเข้ามาพร้อมกับยมนาผู้ติดตาม
เฟื่องฟ้ามองอย่างตื่นๆ
“ว้าย!!ใครกัน ทำไม ถึงสวยขนาดนี้ แล้วยัยเฟื่องลูกฉันจะเป็นยังไง”
เฟื่องฟ้ารู้สึกเป็นห่วงเฟื่องวลีขึ้นมาทันควัน เมื่อเห็นว่าสายตาทุกคู่ในงานโฟกัสไปที่เจ้าอุรคาเป็นตาเดียว
มณีสวาท ตอนที่ 1 (ต่อ)
ฟากเฟื่องวลีหลบมุมเติมแป้งเติมปากอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันกลับมา เห็นทุกสายตาพุ่งไปยังร่างของสตรีนางหนึ่ง เฟื่องวลีเดินแกมวิ่งเข้าไปแหวกกลุ่มคนนั้นแล้วก็เห็นทุกคนมองเจ้าอุรคาอย่างชื่นชม
แต่ทว่าเจ้าอุรคาเพียงปรายตามองไปยังสุบรรณ และภุชคินทร์แล้วเดินเลยไปทางอื่นอย่างไม่สนใจ
ภิงคารเดินเข้ามาพอดี อุรคายกมือไหว้
“สวัสดีค่ะท่านภิงคาร”
“สวัสดีครับ ดีใจจริงๆครับที่เจ้ามา”
“ท่านภิงคารให้เกียรติ ติดธุระอย่างไร ดิฉันก็ต้องมาค่ะ”
ภิงคารรู้ว่าเจ้าอุรคาเป็นเป้าสายตาของทุกคน ภิงคารจึงรีบแนะนำ
“นี่เจ้าอุรคาแห่งภูจำปาครับ แล้วนี่ก็ ท่านสุบรรณ ครุฑไพฑูรย์ เป็นชายหนุ่มที่เก่งและเนื้อหอมที่สุดในตอนนี้”
เจ้าอุรคาก้มศีรษะลงน้อยๆ ท่าทีไว้ตัว ดวงตาเยือกเย็น จนสุบรรณรู้สึกได้ ขณะเอ่ยทัก
“ยินดีที่ได้รู้จักเจ้าหญิงแห่งภูจำปา มาเมืองไทยนานหรือยังครับ”
“ก็มาเรื่อยๆ ค่ะ”
“เจ้าข้ามไปมาในเมืองไทยบ่อย ราวกับเป็นบ้านหลังที่สองเลยล่ะครับ” ภิงคารบอก
“แต่ต่อไปนี้...คงไม่ได้ข้ามไปข้ามมาอีกแล้วค่ะ” เจ้าหญิงต่างแดนพูดเป็นนัย
สุบรรณฉงน “ทำไมครับ”
เจ้าอุรคามองภิงคาร “เรื่องนี้ท่านคงตอบได้ดีกว่าดิฉัน”
“เอ่อ...ภูจำปาของเจ้ามีเรื่องวุ่นวายนิดหน่อย เจ้าเลยรำคาญใจ อยากจะอยู่ต่างประเทศเลยนะครับ” ภิงคารอธิบาย
“ถ้าจะลี้ภัย อยู่ที่นี่ก็ได้นี่ครับ” สุบรรณเชื้อชวนทันที
“เป็นข้อเสนอที่ไม่เลวค่ะ เพราะดิฉันก็ตั้งใจที่จะอยู่เมืองไทยเหมือนกัน”
“ถ้าเช่นนั้นผมคงได้มีโอกาสต้อนรับเจ้า”
เจ้าอุรคาทอดยิ้มในสายตาท่าทีเชิญชวน “ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ”
สุบรรณกับเจ้าอุรคายืนยิ้มให้กัน ภุชคินทร์มองหน้าเจ้าอุรคาอย่างไม่พอใจ ก่อนหันมาบอกกับเฟื่องวลี ที่ยืนตาค้างมองเจ้าอุรคานิ่ง
“พี่เสร็จธุระแล้ว จะไปหรือยังฟีบี้”
“ไปสิคะพี่ชาย”
เฟื่องวลียิ้มหวานรีบควงแขนแสดงความเป็นเจ้าของภุชคินทร์ทันที เจ้าอุรคาหันมาเรียก
“เดี๋ยวค่ะ”
ภุชคินทร์หันมามอง เฟื่องวลีชักสีหน้าไม่พอใจ
“คุณชายภุชคินทร์....ผู้ช่วยของท่านภิงคาร” เจ้าหญิงต่างแดนเอ่ยขึ้น
ภุชคินทร์อึ้ง “เจ้ารู้จักผมด้วย”
เจ้าอุรคายิ้มบางๆ แต่หวานชวนซึ้ง “รู้จักท่านภิงคารก็ต้องรู้จักผู้ช่วยคนเก่งของท่านสิคะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
เจ้าอุรคายื่นมือมาให้ภุชคินทร์ เฟื่องวลีไม่พอใจ หนุ่มๆ แถวนั้นพากันตะลึง เพราะก่อนหน้านี้เจ้าไม่เคย
ทักทายคนอื่นแบบนี้ แม้กระทั่งสุบรรณ ภุชคินทร์ยื่นมือออกมา เจ้าอุรคาจับเอาไว้
“ยินดีที่ได้ รู้จัก อีกครั้งค่ะ” เจ้าอุรคาจงใจเน้นเสียงตรงคำว่า...อีกครั้ง ทว่าภุชคินทร์ไม่สำเหนียกแต่อย่างใด
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
เจ้าอุรคาจับมือภุชคินทร์อย่างอ้อยอิ่ง ภุชคินทร์มองงงแปลกใจ ฟีบี้รีบขัดขึ้น
“ไปกันได้หรือยังคะ”
“ผมขอตัว”
“แล้วเจอกันใหม่ค่ะ”
ภุชคินทร์เดินไปกับฟีบี้ เจ้าอุรคามองตาม สุบรรณมองตามเห็นชัดว่าสายตาของเจ้าอุรคาฉายแววไม่พอใจ
ที่ระเบียงด้านนอกงานเลี้ยง ฟีบี้ลากแขนภุชคินทร์มาพลางบอกอย่างหงุดหงิดแกมหมั่นไส้
“ฟีบี้ไม่ชอบเจ้าอุรคาอะไรนั่นเลย ผู้หญิงอะไรมองพี่ชายยังกับจะกลืนกินไปทั้งตัว”
ภุชคินทร์ตำหนิ “พูดจาอะไรน่าเกลียด”
เฟื่องวลีจ้อไม่หยุด “ก็จริงมั้ยล่ะคะ คืนนี้หล่อนคงจะอยากเก็บแต้มให้หมดทั้งท่านสุบรรณ ทั้งพี่ชาย”
ภุชคินทร์เสียงดัง “ฟีบี้”
เฟื่องวลีหน้าจ๋อย “ขอโทษค่ะ...ฟีบี้แค่พูดความจริง...พี่ชายก็รู้ผู้หญิงสมัยนี้ไวไฟจะตาย จะรัก
นวลสงวนตัวเหมือนเมื่อก่อนไม่มีหรอก”
“ดีจ้ะที่ฟีบี้รู้จักรักนวลสงวนตัว...ถ้าอย่างนั้น” ราชนิกูลรูปงามมองมือของฟีบี้ที่เกาะมือตัวเองขณะบอก “ก็..ปล่อยมือพี่ซะที”
“อุ๊ย!ขอโทษค่ะ” เฟื่องวลีรีบปล่อยมือ “แต่...เราเป็นคนคุ้นเคยสนิทกัน จะจับมือถือแขนกัน ก็ไม่น่าเกลียดหรอกค่ะ”
ว่าแล้วเฟื่องวลีก็คว้าแขนของภุชคินทร์มาจับใหม่
ภุชคินทร์ไม่ทันได้ทำอะไร ก็รู้สึกเหมือนมีคนจดสายตามองจ้องมายังตน ภุชคินทร์เหลียวขวับไปมองก็เห็นเจ้าอุรคายืนมองอยู่ สองคนสบกันอย่างจัง สายตาของเจ้าอุรคามีแววตัดพ้อกลายๆ
ภุชคินทร์จับมือของเฟื่องวลีออกราวอัตโนมัติ บ่นเบาๆ
“คนอะไรไม่มีมารยาท มายืนมองคนเค้าจับมือกันอยู่ได้”
เจ้าอุรคาพูดเหมือนได้ยิน “ขอโทษค่ะ ดิฉันไม่ตั้งใจที่จะเสียมารยาท รู้สึกมึนหัวนิดหน่อย เลย
ออกมารับอากาศข้างนอก”
“ไม่เป็นไรครับ...พวกเราจะเข้าข้างในพอดี แล้วเจอกันครับ ไปฟีบี้”
ภุชคินทร์เดินเข้าข้างใน โดยมีเฟื่องวลีเดินแกมวิ่งตาม เจ้าอุรคามองภาพตรงหน้าอย่างไม่
พอใจ สุบรรณเดินออกมาจากอีกมุม
“เจ้ามาหลบอยู่ที่นี่เอง”
“มีธุระอะไรกับดิฉันคะ”
เจ้าอุรคายิ้มเยื้อน ภุชคินทร์หันกลับมามอง ทันเห็นดวงตาหวานฉ่ำของเจ้าอุรคาที่มองสุบรรณพอดิบพอดี
เฟื่องวลีลากแขนภุชคินทร์เดินเข้ามาด้านใน พลางเบ้ปาก
“เชื่ออย่างที่ฟีบี้ว่าหรือเปล่าล่ะคะพี่ชาย เจ้าอุรคาอะไรเนี่ย ตั้งใจหว่านเสน่ห์ชัดๆ”
“เรื่องธรรมดาของคนสวย” ภุชคินทร์บอก
“สวยตายล่ะ หน้าตาทื่อมะลื่ออย่างกับรูปปั้น”
ภุชคินทร์อมยิ้ม “ใช่ หน้าตาทื่อมะลื่อยังกับรูปปั้น ใครเลยจะสวย ใส เปลี่ยนได้ทุกวัน แบบฟีบี้ล่ะ”
“พี่ชายอ่ะ” เฟื่องวลีหน้าง้ำ
“ใครจะสวยหรือไม่สวยก็ช่างเขาเถอะ ไม่เกี่ยวกับเรา”
“เกี่ยวสิคะ ก็ฟีบี้เห็นเค้ามองพี่ชายตาเป็นมัน ฟีบี้หวง” เฟื่องวลีออดอ้อน
ภุชคินทร์ดุ “จะหวงทำไม เราไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย เออ ถ้าเราเป็นแฟนของพี่ก็ว่าไปอย่าง”
ฟีบี้งอนใส่ “พี่ชาย”
ไพศิษฐ์เดินเข้ามาหา ภุชคินทร์ทัก
“จะกลับหรือยัง”
“ท่านสุบรรณยังไม่กลับ ฉันจะกลับได้ยังไง?...” ลดเสียงพูดเบาลง “พูดก็พูดเถอะ ตอนแรก ฉันนึก
ว่าท่านสุบรรณจะติดใจนาย เอาเข้าจริง กลายเป็นเจ้าอุรคาไปซะได้”
ภุชคินทร์ฉงน “เจ้าอุรคา”
“ใช่! ฉันเห็นท่านสุบรรณกับเจ้าอุรคา แอบไปคุยอะไรกันก็ไม่รู้งุบงิบๆ กันสองคน”
ไพศิษฐ์พูดยิ้มๆ โดยไม่ทันสังเกตว่าใบหน้าภุชคินทร์บึ้งตึงขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
ตรงระเบียงด้านนอกงานเลี้ยง ร่มรื่นเต็มไปด้วยต้นไม้ เจ้าอุรคาเดินคุยกับสุบรรณ
“หลายวันก่อนที่จะถึงวันนี้ ผมรู้สึกสังหรณ์ใจอย่างแปลกประหลาด ถึงกับให้เลขาเคลียร์งานให้เลยนะครับ....เพราะอยากอยู่ในงานเลี้ยงวันนี้นานๆ”
เจ้าอุรคายิ้มบางๆ ทำทีเป็นสนใจ “แล้วถึงวันนี้หาคำตอบได้หรือยังคะ? ว่าอยากอยู่ในงานเลี้ยง
นานๆทำไม”
“ได้ครับ เพราะเจ้าไง เจ้าอุรคา”
“ดิฉันน่ะหรือคะ”
“ครับ...ทันทีที่ได้เจอเจ้า..ผมไม่อยากละสายตาไปทางไหนเลย”
อุรคาหัวเราะหยันท่วงทำขำๆ “บังเอิญดิฉันไม่ใช่สาวสิบเจ็ดเสียด้วยสิ ที่จะหลงละเมอเพ้อพกไปกับ
คำหวานของผู้ชาย โดยเฉพาะ ผู้ชายที่เพิ่งรู้จักกัน”
“ใช่ครับ เราเพิ่งรู้จักกัน แต่แปลก ที่ผม กลับรู้สึกว่า รู้จักและคุ้นเคยกับเจ้ามานานแสนนาน”
แววตาเจ้าอุรคาตาขณะพูดมีเลศนัย “ขนาดนั้นเชียวหรือคะ”
สุบรรณตอบอย่างหนักแน่น “ครับ”
“ถ้าเช่นนั้น...ดิฉันก็ได้แต่หวังว่า คุณสุบรรณจะจำความรู้สึกนี้ไปได้ตลอด วันไหน ที่ดิฉันมาทวง สัญญา คุณสุบรรณจะได้ ไม่ลืม”
สุบรรณติดใจคำว่าสัญญา “สัญญา…สัญญาอะไรครับ”
“ก็สัญญาระหว่างเรานะสิคะ”
“สัญญาระหว่างเรา”
เจ้าอุรคาหัวเราะเฉไฉ “ดิฉันก็พูดล่วงหน้าไปนะค่ะ เพราะว่ากันว่า ผู้ชาย เป็นเพศที่ลืมคำพูด
ตัวเองได้ง่ายที่สุด ดิฉันเลยพูดเผื่อไว้...คุณสุบรรณจะได้ไม่ลืม..” เจ้าหญิงต่างแดนจ้องตาสุบรรณพูดช้าๆ ชัดๆ
เน้นทุกถ้อยคำ “ว่าเราเคยรู้จัก เราคุ้นเคยกันมาก่อน”
“บังเอิญผมไม่ได้จัดอยู่ในผู้ชายประเภทขี้ลืมเสียด้วยสิ...คนอย่างนายสุบรรณ ครุฑไพฑูรย์ พูดคำไหนเป็นคำนั้น”
“ดิฉันจะจำไว้ค่ะ”
เจ้าอุรคาจ้องหน้าสุบรรณนิ่ง สุบรรณก็มองตอบ แต่แล้วกลับเห็นงูตัวหนึ่ง เลื้อยอยู่บนต้นไม้
ด้านหลัง สุบรรณร้องเสียงดัง
“เจ้าครับระวังงู”
สุบรรณกระชากร่างของเจ้าอุรคามากอดไว้อย่างรวดเร็วโดยอัตโนมัติ พร้อมออกอาการปกป้องด้วยความเป็นห่วง
เจ้าอุรคามองสบตาสุบรรณ ทอดสายตาหวานซึ้งเป็นเชิงเปิดทางให้
จังหวะนั้นภุชคินทร์เดินออกมาพอดี มองจากด้านหลัง เห็นเจ้าอุรคาอยู่ในอ้อมกอดของสุบรรณ สองหนุ่มสาวสบตากันหวานฉ่ำ ภุชคินทร์มองด้วยสายตาหยามหยันและดูแคลน นึกตำหนิในใจ
“ผู้หญิงชอบหว่านเสน่ห์ประเภทนี้ ทำได้อย่างเดียวคือ ทำลายครอบครัวคนอื่น น่ารังเกียจจริงๆ เจ้าอุรคา”
ภุชคินทร์หันตัวจะเดินกลับเข้าไปด้าน เจ้าอุรคาหันไปเห็นพอดี หน้าเสีย รีบถอนตัวออกจากสุบรรณ
“ขอบคุณค่ะ...ดิฉันขอตัวกลับก่อน”
สุบรรณรีบอาสา “ผมขอไปส่ง”
“ดิฉันมีคนขับรถมาค่ะ ขอบคุณ..อีกครั้ง”
“เปลี่ยนเป็น เจอกันอีกครั้ง...คงจะดีกว่า” สุบรรณเย้าทีเล่นทีจริง
“ได้ค่ะท่านสุบรรณ รับรอง เราได้เจอกันอีกแน่นอน”
เจ้าอุรคาหันกลับไป และเดินไปอย่างรวดเร็ว สุบรรณเดินตาม
“เดี๋ยวครับเจ้า...เดี๋ยว”
สุบรรณสาวเท้าเดินตาม แต่เจ้าอุรคาเดินไวมาก
สุบรรณเดินลิ่วเข้ามาในงานเลี้ยง กวาดสายตามองหาเจ้าอุรคา แต่ก็ไม่เห็น
อำนาจมองอยู่ รีบเดินเข้ามาหา “มีอะไรครับนาย”
“เจ้าอุรคา หายไปไหนเนี่ย”
อำนาจกวาดตามอง “ผมไม่เห็นมีใครเลยครับนาย”
สุบรรณหงุดหงิด “จะไม่เห็นได้ยังไง ก็ฉันเดินตามมาติดๆ อยู่นี่ไง”
อำนาจเงียบ ขณะที่สุบรรณกวาดสายตามองไม่เห็นเจ้าอุรคาจริงๆ สุบรรณถอนหายใจ ท่าทีหงุดหงิดมาก
“เจ้าหายไปไหน เร็วซะจริง อำนาจ ฉันอยากได้ที่อยู่ เบอร์โทร.ของเจ้าอุรคา แกรีบไปจัดการหามาให้ฉันด่วนที่สุด”
“ครับนาย”
อำนาจรับคำ สุบรรณกวาดสาตามองรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นแม้เงาของเจ้าอุรคา
งานเลี้ยงเลิกแล้ว แขกเหรื่อทุกคนทยอยเดินกันออกมาตรงบริเวณลานจอดรถโรงแรม รวมทั้งภุชคินทร์ ไพศิษฐ์ ภิงคาร เฟื่องฟ้าและเฟื่องวลี
“มัวแต่ทักคนนั้นคนนี้เลยไม่ได้คุยกับคุณชายเลยนะคะ” เฟื่องฟ้าว่า
“วันไหนว่างๆ พี่ชายแวะไปทานข้าวที่บ้านฟีบี้นะคะ...คุณแม่อยากทานข้าวด้วย” เฟื่องวลีฉอเลาะ
“คุณแม่..หรือว่าเราฮึฟีบี้” ภิงคารสัพยอก
“ก็ทั้งสองคนแหล่ะค่ะคุณลุง....กู๊ดไนท์ ฝันดีนะคะพี่ชาย”
ไพศิษฐ์ยั่ว “แล้วผมล่ะ”
“ขอให้ฝันร้ายค่ะ กลับกันเถอะค่ะคุณแม่ สวัสดีค่ะพี่ชาย” เฟื่องวลีมองค้อนไพศิษฐ์ แล้วเปลี่ยนท่าทีเป็นอ่อนหวานเมื่อบอกลาภุชคินทร์
ภิงคารบอกลาเช่นกัน “แล้วเจอกันชาย”
“ครับคุณน้า”
ภุชคินทร์เดินไปส่งสองแม่ลูก ภิงคารขึ้นรถ เจ้าอุรคาเดินออกมาจากมุมหนึ่ง พร้อมกับยมนา เจ้า
อุรคามองภาพที่ภุชคินทร์เปิดประตูรถให้เฟื่องวลีด้วยความเสียใจ น้ำตารื้น
“เค้าจำเราไม่ได้ มิหนำซ้ำยังมองเราด้วยสายตา ดูหมิ่น ดูแคลน”
“อดีตได้ผ่านพ้นไปนานแล้ว” ยมนาเอ่ยขึ้น
“ไม่ เราไม่ยอม เราจะทำให้อดีตของเราย้อนกลับคืนมา เราจะทำให้เค้าจดจำความรักของเราให้ได้ เรากับเค้าจะได้ครองรักกัน ไม่มีวันพลัดพรากจากกันอีก”
เจ้าอุรคาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
ท่ามกลางความเงียบสงัด ภุชคินทร์ขับรถมาตามถนน มุ่งหน้ากลับวัง แต่แล้วก็ต้องจอด เมื่อด้านหน้า มีรถคันหรูจอดอยู่ ดูก็รู้ว่าประสบอุบัติเหตุ น่าแปลกที่บริเวณนั้นไม่มีผู้คนแม้แต่คนเดียว นอกจากกระจกแตกเกลื่อนกระจาย
ภุชคินทร์รีบจอดรถลงไปดู เห็นผู้หญิงคนหนึ่งนอนฟุบหน้ากับพวงมาลัย ไม่ได้สติ ภุชคินทร์เคาะกระจกเรียก
“คุณครับ...คุณ”
สตรีนางนั้นยังไม่ไหวติง ภุชคินทร์ตัดสินใจ ลอดมือเข้าไปทางกระจกหลังที่แตกอยู่ ปลดล็อคประตู
“คุณครับ”
ภุชคินทร์เอามือแตะที่ร่างนั้นเบาๆ เพียงปลายนิ้วสัมผัส ศีรษะของสตรีนางนั้นก็เอนซบลงกับ
พนักพิง ดวงหน้าขาวซีดเป็นกระดาษ สภาพน่าสงสาร ภุชคินทร์ชะงักเมื่อเห็นวงหน้าของเธอผู้นั้นชัดเจน
“เจ้าอุรคา”
ภุชคินทร์เพ่งมองดวงหน้างดงามนั้นอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
ต่อจากตอนที่แล้ว
ไม่นานต่อมา ภุชคินทร์อุ้มร่างของเจ้าอุรคาที่นอนสลบสไลไม่ได้สติ เดินลิ่วเข้าไปในโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่เข็นเตียงเข้ามารับอย่างรวดเร็ว และเข็นร่างเจ้าอุรคาเข้าไปในห้องฉุกเฉินทันที
น่าประหลาดนักภุชคินทร์กลับมองเห็นภาพเหล่านั้นอย่างลางเลือน เหมือนอยู่ในห้วงความฝัน จังหวะนั้นเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นภุชคินทร์สะดุ้งตื่น ความรู้สึกลางเลือนเหมือนฝันหายวับไป ราชนิกูลหนุ่มรีบรับโทรศัพท์ทันที ขณะยังยืนอยู่ตรงทางเดินในโรงพยาบาล
“ครับแม่”
หม่อมภาณียืนโทรศัพท์อยู่ตรงห้องโถงในวังนาเคนทร์ ทอดสายตามองผ่านหน้าต่างออกไปด้านนอก
เห็นบรรยากาศค่ำคืนนี้ ดูมืดมิด วังเวง ลมพัดแรงผิดปกติ หม่อมภาณีมีท่าทีหวาดผวา ขณะถามบุตรชายด้วยเสียงอ่อนโยนไม่ใช่ซักไซ้ไล่เลียง
“งานเลี้ยงเลิกแล้วไม่ใช่เหรอชาย ทำไมยังไม่กลับบ้านอีก”
“พอดีผมติดธุระนิดหน่อยครับ”
สุ้มเสียงของหม่อมภาณีเหมือนคนหวาดขณะบอกบุตรคนโต “รีบกลับบ้านหน่อยนะ วันนี้แม่รู้สึกกลัวๆ ยังไงก็ไม่รู้”
“คุณแม่กลัวอะไรครับ”
“แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่าใจคอไม่ค่อยดี ชายรีบกลับบ้านเถอะนะลูก”
“ครับแม่”
หม่อมภาณีวางสายยืนกอดอก มองเพ่งฝ่าความมืดออกไป เห็นเงาตะคุ่มๆ คล้ายงูนอนขดตัวอยู่ใต้พุ่มไม้ หม่อมทำท่าแหยงๆ แต่ครั้นเขม้นมองออกไปอีกที เงานั้นหายไปแล้ว หม่อมภาณีถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ยังหวาดผวาอยู่ รีบสาวเท้าเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว
ด้านภุชคินทร์พอวางสายก็หันไปมองยังห้องฉุกเฉินที่มีร่างของเจ้าอุรคาอยู่ในนั้น สายตาเป็นห่วงอยู่ในที แต่บอกตัวเอง
“ถึงมือหมอแล้วคงไม่เป็นไรหรอก เรื่องคดีค่อยให้ไพศิษฐ์ช่วยจัดการแล้วกัน”
ตอนสายๆ วันต่อมา ที่ถนนสายเดิมที่ภุชคินทร์เจอเจ้าอุรคาประสบอุบัติเหตุ ไพศิษฐ์เดินตรวจตรา
สถานที่เกิดเหตุหน้านิ่ว เพราะไม่มีร่องรอยใดๆ ไพศิษฐ์คุยสายบอกกับภุชคินทร์ด้วยท่าทีงงๆ
“ก็มันไม่มีร่องรอยอะไร แล้วนายจะให้ฉันจัดการอะไรวะ”
ขณะเดียวกัน ตรงมุมหนึ่งของวังนาเคนทร์ ซึ่งมองเห็นความสวยงามโอ่อ่า หนึ่งในของประดับตกแต่ง มี
รูปสลักนาครวมอยู่ด้วย ภุชคินทร์กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ตรงมุมนั้น หน้านิ่วงวยงงไม่แพ้ไพศิษฐ์
“ไม่มีได้ยังไง ก็เมื่อคืน เจ้าอุรคาขับรถชน จนไม่ได้สติ”
ไพศิษฐ์กวาดสายตามองรอบบริเวณ ไม่มีอะไรผิดปกติจริงๆ ผู้กองหนุ่มถอนหายใจบอกเพื่อนซี้
“ก็มันไม่มีอะไรจริงๆ นี่หว่า ฉันเช็คไปแล้ว เมื่อคืนก็ไม่มีจนท.คนไหนรับแจ้งว่าเกิดอุบัติเหตุที่นี่เลยซักคน”
ภุชคินทร์งงหนัก พึมพำเบาๆ “เป็นไปได้ยังไง”
ไพศิษฐ์ซัก “นายฝันไปหรือเปล่า”
“ฝันยังไง ฉันเป็นคนไปส่งเจ้าอุรคาที่โรงพยาบาลเอง”
“งั้นนายก็ไปถามเจ้าอุรคาเองแล้วกัน เหตุการณ์มันเป็นยังไง จำรถที่ชนได้มั้ยว่าทะเบียนอะไร สีอะไร? แล้วฉันจะช่วยตามคดีให้”
ไพศิษฐ์วางสาย แล้วเดินกลับมายังรถที่จอดอยู่ข้างทาง มีนาถสุดาที่ยืนรออยู่ที่รถกับพอ.นรินทร์
“มีอะไรคะคุณศิษฐ์” นาถสุดาถามอย่างแปลกใจ
“ก็นายชายน่ะสิ บอกว่าเมื่อคืนเจ้าอุรคาประสบอุบัติเหตุตรงนี้ ผมบอกแล้วว่าไม่มีอะไร มันก็ไม่เชื่อ”
พันเอกนรินทร์ยืนเพ่งมองไปที่ถนนแน่วนิ่ง สายตานิมิตเห็นที่ถนนท่ามกลางความมืด น่าประหลาดที่มีพญานาคและบริวารออกมาเลื้อยเล่นอยู่ ณ ตรงนั้น ก่อนที่รถของภุชคินทร์ซึ่งวิ่งมาอย่างเร็วจะจอดสนิท
นรินทร์พึมพำออกมา “อาจจะมีก็ได้”
นาถสุดาสนใจ “เหมือนในนิมิตใช่มั้ยคะ”
“พ่อยังไม่รู้” นายทหารวันยกลางคนพูดนิ่งๆ ท่าทีเนิบๆ “แต่ที่พ่อเห็น มีเรื่องที่คุณชายบอกเกิดขึ้นจริงๆ แต่อาจไม่ใช่คน”
ไพศิษฐ์ชะงัก “ไม่ใช่คน คุณอาพูดแปลก”
“โลกนี้ก็มีอะไรแปลกประหลาด พิสดารเกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ ไม่ใช่หรือผู้กอง สิ่งที่คุณชายเห็นอาจจะเป็นความมหัศจรรย์บางอย่างที่คนอย่างเรา สัมผัสไม่ได้ก็ได้”
ไพศิษฐ์ยิ้ม ไม่เชื่อ “ผมเลยบอกให้เจ้าชายตามไปถามเจ้าอุรคาที่โรงพยาบาลยังไงล่ะครับ เจ้าคงจะตอบได้ เมื่อคืนเกิดเหตุการณ์อะไร และใครเป็นคนขับรถชนเจ้า รีบไปกันเถอะครับ ทำธุระเสร็จแล้ว ผมต้องรีบไปเข้าเวร”
สองคนเดินขึ้นรถไป ไม่มีใครติดใจอะไร นอกจากพันเอกนรินทร์ที่พึมพำบทแผ่เมตตาออกมา
“สัพเพสัพตา”
นาถสุดามองหน้าบิดาใจเต้นระรัว สงสัยในนิมิตที่ผู้เป็นบิดาเห็นเหลือเกิน
ภุชคินทร์มาไขข้อข้องใจที่โรงพยาบาล ซึ่งเขาแน่ใจว่านำร่างเจ้าอุรคามาส่งเมื่อคืนนี้ ราชนิกูลรูปงามเดินลิ่วเข้ามาที่ห้องฉุกเฉิน พยาบาลเปิดประตูออกมาพอดี ภุชคินทร์ถามเร็วๆ
“เจ้าอุรคาเป็นอย่างไรบ้างครับ”
พยาบาลงวยงง “เจ้าอุรคา?...” แล้วทำท่าคิด “ไม่มีคนเจ็บชื่อนี้นี่คะ”
ภุชคินทร์แย้ง “มีสิครับ เมื่อคืนผมขับรถพาเธอมาส่งที่นี่เอง”
พยาบาลคิด และตอบย้ำอย่างมั่นใจ “ไม่มีจริงๆ ค่ะ”
ภุชคินทร์งงหนัก ไม่อยากจะเชื่อ “เป็นไปได้ยังไงไม่มี”
“เมื่อคืนดิฉันอยู่เวรทั้งคืน ไม่เห็นนะคะ โทษนะคะไม่เคยเห็นคุณด้วยค่ะ”
ภุชคินทร์อึ้ง “ไม่เห็นผม”
“ค่ะไม่เห็นจริงๆ คุณลองเช็คที่ทะเบียนประวัติคนเจ็บอีกทีนะคะ เผื่อคุณจะพาคนเจ็บมาตอนที่ฉันไม่อยู่” พยาบาลพูดเหมือนจะบอกตัวเอง “แต่เมื่อคืน ดิฉันก็อยู่ที่นี่ทั้งคืนนะคะ ไม่ได้แวบออกไปไหนเลย”
พยาบาลตอบด้วยท่าทีมั่นใจ ภุชคินทร์ยิ่งงงเข้าไปใหญ่
มณีสวาท ตอนที่ 1 (ต่อ)
ครู่ต่อมาพยาบาลคนเดิมกำลัง ค้นทะเบียนประวัติคนไข้ และบอกกับภุชคินทร์
“ไม่มีคนเจ็บชื่อเจ้าอุรคาค่ะ”
ภุชคินทร์งงไปใหญ่ “ไม่มี”
“ค่ะไม่มี...เจ้าอุรคา นามสกุลอะไรคะ ดิฉันจะได้ค้นจากนามสกุลดู” พยาบาลถาม
“เอ่อ..ผมไม่ทราบครับ”
“งั้นต้องขอโทษด้วยจริงๆค่ะ เราตรวจจากรายชื่อ ไม่มีคนเจ็บชื่อเจ้าอุรคาจริงๆ แล้วก็ไม่มีประวัติว่าเมื่อคืนมีเคสอุบัติเหตุรถชน”
พยาบาลนางนั้นมองหน้าภุชคินทร์แบบตื่นๆ ภุชคินทร์ นิ่งงัน งวยงงสงสัย ว่าเป็นไปได้อย่างไร
เวลาผ่านไปสักระยะ ช่วงบ่ายที่ทำเนียบรัฐบาล นักข่าวสัมภาษณ์ภิงคารเกี่ยวกับแรงงานไทยในต่างแดน โดยเดินไป สัมภาษณ์กันไปเป็นพรวน ภิงคารตอบ
“ไม่ต้องห่วงครับ ทางเราจะควบคุมดูแลการประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการจัดแรงงานไทยไปทำงานที่ต่างประเทศ ไม่ให้เกิดปัญหา ลักลอบค้าแรงงานมนุษย์อย่างเด็ดขาด”
ภุชคินทร์อยู่ในขบวนนั้นด้วยตอบเสริม “มาตรการและนโยบายเป็นอย่างไร ผมจะส่งข้อมูลเบื้องต้นในการประชาสัมพันธ์ไปให้ครับ”
จากนั้นสองน้าหลานก็เดินลิ่วมาออกมาจากกลุ่มนักข่าว ภิงคารถามเรื่องคุยค้างเอาไว้
“ที่ชายเล่าให้น้าฟัง น้ายังงงๆ อยู่เลย ว่าเกิดเรื่องแบบนั้นได้อย่างไร”
“ผมก็งงอยู่นี่ล่ะครับ เลยต้องหาโอกาสถามคุณน้า ผมอยากไปหาเจ้าอุรคา คุณน้าทราบมั้ยครับ ว่าเจ้าอุรคาเธอพักอยู่ที่ไหน”
“น้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าอยู่ที่ไหน จำได้แค่เจ้าบอกว่า เวลามาเมืองไทย เจ้าจะอยู่ที่ เฮือนภูจำปา”
“เฮือนภูจำปา”
ภุชคินทร์ทวนคำขมวดคิ้วนิ่วหน้า ไม่คุ้นทั้งยังไม่เคยได้ยินสถานที่แห่งนั้นมาก่อน
คืนนั้นภุชคินทร์ขับรถมาจอดยังเฮือนภูจำปา ชายหนุ่มก้าวลงมามองภาพตรงหน้าอย่างตื่นตะลึง เห็นความสวยงามรอบๆ ตัวอาคาร เฮือนภูจำปา นั้นตั้งตระหง่านโดดเด่นเป็นสง่า อยู่ท่ามกลางธรรมชาติต้นไม้ และดอกไม้นานาพันธุ์ นอกจากนี้ยังมีธารน้ำไหลผ่าน
ภุชคินทร์ไม่ใช่แค่สงสัยว่า สถานที่แบบนี้อยู่ในกรุงเทพฯได้อย่างไรเท่านั้น แต่มันเหมือนราวกับว่าอยู่คนละโลกเลยมากกว่า เสียงเพลง ลาวดวงเดือน หวานเศร้า เคล้าคลอมาตามสายลม ช่วยเพิ่มบรรยากาศของ เฮือนภูจำปาให้ดูเข้มขลังมากยิ่งขึ้น
“มีที่แบบนี้ซ่อนอยู่ในกรุงเทพฯได้ยังไง” ภุชคินทร์ยืนมอง และถามตัวเองอย่างแปลกใจ
ภายในเฮือนยามนั้น เจ้าอุรคา ในอาภรณ์สวยงามสง่า ยิ้มเยื้อนมองตรงมายังภุชคินทร์ที่ค่อยๆ เดินเข้ามาหา
“ข้านึกแล้ว ว่าท่านต้องมา” เจ้าอุรคาเรียกนางกำนัลคนสนิท “ชรายุ”
ชรายุ นางกำนัลที่ติดตามเจ้าอุรคามาจากนครโภควดีเดินเข้ามาท่าทางนอบน้อม
“คะเจ้า”
“พาภุชเคนทร์มาหาข้า” เจ้าอุรคาเรียนขานภุชคินทร์ แขกปู่มาเยือนยามวิกาลว่า ภุชเคนทร์
“ค่ะเจ้า”
ชรายุเดินออกไปลับตัวแล้ว เจ้าอุรคามองภาพที่ภุชคินทร์เดินเข้ามาแล้วยิ้มอย่างสมใจ
ภุชคินทร์เดินเข้ามาภายในอาณาบริเวณโถงใหญ่ของเฮือนภูจำปา แต่ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อชรายุโผล่พรวดเข้ามาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ภุชคินทร์ร้องอย่างตกใจ
“เฮ้ย!”
ชรายุค้อมศีรษะให้ แต่มาดไม่เหมือนคนใช้ “ประทานโทษเจ้าค่ะคุณชาย เชิญทางด้านโน้นค่ะ เจ้าอุรคารออยู่”
ภุชคินทร์อึ้ง “เจ้าอุรคารออยู่ เจ้ารู้ได้ยังไง ว่าฉันมา”
“ใครที่เข้ามาในนี้ เจ้ารู้หมดค่ะ เพราะที่นี่ คือบ้านของเจ้าอุรคา ทายาทผู้สืบทอดตระกูล ณ ภูจำปา แต่เพียงผู้เดียว เชิญคุณชายค่ะ”
ชรายุเชื้อเชิญอย่างอ่อนน้อม พร้อมกับเดินนำภุชคินทร์เข้าไป ชายหนุ่มมองท่าทางของชรายุไม่ใช่คนใช้ธรรมดา ดูมีมาดน่าเกรงขาม ทั้งๆ ที่ดูแล้วอายุไม่มากเลย
ณ มุมหนึ่งในเฮือนภูจำปา เป็นศาลาไม้รับรองแขก แต่มันไม่ใช่ศาลาธรรมดาแต่เป็นศาลาไม้สัก แกะสลักลวดลายเป็นรูปพญานาคน่าเกรงขาม ชรายุพาภุชคินทร์เข้ามาแล้วเดินออกไป ภุชคินทร์มองตามพึมพำ
“คนบ้านนี้มีแต่คนแปลกๆ” ราชนิกูลรูปงามกวาดตามองพญานาคที่โผล่หัวออกมา “ตกแต่งก็แปลก”
เสียงของเจ้าอุรคาดังแทรกเข้ามาราวกับได้ยินที่เขาบ่น “เจ้าของบ้านก็แปลกด้วย”
ภุชคินทร์สะดุ้งโหยง หันมามองเจ้าอุรคาอย่างตกใจ
เจ้าอุรคายิ้มแบบรู้ทัน “จริงมั้ยล่ะคะ? เพราะถ้าเจ้าของบ้านไม่แปลก คุณชายภุชคินทร์คงไม่
ตามมาหาถึงที่นี่” เจ้าผู้งามสง่ากวาดสายตามองรอบๆบริเวณแล้วพูดราวกับรู้ใจเขาอีก “ที่นี่...อยู่ชานเมืองกรุงเทพฯ ไม่แปลกหรอกค่ะที่สภาพภูมิทัศน์จะเป็นอย่างนี้”
ภุชคินทร์มองหน้าเจ้าอุรคา สงสัยยิ่งขึ้น “เจ้ารู้ว่าผมคิดอะไร”
“ดิฉันไม่รู้หรอกค่ะ แค่พูดตามที่ทุกคนที่มาที่นี่เค้ารู้สึกกัน แต่ใช่ว่า ใครๆ จะมาที่นี่ได้นะคะ” เจ้าอุรคาจ้องตาผู้มาเยือนเขม็งขณะพูดประโยคต่อมา “เพราะถ้าฉันไม่อนุญาต เค้าก็ไม่มีสิทธิ์มา ดิฉันรู้ว่า ท่านภิงคารเป็นรัฐมนตรีมือสะอาด เลยให้ที่อยู่ไป”
ภุชคินทร์ประชด “เลยเป็นอานิสสงค์มาถึงผมด้วย”
“ไม่หรอกค่ะ ดิฉันตั้งใจที่จะให้คุณชายมาที่นี่อยู่แล้ว เพราะดิฉันรู้ว่าคุณชายประหลาดใจว่า เหตุใด ดิฉันถึงกลับมาอยู่ที่นี่ ไม่ได้อยู่ที่โรงพยาบาล”
ภุชคินทร์มองเจ้าอุรคาอีก เจ้าอุรคายิ้มอย่างรู้ทัน ภุชคินทร์เชิดหน้าขึ้น กลัวเสียฟอร์ม
“ผมแปลกใจมากกว่า เพราะทางจนท.ยืนยันว่า เมื่อคืนเจ้าไม่ได้แอดมิทเข้าโรงพยาบาล”
“ก็จริงนี่คะ ดิฉันไม่ได้นอนที่โรงพยาบาลพอได้สติ ดิฉันก็รีบกลับมาที่นี่เลย”
ภุชคินทร์สงสัยอีก “แล้วบาดแผลของเจ้า”
“ดิฉันไม่ได้เป็นอะไรค่ะ? แค่หมดสติไปเท่านั้นเอง แต่อย่างไรก็ ขอบคุณมากที่ช่วย แล้วก็ยังเป็นกังวลถึงขนาดมาตามหาดิฉันถึงที่นี่”
ภุชคินทร์ฉุนกึก “ผมไม่ได้กังวล แค่สงสัย รถชนทั้งคัน ทำไมไม่มีร่องรอยอะไร แล้วจู่ๆ เจ้าก็หายไปจากโรงพยาบาล อ้อ! ไม่ใช่หายสิ ไม่มีประวัติว่าเจ้าเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเลยด้วยซ้ำ”
เจ้าอุรคายิ้มเยื้อน “เรื่องนี้ ต้องถามคุณเองค่ะ เพราะคุณเป็นคนพาดิฉันไปส่งโรงพยาบาล ที่ดิฉันตอบได้ก็คือไม่มีใครขับรถชนดิฉัน ดิฉันแค่เผลอหลับใน เลยขับรถชนฟุตบาท ก็แค่นั้นเอง”
ภุชคินทร์หน้าตึง เครียด และฉุน “ถ้าเจ้าไม่ได้เป็นอะไร ผมขอตัวกลับ”
“ค่ะ แล้วถ้าคุณชายยังมีอะไรสงสัยอีก ดิฉันยินดีตอบทุกคำถามนะคะ” เจ้าอุรคามองมาอย่างเศร้าสร้อย “หวังว่า...เราคงมีโอกาสได้เจอกันอีก”
“ถ้าเจอก็คงเป็นเพราะเรื่องบังเอิญ” ภุชคินทร์ตวัดเสียงนิดๆ
“คุณชายอาจจะบังเอิญ แต่สำหรับดิฉันจงใจแน่นอนค่ะ”
เจ้าอุรคาพูดพร้อมกับมองหน้าภุชคินทร์อย่างเว้าวอน
ภุชคินทร์สะบัดหน้า ไม่ชอบสายตาเช่นนี้เอาเสียเลย
ภุชคินทร์เดินลิ่วตรงไปยังรถที่หน้าเฮือน ก่อนจะหันกลับไปมองตัวเฮือน ภูจำปาแบบขัดใจ
“ผู้หญิงอะไร ส่งสายตาเชิญชวนได้ทุกสถานการณ์”
ภุชคินทร์ขับรถออกไปเต็มแรงอารมณ์ ส่วนที่ด้านหลัง เจ้าอุรคายืนอยู่ที่ระเบียงเฮือนมองตามไป
ยมนาเดินเข้ามา เจ้าอุรคาพูดด้วยน้ำเสียงปรีดา แต่ดวงตาเศร้าสร้อยเหมือนคนที่หลอกตัวเอง
“เค้าสนใจเรา ยมนา ภุชเคนทร์ยังสนใจเรา เค้ายังรักเรา”
“ภุชเคนทร์สนใจ ปริศนาที่เจ้าทิ้งไว้ต่างหาก” ยมนาว่า
เจ้าอุรคานิ่ง พยายามหลอกตัวเอง “ไม่จริง!ภุชเคนทร์ยังรักเรา ห่วงใยเรา แต่ที่เค้าเป็นเช่นนั้นเพราะ...”
เจ้าอุรคาหันขวับมา เห็นดวงตาของเจ้าอุรคาเป็นประกายวาววับความเคียดแค้นฉายโชนขณะพูดต่อ
“มันผู้นั้น! มันผู้นั้นที่ทำให้ภุชเคนทร์เจ็บปวด มันผู้นั้นที่ทำให้เรากับภุชเคนทร์ต้องพรากจากกัน เราจะแก้แค้น และตอบแทนพวกมันอย่างสาสม”
“แต่นั่นคือการสร้างเวรสร้างกรรมต่อกันไม่มีที่สิ้นสุด” ยมนาทักท้วง
เจ้าอุรคาเสียงสั่นเครือ เจ็บปวดหัวใจ และโกรธจนน้ำตาคลอเบ้า
“แล้วการที่เราต้องอยู่คนเดียวอย่างเจ็บปวดทุกข์ทรมาน พลัดพรากจากภุชเคนทร์มาหลายกัปหลายกัลป์ล่ะ เป็นเพราะใคร? มิใช่มันผู้นั้นหรอกรึ?”
“แต่เจ้ากำลังสร้างกรรมเพิ่ม และเจ้าอาจจะไม่ได้ครองคู่กับภุชเคนทร์จนชั่วกัลปวสาน”
“ไม่..มันจะสิ้นสุดแค่ภพนี้...เราขอแค่ทำให้ภุชเคนทร์จำได้ ว่าเค้าสัญญาอะไรไว้...เราขอแค่ให้ภุชเคนทร์ถอนคำสาบาน เพียงแค่นั้น ยมนา เพียงแค่นั้นจริงๆ” เจ้าอุรคาย้ำคำเสียงสะท้าน
“แล้วถ้าท่านภุชเคนทร์ถอนคำสาบาน?” ยมนาย้อนถาม
“เราก็จะได้อยู่ครองคู่กับภุชเคนทร์ตราบจนนิรันดร์”
“หมายความว่า เจ้าจะเลิกจองเวรจองกรรมกับพญาครุฑ”
“ไม่..เพราะมัน มันทำให้ภุชเคนทร์กับเราต้องพลัดพรากจากกัน ไม่ว่ากี่ภพกี่ชาติเราก็ไม่มีวันอภัยให้กับมัน ความตายเท่านั้น คือสิ่งที่เราจะตอบแทน”
เจ้าอุรคาตวาดประกาศเสียงกร้าว!!
ดึกมากแล้ว สุบรรณยังไม่นอน เขาเดินเล่นอยู่ที่สนามหญ้าหน้าคฤหาสน์ ท่าทางครึ้มอกครึ้มใจ
เมื่อนึกถึงภาพตอนเจ้าอุรคาเดินเข้ามาในงานอย่างสง่าดุจนางพญา และทำเอาสุบรรณตะลึงงัน
สุบรรณดึงตัวเองกลับมา ยิ้มในสีหน้า คิดในใจ
“เราไม่เคยนึกสนใจผู้หญิงคนไหนมาก่อน แต่กับเจ้าอุรคา ทำไมเราถึงรู้สึกสนใจเธอ แปลก”
สุบรรณได้แต่ถามตัวเองอย่างประหลาดใจ
ฉับพลันนั้นเองสุรินทร์ในมาดของนินจาก็โผล่พรวดออกมาจากพุ่มไม้ในสนาม ตรงเข้ามาทำท่าจะทำร้ายสุบรรณ
อำนาจและลูกน้องที่ยืนคุมเชิงในสนามอีกมุมปราดเข้ามาอารักขาสุบรรณทันที เกิดการต่อสู้อย่างเท่ๆ อำนาจก็เก่ง สุรินทร์ก็เก่ง
พอสุรินทร์เตะต่อยลูกน้องของสุบรรณและอำนาจจนหมอบราบไปหมดแล้ว สุรินทร์ก็กระโจนเข้ามาหาสุบรรณต่อทันที
สุบรรณวาดลวดลายบู๊ ต่อสู้กับสุรินทร์อย่างกินกันไม่ลง แต่สุดท้ายขณะที่สุรินทร์จะใช้มีดจ่อที่คอของสุบรรณ อำนาจก็กระโจนมาเอาปืนจ่อสุรินทร์อีกที และกระชากหน้ากากนินจาสีดำของสุรินทร์ออก สุรินทร์ใช้ข้อศอกกระแทกเข้าที่ใบหน้าของอำนาจ และจ่อมีดเข้าที่คอของสุบรรณ
สุบรรณมองหน้าสุรินทร์ อำนาจรีบบอก
“นี่ล่ะครับนาย สุรินทร์ คนที่คุ้มเหนือส่งมา”
“ดีเลย รีบไปจัดการไอ้เสี่ยปิง ใครที่มันทรยศฉัน มันต้องได้รับบทเรียน และมันก็ไม่มีทางได้ตื่นขึ้นมาแก้ตัวอีก”
สุบรรณมองหน้าสุรินทร์นิ่ง ยิ้มในสีหน้าอย่างพึงพอใจในฝีมืออันร้ายกาจของสุรินทร์
ระหว่างนั้นตรงบริเวณอีกมุมหนึ่งที่สนาม ท่ามกลางความมืดครึ้มของต้นไม้และบรรยากาศยามค่ำคืน งูตัวหนึ่งขดตัวเป็นวงกลม มันผงกคอขึ้นมามองสามคนอย่างสนใจ
ที่หน้าคาเฟ่ของเสี่ยปิง ร้านกำลังจะเลิกแล้ว เสี่ยปิงเดินมาที่รถพร้อมสาวเอ๊าะๆ หลายนาง หัวเราะเอิ๊กอ๊ากบอกสาวๆ
“บอกมาเลยจ้ะสาวๆ ว่าอยากได้อะไร งวดหน้าเจอกันเสี่ยจะหามาให้”
สาวๆประสานเสียง “แอร๊ยยย..เสี่ยใจดีจังเลย”
สาวนางหนึ่งปะเหลาะ “งั้นเดี๋ยวหนูขอเวลาคิดก่อนโทร.ไปบอกเสี่ยทีเดียวเลยนะคร้า”
“จ้า..จุ๊บๆ เสี่ยกลับก่อนนะ” เสี่ยปิงบอกลาสาวๆ ที่ประสานเสียงพร้อมเพรียง
“คร่า...”
เสี่ยปิงจูบแก้มสาวๆ และแต่ละนางก็จูบแก้มล่ำลาตอบ จากนั้นเสี่ยปิงเดินไปที่รถเบนซ์คันหรู เด็กรับรถเปิดประตูให้
เสี่ยปิงก้าวขึ้นไปจะนั่ง แต่ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นงูตัวใหญ่ตัวหนึ่งนอนขดตัวอยู่บนเบาะคนขับ มันมองมาอย่างอาฆาต เสี่ยปิงร้องเสียงหลง
“ว๊ากๆๆ งูๆๆๆ...”
เสี่ยปิงกระโจนลงจากรถ พะนอฤดีขับรถมาพอดี พะนอฤดีร้องกรี๊ดเมื่อเห็นเสี่ยปิงเซออกมาที่ถนนที่เธอกำลังขับตรงมา พะนอฤดีรีบเบี่ยงรถหลบและจอดลงมาต่อว่าทันที
“ทำอะไรกันน่ะ เกือบชนรถฉันแล้วเห็นมั้ย”
ไม่มีใครสนใจพะนอฤดี เสี่ยปิงชี้มือเต้นเร่าๆ ร้องลั่นตกใจ
“งูๆๆๆ”
สาวๆกรี๊ดดดด “งู”
พะนอฤดีหน้าซีดเผือด ถอยออกมา แต่ตามองเข้าไปตามมือเสี่ยปิงชี้ เด็กรับรถรีบวิ่งมาหาถามหน้าตาตื่น
“ไหนครับเสี่ย? งูอยู่ไหน”
เสี่ยปิงปิดหน้าปิดตา ชี้มือบอก “ในรถ ตรงเบาะฉันนั่งไง”
เด็กรับรถเอาไฟฉายส่องเข้าไปที่เบาะ เสี่ยปิงและพะนอฤดี รวมทั้งไทยมุง ชะโงกหน้าสอด
ส่ายตามองแบบอยากรู้อยากเห็น แต่ก็ไม่มี เด็กรับรถกวาดสายตามองอีกรอบ
“ไม่มีนี่ครับ”
“ทำไมจะไม่มี ก็อยู่นั่นไง”
เสี่ยปิงเดินเข้ามาชี้ที่เบาะ แต่ก็ไม่เห็น เสี่ยปิงตกใจหน้าตาเลิ่กลั่กพูดต่อ
“มัน..มันอาจจะหลบอยู่ในรถก็ได้ ลองหาดู”
เด็กรับรถส่องไฟฉายเข้าไปในรถหาดูทุกซอกทุกมุม ทั้งเบาะหน้าเบาะหลัง ใต้เบาะ แต่ก็ไม่
เห็น ภายในรถทุกอย่างปกติ เด็กรับรถบอกคำเดิม
“ไม่มีจริงๆ ครับ”
“จะเป็นไปได้ยังไง” เสี่ยปิงค่อยๆ ย่องเข้ามาดูเอง แต่ก็ไม่เห็นจริงๆ
เด็กรับรถบอก “เสี่ยอาจจะตาฝาด”
เสี่ยปิงหงุดหงิด “ตาฝาดได้ยังไง ฉันเห็นมันกับตา”
คราวนี้ทุกคนมองหน้าเสี่ยปิงเป็ยนตาเดียว เสี่ยปิงรู้สึกอายๆ เริ่มไม่มั่นใจตัวเองรีบตัดบทกลบเกลื่อน
“เออๆ ไม่มีก็ไม่มี ฉันตาฝาดเอง”
เสี่ยปิงกวาดสายตามองเข้าไปในรถอีกรอบ มั่นใจว่าไม่เห็นงูจริงๆ ก็เดินเข้าไปนั่งด้านในขับรถออกไป
ครู่ต่อมาเสี่ยปิงนั่งในรถกวาดตามองรอบๆรถถามตัวเองสงสัย
“งูทั้งตัว....มันจะหายไปได้ยังไงวะ”
เสี่ยปิงถามตัวเองอาการงวยงง
จังหวะนั้นงูตัวหนึ่งนอนขดตัวอย่างสงบตรงเบาะหลังรถของเสี่ยปิง ราวกับว่ามันกำลังติดตามเสี่ยปิงอยู่เงียบๆ
ด้านพะนอฤดี มองตามรถของเสี่ยปิง บ่นออกมา
“เออ...คนอะไร จะขอโทษซักคำก็ไม่มี นิสัยแย่จริง”
พะนอฤดีเดินกลับไปที่รถของตัวเอง เปิดประตูรถออก แต่ต้องร้องกรี๊ดสุดเสียงเมื่อเห็นงูตัวหนึ่ง นอนขดอยู่ที่เบาะที่นั่งคนขับ
“ว้าย!!งูๆๆๆๆ”
พะนอฤดีกระโดดถอยออกมาทันที คราวนี้ทุกสายตาพุ่งมาที่พะนอฤดีแทน เด็กรับรถวิ่งมาหา
“ไหนครับงู ไหน”
“นั่นไง”
พะนอฤดีชี้มือไปที่เบาะรถของตัวเอง คราวนี้เด็กรับรถเดินเข้าไปหน้าตาเฉยไม่มีท่าทีตื่น
กลัว
เด็กรับรถหยิบผ้าพันคอสีดำลายคล้ายงูขึ้นมา “ผ้าพันคอนี่ครับ”
“ผ้าพันคอ”
พะนอฤดีงง เดินเข้ามาหาเด็กรับรถ ที่ยื่นผ้าพันคอให้ พะนอฤดีรับมามอง ยิ่งงงเข้าไปใหญ่ เด็กรับรถและไทยมุงสลายตัวไป ไม่มีใครสนใจพะนอฤดีอีก
พะนอฤดีมองผ้าพันคอในมือ พึมพำกับตัวเองอย่างค้างคาใจ
“ผ้าพันคอของใคร มาอยู่ในรถเราได้ยังไง”
วันต่อมา ช่วงตอนกลางวัน สองสาวคุยกันอยู่ตรงมุมหนึ่งของวังนาเคนทร์ นารีวรรณพูดกลั้วหัวเราะหลังฟังเพื่อนสาวเล่าจบ
“หมู่นี้ เจองูบ่อยเสียจริง สงสัยจะเจอเนื้อคู่รึเปล่าพะนอฤดี”
“ถ้ามันเป็นอย่างนั้นก็ดีสิ แต่ฤดีรู้สึกแปลกๆ แล้วก็งงมาก”
“เรื่องอะไร” นารีวรรณฉงน
“ก็ผ้าพันคอผืนนั้นไม่ใช่ของฤดี”
“ไม่ใช่ของฤดี แล้วมันจะอยู่ในรถได้ยังไง”
“นั่นละ ที่ฤดีสงสัย มันแปลกมากเลยนะหนูนา แล้วที่สำคัญ ฤดีไม่ได้ตาฝาด ฤดีเห็นงูบนรถจริงๆ” พะนอฤดีมั่นใจมาก
นารีวรรณทำท่าแหยงๆ “งั้น...ตาเสี่ยคนนั้นก็ไม่ได้ตาฝาดน่ะสิ”
พะนอฤดีทำหน้าเครียดครุ่นคิด “ตอนแรก ฤดีคิดว่าเค้าเป็นบ้า ตาฝาด แต่พอฤดีเจอเอง ฤดีว่าไม่ใช่แล้วล่ะ”
“แล้วงูมันหายไปไหน”
พะนอฤดีงง ตอบไม่ถูก “ฤดีไม่รู้...รู้แต่ว่าไม่ได้ตาฝาด” สาวสวยนิ่งไปนิดก่อนพูดต่อ “ฤดีสังหรณ์ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นล่ะ หนูนา”
นารีวรรณอึ้ง “เรื่องอะไร”
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ฤดีสังหรณ์ใจแปลกๆ และก็รู้ว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่เลย”
สองสาวมองหน้ากัน ท่าทางไม่สบายใจทั้งคู่ ระหว่างนั้นเฟื่องวลีขับรถเข้ามาจอดในวัง แล้วเดินลงมาหา สองสาว
พะนอฤดีถอนหายใจกระซิบนารีวรรณ “คงจะเป็นคนนี้มั้งหนูนา สังหรณ์ของฤดี”
เฟื่องวลีกับพะนอฤดีเชิดหน้าใส่ เขม่นกันตามประสาคู่ปรับหัวใจ ก่อนที่เฟื่องวลีจะทักนารีวรรณ
“คุณหนูนา..ช่วงนี้คุณหนูนาหน้าตาหมองๆ ไปนะคะ”
นารีวรรณตกใจ “จริงเหรอคะคุณฟีบี้”
เฟื่องวลีปรายตามองไปยังพะนอฤดี “จริงค่ะ ยังกับคนโดนของแน่ะ ท่าทางจะเป็นของเน่าด้วยนะคะเนี่ยแค่เดินผ่านยังเหม็นซะหึ่งเลย” ว่าพลางเอามือปัดที่จมูกทำท่าทางเหม็นๆ
พะนอฤดีข่มใจไว้ไม่โต้ตอบบอกนารีวรรณ “อืมห์ หนูนา..ฤดีว่าฤดีอยู่ต่อดีกว่า”
นารีวรรณงง “อ้าว! แล้วฤดีไม่ไปธุระแล้วเหรอ”
“ตอนแรกก็ว่าจะไปสวนสัตว์ เพราะนานแล้วไม่ได้ไป เลยอยากจะรู้จักว่าแรดหน้าตาเป็นยังไง แต่ตอนนี้เห็นแล้ว” มองมาที่เฟื่องวลีขณะพูด “ฤดีอยู่คุยกับหนูนาต่อก็แล้วกัน”
เฟื่องวลีมองพะนอฤดีตาแทบถลน ค้อนใส่ก่อนเดินฉับๆ เข้าตึกใหญ่ไป
ครู่ต่อมาหม่อมภาณีกำลังต่อว่าเฟื่องวลี
“ก็แล้วเราไปเหน็บพะนอฤดีเค้าก่อนทำไม”
“ฟีบี้หมั่นไส้นี่ค่ะ ยัยนั่นมาที่นี่ทำไมได้ทุกวี่ทุกวัน”
“ก็เค้าเป็นเพื่อนหนูนานี่ เราเถอะ มานี่มีอะไร คงไม่ได้อยากคุยกับฉันหรอกมั้ง”
“ใครว่าล่ะคะ? ฟีบี้มานี่เพราะคิดถึงหม่อมต่างหาก” เฟื่องวลีพูดประจบ “ฟีบี้อยากชวนหม่อมไปงานเปิดร้านเพชรของเจ้าประกายคำน่ะค่ะ”
หม่อมเจ้าของวังนาเคนทร์แปลกใจ “เจ้าชวนเธอด้วยเหรอ”
“ชวนคุณแม่น่ะค่ะ แต่ฟีบี้อยากให้หม่อมไปด้วย เลยแวะมาชวนหม่อม หม่อมไปด้วยกันนะคะ”
“ดูก่อนนะ...ถ้าว่างจะไป”
เฟื่องวลีคะยั้นคะยอ “ไปเถอะนะคะหม่อม แล้วชวนพี่ชายไปด้วย”
หม่อมภาณียิ้มอย่างรู้ทัน “ที่แท้ก็อยากให้ตาชายไปนี่เอง”
“ฟีบี้ก็อยากให้ทั้งหม่อม แล้วก็พี่ชายไปน่ะคะ จะได้ช่วยกันเลือกเพชร พอดี ฟีบี้อยากได้แหวนสักวง”
“ฉันยังไม่รับปากแล้วกันนะ ช่วงนี้ไม่ค่อยว่าง อยากจัดสวนใหม่”
“จัดก็ดีค่ะ รกจะตาย วันก่อนงูก็ออกมาเพ่นพ่าน น่ากลัวที่สุด เอาเป็นว่าฟีบี้หาคนงานมาให้ดีมั้ยคะ? เอาบริษัทที่รับกำจัดงูได้ด้วย จะได้ฆ่างูให้สิ้นซาก งูบ้าๆ จะได้ไม่ออกมาเพ่นพ่านกวนใจเราอีก”
เฟื่องวลียิ้มร้ายหน้าตาเหี้ยมเกรียมแบบคนใจร้ายไม่มีเมตตา
เวลาเดียวกันที่ เฮือนภูจำปา แววตาเจ้าอุรคาตาเป็นประกายวาววับ ได้ยินทุกถ้อยคำของเฟื่องวลี
“แล้วเธอจะได้รู้ ใครที่คิดร้ายกับฉัน ผลจะเป็นอย่างไร”
ในดวงตาของเจ้าอุรคายามนั้น เป็นประกายเพลิงวาวโรจน์ และในประกายเพลิงนั้นกลายเป็นอสูรพิษตัวน้อยๆ มากมายร่ายเลื้อยระยับอยู่ในดวงตางามคู่นั้น
หลายวันผ่านไป ที่ร้านอาหารหรูแห่งหนึ่ง ค่ำคืนนั้น เฟื่องวลีเกาะแขนภุชคินทร์เดินเข้ามาในร้าน ทีท่าภุชคินทร์เหมือนไม่เต็มใจมาสักเท่าไหร่
“พี่บอกแล้วไงว่าพี่ไม่หิว ยังจะพามาอีก”
“ก็ฟีบี้หิวนี่คะ อีกอย่าง ฟีบี้อยากจะปรึกษาพี่ชายด้วย”
ภุชคินทร์ฉงน “เรื่องอะไร”
เฟื่องวลีโพล่งออกมา “เรื่องฆ่างูในวังไงคะ”
“วังของพี่ ฟีบี้เกี่ยวอะไรด้วย”
“เกี่ยวสิคะ...ฟีบี้ไปที่วังบ่อยๆ และอีกหน่อย” เฟื่องวลีมองตาหวานฉ่ำขณะพูดประโยคต่อมา “ฟีบี้ก็จะไปอยู่ที่นั่นอย่างถาวร”
ภุชคินทร์ทำเป็นไม่รู้ “ใครเชิญ”
เฟื่องวลีฉุน ออกอาการกระเง้ากระงอดใส่ “พี่ชายยย..พี่ชายก็น่าจะรู้นี่คะว่าคุณลุงภิงคารเอ็นดูฟีบี้อยู่ และคุณลุงภิงคารก็อยากให้ฟีบี้เป็นหลานสะใภ้ เป็นคนรักของพี่ชาย”
ภุชคินทร์ยิ้มนิดๆ “แต่พี่ไม่ชอบ แล้วก็ไม่เคยคิดกับฟีบี้เป็นอย่างอื่นนอกจากน้องสาว”
ระหว่าที่สองคนโต้เถียงกันไปมาอยู่นั้น เจ้าอุรคาที่นั่งอยู่ก่อนแล้วกับยมนายิ้มพอใจ และเห็นเฟื่องวลีหน้างอ ยิ่งกว่าเดิม
“พี่ชาย”
“หิวก็รีบสั่งอาหารมาทานซะ จะได้รีบกลับ แล้วต่อไปไม่ต้องไปดักรอพี่อีก พี่มีงานต้องทำไม่ได้มีเวลาพาฟีบี้ออกมาตะลอนอย่างนี้ทุกวัน” ว่าพลางภุชคินทร์ก็ยกมือเรียกพนักงานเสิร์ฟ
ฟีบี้นั่งหน้าง้ำ ประชดด้วยการสั่งอาหารเยอะแยะ ชนิดทานสองคนไม่หมด
จังหวะนั้นเสี่ยปิงเดินเข้ามาในร้าน เสียงเสี่ยปิงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากคุยโทรศัพท์จนคนทั้งร้านหันมามอง
“ไม่ต้องห่วง แค่เอ่ยชื่อเสี่ยปิง ใครๆ ก็พร้อมอำนวยความสะดวกให้ทั้งนั้น ท่านสุบรรณก็ซี้กัน ไม่ต้องห่วง แล้วเจอกัน”
เสี่ยปิงวางสายแล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะพร้อมลูกน้อง ลูกค้าทุกโต๊ะต่างหันมามองคนไม่มีมารยาทเป็นตาเดียว
ภุชคินทร์สบตากับเจ้าอุรคาที่มองเสี่ยปิงอยู่พอดี แต่เจ้าอุรคาไพล่ไปมองยังยมนาที่นั่งข้างๆ แทน ภุชคินทร์มองอย่างไม่พอใจ เฟื่องวลีเห็นโพล่งขึ้นมาก่อน
“ผู้หญิงคนนั้น”
“เจ้าอุรคา” ภุชคินทร์บ่นเบาๆ “มากับผู้ชายคนใหม่อีกแล้ว”
เจ้าอุรคาส่งยิ้มมาให้ แม้จะเพียงแค่รอยยิ้มบางๆ แต่กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์แพรวพราว จนทำให้เฟื่องวลีหงุดหงิดขึ้นมาอีก
ภุชคินทร์ขัดใจพูดค่อนขอดอุรคาเบาๆ “ผู้หญิงอะไรควงผู้ชายมาด้วยแท้ๆ ยังจะยิ้มยั่วอยู่ได้ พิลึกคน”
เฟื่องวลีมองตาขวาง “เค้ายิ้มให้พี่ชาย นี่พี่ชายไปสนิทสนมกับเค้าตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”
ภุชคินทร์หงุดหงิดโดยไม่มีปี่ไมมีขลุ่ย “ก็แล้วมันเรื่องอะไรที่พี่จะต้องตอบฟีบี้”
เฟื่องวลีอึ้ง “ก็...”
ภุชคินทร์สวนคำน้ำเสียงเข้ม “อย่าลืมนะฟีบี้ เราไม่ได้เป็นอะไรกัน ที่พี่พาฟีบี้มาที่นี่ ฟีบี้ก็น่าจะรู้ว่าเพราะอะไร”
“ฟีบี้รู้ค่ะ แต่ฟีบี้ก็มีสิทธิ์ที่จะพูด เพราะคุณลุงภิงคารฝากให้ฟีบี้ดูแลพี่ชาย ฟีบี้จะไปคุยกับผู้หญิงคนนั้น ว่าอย่ามามองพี่ชายแบบนี้ ฟีบี้ไม่ชอบ” เฟื่องวลีตวัดเสียงพร้อมกับจะผุดลุกขึ้น
ภุชคินทร์จับมือเฟื่องวลีไว้ “อย่าบ้านะฟีบี้”
“พี่ชายชอบให้เค้ามองหรือคะ”
ภุชคินทร์บอกเสียงเข้ม “พี่บอกให้นั่งลง ชีวิตพี่ พี่จัดการเองได้”
เฟื่องวลีนั่งลงเหมือนเดิม แต่ตามองไปยังเจ้าอุรคาพลางค้อนอย่างไม่พอใจ เจ้าอุรคายิ้มตอบ
ไม่รู้สึกรู้สา แต่ในความรู้สึกของเฟื่องวลี รอยยิ้มนั้นเหมือนจะเย้ยหยัน ฟีบี้ยิ่งหงุดหงิดโมโหใหญ่ ภุชคินทร์ลุกขึ้น
เฟื่องวลีถามทันที “พี่ชายจะไปไหน”
“รอที่รถ ทานเสร็จเมื่อไหร่ รีบออกไป อ้อ! แล้วสั่งอะไรไว้ ทานให้หมดด้วย ถ้าพี่เห็นว่ากินทิ้งกินขว้าง คงรู้นะว่าจะทำยังไงกับเรา”
ภุชคินทร์คาดโทษเสร็จ จึงปรายตามองไปที่เจ้าอุรคา ที่ส่งยิ้มมาให้ บอกตัวเองว่าไม่ชอบใจสายตานั้นเลย เจ้าอุรคาหน้าเสีย ยมนาเตือนสติ
“ผู้ชายคนนี้คือภุชคินทร์ ไม่ใช่ภุชเคนทร์ของเจ้าในอดีต
“เรารู้ เราถึงไม่เคยโกรธ เพราะเค้าจำเราไม่ได้” เจ้าอุรคาแก้ต่างให้ภุชคินทร์
“ใช่..เค้าจำไม่ได้ คนที่ไม่ยอมลืมเลยกลายเป็นคนที่ต้องเจ็บ และใครคนนั้นก็คือเจ้า ไม่ใช่ภุชเคนทร์”
ดวงหน้าของเจ้าอุรคาซีดเผือด ด้วยความเสียใจ
ขณะที่ภุชคินทร์ยืนรอเฟื่องวลีอยู่ด้านหน้าร้าน เจ้าอุรคาเดินออกไปหา
“เจอกันอีกแล้วนะคะคุณชาย”
ภุชคินทร์หันมามองแล้วหันกลับไป ไม่อยากจะเสวนา
“แต่ดูเหมือนคุณชาย จะไม่อยากเจอดิฉันซักเท่าไหร่”
“ผมไม่เห็นประโยชน์หรือความจำเป็นอะไร ที่จะต้องดีใจถ้าเรา บังเอิญ ได้เจอกัน”
เจ้าอุรคาหน้าเสียแต่ยังฝืนยิ้มให้ “หรือคะ แต่ดิฉันดีใจ ไม่ว่าจะด้วยความตั้งใจ หรือความบังเอิญที่ทำ
ให้เราได้เจอกัน แต่ดิฉันไม่ได้มีประโยชน์อะไรแฝงอยู่นะคะ”
ภุชคินทร์เหยียดยิ้มอย่างดูแคลน “ขอบคุณ เพราะผมก็ไม่อยากเป็นอย่างท่านสุบรรณ ที่ดูเหมือนจะหลงเสน่ห์คุณ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอ”
เจ้าอุรคายิ้มเยื้อน “แต่ดิฉันกลับอยากให้ คนที่หลงเสน่ห์ดิฉันเป็นคุณชายเสียอีก”
ภุชคินทร์ชักสีหน้าท่าทีไม่พอใจ เหมือนถูกหญิงจีบซึ่งๆ หน้า จังหวะนั้นสุรินทร์เดินเข้าไปด้านใน
เจ้าอุรคาปรายตามองรู้ว่าเป็นใคร แล้วหันมายิ้มบอกภุชคินทร์
“คุณชายคงอยากอยู่ตามลำพังมากกว่า ถ้าเช่นนั้นดิฉันไม่รบกวน”
เจ้าอุรคาหมุนตัวเดินกลับเข้าไปด้านใน จังหวะนั้นผ้าพันคอผืนสวยของเจ้าอุรคาร่วงลงพื้น ตามจังหวะ
ของการหมุนตัว ลายผ้าเป็นลายเดียวกับที่อยู่บนรถของพะนอฤดีนั่นเอง
ภุชคินทร์ก้มลงมองผ้าพันคอที่ร่วงลงสู่พื้น ทำท่าจะไม่เก็บ แต่ก็เก็บขึ้นมาจนได้ ราชนิกูลรูปงามค่อนขอดออกมาเบาๆ ขณะมองผ้าพันคอในมือ
“จงใจเรียกร้องความสนใจตามเคย อย่าไปหลงกลผู้หญิงร้อยเล่ห์ชอบหว่านเสน่ห์แบบนี้เชียวภุชคินทร์”
ภุชคินทร์หันหน้าไปอีกทาง พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่สนใจเจ้าอุรคา
ส่วนภายในร้านอาหารยามนั้น เฟื่องวลีพยายามยัดอาหารที่แทบกระเดือกไม่ลงกลืนลงคอ
“เมื่อไหร่จะหมดซักทีเนี่ย พี่ชายนะพี่ชาย จงใจแกล้งกันชัดๆ เลย”
เฟื่องวลีก้มหน้าก้มตากินอาหาร ปรายตาไปมองเจ้าอุรคาที่เดินเข้ามา เจ้าหญิงต่างแดนไม่ได้มองเฟื่องวลีแต่จดสายตาจ้องเขม็งไปที่สุรินทร์ และเสี่ยปิงที่กำลังนั่งกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย ทันใดนั้นเองโดยไม่มีใครคาดคิด ก็มีเสียงระเบิดควันดังตู้มขึ้นมา
ภุชคินทร์ซึ่งอยู่ด้านนอกสะดุ้งเฮือกตื่นตกใจ เมื่อเห็นควันพวยพุ่งออกมาจากในร้าน
“ระเบิด”
ภุชคินทร์รีบวิ่งเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว ด้านในมีแต่ควันสีขาวพวยพุ่งออกมา ผู้คนอลหม่าน
ร้องกรี๊ดๆ ตกใจ เฟื่องวลีผวากอดภุชคินทร์ไม่ยอมปล่อย
“พี่ชาย”
ภุชคินทร์ตะลึงงัน ควันสีขาวหายไปแล้ว เหลือแต่ศพของเสี่ยปิงนอนจมกองเลือดอยู่
ภุชคินทร์กวาดสายตามองไปทั่วบริเวณ
“เจ้าอุรคา”
ทว่าไม่มีร่างของเจ้าอุรคาและบุรุษข้างกายนามยมนาแต่อย่างใด ภุชคินทร์ประหลาดใจมาก
ติดตาม "มณีสวาท" ตอนที่ 2