ดุจตะวันดั่งภูผา ตอนที่ 2
วันเวลาเคลื่อนคล้อย 8 เดือนผ่านไป...ขณะนั้นแมวน้ำตัวหนึ่งกระโดดเตะลูกบอลด้วยท่าทีน่ารัก ผู้ชมปรบมือกันใหญ่อย่างพอใจ ไทขึ้นจากน้ำแสดงท่าขอบคุณแล้วเดินไปที่แมวน้ำ แมวน้ำโดดลงน้ำไป ไททำเป็นว่าไล่ไม่ทันแล้วเขาก็โยนห่วงให้แมวน้ำรับได้หลายห่วง ผู้คนปรบมือกันอีก ไทแสดงอีกหลายโชว์ซึ่งผู้ชมต่างพึงพอใจ
จนมาถึงตอนท้ายของการแสดง ไทโค้งแสดงความขอบคุณ แล้วเดินตามแมวน้ำเข้าไป โฆษกหญิงประกาศ
“สำหรับการแสดงของสวนสัตว์ ซูเวิลด์ ในรอบนี้ก็จบแต่เพียงเท่านี้นะคะ ขอได้รับความขอบคุณจากพวกเราทีมงานทุกคนค่ะ สวัสดีค่ะ”
ผู้ชมทะยอยลุกออกไป
ไทแสดงเสร็จก็พาแมวน้ำเข้ามาที่กรงมีแมวน้ำ 4 ตัวมีชื่อมะลิ มาลัย น้ำใส ใจจริง แมวน้ำพากันเดินพาเหรดเข้ากรงอย่างเชื่องไทสั่งลูกน้อง
“เร่งเครื่องปรับอากาศหน่อยนะ เพราะเมื่อกี้อากาศข้างนอกค่อนข้างจะร้อนและเปลี่ยนน้ำด้วยอย่าลืมใส่เกลือลงไปด้วยตอนนี้อย่าเพิ่งให้อาหารรอให้เขาหายเหนื่อยสักพักก่อน”
“ครับ”
ไทดูความเรียบร้อยสักครู่แล้วเดินออกมามีเสียงเด็กดัดเสียงลอดเข้ามา
“แต่ตัวนี้หิวแล้วนี่คะ”
ไทหันไปมองแล้วยิ้มเห็นมีเด็กสาวเอาช่อดอกไม่ปิดหน้าเขาเล่นด้วย
“โอโหตัวนี้ตัวใหญ่ท่าทางจะกินจุนะ”
หนูเอมเอาดอกไม้ลงท่าทางทะเล้นแล้วยื่นดอกไม้ให้ไท
“หนูเอมจัดดอกไม้มาให้พี่ไทค่ะ”
ไทรับแล้วขยี้ศีรษะหนูเอมอย่างเอ็นดู
“ขอบใจนะหนูเอมสวยมากเลย”
“หนูเอมจัดเองนะคะเนี่ย”
ไทรู้สึกผิดสังเกตเมื่อเห็นหนูเอมสวมรองเท้าข้างเดียว
“อ้าวหนูเอมทำไมใส่รองเท้ามาข้างเดียวล่ะแล้วอีกข้างล่ะ”
หนูเอมยิ้มเขินแล้วอ้อมแอ้มบอก
“เอ่อ มันติดอยู่บนรั้วด้านหลังค่ะ”
ไทรู้ทันทีว่าอะไรเป็นอะไร
“นี่แสดงว่าหนูเอมไม่ได้ซื้อตั๋วเข้ามาใช่ไหมเนี่ย”
หนูเอมยิ้มแห้งๆ แล้วสารภาพ
“ค่ะ หนูเอมไม่ได้ซื้อตั๋วค่ะ” หนูเอมหัวเราะแก้เขิน “ไม่มีตังค์ค่ะ”
“แหมมันน่าตีให้ก้นลายเลยไหม”
“หนูเอมขอโทษ หนูเอมจะไม่ทำอีกแล้วนะคะ นะคะ พี่ไทใจดีจะตายนะคะ”
หนูเอมออดอ้อน ไทใจอ่อนและส่ายหน้า
“นี่แสดงว่าพ่อกับแม่หนูเอมไม่รู้ใช่ไหมเนี่ย”
“ค่ะ”
“เอ้า ไป เพื่อเป็นค่าดอกไม้แสนสวยพี่ไทจะพาชมสวนสัตว์เองดีไหม”
“ดีค่ะ ไชโย”
ทั้งคู่เดินไปด้วยกันอย่างสนิทสนมและมีความสุข
ถนนในมหาวิทยาลัย ปลายฟ้าบึ่งเวสป้าคู่ใจมาตามถนนอย่างรีบร้อน บีบแตรไล่รถไล่คนตลอดทาง
“หนีหน่อย เร็ว หลีก”
ที่ห้องสอบดนตรีไม่มีคนเหลืออยู่แล้วมีแต่อาจารย์แหม่มนั่งสีหน้าเครียดรอปลายฟ้าคนเดียว เธอมองที่กระดาษรายชื่อเห็นว่าสอบกันไปหมดแล้วเหลือแต่ปลายฟ้ามีช่องเดียวที่ยังไม่ได้เซ็นชื่อ อาจารย์แหม่มบ่นเบาๆ
“ปีนึงผ่านไป ขนาดเปลี่ยนที่สอบใหม่ก็ยังเหมือนเดิมนะ ปลายฟ้า เฮ้อ”
อาจารย์แหม่มเก็บข้าวของเตรียมกลับ ปลายฟ้าแบกเชลโล่วิ่งมาตามทางเดินของตึก ผ่านผู้คนที่เดินสวนไปดูเกะกะ อาจารย์แหม่มลุกขึ้นเดินออกไป
ปลายฟ้าวิ่งกระหืดกระหอบมาที่ห้องสอบเมื่อมาถึงก็พบว่าห้องว่างเปล่า มีภารโรงคนหนึ่งกวาดห้องอยู่ เขาหันมามองปลายฟ้าแว้บหนึ่งแล้วก้มหน้าก้มตากวาดห้องอย่างช้าๆ ปลายฟ้ายืนหอบและผิดหวังอยู่หน้าห้อง อย่างไม่คาดคิด อาจารย์แหม่มเดินมาข้างหลังแล้วเรียก
“มาแล้วเหรอ”
อาจารย์แหม่มเพิ่งออกมาจากห้องน้ำ
“อาจารย์แหม่ม หนูคิดว่าอาจารย์จะไม่รอหนูแล้ว”
ปลายฟ้าใจชื้นแต่ต้องผิดหวังอีกรอบ
“ฉันรอเธอ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะให้เธอสอบ เวลามันหมดแล้ว” ปลายฟ้าหน้าสลด อาจารย์แหม่มอบรม
“ปลายฟ้าเธอเป็นนักดนตรีที่มีอนาคตไกลนะ แต่การเป็นนักดนตรีระดับโลกใช่ว่าจะต้องเล่นดนตรีเก่งอย่างเดียว อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญคือเวลา เมื่อตรงเวลาก็จะเกิดความพร้อมเพรียง”
“แต่ว่ากว่าหนูจะเลิกงาน...”
“นั่นไม่ใช่เหตุผล ถ้าเธอคิดจะทำอะไรสองอย่างเวลาเดียวกันเธอต้องทำให้ได้ ถ้าไม่ได้ก็ต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง หวังว่าเธอคงเข้าใจนะ เจอกันปีหน้า”
อาจารย์แหม่มเดินจากไป ปลายฟ้ามองตามสีหน้าเศร้า
ปลายฟ้ามานั่งซึมในโบสถ์ เธอหลับตาภาวนาเพื่อให้เกิดกำลังใจ ซิสเตอร์มารีเดินเข้ามาหยุดมอง เธอรู้ว่าปลายฟ้ากำลังหมดแรงและกำลังใจ ซิสเตอร์มารีพูดอย่างอารี
“เป็นอะไรไปหรือลูก”
ปลายฟ้าหันมาเห็นเป็นซิสเตอร์มารีเธอร้องไห้เบาๆ แล้วคุกเข่าตรงหน้าซิสเตอร์มารี
“คุณแม่คะ หนูเหนื่อยเหลือเกิน ทำไมหนูไม่มีอย่างคนอื่นเขาบ้างคะ ทำไมหนูต้องกำพร้า ไม่มีพ่อแม่พี่น้อง ไม่มีญาติสักคนที่จะคอยให้กำลังใจ ทำไมพระองค์ไม่ทรงเมตตาหนูบ้าง หนูสวดภาวนาทุกวันให้หนูไปให้ถึงฝัน แต่มัน...”
“ลูกลองนึกให้ดีๆ ยังมีคนอีกมากที่ไม่มีโอกาสเท่าลูกนะ เด็กกำพร้าอย่างลูกอีกหลายคนไม่มีโอกาสได้เรียน ไม่มีโอกาสเข้าถึงพระเจ้า หลายคนอดอยาก หลายคนแร้นแค้น หลายคนขัดสน จงมองคนที่ต่ำกว่าเราเพื่อให้ได้รับรู้ถึงโอกาสดีที่ได้รับ จงมองคนที่สูงกว่าเราเพื่อเป็นแรงบันดาล มันยังไม่สายที่จะเริ่มนับหนึ่งใหม่”
ปลายฟ้ารู้สึกดีขึ้นเธอเลิกร้องไห้แล้วปฏิญาณ
“หนูเข้าใจแล้วค่ะคุณแม่ หนูจะเริ่มนับหนึ่งใหม่ และจะนับให้ถึงฝันเลยค่ะ”
“ดีแล้วล่ะลูก”
ปลายฟ้าเปลี่ยนเป็นคนร่าเริงทันทีแล้ววิ่งไปหาเด็กๆ กำพร้าข้างนอก
“หนูขอบคุณมากนะคะ เด็กๆ วู้ มาเล่นกัน”
ซิสเตอร์มารีมองปลายฟ้าแล้วส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มอย่างเอ็นดู
ประเทศไทย 7 วันต่อมา มอเตอร์ไซค์สี่สูบของเรียวจอดที่หน้าบริษัทอย่างรีบร้อน เขาลงแล้วถอดหมวกกันน็อคแล้วเดินขึ้นไปในบริษัทเมื่อผ่านประชาสัมพันธ์พนักงานสาวสอบถาม
“สวัสดีค่ะ มาพบใครคะ”
“พี่สี่”
“รอสักครู่นะคะ” พนักงานจะยกหูโทรศัพท์ไปสอบถาม แต่เรียวเดินผ่านไปเลย “เข้าไม่ได้นะคะ รปภ. รปภ. เร็ว”
รปภ.รีบเข้ามา เห็นว่าเรียวขึ้นลิฟต์ไปแล้ว ไฟแสดงชั้นแสดงว่าเป็นชั้นสูงที่สุดมีเสียงดังกริ๊ง ลิฟต์เปิดออกช้าๆ
เรียวออกมาจากลิฟต์แล้วพูดกับบอดี้การ์ดที่ยืนอยู่
“ฉันมาคุยกับพี่สี่ พวกแกไม่เกี่ยวถอยไป”
“พี่สี่ไม่ว่างแกนั่นแหละกลับไป”
เรียวมองทั้งหมด แล้วลุยทันที การต่อสู้ดำเนินไปสักพัก เรียวสยบพวกมันได้แล้วรีบตรงไปที่ห้องพี่สี่ เขาถีบประตูห้องเข้าไป พี่สี่กำลังเดินดูแจกันของรักสองสามใบที่ตั้งโชว์ไว้ เขาเช็ดมันด้วยความรักและทนุถนอม
“อ้าวพี่เรียว สวยไหม นี่น่ะใบโปรดของฉันเลยนะเนี่ย มีธุระอะไรรีบร้อนนักหรือ”
“ฉันอยากได้มือแกข้างนึง แล้ววางมือจากการประมูลซะ ไม่อย่างนั้นแกจะอาจจะไม่เหลือมือจะให้วาง”
พี่สี่ยียวนแล้วเดินเข้าไปหา
“แหม ของแบบนี้มันอยู่ที่ชั้นเชิงธุรกิจ ใครมือยาวก็สาวเอาสิ”
“งั้นฉันขอมือข้างที่ยาวก่อนก็แล้วกัน”
เรียวตรงเข้าไปต่อสู้ พี่สี่สู้ได้นิดหน่อยก็ถูกเรียวเอามือวางกับ แขนเก้าอี้ แล้วสับลงไป พี่สีร้องเสียงหลงแต่เรียวไม่ได้สับแขนเขา แขนเขายังอยู่ครบ
“ลืมบอกไปว่า คราวนี้เตือนก่อน”
พี่สี่นั่งหน้าซีด ตัวสั่น เรียวเดินไปที่หน้าประตู เขาเห็นไม้กอล์ฟของพี่สี่วางอยู่แล้วหันไปมองพี่สี่ พี่สี่สงสัยว่าเรียวจะทำอะไร เรียวเงื้อไม้กอล์ฟจะตีแจกันใบหวงเขามองหน้าพี่สี่แบบถามว่าได้ไหม พี่สี่ส่ายหน้าหน้าเบ้ ท่าท่างเสียวในใจบอกว่าอย่า เรียวยิ้มแล้วเดินไป แต่เขาเดินไปนิดหน่อย พี่สี่โล่งอก เรียวหยิบมีดสั้นขว้างเข้ามาที่พี่สี่ปักห่างศีรษะไปนิดเดียว อย่างไม่ระวัง เรียวเอาไม้กอล์ฟฟาดใบรองลงมาแจกันแตกกระจาย พี่สี่แทบร้องไห้ เรียวเดินออกไปข้างนอกผ่านลูกน้องพี่สี่ไป ลูกน้องแหวกทางให้ทุกคนไม่กล้า
บ้านของบุ๊นเป็นบ้านหลังใหญ่ดูโอ่อ่า ที่หน้าบ้านมีรถลีมูซีนจอดอยู่ มีคนขับรถยืนรอรับและเปิดประตูรถ
อาฮวดรออยู่ในบ้าน บันไดลงมาจากด้านบนเห็นบุ๊นแต่งชุดสากลเนี๊ยบเดินลงมาในมือมีกระเป๋าเอกสาร อาฮวดเดินเข้าไปรับกระเป๋าอย่างนอบน้อม
“ท่านประธาน”
“พัดล่ะ”
“ไปประชุมตั้งแต่เช้าแล้ว”
บุ๊นรู้สึกชื่นชมลูกสาวคนนี้
“ขยันจริงๆ ลูกคนนี้”
อาฮวดรีบเดินนำไปที่รถ คนรถเปิดประตูบุ๊นเข้าไปนั่งแล้วปิดประตู รถเคลื่อนออกไป
บุ๊นนั่งมาในรถแล้วมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น อาฮวดรับสายแล้วรายงาน
“เรียบร้อยแล้วครับท่านประธาน”
บุ๊นยิ้มเล็กๆ เขาพยักหน้าพอใจ ในใจคิดไปมากกว่านั้น แววตาเขามีแผนตลอด
“อืม ดีมาก” บุ๊นยิ้ม แล้วนึกถึงลูกชาย “ต่อลูกชายสุดที่รักของฉันให้หน่อย”
“ครับ”
อาฮวดกดโทรศัพท์พยายามติดต่อกับพีทฝ่ายโน้นรับสาย อาฮวดส่งให้บุ๊น
“พีท พีท แกอยู่ไหน”
พีทยังอยู่บทเตียงเขาพลิกตัวกลับมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม สภาพพีทมีผ้าคลุมท่อนล่าง เปลือยกายท่อนบน ข้างๆ มีสาวสวย นอนหลับอยู่ ห้องของเขาเป็นห้องนอนแบบเห็นทะเลดูโล่ง
“มีอะไรครับพ่อ โทรมาปลุกแต่เช้าเลย”
“ฉันถามว่าแกทำอะไรอยู่ ทำไมไม่มาเจอหน้าเจอตากันเลย”
พีทยังหน้าระรื่นมองคู่ขาข้างๆ คู่ขาตื่นแล้วขอตัวไปอาบน้ำ โดยไม่ลืมจูบแก้มพีท
“ไปอาบน้ำก่อนนะคะ”
พีทพยักหน้า
“ฮะ อะไรนะ”
“คือเมื่อคืนผมมาแต่งงานน่ะพ่อ”
บุ๊นตกใจแทบช็อค
“แต่งงาน แก แกแต่งกับใคร”
พีทหัวเราะ
“ใครก็ช่างเถอะพ่อไม่รู้จักหรอก แต่ไม่เป็นไรครับอีกประมาณ 2 ชั่วโมงเราก็จะไปหย่ากันแล้ว”
บุ๊นโล่งอกแล้วเสียงแข็ง
“แกอยู่ไหน ฉันจะให้อาฮวดไปรับ”
“โธ่พ่อ ขอผมฮันนี่มูนให้เสร็จก่อนได้ไหม แล้วเจอกันครับ สวัสดีครับ”
พีทวางสายแล้วลุกไปที่ห้องน้ำ
“รอด้วย อาบด้วยคน”
พีทหัวเราะเริงร่า บุ๊นวางสายท่าทางเหนื่อยหน่าย อาฮวดยิ้มบุ๊นหยอก
“นายโชคดีที่ไม่มีลูก”
ที่ห้องประชุมบริษัทจ้าวหยาง เอนเตอร์ไพซ์ จำกัด นันณภัสหรือพัด ลูกสาวของบุ๊นกำลังดำเนินการประชุมอยู่
“สำหรับการดำเนินการก่อสร้างคิดว่าน่าจะอยู่ในราวอีกสองเดือนข้างหน้า เพราะต้องรอให้ทางเทศบาลตรวจแบบที่จะทำการก่อสร้างก่อนค่ะ ใครมีอะไรสงสัยอีกหรือเปล่าคะ”
นันณภัสเดินไปที่ด้านหน้าห้องประชุมแล้วหันกลับมาปิดการประชุมอย่างสดใสและขรึม
“อย่างนั้นก็จบการประชุมเท่านี้ค่ะ” ทุกคนกำลังเตรียมออกนอกห้องลิลลี่เปิดห้องประชุมเข้ามา นันณภัสยิ้มให้
“ปิดประชุม แล้วจ้ะ ลิลลี่”
“เฮ้อ สายตามเคย”
นันณภัสเดินมาตามทางใบบริษัท ลิลลี่เดินตามมาด้วยทั้งคู่คุยกัน นันณภัสมีท่าทางทะมัดทะแมง รีบเร่ง
“แหม ลิลลี่ว่าลิลลี่รีบแล้วนะคะ เจ๊พัด อุตส่าห์ออกมาก่อนป๊าอีก”
นันณภัสไม่ได้ถือโทษโกรธ เธอเอ็นดูลิลลี่
“คราวหน้าก็มาเช้าๆ หน่อยสิ อีกหน่อยต้องมาบริหารงานคอมแพล็กซ์แล้วนะ”
“ค่า อันที่จริงไม่ได้อยากทำซะหน่อย ป๊าน่ะ ชอบบังคับ”
นันณภัสหยุดแล้วเตือนด้วยรอยยิ้ม
“โตขึ้นทุกวันแล้วลิลลี่เป็นผู้ใหญ่ได้แล้ว เราต้องหัดทำงานทำการไว้บ้างนะ”
“ถามจริงๆ เถอะเจ๊ เจ๊ไม่เบื่อบ้างหรือ”
นันณภัสถอนใจ
“ก็มีบ้าง แต่ทำยังไงได้ล่ะ”
นันณภัสพูดยังไม่ทันขาดคำ เลขาก็เข้ามาแจ้ง
“คุณพัดคะ วันนี้ต้องไปให้สัมภาษณ์เรื่องคอมเพล็กซ์ที่สถานีโทรทัศน์ ตอน 11 โมงนะคะ” ลิลลี่ทึ่ง
“โอ้โห นี่เจ๊พัดดังขนาดออกทีวีเลยหรือคะเนี่ย”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ที่ไปก็เพราะต้องการจะโปรโมทคอมเพล็กเราไปด้วย มันก็คือการประชาสัมพันธ์อย่างหนึ่งน่ะ นี่นายเรียวไม่อยู่ใช่ไหม”
“ค่ะ”
“ดีจัง จะได้ไม่ต้องมีคนมาคอยตาม เบื่อจริงๆ พวกบอดี้การ์ดเนี่ย”
พูดไม่ขาดคำเรียวก็เดินออกมาจากมุมตึก สีหน้านิ่งเขาได้ยินที่นันณภัสพูดเมื่อสักครู่
“ไปกันหรือยังครับคุณพัด” นันณภัสเซ็ง
“ไปสิ”
“เอ่อ ยังไม่หมดค่ะ เสร็จจากทีวีแล้วต้องไปประชุมเรืองการกุศลเด็กกำพร้า แล้วก็ไปทานอาหารเย็นกับพวกสภาหอการค้าค่ะ” เลขาบอก นันณภัสถอนใจท่าทางเหนื่อย
“ทำแต่งาน ชาตินี้จะมีแฟนไหมเนี่ย”
นันณภัสเดินจากไป เรียวเดินตาม
ไทพานักท่องเที่ยวประมาณ 10 กว่าคนเข้ามาชมห้องสัตว์น้ำที่เลี้ยงลูกด้วยนม หนูเอมตามหลังพวกนักท่องเที่ยวเข้ามาเป็นคนสุดท้าย ไทเดินมาตามทางเรื่อยๆ ขึ้นมาชั้นที่ 2 แล้วอธิบาย
“ส่วนตรงนี้นะครับ เป็นห้องแสดงชีวิตและวงจรชีวิตของสัตว์น้ำที่เลี้ยงลูกด้วยนมนะครับ ในส่วนของโซนนี้ผมต้องขอความร่วมมือนิดหนึ่งนะครับว่า บางคนคิดว่าสัตว์จำพวกวาฬและโลมาเป็นปลา แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่นะครับ อย่างเช่นพะยูน”
ผู้ชมที่เข้ามาต่างเข้าใจ แล้วเดินดูปลาที่สตั๊ฟเอาไว้ หนูเอมทำท่าว่ายน้ำข้างปลาวาฬเพชฌฆาต แล้วโผล่ศีรษะขึ้นมาข้างๆ ทำหน้าทะเล้นใส่ไท ไททำตาดุ และไปเจอนักท่องเที่ยวคนหนึ่งที่กำลังสังเกตปลาโลมาอย่างใกล้ชิด นักท่องเที่ยวตกใจ
“อย่า” ไทร้องห้าม
“จับไม่ได้หรือคะ” นักท่องเที่ยวถาม
“ปะ...เปล่าครับ เดี๋ยวเราไปทางนู้นกันดีกว่าครับเชิญต่อทางนี้ครับ” ไทเดินนำมาที่ส่วนแสดงของจระเข้ อธิบายเรื่องราววงจรชีวิตของจระเข้ “ในส่วนของห้องนี้ เป็นห้องแสดงเกี่ยวกับจระเข้นะครับ เราจะเห็นว่าวงจรชีวิตของจระเข้ตั้งแต่เป็นไข่จนฟักแล้วก็มีวิวัฒนาการเจริญเติบโตอย่างไร” หนูเอมเดินวนไปมาข้างหลังนักท่องเที่ยวแล้วหยิบจระเข้สตาฟมาเล่นกันกัด ไทเห็นแล้วดุ “อย่าหยิบของเล่น”
ผู้ชมคนหนึ่งกำลังจะเอามือแตะจระเข้สตาฟจึงชะงัก
“นี่เป็นจระเข้น้ำเค็ม จะออกไปไข่ครั้งละประมาณ 25-90 ฟอง ขึ้นอยู่กับอายุ ขนาด ชนิดพันธุ์ และความสมบูรณ์ ใช้เวลาฟักไข่ประมาณ 85-90 วัน วิธีฟักไข่มี 3 แบบด้วยกัน คือ แบบธรรมชาติ แบบกึ่งธรรมชาติ และแบบใช้ที่ฟักไข่เป็นการฟักไข่ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ควบคุมความชื้นและอุณหภูมิโดยก่อนนำไข่เข้าตู้จะมีการทำความสะอาดอย่างดีด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ ซึ่งในฤดูวางไข่นี้แม่จระเข้จะดุมาก” ไทเหลือบไปเห็นหนูเอมเล่นกับจระเข้สตาฟตัวใหญ่แบบที่เขาแสดงจระเข้ เอามือยัดปากบ้าง “...หลังจากนั้นแม่จระเข้ก็...บอกให้เก็บที่...อย่าเล่น...ไม่เชื่อเดี๋ยวจะให้ออกไปเลย”
หนูเอมยิ้มแห้งๆ ผู้ชมสงสัย
“เอ ถ้าลูกจระเข้ซน นี่แม่ให้ออกจากไข่ก่อนได้เลยหรือคะ”
“ปะ...เปล่าครับ เอา มาว่ากันต่อครับ” หนูเอมยังไม่หยุดยุกยิกลื้อค้นอยู่ด้านหลัง “หลังจากออกจากไข่แล้ว หรือที่เรียกว่าไข่ฟักเป็นตัวแล้วแม่ก็จะคอยดูแลลูกไม่ห่างช่วงนี้แม่จระเข้จะดุมาก”
ผู้คนสนใจดู หนูเอมเอาไข่จระเข้มาถือดูเล่น ไทเหลือบไปเห็นทำหน้าดุแล้วบอกเสียงดัง
“ระวังไข่แตก”
หนูเอมสะดุ้งปล่อยไข่หลุดมือแตกกระจายเต็มพื้น ทุกคนหันไปดู ไททำหน้าเซ็ง หนูเอมหน้าเสียยิ้มแหงๆ แล้วพูดอ่อยๆ
“ว้า แตกเลย แย่จัง”
อีกด้านหนึ่งปลายฟ้ากับแป้งยืนแจกใบปลิวอยู่หน้าห้างสรรพสินค้า ปลายฟ้ามีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ผิดกับแป้งที่ทำหน้าเซ็งๆ
“เชิญนะคะ วันนี้ฉลองเปิดร้านใหม่นะคะ ลด 50 เปอร์เซนต์ค่ะ นี่ค่ะ”
ปลายฟ้าแจกใบปลิวอย่างอารมณ์ดี เธอหันมาเห็นแป้งหน้าบูดๆ จึงเข้าใจว่าแป้งไม่ถนัดงานแบบนี้ แป้งเป็นคนขี้อายไม่ค่อยมั่นใจ
“นี่แป้ง ทำหน้าอย่างกับโดนน้ำร้อนสาดมาอย่างนั้นน่ะ”
“บ้า ฉันไม่ใช่หมานะ ก็มันเบื่อนี่ เมื่อยด้วย ไหนว่าเมืองนี้หางานง่ายไง”
“ทนๆ ไปก่อน เดี๋ยวก็หางานใหม่ได้แล้ว ใจเย็นๆ เอ ฉันไปซื้อน้ำกินก่อนนะ”
แป้งพยักหน้ารับรู้ปลายฟ้าเดินไป
ปลายฟ้าเดินมาซื้อน้ำในห้าง ขณะที่เข้าคิวซื้อน้ำอยู่นั้น เธอก็ได้ยินผู้จัดการร้านคุยกับลูกน้องอย่างอารมณ์ไม่ค่อยดี
“นี่คนที่ทางสาขากลางส่งมาช่วย ยังมาไม่ถึงอีกหรือ”
“ยังเลยค่ะ”
“ตาย อย่างนี้ตาย ไม่รักษาเวลาเลย เอ้า งั้นก็ช่วยเร่งๆ เปลี่ยนพนักงานหน่อยก็แล้วกัน ถ้าน้องเขามาแล้วให้พิชาพาเค้าเข้าไปหาฉันข้างในนะ”
“ค่ะ ผู้จัดการ”
พนักงานรับคำแล้วปฏิบัติงานต่อไป ปลายฟ้าได้ยินทุกคนพูดแต่ก็ไม่ค่อยได้สนใจ เธอซื้อเสร็จเดินออกมานอกร้าน แล้วเห็นหญิงสาวคนหนึ่งท่าทางเป็นพนักงานที่ทางสาขากลางส่งมากำลังเดินเข้ามาที่ร้าน ปลายฟ้าคิดอะไรบางอย่าง แล้วทำท่าวางมาด เมื่อเด็กคนนั้นเดินมาที่หน้าร้านเธอจึงเรียกไว้และวางท่าเป็นผู้จัดการ
“เดี๋ยว นี่เธอเป็นคนที่ฝ่ายสาขากลางส่งมาทำงานที่นี่ใช่ไหม ฉันเป็นผู้จัดการที่นี่”
เด็กท่าทางกลัวๆ เกรง แล้วพูดอย่างนอบน้อม
“ใช่ค่ะ ขอโทษนะคะท่านผู้จัดการ ที่มาสาย พอดี ไม่ค่อยคุ้นเส้นทางค่ะ”
ปลายฟ้าทำฟอร์มว่าเกิดการผิดพลาดเรื่องการจัดสรรคน
“ช่างมันเถอะเรื่องนั้นน่ะ พอดีฉันได้คนแล้ว เขาไม่ได้แจ้งเธอหรอกหรือ”
เด็กงง และเชื่อ
“เอ เปล่านี่คะ”
“ตายจริง ก็ทำงานกันอย่างนี้นี่น้า เธอกลับไปทำงานที่เดิมนะแล้วบอกเขาด้วยว่าฉันได้คนแล้ว”
“ค่ะ ค่ะ ขอบคุณนะคะ”
เด็กลนลานรีบไปทันที ปลายฟ้ายิ้มเจ้าเล่ห์
ปลายฟ้ารีบมาหาแป้งที่หน้าห้างแล้วดึงตัวไป
“มาเร็วแป้ง มากับฉันหน่อย”
แป้งงงยื้อนิดๆ
“อะไร จะไปไหน”
“เออน่า ตามมาเถอะ”
ปลายฟ้าลากแป้งไปกับเธอจนได้
ผู้จัดการนั่งทำงานอยู่ที่ในห้องมีเสียงเคาะประตูดังเข้ามาเธออนุญาต
“เข้ามาสิ”
ประตูเปิดออกพนักงานแจ้งผู้จัดการ
“ผู้จัดการคะ พนักงานที่ทางฝ่ายส่งมามาแล้วค่ะ”
ผู้จัดการจ้องมองเห็นแป้งเดินออกมาจากข้างหลังพนักงานคนนั้น
“อืม หน้าตาดีจัดการเรื่องชุดแล้วให้น้องเค้าไปประจำส่วนหน้าร้านเลย”
พนักงานรับคำแล้วพาแป้งออกไป
ที่บริษัทบุ๊น รถของมังกรแล่นมาจอดที่หน้าบริษัท อาเพียวก้าวลงมาจากรถแล้วเปิดประตูให้มังกร มังกรเดินลงมาอย่างสง่าแล้วเข้าไปในตัวตึก ทุกคนที่เขาผ่านนอบน้อมต่อมังกร
อาฮวดยืนตรงหน้าบุ๊น เสียงเลขาลอดออกมาจากอินเตอร์คอม
“ท่านคะ คุณมังกรกำลังขึ้นไปค่ะ”
บุ๊นรับรู้แล้วสั่งอาฮวด
“ขอบใจ สงสัยจะมาเรื่องนี้มั้งฮวดออกไปก่อนไป”
อาฮวดออกไป มังกรเปิดประตูห้องบุ๊น บุ๊นมองออกมาจากข้างในแล้วเชื้อเชิญ อาเพียวจะเข้าไปด้วยมังกรโบกมือว่าไม่ต้อง เขาเข้าไปคนเดียวแล้วปิดประตู
“มันไม่หนักไปหน่อยหรือ พี่ใหญ่”
บุ๊นมองออกไปนอกหน้าต่าง
“ฉันเพียงแต่อยากจะสั่งสอนอาสี่ให้รู้สึกตัวว่าการทำลับหลังฉันแบบนี้มันไม่ดี การที่คิดจะให้คนอื่นยืมมือมาแทงข้างหลังฉัน นายว่ามันเหมาะหรือเปล่าล่ะ”
“แต่มันก็ไม่น่าจะถึงลงมือลงไม้”
“เด็กๆ มันคงทำเกินไป ฉันจะตักเตือนให้ก็แล้วกัน นายก็รู้ว่าเรื่องแบบนี้ฉันวางมือไปนานแล้ว” ทั้งบุ๊นทั้งมังกรต่างรู้เรื่องนี้ดี “สมัยนี้มันหมดยุคมาเฟียแล้ว มังกร” บุ๊นตบไหล่มังกรเบาๆสองสามที สีหน้ามังกรเชื่อว่าบุ๊นเลิก แต่เขายังไม่เคยคิดจะเลิก “ไปกินน้ำชากันไป”
มังกรเดินตามออกไป
เรียวขับรถให้นันณภัสนั่งอยู่ด้านหลัง นันณภัสนั่งวางท่าแล้วสั่ง
“เดี๋ยวถึงสถานีแล้ว นายทิ้งรถไว้ให้ฉันแล้วกลับไปเลยก็ได้”
เรียวมีสีหน้านิ่ง
ดุจตะวันดั่งภูผา ตอนที่ 2 (ต่อ)
อาฮวดยืนใช้ความคิดอยู่ในห้องพักรับรองของบริษัท เขามองออกไปข้างนอกหน้าต่างแบบทอดอารมณ์ อาเพียวเข้ามาจากด้านหลังแล้วทักทายแบบไว้เชิง ท่าทางทั้งคู่ไม่ค่อยถูกกัน
“เป็นยังไงพี่ฮวดหยุดมาหลบมุมอยู่ที่นี่เอง ไม่ค่อยได้เจอกันเลย พักนี้สบายดีหรือ”
อาฮวดหันมาดูท่าเขาจะเหนือกว่าอาเพียว
“สบายดีแล้วนายล่ะ”
“ฉันก็ไม่ได้ป่วยไข้อะไร มีความสุขดีทุกอย่าง”
“ดีกว่าสมัยเป็นจับกังแบกข้าวสารอยู่ราชวงศ์ใช่ไหม”
อาเพียวเจ็บเล็กๆ เมื่อถูกอาฮวดเหน็บ
“แหมพี่ฮวด นั่นมันเรื่องเมื่อ 30 ปีที่แล้ว เดี๋ยวนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว คนเรามันก็ต้องก้าวหน้าบ้างสิ มันก็เหมือนสมัยที่พี่ฮวดติดคุกนั่นแหละ ออกมามันก็หมดมลทิน ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่”
อาฮวดยังคงมองเหม่อไปนอกหน้าต่าง
“ในเมื่อเรามีปลอกคอแล้ว เราก็ต้องซื่อสัตย์ คนแบกข้าวสารอย่างนายจะเข้าใจอะไร”
อาฮวดหัวเราะเบาๆ อาฮวดแสดงความหมายว่าเขามันนักสู้ แต่อาพียวแค่คนแบกข้าวสาร แล้วเดินออกไป
อาเพียวมองตามสีหน้าไม่ค่อยพอใจแต่เก็บอารมณ์ไว้
ในห้องน้ำชา บุ๊นนั่งดื่มน้ำชาระลึกความหลังกับมังกรในห้องน้ำชาที่จัดเอาไว้อย่างสวยงามแบบจีน
“เรามาถึงตรงนี้ได้นับว่าโชคดีแล้วนะ อย่างเรามันจะอยู่ไปได้อีกสักแค่ไหน ว่าไหมมังกร”
“ครับพี่ใหญ่ ตอนนี้มันก็เริ่มถึงรุ่นลูกแล้ว”
“ใช่ ที่เราทำไว้ทั้งหมดก็เพื่อพวกเขานั่นแหละ” ทั้งคู่ต่างปรับทุกข์และคุยกันอย่างไม่เครียด “ตอนนี้ธุรกิจนายเป็นยังไงบ้าง”
“เรื่องนี้ฉันกำลังอยากคุยกับพี่ใหญ่พอดี”
น้ำเสียงบุ๊นเข้มขึ้น
“เรื่องอะไร”
“ฉันอยากจะทำเหมืองทอง”
บุ๊นหันมามองหน้ามังกรแววตาจริงจัง
“ทำเหมืองในต่างประเทศไม่ใช่เรื่องง่าย”
“ฉันไม่ได้หมายถึงเหมืองที่อื่น ฉันหมายถึงที่ที่เรามี”
“ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ให้พูดเรื่องนี้อีก” บุ๊นขึ้นเสียง
“ทำไมจะพูดไม่ได้ ในเมื่อที่ดินตรงนั้นมันเป็นส่วนของฉันครึ่งนึง”
“แกไม่มีสิทธิ์ในที่ตรงนั้นแม้แต่ตารางนิ้วเดียว เข้าใจไหม”
บุ๊นขว้างถ้วยน้ำชาไปที่ประตูทางเข้า หน้าห้องมีเสียงลอดออกไป อาเพียวจะเปิดประตูเข้ามา อาฮวดจับมือไว้แล้วส่ายหน้าช้าๆ เป็นเชิงว่าอย่าไปยุ่ง อาเพียวหยุด ในห้องมังกรยังเถียงกับบุ๊นต่อ
“พี่ใหญ่พูดแบบนี้ต้องการจะฮุบไว้คนเดียวใช่ไหม”
บุ๊นโกรธสุดขีด เขาตบหน้ามังกรอย่างแรง
“มันไม่มีของใครทั้งนั้น แกก็รู้ดีว่าแกทำอะไรลงไป อย่ามาพูดเรื่องนี้กับฉันอีก”
มังกรมองหน้าบุ๊นทั้งคู่จ้องกัน มังกรไม่กล้ากับบุ๊นสีหน้าเขานิ่งลง
“ครับพี่ใหญ่”
สักครู่เขาตัดสินใจเดินออกไปในใจยังคั่งค้าง มังกร อาเพียว เดินจากไป อาฮวดไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ภายในห้อง บุ๊นยืนเหม่อมองออกไปข้างนอกในในครุ่นคิด
เย็นวันนั้นแป้งแต่งชุดพนักงานร้านเดินกลับบ้านพร้อมปลายฟ้า ทั้งคู่เดินผ่านร้านขายเครื่องไฟฟ้า ที่ร้านเปิดทีวีเห็นนันณภัสออกทีวี ในทีวีนันณภัสกำลังให้สัมภาษณ์ ปลายฟ้ากับแป้งไม่ได้สนใจแล้วเดินผ่านไป
“สรุปได้ว่าคอมเพล็กซ์ของเรา ประหยัดพลังงานแลค่าใช้จ่ายไปได้อย่างที่บอกมาน่ะค่ะ และเราก็จะเอาเป็นต้นแบบในการขยายโครงการต่อไป ในอนาคต...”
ปลายฟ้าแซวแป้ง
“ขอต้อนรับพนักงานใหม่” ปลายฟ้าหัวเราะ
“แกนี่มันกะล่อนจริงๆ เลย น่าสงสารคนนั้นจริงๆ ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”
“ช่างเถอะ แกได้งานทำก็ดีแล้ว ยายนั่นคงไม่เดือดร้อนหรอก อย่างดีก็กลับไปทำงานที่เดิม”
“ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมแกถึงไม่ทำซะเอง” แป้งถามอย่างสงสัย
“เอาเถอะน่า ฉันเอาตัวรอดได้ ขี้เกียจมาฟังแกบ่นตอนแจกใบปลิว ฉันหางานได้ไม่ยากหรอก”
แป้งยิ้มให้เพื่อนและขอบใจ
“ขอบใจแกมากนะ”
ทั้งคู่เดินไปด้วยกันอย่างมีความสุขแล้วผ่านที่ว่างเปล่า มีป้ายปักไว้ว่า สถานที่ก่อสร้าง ช็อปปิ้ง คอมแพล็กซ์ ปลายฟ้าบอกแป้ง
“นี่ไง อีกหน่อยงานก็เยอะแยะ”
“โห กว่าจะสร้างเสร็จ...”
“ฉันก็ไปออสเตรียแล้วใช่ไหมล่ะ”
ปลายฟ้าหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
พีทสตาร์ทรถสปอร์ตคันหรูแล้วขับออกมาจากที่พัก คู่ขาของเขานั่งมาด้วย ท่าทางของพีทดูเพลย์บอย เขาขับรถอย่างสนุก
สักครู่รถมาถึงที่พักของคู่ขาที่ไม่ไกลนัก พีทจอดรถให้คู่ขาลง ด้านหลังพีทปลายฟ้ากับแป้งเดินออกมาจากหัวมุมแล้วเดินทางตรงกันข้ามกับพีท ทั้งคู่มองไม่เห็นกัน คู่ขาหอมแก้มพีททีหนึ่งแล้วกระซิบข้างหูพีท
“ประทับใจที่สุดเลย”
“แต่ผมว่าคุณห่วยว่ะ”
พีทพูดแบบหาเรื่องเลิกแล้วขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว คู่ขามองตามงงๆ พีทขับรถออกไปคนละทางกับที่ปลายฟ้ากับแป้งเดินไป
เย็นวันเดียวกันนั้นที่ห้องพักปลายฟ้า ปลายฟ้าเปิดอินเตอร์เน็ตจากโน๊ตบุ๊คทิ้งไว้เธอกำลังจะชงบะหมี่สำเร็จรูปกิน แป้งเข้ามาห้ามไว้
“หยุด หยุดประพฤติตัวแบบเก่าๆได้แล้วเพราะ ตอนนี้เรามี การปฏิวัติระบบโภชนาการแล้ว”
ปลายฟ้างง
“เป็นอะไรมากหรือเปล่าแป้ง หรือว่าวันนี้ถูกใช้งานมากจนเพี้ยน”
แป้งเอาแฮมเบอร์เกอร์มาวางตรงหน้าปลายฟ้า
“นี่ ต่อไปนี้เราจะอิ่มหนำสำราญแล้ว”
“โอ้โห แป้ง น่ากินทั้งนั้นเลย นี่แกขโมยที่ร้านมาหรือ”
แป้งแทบล้มทั้งยืน
“เปล่า ของพวกนี้น่ะมันจะหมดอายุพรุ่งนี้ เขาจะเอาไปทิ้งให้หมากินฉันเลยเสียดาย เลยเอากลับมากินมา มากินกัน”
“ดูพูดซะ เหมือนแย่งหมากินยังไงยังงั้นเลย แต่ก็ช่างเถอะของแบบนี้สมบัติผลัดกันชมโว้ย มา ลุย”
แป้งกับปลายฟ้าลงมือกิน
“นี่แกกำลังทำอะไร” แป้งถามปลายฟ้า
“ก็เปิดดูงานในเน็ตไง”
“แล้วมีไหม”
“มากมาย ก่ายกอง แต่มันเป็นงานประจำทั้งนั้นเลย ฉันอยากได้งานพาสไทม์ จะได้มีเวลาซ้อมดนตรีไง”
“พูดถึงดนตรี ฉันเห็นประกาศที่โรงแรมหรูตรงหน้าหาดว่าเขาต้องการนักดนตรีพาสไทม์ พรุ่งนี้เวรฉันหยุดสนใจไปสมัครกันไหม”
“ดีเหมือนกันจะได้ซ้อมไปในตัว”
ทั้งคู่ดูมีความหวัง
นันณภัสเดินออกมาหลังจากถ่ายรายการเสร็จ ลิลลี่เข้าไปขอโทษและแก้ตัว เรียวเดินตามมาด้วย
“แหม ลิลลี่ว่าลิลลี่รีบแล้วนะคะ เจ๊พัดอุตส่าห์ออกมาก่อนป๊าอีก”
“คราวหน้าก็มาเช้าๆ หน่อยสิ อีกหน่อยต้องมาบริหารงานคอมเพล็กซ์แล้วนะ”
“ค่า อันที่จริงไม่ได้อยากทำซะหน่อย ป๊าน่ะชอบบังคับ”
นันณภัสหยุดแล้วเตือนด้วยรอยยิ้ม
“โตขึ้นทุกวันแล้ว ลิลลี่เป็นผู้ใหญ่ได้แล้ว เราต้องหัดทำงานทำการไว้บ้างนะ”
“ถามจริงๆ เถอะเจ๊เจ๊ไม่เบื่อบ้างหรือ” นันณภัสถอนใจ
“ก็มีบ้าง แต่ทำยังไงได้ล่ะ”
ระหว่างนั้นพนักงานรถโอบีกำลังเก็บข้าวของแล้วคุยกัน มีผู้หญิงที่เป็นผู้กำกับรายการและผู้ชายเป็นโปรดิวเซอร์
“เฮ้อ เลิกงานซะที นี่ไปดูหนังกันไหม”
ทุกคนเห็นด้วย
“ไปสิ ดูเสร็จหาอะไรอร่อยๆ กินกัน”
“ได้เลย ไป”
นันณภัสมองทุกคนอย่างอิจฉา นันณภัสกับลิลลี่เดินออกไป สวนกับคู่รักเดินเกาะแขนผ่านมา นันณภัสมองอย่างอิจฉาอยู่ในใจ เมื่อมาถึงรถ ลิลลี่ก็ขอแยกไป
“ลิลลี่ไปก่อนนะเจ๊พัด”
นันณภัสพยักหน้าแล้วยิ้มให้เชิงรับรู้ ลิลลี่ไปที่รถ เรียวสอบถามนันณภัส
“จะไปไหนต่อครับ”
“ไปช่วยโลกต่อ”
ในใจนันณภัสอยากเป็นเหมือนคนพวกนั้นบ้าง แต่คงยาก เรียวขับรถผ่านถนน มีคนเดินและร้านค้ามากมาย
นันณภัสมองผ่านหน้าต่างกระจกออกไปในใจอ้างว้าง
วันต่อมาที่วิทยาลัยดนตรีปลายฟ้าเดินถือเชลโลเข้ามาที่ห้องชมรมดนตรี
“สวัสดีทุกคน”
ในห้องชมรมดนตรีมีนักศึกษารุ่นน้องและประธานชมรมผู้ชายอยู่ทุกคนทักทายสวัสดีปลายฟ้า
“สวัสดีครับ พี่ปลายฟ้า”
“ไงพี่ยังไม่จบอีกหรือ”
“จบแล้ว แต่มาลงทะเบียนเทส สอบทุนไปออสเตรีย”
“ใจรักจริงๆ สอบมากี่รอบแล้วเนี่ย”
“ก็ตั้งแต่ตีนกายังไม่ขึ้น ตอนนี้เต็มหน้าแล้วล่ะ”
ปลายฟ้าบอกแล้วหัวเราะ รุ่นน้องสาวคนหนึ่งนึกขึ้นมาได้
“เออนี่พี่ปลายฟ้า ตอนนี้พี่ว่างอยู่หรือเปล่า”
“ว่างสิจ๊ะ ว่างทั้งงานว่างทั้งหัวใจ มีอะไรรึ”
“พอดีหนูน่ะ เล่นดนตรีประจำอยู่ที่โรงแรมฝั่งติดทะเลโน้นน่ะ ถ้าบางวันหนูติดเรียนพี่ไปเล่นแทนหนูได้หรือเปล่า”
“ได้ โอ้ย อย่าว่าแต่เป็นครั้งคราวเลยนะ เล่นแทนถาวรเลยก็ได้ เอามะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” รุ่นน้องสาวยิ้มแบบรู้ทัน “งั้นเดี๋ยวหนูขอตัวก่อนนะคะ เดี๋ยวไปเรียนไม่ทัน”
รุ่นน้องสาวเดินออกจากห้องไป หัวหน้าชมรมนึกขึ้นได้
“เออฟ้า ถ้าฟ้าว่างอย่างนี้ พี่มาสอนดนตรีเด็กๆ เอาไหม”
“เด็กหรือ เด็กขนาดไหนล่ะ”
“เด็กออทิสติกพี่”
ปลายฟ้าทำท่าเอ๋อ แล้วทำเป็นอารมณ์ขัน
“ให้คนออทิสติกไปสอนคนออทิสติกเนี่ยนะ”
“ล้อเล่นน่ะ ก็สอนเด็กประถมทั่วไปนี่แหละ สอนตัวต่อตัวบ้างเป็นกลุ่มสองสามคนบ้าง เงินดีเหมือนกัน สนมะ”
ปลายฟ้าชี้หน้าตัวเองให้น้องๆ ดู
“ดูหน้า ดู คิดว่าจะเอาไหมล่ะ” ปลายฟ้าถามพร้อมกับหัวเราะ “ขอบคุณทุกคนมากเลย ทุกคนไปแล้วนะ”
ปลายฟ้ารู้สึกดีใจที่ชีวิตเริ่มจะกระเตื้องขึ้น
เย็นวันเดียวกันนั้นที่บ้านของหนูเอมซึ่งเป็นอาคารพานิชย์และเปิดเป็นร้านขายพิซซ่า
“เข้ามาก่อนค่ะพี่ไท”
หนูเอมกับไทเดินเข้าไปในร้านไม่เห็นว่ามีคนหนูเอมจึงร้องเรียกเบาๆ
“แม่แป๊ด แม่แป๊ดพี่ไทมา” หนูเอมเดินไปหาแม่ที่หลังบ้าน “แม่แป๊ด”
แป๊ดหันมาเห็นว่าในหน้ามีเคราดูโหด
“หนูเอม”
หนูเอมเข้าไปกอดแป๊ดแล้วชวนมาหน้าร้าน
“พี่ไทมาค่ะ”
ไทนั่งอยู่ในร้าน แป๊ดเดินออกมาแล้วทักทายกัน
“ว่าไงไทสบายดีนะ”
“ครับ กิจการเป็นยังไงบ้าง”
“ก็ขายดีขึ้นช่วงนี้ข้าคิดโปรโมชั่นพิเศษหลายอย่างลดแลกแจกแถมก็พออยู่ได้เศรษฐกิจอย่างนี้ต้องสู้กันไป”
หนูเอมเอาน้ำมาให้ไท ไทมองไปรอบๆ ร้าน
“นี่ยังไม่มีใครมาเช่าห้องที่เหลือเลยหรือ”
“ใช่ จริงๆ มันก็มีอยู่แต่มันติดว่าเจ้าของตึกเขาตายที่นี่คนเลยกลัว”
“แล้วน้าแป๊ดไม่กลัวหรือ”
“กลัวทำไมผีต้องกลัวข้าสิ อยู่มาตั้งหลายปีก็ไม่เห็นมีอะไรอีกอย่างเขาลดค่าเช่าให้ตั้งครึ่ง” หนูเอมเดินเข้าไปหลังบ้านแป๊ดกระซิบกับไท “อีกสองวันอย่าลืมมางานวันเกิดหนูเอมนะข้าจะทำเซอร์ไพรส์”
ไทรับรู้แป๊ดยิ้มในใจมีแผน
อีกด้านหนึ่งนันณภัสออกจากห้องประชุม แล้วเดินมาตามทางสีหน้าดูยุ่งๆ มีพนักงานชายหญิงสองคนเดินข้างๆ นันณภัสเดินไปสั่งงานไป
“เรื่องแบบที่แก้ไขยังไงก็ต้องรีบส่งทางเทศบาลด้วยนะ”
“ครับ”
“รีบสรุปร้านที่จะเข้ามาช่วยพื้นที่ด้วยนะ แล้วแจ้งไปว่าราคาที่เราเสนอไปเป็นราคาที่เราลดไม่ได้แล้ว”
“ค่ะ”
นันณภัสเดินมาใกล้ถึงหน้าห้องพนักงานทั้งคู่เดินแยกไป นันณภัสเดินผ่านเลขาหน้าห้องอย่างรีบเร่งเลขาพยายามจะบอกอะไรบางอย่างแต่ไม่ทันนันณภัสเปิดประตูเข้าไปเสียแล้ว
ประตูเปิดออกนันณภัสเดินเข้ามาในห้องทำงานแล้วพบว่าพีทนั่งหันหลังให้อยู่ที่โต๊ะของเธอ
“นึกว่าแขกวีไอพีที่ไหน วันนี้พายุท่าจะแรงเลยหอบเอาน้องชายสุดที่รักมาหาถึงนี่”
พีทหันมาเขาส่ายหน้าแล้วยิ้ม
“แหม ก็คนคิดถึงจะมาหาไม่ได้หรือ”
นันณภัสเงยหน้ามองเห็นเป็นพีทเธอแปลกใจ แล้วล้อเล่น
“เหรอ นี่พี่เกือบจำหน้าพีทไม่ได้แล้วนะเนี่ย จำได้ว่าเห็นหน้าพีทครั้งสุดท้ายตอนกลับจากเมืองนอกมั้ง”
“หา นานขนาดนั้นเลยหรือ ผมกลับจากเมืองนอกเกือบปีแล้วนะ”
“ยังไงก็กลับมากินข้าวเย็นกับพ่อบ้าง”
เลขาเดินเอางานเข้ามาส่งที่โต๊ะ
“ขอโทษนะคะ รายชื่อบริษัทตกแต่งภายในที่สั่งให้หาค่ะ”
“สกรีนแล้วนะ”
“ค่ะ ทั้งหมดทุนจดทะเบียนไม่ต่ำกว่า 20 ล้านค่ะ”
“ดีมาก ขอบใจนะ เออนี่นายเรียวไปไหนเนี่ย”
“ไม่ทราบค่ะ ไม่เห็นตั้งแต่ตอนสายแล้ว” เลขาบอก
นันณภัสเฉยๆ เลขาออกไป พีทถามนันณภัส
“ไม่มาวุ่นวายก็ดีแล้ว พี่ไม่อึดอัดบ้างหรือมีบอดี้การ์ดเฝ้าทั้งวัน เป็นผมรำคาญตายเลย”
“บางครั้งก็รำคาญนะ แต่พ่อสั่งมานี่เขาก็ต้องทำตามหน้าที่”
“พ่อนี่ก็แปลก คนเนอะ ทำอย่างกับเรามีศัตรูมากมายอย่างนั้นแหละ”
“ไม่รู้สิ พ่อคงเป็นห่วงเราน่ะ” นันณภัสนึกขึ้นได้ “เอ มาหาพี่วันนี้เพราะคิดถึงจริงหรือเปล่านะ”
“เบื่อจังเลย คนรู้ทันเนี่ย”
นันณภัสหัวเราะเบาๆ
“ก็ตั้งแต่กลับมาเมืองนอก พีทจะมีธุระมาหาพี่สองเรื่องนี่นา”
“เรื่องอะไร เอ้า”
“หนึ่งเรื่องยืมเงิน” พีททำท่าชูสองนิ้ว
“แล้วสองล่ะ”
“เรื่องขอเงิน”
“โธ่ มันก็เหมือนกันนั่นแหละ”
“เหมือนที่ไหน ขอกับยืม ขอไม่ต้องใช้ แต่ยืมต้องใช้คืน วันนี้จะมาอย่างไหนล่ะ”
พีทยิ้มอ้อมแอ้ม
“เอาอย่างไม่ต้องคืนก็แล้วกัน นี่เห็นแก่ความเป็นพี่เป็นน้องนะเนี่ย”
นันณภัสหยุดแล้วมองหน้าพีทจริงจังกว่าเดิม
“เท่าไหร่”
“สองล้าน”
นันณภัสไม่ได้ตกใจกับยอดเงินจำนวนนี้แต่สงสัยว่าจะเอาไปทำไม
“จะเอาไปทำไมตั้งสองล้าน”
“พอดีธุรกิจ ขาดสภาพคล่องนิดหน่อย อยากเอาไปหมุนสักเดือนนึง”
“พี่ไม่เข้าใจจริงๆ กิจการครอบครัวมีตั้งเยอะแยะไม่ยอมทำ”
“แหม ผมก็อยากตั้งตัวของผมเองบ้างสิ”
นันณภัสยิ้มพลางหยิบเช็คมาเซ็นให้ เขาเชื่อที่พีทพูด
“เอ้า ไปเบิกเอาเองนะ”
พีทรับเช็คไปแล้วยิ้มอย่างพอใจ
“ขอบคุณครับพี่พัด พี่พัดน่ารักที่สุดเลย ขอให้มีแฟนหล่อๆ ไปล่ะ”
พีทยิ้มกวนๆ หอมแก้มนันณภัสฟอดใหญ่แล้วออกไป นันณภัสมองตามแล้วทำท่าเอ็นดูน้องชายคนนี้ พีทเดินออกมานอกห้องแล้วกดโทรศัพท์ไปหาใครบางคน
“เรียบร้อย คืนนี้เจอกัน”
รถลีมูซีนคันหรูแล่นมาจอดเทียบที่หน้าทางเข้าส่วนบริหารงานของนิคมอุตสาหกรรมด้านหน้าตกแต่งแบบธรรมชาติดูร่มรื่น อาฮวดก้าวลงจากรถเดินเข้าไปในออฟฟิตอย่างสง่ามีเรียวติดตามมา
น้ำชาถูกวางลงตรงหน้าเจียงท่าทางเขาสดชื่นยินดี เจียงเป็นชาวจีนอายุราว 40 เศษ ภายในห้องมีเพียงมังกรกับเจียงและเลขาเจียงเท่านั้น อาเพียวกับคนอื่นๆ เฝ้าอยู่หน้าห้อง
“จิบน้ำชาก่อนคุณเจียง เชิญ”
เจียงกับมังกรจิบน้ำชาไปพลาง ตรงกลางห้องประชุมมีโมเดลของนิคมทั้งหมด
ทางเดินมาห้องประชุมอาฮวดเดินนำเรียวมาตามทาง เดินผ่านส่วนออฟฟิตพนักงานต่างทำความเคารพอาฮวดราวกับเป็นคนสำคัญคนหนึ่ง อาฮวดเดินมาถึงหน้าห้องประชุมแล้วเจออาเพียวเขาจะเข้าไปข้างในแต่อาเพียวห้ามไว้
“ท่านประธานบุ๊นล่ะ”
อาฮวดมองหน้าอาเพียวแบบคนละชั้น
“ท่านให้ฉันมาแทน”
อาฮวดเข้าไปเรียวจะตามเข้าไปแต่อาฮวดโบกมือห้ามเรียวยืนรอหน้าห้อง ประตูห้องประชุมเปิดออกมังกรกับเจียงมองอาฮวดแบบสงสัย
“ท่านประธานไม่สบายเลยให้ผมมาประชุมแทนครับ”
เจียงท่าไม่ค่อยพอใจ
“อ้าว แล้วอย่างนี้จะคุยรู้เรื่องหรือ”
“ไม่เป็นไร อาฮวดตามพี่ใหญ่มานานถ้าพี่ใหญ่มอบหมายมาแล้วแสดงว่าไม่มีปัญหามาเริ่มกันเลยดีกว่า”
แววตามังกรไม่เชื่อที่อาฮวดพูดแต่ก็แก้ต่างให้ อาฮวดนั่งแทนที่บุ๊นแล้วเริ่มการประชุม
“ตอนนี้ทางเซี่ยงไฮ้และกวางโจวสนใจที่จะมาใช้นิคมของเรามาก”
“อืม ข่าวดี”
“งานนี้ต้องขอบคุณคุณบุ๊นตาแหลมจริงๆ เมื่อ 7 - 8 ปีก่อนใครเห็นที่ตรงนั้นก็เบือนหน้าหนีตอนนี้ทุกตารางนิ้วมันทองทั้งนั้น”
“แสดงว่าเราต้องเราต้องขยายพื้นที่การก่อสร้างเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุน” อาฮวดบอก
มังกรไม่ค่อยมั่นใจอาฮวด
“ก็คงต้องเป็นอย่างนั้นไม่รู้พี่ใหญ่จะเห็นด้วยหรือเปล่า”
“เห็นด้วยครับที่ดินเราเหลืออีกเกือบพันไร่ไฟฟ้าน้ำและระบบสาธารณูปโภคต่างๆ มีพร้อมรองรับการขยายตัวไม่มีปัญหาอะไรถ้าจะติดก็น่าจะเป็นเรื่องของการก่อสร้าง”
มังกรถึงกับสะอึกเจียงเห็นด้วยกับอาฮวด
“นั่นสิมังกรคุณดูแลเรื่องก่อสร้างคิดว่ายังไง จะล่าช้าหรือติดขัดอะไรไหม”
มังกรยืนมองโมเดลอย่างมั่นใจ
ทั้งหมดเดินทางมาที่นิคม
“จะรบก็ต้องใช้อาวุธและทหารกล้า เมื่อมีทุนทุกอย่างก็จบ”
มังกรบอกขณะที่อาฮวด เจียง พวกลูกน้องกับเรียวยืนอยู่ด้านหลัง
“ดี งั้นก็ลงตัววินวินคุณบุ๊นดูแลการจัดการทั้งหมดผมเอาคนมาลงทุนส่วนคุณมังกรก่อสร้าง” เจียงบอก
“งั้นตกลงตามนี้”
“งั้นเราไปหาอะไรทานกันก่อนดีไหมแล้วค่อยคุยกันไป”
“เอาสิ ทานไปคุยไปดีเหมือนกัน”
“เชิญคุณเจียงกับคุณมังกรตามสบายครับพอดีหมดผมธุระแล้ว”
อาฮวดบอก เจียงไม่ค่อยพอใจเขาอยากจะคุยเรื่องบางอย่าง
“เดี๋ยวสิ เรื่องโรงแรมที่เคยคุยกันคุณบุ๊นว่ายังไง”
“เรื่องนั้นผมไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะตัดสินใจผมขอตัวนะครับ”
อาฮวดเดินไปที่รถเรียวรอเปิดประตูให้แล้วรถขับออกไป เจียงมีสีหน้าโมโห
ดุจตะวันดั่งภูผา ตอนที่ 2 (ต่อ)
ที่คลับเฮ้าส์ในสนามกอล์ฟ บุ๊นเดินเข้ามากับผู้ช่วย ห่างออกไปมีชาวต่างประเทศแถบอเมริกาสองคนเจ้าหน้าที่สนามกอล์ฟเดินมาต้อนรับบุ๊น
“ท่านประธานทางสตาร์ฟของ WHA มารออยู่แล้วค่ะ ที่ World hotel association”
บุ๊นรับรู้แล้วเดินตามพนักงานไป เจ้าหน้าที่ของ WHA นั่งชมความงามของสนามกอล์ฟอยู่บุ๊นเดินเข้ามาแล้วทักทาย
“สวัสดีครับขอโทษที่ต้องให้รอยินดีที่ได้พบครับสองพี่น้องวอลเธอร์”
ฝรั่งคนที่1 ชื่อไมค์อีกคนชื่อรอย
“ไม่นี่ครับ คุณบุ๊นมาตรงเวลาผมมาถึงก่อนต่างหาก”
“เราอยากมาดูที่นี่ก่อนน่ะครับสวยงามจริงๆ”
“เราเข้าเรื่องเลยดีไหมครับ”
สองพี่น้องวอลเธอร์พยักหน้าแล้วเดินตามบุ๊นไปที่ห้องวีไอพี ระหว่างนั้นทนายวันชัยคนของมังกรเดินผ่านมาพอดี ทนายวันชัยมีสีหน้าแปลกใจเมื่อเห็นบุ๊นจึงหยิบโทรศัพท์มากดหามังกร
“นายบุ๊นมาทำอะไรกับสองพี่น้องตระกูลวอลเธอร์”
เจียงยังคงเดินไปรอบๆ บริเวณนิคม สีหน้าเขาโมโหเพราะรู้ทันบุ๊น
“คุณบุ๊นไม่สบายหรือ ทำไมไม่เขียนใบลามาด้วยล่ะ ยังไงผมก็ต้องขอซื้อโรงแรมนั่นให้ได้”
มังกรมองเจียงแบบคู่แข่ง
“ผมว่าเรื่องนี้ยากนะอีกอย่างคนที่อยากได้มีแค่คุณเจียงซะเมื่อไหร่”
“ผมก็พอรู้มาบ้างแต่อยากจะรบกวนคนใกล้ชิดอย่างคุณช่วยพูดให้หน่อยบางทีคุณบุ๊นอาจจะใจอ่อน”
“จริงสินะบางทีพี่ใหญ่อาจเกรงใจคนใกล้ชิดอย่างผมก็ได้ผมจะลองพูดกับพี่ใหญ่ดู”
“งั้นคงต้องรบกวนด้วย วิธีไหนก็ได้ผมรับได้ทั้งนั้น”
เจียงบอกทิ้งท้ายก่อนจะเดินจากไป จังหวะนั้นมีโทรศัพท์เข้ามาหามังกร มังกรกดรับ
“ว่าไงทนายวันชัย...พี่ใหญ่หรือ...อืม ขอบใจมาก ...ที่บ้าน...ยินดีที่ได้พบ...ที่บ้านหรือรถ...นึกอยู่แล้ว”
มังกรมีสีหน้าครุ่นคิดขณะเดินไปที่รถ อาเพียวเห็นสีหน้ามังกรจึงถาม
“ขอโทษนะครับนายมีอะไรหรือเปล่า”
“ไอ้สองพี่น้องตระกูลวอลเธอร์มันมาหาพี่ใหญ่”
“ก็คงคุยธุรกิจตามปกติมั้งครับไม่น่าจะมีอะไร”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีแต่ใครๆ ก็รู้ถ้าไอ้สองพี่น้องนี่ปรากฏตัวเมื่อไหร่นั่นหมายถึงผลประโยชน์ล้วนๆ พี่ใหญ่กำลังทำอะไรนะ”
ในรถอาฮวด เรียวขับรถให้อาฮวดนั่งมาตามถนนหลังจากที่ออกจากนิคม เรียวสงสัยและเป็นห่วง
“ท่านประธานไม่สบาย เป็นอะไรหรือครับ”
อาฮวดหัวเราะเบาๆ การสนทนาจบลง เรียวนั่งนิ่งแต่เขาไม่เข้าใจ
คืนนั้นพีทขับรถเข้ามาที่สุสานรถ มันมีเพียงแสงไฟจากหน้ารถเขาเท่านั้นพีทจอดรถแล้วลงไปยืน พวกแก๊งสามเค สามสี่คนเดินมาที่รถพีทแล้วลูกคลำในความสวยของรถ สปอร์ตไลท์สว่างพลึ่บ สี่ดวง ทำให้เห็นบรรยากาศ พีทยืนอยู่ที่กลางลาน รายล้อมด้วยรถยนต์ที่หมดอายุการใช้งานแล้ว ที่มุมหนึ่งมีรถแบล็คโฮล จอดอยู่ หัวหน้าสามเค ก้าวออกมาพร้อมลูกน้องรายล้อม
“รถแกสวยนี่หว่า ฉันชักจะอยากได้แล้วสิ”
“อย่ามายุ่งกับรถของฉัน”
“ไหนเงิน”
“แล้วโจเพื่อนฉันล่ะ”
“ไม่ต้องห่วงเพื่อนแกสบายดี แค่มีบาดแผล กับไอนิดหน่อย”
หัวหน้าเพยิดหน้าให้ลูกน้องที่รถแบล็คโฮล ไฟสปอร์ตไลท์สว่างขึ้น สาดเข้าไปในรถคันหนึ่ง เห็นโจถูกมัดปาก และมัดมืออยู่ในรถ
“โจ ใจเย็น ทุกอย่างต้องเรียบร้อย” พีทตะโกนบอกเพื่อน
“เอาเงินฉันคืนมา”
พีทโยนถุงเงินให้หัวหน้า หัวหน้ารับไปแล้วเปิดดูนิดหน่อยท่าทางพอใจ
“คราวหน้าคราวหลังอย่าบังอาจเอารถย้อมแมวมาส่งให้ฉันอีก อู่แกน่ะน่าจะเปลี่ยนจากคุณภาพล้ำหน้า ราคาตามหลัง เป็นคุณภาพสุดห่วยราคาสุดโหดจะดีกว่า”
พีทไม่พอใจ
“เฮ้ย นั่นมันสโลแกนฉันแกอย่ามายุ่ง ฉันลดตัวยอมใช้เงินแกคืนก็ดีแล้วปล่อยเพื่อฉันมาดีกว่า”
“อย่ามาสั่งฉัน แกคิดว่าแกเป็นลูก...”
“ฉันบอกให้ปล่อยเพื่อนฉัน”
พีทเลือดขึ้นหน้าหัวหน้ายิ้มเจ้าเล่ห์
“ใจเย็นๆ จริงๆ ก็อยากจะปล่อยนะ แต่เพราะของเน่าๆ ของแกนี่แหละทำให้ฉันเสียลูกค้า”
“แกต้องการอะไร”
“ฉันรู้มาว่า แกส่งของให้แก๊งลูกเต๋า ซึ่งมันก็เป็นคู่แข่งคนสำคัญของฉันด้วย”
“ก็ฉันมันทำการค้า ก็ต้องมีลูกค้าอื่นๆ บ้างสิ อีกอย่างธุรกิจมันก็ต้องมีคู่แข่งเป็นธรรมดา ไม่เห็นแปลก”
“แปลกหรือไม่มันเรื่องของแก แต่เรื่องของฉันก็คือฉันอยากได้รายชื่อลูกค้าของมันทั้งหมด”
“นี่แกคิดจะแย่งลูกค้ากันซึ่งๆ หน้าเลยหรือ”
“แน่นอน ก็แกทำให้ลูกค้าฉันหายไป แกก็ต้องเอามาเติมให้ฉัน”
“นั่นมันความลับของลูกค้า ฉันบอกแกไม่ได้หรอก”
“ธุรกิจกิจน่ะมันเหมือนสมบัติผลัดกันชม ไม่มีมิตรแท้ ไม่มีศัตรูที่ถาวร ทุกอย่างผลประโยชน์ต้องมาก่อน และบังเอิญตอนนี้ฉันอยู่ในฐานะผู้รับผลประโยชน์นั้นด้วยสิ” หัวหน้ายิ้มเลือดเย็น พีทนิ่งสีหน้าตัดสินใจ “ว่าไง อย่างนั้นฉันจะรีไซเคิลเพื่อนแก คิดว่าถ้าไปเกิดใหม่คงหล่อกว่านี้”
หัวหน้าเพยิดหน้าให้รถแบล็คโฮลยกบุ้งกี๋ทำท่าจะกดหลังคารถที่มัดโจเอาไว้ โจมีสีหน้าตื่นกลัวดิ้นรน พีทตัดสินใจต่อรอง
“เดี๋ยวๆ เอ่อ มันเขียนอยู่บนบอร์ดที่ออฟฟิศฉันน่ะ”
หัวหน้ายิ้มแล้วโทรศัพท์ไปหาลูกน้อง
ลูกน้องของแก๊งสามเคนั่งเอาขาพาดโต๊ะ ดื่มกาแฟท่าทางสบาย อีกคนคอยคุมพนักงานของพีท ทุกคนถูกสั่งให้นอนคว่ำเรียงกัน เสียงโทรศัพท์หัวหน้าดังขึ้น ลูกน้องทางอู่รับสาย
“มันบอกว่าอยู่บนบอร์ด”
ลูกน้องที่อู่หันไปมองบอร์ดแล้วงง เพราะบอร์ว่างเปล่า
“ไม่เห็นมีอะไรเลย บอร์ดว่างสนิท”
หัวหน้าโมโห
“ไอ้โกหก”
หัวหน้าเพยิดหน้าให้รถแบล็คโฮลกดลงไปอีก โจดิ้นรนด้วยความกลัว พีทคิดไม่ถึงว่าจะมีคนไปคุมที่อู่
“พวกแกทำอะไรกับอู่ฉัน”
“ตอนนี้ยัง แต่สองนาทีต่อไปนี้แกยังไม่บอกล่ะก็เละ รวมทั้งรถสุดที่รักของแกด้วย”
พีทหันไปมองรถ พวกลูกน้องสามเคมีไม้เบสบอลครบมือพร้อมจะฟาดได้ทุกเมื่อ พีทมีสีหน้าตัดสินใจแล้วรำพึง
“ซวยจริงๆ กู เอาไงดีวะ” รถแบล็คโฮลกดลงไปอีก “เดี๋ยวก่อน มันต้องใช้ไฟส่อง”
หัวหน้ายิ้มแล้วสั่งลูกน้องที่อู่ของพีท
“บอร์ดมันต้องการแสงสว่างนิดหน่อย”
ลูกน้องหยิบแบล็คไลท์ส่องไปที่บอร์ดเห็นว่ามีตัวเลขสลับกับตัวอักษรภาษาอังกฤษเต็มไปหมดอักษระเป็นตัวเลขกับตัวหนังสือสลับกันไป มีการเขียนเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ เต็มบอร์ด
“มีแต่ตัวเลขกับตัวหนังสือเรียงกันเต็มไปหมดเลย”
หัวหน้าเข้าใจดีแล้วถามพีทเสียงเข้ม
“ตัวเลขกับตัวหนังสือพวกนั้นคืออะไร”
พีทถอนหายใจมองไปทางโจ สีหน้าโจกลัวกำลังจะร้องไห้
“มันเป็นรหัส”
“ฉลาดไม่เบานี่ ถอดรหัสยังไง”
พีทตัดสินใจ เขามองโจและมองหัวหน้า
“บอกแกไปฉันก็เสร็จ”
“นั่นมันเรื่องของแก”
หัวหน้าเพยิดหน้าให้รถแบล็คโฮลกดลงอีก
“โปรแกรมถอดรหัส อยู่ในโน๊ตบุ๊คในรถ”
พีทตัดสินใจบอก หัวหน้าสั่งลูกน้องไปเอามา ลูกน้องเอาโน๊ตบุ๊คมาให้หัวหน้าแล้วเปิด
“บอกไฟล์มา”
“ไฟล์รูปหัวกระโหลกบนไม้กางเขน”
ที่จอคอมพ์เห็นไฟล์รูปหัวกระโหลกกับไม้กางเขน เมื่อเปิดออกมามีช่องถามพาสเวิร์ด หัวหน้ามองมาที่พีทแล้วยิ้ม
“พาสเวิร์ด”
บุ้งกี๋รถแบล็คโฮลกดลงมาที่หลังคารถที่โจถูมัดอยู่
“เดี๋ยว เดี๋ยว ขอนึกก่อน”
“นึกให้เร็ว นึกให้ไว ถ้านึกได้...รอด” รถแบล็คโฮลกดลงมาอีก โจก้มหัวลงติดเข่า ท่าทางกลัวมาก ถ้ากดอีกสองทีรับรองว่าเขาได้ไปเกิดใหม่แน่ “เตือนความจำอีกหน่อยซิ”
“บอก บอก บอกแล้ว”
“ดี บอกมา”
“6 4 เอี่ยว O K”
“หก สี่ เอี่ยว โอ เค”
ลูกน้องกดพาสเวิร์ดตาม ที่บอกจอปรากฏโปรแกรมให้ป้อนตัวเลข หัวหน้าถามไปที่อู่
“บอกรหัสมาสักตัวซิ”
“235utz 0/1”
หัวหน้าป้อนรหัสเข้าไป ที่จอปรากฏรูปภาพ ชื่อลูกค้าและรายละเอียดทั้งหมด
“บิงโก” หัวหน้ายิ้มแล้วบอกพีท “ปล่อยมัน คราวหน้าจะย้อมแมวล่ะก็ใช้สีดีๆ หน่อย ดีที่เป็นแก๊งฉัน ถ้าเป็นคนอื่นล่ะก็เขาคงไม่ปล่อยแกง่ายๆ หรอก วงการนี้มันไม่หมูหรอกแกยังต้องเรียนรู้อีกเยอะ” หัวหน้าหัวเราะเยาะ
โจถูกปล่อยตัว พีทรีบไปรับแล้วพาขึ้นรถขับออกไปฝุ่นตลบ หัวหน้ากับลูกน้องมองพีทจากไปสีหน้าพอใจทั้งคู่ “ตกลงไอ้พีทนี่มันลูกใคร” ลูกน้องถามอย่างสงสัย
“ลูกหมา ที่พ่อมันตัดหางปล่อยวัด”
“โธ่นึกว่าข่าวใหม่”
บ้านเจียงที่เซี่ยงไฮ้ พ่อของเจียงเป็นอัมพาตเพราะเส้นเลือดในสมองแตกนั่งอยู่บนรถเข็นมองออกไปในความมืด เจียงเดินเข้ามาหาพ่อด้วยสีหน้าไม่ดี พ่อเขามองหน้าเจียงเหมือนจะถามอะไรสักอย่าง เจียงรายงาน พ่อของเจียงแค้นจนปากเบี้ยวน้ำตาไหล อาการกำเริบคนรับใช้ต้องช่วยกันปฐมพยาบาลแล้วเข็นรถออกไป
“ไม่ต้องห่วงครับท่านพ่อ ผมจะเอาสมบัติของเรากลับมาให้ได้ (ปู้เย้าตันสิ่นว๋อเยิ่นติ้งกั่วหลนว๋อเมินเตอตงซี)”
เจียงบอกออกมาด้วยความแค้น
กลางดึกคืนนั้นที่บ้านบุ๊น นันณภัสนอนไม่หลับเธอจึงออกมายืนที่ระบียง แล้วมองดูดาวอย่างสดชื่น พลันสายตาเหลือบไปเห็นเรียว อาฮวดและบุ๊นเดินออกมา นันณภัสสงสัยจึงเดินลงมา
ที่หน้าประตู บุ๊นฝากฝังเรื่องงานแล้วตบไหล่อาฮวด
“ฝากด้วยนะฮวด ยังไงก็ดูให้ดีหน่อย”
“ครับท่านประธาน”
“กลับไปพักผ่อนได้แล้วเรียว”
เรียวคำนับแล้วแยกไป บุ๊นเดินไปกับอาฮวด นันณภัสลงมาแล้วเดินไปหาเรียวด้วยความสงสัยแล้วถาม
“นายเรียว”
“คุณพัดยังไม่นอนอีกหรือครับ”
“ประชุมเรื่องอะไรกันหรือ ถึงได้อยู่กันดึกดื่นป่านนี้”
“เปล่านี่ครับก็เรื่องธรรมดาทั่วไปขอตัวนะครับ”
“นายโกหก เรื่องธรรมดาก็คุยกันตอนเช้าก็ได้ มีเรื่องอะไรหรือ”
เรียวอึดอัด บุ๊นเข้ามาช่วยไว้ได้
“เรื่องงานน่ะ ไม่มีอะไรหรอก พ่อแค่อยากจะพักอยู่บ้าน แล้วฝากงานให้เขาไปทำ กลับไปได้แล้วเรียว”
บุ๊นตาเข้มกับเรียว
เรียวกลับไป บุ๊นหันมาอ่อนโยนกับนันณภัสแล้วเดินเข้ามาในบ้านพลางคุยกัน
“ดึกแล้วทำไมไม่นอนล่ะ”
“พัดนอนไม่หลับค่ะ”
“คิดเรื่องคอมเพล็กซ์หรือ”
“ค่ะ มันไม่ง่ายเลย”
“ใจเย็นๆ ค่อยๆ ทำ ถ้าปิรามิดสร้างวันเดียวเสร็จป่านนี้คงมีเต็มบ้านเต็มเมืองแล้ว”
“วันนี้นายพีทไปหาหนูด้วยค่ะ”
“คงมีเรื่องเดือดร้อนล่ะสิ”
“เปล่าหรอกค่ะ แค่มาขอคำแนะนำเรื่องธุรกิจ”
“ธุรกิจหรือ งานอะไรก็ไม่จับเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่รู้จะไว้ใจได้ยังไง”
“แหม ก็พีทยังเด็กอยู่นี่ เอาไว้โตอีกหน่อยก็เปลี่ยนไปเองนั่นแหละค่ะ”
นันณภัสออกรับแทนน้องชาย บุ๊นรู้สึกชื่นใจในตัวลูกสาว
“เฮ้อ คงยาก คนอย่างตาพีทไม่มีใครไปเปลี่ยนนิสัยได้หรอกแต่พ่อก็ขอบใจพัดนะ ยุ่งทั้งงาน ยุ่งทั้งนายตัวแสบ แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่จะได้เป็นฝั่งเป็นฝาล่ะ”
“ยังมองๆ อยู่มั๊งคะ”
“มองคนแบบไหนล่ะ”
นันณภัสนึกถึงชายในฝัน
“อืม แบบไหนดีน้า ไม่รู้สิคะ เขาอาจเป็นแค่คนธรรมดาๆ คนหนึ่ง ไม่ได้รวย ไม่มีธุรกิจใหญ่โตก็ได้นะ”
“เจอแล้วอย่าลืมบอกว่าพ่อดูนะ”
“แหม พัดก็พูดไปอย่างนั้นแหละ ทำงานทั้งวันจะให้ไปมองใคร พอรู้ว่าเป็นลูกสาวพ่อเขาก็ขยาดไม่กล้ามาจีบแล้ว”
บุ๊นอารมณ์ขันกับลูกสาว
“อ้าว สรุปว่าพ่อเป็นสาเหตุ ว่างั้น”
นันณภัสตอบอย่างอารมณ์ดีแล้วกอดบุ๊นอย่างเอาใจ
“ไม่หรอกค่ะมันไม่เกี่ยวกับอะไรหรอกแค่ตอนนี้มันยังไม่เจอน่ะเอาน่าถึงเวลามันก็มีเองล่ะ อย่าไปเร่งมันเดี๋ยวจะไม่ได้ของดี”
“ดึกแล้วไปนอนกันดีกว่า”
บุ๊นแยกไปนอนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
วันต่อมาที่สวนเสือศรีราชา ฝ่ายเพาะพันธุ์เสือโคร่ง แม่เสือกำลังตั้งท้องจะคลอดในอีกไม่กี่วัน สัตวแพทย์ตรวจอาการเสร็จก็เดินมาคุยกับพี่ธงและไท
“สุขภาพของแม่เสือตอนนี้ดีมากเลยนะคะ แข็งแรงสมบูรณ์ พร้อมที่จะคลอดแล้ว ยังไงช่วงนี้ก็ขอให้ดูแลอย่างใกล้ชิดนะคะ ที่สำคัญอย่าให้แม่เสือเครียด เพราะอาจจะส่งผลต่อลูกในท้องได้ อาจจะทำให้แม่เสือแท้งหรือลูกที่คลอดออกมาพิการได้ มีอะไรก็ไปเรียกได้นะคะดิฉันลาล่ะค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
สัตวแพทย์เดินจากไป พี่ธงหารือกับไทพร้อมกับเดินไปรอบๆ
“คลอกนี้จะได้สักกี่ตัวนะ”
“ถ้าออกมาเยอะก็คงต้องเพิ่มคนดูแลนะครับพี่ธง”
พี่ธงมีสีหน้าค่อนข้างหนักใจ
“ก็อยากจะเพิ่มอยู่หรอกนะ แต่ค่าใช้จ่ายมันก็ต้องเพิ่มด้วย”
“งั้นเราลองหาเด็กมาทำแบบพาสไทม์ก็ได้”
“แบบนั้นมันจะได้หรือคนดูแลลูกเสืออย่างน้อยต้องมีประสบการณ์กับสัตว์พวกนี้นะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมจะช่วยเทรนเอง” พี่ธงมีสีหน้าดีขึ้นและรู้สึกขอบใจไท “โธ่ แมวน้ำยังฝึกได้เลยครับพี่ ประสาอะไรกับคน จริงป่ะ” ไทหัวเราะ พี่ธงพอใจและเห็นด้วย “ผมไปก่อนนะพี่”
ไทเดินแยกมาหยุดยืนที่รถปิคอัพขนอาหารสัตว์
“เอาของที่จะส่งขึ้นรถเรียบร้อยแล้วนะ”
“เรียบร้อยแล้วครับหัวหน้า”
“ขอบใจมาก”
ไทปิดท้ายรถ
“พี่ไท” หนูเอมวิ่งมาหาไท
“ว่าไงหนูเอม วันนี้มีเงินซื้อตั๋วแล้วหรือ”
“วันนี้ไม่ต้องซื้อเพราะมากับคนส่งอาหารสัตว์ค่ะ เลยไม่ต้องเสียตังค์”
ไทหัวเราะอย่างเอ็นดู
“หาเรื่องเข้าฟรีจนได้”
หนูเอมเห็นไทกำลังจะขับรถปิคอัพคันเก่าของสวนสัตว์ออกไปข้างนอก
“พี่ไทกำลังจะไปไหนหรือคะ”
“อ๋อ พี่ขอพวกเศษผักที่เขาทิ้งจากสวนผักชาวบ้านไว้น่ะ เขาให้ฟรีแต่เราต้องไปขนเองพี่ว่ามันช่วยลดต้นทุนอาหารได้อีกทางหนึ่ง”
“ทำอย่างกับเป็นเจ้าของเองเลยนะพี่ไท ให้หนูเอมไปช่วยพี่ไทขนผักนะคะ”
ไทยิ้มรับแบบอนุญาต หนูเอมขึ้นรถ แล้วไทก็ขับรถออกไป
ปลายฟ้าขี่เวสป้าคู่ใจเข้ามาในบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่งท่าทางเป็นบ้านผู้ดี ปลายฟ้าลงจากรถแล้วมองบ้านในใจคิดว่างานนี้คงง่ายได้ราคาดี
“โอ้โหหลังใหญ่ชมัดอย่างนี้ต้องมีทิปเป๋าตุงแน่” เมื่อเข้ามาในบ้านปลายฟ้าแนะนำตัวกับแม่เด็กซึ่งเป็นเจ้าของบ้าน “สวัสดีค่ะ หนูเป็นครูสอนเปียโนคนใหม่ รุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยแนะนำมาค่ะ”
“เหรอคะ อ๋อ สอนเอง เข้ามาก่อนลูก”
“ไม่ทราบว่าเด็กเรียนถึงสเต็บไหนแล้วคะ สงสัยจะแอดวานซ์แล้วใช่ไหมคะเห็นเปลี่ยนครูเรื่อยๆ”
“เอ่อ สเต็ป 1 ยังไม่ครึ่งเล่มเลยค่ะ”
ปลายฟ้าตกใจพลันมีจรวดกระดาษพุ่งมาปลายฟ้าหลบ
“ปล่อยจรวด ยิงปืนใหญ่”
มีลูกเทนนิสตามมาติดๆ ปลายฟ้ารับได้อย่างเซียนแล้วมองไปที่เด็กอย่างเยาะๆ อย่างไม่ทันตั้งตัวมีลูกเทนนิสอีกลูกลอยมาถูกหน้าผากปลายฟ้าจังๆ แม่เด็กตกใจหน้าเสีย
“ตายแล้วลูกบอส ขอโทษนะคะ” บอสยืนมองปลายฟ้าแล้วทำหน้าทำตาหลอกแล้ววิ่งไป “ดิฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ เอ่อ ตกลงจะสอนไหวไหมคะ”
ปลายฟ้าหน้าหงิกแต่ก็ทำเป็นปกติเพราะเห็นแก่เงิน
“มิน่าถึงเปลี่ยนครูบ่อย” ปลายฟ้ากัดฟันบ่นออกมาเบาๆ แล้วหัวเราะ “ไหวคะ ธรรมดาสบายมาก เริ่มกันเลยไหมคะ”
เสียงบอสดังออกมาอีก
“นี่แน่ นี่แน่หนีหรือ”
“บอสเอาแมวไปเก็บเดี๋ยวนี้นะลูก”
บอสเก็บแมววิ่งไป แมวตัวหนึ่งวิ่งเข้ามาในห้อง ปลายฟ้ามองมันแมววิ่งลอดขาปลายฟ้าไปแล้วมองตามแมวพอเงยหน้าขึ้นมาก็เจอบอสยิงปืนเพนท์บอลใส่หน้าเต็มๆ หลายนัด หน้าปลายฟ้าเต็มไปด้วยสี
“ต้องขอโทษด้วยนะคะ ถ้ายังไงจะไปหาชาให้ดื่ม เชิญนั่งก่อนนะคะ”
สถานที่ก่อสร้างคอมเพล็กซ์ วิศวกรจอดรถลงมาหานันณภัสพร้อมแปลนในมือ
“สวัสดีครับคุณพัด ขอโทษทีที่ให้รอ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
วิศวกรกลางแปลน แล้วชี้ พลางอธิบาย
“ตอนนี้เราได้ทำการปรับพื้นที่ทั้งหมดเรียบร้อยแล้วพร้อมที่จะก่อสร้างแล้วนี่ครับ ตรงนี้ที่เรายืนอยู่นี่คือด้านหน้า แล้วก็ฝั่งนี้จะเป็นแนวของโซล่าห์เซลล์ที่จะสร้างกลมกลืนไปกับตึก ส่วนทางโน้นจะเป็นที่โล่งลมพัดผ่านตลอด ผมคิดว่าจะตั้งกังหันผลิตไฟฟ้าครับ”
วิศกรพานันณภัสเดินไปรอบๆ บริเวณแล้วอธิบาย
ส่วนที่แปลงผัก เข่งเศษผักถูกยกขึ้นรถกระบะของไท หนูเอมคอยช่วยดูอยู่ข้างรถ ไทมีผ้าขนหนูคล้องคอแล้วเช็ดเหงื่อ เขาขนเศษผักขึ้นรถอีก
“ตามสบายนะ เอาไว้ก็ทิ้งเปล่าๆ” เจ้าของแปลงผักบอก
“ขอบคุณครับ” ไทส่งเงินให้เจ้าของแปลงผัก
“ไม่เป็นไรหรอกไท ไทเคยช่วยเหลือคนอื่นมามากแล้ว”
“ขอบคุณครับพี่พิกุล”
ไทขนผักขึ้นรถต่ออย่างไม่เหน็ดเหนื่อย
เมื่อขนผักขึ้นรถเสร็จ ไทก็ขับรถมาตามทถนนลูกรังกลางทุ่ง ไทขับรถมาตามถนนสักพักรถเกิดกระตุก
“เฮ้ย ไม่เอาน่า อย่ามาเกเรตรงนี้นะ”
ไทพูดไม่ทันขาดคำรถก็ดับสนิท ไทพยายามสตาร์ทแต่สตาร์ทไม่ติด ไทลงจากรถมาเปิดฝากระโปรงดู จับโน่นจับนี่
“รถเป็นอะไรคะพี่ไท” หนูเอมถามอย่างแปลกใจ
“สงสัยน้ำมันไม่ลง”
ไทเดินมาเปิดกล่องเครื่องมือมีแค่ประแจสองสามตัว
“อ้าว กล่องเครื่องมือก็ไม่มีด้วย”
ไทมองไปรอบๆ ไม่มีบ้านคนสักหลัง
“แถวนี้ไม่เคยมาด้วย มีบ้านคนไหมน้า”
“สงสัยต้องไปหาคนมาช่วยแล้วล่ะแกรออยู่ที่นี่ก่อนก็แล้วกันนะ”
ไทบอกกับรถ แล้วไทก็เดินไปกับหนูเอมเพื่อหาคนมาช่วย
ไทกับหนูเอมเดินมาตามทางเรื่อยๆ แล้วมาเจอบ้านของบุ๊น เขากับหนูเอมเดินมาทางด้านหลังของบ้านไทพยายามเรียกเจ้าของบ้าน
“มีใครอยู่บ้างครับ”
เงียบ ไม่มีเสียงตอบ
“สงสัยไม่มีคนอยู่นะพี่ไท”
“ขอโทษครับ รถผมเสียอยู่ทางโน้น มีใครอยู่บ้างครับ”
“เชื่อหนูเอมสิ ไม่มีใครอยู่หรอก เราลองเข้าไปหาเครื่องมือข้างในดีกว่า”
ไทพยายามจะเรียกอีกแต่หนูเอมดึงมือเข้าไปทั้งคู่จึงถือวิสาสะเข้าไปในบ้าน เมื่อมาเข้ามาในบ้านไท
มองไปรอบๆ เห็นว่าเป็นบ้านที่ตกแต่งสวย มีรูปบุ๊นกับภรรยา ไทร้องถามอีก
“มีใครอยู่บ้างครับ” ไม่มีคำตอบ หนูเอมเดินดูโน่นนี่หยิบข้าวของดูเล่นตามประสา “ไม่เอาหนูเอม อย่าซนสิ”
ไทพยายามมองหาคนและเครื่องมือ เขาเดินมาที่หน้าห้องๆ หนึ่งแล้วกำลังจะเปิดประตูเข้าไป เสียงขึ้นนกปืนดังขึ้นข้างหลังไท ไทหันไปเห็นว่ามีปืนยาวกระบอกสวยเล็งมาที่เขา
“นายเป็นใคร” บุ๊นถาม
“แล้วคุณเป็นใคร”
“ฉันเป็นเจ้าของบ้าน”
หนูเอมหันมามองแล้วตกใจ ทำแจกันที่กำลังยกขึ้นมาดูหล่นแตก ไทสนใจที่ปืนเลยมัวแต่จ้องปืน ลูกน้องและอาฮวดได้ยินเสียงแจกันแตกจึงปรากฏตัวขึ้นด้านหลังบุ๊น
อาฮวดมองหน้าไทและพินิจดูเหมือนกับว่าใบหน้าไทจะเหมือนใครบางคน
“ฉันถามว่านายเข้ามาทำอะไร” บุ๊นถามพร้อมกับยกปืนยิงขึ้นฟ้า “แล้วนัดต่อไปฉันไม่ได้ขู่แกนะ”
แววตาไทนิ่งขณะพูด
“รถผมเสียอยู่ทางโน้นผมอยากมาขอยืมเครื่องมือ”
บุ๊นมองหน้าไทและหนูเอมที่มาเกาะไทด้วยความกลัว บุ๊นจึงพยักหน้าให้ลูกน้อง
“หาเครื่องมือที่เขาต้องการให้เขา”
บุ๊นลดปืนลงแล้วเดินจากไป ไทจ้องตามปืนตาไม่กะพริบ อาฮวดมองตามไท
ดุจตะวันดั่งภูผา ตอนที่ 2 (ต่อ)
ขณะนั้นปลายฟ้านั่งเท้าคางอยู่ที่เปียโนหน้ามุ่ย ปลายฟ้าเอานิ้วเคาะคีย์เปียโนขึ้นลงอย่างไม่มีจุดหมายขณะที่
บอสกระโดดโลเต้นอยู่ข้างหลัง กำลังต่อยตุ๊กตาล้มลุกและทำท่าต่อสู้แบบอุลตร้าแมน
“นี่แน่เจ้าสัตว์ประหลาดข้าต้องปกป้องโลก”
นุ่นในตุ๊กตาปลิวออกมาเต็มศีรษะปลายฟ้า จากนั้นก็มีลูกบอลกระดอนมาโดนศีรษะปลายฟ้าเป็นช่วงๆ ปลายฟ้ายังอดทน
“จะสอนกันได้ไหมเนี่ย”
ปลายฟ้าบ่น บอสหยุดเล่นแล้วไปหยิบกล่องใส่ของขวัญเล็กๆ มาให้ปลายฟ้า
“สุขสันต์วันเกิดครับ”
“บอสมาเรียนก่อนได้มั้ยครับ”
บอสเอาเครื่องบินออกมาโฉบปลายฟ้าแล้วโดดลงน้ำไป
“เยส สำเร็จ นังแม่มด”
ปลายฟ้ารับกล่องของขวัญมาอย่างงงๆ แล้วเปิด กบกระโดดออกมาเกาะที่หน้าผาก
“ว๊าย”
เสียงร้องของปลายฟ้าดังลั่น
ไทขับรถมาตามถนน หนูเอมบ่น
“อีตาลุงนี่เป็นใครกันนะ ดุชะมัดเลย แค่นี้ต้องเอาปืนมาขู่ด้วย”
ไทนิ่งเงียบไม่ได้พูดอะไร
ที่บ้านบุ๊น บุ๊นนั่งที่โต๊ะทำงาน อาฮวดเข้ามาหา
“ท่านประธานมีอะไรครับ”
“ตอนนี้ท่าสินค้าของเราเป็นยังไงบ้าง”
“มีเรือมาขึ้นตามปกติครับ เราแจ้งเรื่องการขึ้นราคาค่าระวางไปแล้ว”
บุ๊นหัวเราะเบาๆ
“พวกเขามีปัญหาไหม”
“ไม่มีนะครับ เขาเข้าใจเรื่องที่รัฐบาลกำลังจะขึ้นภาษี”
พลันสายตาฮวดแว๊บไปมองปืนที่ข้างผนังแล้วนึกถึงไท
“ท่านครับ เด็กหนุ่มคนนั้น”
“ทำไม มันก็แค่เด็กหนุ่มคนงาน”
“ผมรู้สึกคุ้นเคยแววตามันเหลือเกิน เหมือนเคยเห็นแววตาแบบนี้มาก่อน”
บุ๊นมีทีท่าไม่ใส่ใจ แต่ในใจคิด
“แววตาคนมันก็เหมือนๆ กันทั้งนั้น”
บุ๊นพูดจบก็นั่งทำงานต่อ
“แต่แววตาเด็กคนนี้...”
บุ๊นก้มหน้าก้มตาดูเอกสารงานแล้วพูดเรื่องงาน
“เตือนพวกชิพปิ้งที่ท่าเรือด้วย อย่าให้มีปัญหามาถึงฉันอีก”
บุ๊นเปลี่ยนเรื่อง อาฮวดรู้ดีเลยไม่ซักต่อ
ที่บริเวณไซต์งานก่อสร้างคอมเพล็กซ์ วิศวกรยังคงอธิบายให้นันณภัสฟัง
“การวางแปลนก็จะเป็นอย่างที่ผมบอกน่ะครับ”
“พัดไม่อยากทำลายสิ่งแวดล้อม เลยอยากสร้างให้มันกลมกลืนกับธรรมชาติมากที่สุด”
“รับรองครับ”
“มีแนวคิดที่จะออกแบบ สวนด้านหน้าหรือยังคะ”
“ก็พอมีไอเดียบ้างครับ เออ จริงสิ ผมว่าถ้าคุณพัดว่างก็น่าจะไปดูสถาปัตยกรรมที่เกาะฝั่งโน้นนะครับเผื่อบางทีอาจจะได้ไอเดียในการตกแต่งก็ได้”
นันณภัสกับเรียวสนใจฟัง
“ดีเหมือนกันนะคะ แต่พัดอยากได้สวนที่ดูมีชีวิตชีวาหน่อยน่ะค่ะ เวลาลูกค้ามานั่งพักผ่อนจะได้รู้สึกสดชื่น”
“อืม ก็ดีนะครับ เราอาจจะหานก หรือสัตว์มาเลี้ยงในสวนด้วยก็ได้นะครับ”
“นกเหรอคะ เป็นความคิดที่ดีนะ”
ส่วนที่ท่าเรือ ฉัตรกำลังปล่อยเรือออกจากท่า เห็นเรือแล่นออกไป
“โชคดี ไปดีมาดีน้า”
มีคนผ่านมาแล้วทักฉัตร
“เป็นไงน้าฉัตร ได้กี่เที่ยวแล้ว”
“ตั้งแต่เช้านับไม่ถ้วน เครื่องมันแรง”
“หวัดดีน้าฉัตร วันนี้ไม่เข้าเวรหรือ”
“หมดเวรแล้วโว้ย”
“อ๋อ หมดเวร เออ แล้วเอาไว้วัดไหนล่ะครับ”
“วัดใหม่ข้างตลาดมั้ง ถุย เอาไว้เผาบิดามึงรึ วันนี้ข้าหยุด เลยมาช่วยเฮียแหยมเขา ไปไกลๆ เลย ไอ้บ้า ข้าจะดูแลลูกค้า เดี๋ยวปั๊ดจับขังลืมซะนี่” คนที่ผ่านมาเดินหัวเราะผ่านไป “ฉัตร โอ้โห เฮียมาแล้ว” ฉัตรหันไปมองทำว่าเห็นผู้โดยสาร “เชิญครับเชิญ ข้ามไปเกาะอย่างว่องไว ปลอดภัยทุกการเดินทางต้องเรือของเสี่ยแหยม แหยมทรานสปอร์ตยินดีรับใช้ครับ เชิญเลยครับ อ้าว อูย คนเริ่มมาแล้ว เรือดันมาเสียซะอีก ทำไมไอ้ไทยังไม่มานะ”
ไทเดินเข้ามาหาฉัตร
“น้าฉัตร ไหนลำไหนที่จะให้ซ่อม”
“อ้าวไท ทำไมมาช้าจังรอตั้งนาน”
“ไปขนผักมา ไหน ลำไหนครับ”
“ลำโน้น เห็นไหม”
ไทรับรู้แล้วเดินไปกับฉัตร
นันณภัสเดินเข้ามาที่ท่าเรือ สีหน้านันณภัสดูสดชื่น สูดลมหายใจเต็มที่ เรียวเดินเข้ามาบอก
“คงต้องรอสักพัก เรือกำลังจะมาครับ”
“ไม่เป็นไร ฉันรอได้”
นันณภัสยังคงสนใจบรรยากาศ
ไทซ่อมเครื่องยนต์เรือเสร็จ เขาลองสตาร์ทเครื่องดูปรากฏว่ามันติดอย่างง่ายดาย
“เออ มันต้องอย่างนั้นสิ เออ ทำไมพอเอ็งมามันติดง่ายนักวะ”
“ไม่เห็นมีอะไรมากเลย กรองตัน น้ำมันเดินไม่สะดวก แค่ถอดกรองมาล้างก็ใช้ได้แล้ว”
เฮียแหยม เจ้าของเรือเดินมา สีหน้าดีใจแล้วบอกคนขับเรือ
“เฮ้อ นึกว่าต้องซ่อมเป็นวันเสียอีก เอาไปวิ่งเลย ไป เรือยิ่งขาดระยะอยู่”
“จะดีหรือเฮีย เพิ่งซ่อมเสร็จ ยังไม่ได้ลองวิ่งเลย เกิดไปตายกลางทะเลจะทำยังไง”
“ก็เอาช่างไปด้วยสิ ถือว่าลองเรือไปในตัว ไทว่างหรือเปล่าล่ะ ช่วยติดไปกับเรือให้เฮียหน่อย เผื่อเรือเกิดเป็นอะไรไปจะได้ช่วยดูได้”
“ได้สิครับ”
เฮียแหยมยื่นซองใส่เงินให้ไท
“เอ้านี่ ค่าเหนื่อย”
“ไม่เป็นไรครับ”
“รับไว้เถอะไท”
ไทมองหน้าฉัตร ฉัตรพยักหน้าให้รับ ไทจึงรับไป
“ขอบคุณครับ”
เรือเคลื่อนออกจากท่า ฉัตรยืนส่งเหมือนเดิม
“โชคดี อย่าไปดับกลางทางนะโว้ย”
เรือแล่นออกมากลางทะเล ไทโล่งใจที่เรือไม่เป็นอะไร
“เป็นยังไงบ้าง” ไทถามคนขับเรือ
“วิ่งนิ่มเลย แจ๋วจริงๆ”
ไทเดินจากไป ที่ชั้นบนนันณภัสกำลังชื่นชมธรรมชาติอย่างสบายใจ มีเด็ก ราว 6 ขวบเล่นอยู่ข้างๆ แม่ของเด็กนั่งสัปหงก สักพักเรือเกิดกระแทกคลื่นลูกใหญ่ทกคนเซ เด็กคนนั้นล้มแล้วร้องไห้ เวลาเดียวกันเรียวกำลังเดินจะมาที่นันณภัส แต่ทางแคบจึงมีคนชนกับชัชแล้วชัชหันมาชนเรียว หนังสือกีฬาและหนังสือพิมพ์ที่ชัชหนีบไว้ที่รักแร้ตกลงพื้นเรียวช่วยเก็บ
“ขอโทษครับ”
“ไม่เป็นไรครับ”
ชัชหลบสายตาเรียวแล้วรีบเก็บหนังสือจากไป เรียวมองตามงงๆ ในใจสงสัยตามสัญชาตญาณ นันณภัสรีบอุ้มเด็กแล้วปลอบ ท่าทางเป็นธรรมชาติไม่เสแสร้ง
“ไม่เป็นไรนะคนเก่ง ไม่ร้องนะ”
จังหวะที่เธอยืนขึ้นลมได้พัดผ้าพันคอเธอปลิวไป แต่นันณภัสยังสนใจที่เด็ก เธอปลอบจนเด็กหยุดร้อง แม่ของเด็กมารับตัวไป นันณภัสหันไปมองหาผ้าพันคอแล้วเดินไปตามที่มันปลิว ซึ่งห่างออกไปจากที่เรียวยืน และไม่คาดคิด ไทยื่นผ้ามาให้แล้วถามนันณภัส
“หาไอ้นี่อยู่หรือครับ”
นันณภัสหันไปสบตาไท มันเป็นสิ่งที่คนทั้งสองประทับใจซึ่งกันและกัน
“เอ่อ ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
ไทยิ้มให้นันณภัสด้วยไมตรี เรียวเห็นเหตุการณ์จึงจะเดินเข้ามา นันณภัสหันไปมองแล้วใช้สายตาห้าม เรียวหยุดแต่ยังมองอย่างสนใจโดยเฉพาะไท
“วันนี้อากาศดีมากนะครับคุณกำลังจะไปเกาะหรือครับ”
“เอ่อค่ะ คุณ...”
“ผมไทครับ”
“พัดค่ะ”
“คุณมาเที่ยวหรือคะ”
“ก็ไม่เชิงค่ะ”
ไทรู้สึกชอบและประทับใจที่เธอมีน้ำใจช่วยเด็ก และคิดจะคุยต่อ แต่เครื่องยนต์เกิดดับ
“คุณคงมาครั้งแรกสินะ อุ๊ย เครื่องยนต์ดับหรือ เอ่อ ขอตัวเดี๋ยวนะครับ” ไทรีบวิ่งลงมาที่ห้องเครื่อง แล้วถามคนขับเรือ “เป็นอะไรไปพี่”
“ไม่รู้สิ อยู่ดีๆ เครื่องก็ดับ”
“เดี๋ยวผมไปเช็กให้” ไทลองตั้งเครื่องยนต์ใหม่ “พี่ลองสตาร์ทเครื่องอีกที อาการน้ำมันขาดสาย สงสัยรอบจะต่ำ มาผมขับเอง”
ไทนั่งที่คนขับแล้วสตาร์ทเครื่องติดแล้วขับออกไปได้
บนดาดฟ้า เรียวท่าทางไม่พอใจที่นันณภัสคุยกับไท
“ขอโทษนะครับคุณพัด คุณไม่น่าจะคุยกับคนแปลกหน้านะครับ”
“คนแปลกหน้าหรือ เขาเก็บของให้ฉันนะ ฉันก็ต้องคุยกับเขาเป็นไมตรี จะให้ฉันหน้าบึ้งกับเขาหรือไง”
“แต่มันไม่เหมาะสมนะครับ”
“เหมาะสมหรือไม่เหมาะสมมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับนาย หรือเพราะว่าเขาเป็นแค่คนขับเรือ นี่นายเรียว ฉันขอความเป็นส่วนตัวสักหน่อยได้ไหม ฉันจะพูดคุยกับใครมันก็สิทธิ์ของฉันนายมีหน้าที่นายก็ที่ตามหน้าที่ของนายไป โอเค”
นันณภัสบอกเสียงแข็ง สีหน้าเรียวสลดลงแล้วตอบรับเสียงอ่อย
“ได้ครับ”
เรียวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดกำลังจะโทรหาใครบางคน นันณภัสดักคอ
“โทรหาใครอีกล่ะ”
“เอ่อ โทรหากำนันเรืองบนเกาะครับ ว่าจะให้แกเอารถรถมารับ”
“บนเกาะมีรถสองแถวและฉันก็อยากจะนั่งรถสองแถวมากกว่า ถ้านายนั่งไม่ได้ก็รออยู่ที่ท่าเรือ ฉันไปเองได้”
เรียวยอมรับสีหน้านิ่ง เรือวิ่งเข้ามาเทียบท่า ไทยังขับเรืออยู่อย่างระมัดระวัง ผู้คนต่างเดินลงจากเรือไปรวมทั้งนันณภัสด้วย เรียวเดินตามห่างๆ ไทรีบลุกจากที่นั่งคนขับแล้วเดินออกมาดูแต่เขาไม่เห็นนันณภัสแล้ว คนลงจากเรือไปหมด ไทยืนอย่างเหงาๆและผิดหวัง คนขับเรือเดินมาหาไทถาม
“จะออกรอบนี้เลยหรือเปล่า”
“ไม่หรอก เย็นโน่นแหละถึงจะออก”
ไทยิ้มออกมา
นันณภัสเดินชมตำหนักเล่นอย่างเพลิดเพลิน เธอใช้กล้องเล็กๆ ถ่ายรูป การตกแต่ง และสถาปัตยกรรมของตำหนัก แล้วเธอก็ได้พบกับไท ท่าทางเขาจะมองเธออยู่นาน
“สวัสดีครับ เจอกันอีกแล้วนะครับ”
“ค่ะ ไม่ออกเรือหรือคะ”
“ยังครับ คงจะออกตอนเย็นหน่อย คุณพัดเป็น นักตกแต่งภายในหรือครับ” นันณภัสส่ายหน้าและนึกขันที่ไทเดา
“ทำไมหรือคะ”
“ก็เห็นคุณสนใจการตกแต่งของที่นี่”
“เปล่าหรอกค่ะ แค่สนใจเฉยๆ อีกอย่างเจ้านายใช้ให้มาถ่ายรูปด้วยค่ะ”
เรียวมองดูอยู่ห่างๆ เขาไม่ค่อยพอใจที่ไทมาคุยกับนันณภัส
“คุณจะไปที่ไหนต่อหรือครับ ให้ผมพาไปเที่ยวไหมครับ บนเกาะนี้มีที่สวยๆ เยอะเลยนะครับ”
“ว่างหรือคะ”
“สำหรับคนสวยๆ อย่างคุณ ว่างเสมอครับ”
เรียวเดินเข้ามา นันณภัสยิ้มกับไท
“ขอตัวนะคะ”
นันณภัสเดินจากไปอย่างมีมรรยาท เรียวเดินตามไป ไทมองตามแล้ววิเคราะห์
“จะใช่แฟนหรือเปล่าวะ ไม่น่าจะใช่ คิดเข้าข้างตัวเองไว้ก่อนดีกว่า”
ไทตัดสินใจเดินตามไป
นันณภัสเดินถ่ายรูปมารอบๆ ตำหนักไปเรื่อยๆ เรียวเดินตามห่างๆ เขารู้สึกเหมือนมีคนตามหลังเขามา เมื่อถึงมุมตึกเรียวตัดสินใจหันกลับไปมองอย่างรวดเร็ว สิ่งที่เห็นคือไท ไทยิ้มให้ นันณภัสยิ้มตอบแล้วเดินเลยไป ไทกำลังจะตามไปเรียวเข้ามากั้น
“นายจะตามมาทำไม”
ไทยั่วเรียวแล้วทิ้งสายตาไปที่นันณภัส
“เอ เกาะนี้เป็นของนายตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ”
หน้าตาเรียงจริงจังจะเอาเรื่องนันณภัสตัดบท
“นายเรียว”
เรียวหยุดแล้วมองหน้าไทก่อนจะเดินไปกับนันณภัส ไทยิ้มอย่างพอใจ
นันณภัสมาไหว้พระที่ศาลเจ้า เรียวยืนคุม ไทแอบเข้ามานั่งใกล้ชิดนันณภัสโดยที่เรียวไม่เห็น
นันณภัสเดินชมร้านขายของที่ระลึกแล้วซื้อบางอันบางชิ้นก็ถ่ายรูปของเอาไว้ตกแต่ง เรียวซื้อน้ำมะพร้าวมาให้นันณภัสดื่ม นันณภัสมองไปมุมหนึ่งก็เห็นไทนั่งดื่มน้ำมะพร้าวอยู่ไทยิ้มให้ นันณภัสเดินต่อไทชะเง้อมองแล้วรีบตามไป เรียวจ้องหน้าไทอย่างไม่พอใจแต่ไททำไม่รู้ไม่ชี้
พอตกเย็นไทมานั่งรอนันณภัสอยู่ที่เรือเขาชะเง้อมอง ผู้โดยสารทะยอยขึ้นเรือ เรือจะออกแล้วคนขับเรือมาบอกไท
“ไปเถอะพี่ไทเรือต้องออกแล้ว รอใครหรือ”
“เฮ้ย เปล่า เปล่ารอใครนี่” ไทกลบเกลื่อนแต่ยังชะเง้อมอง “นายไปก่อนไป ฉันจะไปอีกลำ”
“ตามใจพี่”
คนขับเรือเดินจากไปไทบ่น
“ทำไมยังไม่มาวะ” ไทหันรีหันขวางไปมาและพบว่านันณภัสยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือแล้วเธอกำลังเหม่อมองไปในทะเลไทตกใจเรือเริ่มออกไป “เฮ้ย ขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ รอเดี๋ยว ไปด้วย”
ไทรีบกระโดดขึ้นเรือได้ทันเวลา
ไทเดินเข้าไปหานันณภัสแล้วทัก
“เจอกันอีกแล้วนะครับ”
“ค่ะ คุณไม่ไปขับเรือหรือคะ”
“ผมไม่ได้เป็นคนขับเรือ ครับ ผมเป็นเจ้าหน้าที่สวนสัตว์ แค่มาซ่อมเรือให้เขาเป็นครั้งคราว แต่คราวนี้โชคดีหน่อย”
นันณภัสยิ้มแบบมีไมตรี พระอาทิตย์กำลังจะตก ทั้งคู่มองพระอาทิตย์ตกน้ำด้วยกัน
“เพิ่งรู้นะคะว่าคุณเป็นเจ้าหน้าที่สวนสัตว์ ทีแรกคิดว่าเป็น คนขับเรือเสียอีก”
“ผมยังเป็นได้อีกหลายอย่าง แบบที่คุณอาจจะคิดไม่ถึงเลย เอ้อ แฟนคุณไปไหนซะล่ะ” ไทหมายถึงเรียว นันณภัสยิ้มแล้วตอบเลี่ยงๆ เธอชำเลืองดูแววตาไท
“สนด้วยหรือคะ”
ไทไม่ได้ใส่ใจอะไรเขาเปลี่ยนเรื่อง ขณะนั้นเรียวยืนมองอยู่ห่างๆ
“คุณยังไม่บอกผมเลยว่าเราจะได้เจอกันอีกหรือเปล่า”
“ฉันจะพยายามโดดงานมา พระอาทิตย์ที่นี่สวยนะคะ”
“แต่สำหรับผม ผมว่าพระอาทิตย์สวยทุกที่นั่นแหละ สำคัญที่ว่าเราอยู่กับใครต่างหาก”
นันณภัสมองหน้าไท เธอคิดว่าไทเป็นคนน่าคบคนหนึ่ง นันณภัสชอบรอยยิ้มของไท
ที่ท่าเรือ ฉัตรเสร็จงานแล้วจึงไปรับเงินที่เฮียแหยม
“ขอบคุณมากนะพี่ว่างๆ ก็มาช่วยอีกนะ”
“ได้เลยเสี่ย”
ฉัตรหัวเราะอย่างพอใจขณะเดินออกมาพร้อมเงิน 900 บาทในมือ แกควักกระเป๋าสตางค์ออกมาแล้วเอาเงินใส่ เห็นว่าในกระเป๋ามีเงินอยู่จำนวนหนึ่งสีหน้าฉัตรดีใจแล้วร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์
“แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทูยู แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทูยู จะใช้สิ้นเดือนไหมวะเนี่ย”
ปลายฟ้าหัวยุ่งท่าทางโทรมและเหนื่อยขณะเดินเข้ามาในห้องแล้วทิ้งตัวนอนอย่างขี้เกียจ แป้งอยู่ในห้องยังไม่ได้เปลี่ยนชุดทำงาน
“เฮ้อ เมื่อยจังเลย นี่แกเพิ่งเลิกงานหรือ”
“ใช่ อ้าววันนี้ไม่ได้ไปสอนดนตรีเด็กหรือ”
“ไป”
“แล้วทำไม เหมือนไปตกถังสีที่ไหนมาเลย”
“โอย เจอเด็กไฮเปอร์เข้าไปน่ะสิมึนเลย เล่นตลอด อยู่นิ่งไม่เป็น เวียนหัวไปหมด”
“อ้าว แล้วจะสอนได้หรือ”
ปลายฟ้ามีแววตาเจ้าเล่ห์และมั่นใจ
“ต้องได้สิ มันต้องมีธีปราบนายเจ้าลิงอ้วนบิน อยู่ๆ ไม่พอใจก็เดินหายไปไหนก็ไม่รู้ ไอ้อ้วนเอ๊ย”
แป้งหัวเราะ ปลายฟ้าลุกขึ้นมาเตรียมโน๊ตเพื่อจะไปเล่นดนตรีต่อ
“นี่แกจะไปไหนอีกล่ะ”
“ฉันจะไปเล่นดนตรีที่โรงแรม แทนรุ่นน้องไง”
“โอ้โห ทำไมฟิตจัง ระวังเงินล้มทับหายใจไม่ออกตายนะ”
“มีงานทำน่ะดีแล้ว แกจะกินอะไรไหมขากลับจะซื้อมาฝาก”
“เอาไอ้ที่มันแพงๆ หน่อยก็แล้วกัน”
“นี่ คุณเพื่อนสุดที่เลิฟ ฉันถามไปตามมรรยาท แกก็ควรตอบตามมรรยาท”
“เอาเหมือนแกนั่นแหละ”
“ได้ อย่าเพิ่งหลับล่ะ”
ปลายฟ้าออกจากห้องไป
เรียวขับรถให้นันณภัสนั่งมาตามทางกำลังจะกลับบ้าน นันณภัสนั่งอมยิ้มอย่างมีความสุข เรียวสังเกตเห็นจากกระจกมองหลัง
“วันนี้คุณพัดดูสนุกกว่าทุกวันนะครับ”
“ก็ดี ได้ทำงานไป เที่ยวไป ฉันว่าฉันจะจัดเป็นสวนหย่อมเอาไว้ให้ลูกค้าหย่อนใจแบบที่กลางตำหนัก ของฉันจะเอาไว้กลางฮอลเลย จะปล่อยให้แดดส่องลงมาด้วย อีกอย่างนึงฉันชอบลายที่ผนัง มันกึ่งไทยกึ่งยุโรป ฉันถ่ายรูปมาแล้วจะเอาให้สถาปนิกดู ว่าจะทำอะไรได้บ้าง คิดแล้วอยากให้คอมเพล็กเสร็จเร็วๆ แล้วสิ” นันณภัสตอบอย่างอารมณ์ดี
“ผมเห็นนายคนนั้นตามคุณพัดตลอดเลย คุณพัดควรวางตัวด้วยนะครับ ไม่ควรไปคุยกับเขาอีก”
นันณภัสหยุดกึก ไม่พอใจขึ้นมาทันที
“นายจะล้ำเส้นเกินไปแล้วนะ ฉันรู้ว่าอะไรเหมาะสมอะไรไม่เหมาะสม อย่างตอนนี้นายกำลังทำอะไรที่ไม่เหมาะสม รีบขับรถกลับบ้านดีกว่า ฉันหิวข้าวแล้ว”
เรียวสลด ทำตามคำสั่ง
ที่ร้านพิซซ่าแป๊ด มีเสียงเพลงวันเกิดลอดออกมา จากในห้องที่มืดขนมเค้กปักเทียนจุดสว่างออกมาจากด้านหนึ่งฉัตรกับแป๊ดช่วยกันถือมา หนูเอมเป่าเค้กจนไฟดับหมด ไฟสว่างพรึ่บ ทั้งคู่มองหน้ากันเพราะเค้กเป็นรูปมิกกี้เมาส์ ครึ่งหนึ่งและลายไทยครึ่งหนึ่ง
“เป็นไงหนูเอม เค้กสวยไหม นี่แม่แป๊ดทำฝั่งนี้”
“ค่ะ”
“ส่วนลายไทยนี่ป๋าฉัตร ทำเอง อันไหนสวยกว่ากันจ๊ะ”
“ของข้าต้องสวยกว่าสิ”
“ของข้า เอ็งแหกตาดูดีๆ สิ”
ฉัตรทำท่าจะต่อความยาว ไทกับพี่ธงห้ามไว้
“เอาน่า ก็ดูไม่เลวหรอกเข้ากับบรรยากาศ ดีมา มาอวยพรหนูเอมดีกว่า”
หนูเอมมองเค้กน้ำตาเอ่อ ทุกคนเงียบคิดว่าหนูเอมไม่พอใจ แป๊ดเข้ามาปลอบ
“หนูเอมเป็นอะไร ไม่ชอบหรือลูก”
“เปล่าหรอกค่ะหนูเอมตื่นตันน่ะ ทุกคนดีกับหนูเอมที่สุดเลย”
“งั้นมาให้ป๋าฉัตรกอดให้หายตื้นตันหน่อย มา”
หนูเอมทำตามใจฉัตรเดินเข้าไปจะกอดแต่มีเสียงห้ามมาจากแป๊ด
“หยุด Stop อย่าเอามืออันหยาบกร้านของเอ็งมาแปดเปื้อนลูกหนูเอมของข้า” ฉัตรชะงัก
“แม่แป๊ด”
“หนอย มือหยาบกร้าน แล้วเอ็งล่ะมันดีนักนี่ไอ้แป๊ด”
“อย่างน้อยข้าก็ สุดแสนจะอ่อนหวาน ดุจภุมรินโบยบินท่ามกลางบุปผานานาพรรณ”
แป๊ดทำท่าบินไปมา
“หยุดเถอะวะไอ้แป๊ด ข้าจะอ้วกแตกอยู่แล้ว นี่เอ็งทำอาชีพไม่นึกถึงหน้าตาเอ็งเลยนะเนี่ย หน้าตาอย่างกับตูดจามรี ดันมาทำพิซซ่า หนีไปข้าจะกอดลูกข้าให้หายคิดถึง”
“ข้าต้องกอดก่อน เพราะหนูเอมก็เป็นลูกข้าเหมือนกัน”
“ลูกข้า ข้าเป็นคนเจอ มีคนเอามาทิ้งไว้ที่ท่าเรือ”
“เออ แล้วเอ็งเอามาให้ใครเลี้ยง”
“ให้เอ็งเลี้ยงเพราะข้าต้องทำงานที่อื่น”
“นั่นไง ข้าเป็นคนเลี้ยงหนูเอมก็ต้องเป็นลูกข้า”
“ไม่ใช่ ข้าเป็นคนเจอก็ต้องเป็นลูกข้า”
หนูเอมรำคาญจึงห้ามทัพ
“พอได้แล้วค่ะ หนูเอมเป็นลูกทั้งสองคนล่ะค่ะ มา มากอดพร้อมกันเลย” หนูเอมกอดทั้งคู่ “ขอบคุณนะคะ แม่แป๊ด ป๋าฉัตร นั่งๆ ค่ะ”
“ถุย ไอ้หน้าตูดจามรีเอ๊ย”
“ขาก เอ็งไม่น่าย้ายกลับมาเลย อยู่ที่เก่าก็ดีอยู่แล้ว มาหนูเอมแม่แป๊ดมีของขวัญให้”
แป๊ดเอาของขวัญคือกล่องดินสอสวยงาม หนูเอมดีใจ
“สวยจังเลยค่า”
ฉัตรเอาบ้าง หยิบของขวัญที่แกเตรียมออกมามันคือตุ๊กตา หนูเอมดีใจสุดขีดกระโดดกอดฉัตรแล้วหอมแก้ม
“โอ้โห หนูเอมอยากได้มานานแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ”
ฉัตรส่งสายตาเย้ยแป๊ด
“เชอะ ดัคจริตเล่นของแพง โกงกินเงินใครมาซื้อหรือเปล่าวะ”
“หนอย มันจะดูถูกกันมากไปแล้วโว้ย”
“พอเถอะครับ ไม่ไหวเลยสองคนนี่ วันนี้วันเกิดหนูเอมนะครับ”
ไทห้ามเมื่อเห็นว่าทั้งคู่จะเปิดฉากเถียงกันอีก ฉัตรกับแป๊ดจึงหยุด
“ไม่เป็นไรหรอกพี่ไท หนูเอมถือว่าโชคดีแล้วที่มีพ่อแม่แบบป๋าฉัตร กับแม่แป๊ด หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว” หนูเอมพูดอย่างจริงใจดูสดใสน่ารัก “และหนูเอมก็โชคดีที่มีพี่ชายที่แสนดีแบบพี่ไทด้วย จริงไหมคะ”
“ขอบใจนะ พี่จะเป็นพี่ชายที่แสนดีของหนูเอมตลอดไป”
พี่ธงเอาของขวัญให้หนูเอม
“นี่ของขวัญจากพี่ธง ขอให้เรียนเก่งๆ นะ”
ของขวัญของไทเป็นตุ๊กตาแมวน้ำสีชมพูน่ารัก
“นี่ของพี่ พี่ขออวยพรให้หนูเอมเรียนเก่งๆ และเป็นที่รักของทุกคนตลอดไปนะ”
“ขอบคุณค่ะ”
ไทยิ้มแล้วขยี้ศีรษะหนูเอมอย่างเอ็นดู
“แฮปปี้เบิร์ธเดย์ทูยู”
“มา เมื่อมอบของขวัญเรียบร้อยแล้ว ก็มากินดื่มกันต่อ ความสุขของหนูเอม” ฉัตรหยิบเหล้ามาชวนแป๊ดกิน
“มา ธง ไอ้ไทมาดื่มกัน”
เวลาผ่านไป ทุกคนนั่งกินกันจนเมามีการร้องเพลงเสียงอ้อแอ้ ไทหลบมานั่งอยู่ด้านนอกแล้วคิดถึงตัวเองแบบเหงาๆ
ไทนั่งคิดถึงอดีตของตัวเอง ไทกับเทอดเป่าเทียนวันเกิดพร้อมกัน แม่มองอย่างตื้นตัน
“ในฐานะที่พ่อลูกคู่นี้เกิดวันเดียวกัน แม่มีของขวัญให้ นี่ของขวัญของสองนักผจญภัย แกะดูสิ”
เทอดกับไทรับไป แล้วแกะออก ไทตื่นเต้นเพราะมันเป็นแหวนทองคำขาววงเกลี้ยง ขนาดเดียวกันสองวง ที่เหมือนกัน
“สวยจังครับแม่”
“ขอบใจนะ”
ไทหอมแก้มแม่ แม่สวมแหวนให้เทอด เทอดก็หอมตอบด้วย บรรยากาศมีความสุข เทอดเอาของขวัญส่งให้ไท
“นี่ของพ่อให้ไท เปิดดูสิลูก” ไทเปิดดูเห็นเป็นสร้อยรูปไม้กางเขนที่เขาสวมอยู่ในปัจจุบัน “สุขสันต์วันเกิดนะลูก.สร้อยเส้นนี้จะเป็นตัวแทนของพ่อ และตัวแทนของความกล้าหาญของไท”
ไทสวมแหวนที่นิ้ว
“งั้นแหวนวงนี้ก็จะเป็นตัวแทนความรักของแม่ใช่ไหมครับ”
กลับมาปัจจุบันไทจับแหวนสองวงที่ห้อยอยู่ในสายสร้อย ในใจคิดถึงพ่อกับแม่แล้วแหงนดูดวงดาว หนูเอมเดินออกมานั่งด้วย
“เบื่อพวกขี้เมาหรือคะ”
“เปล่าหรอก อยากออกมานั่งเงียบๆ”
“พี่ไทคิดถึงพ่อกับแม่หรือคะ”
ไทหันมายิ้มให้
“ทำไมหนูเอมคิดอย่างนั้นล่ะ”
“ตอนเด็กๆ เวลาหนูเอมคิดถึงพ่อแม่ก็จะมานั่งดูดาวแบบนี้แหละค่ะ ลองมานั่งนึกเล่นๆ ว่าพ่อกับแม่ของหนูเอมเป็นดาวดวงไหนกันนะ”
“แล้วรู้หรือยัง”
“รู้แล้วค่ะ เมาอยู่ข้างใน”
หนูเอมหัวเราะ ไทพลอยหัวเราะไปด้วย หนูเอมเอาศีรษะซบที่ไท ไทโอบไว้อย่างอบอุ่น
ติดตาม...ดุจตะวันดั่งภูผา ตอนที่ 2 (ต่อ)