xs
xsm
sm
md
lg

ดุจตะวันดั่งภูผา ตอนที่ 11

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ดุจตะวันดั่งภูผา ตอนที่ 11

ขณะนั้นไทกับฉัตรยังนั่งคุยกันอยู่ที่ท่าเรือ

“ไม่ยักรู้ว่าพ่อเอ็งเป็นถึงข้าราชการป่าไม้ระดับสูง”
“ช่างเถอะแล้วมันเกี่ยวอะไรด้วย”
“ข้าจะเล่าพอสังเขป เรื่องนี้เป็นเรื่องทุจริตที่ดินที่ปากช่อง พันกว่าไร่ ที่ปากช่องเมื่อ 14-15 ปีที่แล้ว มีตัวละครหลักอยู่ 4 ตัว นายบุ๊น นายมังกร นายมนัส และนายเทิด พ่อของเอ็ง พ่อเอ็งโดนลอบยิงใช่ไหม”
“ใช่ ที่บ้านพักตอนนั้นผมอายุ 14 ปีได้”
“ว่ากันว่าเรื่องนี้พ่อเอ็งน่าจะถอนตัวเพราะรู้ว่ามันไม่ชอบมาพากล เลยถูกสั่งเก็บ”
ไทมีสีหน้าแค้นขึ้นมาทันที
“ใคร”
“ไม่รู้ แต่ถ้าจะให้ข้าเดาก็น่าจะเป็นคนที่ได้ผลประโยชน์มากที่สุด”
“น้าพอทราบไหมว่าตอนนี้โฉนดอยู่กับใคร”
“ไม่รู้ ไม่บุ๊นก็มังกร”
“หรือว่าจะเป็นนายมนัส”
“จะบ้าหรือ นายมนัสตายไปตั้งนานแล้ว”
ไทมีสีหน้ากังวล
“จะให้ผมทำยังไง น้าว่ามา”
“ใจเย็น เรื่องนี้เอ็งต้องนิ่งเอาไว้ก่อน รอให้ข้าสืบชัดเมื่อไหร่ค่อยใส่เต็มแม็ก”
“น้าว่า นายบุ๊นเขาจะรู้หรือเปล่าว่าผม เป็นลูกพ่อ”
ฉัตรกับไทมองหน้ากันสีหน้าครุ่นคิด

ที่ผับแห่งหนึ่ง พีทนั่งโอบล้อมหญิงอยู่ในผับท่าทางสบายใจ โอตี่เดินเข้ามาหาด้วยความใจเย็น พีทรออยู่แล้วเขาตีหน้าเบิกบาน แล้วไล่ผู้หญิงของเขาออกไป
“นั่งก่อนสิ พี่เขย” โอตี่นั่งลง เบ็ตตี้นั่งข้างๆ ลิ่วล้อกระจายออกไปข้างๆ คุมเชิง “ขนกันมาซะเยอะเชียว”
“แกนี่มันแน่จริงๆ”
พีทยังใจเย็นแล้วพูดต่อรอง
“แกสิแน่กว่า หาทางเอาของเข้ามาแบบไม่มีใครสงสัย”
“ตกลงว่า แกจะให้ฉันมาฟังคำแกเยินยอหรือ เอาไงก็ว่ามาสิ”
“ฉันมาคิดๆ ดูนะ ธุรกิจเครื่องในวัวของแกนี่เดือนๆ นึงมันมีรายได้ไม่น้อย จะล้มโต๊ะไปมันก็เสียดาย สู้ฉันหันมาเก็บค่าบริการจากแกสัก 50 เปอร์เซ็นต์ของของแต่ละเที่ยว มันน่าจะดีกว่า เพราะมันเป็นที่ของฉัน”
โอตี่เข้าใจความหมาย
“โธ่นึกว่าอะไร แต่ 50 น่ะ มันไม่มากไปหน่อยหรือฉันลงทุนทุกรอบนะ ฉันให้ แก 30 ถ้าไม่เอาก็จบ แกเตรียมเล่นตำรวจจับขโมยได้เลย”
พีทคิดสักครู่แล้วตกลง
“ก็ได้ หุ้นส่วน”
แววตาโอตี่เข้มขึ้นอย่างไม่ไว้ใจ

นันณภัสให้เรียวขับรถพาเธอไปหาไทที่บ้านพัก เรียวมีสีหน้าเป็นกังวลไม่เห็นด้วยนัก
“คุณพัดแน่ใจแล้วหรือครับ”
นันณภัสนั่งหน้านิ่ง
“เขาคงจะมีคำตอบให้ฉัน”

ทางด้านโอตี่เมื่อคุยกับพีทเสร็จ โอนี่เดินกลับมาที่รถ เบ็ตตี้เดินตามออกมาแล้วเตือนโอตี่เรื่องพีท
“นี่นายไว้ใจมันหรือ”
“ปล่อยมันไปก่อน เรายังเลือกไม่ได้ แต่ถ้าถึงเวลาหลังมันหักแน่ ไปเถอะ”
โอตี่ชวนเบ็ตตี้ขึ้นรถ

ค่ำวันเดียวกันนั้นเมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ปลายฟ้าเปิดไฟทีละดวงทั้งในบ้านและหน้าบ้าน จากนั้นก็เตรียมเอาของตกแต่งมาวางไว้เพื่อจะจัดโต๊ะอาหารรอไท แล้วปลายฟ้าก็เข้าครัวไปทำอาหารต่อ
เวลาผ่านไป เมื่อปลายฟ้าทำอาหารเสร็จหนึ่งอย่างแล้วเดินออกมาข้างนอกที่โต๊ะอาหารแล้วพบว่าโต๊ะอาหารถูกจัดเรียยบร้อยแล้ว ปลายฟ้ามีสีหน้าปลกใจ
“เฮ้ย เป็นไปได้ไงหรือว่าบ้านนี้มีผีบ้านผีเรือน เจ้าปะคู้ณ อย่ามาหลอกหลอนกันเลย”
ไทเดินออกมาจากมุมมืด
“ช่วยจัดให้ก็หาว่าเป็นผี เธอนี่บ๊องส์ไม่เลิกจริงๆ”
“โธ่ หัวหน้า มาเมื่อไหร่ก็ไม่บอก
ปลายฟ้ายิ้ม ไทยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ดูมีความสุขของไทเพียงไม่กี่ครั้งที่ปลายฟ้าได้เห็น
“อาหารเสร็จหรือยัง ฉันหิวแล้ว”
“หิวก็เข้ามาช่วยกันทำสิ ฉันมือเป็นระวิงแล้ว”
“ได้สิ” มีกลิ่นน้ำซุปเดือดโชยออกมาจากในบ้าน “ตายแล้วสตูเนื้อของฉัน”
ปลายฟ้ารีบวิ่งเข้าไปในบ้าน ไทมองตามแล้วยิ้มในความสดใสของปลายฟ้า เขากำลังจะตามเข้าไปแต่จังหวะหนึ่งเขาหันไปเห็นนันณภัสยืนมองเขาอยู่ที่ชายหาด

“คุณพัด”

นันณภัสยืนเหม่อมองทะเล ไทก้าวเข้ามา นันณภัสหันไปยิ้มกับไทด้วยสีหน้าหม่นเศร้า ไททำตัวปกติและนอบน้อมต่อนันณภัส

“มีธุระอะไรหรือครับ”
“เปล่า แค่อยากมาเจอนาย”
ไทนิ่งในใจไม่เหลือความสนใจนันณภัสแต่คุยด้วยมรรยาท
“คุณพัดครับ ผมไม่เหมาะสมกับคุณหรอก”
“ทำไม เพราะฉันอยู่ในฐานะที่ดีกว่าหรือ”
“ไม่ใช่ครับ...เพราะผมไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะยืนเคียงคู่คุณต่างหาก อย่างผมเป็นได้เต็มที่ก็แค่ลูกจ้างที่คอยดูแลคุณเท่านั้น “
นันณภัสอึ้งเศร้าใจ

ปลายฟ้าทำอาหารเสร็จปิดเตา แล้ออกมาหาไทที่หน้าบ้าน
“เฮ้อ เกือบไปแล้ว หัวหน้า หัวหน้า หัวหน้า ไหนบอกว่าจะมาช่วยไง ไปไหนแล้วเนี่ย”
ไทไม่อยู่ที่หน้าบ้าน ปลายฟ้ามองหาด้วยสีหน้าสงสัย

ไทกับพัดยังคุยกันอยู่ที่ชายหาด
“นายรู้ไหม ตั้งแต่วันที่เราพบกันบนเรือมันทำให้ฉันรู้สึกดีมาตลอด”
“มันหมดไปกับพระอาทิตย์ที่ตกไปในวันนั้นแล้วครับ”
“แต่พระอาทิตย์ก็ขึ้นใหม่ทุกเช้า ทุกวัน”
“ไม่มีวันไหนเหมือนกันสักวัน คุณว่าไหม”
นันณภัสหน้าชาและยอมรับนำพูดไท เธอหันมาพูดกับไทตรงๆ
“ทำไมนายถึงเย็นชากับฉันนัก ทำไมเราไม่เป็นเหมือนเมื่อก่อน”
“ผมบอกแล้วไงว่า ไม่มีวันไหนเหมือนกันสักวัน”
นันณภัสนึกน้อยใจ
“ทำไม เป็นเพราะสถานะฉันหรือ ฉันไม่ได้เลือกเกิดมาเสียหน่อย”
“เราอย่ามาเสียเวลาในเรื่องที่มันมองไม่เห็นตอนจบเลยครับ” ไทตัดบท
ปลายฟ้าเดินมาที่ชายหาด ปลายฟ้าถึงกับอึ้งเมื่อเห็นไทอยู่กับนันณภัส ไทหันมาเห็นปลายฟ้า นันณภัสมองตามสายตาไทไปเห็นปลายฟ้า ทั้งสามคนจ้องมองกันนิ่ง ปลายฟ้าน้อยใจจึงหันหลังเดินกลับบ้าน ไทมองตามปลายฟ้าแล้วหันมาหานันณภัส
“แล้วปลายฟ้าล่ะ”
นันณภัสถามขึ้นมา ไทอึ้งและกลืนน้ำลายแบบไม่คล่องคอนัก
“เขาเป็นเพื่อนผม”
“แค่เพื่อนหรือ”
ไทเหม่อมองทะเลแล้วพูดในคำพูดที่ตรงกันข้ามกับความจริง
“ครับ แค่เพื่อน”
นันณภัสเข้าใจและไม่อยากพูดต่อไป นันณภัสมองทะเลน้ำตาค่อยๆ ไหลออกมาช้าๆ ไทขอตัวอย่างมีมรรยาท
“ผมขอตัวนะครับ”
ไทเดินจากไป นันณภัสยืนนิ่งมองดูไทเดินจากไป เรียวเดินเข้ามาหานันณภัสแล้วถามขึ้นมา
“เขายืนยันเหมือนเดิม”
“ฉันไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ”
เรียวรับรู้เขานิ่งแล้วเดินจากไปเงียบๆ ขณะที่นันณภัสยนังยืนนิ่งมองทะเล

ปลายฟ้านั่งซึมอยู่ในครัว ในใจนึกน้อยใจเรื่องของไทและคิดว่าตัวเองคงไม่มีอะไรสู้นันณภัสได้ สักพักไทเดินเข้ามาเงียบๆ แล้วยืนที่หน้าประตูมองปลายฟ้าโดยที่เธอไม่รู้สึกตัว ปลายฟ้านั่งน้ำตาเอ่อ
“มานั่งทำอะไรอยู่ล่ะ ยายบ๊อง ฉันหิวแล้วนะ”
ปลายฟ้าปาดน้ำตาแล้วหันมา
“หัวหน้า” ไทยิ้มให้อย่างจริงใจ ปลายฟ้ากลับมาสดชื่นเหมือนเดิม “หิวก็มาช่วยกันทำสิ”

เรียวขับรถพานันณภัสกลับบ้าน นันณภัสนั่งนิ่งพิงกระจกเหม่อมองออกไปนอกรถ อีกด้านหนึ่งไทกำลังช่วยปลายฟ้าทำอาหาร ทั้งคู่ช่วยกันทำอาหารอย่างมีความสุข เมื่อทำอาหารเสร็จปลายฟ้ายืนกอดอกด้วยความภาคภูมิใจโดยมีไทยืนอยู่ข้างๆ

เทียนกลางโต๊ะอาหารถูกจุดขึ้นจนเห็นความสว่าง ไทกับปลายฟ้านั่งที่โต๊ะอาหารตรงกันข้ามกันสีหน้ามีความสุข
“ลงมือเลยหัวหน้า ไหนว่าหิวไง”
“เธอก่อนเลย”
“หัวหน้าเสี่ยงก่อนเถอะ เอ๊ย ชิมก่อนเถอะ”
“เธอก่อนเถอะ”
“งั้นกินพร้อมกัน” ปลายฟ้าตัดสินเสียงเข้ม ไทจะเอาซ่อมจิ้มไก่ชิ้นเล็กๆ กินปลายฟ้ายั้งเอาไว้ “เดี๋ยว เพื่อความยุติธรรม”
ปลายฟ้าจิ้มไก่แล้วป้อนไท ไทเข้าใจแล้วป้อนปลายฟ้า
“โห ไม่น่าเชื่อว่าจะอร่อยขนาดนี้”
“บอกแล้วไม่เชื่อฝีมือเชฟไท” ปลายฟ้าหยิบแชมเปญขึ้นมาเขย่าแล้วจะเปิด “ไปเอามาจากไหนเนี่ย”
ไทถามอย่างแปลกใจ
“บ้านที่ไปสอนดนตรีเด็ก เขาให้มาตั้งนานแล้ว กะว่าจะเอาไว้เปิดตอนสอบทุนได้ แต่...”
“แต่อะไร”
“แต่วันนี้เป็นวันสำคัญกว่าไง”
ทั้งคู่มองตากันซึ้ง อย่างไม่ตั้งใจแชมเปญที่เขย่าไว้มันเปิดโป๊ะออกมา การมองตาจึงจบลงแล้วต่อด้วยเสียงหัวเราะ ปลายฟ้ารินแชมเปญให้ไทและตัวเองแล้วชนแก้ว
“ดื่ม”
ทั้งคู่ดื่มแล้ววางแก้ว
“ฉันมีอะไรจะให้หัวหน้าด้วยล่ะ”
“อะไรหรือ”
“ยืนขึ้น แล้วหลับตาด้วย”
ไทยิ้มส่ายหน้าแล้วทำตามอย่างช้าๆ ปลายฟ้าค่อยๆ เดินไปหาไทแล้วทำอะไรบางอย่างบริเวณคอเสื้อไท สักครู่ปลายฟ้าถอยออกมา
“ลืมตาได้” ไทลืมตาแล้วพบว่าปลายฟ้าผูกเน็คไทที่ไปดูมาเมื่อกลางวันให้เขา “เป็นไง สวยไหม”
“สวยดี”
“พรุ่งนี้ ผูกไปทำงานนะ” ไทยิ้มรับ
“ขอบใจนะ ฉันไม่มีอะไรให้เธอเลย”
“ใครบอก นี่ไง...หัวหน้าให้ฉันมาตั้งเกือบสองปีแล้ว”
ปลายฟ้าโชว์สายเชลโล่ที่ไทให้เมื่อครั้งเจอกันครั้งแรก
“นี่เธอยังเก็บไว้อีกหรือ”
“แน่นอน ฉันจะใช้มันเดินทางไปสู่ปลายฟ้าตามที่หัวหน้าเคยบอก” ปลายฟ้าบอกด้วยท่าทางมุ่งมั่น ไทรู้สึกอิ่มเอมมีความสุข “มา ดื่ม”

ปลายฟ้ารินแชมเปญให้ไทและตัวเอง

ไทกับปลายฟ้ากินข้าวอิ่มแล้วมานั่งที่ขอนมะพร้าวต้นใหญ่บริเวณชายหาดในมือทั้งคู่ถือแก้วเหล้าแล้วคุยกัน

“วันนี้ทะเลเงียบจัง”
“ให้มันเงียบสงบบ้างเถอะหัวหน้า มันคงเหนื่อยบ้างล่ะ โถมคลื่นซัดฝั่งทั้งวันทั้งคืน” ปลายฟ้าพูดลิ้นพันนิดหน่อย ปลายฟ้าจะรินเหล้าให้อีกแต่เหล้าหมดขวดเสียแล้ว “ว้า หมดซะแล้ว”
“หมดแล้วก็ดี พรุ่งนี้ต้องทำงานแต่เช้า”
ปลายฟ้าหยิบไวน์มาจากด้านหลังอีกขวดหนึ่ง
“ยัง ยังไม่หมด นี่ ยังมีไวน์อีกขวด” ไทแปลกใจ
“อ้าว ไปเอามาจากไหน”
“ลืมบอกไปว่าเจ้าของบ้านเขาให้มาสองขวด ขวดนี้กะเปิดวันขึ้นเครื่องบิน แต่...”
ไทพูดแทรกเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม
“วันนี้สำคัญกว่า”
“ถูก มาดื่มกัน”
ปลายฟ้ารินให้ไทและตัวเองดื่ม ไทมองไปที่ปลายฟ้าที่มืดมิด
“เวลามืดเราก็มองไม่เห็นปลายฟ้า ต้องรอมันจนกว่าสว่าง เหมือนกับมันต้องการให้เราพักบ้าง” ปลายฟ้าดื่มอีกแก้วแล้วหงายหลังลงไปกับพื้นทราย ไทไม่รู้เรื่องยังคงมองทะเลแล้วพูดต่อ “พักจากความเหนื่อยที่ต้องพยายามขวนขวายไปให้ถึงมัน เธอว่าไหม”
ปลายฟ้าเงียบ/ม่ตอบ
“นี่” ไทหันไปดูพบว่าปลายฟ้าเมาหลับไปแล้ว “ยายบ๊องส์เอ๊ย”

โอตี่นั่งเหยียดขาพาดโต๊ะอยู่ที่โกดังพลางแทะเมล็ดถั่วพิชตาจิโออย่างเมามัน แต่ในใจคิดถึงเรื่องของพีท เบ็ตตี้นั่งถอดไพ่อยู่ข้างๆ แต่บนโต๊ะมีโน้ตบุ๊คและโทรศัพท์มือถือของเบ็ตตี้ที่ใช้ดักฟังโทรศัพท์วางอยู่
“ไอ้สารเลวพีทเอ๊ย อยู่ดีๆ ก็ทุนหายกำไรหด”
“จะให้ทำยังไง แบบนี้เอาไว้ไม่ได้หรอก”
“ฉันรู้ แต่ยังทำอะไรตอนนี้ไม่ได้หรอก ฉันต้องการการ์ดที่มันบันทึกไว้”
เบ็ตตี้สีหน้าคิดตามและประชด
“มันคงวางไว้บนโต๊ะทำงานมันมั้ง”
โอตี่รู้ว่าเบ็ตตี้ประชดจึงทำหน้าเบ้
“มันต้องมีวิธีที่จะเอามาจากมันสิ ตอนนี้ต้องเล่นเกมไปตามมันก่อนถ้าจำเป็นฉันคงต้องทิ้งธุรกิจนี้ชั่วคราว” โอตี่แววตาจริงจังแล้วมองมาที่ชุดดักฟังโทรศัพท์ “โอ๊ย ลุงบุ๊นก็อีกคน โทรศัพท์บ้างสิลุงบุ๊น วันๆ จะไม่คุยกับใครเลยหรือไง”
“ขึ้นชื่อว่ารอ มีหรือจะไม่เบื่อ ฉันว่านายใจเย็นๆ หน่อยดีกว่า”
“ก็ฉันเซ็งนี่ ไม่มีอะไรทำ”
“งั้นไปยืดเส้นยืดสายก่อนไป”
โอตี่ตาวาวสีหน้าพอใจ
“เออ จริงด้วย เป็นคำแนะนำที่สมบูรณ์แบบจริงๆ”
โอตี่เอาจริง แล้วลุกออกไปออกกำลังกายแบบกระโดดตบ
“หนึ่ง สอง หนึ่ง สอง แหม เข้าท่า มาเบ็ตตี้ มาฆ่าเวลากันหน่อย”
เบ็ตตี้เซ็งในความบ้าของโอตี่

บุ๊นยังนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องลับ เขาหยิบภาพถ่ายสมัยที่เที่ยวป่ายิงสัตว์มาดูแล้วรำพึงออกมาเบาๆ
“ทำไมแกถึงโลภแบบนี้ มังกร” บุ๊นถอนหายใจ นั่งนึกถึงอดีตสักพัก แล้วยกโทรศัพท์ขึ้นมากดไปหาพยาบาลที่บ้านพักตากอากาศ “ฉันเอง เป็นยังไงบ้าง”
พยาบาลกำลังพูดสายโทรศัพท์กับบุ๊นอยู่ข้างเตียงมนัส มนัสลืมตาและฟังการสนทนา
“ดีค่ะ พักนี้ทานอาหารได้เยอะ”
โอตี่กับเบ็ตตี้กำลังสนใจฟังเสียงสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างบุ๊นกับพยาบาล โอตี่มีสีหน้าจรดจ่อตั้งใจฟังแววตาคิดตาม
“โสมที่ท่านให้มาช่วยได้เยอะเลยค่ะ”
“เขาตื่นอยู่หรือเปล่า”
“ตื่นอยู่ค่ะ”
“ขอคุยกับเขาหน่อยสิ”
“ได้ค่ะ”
พยาบาลเอาโทรศัพท์ไปแนบหูของมนัส
“เป็นไงมนัส นายคิดถึงลูกสาวแล้วใช่ไหม”
มนัสตาโตพยายามยิ้มอย่างดีใจ
โอตี่กับเบ็ตตี้ได้ยินเสียงบุ๊นที่พูดว่ามนัสเต็มๆ ทั้งคู่มองหน้ากัน
“มนัส กับลูกสาว ไพ่ใบสุดท้าย”
โอตี่พอใจ เบ็ตตี้รู้ว่าต้องทำอะไร
“ให้ฉันเข้าไปจัดการมันเลยไหม”
“ยัง ต้องหาลูกสาวมันให้เจอ”
“ก็ฉันบอกแล้วไง ว่าต้องพลิกอเมริกาหา”
โอตี่แววตามีแผน
“ใครบอกให้เธอไปหาเองล่ะ”
“เธอหมายถึง”
“คนที่จะรู้ว่าลูกสาวนายมนัสอยู่ที่ไหน ต้องเป็นคนที่ลุงบุ๊นไว้ใจ” โอตี่คิดถึงพีท

“ใคร”

ดุจตะวันดั่งภูผา ตอนที่ 11 (ต่อ)

โจอยู่กับพีทที่คอนโด โจไม่ค่อยไว้ใจโอตี่สักเท่าไหร่ขณะคุยกันเรื่องโอตี่และนั่งเล่นเกมไปด้วย

“แกไว้ใจไอ้โอตี่มันจริงๆ หรือวะ”
“ไม่ ฉันไม่ไว้ใจมันสักนิด”
“อ้าว แล้วถ้ามันหักหลังแกล่ะ”
พีทมีเมมเมอรี่การ์ดอยู่ในมือ
“ตราบใดที่ฉันยังมีไอ้นี่ มันต้องทำงานให้ฉัน แกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ของเงิน10 ล้านมันเท่าไหร่วะ”
โจตอบอย่างไม่ต้องคิด
“3 ล้าน”
“อาทิตย์ละ 3ล้าน แบบไม่ต้องทำอะไรเลย โอกาสแบบนี้มันหาได้ที่ไหนถ้าไม่ใช่จากไอ้หน้าโง่โอตี่นั่น”
โจหยุดเล่นเกมทันทีสีหน้าไม่ค่อยสบายใจ
“แต่ยังไงฉันก็รู้สึกว่ามันยอมแกง่ายไป”
“แกมันก็ปอดแหกอย่างนี้ตลอด เล่นเกมไปเถอะ แล้วรอรับเงิน”
พีทหัวเราะอย่างสบายใจ

เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อปลายฟ้าตื่นขึ้นมา เธอยังงัวเงียและละเมอดื่มเหล้าต่อ
“แหม เผลอหลับไป มาหัวหน้าดื่มกันต่อ”เงียบ ไม่มีเสียงของไท ปลายฟ้าลืมตาขึ้นมาข้างเดียวก่อน เห็นว่าสว่างแล้ว แล้วลืมตาสองข้างเห็นว่าสายแล้ว “ซวยแล้ว วันนี้ทำงานนี่ ตาย ตาย หัวหน้านะหัวหน้าไม่ปลุกกันเลย”
ปลายฟ้าตาลีตาเหลือกเอาผ้าเช็ดตัววิ่งเข้าห้องน้ำไป

นันณภัสนั่งทำงานอยู่ในห้อง ลิลลี่เคาะประตูเป็นมรรยาทแล้วเข้ามาหา
“กู๊ดมอร์นิ่งเจ๊”
“อ้าวลิลลี่ มาทำงานแต่เช้าเชียว”
ลิลลี่เข้ามานั่งแล้วเอาไอแพดวางเอาไว้
“พักนี้รู้สึกสดชื่นน่ะ”
“เจอนายเรียวหรือยังล่ะ”
ลิลลี่ทำหน้านิ่ว
“ทำไม”
“อ้าว ก็เห็นมาทีไรก็ถามถึงนายเรียวทุกทีนี่”
“แหม โลกมันหมุนนะเจ๊ ไม่ได้หยุดอยู่กับที่ อะไรอะไรมันก็ต้องเปลี่ยนแปลงบ้างสิ” นันณภัสหัวเราะเบาๆ ลิลลี่เปลี่ยนเรื่อง “เอ๊ะ ไหนบอกว่าได้เลขาใหม่แล้วไง ไม่เห็นมีเลย”
นันณภัสทำหน้าเซ็งเมื่อพูดถึงปลายฟ้า
“ได้แล้ว สงสัยวันนี้มาสาย” นันณภัสพูดไม่ทันขาดคำก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น “เข้ามา”
ปลายฟ้าเปิดประตูเข้ามาหน้าเหย ลิลลี่ทั้งแปลกใจและตกใจที่เห็นปลายฟ้า
“เธอนั่นเอง”
“ยินดีรับใช้ค่ะ”
“ฉันจะออกไปรับรองลูกค้าจากเมืองจีนที่บอกไว้ เธอไปจัดการเอกสารกับเรื่องสถานที่และอาหารให้เรียบร้อยด้วยแล้วตามฉันไปที่รถ”
นันณภัสสั่งงานปลายฟ้า ปลายฟ้ารับรู้แล้วออกจากห้องไป ลิลลี่มองตามสีหน้าเห็นใจนันณภัส
“แค่เขารู้ความจริงก็แย่แล้ว นี่ยังมีมือที่สามอีก แย่แน่เจ๊เรา”

โอตี่อยู่ที่สโมสรสนามกอล์ฟโดยมีเบ็ตตี้นั่งอยู่ไม่ห่าง มังกรเดินเข้ามากับอาเพียวแล้วก็ต้องแปลกใจที่เห็นโอตี่ มังกรเดินเข้ามานั่งข้างๆ ลูกชาย
“มีอะไรหรือ”
โอตี่กระซิบบอกมังกร มังกรตาเบิกโพลงสีหน้าแบบไม่เชื่อ
“จริงหรือ” โอตี่บอกเสียงเบา มังกรมองไปทางอาเพียว “มันยังไม่ตาย”
“ใครครับ”
“ไอ้มนัส”
อาเพียวมีสีหน้าตกใจ
“ผมยิงมันตกน้ำไปกับมือ”
“ลุงบุ๊นคงเก็บมันมาดูแลมั๊ง”
“มันอยู่ที่ไหน ผมจะแก้มืออีกครั้งครับคุณชายโอ”
“ไม่ต้อง งานนี้ฉันจัดการเอง หลังจากที่นายมนัสไม่หายใจ เราคงต้องเปิดสงครามกันเสียที” มังกรเห็นด้วยกับลูกชาย
“ดี แล้วจะลงมือเมื่อไหร่”
“เมื่อเหล็กร้อนได้ที่”

โอตี่มองมังกรด้วยแววตามั่นใจ

พีทมารอลิลลี่อยู่ข้างล่าง เขาเดินเตร็ตเตร่ พนักงานที่ผ่านไปมาทำความเคารพนอบน้อม พีทมองไปรอบๆบริษัทแล้วสร้างฝัน

“อีกไม่นานฉันก็จะมีแบบนี้บ้าง” พีทหัวเราะเบาๆ นันณภัสเดินมากับลิลลี่ นันณภัสทักทายน้องชาย
“อ้าวพีท ทำไมไม่ขึ้นไปข้างบนล่ะ”
“ไม่ล่ะขี้เกียจ พอดีแวะมารับลิลลี่ไปหาอะไรกินกันน่ะ”
นันณภัสมองลิลลี่แล้วยิ้มออกมา
“ไม่เห็นบอกพี่เลย”
“ก็พีทเพิ่งโทรมาบอกนี่ แหมแค่ไปกินข้าวกลางวัน”
“เจ๊จะไปไหนหรือ”
“ไปรับรองลูกค้ามาจากจีนน่ะ ไปด้วยกันไหม”
พีททำหน้าเบื่อ
“ไม่ล่ะ น่าเบื่อ ไปสวีทกันสองคนดีกว่า”
พีทบอกแล้วต้องตะลึงเมื่อเห็นปลายฟ้าเดินเข้ามา นันณภัสสังเกตเห็นท่าทางพีทจึงแนะนำ
“เป็นไงเลขาใหม่พี่ พี่ขอตัวนะพีท”
ปลายฟ้าเดินมาถึงเรียวแยกไปเอารถ ปลายฟ้าเจอพีทสีหน้าตะลึงแต่เก็บอาการ
“เอ บางทีเราไปกับเจ๊ก็ดีเหมือนกันนะ กินเยอะสนุกดี ดีไหมลิลลี่” พีทบอก ลิลลี่งง แต่ก็โอเค
“ตามใจเธอ”
“ผมขับรถให้นะ”
ลิลลี่ควงแขนพีทเดินจากไป ปลายฟ้ามองตามด้วยความรู้สึกเฉยๆ นันณภัสเดินนำไปปลายฟ้าเดินตาม

โอตี่นั่งกินอาหารจีนอยู่ในห้องวีไอพีของโรงแรมหรูกับลูกค้า 2 คน โดยมีกระเป๋าใส่โคเคนวางตรงหน้า
“ทำไมอยู่ดีๆ ถึงขึ้นราคาของล่ะ” ลูกค้าถามขึ้นมา
“หุ้นส่วนมันพิ่มขึ้นน่ะ” คำตอบนี้ทำให้ลูกค้าอีกคนไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเราด้วยล่ะ”
“มันเป็นหุ้นส่วนแบบไม่ลงทุนน่ะ ฉันก็ไม่ได้อยากได้มันมาหุ้นนักหรอกแต่มันจำเป็น”
โอตี่บอกอย่างเจ้าเล่ห์ เพราะคิดจะยืมมือลูกค้าฆ่าพีท
“เข้าใจแล้ว ถ้ามันถอนหุ้นของจะราคาเดิมใช่ไหม”
“แน่นอน”
“จะให้ทำยังไงก็บอกมาก็แล้วกัน”
โอตี่ยิ้มอย่างพอใจ
“แล้วจะบอก”
โอตี่แววตาจริงจังแล้วกินอาหารต่อ

ขณะนั้นไทกับเรียวขี่มอเตอร์ไซด์นำขบวนรถลีมูซีนสองคันมาที่สนามบิน คันหน้ามีคนขับ และบอดี้การ์ดข้างคนขับส่วนเบาะหลังว่าง คันหลังเป็นบุ๊นกับอาฮวดนั่งอยู่ แววตาบุ๊นเป็นประกายขณะยกนาฬิกาขึ้นดูเวลา สีหน้านิ่งแต่พอใจ รถเลี้ยวเข้าไปในรั้วสนามบิน

นันณภัสเดินนำลิลลี่และพีทเข้ามาในล๊อบบี้ของโรงแรม ซึ่งเป็นโรงแรมเดียวกับที่โอตี่กินข้าวอยู่กับลูกค้ายาเสพติด ปลายฟ้าเดินตามหลังทุกคน พีทพยายามลอบมองปลายฟ้าบ่อยๆ แต่ปลายฟ้าไม่สนใจ บริเวณที่นั่งรอในล๊อบบี้มีนักธุรกิจชาวจีนนั่งรออยู่ พอเห็นนันณภัสจึงเข้ามาทักทาย
“สวัสดีครับคุณพัด”
“สวัสดีค่ะ ขอโทษที่ต้องให้รอ”
“ไม่เป็นไรครับ”
“งั้นเชิญเลยดีกว่าค่ะ ทานอาหารกันไปคุยกันไป”
“ดีครับ เชิญ”
“คุณปลายฟ้าเชิญตามสบายนะ เสร็จแล้วฉันจะเรียก ไปลิลลี่ พีท” ลิลลี่กับพีทตามไป ปลายฟ้าแยกไปอีกทาง
พีทเดินไปกับลิลลี่พอให้ปลายฟ้าลับตาแล้วเขาจึงขอตัวไปห้องน้ำ
“ขอตัวไปห้องน้ำก่อนนะ เดี๋ยวตามไป”
ลิลลี่พยักหน้ารับรู้แล้วเดินตามนันณภัสไป

ปลายฟ้าเดินมาที่ห้องน้ำ พีทรีบวิ่งมาดัก
“ปลายฟ้า ไม่เห็นบอกเลยว่าคุณมาทำงานกับพี่สาวผม”
“ฉันไม่เห็นต้องรายงานคุณเลย”
“ทำไมคุณรังเกียจผมมากนักหรือ”
“เปล่าหรอก ฉันคิดว่ามันไม่เหมาะสม คุณเป็นถึงน้องชายท่านรองประธานไม่ควรลดตัวลงมา อีกอย่างคุณก็มีคุณลิลลี่อยู่แล้ว เธออาจจะเข้าใจผิดได้”
“โธ่ ผมก็แค่ควงลิลลี่เล่นๆ”
“แล้วก็คิดจะมาควงฉันเล่นๆ เหมือนกันหรือคะ”
“เปล่านะ สำหรับคุณผมจริงใจเสมอ”

“ขอบคุณนะคะ แต่ฉันคงรับไม่ได้”

พีทหน้าเจื่อน แต่ยังไม่ทันที่จะคุยอะไรต่อ เสียงโอตี่ก็ดังขึ้นมา

“นั่นแน่ มีน้องฉันอยู่ทั้งคน ยังมากิ๊กกับคนอื่นอีก นายนี่มันไม่เบาจริงๆ”
โอตี่เดินเข้ามาถึงพร้อมเบ็ตตี้ และลูกน้องดูน่าเกรงขาม พีทหน้าซีดเล็กน้อยแล้วตั้งสติ
“นึกว่าใคร หุ้นส่วนฉันนี่เอง”
“หุ้นส่วนเขาคงไม่ทำกันแบบนี้มั๊ง”
ปลายฟ้ามองทั้งสองฝ่ายก่อนจะขอตัว
“ฉันขอตัวนะ”
ปลายฟ้าเดินจากไป โอตี่มองตามแล้วขู่พีท
“กิ๊กแกน่ารักดีนี่”
“อย่าไปยุ่งกับเธอ ถ้าเธอเป็นอะไรไปล่ะก็ เราเลิกเป็นหุ้นส่วนกัน แล้วแกคงรู้นะว่าจะเกิดอะไรขึ้น” พีทบอกด้วยท่าทางจริงจัง
“ฉันเบื่อคำขู่แกจริงๆ ว่ะ เอาอย่างนี้ เก็บการ์ดของแกไว้ให้ดีก็แล้วกัน และถ้าวันไหนฉันได้การ์ดมาฉันก็จะเลิกเป็นหุ้นส่วนกับแก แล้วแกก็คงจะรู้เหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
โอตี่ยียวนแต่แววตาแข็ง จริงจังยามจ้องพีทก่อนจะเดินไปห้องน้ำพร้อมลูกน้อง พีทมองตามแล้วถอนหายใจ แล้วรีบเดินตามไปหาปลายฟ้าแต่ไม่เห็นเสียแล้ว พีทจึงเดินกลับไปที่ห้องอาหารที่นันณภัสเลี้ยงรับรองนักธุรกิจชาวจีน

ส่วนบุ๊นเมื่อเข้ามาในสนามบิน บุ๊นเดินไปตามทางของเทอร์มินอลของสนามบินตรงไปที่ห้องวีไอพี ไท อาฮวด และเรียวเดินประกบ เมื่อมาถึงหน้าห้องวีไอพีก็พบกับคนติดตามของหญิงชราเฝ้าอยู่หน้าห้อง คนติดตามเห็นหน้าบุ๊นแล้วทำความเคารพ
“คุณผู้หญิงกำลังรออยู่ครับ”
ไม่ทันที่บุ๊นจะเปิดประตูเข้าไปหญิงชราคนนั้นก็เปิดประตูสวนออกมา ไทจ้องอย่างระวัง หญิงชราที่เปิดประตูออกมาแต่งชุดชาวอินเดีย ใบหน้าแก่คราวบุ๊น ท่าทางไม่ค่อยมีแรงและถือไม้เท้า
“ไปกันได้หรือยังคะ” หญิงชราถามบุ๊น
“เชิญ”
คนติดตามประคองหญิงชราเดินไปกับบุ๊นท่ามกลางการอารักขาของไท อาฮวดและเรียว ระหว่างนั้นคนของมังกรยังติดตามดูอยู่

นันณภัสทานอาหารเสร็จแล้วเดินออกมาแยกกันกับนักธุรกิจชาวจีน 2 คนที่หน้าล๊อบบี้ พีทกับลิลลี่เดินมาด้วย พีทคอยมองหาปลายฟ้า
“หวังว่าเราคงจะร่วมงานได้ดี”
“ครับ ยินดีครับ”
นันณภัสจับมือนักธุรกิจสองคนเพื่อเป็นการบอกลาแล้วแยกกันไป นันณภัสเดินตรงไปที่รถ ปลายฟ้าเดินเข้ามาหาแล้วเดินไปด้วยกัน พีทรีบเดินตามไปในใจอยากหาโอกาสคุยกับปลายฟ้า
ที่สนามบิน อาฮวดเปิดประตูให้บุ๊นและหญิงชราขึ้นรถ พอขึ้นมาบนรถบุ๊นหันมาถามหญิงชรา
“เป็นยังไงแพรไหม เหนื่อยไหม”
“นิดหน่อยค่ะ แต่รำคาญเจ้านี่มากกว่า”
แพรไหมตอบบุ๊นด้วยเสียงที่ยังสาวผิดกับเสียงที่คุยกันหน้าห้องวีไอพี คนขับรถมองผ่านกระจกหลังด้วยสีหน้าแปลกใจกับน้ำเสียง

และโดยไม่คาดคิดหญิงชราดึงหน้ากากออกเผยให้เห็นใบหน้าจริงที่สวยงามของแพรไหม

ดุจตะวันดั่งภูผา ตอนที่ 11 (ต่อ)

ขบวนรถของบุ๊นที่มาจากสนามบินจอดเรียงกันอยู่หน้าบ้านพักตากอากาศ ภายในบ้านไท เรียว อาฮวด อยู่ที่โถงด้านหน้าด้วยท่าทางระวัง ส่วนบุ๊นเดินเข้ามาหามนัสในห้องด้วยสีหน้ายินดี

“มนัส มีคนอยากพบแน่ะ”
มนัสมีสีหน้าแปลกใจ บุ๊นเคลื่อนตัวออกไปทางด้านข้างเผยให้เห็นแพรไหม
“คุณพ่อ” มนัสทำท่าดีใจสุดชีวิตน้ำตาไหล “แพรไหมมารับคุณพ่อ เราจะได้ไปอยู่ด้วยกันแล้วนะคะ”
ด้านนอก ไทสังเกตเห็นความผิดปกติที่ห่างออกไปมันเป็นแสงสะท้อนวอมแวมของวัตถุบางอย่างซึ่งเขาเดาว่ามันโลหะที่ไม่มีในธรรมชาติ อาฮวดเดินมาที่ไทแล้วถาม
“อะไรหรือ”
“มีคนลอบดูเราอยู่”
อาฮวดรับรู้ จังหวะเดียวกับที่บุ๊นเดินออกมากับแพรไหม
“หนูแพรไหมพักที่นี่ตามสบายนะ เรื่องนั้นลุงจะปรึกษากับหมออีกที”
แพรไหมยกมือไหว้บุ๊นด้วยความเคารพและขอบคุณ
“ขอบคุณคุณลุงมากนะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอก” บุ๊นเดินมาหาอาฮวดและไทเขาจึงฝากให้ไทคอยดูแลแพรไหม “คนนี้เขาชื่อนายไท ลุงจะให้เขาคอยดูแลหนูนะ มีอะไรก็บอกเขาได้...ฝากด้วยนะ” บุ๊นกำชับไท ไทรับคำ
ทั้งหมดเดินออกไปที่รถแพรไหมจะเดินไปส่ง ไทสังหรณ์ใจตามสัญชาติญาณ
“ไม่เป็นไรครับ คุณอยู่ในนี้จะดีกว่า”
แพรไหมหยุดบุ๊นหันมามองแล้วพยักหน้าให้แพรไหมประมาณว่าให้เชื่อไท เรียวออกมาประจำที่รถมอเตอร์ไซค์ของเขา บุ๊นสีหน้านิ่งรับรู้แล้วเหลือบมองไปทางฝั่งที่มีสายสืบมังกรซุ่มมองอยู่
“เราคงต้องรีบส่งมนัสแล้วล่ะ ออกรถ”
บุ๊นบอก ขบวนรถเคลื่อนออกไป ไทยืนมองแล้วกลับเข้าไปในบ้าน

หลังจากบุ๊นออกจากบ้านพักตากอากาศแล้วสายสืบจึงโทรมารายงานมังกร
“อืม ดูต่อไปก็แล้วกัน” มังกรวางสายแล้วหันมาคุยกับอาเพียว “ไม่เห็นมีอะไรเลย แค่รับรองแขกต่างประเทศแก่ๆ”
“แล้วเรื่องคนป่วยในบ้านที่คุณชายโอบอกล่ะครับล่ะ ครับ”
“ถ้าเป็นนายมนัสจริง ยายแก่คนนั้นเกี่ยวอะไรด้วย”
มังกรมีสีหน้าครุ่นคิด

มังกรคิดถึงเหตุการณ์เมื่อ 15 ปีที่แล้ววันนั้นมนัสนั่งคุยสีหน้าเครียดกับมังกร บนโต๊ะมีเอกสารวางอยู่แผ่นหนึ่ง
“ผมว่าคุณมนัสน่าจะเซ็นนะ เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว” มังกรบอกเสียงเรียบ
“แต่ว่ามันบิดเบือนข้อเท็จจริงนะ”
“ก็ใช่น่ะสิผมต้องการให้คุณทำแบบนี้แหละ” มนัสคิดหนัก เมียมนัสเอาน้ำมาให้แล้วเดินจากไป “ขอบใจ เซ็นเถอะมนัส ขืนนายดื้อดึงพี่ใหญ่อาจจะไม่พอใจ ดูเทอดเป็นตัวอย่างสิ”
มนัสคิดถึงเทอดที่ถูกยิงนอนฟุบอยู่บนโต๊ะ มนัสจึงตัดสินใจเซ็นเอกสาร มังกรยิ้มพอใจแล้วเอากระดาษออกไป
มังกรออกไปที่รถแล้วยกโทรศัพท์มือถือโทรออกไป
“เรียบร้อยแล้วครับพี่ใหญ่”
มังกรขับรถออกไป ขณะนั้นมนัสยังคงนั่งใช้ความคิดในสิ่งที่ทำลงไปและโดยไม่คาดคิดมีกระสุนปืนพุ่งเข้าที่กลางหลังมนัสฟุบลงทันที
สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นฝีมืออาเพียว อาเพียวยิงแล้วขึ้นลำกล้องใหม่ เมียมนัสที่อยู่ในครัวถูกยิงล้มลง คนรับใช้ถูกยิงล้มลงขณะที่แพรไหมนั่งตัวสั่นด้วยความตกใจ
“เฮ้อ มนัสเอ๊ย แกยังไม่ตายจริงๆ หรือวะ”

มังกรพึมพำออกมา

ไทเดินเข้ามาในครัวเพื่อหาน้ำดื่มจึงพบกับพยาบาลที่นั่งดื่มชาอยู่

“ดื่มชาด้วยกันสิคุณ”
พยาบาลรินชาให้ ไทนั่งตามคำเชื้อเชิญ
“อยู่ที่นี่มานานแล้วหรือครับ” ไทชวนคุย
“10 กว่าปีแล้วค่ะ ตั้งแต่คุณมนัสถูกยิง”
ไทสะดุดชื่อมนัสแล้วนิ่งถามต่อ
“ถูกยิงหรือครับ ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องอะไรหรือ”
“ไม่ทราบค่ะ ท่านประธานบุ๊นท่านเมตตารับคุณมนัสมาดูแล”
“แสดงว่าคุณมนัสนี่สำคัญต่อท่านประธานน่าดูสินะครับ”
“คงอย่างนั้นมั้งคะ ท่านประธานท่านดูแลอย่างดีทั้งคุณมนัสและคุณแพรไหมลูกสาว” ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะสนทนากันต่อก็มีกดกริ่งดังออกมาจากในห้อง “คุณแพรไหมเรียกแล้วสิ ตามสบายนะ”
“ขอบคุณครับ”
พยาบาลลุกออกไป ไทมีสีหน้าครุ่นคิด
“นายมนัส”

อีกด้านหนึ่งที่ร้านกาแฟ โอตี่กับลิลลี่นั่งคุยกันอยู่ ลิลลี่มีสีหน้าหนักใจ
“ตอนนี้เวลาของครอบครัวเราเหลือน้อยเต็มที”
“ลุงบุ๊นไม่ช่วยเหลืออะไรเลยหรือ”
แววตาโอตี่ฉายความเจ้าเล่ห์ออกมา
“ยูนี่มองโลกในแง่ดีจริงๆ รู้ไหมแต่ไหนแต่ไรลุงบุ๊นไม่เคยช่วยเราเลยมีแต่หยิบยื่นให้เล็กๆ น้อยๆ เราจะซื้อโรงแรมก็ไม่ขาย จะทำธุรกิจที่ที่ดินที่เคยซื้อด้วยกันก็ไม่โอนที่ให้” ลิลลี่หน้าเสีย
“แล้วกิจการของเฮียล่ะ”
“ตอนแรกมันก็ดีๆ แต่มันพังเพราะไอ้พีทแฟนยูไง ไอบอกตรงๆ นะว่าไอก็ทำธุรกิจไม่ค่อยสะอาดเท่าไหร่ เห็นว่าค่าตอบแทนมันดี ก็เลยยอมเสี่ยง”
“เข้าใจแล้ว จะให้ฉันพูดกับพีทใช่ไหม” โอตี่ยิ้มพอใจ
“ไม่ต้องหรอก แต่อยากได้ของบางอย่างคืนจากมัน” ลิลลี่มองโอตี่ด้วยความสงสัย “แล้วก็ ใครมาพักที่บ้านพักตากอากาศของลุงบุ๊น” ลิลลี่พยักหน้าช้าๆ แสดงว่ารับปาก โอตี่อธิบายให้ลิลลี่ฟังถึงสิ่งที่เธอต้องทำ “มันแอบถ่ายคลิปตอนที่ฉันขนของ มันต้องการเอาคลิปนั่นแบล็คเมล์เรียกส่วนแบ่งจากฉันโดยที่มันไม่ต้องทำอะไรเลย ฉันอยากให้เธอเรียกร้องความยุติธรรมคืนให้ฉัน และผู้พิพากษาก็น่าจะเป็นการ์ดในโทรศัพท์ของมัน”
ลิลลี่รับคำด้วยความเต็มใจ

ไทนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โต๊ะรับแขก แพรไหมเดินผ่านมาเธอตั้งใจจะขึ้นไปอาบน้ำในมือมีหนังสือ The Moral To The Sun ไทยืนขึ้นด้วยมรรยาท แพรไหมยิ้มให้ไทด้วยท่าทางเป็นมิตร
“ตามสบายเถอะค่ะคุณเอ่อ...”
“ไทครับ”
“ค่ะคุณไท ขอโทษทีฉันจำชื่อคนไม่ค่อยเก่ง” ไททำท่าทางนอบน้อมแล้วมองไปที่หนังสือ แพรไหมสังเกตเห็น
“หนังสือประจำตัวของคุณพ่อน่ะค่ะ ท่านชอบหนังสือเล่มนี้มาก คุณพยาบาลอ่านให้ท่านฟังทุกวัน แต่วันนี้ฉันอ่านให้ท่านฟังเอง”
“เรื่องนี้ก็เป็นหนังสือประจำตัวผมเหมือนกัน แต่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้อ่าน”
“จริงหรือคะ”
“ครับ พ่อผมซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต”
สีหน้าแพรไหมเปลี่ยนเป็นเศร้าและเห็นใจ
“จริงหรือคะ เสียใจด้วยค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมก็เสียใจกับคุณด้วยนะครับที่พ่อคุณต้องมาป่วยแบบนี้เห็นว่าท่านก็ถูกลอบยิงหรือครับ”
“ค่ะ วันนั้นเราอยู่ด้วยกันทั้งครอบครัวที่ปากช่อง แล้วก็...”
“ปากช่องหรือ”
“ค่ะ มันเป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายมาก ทุกที่มีแต่เลือดเต็มไปหมด ดีที่ลุงบุ๊น มาช่วยฉันเอาไว้ ท่านกับพ่อฉันเป็นเพื่อนรักกันมาก แล้วมีอีกคนนะคะ ชื่อลุงเทอด ฉันจำได้ว่าลุงเทอดมาทานอาหารที่บ้านบ่อยๆ เห็นว่าลุงเทอดมีลูกชายคนหนึ่งแต่ฉันไม่เคยเจอ เขาเรียนที่กรุงเทพน่ะค่ะ แล้วก็มีอีกคนหนึ่งเป็นน้องลุงบุ๊นชื่ออามังกร คนนี้ไม่ค่อยได้มาแต่วันที่พ่อถูกยิงเขามีปากเสียงกับพ่อเรื่องอะไรก็ไม่ทราบนะคะ”
“จับตัวคนยิงได้ไหมครับ”
“ไม่ได้ค่ะ ช่างเถอะเรื่องมันก็นานมาแล้ว” แพรไหมเปลี่ยนเรื่องแล้วยื่นหนังสือให้ “อ่านฆ่าเวลาไหมคะ”
ไทรับหนังสือไปอย่างนอบน้อมสีหน้าพอใจ
“ขอบคุณครับ”
“ตามสบายนะคะ”

แพรไหมเดินขึ้นไปชั้นบน ไทมองตามแล้วมองหนังสืออย่างพอใจและแปลกใจที่มนัสชอบหนังสือเล่มนี้

ต่อจากตอนที่แล้ว

ฉัตรกับคู่หูนั่งรอมังกรอยู่ในส่วนต้อนรับแขกของบ้านมังกร คนรับใช้เอาน้ำเปล่ามาเสิร์ฟ คู่หูแอบนินทา

“เฮ้อ รวยไม่รู้จะรวยยังไง แต่เสิร์ฟน้ำเปล่า”
“นี่แกคิดว่ามาทำงานหรือมาปิกนิกวะ”
มังกรเดินมากับอาเพียว
“นึกว่าแขกวีไอพีที่ไหน มีอะไรให้รับใช้หรือครับผู้กอง”
มังกรนั่งตรงหน้าฉัตร อาเพียวยืนคุมเชิง
“ก็อยากจะรบกวนถามปัญหาสักสองสามข้อ”
“ข้อหนึ่ง”
“คุณรู้จักนายมนัส ที่เคยเป็นนายกเทศมนตรีที่ปากช่องไหม”
มังกรอึ้งมองหน้าฉัตรและเหลือบไปมองอาเพียว
“รู้จักสิ เราเคยเป็นเพื่อนกัน แต่มนัสเขาตายไปนายแล้วนี่” ฉัตรพยักหน้ารับ “ข้อสอง”
“จากแฟ้มคดีเก่า มีคำให้การของพยานระบุว่าคุณเป็นคนสุดท้ายที่อยู่กับเขาก่อนตาย คุณไปพบเขาเรื่องอะไร”
“โอย เรื่องมันนานมาแล้วผมจำไม่ได้หรอก คงไปมาหาสู่ตามปกติมั้ง ข้อสาม”
“วันนั้นลูกสาวของผู้ตายได้ยินเสียงคุณกับนายมนัสเถียงกัน พอจะบอกได้ไหมว่าเรื่องอะไร”
มังกรมองหน้าอาเพียวแล้วพยายามควบคุมอารมณ์ อาเพียวระวังตัว
“ก็บอกแล้วไง ว่ามันนานมาแล้วผมจำไม่ได้ว่าไปหามนัสเขาทำไม แล้วจะไปรู้ได้ยังไงว่าเถียงหรือคุยกันเรื่องอะไรกัน”
“ถ้าอย่างนั้น คุณมีความเห็นอย่างไรที่ พอคุณเดินออกจากบ้านนายมนัส นายมนัสก็ถูกยิงทันที”
“เสียใจนะผู้กอง ผู้กองขอผมแค่สามคำถาม ซึ่งผู้กองก็ถามมาครบแล้วข้อนี้ผมไม่ขอตอบนะ” ฉัตรพยายามจะซักต่อ มังกรปิดการสนทนาทันที “อาเพียว ส่งแขก”
ฉัตรเข้าใจความหมายจึงลุกออกมากับคู่หู
“ไม่ต้องส่งหรอก ผมจำทางออกได้”
ฉัตรเดินไปที่รถ อาเพียวแววตาเข้มมองมังกรเหมือนถามว่าจะเอายังไง
“ถ้าจำเป็น อาเพียว”
อาเพียวเข้าใจความหมาย

ไทออกมานั่งข้างนอกห้องแล้วกรีดหนังสือในมือไปทีละหน้าแล้วพบว่ามีรูปถ่ายเก่ามากคั่นหนังสืออยู่แล้ว มันเป็นรูปมังกร บุ๊น และนายมนัสสมัยล่าสัตว์กันในป่าและมีอีกคนหนึ่งซึ่งถูกบังอยู่นั่งอยู่หลังสุด ไททำหน้าสงสัย พยาบาลเดินออกมาสีหน้ายิ้มแย้ม
“มานั่งอยู่นี่เอง”
ไทรู้สึกตัวแล้วหันไปหาพยาบาล
“ขอโทษนะครับ ภาพนี้...”
พยาบาลมองแล้วยิ้ม
“อ๋อ ภาพคุณมนัสกับเพื่อนๆ นี่คุณบุ๊น และนี่คงเป็นน้องชายคุณบุ๊น นี่คุณมนัส แต่คนนี้ไม่รู้จัก เห็นคุณบุ๊นบอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ คุณมนัสแกรักภาพนี้มากนะให้ฉันหยิบออกมาดูทุกวันเลย แกชอบดูคนที่มองไม่เห็นหน้านี่แหละค่ะ”
ไทแปลกใจและครุ่นคิดและคิดว่ามันต้องเป็นนายมนัสคนที่ฉัตรบอกแน่นอนที่สำคัญมันต้องเกี่ยวข้องกับพ่อเขาด้วย
“เจ้าหน้าที่ป่าไม้”

เย็นวันเดียวกันนั้นพีทนั่งดื่มไวน์อยู่ที่ระเบียงของคอนโดมองดูทะเลยามเย็น ลิลลี่เอาใจด้วยการเติมไวน์ให้
พีทมีท่าทางพอใจ
“ที่จริงเราน่าจะนัดกันที่บ้านพักตากอากาศของลุงบุ๊นนะ จะได้ระลึกความหลังตอนที่เราคบกันใหม่ๆ”
“ก็ดีนะ แต่คงไม่ได้หรอก ตอนนี้เจ๊พัดฉันกำลังรับรองแขกอยู่”
“ใคร”
“ลูกสาว อา...มนัส...อะไรเนี่ย ฉันไม่รู้จักหรอก ทางที่ดีอย่าไปยุ่งกับเขาเลยดีกว่า” ลิลลี่รับรู้ พีทเปลี่ยนเรื่อง “อันที่จริงกลับมาคบกับเธอนี่ก็ดีเหมือนกันนะ เย็นๆ จะได้ไม่เหงา”
“จะได้สักกี่วัน ฉันว่าไม่เกินอาทิตย์เธอก็เบื่อ แล้วมันก็จะกลับไปแยกกันอยู่เหมือนเดิม”
“ไม่นะ ความรู้สึกมันไม่เหมือนเมื่อก่อน คงเป็นเพราะฉันเริ่มเบื่อการอยู่คนเดียวแล้ว” พีทบอกด้วยท่าทางจริงจัง ลิลลี่ดักคอ
“แล้วปลายฟ้าเลขาพี่นายล่ะ” คำถามนี้ทำให้พีทถึงกับสะอึก
“ทำไม”
“คิดว่าฉันมองไม่ออกหรือไง”
“เอาจริงๆ หรือ” ลิลลี่พยักหน้า “คนนี้ฉันชอบเขามาก และคิดว่าจะแต่งงานกับเขาด้วยซ้ำ แต่...”
“เขาไม่เล่นด้วย”
“ก็ทำนองนั้น แต่ฉันจะพยายามต่อไป ขอโทษนะที่ต้องบอกกับเธอตรงๆ เราคบกันชั่วคราวไม่ใช่หรือ”
ลิลลี่มองพีทแววตาไม่สะทกสะท้าน
“ใช่ เราคบกันแค่ชั่วคราว”
ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะสนทนากันต่อ เสียงโทรศัพท์มือถือของพีทดังขึ้น พีทดูแล้วเห็นว่าโจโทร.เข้ามาจึงรับสาย
“ขอโทษนะ...ว่าไงโจ”

พีทเดินเข้าไปคุยในห้อง ลิลลี่มองพีทและโทรศัพท์ ในใจมีแผนบางอย่าง!

ติดตาม "ดุจตะวันดั่งภูผา" ตอนที่ 12 (อวสาน)
กำลังโหลดความคิดเห็น