ตะวันฉายในม่านเมฆ ตอนที่ 3
เมฆจะเปิดรถแต่เอวารีบพูดขึ้น
“งั้นก็ให้เพื่อนเอวามาเลี้ยงให้สิคะ”
เมฆชะงักหันมามองเอวา เอวายิ้มให้เมฆ
“ไม่เป็นไร ลำบากเพื่อนเอวาเปล่าๆ” เมฆบอก
“ไม่ลำบากครับเพื่อนผมชอบเลี้ยงเด็ก” นิคเสริม
เมฆยืนคิด เอวากับนิคลุ้น
“อย่างน้อยก็อยู่ชั่วคราวจนกว่าพี่เมฆจะหาคนใหม่ได้ดีไหมคะ” เอวาบอก
เมฆนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “อย่าดีกว่า พี่ติดต่อหาเองดีกว่าคิดว่าอีกไม่กี่วันก็คงหาได้ ขอบคุณมากนะ”
เมฆอุ้มหมอกจะเดินไปแต่เอวากับนิคยังตื้อต่อ
“พี่เมฆคะ อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจเลย ให้เพื่อนเอวามาคุยก่อนนะคะ”
“ใช่ครับ ถ้าคุยแล้วพี่เมฆจะรับหรือไม่รับค่อยว่ากัน ดีไหมครับ”
เมฆยิ้ม “ได้ นำเสนอขนาดนี้ งั้นพรุ่งนี้พาเพื่อนคนนี้มาเลยนะ”
นิคกับเอวาดีใจ “ขอบคุณครับ /ค่ะ”
เอวาขับรถ นิคที่นั่งข้างๆ หัวเราะชอบใจ
“โหย....เอวา แผนนี้ของแกนี่ล้ำเลิศว่ะ”
“เขาเรียกแผนไม่ไปเชียงใหม่จะได้หลินปิงเหรอ”
ตะวันฉายตวาด “นี่...ชอบใจกันมากใช่ไหม เกิดฉันไปอยู่ใกล้นายนั่นแล้วมันฆ่าฉันพวกแกจะรับผิดชอบไหวไหม”
“ฉันกลัวแกจะฆ่าพี่เมฆซะละมากกว่า ข่าวว่าทำเขาเจ็บไปหลายดอกแล้ว” นิคสวน
“ไม่รู้ล่ะ ยังไงฉันก็ไม่ไปเลี้ยงลูกให้นายนั่น”
“โอเค...ได้ พรุ่งนี้ฉันจะโทรไปยกเลิก” เอวาบอก
นิคมองเอวาอย่างงงๆ แต่เอวาขยิบตาให้นิค นิคขยิบตาตอบ
“อ้าว...ไรวะ ยกเลิกง่ายๆแบบนี้น่ะเหรอ กองเชียร์เซ็ง” นิคว่า
“แล้วจะให้ทำไง ให้คุยกับพี่เมฆซันมันก็ไม่เอา ให้สืบจากหมอกมันก็ทำไม่สำเร็จ ให้เข้าไปอยู่บ้านเขามันก็ไม่สู้” เอวาบอก
“จริงด้วยว่ะ ฉันก็คิดหาทางอื่นไม่เจอแล้ว โอเคซัน งั้นแกก็กลับไปหาทางของแกเองแล้วกัน พวกฉันยกเลิกภารกิจช่วยแก” นิคพูด
ตะวันฉายงอน “เออ...ได้...ไม่เป็นไร ยังไงฉันก็มีวิธีที่ดีกว่า”
“วิธีอะไรของแก” เอวาสงสัย
ตะวันฉายยิ้มเจ้าเล่ห์แต่ไม่ยอมบอก
ตะวันฉายเดินถือหนังสือเข้ามาวางบนโต๊ะแล้วลูบไล้อย่างทะนุถนอพร้อมกับมยิ้มคนเดียว ลูบไปสักพักก็ยังไม่สาแก่ใจเธอจึงดึงขึ้นมากอดแนบอก แล้วกระโดดขึ้นเตียงก่อนจะกลิ้งไปมาอย่างมีความสุข
“แหม เอวาคิดไปซะไกลเลย ของแค่นี้สืบไม่อยากหร๊อก” ตะวันฉายคิดแล้วเขินจึงเอาหนังสือปิดหน้า “กรี๊ดด...นี่ฝันเราจะเป็นจริงแล้วเหรอ ถ้าเจอกันพี่ธีเขาจะพูดอย่างที่เราอยากฟังไหมนะ”
ภาพในจินตนาการผุดขึ้นในหัวของตะวันฉาย เป็นภาพสวนสวยๆ ต้นไม้หลุดโลกสไตล์โลกเทพนิยาย ธีรภพกลายเป็นตัวละครในนิยายที่ตะวันฉายเขียน
“ทำไมจะไม่มีล่ะ ต้องบอกว่าซันมีเยอะมากกว่าพี่ด้วยซ้ำ ทั้งความน่ารัก ความจริงใจ และที่สำคัญ..โลกนี้มันสวยขึ้นตั้งแต่ซันเดินเข้ามาหาพี่”
หญิงสาวที่ธีรภพคุยอยู่ด้วยคือตะวันฉายนั่นเอง
ตะวันฉายและธีรภพกอดกันอย่างมีความสุข
ตะวันฉายจินตนาการภาพดังกล่าวแล้วก็นอนยิ้มอย่างมีความสุขอยู่บนเตียง
“โลกนี้มันก็สวยขึ้นตั้งแต่ซันได้เจอพี่ธีร์ค่ะ”
บ่ายวันใหม่ ตะวันฉายนั่งดื่มกาแฟอยู่ที่ห้องในคอนโด
“ลืมวิธีนี้ไปได้ไงว่ะ” ตะวันฉายเปิดคอมพิวเตอร์แล้วเสริชหาเบอร์โทรศัพท์
ตะวันฉายโทรหา 1113 แล้วต่อสายTraval T ก่อนจะรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด
“สวัสดีค่ะบริษัททราเวิล ที ใช่ไหมคะ เอ่อ...ฉันอยากจะขอเรียนสายคุณธีรภพเจ้าของบริษัทหน่อยค่ะ.....อะไรนะคะ ไม่ได้อยู่ที่นี่ หมายความว่าไงคะ”
ตะวันฉายมีสีหน้าสงสัย
นิคกับเอวามองอาหารที่อยู่บนโต๊ะแล้วงง ตะวันฉายนั่งยิ้มแฉ่งอยู่ตรงข้ามเพื่อนทั้งสองในร้านอาหารในห้างสรรพสินค้า
“ทานสิแก มื้อนี้เจ๊เลี้ยงเต็มที่ หรือไม่ชอบสั่งมาอีกสัก 14-15 อย่างเอาไหม” ตะวันฉายถาม
ตะวันฉายจะตักกับข้าวใส่จานเอวาแต่เอวายกมือห้าม เธอจึงย้ายไปจานนิค นิคก็ยกมือห้ามอีก
นิคกับเอวาพูดพร้อมกัน “เคลียร์ด่วน !”
ตะวันฉายยิ้มเจื่อนๆ “คือฉันโทรไปถามที่บริษัท Travel T พนักงานก็บอกว่าพี่ธีไม่ได้ทำงานแล้ว นายปากเป็ดนั่นเป็นคนดูแลแทนมาหลายปีแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าพี่ธีไปไหน”
“เนี่ยนะเหรอแผนแก” นิคถาม
ตะวันฉายพยักหน้ารับ “ฉันคิดว่ามันน่าจะง่ายอ่ะ”
“อ๋อ...พอแผนแกไม่สำเร็จก็เลยเลี้ยงข้าวพวกเราเป็นการขอโทษ” เอวารู้ทัน
ตะวันฉายยิ้มแหย “แฮ่ะๆๆ มันก็มีมากกว่านั้นนีสสนึง”
นิคกับเอวาเลิกคิ้วเป็นการถาม ตะวันฉายพูดต่อ
“คือฉันสงสัยว่ามันมีอะไรแปลกๆนะ ตอนฉันถามพนักงานเกี่ยวกับพี่ธี เขาบอกไม่รู้จัก ฉันขอคุยพนักงานเก่าๆ ยัยนี่ก็บอกว่าเธอนี่แหล่ะเก่าสุดแล้วอายุงานสองปี มันหมายความว่าไง คนเก่าโดนไล่ออกหมดเหรอ บริษัทนี้มันตั้งมาสี่ห้าปีแล้วนี่นา”
“แล้วไงอ่ะ คนเก่าเขาอาจจะลาออกหรือเมื่อก่อนบริษัทมีไม่กี่คนแล้วขยายมาก็ได้นี่” นิคบอก
“ใช่แกจะไปยุ่งอะไรกับบริษัทเขา ไม่ต้องนอกเรื่อง บอกมาตรงๆดีกว่าว่าที่ติดสินบนพวกฉันเนี่ยจะให้ทำอะไร”
ตะวันฉายยืดอก “ฉันคิดแล้วว่าฉันจะไปเป็นพี่เลี้ยงหมอก ฉันจะเป็นนางเอกที่เข้าไปสืบความลึกลับของบริษัทนี้”
นิคกับเอวาดีใจ
“หูยยยย ดีเลย รับรองแกจะต้องเปลี่ยนความคิดกับพี่เมฆพี่ชายใจดีของพวกเรา เดี๋ยวฉันโทรบอกนะ” เอวาบอก
ตะวันฉายรีบห้าม “เดี๋ยวๆๆๆ ฉันจะไม่ไปแบบนี้”
“แล้วแกจะไปแบบไหน” นิคงง
ตะวันฉายเชิดหน้า “ฉันจะปลอมตัวไป”
นิคกับเอวามองหน้ากันแล้วหันมาจ้องหน้าตะวันฉายอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะระเบิดหัวเราะ
“ไอ้ซัน แกดูทีวีเยอะหรือแกยังไม่ออกมาจากโลกนิยายของแกวะ” นิคว่า
“นั่นสิ แกคิดบ้างไหมถ้าพี่เมฆจับได้จะเกิดอะไรขึ้น ฉันว่ามันจะยิ่งแย่ไปกว่าเดิมนะ” เอวาบอก
“แล้วพวกแกไม่คิดเหรอว่าถ้าฉันไปแบบนี้นายนั่นที่ไม่ชอบหน้าฉันอยู่แล้วจะได้ความจริงเหรอ ขนาดพวกแกเป็นเพื่อนสนิทนายนั่นยังไม่ปริปากบอกอะไร แล้วอย่างฉันเขาคงจะบอกหรอก”
นิคกับเอวาจำนนด้วยเหตุผล ทั้งสองต่างก็นิ่งแล้วคิดตาม
“แล้วแกจะปลอมเป็นอะไร” นิคถาม
“นี่แหล่ะคือสิ่งที่ฉันต้องการจากแกสองคน พวกแกจะต้องช่วยให้ฉันปลอมตัวให้เนียนที่สุดชนิดใครก็จับไม่ได้”
นิคกับเอวามองตะวันฉายด้วยสีหน้าเครียด ส่วนตะวันฉายกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างมั่นใจในความคิดของตัวเอง
เจ้านายในชุดตำรวจชั้นผู้ใหญ่นั่งทำงานอยู่ สักพักก็มีเสียงเคาะประตู แล้วยุทธการก็เปิดประตูเข้ามาในชุดตำรวจยศพันตรีก่อนจะทำความเคารพเจ้านาย
“ผมพันตำรวจตรียุทธการ มารายงานตัวครับ”
“ยินดีที่ได้ร่วมงานกันนะสารวัตรใหม่ไฟแรง”
“ขอบคุณครับ”
“จากประวัติของคุณ ผลงานที่โดดเด่นคือเรื่องปราบปรามยาเสพติด ผมจึงขอตัวคุณมาช่วยงานในหน่วยของเรา”
“ด้วยความยินดีครับ”
“ตั้งใจทำงานนะคุณยังมีอนาคตอีกไกล”
จ่าสมเคาะประตูแล้วเปิดเข้ามาทำความเคารพเจ้านายและยุทธการ
“นี่คือจ่าสม เขาจะเป็นผู้ช่วยของคุณ”
ยุทธการยิ้มแล้วพยักหน้าให้จ่าสม
จ่าสมเดินนำยุทธการออกมาจากห้องเจ้านาย
“หน่วยของเราได้ยินชื่อของสารวัตรมานานแล้วครับ ตั้งแต่สารวัตรเป็นหมวดอยู่”
“ผมดังขนาดนั้นเลยหรอจ่า”
“ทั้งเรื่องผลงาน ทั้งเรื่องการทุ่มเทการทำงานแบบไม่ร็จักเหน็ดเหนื่อย โอ๊ย.อีกสารพัดเลยล่ะครับ”
“เรื่องไม่ดีไม่เคยได้ยินบ้างหรอจ่า”
“ถ้าเจ้านายสืบไม่เจอแสดงว่าไม่มีครับ”
จ่าสมจะเดินไปแล้วนึกได้ “เอ่อ...สารวัตรมีแฟนยังครับ”
“ทำไมหรอ”
“จากวันนี้ไปสารวัตรคงเหนื่อยกว่าเดิม บอกแฟนให้เตรียมทำใจนะครับ สารวัตรคนก่อนได้ตำแหน่งได้ผลงานแต่เลิกกับเมีย ของผมนี่ทั้งมียทั้งลูกเลยครับ”
จ่าสมหัวเราะขำแล้วเดินไปนั่งทำงาน ยุทธการยิ่มขำแล้วส่ายหน้าก่อนจะนั่งที่โต๊ะ
ยุทธการยิ้ม “แฟนหรอ?”
ตะวันฉาย นิค และเอวาเดินใช้ความคิดกันมาเรื่อยๆ ตามทางเดินในห้างสรรพสินค้า
“ตกลงแกจะปลอมเป็นอะไร นี่มันจะเข้าแผนกเครื่องไฟฟ้าแล้วนะ” เอวาเร่ง
“แหม...ก็ดูเสื้อผ้ามาหมดแล้วฉันยังคิดไม่ออกนี่ว่าจะปลอมยังไงพี่เมฆของพวกแกถึงจะจำฉันไม่ได้ ก็ลองมาหาแรงบันดาลใจชั้นนี้แล้วกัน”
“ทำไมเราไม่ไปขอความช่วยเหลือพี่ยุทธวะ เขาเป็นตำรวจต้องช่วยสืบได้อยู่แล้ว จะมาหาเรื่องปลอมตัวให้เหนื่อยทำไม” นิคบอก
“จะบ้าเหรอ พี่ยุทธเขาชอบไอ้ซันอยู่ แล้วจะให้มาช่วยตามสืบหาคนที่มันรักเนี่ยนะ คิดได้ไง” เอวาท้วง
“แฮ่ะๆๆ ขอโทษทีลืมนึกไป”
“เอาเป็นว่าพวกเราสืบกันเองไสตล์โอทอปนี่แหล่ะ สะดวกสุดแล้ว” ตะวันฉายสรุป
ทันใดนั้นโทรศัพท์ของตะวันฉายก็ดังขึ้น พอตะวันฉายเห็นหน้าจอก็ตกใจ
“โห...อายุยืนจริงๆ พูดถึงก็มาเลย” ตะวันฉายกดรับสาย “พี่ยุทธ ว่าไงคะ”
“ซันอยู่ไหนอ่ะ” ยุทธการถาม
ตะวันฉายส่งสัญญาณให้เพื่อนเงียบ “อ๋อ...ซันก็อยู่ที่เกาะไง กำลังเดินเล่นอยู่เลย”
“ทำไมเสียงเงียบจัง เดินที่ไหนอ่ะ ไม่มีลมเหรอ”
ตะวันฉายเอามือปิดโทรศัพท์ “ตายแล้ว ลมอ่ะ”
นิคมองไปทางอื่นแล้วรีบลากตะวันฉายให้วิ่งไป เอวาวิ่งตาม
นิคลากตะวันฉายมาถึงจุดที่ขายพัดลมแล้วตะวันฉายก็รีบเอาหน้าเข้าไปใกล้พัดลม
“เมื่อกี้ซันเดินตรงล้อบบี้ นี่ออกมาข้างนอกแล้ว” ตะวันฉายพูดโทรศัพท์พร้อมกับเดินส่ายตามพัดลม
“ดีจังพูดถึงลมๆก็มา แต่ลมวันนี้พัดสม่ำเสมอจังนะ” ยุทธการบอก
ตะวันฉายค้อนใส่โทรศัพท์ “เห็นเขาว่าพายุจะเข้า ลมเลยแรง”
“ตกลงซันอยู่ที่เกาะจริงหรือเปล่าเนี่ย”
“จริงสิ ช่วงนี้รีสอร์ทเต็มซันไปไหนไม่ได้หรอก”
“พี่นึกว่าซันอยู่ที่ห้าง”
ตะวันฉาย นิค และเอวาหันหลังไปตามเสียงก็เจอยุทธการยืนอยู่ ทั้งหมดหน้าเจื่อน นิคกับเอวารีบยกมือไหว้ยุทธการ ยุทธการจ้องหน้าทั้งสามคนนิ่ง
เอวานั่งขับรถเงียบจนนิคสังเกตได้
“เป็นอะไรอ่ะเจ๊” นิคถาม
“เปล่า” เอวาตอบ
“ไม่จริงอ่ะ เมื่อกี้อยู่ที่ห้างแกยังไม่เป็นแบบนี้เลย อารมณ์ไม่ดีหรือเปล่า”
“ก็ไม่เป็นอะไรจริงๆ”
นิคจ้องหน้าทะเล้น “ไม่เป็นอะไรแต่เจ๊เงียบไปนะ”
เอวาตวาด “นี่...เลิกเรียกเจ๊ซะทีได้ไหม...รำคาญ!”
นิคเห็นเอวาเอาจริงก็เลยเงียบ เอวาถอนใจเครียด นิคได้แต่มองไม่กล้าพูดอะไร
“ฉันขอโทษ ฉันอารมณ์ไม่ดีอย่างที่แกว่า” เอวาบอก
“ไม่เป็นไร”
นิคยิ้มให้แล้วนั่งเงียบ เอวารู้สึกผิด
“คือฉันเป็นห่วงไอ้ซันน่ะ พี่ยุทธจับได้ว่ามันโกหกเขาคงเสียใจนะ” เอวาพูดออกมา
นิคงง “ตกลงห่วงไอ้ซันหรือห่วงพี่ยุทธเนี่ย”
เอวากลบเกลื่อน “ห่วงไอ้ซันสิ จะไปห่วงพี่ยุทธทำไม”
นิคมองหน้าเอวาด้วยความสงสัย ส่วนเอวาขับรถไปด้วยสีหน้านิ่งแต่ไม่กล้าสบตานิค
รถของยุทธการแล่นมาจอดหน้าคอนโดของตะวันฉาย
“ขอบคุณมากนะคะพี่ยุทธที่มาส่งซัน”
ตะวันฉายลงจากรถ ยุทธการรีบตามลงไป
“ซัน” ยุทธการเรียก
“ซันขอโทษที่โกหกพี่ยุทธ”
“พี่ไม่ได้โกรธที่ซันโกหกหรอก พี่เองก็ผิดที่ใช้วิธีนี้ลองใจซัน แต่พี่อยากรู้ว่าทำไมซันมากรุงเทพฯแล้วไม่โทรหาพี่บ้าง เราสัญญากันแล้วนี่”
“เอ่อ...ก็ซันกะว่าจะมาทำธุระแป๊บเดียว เลยไม่อยากกวนพี่ยุทธ”
“แม้แต่จะโทรมาทักทายก็ไม่ได้เหรอ”
ตะวันฉายนิ่งเงียบ
“ซัน พี่รู้ว่าซันยังไม่ได้คิดกับพี่อย่างที่พี่รู้สึกกับซัน แต่พี่ไม่ได้เร่งรัดซันนะ พี่ยินดีที่จะรอวันที่ซันพร้อม แต่ซันให้โอกาสพี่ได้ดูแลซันบ้างนะ พี่ขอร้อง”
“ค่ะ”
ยุทธการยิ้มดีใจ ตะวันฉายยิ้มรับเจื่อนๆ แล้วเดินเข้าไปในตัวตึก ยุทธการมองตามด้วยแววตามีความสุขแล้วจึงขึ้นรถขับออกไป พอรถยุทธการแล่นไปแล้ว ตะวันฉายก็เดินกลับออกมามองตามรถของยุทธการไป
หลังจากฟังเอวาพูดเรื่องเพื่อนของเธอ เมฆก็มีสีหน้างงๆ
“ขอเลื่อนมาเริ่มงานวันพรุ่งนี้งั้นเหรอ?”
หมอกนั่งเล่นหุ่นยนต์อยู่ข้างๆ เมฆในห้องพักนักดนตรีของผับ โดยมีนิคกับเอวานั่งอยู่ด้วย
“ค่ะ” เอวายืนยัน
“เขาคงไม่อยากทำงานกับพี่” เมฆยิ้ม “ถ้างั้นก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ติดต่อศูนย์ให้ส่งพี่เลี้ยงมาก็ได้”
เมฆเดินไปเล่นกับหมอก นิคกับเอวาสะกิดกันเป็นเชิงถามว่าเอายังไงดี แล้วทั้งคู่ก็เดินตามไปตื้อเมฆต่อ
“อุ๊ยพี่เมฆอย่าเพิ่งใจร้อนสิคะ”
“พี่ไม่ได้ใจร้อน แต่คิดว่าเพื่อนเอวาเขาอาจจะอยากหางานอื่นที่ดีกว่าพี่เลี้ยงเด็ก”
“ไม่ใช่หรอกครับพี่เมฆ เพื่อนเอวามันปลอม...เอ๊ย เตรียมตัวไม่ทัน” นิคว่า
“ใช่ค่ะ มันบอกว่าขอเก็บข้าวของบอกลาพ่อแม่ก่อน รับรองพรุ่งนี้มาชัวร์”
เมฆนิ่งคิดไปครู่นึงแล้วหันไปคุยกับหมอก
“หมอกครับ คอยอีกวันนะ พรุ่งนี้พี่เลี้ยงคนใหม่ก็มาแล้ว”
หมอกพยักหน้ารับ นิคกับเอวาแอบดีใจจึงจับมือกันแล้วยิ้มปลื้ม เมฆหันมามองทั้งสองก็รีบทำเนียนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“รับรอง พรุ่งนี้มาแน่นอนที่สุดค่ะ” เอวาย้ำ
เมฆหันกลับไปเล่นกับหมอก นิคหันไปกระซิบกับเอวา
“แต่มันจะมารูปแบบไหนวะอยากรู้จริงๆ”
ยุทธการในชุดนอนเดินเช็ดหัวออกมาจากห้องน้ำ แล้วเขาก็มานั่งที่เตียง ยุทธการหยิบรูปที่ถ่ายกับตะวันฉายซึ่งเป็นรูปเขาถือกีตาร์ ส่วนตะวันฉายทำท่าทะเล้นกำลังเกาะไหล่เขาจากด้านหลังขึ้นมาดูแล้วก็อมยิ้ม ยุทธการคิดถึงเรื่องราวในอดีตขึ้นมา
เหตุการณ์ในอดีต ยุทธการนั่งเล่นกีตาร์และร้องเพลง ส่วนตะวันฉายนั่งฟัง พอจบเพลงตะวันฉายก็ปรบมือ
“สุดยอดเลยพี่ยุทธ รู้ไหมผู้ชายที่เล่นกีตาร์แล้วร้องเพลงได้มันทั้งดูเท่ห์และดูโรแมนติคมากเลยนะ”
“ขนาดนั้นเชียว”
“ใช่สิ ถ้าพี่ยุทธจะไปจีบใครแล้วไปเล่นกีตาร์ร้องเพลงให้เขาฟัง รับรองเขาต้องชอบพี่ยุทธแน่”
ยุทธการเผลอมองตะวันฉายแล้วก็ยิ้ม พอเห็นตะวันฉายมองตาแป๋วก็รู้สึกแปลกๆ จึงทำเป็นตั้งสายกีตาร์
“พี่ยุทธหน้าแดงทำไมอ่ะ” ตะวันฉายถาม
“เฮ้ย...อะไร ไม่มีอะไร”
“แหม...ชมว่าเท่ห์นี่เขินเลยนะ”
ยุทธการขยี้หัวตะวันฉายด้วยความเอ็นดู “พอเลยเรานี่ อยู่แค่ปี 1 ทำไมมันแก่แดดแก่ลมอย่างนี้ล่ะ”
ตะวันฉายหัวเราะแล้วเขยิบมาใกล้ๆยุทธการ
“พี่ยุทธสอนซันเล่นกีตาร์บ้างสิ”
“แล้วทำไมไม่ให้เพื่อนใหม่ซันสองคนที่เรียนดนตรีสอนล่ะ”
“นิคกับเอวาน่ะเหรอ ยังไม่ค่อยสนิทกันอ่ะ ไม่กล้าไปขอเขาหรอก พี่ยุทธนั่นแหล่ะสอนซันนะๆๆ”
ยุทธการยิ้มให้ตะวันฉาย ตะวันฉายแบมือขอกีตาร์
ยุทธการสอนตะวันฉายเล่นกีตาร์ไปเรื่อยๆ
เย็นวันต่อมา ยุทธการในชุดตำรวจยศร้อยเอกที่เพิ่งกลับจากงานก็มานั่งสอนกีตาร์ให้ตะวันฉายแ ตะวันฉายดีดผิดยุทธการจับมือเธอให้หยุด
“ไม่ใช่คอร์ดนี้มันจับอย่างนี้”
“โห...ยากเหมือนกันนะเนี่ย” ตะวันฉายถอนใจ “สงสัยดนตรีจะไม่ใช่ทางของซัน”
“อะไร ท้อแล้วเหรอ”
“ก็ตอนแรกนึกว่าจะง่าย นี่เจ็บนิ้วหมดแล้ว”
“ถ้างั้นพักก่อนไหม”
“ดีเลย ช่วงพักนี่พี่ยุทธเล่นให้ฟังสักเพลงนะ”
“ขี้โกงนะเรา ซันได้พักแต่พี่ต้องเล่น”
“เป็นอันว่าตกลงตามนี้นะ” ตะวันฉายเปิดสมุดเพลง “วันนี้ซันอยากฟังเพลงนี้ พี่ยุทธร้องให้ซันฟังนะๆๆ”
ยุทธการส่ายหน้ายิ้มๆ แล้วจึงเริ่มเล่นเพลง
ยุทธการยังมองรูปพร้อมกับนึกถึงอดีตแล้วก็ยิ้ม เขาจูบที่รูปแล้วนั่งพิงเตียงยิ้มคนเดียวอย่างมีความสุข
“ไว้มีโอกาสพี่จะเล่นกีตาร์ให้ซันฟังอีกนะ”
ที่ห้องรับแขกในคอนโดของตะวันฉาย มีหัวหุ่นใส่วิกตั้งเรียงกันหลายหัว มีรองเท้าแบบต่างๆมาวางเรียงกัน ตั้งแต่รองเท้าคีบฟองน้ำ รองเท้าส้นเตี้ยแบบคนแก่ รองเท้าส้นสูงเซ็กส์ซี่ ใกล้ๆกันมีราวเสื้อผ้าซึ่งมีทั้งชุดแบบผ้าถุงเสื้อลูกไม้แบบคนแก่ ชุด Maid แบบฝรั่ง ชุดหนังร็อค และชุดคลุมๆตัวใหญ่ๆ และชุดอื่นๆแขวนเต็มไปหมด ตะวันฉายยืนยิ้มภูมิใจขณะที่นิคกับเอวายืนมองของต่างๆ ด้วยอาการตะลึง
“เนี่ยนะเหรอของที่แกจะใช้ปลอมตัว” เอวาถาม
“ใช่...หลังจากที่พวกแกไม่ได้ออกไอเดียช่วยฉันเลยแม้แต่นี้ดดดเดียว ฉันก็เลยต้องใช้ธรรมข้อที่ว่า อัตาหิอัตโนนาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ตะวันฉายบอก
“สาธุหลวงแม่ จะเริ่มได้หรือยัง?” นิคถาม
ตะวันฉายยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วดีดนิ้ว
ไฟสว่างพรึ่บที่กลางเวที ตะวันฉายใส่วิกผมยาวสีสดและชุดหลุดโลกสีสันจัดจ้านต้นไปตามจังหวะเพลงบนเวทีนั้น ไม่นานก็มีเสียงออดดังขึ้นสองครั้ง ตะวันฉายหยุดเต้นแล้วทำหน้าบูดมองไปหน้าเวที
“ทำไมอ่ะ”
เอวากับนิคนั่งเป็นกรรมการอยู่ที่โต๊ะหน้าเวที โดยมีไฟกากบาทสีแดงขึ้นที่หน้าโต๊ะของทั้งสอง เอวา และนิคส่ายหน้า
“แกจะแต่งตัวเยอะแบบนี้ไปเป็นพี่เลี้ยงเด็กเหรอ” เอวาถาม
“กว่าจะแต่งเสร็จ นายหมอกคงโหนรถเมล์ไปโรงเรียนเองแล้วมั้ง” นิคเสริม
ตะวันฉายค้อนเพื่อน แล้วเดินออกไป
ม่านบนเวทีเปิดออก ตะวันฉายมาในมาดยายแก่ผมหงอกปิดหน้า หลังค่อมฟ้อนเล็บช้าๆเดินออกมา พอเงยหน้าขึ้นนิคกับเอวาก็ร้องกรี๊ด เอวากดปุ่มกากบาท นิคกดตาม
“นี่คนเลี้ยงเด็กหรือผีบ้านผีเรือนวะเนี่ย” นิคถาม
“แล้วเป็นคนแก่เดินหลังค่อมๆอย่างนี้ไม่ปวดหลังเหรอ” เอวาเสริม
ตะวันฉายหน้าแหย “ปวดสิ”
ตะวันฉายยืดตัวขึ้นเป็นจังหวะกระตุกๆเหมือนผีเกาหลีโดยมีเสียงกระดูดังกร๊อบๆ ตลอด นิคกับเอวามีสีหน้าลุ้นพร้อมเงยหน้าขึ้นเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ตะวันฉายยืดตัว
ตะวันฉายทาตัวดำเป็นนิโกรพร้อมกับใส่วิกผมหยิกสวม เสื้อผ้ารุ่นบุปผาชน นิคและเอวากดกากบาทไม่ให้ผ่าน
ตะวันฉายเป็นเซเลอร์มูน เต้นโพลแด๊นซ์ นิคกับเอวาปิดตาแล้วรีบจิ้มกดกากบาท
ตะวันฉายเป็นร็อกเกอร์สาว ใส่ชุดหนัง เขียนตาเข้ม ทาปากดำ ใส่ต่างหู ตุ้มจมูก ติดสติ๊กเกอร์รูปดาวกากเพชรเต็มหน้า นิคกับเอวากดกากบาท
ตะวันฉายเป็นนางฟ้าทาตัวขาวจั๊วะเต้นท่าคิขุ แล้วก็โปรยกลิสเตอร์ นิคกับเอวาทำหน้าสยองเพราะรับไม่ได้ ทั้งสองหันไปหยิบถังขยะข้างตัวขึ้นมาอ้วกแล้วรีบกดกากบาททันที
ตะวันฉายแต่งเป็นเมดแบบสาวญี่ปุ่น เต้นท่าน่ารักๆ เซ็กซี่นิดๆ นิคมองเหวอ เอวากดกากบาท นิคกดผ่าน แต่โดนเอวาเอาฆ้อนของเล่นทุบหัว นิคเลยต้องเปลี่ยนมากดกากบาท
เอวากับนิคนั่งดูดน้ำ ในสภาพหัวชนกันและมีท่าทางเพลีย ในขณะที่รอตะวันฉายออกมาอีกครั้ง
“ฉันว่าพอก่อนมั้ย ขนาดดูมันยังเหนื่อยแทน” นิคบอก
เอวาตะโกนบอกตพวันฉาย “ซัน พอก่อนเหอะ ไว้ค่อยคิดหาทางใหม่ก็ได้”
“รอก่อน ชุดนี้เด็ด” เสียงตะวันฉายดังออกมา
ตะวันฉายเดินออกมาในลุคแม่บ้านสาวใหญ่ใส่วิกผมหงอกหยิก ยัดโน่นนี่นั่นจนดูอ้วน นมยานหน้าย่น ใส่แว่นตาที่ติดจมูกอันโตๆ เพื่อนทั้งสองเห็นแล้วอึ้งไปเพราะจำไม่ได้ นิคกับเอวากดเครื่องหมายถูก ตะวันฉายโบกมือเป็นนางงามแล้วยิ้มดีใจ
ตะวันฉายในม่านเมฆ ตอนที่ 3 (ต่อ)
ตะวันฉายยืนยิ้มแฉ่งในลุ๊คแม่บ้านฝรั่ง ใบหน้า แขน ขา ลำคอ ติดซิลิโคนจนดูเป็นหญิงสูงวัยที่อ้วน นิคกับเอวานั่งอึ้ง ในมือของทั้งคู่ถือป้ายเครื่องหมายถูกบอกว่าให้ผ่าน
ตะวันฉายดีใจ “ชุดนี้ผ่านใช่ไหม พี่เมฆของพวกแกต้องจำฉันไม่ได้ใช่ป่ะ”
ตะวันฉายเริ่มปาดเหงื่อที่ไหลจากวิก แล้วเดินมานั่งกับนิคและเอวา นิคกับเอวาจับจมูกจับชุดของตะวันฉายดู
“สุดยอดเลยว่ะ จำไม่ได้เลย” นิคชม
เหงื่อของตะวันฉายไหลราวกับมีใครเอาฝักบัวราด ตะวันฉายเริ่มหน้าซีดและปาดเหงื่อถี่ขึ้น
“แล้วแกจะทนได้เหรอ แลว่าจะร้อนไม่ใช่เล่นนะ” เอวาถาม
ตะวันฉายเริ่มอ่อนแรง “ฉันทนได้ถ้าไม่...มี...ใคร...จำ.......ฉัน........ได้”
ตะวันฉายหงายหลังผึ่งไปทันที
“ว๊ายยยย ซัน...เร็วเข้านิค ช่วยฉันปลดเสื้อมันหน่อย”
นิคปิดตาทันที “เฮ้ย แกจะบ้าเหรอ ฉันเป็นผู้ชายนะเว้ย ให้เกียรติฉันบ้าง”
เอวาลุกขึ้นตีหัวนิค “แค่ปลดเสื้อให้มันพอหายใจได้แล้วพาไปหาหมอ”
เอวาเริ่มปลดกระดุมเสื้อของตะวันฉาย นิคค่อยๆเปิดตาแล้วช่วยแกะวิกออก
ตะวันฉายค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา หมอ นิคและเอวายืนอยู่ที่เตียงที่เธอนอนในคลีนิค เอวายืนแกว่งยาดมที่จมูกตะวันฉาย
ตะวันฉายพูดเสียงสำออยอินโนเซ็นท์ “นี่ฉันอยู่ที่ไหน”
“ถามได้เป็นนางเอกนิยายเลย ก็คลีนิคน่ะสิ” นิคบอก
“การที่เอาอะไรมากๆมาพันร่างกาย มันจะทำให้ร่างกายขับน้ำออกมามาก ส่งผลให้ระบบการไหลเวียนของเลือดลดลง คุณก็จะอ่อนเพลียหน้ามืดเป็นลม วิธีลดความอ้วนแบบนี้ไม่ดีครับ” หมอบอก
ตะวันฉายอึ้ง “เอ่อคุณหมอคะ หนูไม่ได้..”
หมอพูดแทรกทันที “เดี๋ยวหมอจะให้ยาบำรุงและวิธีลดความอ้วนที่ถูกต้องให้นะครับ”
พูดจบหมอก็เดินออกไป ตะวันฉายค้อนหมอแล้วพยุงร่างลุกขึ้นแต่ไม่ค่อยมีแรงจจึงะล้ม นิคกับเอวารีบเข้าไปประคอง พอตะวันฉายนั่งได้แล้วก็คว้ายาดมของเอวามาดม
“เฮ้อ...ตกลงฉันจะปลอมตัวเป็นอะไรดีที่มันปลอดภัย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและพี่เมฆของพวกแกก็จำฉันไม่ได้” ตะวันฉายกลุ้ม
ตะวันฉายมองเพื่อนทั้งสองตาละห้อย เอวามองหน้าแล้วจับหน้าตะวันฉายดู
“ถ้าแกยังอยากปลอมตัวอยู่ฉันว่าฉันมีวิธี อยู่ที่แกจะเอาหรือเปล่า” เอวาบอก
“เฮ้ย เอวา นี่จะร่วมมือเล่นพิเรนทร์กับไอ้ซันมันด้วยเหรอ” นิคท้วง
ตะวันฉายเอามือปิดปากนิค “ทำไงบอกมาเลยฉันทำได้ทุกอย่าง”
“งั้นไปกันเลย งานนี้เอวาจัดเต็ม” เอวาพูดกับนิค “นิคช่วยกันพยุงซาก เอ๊ยร่างซันมันไป”
พูดจบเอวาก็เอายาดมทิ่มจมูกตะวันฉายให้คาไว้หนึ่งอันแล้วนิคกับเอวาก็หิ้วปีกตะวันฉายออกไป
เมฆเล่นเปียโนท่อนจบอยู่ในห้องอัด จอมสยามยืนฟังเพลงไปพร้อมๆกับซาวด์เอ็นจิเนียร์ที่ควบคุมเสียง ทุกคนฟังจนเมฆเล่นจบท่อน
“โอเคไหมครับพี่” ซาวด์เอ็นจิเนียร์ถาม
“ฝีมือระดับเมฆโอเคที่สุดแล้ว” จอมสยามกดไมค์แล้วพูด “เมฆ อัดจริงเลยนะ”
เมฆพยักหน้ารับแล้วลงมือเล่นเปียโน ทุกคนยืนฟังด้วยความชื่นชม
จอมสยามเดินมาส่งเมฆที่ลานจอดรถหน้าสตูดิโอ
“ขอบใจมากเมฆที่มาช่วยพี่วันนี้ ไม่งั้นนักร้องคงต้องรออีกนานกว่าจะได้อัดเสียง”
“ด้วยความยินดีเลยพี่” เมฆบอก
“แล้วเมื่อไหร่จะส่งเพลงให้พี่สักที เจ้านายพี่เขาเบื่อฟังพี่โม้เรื่องนายแล้ว เขาอยากฟังเพลงจริงๆ”
“ก็ผมจะส่งแต่ Melody พี่จอมก็ไม่เอา”
“ได้ไงวะ นายมันเก่งทั้งเนื้อร้องกับทำนอง แล้วทำไมไม่ทำให้มันสมบูรณ์ อย่างนี้ก็เสียยี่ห้อเจ้าพ่อเพลงรักของคณะเราน่ะสิ”
“ช่วงนี้งานผมมันยุ่งๆ ผมเลยคิดคำไม่ค่อยออก”
“คิดไม่ออกหรือไม่กล้าคิด”
เมฆนิ่งอึ้งเพราะพูดไม่ออก
“เมฆ พี่รู้นะว่านายยังไม่ลืมอิงฟ้า แต่นายจะหยุดทำสิ่งที่รักเพราะผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาไม่รักนาย มันคุ้มแล้วเหรอ”
จอมสยามตบไหล่เมฆเพื่อปลอบใจ เมฆนิ่งคิดตามที่จอมสยามพูด
บ้านหลังใหญ่ของธีรภพดูสวยทันสมัยและเรียบหรูแต่หน้าต่างปิดทุกบาน เมฆขับรถเข้ามาจอดหน้าบ้านแล้วลงจากรถมายืนดู เขาก้มหยิบพวกกุญแจบ้านออกมาจากรถ เมฆเดินมาไขประตูหน้าแล้วเดินเข้ามาในบ้านก่อนจะมองไปรอบๆ เขาเห็นเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นถูกคลุมด้วยผ้า สภาพบ้านเหมือนไม่มีใครอยู่มานาน เมฆมองทุกอย่างรอบตัวด้วยความเศร้า
ภาพอดีตย้อนกลับมา เป็นภาพธีรภพกับอิงฟ้ากำลังช่วยกันคุมคนงานจัดบ้านอย่างมีความสุข เมฆเดินเข้ามาแล้วก็ชะงักจนธีรภพกับอิงฟ้าหันมาเห็นก็หยุด ธีรภพดีใจมากรีบวิ่งเข้าไปกอดคอเมฆ
“ไอ้น้องรัก” ธีรภพเดินเข้ามากอดคอ “นึกว่าจะติดเชียงใหม่จนไม่อยากมางานแต่งงานพี่ชายซะแล้ว”
เมฆกับอิงฟ้าสบตากัน อิงฟ้ายิ้มแต่ไม่กล้าสู้ตา
“ยินดีด้วยนะ...อิงฟ้า” เมฆพูด
“ขอบคุณนะ” อิงฟ้าตอบ
“เอ้า...สองคนนี่เป็นเพื่อนมัธยมกันจริงหรือเปล่าเนี่ย ทำไมคุยกันซะห่างเหินเลย” ธีรภพงง
“คงเพราะพอผมไปเรียนเชียงใหม่เราสองคนก็ไม่ได้เจอกันเลยไม่สนิทกันน่ะครับ” เมฆบอก
เมฆพูดจบก็จ้องหน้าอิงฟ้านิ่ง อิงฟ้ายิ้มเจื่อนๆ
“ไป...ไป เอาของไปเก็บพี่ให้คนเตรียมห้องนายไว้แล้ว พี่อยากจะโชว์บ้านใหม่จากน้ำพักน้ำแรงพี่ด้วย”
“ไม่เป็นไรครับพี่ธี ผมกลับไปนอนบ้านเก่าเราดีกว่า”
“เฮ้ย...ทำไมล่ะ บ้านนั้นมันไม่ได้ทำความสะอาดเลยนะ”
“ผมคิดถึงบ้านอยากกลับไปนอนที่นั่น....อดีตมันทำให้ผมมีความสุข”
เมฆแอบเหลือบมองอิงฟ้าแต่อิงฟ้าหลบตา
“เอ้า...ตามใจ แต่พรุ่งนี้ฤกษ์หมั้นพี่เก้าโมงเก้านาทีนายมาให้ทันนะ เพราะตอนนี้นายคือญาติสนิทคนเดียวของพี่แล้ว”
เมฆยิ้มรับนิ่งๆแล้วเดินออกจากบ้านไป ธีรภพมองตามอย่างงงๆ
ธีรภพพูดกับอิงฟ้า “น้องชายผมนี่ดูแปลกๆนะฟ้า ตั้งแต่ผมกลับมาจากเมืองนอกจนเปิดบริษัทจนถึงวันนี้ ผมเพิ่งได้เห็นหน้าเมฆวันนี้เอง”
“พี่ธีคะ เดี๋ยวฟ้ามานะคะ เอ่อ...คือฟ้าจะถามเมฆน่ะค่ะว่าติดต่อเพื่อนเก่าๆคนไหนบ้างหรือเปล่า เผื่อจะเชิญมางานเราทันวันพรุ่งนี้เลย”
“งั้นไปเร็วสิ เดี๋ยวไม่ทัน”
อิงฟ้ารีบวิ่งตามเมฆออกไป ธีรภพมองตามขำๆ
“อยู่กันตั้งนานไม่คุย”
เมฆเดินมาที่รถ อิงฟ้าเปิดประตูตามมา
อิงฟ้าเดินมาจับแขนเมฆ “เมฆ เดี๋ยวสิ”
เมฆยืนนิ่งมองมืออิงฟ้าที่จับแขนเขา อิงฟ้าจำต้องปล่อยมือ
“เมฆ...ยังโกรธฟ้าเหรอ”
“ที่ฟ้าบอกเลิกผมตอนนั้นก็เพราะฟ้าคบกับพี่ธีแล้วใช่ไหม”
“ช่วงที่เมฆไปเรียนที่เชียงใหม่ พี่ธีเคยมาทำกิจกรรมที่มหาวิทยาลัยของฟ้า เราเจอกันโดยบังเอิญ พี่ธีจำฟ้าได้ว่าเป็นเพื่อนเมฆ เราก็เลยเริ่มคุยกัน จนพี่ธีได้ทุนไปฝึกงานที่เมืองนอก ฟ้าก็เริ่มรู้แล้วว่าผู้ชายคนนี้แหล่ะเก่งพอที่จะดูแลฟ้าได้ และวันนี้พี่ธีก็มีทุกอย่างอย่างที่ฟ้าต้องการ ฟ้าขอโทษนะที่ตอนนั้นฟ้าไม่เคยบอกเมฆว่าฟ้าก็คบกับพี่ธีด้วย”
เมฆตัดบท “ผมไปนะ พรุ่งนี้เจอกัน”
เมฆจะเดินไปแต่อิงฟ้ามายืนขวางหน้าไว้
“เมฆ พี่ธีจะไม่มีวันรู้เรื่องของเราใช่ไหม” อิงฟ้าถาม
เมฆก้มหน้าด้วยความเจ็บปวด “ดูแลพี่ชายผมให้ดี อย่าทำให้เขาเสียใจ”
อิงฟ้ายิ้ม “ไม่มีวันแน่นอน ขอบคุณมากนะเมฆ เมฆเป็นเพื่อนที่ดีของฟ้าเสมอ”
อิงฟ้าเดินกลับไปเข้าไปในบ้าน เมฆเดินกลับไปแอบดูตรงประตู เขาเห็นอิงฟ้าวิ่งร่าเริงเข้าไปกอดกับธีรภพอย่างมีความสุข แล้วทั้งสองก็ช่วยกันคุมคนงานจัดบ้านต่อ เมฆถอนใจแล้วเดินขึ้นรถขับออกไป
เมื่อนึกถึงอดีต เมฆก็มองทุกอย่างในบ้านของธีรภพด้วยความเจ็บใจ
“ผมจะต้องลืมคุณให้ได้อิงฟ้า”
เมฆเดินออกไปจากห้องแล้วล็อคประตู แล้วเขาก็เดินขึ้นรถก่อนจะขับออกไป
ณ ร้านตัดผมสุดหรูในห้าง ตะวันฉายที่จมูกมียาดมคาอยู่เดินมา กับนิคและเอวา ทั้งสามหยุดมองเข้าไปในร้าน ตะวันฉายมีสีหน้าสงสัยสุดๆ
“นี่แกจะให้ฉันเป็นอะไรวะเนี่ยถึงต้องมาที่นี่”
เอวาตอบทันที “ผู้ชาย”
นิคกับตะวันฉายพูดพร้อมกัน “ผู้ชาย!”
“จะบ้าเหรอ มันจะเป็นไปได้ไง ฉันชอบเขียนนิยายยังไม่คิดเลย แกคิดได้ไงวะ” ตะวันฉายว่า
“นั่นดิ่ ที่ไอ้ซันมันปลอมๆมาว่าแย่แล้วนะ ของแกนี่หลุดโลกเลยนะ”
“ก็ถ้าปลอมเป็นผู้หญิงมันลำบาก ก็เป็นผู้ชายข้ามเพศไปเลยสิ ฉันว่าตัดผมแล้วแต่งดีๆใส่แว่นที่มันเปลี่ยนรูปหน้าแกได้ รับรองพี่เมฆจำไม่ได้แน่” เอวาบอก
“แต่ฉันจะลงทุนมากไปไหมอ่ะ อย่าลืมสิฉันไปอยู่กับนายนั่นชั่วคราวเองนะ เกิดผ่านไปวันสองวันนายนั่นหาคนได้ แต่ฉันสิกว่าผมจะยาวสลวยสวยเหมือนเดิม ไม่รอกันเง้กเหรอ”
“ซัน ถึงแม้แกจะเข้าที่บ้านพี่เมฆแค่ชั่วโมงเดียวฉันก็ว่าคุ้ม ถ้ามันจะทำให้แกสมหวังในชีวิตรักอีกห้าสิบปีข้างหน้า”
ตะวันฉายคิดตามแต่ก็ยังลังเลจนเอวาเซ็ง
“โอเค แกไม่เป็นผู้ชายก็ได้ งั้นแกจะเป็นอะไรที่พี่เมฆจำไม่ได้ หรือจะใส่มาสคอทหัวสิงโตมาดากาสก้าเข้าไปทำงานบ้านเขา” เอวาประชด
ตะวันฉายก้มมองหน้าอกตัวเอง “แล้วไอ้นี่ล่ะจะทำไง” ตะวันฉายทำมือห่อหน้าอกเหมือนใหญ่มาก
“โอ๊ย อันนั้นน่ะไม่ต้องห่วงหรอก ทุกวันนี้ฉันก็นึกว่าแกเดินถอยหลังอยู่บ่อยๆ” นิคแซว
“ตกลงแกเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับเอวามันเนี่ย” ตะวันฉายฉุน
“ก็พอแกชี้ให้เห็นปัญหาซึ่งฉันมองไม่เห็นว่ามันจะเป็นปัญหา ก็เลยคิดว่าอย่างแกคงไม่มีปัญหาถ้าจะเป็นผู้ชาย” นิคหัวเราะ
ตะวันฉายเงื้อมือจะตีแต่นิคยกมือปิดปากตัวเองทันที
“ตกลงว่าไงจะทำตามฉันไหม” เอวาถาม
ตะวันฉายยืนมองหน้าร้านอย่างใจไม่ค่อยดี
ตะวันฉายน้ำตาไหลพรากๆ ขณะที่นิคกับเอวายืนไว้อาลัยอยู่ข้างๆ ช่างจับผมตะวันฉายแล้วจะตัดตรงปลายติ่งหู ตะวันฉายแหกปากร้องลั่นร้าน
ตะวันฉายพูดกับช่าง “พี่คะ สั้นไปค่ะ” ตะวันฉายจับมือช่างเลื่อนลงมา “ขอยาวกว่านี้หน่อยนะคะ”
ช่างจะตัดอีก ตะวันฉายก็ร้องกรี๊ดอีก
“ใจเย็นค่ะพี่ ขอยาวอีกนี้ดนะคะ” ตะวันฉายจับมือช่างเลื่อนลงมาอีก
ช่างจะตัด ตะวันฉายก็ร้องออกมาอีก
“เดี๋ยวค่ะพี่ หนูยังไม่พร้อม”
เอวาสะกิดนิคให้เข้าไปล็อคแขนตะวันฉาย
“ตัดเลยค่ะพี่....สกินเฮด” เอวาสั่งช่าง
ตะวันฉายตกใจจนตาโต “เฮ้ย ไม่เอา”
ช่างลงมือตัดผมตะวันฉาย ตะวันฉายร้องโวยวาย
“อย่าเพิ่งค่ะพี่... ไว้ชีวิตหนูด้วย.. พ่อจ๋าแม่จ๋าช่วยซันด้วยย”
นิคกับเอวานั่งอ่านหนังสือรออยู่ที่โซฟาในคอนโดตะวันฉาย
“เฮ้ย...ฉันว่ามันนานไปนะ ไม่ใช่ไอ้ซันยัดโน่นนี่นั่นจนเป็นลมไปอีกล่ะ” นิคเป็นห่วง
เอวาเคาะประตูห้องนอน
“ซัน เสร็จยัง เปลี่ยนชุดแค่นี้ทำไมนานจัง” เอวาเคาะอีก “ซัน”
ซันเปิดประตูแล้วยื่นมาแต่แขนในลักษณะแบมือ เอวามองงงๆ
เสียงตะวันฉายดังขึ้น“แอ่น แอน แอ๊น พวกแกพร้อมที่จะพบกับฉันหรือยัง”
นิคหัวเราะ “เฮ้ย...ซัน...แกจะเป็นผู้ชายเสียงแปร๋นแบบนี้เหรอวะ”
“เออ..ลืมไป” ตะวันฉายรีบเปลี่ยนเป็นเสียงใหญ่ “ต่อจากนี้ไป ขอเชิญพบกับนายซัน”
ประตูเปิดออก แต่ตะวันฉายยังไม่เดินออกมา
นิคกับเอวาจ้องมองแล้วก็ต้องอ้าปากค้าง
เมฆกับหมอกนั่งอ้าปากหวอมองฝั่งตรงข้ามแบบไล่ตั้งแต่เท้าขึ้นมากางเกงจนถึงเสื้อ และขึ้นจนถึงหน้าของตะวันฉายที่ตัดผมสั้นกุดใส่แว่นตากรอบไม้มีเลนส์สีชา ตะวันฉายยายามนั่งเกร็งๆ และกางแขนกางขาให้ดูแมน แต่ก็ยังไม่ค่อยกล้าสู้ตาเมฆกับหมอกที่จ้องอยู่
“วันนั้นพี่ผมยาวนี่” หมอกทัก
ตะวันฉายกับเอวาตกใจแอบมองหน้ากันเพราะกลัวเมฆจับได้ นิครีบแก้สถานการณ์
“น้องหมอกจำผิดคนแล้ว พี่คนนั้นเขาเป็นผู้หญิง แต่คนนี้เป็นผู้ชาย คนละคนกันเลย”
ตะวันฉายรีบทำใจดีสู้เสือยิ้มเท่ๆมุมปาก ยิ่งเห็นเมฆมองอยู่ก็ยิ่งหวั่นใจจึงแอบกลืนน้ำลาย
“คนละคนจริงๆด้วย” หมอกบอก
ตะวันฉาย เอวา และนิคลอบถอนใจอย่างโล่งอก แต่เมฆก็ยังจ้องอยู่
“แต่พี่คุ้นๆหน้าเพื่อนเอวาคนนี้นะ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน” เมฆบอก
เมฆจ้องหน้าตะวันฉายแล้วขมวดคิ้วครุ่นคิดเหมือนพยายามนึกให้ออก
“ไม่หรอกมั้งคะพี่เมฆ ซันเพิ่งมาจากต่างจังหวัด ไม่เคยอยู่กรุงเทพฯเลยพี่เมฆจะเคยเห็นได้ไง ใช่ไหมซัน” เอวาทำเป็นถาม
“เอ่อ...ครับ ผมไม่เคยอยู่กรุงเทพฯ” ตะวันฉายตอบ
“งั้นพี่คงจำผิด แต่มันคุ้นจริงๆนะ....ช่างมันเถอะ แล้วเพื่อนคนนั้นของ เอวากับนิคไปไหนล่ะ”
“เอ่อ...คือเขายังเคลียร์เรื่องที่บ้านไม่เสร็จค่ะ เอวาเลยเอาซันมาแทน”
“นายเป็นผู้ชาย?” เมฆถาม
ตะวันฉายตอบแบบหลบตา “ใช่สิครับ”
“เอ่อ...ขอโทษนะ นายดูตัวเล็กๆบางๆเหมือนผู้หญิงฉันกลัวว่านายจะเป็นเอ่อ...หมายถึงไม่แมนน่ะ”
“ผมเป็นผู้ชายจริงๆ 100 เปอร์เซ็นต์ครับ”
เมฆยื่นหน้าเข้ามาหาตะวันฉาย “กันคิ้วด้วยเหรอ”
ตะวันฉายรีบกระชับแว่น “ปะ..เปล่าครับ มันเป็นแบบนี้เองตั้งแต่เกิด”
“จริงๆค่ะ แถวบ้านซันเขาก็ชอบบอกว่าคิ้วซันสวยเหมือนผู้หญิง แต่จริงๆ ไม่ใช่หรอกค่ะ เอวารับประกัน” เอวารีบบอก
เอวาสะกิดนิคพร้อมกับพยักเพยิดหน้าส่งสัญญาณให้นิคช่วยตะวันฉาย
“ผมคอนเฟิร์มครับพี่เมฆ ไอ้ซันนี่แมนทั้งแท่ง หญิงติดตรึม ใครเข้าใกล้มันฟันไม่เลี้ยงเลยนะครับ ผมยังอิจฉาเลยอยากเสน่ห์แรงเหมือนมัน” นิคคุย
เอวาเห็นหมอกนั่งฟังตาแป๋วก็กระแอมบอกนิค
นิคยิ้มแหยๆ “เอ่อ..ผมแค่อยากจะบอกว่าไอ้ซันมันเป็นผู้ชายครับ”
“โอเค...เชื่อแล้วว่าเป็นผู้ชาย แต่พี่อยากได้พี่เลี้ยงผู้หญิง” เมฆบอก
ตะวันฉาย เอวา นิค มองหน้ากันเลิ่กลั่กแล้วจึงหันไปมองหน้าเมฆ
“พี่เมฆคะ ลองให้ซันทำงานก่อนดีไหมคะ” เอวาบอก
“อย่าเลย เสียเวลากันเปล่าๆ เกรงใจซันเขาด้วย” เมฆปัด
ตะวันฉายหน้าเสียเพราะหมดหวัง
“พี่เมฆคะ ขอคุยข้างนอกได้ไหมคะ” เอวาถาม
เมฆกับเอวาออกมายืนคุยกันที่สนามหน้าบ้าน
“เอวาเข้าใจค่ะว่าพี่เมฆอยากได้พี่เลี้ยงผู้หญิง แต่ถ้ายังหาไม่ได้เราก็ให้ซันดูแลน้องหมอกไปก่อนได้นี่คะ คือเอวาสงสารเขาน่ะค่ะ”
เมฆงง “สงสาร?”
เอวาตีหน้าเศร้า “ค่ะ... ซันน่ะเป็นคนดีรักครอบครัว แต่ยากจนมาก พอที่นาโดนยึดซันก็เข้ามาหางานทำในกรุงเทพฯตั้งแต่จบป. 6 ทั้งล้างจาน ทำงานบ้านสารพัด จนได้มาอยู่บ้านเอวาเขาก็เก็บเงินจนไถ่นาได้แล้วลากลับบ้าน แต่โชคร้ายฟ้าฝนไม่ดีน้ำท่วมนาเสียหายเลยต้องกลับมาหางานทำอีกค่ะ พูดแล้วเอวาจะร้องไห้กลั้นน้ำตาไม่อยู่” เอวาปาดน้ำตา
“แต่เมื่อกี้เอวาบอกว่าซันไม่เคยอยู่กรุงเทพฯ” เมฆขัดขึ้น
เอวาชะงักไป เธอรีบยิ้มกลบเกลื่อนแล้วพูด “เอ่อ...คืองี้ค่ะ เอวาหมายถึงว่าซันเขาเคยทำงานบ้านอยู่บ้านเอวาแล้วกลับไปหลายปีแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่เอวาจะรู้จักกับพี่เมฆจนเขาเพิ่งมาเนี่ยแหล่ะค่ะ ก็คือตั้งแต่เอวารู้จักกับพี่เมฆซันก็ไม่เคยอยู่กรุงเทพฯแล้วจะเคยเจอกับพี่เมฆได้ยังไง...เอวาหมายความว่าอย่างนี้ค่ะ”
“อ๋อ...เข้าใจแล้ว”
“งั้นพี่เมฆก็ช่วยรับซันเขาทำงานหน่อยนะคะ คิดซะว่าช่วยลูกนกลูกกา” เอวาบอก
เมฆมองหน้าเอวาแล้วถอนหายใจเครียด
“เอวา พี่ต้องการพี่เลี้ยงเด็กมืออาชีพที่ผ่านการอบรมมา” เมฆบอก
ตะวันฉายกับนิคมองเมฆที่ยืนคุยหน้าเครียดกับเอวอยู่หน้าบ้าน ตะวันฉายกับนิคมองออกอย่างเป็นกังวล
“แกว่าเขาจะรับไหมวะ” ตะวันฉายถาม
หมอกสะดุ้งแล้วถาม
“ทำไมเสียงผู้หญิง?”
นิคกับตะวันฉายหันขวับไปมองหมอกแล้วมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
“เสียงผู้หญิงที่ไหน น้องหมอกหูฝาด” นิคว่า
“ก็หมอกได้ยินจริงๆ” หมอกพูดกับตะวันฉาย “พูดใหม่สิ”
ตะวันฉายรีบเก๊กเสียงแมน “ให้พูดว่าไงล่ะครับ”
หมอกมองนิคกับตะวันฉายแล้วเกาหัวด้วยความงง เก่งเดินเข้ามาหาหมอก
“คุณหมอกครับ ไปอาบน้ำกันเถอะครับ” เก่งบอก
“ไม่เอาไม่อาบ จะอาบกับพ่อ” หมอกงอแง
“แต่คุณพ่อมีแขกนะครับ ไปกับพี่เก่งนะครับ”
เก่งเดินจะไปจูงหมอก แต่หมอกวิ่งหนีไปรอบห้อง เก่งจึงวิ่งตาม หมอกเอาของขว้าง เก่งก้มหลบจนล้มลงกลิ้งไปกับพื้น หมอกหัวเราะชอบใจ แล้วหมอกก็กำหมัดชูก่อนจะเบ่งกล้าม
“ข้าคือโงกุน พลังหมัดคลื่นเต่าสะท้านฟ้า”
เก่งเงยหน้าขึ้นก็ตกใจที่เห็นหมอกกำหมัดแล้วพุ่งเข้ามา
“อะจ๊าก!”
เมฆกับเอวายังยืนคุยกันอยู่ที่สนามหน้าบ้าน
“พี่คงไม่รับนายซันอะไรนี่หรอก คอยอีกไม่กี่วันทางศูนย์ก็คงจะหาคนได้ ขอบคุณมากนะเอวาที่เป็นธุระให้”
เอวาเหวอไป เมฆยิ้มแล้วจะเดินเข้าไปด้านใน เอวารีบวิ่งมาดักหน้า
“แล้วถ้าเกิดไม่ได้ล่ะคะ พี่เมฆจะทำไงระหว่างคอย” เอวาถาม เมฆนิ่งฟัง “เอวารู้ค่ะว่าข้อเสียของซันคือเป็นผู้ชาย แต่พี่เมฆต้องมองข้อดีด้วยสิคะ”
“แล้วข้อดีของนายซันนี่คืออะไร”
“ก็...เอ่อ..” เอวาพยายามนึก
ทันใดนั้นทั้งสองก็ได้ยินเสียงหมอกร้องลั่นบ้าน เมฆกับเอวาหันกลับแล้วเพ่งมองผ่านกระจกแต่ก็เห็นไม่ชัดเพราะเงาต้นไม้บนกระจกบัง
เมฆตกใจ “หมอก!!”
เมฆกับเอวารีบวิ่งกลับเข้าบ้านไปทันที
เมฆกับเอวารีบวิ่งเข้ามาในห้องรับแขก จึงเห็นว่าตะวันฉายกำลังล็อคตัวหมอกอยู่ ส่วนหมอกก็ดิ้นไปแหกปากร้องไป
“ปล่อย...ปล่อยนะ...”
นิคหัวเราะ “เสร็จแน่นายหมอก เป็นไงล่ะหมดฤทธิ์เลย”
“ปล่อยสิ...บอกให้ปล่อย” หมอกดิ้น
“ไม่ปล่อย...ถ้าปล่อยแล้วไปรังแกคนอื่นพี่ไม่ปล่อย” ตะวันฉายบอก
หมอกมองเห็นเมฆ “พ่อ...ช่วยหมอกด้วยค๊าบบบ แงๆๆๆ”
“เกิดอะไรขึ้น” เมฆถาม
“ผมจะพาคุณเก่งไปอาบน้ำครับ แต่แกไม่ยอมเลยอาละวาด ผม..เอ่อ...ผมเอาไม่อยู่ แต่คุณคนนี้ช่วยจับตัวไว้ได้ครับ” เก่งเล่า
“พ่อค๊าบบบ...หมอกจะไปหาพ่อ” หมอกพูดกับตะวันฉาย “ปล่อย!”
ตะวันฉายมองหน้าเมฆที่ยืนมองนิ่งแล้วก็ยอมปล่อยหมอก พอหมอกหลุดไปได้ก็วิ่งเข้าไปกอดเมฆทันที
“นี่ไงคะข้อดี รับรองพี่เมฆไปทำงานได้อย่างสบายใจ เพราะซันปราบหมอกได้แน่นอนค่ะ” เอวาบอก
“ตกลงพี่เมฆรับซันแล้วใช่ไหมครับ” นิคถาม
เมฆมองตะวันฉายอย่างพิจารณา ทุกคนมองลุ้นๆ แล้วเมฆก็ส่ายหน้าปฎิเสธ
ตะวันฉายกระโดดพุ่งหลาวลงนอนคว่ำหน้ากับโซฟาในคอนโดแล้วร้องไห้ลั่น นิคกับเอวายืนมองอยู่ห่างๆด้วยความสงสารก่อนที่ทั้งสองจะเดินมานั่งข้างๆ แล้วลูบหลังปลอบเพื่อน
“ซัน...ฉันขอโทษ ถ้าฉันรู้ว่าพี่เมฆเขาจะรับแต่พี่เลี้ยงผู้หญิงฉันก็ไม่จับแกปลอมตัวเป็นผู้ชายหรอก” เอวาบอก
ตะวันฉายเงยหน้าจากหมอนทั้งน้ำตา “แล้วทีนี้จะทำยังไงเข้าไปสืบอะไรในบ้านก็ไม่ได้ โอ๊ย...ฉันอยากจะตาย ที่นี้ความรักของฉันกับพี่ธีร์จะสมหวังได้ยังไง ความฝันในการเป็นนักเขียนที่ยิ่งใหญ่ของฉันก็ต้องสลายไปน่ะสิ...ฮือๆ”
ตะวันฉายฟุบหน้าแล้วร้องไห้ต่อ
“เอางี้สิ เราลองหาแผนอื่นดู” นิคบอก
ตะวันฉายเงยหน้าขึ้นมาใหม่ “แกมีแผนอะไร”
นิคส่ายหน้า “ยังคิดไม่ออก”
ตะวันฉายฟุบหน้าแล้วร้องไห้ต่อ
เอวาพูดกับนิค “เฮ้อ...มันน่าจะมีสักทางที่ทำให้ซันมันได้เข้าบ้านนั้น”
เพื่อนทั้งสองมองตะวันฉายที่ฟุบหน้าร้องไห้อย่างปลงๆ ตะวันฉายเงยหน้ามาพอจับผมตัวเองเธอก็ร้องไห้ลั่นห้องอีกรอบ
เมฆพาหมอกที่นุ่งผ้าเช็ดตัวออกมาจากห้องน้ำแล้วเช็ดตัวให้ พอเหลือบไปดูนาฬิกาเห็นเวลาใกล้หกโมงเย็นเขาก็รีบไปเปิดประตูเรียกเก่ง
เมฆตะโกน “เก่ง....เก่ง มานี่หน่อย”
เมฆรีบกลับไปเช็ดผมเช็ดตัวให้หมอก แล้วเปิดตู้เสื้อผ้าเลือกชุดมาวางบนเตียง แล้วเขาก็ไปตะโกนที่ประตูอีก
เมฆเสียงดังขึ้น “ไอ้เก่งโว้ย”
เก่งรีบวิ่งขึ้นมา
“คุณเมฆมีอะไรครับ”
“ฉันอาบน้ำหมอกเสร็จแล้ว ช่วยแต่งตัวหน่อย ฉันจะไปอาบน้ำ”
“ไม่เอา หมอกจะให้พ่อแต่งตัวให้” หมอกงอแง
“ไม่ได้ครับ พ่อก็ต้องอาบน้ำ เดี๋ยวสายแล้วเขาไม่ให้พ่อเล่นดนตรีนะ” เมฆบอก
หมอกพยักหน้ารับ
“เอ่อ...คุณเมฆครับคือผมทอดไข่กับผัดผักให้คุณหมอกอยู่น่ะครับ กลัวมันไหม้” เก่งบอกเมฆกุมขมับ “งั้นก็รีบลงไปดูสิ เฮ้อ...ทำไมมันยุ่งแบบนี้”
เก่งรีบวิ่งกลับไป เมฆกำลังจะใส่เสื้อให้หมอกแต่โทรศัพท์ก็ดังขึ้น เมฆดูแล้วรีบกดรับไปพร้อมกับใส่เสื้อให้หมอกไปด้วย
“ครับพี่จอม”
ตะวันฉายในม่านเมฆ ตอนที่ 3 (ต่อ)
จอมสยามที่ยืนคุยโทรศัพท์เสียงเครียดอยู่หน้าห้องควบคุมเสียง
“เมฆ...ช่วยพี่อีกทีเถอะ ปรากฏว่าที่อัดไปเมื่อเช้ามันมีปัญหาว่ะ”
“ได้ครับพี่ จะให้ผมไปเมื่อไหร่ครับ” เมฆถาม
“นายเล่นดนตรีเสร็จแล้วค่อยมาก็ได้ แต่พี่ขอยาวเลยนะ เพราะคงต้องให้นายเล่นเพิ่มส่วนที่ไอ้หมีมันไม่ได้อัดให้พี่ด้วย”
“แล้วจะเสร็จเมื่อไหร่ครับพี่”
“นี่ละปัญหา เช้าพรุ่งนี้จะเสร็จหรือเปล่าก็ไม่รู้ นายมีปัญหาอะไรไหม”
“ไม่เป็นไรครับ ปัญหาเรื่องอื่นผมจัดการเอง”
“ขอบคุณมาก ขอบคุณจริงๆ”
เมฆกดวางสายแล้วถอนใจคิดหนัก แล้วเขาก็ต้องสะดุ้งเมื่อรู้สึกตัวว่าหมอกสะกิดเรียก พอหันไปดูก็ตกใจเพราะเขาเห็นเสื้อยังใส่คาอยู่ที่หัวหมอกและปิดหน้าปิดตาหมอกอยู่
“พ่อค๊าบ คุยเสร็จยังคับหมอกหายใจไม่ออก”
เมฆรีบใส่เสื้อให้หมอก
“หมอกครับ ถ้าพ่อไม่อยู่บ้าน หมอกอยู่กับพี่เก่งได้ไหมครับ” เมฆถาม
“ไม่เอา...พ่อไปไหนหมอกไปด้วย”
วันใหม่ ทธการในชุดตำรวจเดินถือช่อดอกไม้ยิ้มอย่างอารมณ์ดีเข้ามาในล๊อบบี้ก่อนจะเดินไปที่เคาน์เตอร์
“สวัสดีค่ะสารวัตร” พนักงานของคอนโดทัก
“ซันอยู่ไหมครับ” ยุทธการถาม
“น่าจะอยู่นะคะ เห็นกลับเข้ามาตั้งแต่สี่โมงเย็นแล้วค่ะ จะให้โทรขึ้นไปบอกดีไหมคะ”
“ขอบคุณครับ” ยุทธการยิ้มมองดอกไม้แล้วก็นึกได้ “เอ่อ....เดี๋ยวนะครับ ผมลืมของ รบกวนฝากไว้แป๊บนะครับ”
“ยินดีค่ะ”
ยุทธการส่งช่อดอกไม้ให้พนักงานแล้วรีบเดินออกไป
ยุทธการหาของในรถทั้งใต้เบาะและข้างที่นั่ง แล้วจึงเปิดลิ้นชักด้านหน้าแต่ก็ไม่พบ เขาย้ายไปดูเบาะหลัง และดึงพรมปูพื้นรถขึ้นดู ยุทธการหงุดหงิดที่หาไม่เจอ เขาย้ายไปหาด้านข้างคนขับอย่างรีบเร่ง
ตะวันฉายในชุดผู้ชาย นิคและเอวาเดินออกมาจากลิฟท์ นิคสะพายเป้เสื้อผ้าให้ตะวันฉาย พนักงานที่ยืนอยู่ที่เคาน์เตอร์มองเห็นพอดีจึงทัก
“คุณซันคะ สารวัตรยุทธการมาหาค่ะ”
ตะวันฉาย นิค และเอวาพูดพร้อมกัน “ห๊า...พี่ยุทธมา”
ทั้งสามรีบมองไปรอบๆด้วยความตื่นกลัว
พนักงานมองออกไปข้างนอก “นั่นไงคะ”
ทั้งสามมองไปก็เห็นยุทธการกำลังจะเดินเข้าตึก ทั้งสามรีบหันหน้าหนีทันที
เอวากระซิบกันสามคน “จะให้พี่ยุทธมาเห็นไอ้ซันแบบนี้ไม่ได้”
“งั้นก็เผ่นสิ” นิคบอก
ตะวันฉายเสนอ “ไปออกประตูที่ลงลานจอดรถก็แล้วกัน”
ทั้งสามหันหลังจะเดินไป
เสียงยุทธการดังขึ้นที่ด้านหลัง “นิคกับเอวาหรือเปล่า”
ทั้งสามหยุดชะงักเพราะทำอะไรไม่ถูก
“ไอ้ซัน แกไปก่อนเลยทางนี้พวกฉันรับมือเอง” นิคบอก
ตะวันฉายรีบเดินไป ส่วนนิคกับเอวาหันหน้ากลับมาเผชิญหน้ายุทธการที่เดินมาถึง ยุทธการมองตามตะวันฉายไปด้วยความรู้สึกสงสัย
“นั่นใครอ่ะ”
พนักงานจะบอก “อ๋อ..ก็คุณ...”
เอวารีบพูดสวนทันที “ไม่มีอะไรค่ะ เขามาถามทางไปซื้อส้มตำปากซอย สงสัยเพิ่งมาอยู่ใหม่”
ยุทธการยังมองตามไป นิคกับเอวารีบทำมือบอกพนักงานให้รูดซิปปาก พนักงานพยักหน้าเข้าใจ ยุทธการหันกลับมานิคกับเอวารีบทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เวลาผ่านไป ยุทธการนั่งถือช่อดอกไม้แล้วเอาการ์ดเหน็บไปที่โบว์ นิคกับเอวามองยุทธการแล้วรู้สึกเห็นใจ
ยุทธการยิ้มเศร้า “พี่ว่าจะมารับซันเขาไปทานข้าวด้วยกัน”
“น่าเสียดายจังเลยนะคะ เอวาก็เพิ่งโทรคุยกับซันเองถึงได้รู้ว่าจะกลับดึก กะว่าจะชวนเขาไปดูหนังเหมือนกัน เลยพลาดกันซะงั้น” เอวาบอก
“เขาไปทำอะไรที่ไหนรู้ไหม” ยุทธการถาม
นิคกับเอวาพร้อมใจกันส่ายหน้า ยุทธการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจะกดโทรออก เอวารีบสะกิดนิค
“พี่ยุทธจะโทรหาซันเหรอครับ ผมว่าไม่ต้องโทรหรอกครับ” นิคพูดดัก ยุทธการมองงงๆ “เอ่อ...คือเมื่อกี้คุยกันครั้งสุดท้ายมันบอกว่าจะปิดเครื่องครับ สงสัยมีธุระสำคัญ”
“พี่ผิดเองที่ไม่นัดซันเขาไว้ก่อน งั้นพี่กลับดีกว่า”
ยุทธการลุกขึ้นยืน นิคกับเอวาลุกขึ้นตาม ยุทธการยิ้มให้แล้วจะเดินไปแต่เอวาเรียกเอาไว้
“พี่ยุทธคะ แล้วดอกไม้นี่ล่ะคะ”
“พี่คงฝากไว้ที่เคาน์เตอร์” ยุทธการบอก
ยุทธการมองดอกไม้นิ่งๆ
ตะวันฉายนั่งอยู่ที่เบาะหลังในรถเอวา เธอมองช่อดอกไม้ในมือแล้วหยิบการ์ดมาอ่าน
“สำหรับซัน ผู้หญิงที่ทำให้โลกของพี่สว่างไสวอยู่เสมอ”
เอวากับนิคนั่งอยู่ข้างหน้า
“พี่ยุทธของแกนี่สุดยอดเลยว่ะซัน ขนาดแกไม่รักแต่เขาก็ยังดีกับแกเหมือนเดิม” นิคว่า
ตะวันฉายถอนใจ “แต่ใจฉันอยากให้พี่ยุทธหันไปมองคนอื่นมากกว่านะ เผื่อบางทีพี่ยุทธอาจจะเจอคนที่เขาสามารถรักพี่ยุทธได้”
“แล้วถ้าเกิดวันหนึ่งแกเอ่อ....สมมตินะ ถ้าเกิดแกอาจจะไม่สมหวังกับพี่ธีร์ล่ะ แกจะไม่หันกลับมามองพี่ยุทธเลยเหรอ” เอวาถาม
“ไม่ล่ะ สำหรับฉันพี่ยุทธเหมือนพี่ชายแท้ๆ ยังไงฉันก็ไม่รู้สึกกับเขาแบบคนรัก”
“งั้นแกคงต้องเป็นแม่สื่อหาใครสักคนให้พี่ยุทธแล้วว่ะ” นิคบอก
“นั่นสิ หรือว่าเราจะดันเอวาให้พี่ยุทธดีไหมวะนิค” ตะวันฉายเสนอ
เอวาเขิน “เฮ้ย...พูดอะไรบ้าๆ เกี่ยวอะไรกับฉันยะ”
นิคมองเอวาเขินอายแต่ก็ไม่พูดอะไร ตะวันฉายไม่ทันสังเกตจึงพูดต่อ
“ทำไมล่ะ พี่ยุทธของฉันดีออก ทั้งหล่อทั้งเท่ เก่งก็เก่ง อนาคตก็ยังอีกไกล แกน่ารับไว้พิจารณานะ นิคช่วยกันเชียร์หน่อยสิ”
นิคนั่งนิ่งเงียบจนตะวันฉายต้องตีแขนทำให้นิคสะดุ้ง
“นี่...ปลั๊กหลุดเหรอ อยู่ๆก็เครื่องดับไปเฉยๆ” ตะวันฉายถาม
“เอ่อ...ป...เปล่า ฉันก็คิดอะไรนิดหน่อย”
“หยุดคิดก่อนแล้วมาเชียร์ให้เอวามันชอบพี่ยุทธกัน”
“นี่ๆๆๆ ไม่ต้องเลย พวกแกสองคนน่ะเงียบไปเลย ฉันจะขับรถ” เอวารีบบอก
“โอเคได้...แต่ถ้าแกเปลี่ยนใจชอบพี่ยุทธเมื่อไหร่บอกฉันนะ” ตะวันฉายพูด
เอวาค้อนแล้วขับรถต่อ ตะวันฉายหัวเราะแล้วแกล้งหยิกแก้มเอวา นิคมองสองสาวแหย่กันแล้วยิ้มเจื่อนๆ แกล้งทำเป็นสนุกตามไปด้วย
ตะวันฉาย นิค และเอวานั่งมองหน้าเมฆที่นั่งอยู่กับหมอกในห้องพักนักดนตรีของผับ
เมฆพูดกับตะวันฉาย “ขอโทษนะที่ต้องเรียกมาอีกครั้ง”
“โอ๊ย...ไม่เป็นไรค่ะ ซันอยากมาอยู่แล้ว ตกลงเริ่มงานคืนนี้เลยใช่ไหมคะ” เอวาถามแทน
เมฆพยักหน้ารับ “พี่คงจ้างพิเศษแค่คืนนี้กับวันพรุ่งนี้อีกวัน”
“แค่นี้ก็เกินพอแล้วครับ” นิคบอก
เมฆมองนิคอย่างงงๆ ตะวันฉายกับเอวาแอบมองนิคแบบไม่พอใจที่เขาหลุดปากไป
“เอ่อ...คือผมหมายความว่า อย่างน้อยให้ไอ้ซันมันได้รายได้นิดๆหน่อยๆดีกว่าไม่ได้อะไรเลยน่ะครับ จริงไหมวะเพื่อน” นิคหันไปถาม
นิคตบไหล่ตะวันฉาย ตะวันฉายยิ้มรับ เมฆมองงงๆ
“เพื่อนเหรอ?”
เอวาตกใจทันที เธอรีบมองแล้วจะเตือนนิคแต่ก็ไม่ทันแล้ว
“ครับ ผมกับซันเป็นเพื่อนกัน” นิคย้ำ
“เอวาบอกว่าซันเคยเป็นเด็กรับใช้ที่บ้าน” เมฆบอก
นิคกับตะวันฉายหันขวับไปที่เอวา เอวายิ้มรับแหยๆ
นิคพูดกลบเกลื่อน “อ๋อ ใช่ครับ ก็ผมมันเด็กบ้านนอกจนๆ พอเห็นคนที่ลำบากต่อสู้ชีวิตเหมือนกัน ก็เลยรู้สึกเป็นเพื่อนน่ะครับ”
เมฆยิ้ม “ดีนะ ยังไงก็คนเหมือนกัน เป็นเพื่อนกันไว้แหล่ะดี” เมฆหันกลับไปที่ตะวันฉาย “เดี๋ยวอยู่เป็นเพื่อนหมอกตั้งแต่ตอนนี้เลยนะ จะได้คุ้นกัน”
ตะวันฉายเผลอตอบ “ค่ะ”
เมฆ นิค และเอวาหันขวับไปทางตะวันฉายทันที
“เมื่อกี้ว่าอะไรนะ” เมฆสงสัย
ตะวันฉายตีหน้าซื่อทำเป็นงง “ครับ ผมบอกว่าครับไงครับ”
เมฆหันไปหานิคกับเอวาเหมือนจะถามว่าใช่ไหม ทั้งสองยักไหล่พร้อมกันเหมือนกับบอกว่าตะวันฉายพูดถูก
“เราไปแสตนด์บายกันเถอะ ได้เวลาแล้ว” เอวาตัดบท
เมฆพยักหน้ารับก่อนจะมองหน้าตะวันฉายสักครู่แล้วคว้าสมุดโน้ตเดินตาม นิค เอวา เดินออกไป ตะวันฉายกับหมอกมองหน้ากัน หมอกแยกเขี้ยวขู่ตะวันฉาย ตะวันฉายกางกรงเล็บใส่ หมอกผงะ ตะวันฉายส่งยิ้มให้
เมฆอุ้มหมอกที่หลับอยู่มาเปิดประตูรถแล้ววางหมอกลงนอนที่เบาะหลัง ก่อนจะยืนรอ ตะวันฉาย นิค และเอวายืนคุยกันเบาๆ ที่ถของเอวาซึ่งจอดอยู่ห่างออกไปเพราะกลัวเมฆได้ยิน
“คราวหน้าถ้าจะบอกว่าฉันเป็นใครช่วยเตี๊ยมกันก่อนนะ” ตะวันฉายค้อนเอวา
“แหม...ก็ฉันนึกว่าพี่เมฆเขาไม่จ้างแกแล้วก็เลยไม่ได้บอกน่ะสิ” เอวาบอก
“เอาน่า ไอ้ที่ผ่านมาแล้วก็ช่างเถอะ ห่วงอนาคตดีกว่าแกอย่าสาวแตกให้พี่เมฆจับได้ล่ะ ถ้าหลุดหละได้ตายหมู่แน่” นิคเตือน
ตะวันฉายถอนใจ “ รู้แล้วน่า พวกแกไปเถอะไม่ต้องห่วงฉัน”
ตะวันฉาย นิค และเอวาโบกมือลากัน แล้วนิคกับเอวาก็ขึ้นรถขับออกไป ตะวันฉายเดินมาที่รถของเมฆแล้วจะขึ้นรถแต่เมฆเรียกไว้ก่อน
“กลางคืนนี่นายก็ต้องใส่แว่นด้วยเหรอ” เมฆถาม
“เอ่อ...ครับ ผมเป็นโรคตาแพ้แสงอย่างรุนแรง แสงไฟ แสงแดดอะไรนี่แพ้หมดครับ หมอเลยให้ใส่ไว้ตลอดครับ” ตะวันฉายตอบ
“แต่กระจกสีนี้มันไม่มืดไปสำหรับกลางคืนเหรอ”
“ไม่ครับ สีนี่เป็นสีที่เหมาะกับโรคของผมครับ”
“ฮึ...แปลกดี แพ้แสงตอนกลางคืนก็ได้ด้วย”
“ไปเถอะครับ คุณเมฆรีบไม่ใช่เหรอ”
ตะวันฉายรีบเปิดประตูรถแล้วขึ้นไปนั่ง เมฆขึ้นรถแล้วขับออกไป
เอวากับนิคขับรถออกมาด้วยความกังวลใจ
นิคถอนใจ “ไม่อยากจะคิดจริงๆ ถ้าพี่เมฆจับได้จะเกิดอะไรขึ้น”
“ไม่หรอกน่า ซันมันเอาอยู่” เอวาพูดแต่ก็แอบกังวล
“พูดแบบนี้แสดงว่าแกก็กลัวเหมือนกัน” นิครู้ทัน
เอวาหันมาค้อน นิคยิ้มกวนให้
“รู้ดีนะแก” เอวาว่า
“ถูกใช่ไหมล่ะ”
เอวาขำ “ถ้าฉันมีแฟนเมื่อไหร่ ฉันจะให้เขามาเรียนวิธีอ่านความคิดฉันกับแก”
“พูดแบบนี้ฉันชักอยากเห็นหน้าเพื่อนเขยในอนาคตซะแล้วว่าหน้าตาจะเป็นยังไง”
เอวายิ้ม “ถ้าวันหนึ่งฉันมี ฉันจะบอกแกคนแรกเลยดีไหม”
“เป็นเกียรติอย่างสูงขอร๊าบบ”
นิคหัวเราะแล้วก็จ๋อย ก่อนจะหันมองออกไปนอกหน้าต่าง
เมฆขับรถ ตะวันฉายนั่งนิ่งเงียบในรถ ส่วนหมอกนอนอยู่เบาะหลัง
“เมื่อกลางวันเห็นฤทธิ์ความดื้อนายหมอกแล้วคิดว่ารับมือไหวไหม” เมฆถาม
“ไหวครับ เอาเข้าจริงผมว่าคุณหมอกแกก็ไม่ได้เป็นเด็กดื้ออะไรมากมาย แต่อาจจะซนมากไปหน่อย” ตะวันฉายตอบ
เมฆชะงัก “นายเพิ่งเจอหมอกวันนี้เองไม่ใช่เหรอ พูดเหมือนเคยเจอหมอกมากกว่าหนึ่งครั้ง”
“เอ่อ...เปล่าครับ ผมก็แค่พูดตามที่เห็น”
เมฆพยักหน้ารับรู้แล้วขับรถต่อไป ตะวันฉายแอบเป่าปากโล่งอก
เมฆห่มผ้าให้หมอกที่นอนหลับบนเตียง ตะวันฉายกับเก่งยืนมองอยู่
“เก่ง นี่ซันนะจะมาเป็นพี่เลี้ยงหมอกชั่วคราว เจอกันแล้วนี่” เมฆแนะนำ
ตะวันฉายยกมือไหว้ “หวัดดีครับพี่เก่ง”
“หวัดดีน้อง” เก่งรับไหว้
เมฆพูดกับเก่ง “เดี๋ยวฉันจะออกไปทำงาน คงกลับมาไม่ทันส่งหมอกไปโรงเรียนยังไงก็ฝากด้วยนะ”
“ไม่ต้องห่วงครับคุณเมฆ” เก่งบอก
เมฆพูดกับตะวันฉาย “เดี๋ยวคืนนี้นายนอนห้องหมอก ตอนเช้าก็ตื่นสักหกโมงลงไปทำอาหารเช้า แล้วพอหกโมงครึ่งก็ปลุกหมอก ดูแลอาบน้ำแต่งตัวทานข้าวก่อนไปโรงเรียน ก็เป็นอันจบหน้าที่ แล้วพอฉันกลับมาเราก็ค่อยมาเคลียร์ค่าใช้จ่ายกัน”
ตะวันฉายรับคำ “ครับ”
เมฆเดินออกไป เก่งเดินตามไปแล้วปิดห้อง
ตะวันฉายเดินสำรวจรอบๆห้อง เธอเห็นทั้งห้องมีแต่รูปหมอกกับเมฆกับภาพวาดของหมอก แล้วเธอได้ยินเสียงสตาร์ทรถ ตะวันฉายรีบวิ่งไปดูที่หน้าต่าง เธอเห็นรถของเมฆแล่นออกไป
ตะวันฉายยิ้มพอใจ
“ไม่ต้องเคลียร์ค่าใช้จ่ายอะไรหรอกนายปากเป็ด ขอแค่ข้อมูลพี่ธีร์เป็นค่าแรงก็พอนะตะเอง อิอิ”
ตะวันฉายค่อยๆย่องออกมาจากห้องนอนหมอก เธอเห็นประตูห้องหลายห้อง ตะวันฉายเดินไปพยายามจะเปิดห้องนอนทั้งสามห้องทีละห้อง แต่ทั้งสามห้องก็ล็อคทั้งหมด พอถึงห้องที่สี่ตะวันฉายค่อยๆ จับลูกบิดแล้วก็เปิดได้
ตะวันฉายยิ้มด้วยความดีใจสุดๆ “เยส”
ตะวันฉายค่อยๆ แง้มประตูเดินเข้าไปในห้องที่มืดมาก ตะวันฉายเอาโทรศัพท์มือถือมาเลือกโหมดไฟฉายแล้วส่องเข้าไปในห้องทันที เธอเห็นด้านในเป็นพระพุทธรูปเก่าแก่เต็มไปหมด ตะวันฉายสะดุ้งตกใจ เธอรีบปิดประตูแล้วยืนใจระทึก ก่อนจะเปิดประตูอีกครั้งพร้อมกับยกมือไหว้จากหน้าห้อง
“หนูไม่ได้มาขโมยนะคะ หนูแค่มาหาข้อมูลค่ะ”
ตะวันฉายรีบปิดประตูแล้วเดินลงบันไดไปทันที
ตะวันฉายส่องไฟฉายจากมือถือเดินมาตามทางชั้นล่างแล้วส่องไปรอบๆ ทำให้เห็นห้องอาหาร กับห้องรับแขก
“แล้วจะหาข้อมูลจากไหนดีวะเนี่ย”
ตะวันฉายส่องไฟวนไปวนมาแล้วตัดสินใจเดินไปที่ห้องรับแขก เธอเดินไปดูที่ชั้นวางรูปโชว์ ตะวันฉายเห็นรูปของธีรภพก็หยิบมาดูด้วยความปลาบปลื้ม
ตะวันฉายดีใจ “พี่ธีร์”
ตะวันฉายวางกรอบรูป แล้วหยิบอันอื่นๆมาดูอีก เธอดูไปยิ้มไปอย่างมีความสุข
เสียงเก่งดังขึ้น “เฮ้ย..ใครน่ะ”
ทันใดนั้นไฟในห้องรับแขกก็สว่างพรึ่บ ตะวันฉายตกใจจึงทำกรอบรูปตกแตกพอหันไปก็เจอเก่งโผล่หัวออกมายืนพร้อมไม้กวาด พอเก่งเห็นตะวันฉายก็เดินออกมาจากที่ซ่อน
“อ้าว...ไอ้น้อง มาทำอะไรวะ พี่ก็นึกว่าขโมย”
“เอ่อ..ผ..ผะ..ผมลงมาเข้าห้องน้ำครับ ไม่กล้าใช้ของคุณหมอกกลัวแกตื่น”
เก่งมองที่พื้น “ตายละทีนี้ทำไงดีวะแตกหมดเลย ไปเอาไม้กวาดมาเดี๋ยวพี่ช่วยกวาด” เก่งเห็นตะวันฉายยืนนิ่ง “ไปเร็วสิ”
“ก็ไม้กวาดอยู่ในมือพี่” ตะวันฉายตอบ
เก่งส่งให้ “เอ้า...ก็ไม่บอก กวาดไปแล้วกันที่ตักผงอยู่ห้องใต้บันได เสร็จแล้วก็เอาไปทิ้งถังขยะหน้าบ้าน”
“อ้าว...แล้วพี่ทำอะไรครับ”
“พี่จะไปดูบอลแล้วเอาใจช่วยอยู่ห้องโน้นนะ”
พูดจบเก่งก็เดินไป ตะวันฉายมองตามแล้วส่ายหน้าด้วยความระอาใจ เธอหยิบกรอบรูปที่กระจกแตกขึ้นมาตั้งไว้แล้วมองรูปธีรภพ
“ถ้าซันได้เจอพี่ธีร์จะซื้อกรอบรูปสวยๆแล้วยื่นให้กับมือเลยนะคะ”
พูดจบตะวันฉายก็ยิ้มเขินแล้วเริ่มลงมือกวาด
เก่งนั่งดูบอลแล้วเชียร์อย่างเอาเป็นเอาตาย ตะวันฉายเดินเข้ามานั่งด้วย
“เสร็จแล้วเหรอ มาเลยมาดูด้วยกัน” เก่งหันไปพูดกับทีวี “เฮ้ย..ยิงเลย โห..ไม่น่าพลาด”
ตะวันฉายที่จำใจนั่งดูบอลด้วยสะกิดแขนเก่ง
“พี่เก่ง...พี่เก่ง ขอถามอะไรหน่อยสิพี่”
“อะไรล่ะ” เก่งตอบโดยที่ตายังดูทีวี
“รูปที่ผมทำแตกอ่ะรูปใคร”
“อ๋อ...พี่ชายคุณเมฆ” เก่งพูดกับทีวี “เฮ้ยๆๆ...อย่านะเว้ย สกัดสิ เออ...นั่นแหล่ะ”
“เหรอพี่ แล้วเขาอยู่ไหน”
“ไม่รู้” เก่งพูดกับทีวี “นั่นๆๆๆ ไปเลย ยิง” เก่งกระโดด “โอ๊ย..พลาดได้ไง”
เก่งนั่งลงตั้งใจดูบอลต่อ ตะวันฉายสะกิดอีก
“พี่เก่ง..ตกลงบ้านนี้อยู่กันสองคนเองเหรอ พี่ชายคุณเมฆอยู่ไหนครับพี่”
“โอ๊ย..รำคาญจริงโว้ย เดี๋ยวบอลจบค่อยคุยกัน”
ตะวันฉายจ๋อย เธอนั่งมองไปรอบๆ เพื่อดูให้ทั่ว แล้วตัดสินใจลุกขึ้นยืน
“จะไปไหน” เก่งถาม
“เอ่อ...ผมจะกลับขึ้นไปดูคุณหมอก”
“ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น คุณหมอกหลับไปแล้วไม่เป็นไรหรอกดูบอลได้”
“เอ่อ...งั้นผม...”
เก่งพูดสวนขึ้น “ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น ดูบอลเป็นเพื่อนกันนี่แหล่ะ พี่ดูคนเดียวมันไม่มัน”
“ถ้าบอลจบพี่ช่วยเล่าเรื่องพี่ชายคุณเมฆให้หน่อยนะ”
เก่งงง “จะรู้ไปทำไมวะ”
“ไม่มีอะไรหรอกพี่ ก็ผมแค่สงสัยว่าทำไมอยู่กันสองคนพ่อลูก ตกลงพอบอลจบพี่เล่าให้ผมฟังนะ”
เก่งหันกลับไปดูทีวี “เออ ได้ๆ มีไรค่อยคุยตอนบอลจบ”
ตะวันฉายนั่งแล้วเก็กแมนเชียร์บอลกับเก่งลั่นบ้าน
“เฮ้ย...พี่เก่ง ทีมพี่ยิงเข้าไปแล้ว เฮ้ๆๆๆๆๆ ไชโย”
เก่งตบหัวตะวันฉาย “ทีมกูโดนยิงเว้ย สาวกผีป่ะเนี่ย เดี๋ยวมีหมางหรอก”
ตะวันฉายยิ้มรับแหยๆ ก่อนจะยกมือไหว้ขอโทษ เก่งนั่งดูบอลต่ออย่างหัวเสีย
เมฆใส่หูฟังเล่นดนตรีอย่างตั้งใจอยู่ในห้องอัดเสียง จอมสยามกับซาวน์เอ็นจิเนียร์ยืนฟังพร้อมดูโน้ตไปด้วยอยู่ที่ห้องควบคุม เมฆเล่นจนจบเพลงแล้วมองไปที่ห้องควบคุมเห็นจอมสยามยืนนิ่งแล้วพยักหน้าเรียกให้เขาออกมาหา เมฆเดินเข้าไปหาที่ห้องควบคุม จอมสยามหยิบขวดน้ำมาเปิดแล้วส่งให้เมฆดื่ม
“เป็นไงบ้างครับพี่เมฆ”
“นายน่ะเล่นดีแล้ว แต่พี่กำลังคิดว่านักร้องของพี่มันยังใหม่ อาจจะให้นายเพิ่มลูกเล่นตรงท่อนแยกดีไหม”
“ไม่มีปัญหาครับ เดี๋ยวผมลองเล่นให้ฟังก่อนก็ได้”
“จะเสียเวลานายน่ะสิ จนป่านนี้เพิ่งได้เพลงเดียว”
เมฆยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอกพี่จอม เอาให้งานออกมาดีที่สุดดีกว่าครับ”
“พี่คิดไม่ผิดจริงที่ขอร้องนาย ขอบคุณมากนะ”
เมฆยิ้มให้จอมสยามก่อนจะวางขวดน้ำแล้วเดินกลับเข้าไปในห้องอัด จอมสยามไปที่กดที่ไมค์
“พร้อมนะ”
เมฆพยักหน้า จอมสยามพยักตอบ แล้วเมฆก็เริ่มเล่นดนตรีอีกครั้ง
เช้าตรู่ของอีกวัน ตะวันฉายตาปรือและเริ่มยกแขนเชียร์บอลไม่ขึ้น เธอนั่งสัปหงกจะหลับ
“พี่เก่ง บอลจบยัง” ตะวันฉายถาม
เก่งไม่ได้สนใจฟัง เขายังคงเชียร์บอลอย่างสุดใจขาดดิ้น ร้องเฮสนุกสนาน ตะวันฉายค่อยๆหลับฟุบลงไปกับโต๊ะจนแว่นตาตกลงใต้โต๊ะ
ท้องฟ้าภายนอกจากกลางคืนค่อยๆสว่างกลายเป็นตอนเช้าตรู่ ดนตรีรายการเรื่องเล่าเช้านี้ดังขึ้น ภาพบนจอทีวีเป็นสรยุทธ์ยกมือไหว้สวัสดี
ตะวันฉายกับเก่งนั่งหลับฟุบอยู่ที่โต๊ะหน้าทีวี สักพักเสียงปลุกจากโทรศัพท์ของตะวันฉายก็ดังลั่น ตะวันฉายสะดุ้งงัวเงียหยิบโทรศัพท์มาดูแล้วกดปิดเสียง เธอปาดน้ำลายแล้วมองไปรอบๆ ก็เห็นเก่งนอนกอดหมอนหลับสบายอยู่บนพื้น ตะวันฉายรีบเดินไปปลุก
“พี่เก่ง...พี่ตื่นเถอะหกโมงแล้ว”
“อีกแป๊บน่า”
“ไม่ได้ ตื่นก่อนพี่ มาคุยกันก่อนตกลงพี่ชายคุณเมฆอยู่ไหน”
“ไม่รู้เว้ย ตอนพี่มาแกก็ไม่อยู่แล้ว เอ็งจะไปไหนก็ไปไป๊ คนจะนอน”
เก่งนอนหันหน้าหนี
“เฮ้อ...นึกว่าจะรู้เยอะ ที่แท้ก็รู้พอๆกับเรา เสียเวลาคอยจริงๆ” ตะวันฉายเขย่าตัวเก่งอีกครั้ง “พี่เก่งตื่น...พี่ต้องไปส่งคุณหมอกนะ”
“ไปสายหน่อยก็ได้ ไปแต่เช้าคุณหมอกก็ไม่ฉลาดขึ้นหรอกวะ”
“งั้นถ้าคุณเมฆมาถามผมๆจะบอกว่าคุณหมอกไปสายเพราะพี่”
ตะวันฉายเดินออกไปจากห้องด้วยความโมโห เก่งงัวเงียลุกขึ้นบิดขี้เกียจ
เก่งลุกด้วยความหงุดหงิด “เออ...ลุกก็ได้วะ”
เก่งงัวเงียลุกขึ้นแล้วเก็บหมอนอิงที่เอามาหนุนนอน เขาจัดสถานที่แล้วเผลอเตะแว่นตาของตะวันฉายจนกระเด็นไปอยู่ใต้เก้าอี้นั่งเล่นโดยไม่ทันเห็นแล้วเขาก็เดินออกไปจากห้อง
ตะวันฉายเปิดตู้เย็นในครัวแล้วเอาของต่างๆออกมาวางก่อนจะหยุดคิดแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู
“ยังพอมีเวลา เดี๋ยวช่วงพี่เก่งไปส่งน้องหมอกค่อยหาก็คงทัน”
ตะวันฉายทำอาหารไปเรื่อยๆ
เวลาผ่านไป ตะวันฉายเอาอาหารมาวางใส่ถาดบนโต๊ะแล้วเอาที่ครอบจานวางครอบไว้
ตะวันฉายเดินถือแปรงสีฟัน โฟมล้างหน้ากับผ้าขนหนูเช็ดหน้าเดินออกมาจากห้องน้ำแล้วมาเก็บของใส่เป้ ก่อนจะดูเวลาที่โทรศัพท์ เธอเห็นตัวเลขแสดงเวลา 6:30 ตะวันฉายเดินไปดูหมอกที่นอนหลับสนิทแล้วปลุก
“คุณหมอก...คุณหมอกครับ ตื่นเถอะ คุณหมอก ทำไมขี้เซาอย่างนี้ละ คุณหมอก”
ตะวันฉายเขย่าตัวยังไงหมอกก็ยังคงนอนนิ่ง
เสียงรถเมฆแล่นเข้ามาในที่จอดรถของบ้าน
ตะวันฉายได้ยินแล้วสงสัยจึงรีบลุกขึ้นเดินไปดูที่หน้าต่างแล้วก็ต้องตกใจ
“เฮ้ย...ทำไมมาเร็วนักล่ะ”
ตะวันฉายเห็นรถเมฆแล่นเข้ามาจอด เธอเดินกลับไปนั่งเซ็งที่ข้างเตียงหมอกแล้วครุ่นคิดหนัก หมอกรีบลุกขึ้นมาด้วยความดีใจ
“พ่อมาแล้ว”
ตะวันฉายงง “อ้าว...เมื่อกี้หลับอยู่ไม่ใช่เหรอครับ”
หมอกกวน “ก็เมื่อกี้ไม่อยากตื่น”
“หืม...ร้ายนักนะคุณหมอก ไปอาบน้ำล้างหน้าเลยครับ เดี๋ยวได้ลงไปทานข้าวกับคุณพ่อ”
หมอกจ้องหน้าตะวันฉายด้วยความสงสัยจนตะวันฉายรู้สึก
“มีอะไรครับ”
“พี่ไม่ใส่แว่นแล้วเหรอ”
ตะวันฉายสะดุ้งตกใจ “ตายแล้ว แว่น แว่นอยู่ไหน” ตะวันฉายพยายามนึก “ใช่แล้วหน้าทีวี”
ตะวันฉายรีบวิ่งออกไปจากห้องทันที หมอกมองตามอย่างงงๆ แล้ววิ่งตามไป
ตะวันฉายในม่านเมฆ ตอนที่ 3 (ต่อ)
ตะวันฉายรีบวิ่งลงบันไดมาแต่ก็ต้องหยุดชะงักแอบไปเพราะเห็นเมฆยืนคุยกับเก่ง
“ไหนคุณเมฆบอกว่าจะกลับบ่ายๆเย็นๆไงล่ะครับ” เก่งสงสัย
“งานมันเสร็จเร็วน่ะ แล้วนี่หมอกตื่นหรือยัง”
“คงตื่นแล้วมั้งครับ ผมปลุกเจ้าซันมันตั้งแต่เช้าให้มาทำอาหารให้คุณเก่งแล้วก็ให้ขึ้นไปปลุกคนเก่งครับ” เก่งพูดหน้าตาเฉย
ตะวันฉายเบ้ปากส่ายหน้าด้วยความระอาที่เก่งเอาหน้ากับเมฆ
“เออดีๆๆ ขอบใจมากนะ เดี๋ยวฉันขึ้นไปดูข้างบนหน่อยสิ ทำไมมันเงียบผิดปกติ สงสัยนายหมอกจะแกล้งหลับอีกแน่ๆ” เมฆกังวล
เมฆเดินมา ตะวันฉายตกใจจนพึมพำออกมา
“ตายแล้วทำไงดี”
ตะวันฉายรีบหันกลับจะหนีแต่หมอกก็วิ่งลงมาแล้ววิ่งผ่านตะวันฉายไปหาเมฆ
“พ่อครับ พ่อกลับมาแล้ว”
เมฆอุ้มหมอกแล้วหอมแก้ม
“โห...เหม็นขี้ฟันจังเลย ทำไมยังไม่อาบน้ำแปรงฟันล่ะครับ แล้วนี่พี่ซันไปไหน”
หมอกชี้ไป “แอบอยู่ตรงบันไดครับ”
ตะวันฉายที่แอบอยู่ถึงกับตกใจตาโต เพราะไม่รู้จะทำยังไงดี
ตะวันฉายมองซ้ายมองขวา ก่อนจะหันหลังกลับไปมองทางขึ้นบันได
ตะวันฉายพึมพำ “เอาไงดีวะ”
เมฆที่ยืนอยู่กับหมอกและเก่งมองไปที่บันได
“ซัน...อยู่ตรงนั้นเหรอ” เมฆถาม
ตะวันฉายโผล่หัวไปแอบดูนิดนึงก็เห็นเมฆเดินมา ตะวันฉายตัดสินใจก้าวเดินออกไปอย่างเร็วแล้วเดินเลี่ยงไปทางห้องนั่งเล่นทันที เมฆเห็นตะวันฉายจากทางด้านหลังกำลังเดินไปด้วยความรวดเร็วก็งง
“ซัน ฉันอยู่ทางนี้”
ตะวันฉายเดินเร็วจนกลายเป็นวิ่งไปทางห้องนั่งเล่น เมฆที่อุ้มหมอกอยู่มองหน้าเก่งด้วยความงง
“เขาเป็นอะไร” เมฆถามเก่ง
“สงสัยหูตึงมั้งครับ มิน่าเมื่อคืนผมกับมันคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง มันคุยเรื่องหนึ่งผมคุยเรื่องหนึ่งไปคนละทางเลย”
เมฆขมวดคิ้วด้วยความสงสัยแล้วรีบวิ่งตามไป เก่งวิ่งตามไปด้วย
ตะวันฉายรีบวิ่งหน้าตื่นเข้ามาในห้องนั่งเล่นแล้วตรงไปที่โต๊ะหน้าโซฟาที่เธอฟุบหลับเมื่อคืน เธอมองหาจนทั่ว
“ตายแล้ว...หายไปไหนอ่ะ”
ตะวันฉายเดินวนหารอบๆด้วยความร้อนรน
เมฆอุ้มหมอกเดินตามเข้ามา โดยมีเก่งวิ่งตามมาด้วย แต่ทุกคนก็ยังเห็นตะวันฉายจากด้านหลังอยู่
“ซัน เดินหนีมาทำไม” เมฆถาม
เมฆวางหมอกลงแล้วจะเดินไปหาตะวันฉาย ตะวันฉายเหลือบไปเห็นก็รีบทรุดตัวลงกับพื้นแล้วก้มหน้าทำเป็นหาแว่น
“เอ่อ...ผม...ผมมาหาแว่นครับ สงสัยจะตกที่นี่”
“แค่นี้ก็บอกกันก็ได้ ไม่เห็นต้องวิ่งหนีเลย งั้นฉันช่วย” เมฆหันไปพูดกับเก่ง “เก่ง มาช่วยกันหน่อย”
ตะวันฉายหันหน้าไปทางอื่นแต่ก็ยกมือห้าม “ไม่ต้องครับ ผมหาเองได้”
“ช่วยกันหาสิจะได้เร็ว ไม่ต้องเกรงใจหรอก” เมฆบอก
เมฆ เก่ง และหมอกช่วยกันแยกย้ายค้นหา เมฆคลานมาใกล้ๆ ตะวันฉาย ตะวันฉายจึงต้องหันหน้าหนี เมฆก้มหัวลงไปมองใต้เบาะนั่งเล่นแล้วก็เห็นแว่นตกอยู่ข้างใต้
“เจอแล้ว อยู่นี่เอง”
ตะวันฉายถึงกับเหวอ เมฆกำลังก้มลงไปแล้วเอื้อมจะหยิบแว่น ตะวันฉายรีบคลานไปอีกด้านแล้วเลื่อนเบาะทันทีทำให้เบาะกระแทกเมฆที่อยู่อีกด้านจนเขาล้มหงายท้อง
“โอ๊ย”
ตะวันฉายรีบคว้าแว่นมาใส่แล้วมองไปที่เมฆ เก่งกับหมอกรีบวิ่งมาดู
ตะวันฉายทำเป็นตกใจ “คุณเมฆ...ผมขอโทษครับ”
เมฆนอนหงายผึ่งไปกับพื้น ตะวันฉาย เก่ง และหมอกนั่งล้อม ตะวันฉายรีบยกมือไหว้ขอโทษ
เมฆ ตะวันฉาย หมอก และเก่งยืนอยู่หน้าบ้าน หมอกสะบัดมือจากเก่งที่จูงอยู่แล้วมาเกาะแขนเมฆที่ยืนคอเอียงเพราะเส้นพลิก
“ให้หมอกอยู่บ้านดูแลพ่อนะครับ หมอกจะไม่ดื้อไม่ซน” หมอกอ้อนวอน
“ไว้หมอกกลับจากโรงเรียนค่อยมาดูพ่อก็ได้” เมฆบอก
รถแท็กซี่แล่นมาจอด
“คุณหมอกครับ รถมาแล้วไปกันเถอะครับ”
พูดจบเก่งก็เข้าไปดึงมือหมอกแต่กลับถูกหมอกชกใส่
“ไม่ไป หมอกไม่ไป หมอกจะอยู่กับพ่อ”
หมอกพยายามดึงแขนเมฆแล้วจะกระโดดกอดแต่เมฆเจ็บคอ
“หมอกครับพ่อเจ็บ” เมฆบอก หมอกหยุดทันที “เย็นนี้เรากลับมาเจอกันนะครับ”
หมอกหน้างอแต่ก็ยอมให้เก่งจูงขึ้นรถแท็กซี่ไป เมฆหันมาจ้องตะวันฉายทันที
“เดี๋ยวเรามาคุยกัน”
พูดจบเมฆก็เดินคอเอียงเข้าบ้านไป ตะวันฉายมองตามด้วยความหนักใจ
“ตาบ้า จะรีบกลับมาทำไมก็ไม่รู้ ยังสืบอะไรไม่ได้สักอย่าง”
เมฆนั่งคอเอียงทายาที่คอหลังและไหล่อยู่ในบ้าน ตะวันฉายเดินเข้ามา เมฆหยุดทายาแล้วส่งหลอดยาให้ตะวันฉาย
ตะวันฉายรับมาอย่างงงๆ “อะไรครับ”
“ทายาให้หน่อย นายทำฉันเจ็บแล้วก็ช่วยทำให้หายเจ็บด้วยสิ”
ตะวันฉายบีบยาแล้วทาช้าๆที่คอลงมาที่ไหล่ตามที่เมฆชี้
“มือนายนี่มันนิ่มเหมือนผู้หญิงเลยนะ”
ตะวันฉายชะงักไป “พ่อกับแม่ชอบให้ผมเอาโลชั่นนวดเท้าให้หลังจากทำนาเสร็จน่ะครับ มันเลยทำให้มือผมนิ่ม”
“อ๋อ..”
“นี่ผมก็เพิ่งนวดเท้าตัวเองเมื่อเช้านี้ครับ” ตะวันฉายบอก
เมฆรีบหลบทันที “ไม่เป็นไรแล้ว ขอบใจนะ” เมฆหยิบซองให้ “ค่าแรงเมื่อคืนนี้ ฉันให้ของวันนี้ตามที่บอกไว้ด้วย แต่ถ้านายอยากจะกลับก่อนก็ได้นะ”
“ผมอยู่ต่อถึงเย็นตามที่ตกลงกันไว้ก็ได้นะครับ ไม่อยากเอาเปรียบคุณเมฆ”
เมฆนิ่งมองตะวันฉาย “นายนี่ก็แฟร์ดีนะ ที่จริงงานของฉันก็ยังไม่เสร็จ แต่ทุกคนเหนื่อยกันมากก็เลยต้องพัก ฉันก็ว่าจะถามนายเรื่องนี้เหมือนกัน”
ตะวันฉายดีใจ “จะให้ผมอยู่ต่อเหรอครับ”
“ก็จนกว่าฉันจะได้คนจากศูนย์ได้ไหม”
“ดีเลยครับ”
เมฆงง “ดี...ดีอะไร”
“เอ่อ...ก็ดีที่ผมจะได้ทำงานต่อไงครับ งั้นผมขอกลับไปเอาเสื้อผ้าเพิ่มที่บ้านคุณเอวานะครับ เพราะเอามาแค่ชุดเดียว”
“ตามใจสิ” เมฆบอก ตะวันฉายจะเดินไปแต่เมฆเรียกไว้ “เอ้อ...เดี๋ยวสิ แล้วใครทำรูปแตก”
ตะวันฉายนิ่งไม่ยอมตอบ
นิคกับเอวาที่นั่งฟังตะวันฉายอย่างตื่นเต้นที่คอนโดของตะวันฉาย
“แล้วแกบอกพี่เมฆว่าไงอ่ะ” เอวาถาม
ตะวันฉายกำลังเก็บพวกเครื่องสำอางค์มากมายใส่ลงกระเป๋าเครื่องสำอางค์หน้ากระจก
“ฉันก็บอกไปกลางๆว่าฉันชนเพราะมองไม่เห็น เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ”
“จะว่าอะไรล่ะ ก็ทำเขาคอหักแบบนั้น เขาก็คงคิดว่าแกมันซุ่มซ่าม” นิคว่า
ตะวันฉายเอากระเป๋าเครื่องสำอางใส่กระเป๋าใหญ่ แล้วเอาเสื้อผ้าที่จัดแล้วทยอยใส่กระเป๋า
“แกนี่ก็จริงๆนะเข้าไปคืนเดียวทำเรื่องตื่นเต้นสองเรื่องเลย”
“แต่ไอ้เรื่องแว่นนี่ฉันลืมจริงๆ ก็ร้อยวันพันปีไม่เคยใส่ มันก็ไม่ชินน่ะสิ” ตะวันฉายบอก
“ฉันว่าแกไปซื้อสายคล้องแว่นแบบคนแก่จะได้ใส่ติดตัวตลอด” นิคเสนอ
“บ้าเหรอ ให้ฉันเป็นผู้ชายนี่ก็แย่แล้วนะ ยังจะให้เป็นลุงแก่ๆอีกเหรอ”
ตะวันฉายค้อนนิค นิคกับเอวาขำเพื่อน
“แล้วตกลงนี่แกจะไปอยู่กับพี่เมฆเขากี่วัน” เอวาถาม
“คงแค่สองสามวันมั้ง เดี๋ยวศูนย์ก็คงส่งคนมา แต่ใจฉันน่ะขอแค่คืนนี้อีกคืนก็พอ รับรองต้องได้เบาะแสชัวร์”
พูดจบตะวันฉายก็ปิดกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ นิคกับเอวามองแล้วอึ้ง
“แกไปอยู่ไม่นานจะเอาไปหมดนี่เหรอ” เอวาถาม
“แกรู้ไหมฉันเพิ่งค้นพบสัจธรรมเมื่อคืนนี้เองว่า การขาดครีมนี่มันแย่กว่าขาดข้าวกินอีกนะ” ตะวันฉายบอก
นิคกับเอวาลุกขึ้นแล้วผลักตะวันฉายออกพร้อมกับเปิดกระเป๋าเดินทางออก
“นี่พวกแกจะทำอะไรอีก” ตะวันฉายงง
นิคกับเอวาลงมือยกของออกจากกระเป๋า
ตะวันฉายร้องลั่น “Oh….No!”
เป้ของตะวันฉายที่ใบใหญ่ขึ้นถูกโยนใส่ท้ายรถของเอวา ตะวันฉายยืนหน้างอ เอวาปิดท้ายรถ ส่วนนิคมองแล้วขำ
“พวกแกจะบ้าเหรอ ไม่มีครีมฉันอยู่ยังไง แล้วไหนจะชุดนอน เสื้อคลุมอาบน้ำ รองเท้าเดินในบ้านอีก อยากเห็นฉันเป็นโรคมือเท้าแตกหรือไง” ตะวันฉายบ่น
เอวาเอามือปิดปากตะวันฉาย “ให้มันแตกสิดี พี่เมฆเขาจะได้ไม่ว่ามือแกเหมือนผู้หญิง จำไว้นะซันมือเท้าแกแตกก็ยังดีกว่าความลับของแกแตก”
“ถูกของเอวามันนะ ไอ้เรื่องบำรุงน่ะแกบำรุงเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ถ้าโดนจับได้มันไม่คุ้มนะเว้ย ดีไม่ดีพี่เมฆเขาจะพาลโกรธฉันกับเอวาไปด้วย” นิคเสริม
“จริงของพวกแก ขอโทษนะที่ฉันลืมนึกถึงข้อนี้ไป โอเค ไม่สวยสักสองสามวันก็ได้”
เอวายิ้ม “ไม่สวยแต่ก็หล่ออยู่นะ”
ตะวันฉายเขิน “บ้าเหรอแก คงเพราะพื้นผิวฉันมันดีน่ะ”
นิคกับเอวาส่ายหน้าระอาใจเพื่อนแล้วทั้งหมดก็ขึ้นรถขับออกไป
เมฆกับตะวันฉายยืนคุยกันอยู่ที่หน้าบ้านเมฆ โดยที่ตะวันฉายแบกเป้ไว้ด้วย
“ฉันจะพานายทัวร์ให้ทั่วบ้านจะได้พอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร จะเอาเป้ไปเก็บก่อนไหม จะได้ไม่หนัก”
ตะวันฉายดีใจ “ไม่เป็นไรครับ ทัวร์เลยผมอยากดู”
เมฆมองงงๆ ตะวันฉายรีบพูดกลบเกลื่อน
“เสร็จแล้วจะได้เริ่มงานเลย ผมไม่อยากเสียเวลา”
“ดี...รับผิดชอบดี”
เมฆพาตะวันฉายเดินเข้าบ้านไป
เมฆกับตะวันฉายยืนอยู่กลางโถง
เมฆชี้ไป “ห้องโน้นเป็นห้องพระ ข้างๆก็ห้องนอนฉัน ส่วนอีกสองห้องไม่มีคนอยู่”
“ชั้นบนนี่มีแค่คุณเมฆกับคุณหมอกสองคนเองเหรอครับ”
“ใช่” เมฆตอบ
“มีห้องตั้งเยอะทำไมอยู่กันสองคนละครับ”
“ก็มันมีสองคนก็อยู่กันสองคนน่ะสิ”
“แล้วแม่คุณหมอกล่ะครับ”
เมฆจ้องหน้าตะวันฉายจนตะวันฉายต้องหลบตา แล้วเมฆก็เดินลงไป ตะวันฉายค่อยๆ เดินตามไป
เมฆกับตะวันฉายเดินลงมาที่ชั้นล่าง เมฆอธิบายหน้าที่ของตะวันฉายไปเรื่อยๆ ส่วนตะวันฉายก็ยังคงมองหาร่องรอยของธีรภพไปเรื่อยๆ เช่นกัน
“อาหารของนายหมอกนี่ ฉันขอที่มีประโยชน์และครบห้าหมู่ทุกมื้อ พวกน้ำอัดลมขนมหวานอย่าให้ทานเยอะแล้วกัน” เมฆกำชับ
“ครับ” ตะวันฉายรับคำ
“แล้วนายก็ต้องซักเสื้อผ้าหมอก เครื่องซักผ้าอยู่หลังบ้าน”
เมฆเดินนำไป แต่เอะใจที่ตะวันฉายเงียบเลยหันไปดู เขาเห็นตะวันฉายไปยืนส่องดูตู้กับชั้นวางของ และชั้นวางหนังสือ ตะวันฉายเห็นรูปที่ตั้งโชว์บนตู้มีรูปเมฆกับหมอก แต่มองไปเรื่อยๆก็เห็นรูปเมฆวัยเด็กกับธีรภพ ตะวันฉายชะงักมองรูป เมฆมองตะวันฉายด้วยความสงสัย
เมฆกระแอมออกมา
“ผมเห็นรูปเก่าๆของคุณเมฆเหมือนจะมีพี่ชายหรือน้องชายอีกคนนี่ครับ” ตะวันฉายบอก
เมฆพูดจริงจัง “มันเกี่ยวกับงานของนายไหม”
ตะวันฉายอึกอัก “ขอโทษครับ”
“ฉันไม่ชอบคนสอดรู้สอดเห็นนะ”
เมฆพูดแล้วก็เดินไป ตะวันฉายเจ็บใจ
ตะวันฉายพึมพำ “ถามหน่อยก็ไม่ได้”
ประตูห้องพักเปิดออก เมฆให้ตะวันฉายถือกระเป๋าเดินเข้ามาด้านใน ตะวันฉายมองดูรอบๆห้องแล้วทำหน้าเบ้ๆ เพราะไม่ค่อยชอบ
“จริงๆห้องนี้เป็นห้องเก็บของที่จริงข้างบนนี้ชั้นก็ไม่ให้ใครขึ้นมานอน ถ้ากล่อมนายหมอกเสร็จแล้วอยากนอนห้องหมอกก็ได้นะ ฉันให้นายนอนห้องนี้ได้เลยนะ จะได้ใกล้หมอกดูแลได้สะดวก จะได้ไม่ต้องไปฟุบที่โซฟาข้างล่างอีก”
ตะวันฉายแอบค้อน “ครับ”
“ฉันเองก็ไปนอนกับนายหมอกบ่อยๆ ผู้ชายสามคนนอนด้วยกันคงไม่อึดอัดเท่าไหร่”
ตะวันฉายเผลอร้องเสียงสูงเป็นผู้หญิง “ห๊า” เมฆหันขวับมามอง ตะวันฉายรีบทำเสียงต่ำ “หา...คุณจะมานอนด้วยเหรอครับ”
“ทำไม ชีวิตนี้ไม่เคยนอนกับเพื่อนผู้ชายหรือไง”
“เอ่อ..ก็...ก็เคยครับ”
“งั้นจะมีปัญหาอะไร”
“ไม่มีครับ ไม่มีปัญหาอะไรเลยครับ”
“เดี๋ยวคืนนี้ก็คงเหมือนเดิม พอเล่นดนตรีเสร็จแล้ว ฉันก็จะไปอัดเพลงต่อ ฝากนายหมอกด้วยแล้วกัน”
“ครับ”
เมฆพยักหน้ารับรู้แล้วปิดประตูเดินออกไป ตะวันฉายมองตามแล้วทำท่าขยะแขยง
“แหว่ะ ฝันเถอะว่าฉันจะนอนด้วย เดี๋ยวคืนนี้ฉันเจอข้อมูลพี่ธีร์แม้แต่นิดเดียว ฉันก็ไปแล้วย่ะ”
ตะวันฉายเริ่มเดินสำรวจตรวจตู้ แล้วเอาเสื้อผ้าออกมาแขวน ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดปิดสัญญาณแล้วยัดใส่เป้ไว้
ยุทธการนั่งโทรศัพท์อยู่ที่โต๊ะทำงานแต่ได้ยินสัญญาณว่าไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้
“ทำไมปิดเครื่อง หรือจะกลับรีสอร์ทไปแล้ว”
ยุทธการกดต่อโทรศัพท์อีก
เสียงพนักงานดังขึ้นที่ปลายสาย “สวัสดีค่ะ Sunrise Beach resort, How may I help you?”
“ผมขอต่อคุณตะวันฉายครับ”
“คุณตะวันฉายไม่อยู่ค่ะ ลาพักร้อนค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะส่งสายให้ผู้ช่วยผู้จัดการนะคะ”
“เอ่อ...ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวผมติดต่อเขาเอง ขอบคุณครับ”
ยุทธการวางสายด้วยสีหน้าสงสัยแล้วรีบลุกเดินออกไป
ณ โรงเรียนสอนดนตรีของเอวา นิคกำลังสอนนักเรียนคนหนึ่งอยู่ในห้อง ขณะที่เอวาก็สอนนักเรียนอีกคนเสร็จพอดี แล้วนักเรียนทั้งสองก็เก็บเครื่องมือแล้วไหว้ลานิคกับเอวา นิคกับเอวาเก็บโน้ตเคลียร์ห้อง แล้วออกมาเจอกัน พนักงานเดินเข้ามาหาเอวา
“พี่เอวาคะ ตกลงคอร์สวอซย์วันเสาร์เช้าครูอ้วนแกขอย้ายมาบ่ายได้ไหมคะ แกบอกตื่นไม่ทัน”
“งั้นลองถามเด็กดูว่าย้ายได้ไหม ถ้าเด็กไม่ย้าย ก็ลองติดต่อครูจุ้ยแล้วกัน” เอวาบอก
พนักงานรับคำแล้วเดินไป
“โอ๊ย...หิวจังเลย ไปทานข้าวกันเถอะ” นิคชวน
“จะไม่รับค่าสอนหรือไง” เอวาถาม
“ฉันให้แกติดไว้ก่อนก็ได้ เดี๋ยวมาเบิกอาทิตย์หน้า”
“ถ้าฝ่ายบัญชีลืมฉันไม่รู้ด้วยนะ”
นิคยิ้มกวนแล้วทั้งคู่จะเดินออกจากโรงเรียนก็เห็นยุทธการเดินเข้ามา เอวากับนิคเห็นก็งง
“ขอโทษที่มารบกวนนะ พอดีพี่พยายามโทรหานิคกับเอวาแต่ไม่มีใครรับสายเลยคิดว่าต้องสอนอยู่”
นิคกับเอวาหยิบโทรศัพท์มาดู
“จริงด้วย ขอโทษทีนะคะ แล้วพี่ยุทธมีธุระอะไรคะ” เอวาถาม
ยุทธการนั่งมองหน้านิคกับเอวาที่พยายามกลบเกลื่อนอาการอยู่ในร้านอาหาร
“ตกลงนิคกับเอวาไม่รู้เหรอว่าซันเขาไปไหน” ยุทธการถามย้ำ
“อาจจะนอนยังไม่ตื่นหรือเปล่าครับ” นิคบอก
“นี่มันจะห้าโมงเย็นแล้วนะ”
“หรือว่าซันมันลืมชาร์จแบตโทรศัพท์คะ” เอวาพูด
“ก็เป็นไปได้นะ งั้นเสร็จจากที่นี่พี่ไปดูที่คอนโดเขาดีกว่า”
นิคกับเอวามองหน้ากันเลิ่กลั่กเพราะทำอะไรไม่ถูก
“ไม่ต้องไปหรอกครับ” นิคบอก
ยุทธการงง “ทำไมล่ะ”
“คือซันมันบอกเอวาไว้ว่า คืนนี้จะโทรมาเม้าท์กัน แสดงว่ากลางวันอาจจะไม่อยากให้กวน” เอวาปั้นเรื่อง
ยุทธการได้ยินก็ถอนใจ เอวาเห็นแล้วก็สงสาร
“เอางี้ไหมคะ ถ้าเอวาติดต่อซันได้จะรีบให้เขาโทรหาพี่ยุทธทันทีเลย”
ยุทธการยิ้ม “ขอบคุณมาก ยังไงพี่ฝากเราสองคนด้วยนะ พี่เป็นห่วงเขาจริงๆ”
“ได้ค่ะ เอวาเข้าใจความรู้สึกพี่ยุทธ”
ยุทธการยิ้มอย่างมีความหวัง แต่เอวามองยุทธการแล้วยิ้มแห้งๆ
ตะวันฉายกำลังเตรียมวัตถุดิบทำอาหารอยู่ในครัว สักพักเก่งก็เดินวางมาดเข้ามา
“เฮ้ย...ไอ้ซัน ตกลงมาอยู่ด้วยกันใช่ไหม”
“อ้าวพี่เก่ง ไปรับคุณหมอกมาแล้วเหรอครับ”
“มาแล้ว เมื่อเช้ากว่าจะไปโรงเรียนได้แทบแย่ แต่ขากลับนี่กระโดดขึ้นรถก่อนพี่อีก”
“พี่เก่ง ผมเพิ่งมาอยู่ใหม่ ถ้าพี่มีอะไรแนะนำก็บอกผมได้เลยนะ”
“ดี อ่อนน้อมถ่อมตนไว้ เป็นรุ่นน้องก็ต้องเคารพรุ่นพี่ พี่อยู่มานานจนคุณเมฆน่ะเกรงใจพี่แล้ว”
“จริงเหรอพี่ งั้นเรามาคุยต่อเรื่องเมื่อคืน”
“บอกไว้ก่อนนะ นินทาเจ้านายนี่พี่ไม่ชอบ มันไม่แมน” เก่งรีบออกตัว“ถ้าถามเรื่องพี่ชายคุณเมฆนี่ถือว่านินทาหรือป่ะพี่”
เก่งมองซ้ายมองขวาแล้วดึงตะวันฉายให้ก้มลงมาหาตัวเขาก่อนจะกระซิบ
“ไม่นินทาหรอก เรียกว่าทำความรู้จักกับประวัติเจ้านาย”
“งั้นพี่ชายคุณเมฆเขาไปไหนล่ะ”
เก่งกระซิบ “ไม่รู้ว่ะ พี่เพิ่งมาอยู่ได้สองปีเอง ไอ้ที่รู้ก็เห็นจากรูปนี่แหละ”
“โธ่ นึกว่าจะรู้เยอะ แล้วแม่คุณหมอกล่ะ”
เก่งกระซิบ “ไม่รู้อีกเหมือนกัน ตอนพี่มาก็อยู่กันสองคนพ่อลูกนี่แหล่ะ”
“โธ่ พี่..ไม่ต้องกระซิบแล้ว ตกลงคือพี่อยู่มาสองปี รู้เท่าๆกับผมที่มาสองชั่วโมง”
“พูดแบบนี้ถ้าเป็นคนอื่นนี่พี่ก้านคอคลับไปแล้วนะ แต่ครั้งแรกพี่ยกโทษให้แล้วกัน เดี๋ยวเสร็จแล้วก็ไปดูแลคุณหมอกด้วยล่ะ ฮึ่ย!!”
เก่งเดินอย่างหัวเสียออกไป ตะวันฉายเซ็งที่สืบอะไรจากเก่งไม่ได้
หมอกนั่งมองอาหารอยู่ที่โต๊ะในห้องอาหาร ตะวันฉายมองลุ้นๆ
“เป็นไงครับ น่ากินไหม”
หมอกส่ายหน้า
“ลองดูหน่อยสิครับ”
หมอกยังนั่งนิ่งไม่ยอมกิน
“ไม่เอาไม่หิว ถ้าจะให้กินพี่ซันมาเล่นกับหมอกก่อน”
“ไม่ได้ครับ นี่มันเวลาอาหารเล่นไม่ได้”
“แต่หมอกจะเล่น”
หมอกลงจากโต๊ะแล้วจะวิ่ง แต่ตะวันฉายรีบมาขวางไว้
“ถ้าคุณหมอกทานข้าวหมด พี่ซันจะไปเล่นด้วยเอาป่าว”
“คิดจะหลอกเด็กเหรอ ฝันไปเถอะ ไม่เชื่อหรอก”
หมอกจะวิ่งหนี ตะวันฉายจับตัวไว้ หมอกดิ้นแล้วทั้งสองก็ต่อสู้กันจนล้มลุกคลุกคลาน
“ปล่อยนะไอ้ผู้เฒ่าเต่า” หมอกตะโกน
“โห...จะไม่ปล่อยก็เพราะมาว่าแก่นี่แหล่ะ”
หมอกกับตะวันฉายต่อสู้กันต่อ หมอกดิ้นหลุดแล้วถอยมาตั้งหลักก่อนจะโถมกระโดดเข้าล็อคตะวันฉาย ทันใดนั้นหมอกก็หยุดนิ่งแล้วถอยออกมา
“พี่ซันน่าอกนิ่มจัง” หมอกพูด
ตะวันฉายรีบมองรอบห้องด้วยความกลัว “หน้าอกที่ไหน เมื่อกี้พี่ซันเอาแขนบัง นี่ๆๆโดนต้นแขน”
หมอกหัวเราะ “ก๊าก โดนเด็กหลอก แพ้แล้ว”
“หืมมมม...ร้ายนักนะ แบบนี้ต้องจี๋ให้เข็ด”
ตะวันฉายดึงหมอกมาจี้เอวแต่หมอกก็สู้ไม่ถอย
เมฆที่แต่งตัวเสร็จแล้วเดินลงมาหยุดดูตะวันฉายกับหมอกที่กำลังต่อสู้กัน
“จะไหวไหมเนี่ย”
เอวานั่งกดโทรศัพท์หาซันแต่ไม่ติด เธอจึงวางแล้วเหม่อคิด นิคที่ตั้งสายกีตาร์อยู่แกล้งลุกไปรัวเสียงใส่ข้างหูจนเอวาสะดุ้ง
เอวารำคาญ “เล่นอะไรวะ ถ้าหูฉันตึงได้ยินเพี้ยนแกจะรับผิดชอบไหม”
“ฉันลูกผู้ชาย กล้าทำกล้ารับ” นิคยักคิ้วกวนๆ
“ไอ้บ้า นี่แกยังมีอารมณ์เล่นเหรอ”
“เอ้า...แล้วแกน่ะเครียดเรื่องอะไร”
“ก็ไอ้ซันนะสิ ถ้ามันเล่นปิดมือถือแบบนี้ แล้วเราจะช่วยพี่ยุทธยังไงวะ”
“อีกแล้ว ขึ้นที่ไอ้ซันไปลงที่พี่ยุทธ ถามจริงๆเถอะแกคิดไม่ซื่อกับพี่ยุทธหรือป่ะเนี่ย” นิคจ้องตาเอวา
“บ้าเหรอ...ฉันไม่ได้คิดอะไรเว้ย แล้วแกห้ามคิดอะไรแบบนี้นะ ไม่งั้นฉันไม่พูดกับแกจริงๆด้วย”
“โห...แซวนิดเดียวทำไมต้องโกรธขนาดนี้วะ”
เอวายังฉุนเลยไม่ตอบแต่หันหน้าหนี นิครีบยิ้มเอาใจ
“เอาน่า เรื่องนี้ฉันจัดการเอง แค่รอให้พี่เมฆมาก่อน” นิคบอก
“แกจะทำไง”
ทันใดนั้นเมฆก็เดินคอเอียงเข้ามาพอดี นิคเห็นก่อนก็รีบทัก
“พี่เมฆมาพอดีเลยครับ”
เมฆงง “มีอะไรเหรอ”
“คือโทรศัพท์ผมตังค์หมดเดี๋ยวผมไปเติมเงินแป๊บนะครับ”
เมฆงง “ไปสิ ไม่เห็นต้องรอพี่เลย”
นิคลุกขึ้นแล้วยกมือไหว้ “ขอบคุณครับคุณครู” นิคพูดกับเอวา “ไปเร็วคุณครูอนุญาตแล้ว”
เอวายังงงๆ เพราะตามไม่ทันความคิดของนิคแต่ก็ลุกตาม นิคกับเอวาเดินออกไป เมฆมองตามอย่างงงๆ
นิคกับเอวาเดินออกมาด้วยกัน
“ตกลงแกจะโทรหามันยังไง” เอวาถาม
“โทรเข้าบ้านพี่เมฆไง”
เอวาคิดได้ “เออ...จริงด้วย แกนี่ซ่อนความฉลาดซะมิดเลยนะ”
นิคเซ็ง “ชมซะฉันเจ็บเลยว่ะ”
นิคหยิบโทรศัพท์ออกมากดโทรออก
ตะวันฉายกำลังดูหมอกทำการบ้านอยู่ที่บ้านเมฆแล้วเสียงโทรศัพท์บ้านก็ดังขึ้น ตะวันฉายเดินไปรับ
“สวัสดีครับ”
“โห...ไม่หลุดคอนเซปต์ความเป็นแมนเลย” นิคแซว
ตะวันฉายเบาเสียงลง “ไอ้นิค โทรมาทำไม ฉันอยู่กับน้องหมอก เดี๋ยวความก็แตกหรอก”
“ก็แกปิดมือถืออ่ะ ก็ต้องโทรเข้าบ้านดิ่ แม่แกเขาอยากคุยด้วย”
เอวารับโทรศัพท์มาจากนิค “ซัน ทุกอย่างโอเคป่ะ”