บ่วงรัก ตอนที่ 6
ที่ห้องนั่งเล่นในเวลาต่อมา ชนะศึกขึ้นเสียงใส่อังคณาและชนกนันท์ ผู้เป็นมารดาและน้องสาวเรื่องที่ สองคนรุมทำร้ายพรรณี
“ผมไม่คิดเลยว่าแม่กับน้องสาวผมจะทำอะไรป่าเถื่อนแบบนี้”
“ชนะ แกเห็นเมียเก่าของพ่อแกดีกว่าแม่แท้ๆ ของแกงั้นเหรอ” อังคณาฉุน
“ไม่ใช่ครับ ผมไม่เคยเห็นใครดีกว่าแม่เลย แต่ความไร้เหตุผลป่าเถื่อนของแม่นี่ซี ที่นับวันผมยิ่งผิดหวัง”
“ไอ้ความโง่เง่า บ้าผู้หญิงของแกทำให้แม่ผิดหวังเหมือนกัน แกรู้ไหม มันมาบ้านเราทำไม มันมาหาพ่อแก...มันรู้ว่าพ่อแกหลงมัน มันก็เลยได้ใจ มันมาเหยียบย่ำหัวใจแม่ถึงที่บ้าน” อังคณาใส่ไคล้
ชนะศึกอึ้งไป ไม่คิดว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้ อังคณาแกล้งทำเป็นเสียใจอย่างที่สุด
“พ่อแกขอหย่ากับแม่” ทำท่าจะร้องไห้ “อีกหน่อย อีสลัมนั่นก็ต้องเข้ามาอยู่ที่นี่ มาเป็นเมียใหม่พ่อแก ลูกมันก็ต้องเข้ามาด้วย ถ้าแม่ไปให้พ้นทางแกซะ แกคงดีใจใช่ไหมชนะ”
ชนะศึกรู้สึกผิด เข้าไปหาอังคณา “ไม่ใช่นะครับคุณแม่”
“ไม่ต้องมาพูด แกไม่เคยเห็นแม่ดีอยู่แล้วชนะ
“ไม่จริงครับ” ชนะศึกปฏิเสธ
อังคณาสะบัดตัว พูดตวัดเสียง “ไม่ต้อง”
“พี่ชนะ นกไม่นึกเลยนะคะว่าพี่ชนะจะอกตัญญูแบบนี้ นกเสียใจแทนแม่จริงๆ” ชนกนันท์ค้อนพี่ชาย ก่อนจะดึงมืออังคณา “คุณแม่คะ ไปกันเถอะค่ะ”
“คุณแม่ครับ”
แล้วอังคณากับนกก็เดินออกไป ชนะศึกได้แต่ยืนไม่สบายใจอยู่อย่างนั้น
พิณทองอยู่ในบ้าน ท่าทีกระวนกระวาย ก่อนจะเห็นพรรณีเดินเข้ามา
“แม่ แม่เป็นไงบ้างคะ ท่านยอมช่วยเราไหม” พอเห็นสภาพพรรณีก็ตกใจ “แม่เป็นอะไร ใครทำอะไรแม่”
“แม่ไม่เป็นอะไรหรอกลูก พิณ เราจะไม่อยู่ที่นี่แล้วนะ”
พิณทองตลึง “อะไรนะคะ”
“เราอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว คุณอังคณาเขาไม่ปล่อยให้เราอยู่ดีๆ แน่ เราจะต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น เราต้องเก็บของเดี๋ยวนี้ ไปพิณ ไปเก็บของลูก”
“แม่คะ แต่ว่า...”
พิณทองตกใจ ทำอะไรไม่ถูก พรรณีไปเก็บของตัวเอง
ค่ำนั้น พิณทองไม่สบายใจ อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงตัดสินใจโทรหาชนะศึกจากตู้โทรศัพท์สาธารณะละแวกบ้าน
ชนะศึกอยู่ที่บ้านขณะรับสาย
“พิณทองเหรอ เป็นยังไงบ้าง” สุ้มเสียงชนะศึกฟังดูห่วงใย
“พิณสบายดีค่ะ คุณชนะศึกคะ วันนี้แม่ไปที่บ้านคุณ”
“ผมรู้แล้วก็ว่าจะถามอยู่ แม่คุณมาที่บ้านผมทำไม”
“แม่ไปพบท่านค่ะ...คือ พี่เพชรโดนตำรวจจับเรื่องยาเสพติดค่ะ พี่เพชรโดนใส่ร้าย แม่คิดว่า เอ่อ...คุณแม่ของคุณแกล้งเรา แม่เลยโทร.ไปหาท่านที่บ้าน ให้ท่านช่วย”
ชนะศึกอึ้ง ชายหนุ่มประมวลเรื่องราว “แม่คุณมาหาพ่อผมที่บ้านเพราะเรื่องนี้เองเหรอ...”
“ท่านเรียกไปค่ะ”
“ว่าไงนะ” ชนะศึกงง
“คือแม่โทร.ไป แต่คนที่บ้านบอกว่าท่านเรียกให้ไปคุยที่บ้าน แม่ก็เลยไป...แต่พอแม่กลับมา แม่ไม่พูดอะไรเลย สั่งพิณให้เก็บของ”
จู่ๆ มีมือใครคนหนึ่งมากระชากโทรศัพท์ออก พิณทองตกใจเมื่อเห็นเป็นพรรณี
“แม่”
“แม่บอกแล้วไงว่าให้จบกันแค่นี้” พรรณีพูดกรอกเสียงใส่โทรศัพท์ “อย่ามายุ่งกับพวกเราอีกเลยนะคะ ขอให้สิ้นเวรสิ้นกรรมกันแต่เพียงเท่านี้เถอะ” ก่อนจะวางสายไป พิณทองหน้าเสีย
“ฮัลโหล ฮัลโหล” ชนะศึกกดวางสายสีหน้าเครียดเคร่ง “คุณแม่นะคุณแม่” ชายหนุ่มรำพึงกับตัวเอง
พรรณีเสียงแข็ง “กลับบ้าน”
“แต่ว่าพิณ...”
“ไม่มีแต่ ไปเก็บของลูกได้แล้ว”
พิณทองนิ่งไม่ยอมไป
พรรณีเสียงดุ “พิณ”
พิณทองหน้าจ๋อย พรรณีเดินคุมพิณทองเดินกลับบ้านไป
พิณทองนั่งเก็บข้าวของ เอาเสื้อออกมาจากราวในตู้ เก็บใส่กระเป๋าบนเตียง ท่าทางเหมือนคนไม่มีหัวใจ พิณทองหันไปมองที่โต๊ะ ซึ่งมีกระถางกล้วยไม้ที่ชนะศึกซื้อให้ ตอนนี้ออกดอกสวยงาม เพราะพิณทองดูแลเป็นอย่างดี
พิณทองถือกระถางกล้วยไม้นั้นไว้ในมือน้ำตาคลอ ภาพตอนที่ชนะศึกซื้อกล้วยไม้ให้ผุดพรายในความคิด
“พิณขอโทษค่ะ คุณชนะศึก” พิณทองครวญคร่ำ
ภาพเหตุการณ์ตอนชนะศึกมาส่งที่บ้าน แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าพิณทองขึ้นมาหอม ตอนไปกินข้าวด้วยกัน และเหตุการณ์ตอนเลือกกล้วยไม้ ภาพเหล่านั้นผุดขึ้นในความคิดสาวน้อยเป็นระลอก
พิณทองดึงตัวเองกลับมาแล้วนั่งหน้าเศร้าอยู่อย่างนั้น
เวลาต่อมา รถขนของจอดรออยู่หน้าบ้าน หลังรถเต็มไปด้วยของที่ขนออกมาจากบ้าน พรรณีกับพิณทองเดิน หิ้วกระเป๋ากันมา สำอางตามออกมาด้วย บ่นอย่างใจหาย
“เฮ้ย ลูกชายไปทาง ลูกสาวกับแม่ไปอีกทาง น่าเวทนาจริงๆ พรรณีเอ๋ย”
“ฉันกับพิณ น่ะไม่เท่าไหร่ แต่เพชรซี ต้องหนีเขาแบบนี้คงลำบากน่าดู”
ผึ้งหน้าเศร้า “โธ่ น่าสงสารพี่เพชร คอยดูนะ ฉันจะต้องหาทางช่วยพี่เพชรให้ได้”
สำอางค์ด่า ท่าทีฮึดฮัด “ไอ้คนพวกนี้ ใจมันดำแท้ๆ ช่างใส่ร้ายคนอื่นได้หน้าตาเฉย ถ้าลูกเอ็งไม่ผิด ทำไมไม่สู้กับมันสักตั้งล่ะ”
“ลำพังฉันเองถ้าไม่มีใครฉันไม่หนีหรอก แต่นี่ เขาขู่จะทำร้ายลูกฉันทุกคน เพชรมันก็โดนไปคนหนึ่งแล้ว แล้วถ้าเกิดมันทำอะไรพิณ ฉันจะทนได้ยังไง สู้ฉันหนีไปอย่างนี้ดีกว่า” พรรณรีล้วงกระเป๋าหยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมา “เออพี่ ฉันฝากจ่ายค่าเช่าบ้านด้วยนะ ส่วนเจ๊วิไลฉันทิ้งจักรให้ไว้เป็นของจำนำ บอกเขาด้วยนะว่า ถ้าฉันไม่ตายเสียก่อนฉันจะกลับมาใช้หนีเขาให้หมด”
สำอางค์รับเงินจากพรรณี สงสารเหลือเกินจนน้ำตาจะไหล “แล้วนี่รู้หรือยังว่าจะไปอยู่ที่ไหน”
พิณทองอึ้งๆ “ยังเลยจ้ะป้า แม่บอกว่าให้ไปเอาข้างหน้า”
“เฮ้ย ได้ไง ฉันรู้จักอยู่ที่นึง ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่พออยู่ได้ แล้วก็ค่าเช่าถูก เดี๋ยวจดให้ก็แล้วกัน มีปากกา กระดาษไหม”
“ฉันมีๆ”
ผึ้งรีบบอก พลางล้วงหากระดาษ และปากกาในกระเป๋าสะพาย เมื่อเจอก็ส่งให้สำอางค์
สำอางค์จดที่อยู่ให้พรรณี
“ไปตามทางนี่แหละ”
พรรณีกับพิณทองเดินมาที่หน้ารถ สำอางค์เดินตามมาด้วย
“พี่ ฉันขอบใจมากนะ ฉันขอฝากพี่อีกเรื่องนึงนะจ๊ะ ถ้าหากเพชรติดต่อมาเมื่อไหร่ พี่ช่วยบอกมันด้วยนะว่าฉันกับพิณไปอยู่ที่ไหน”
“ไม่ต้องห่วง ฉันจะบอกมันให้ ไปดีเถอะ” สำอางค์รับปาก
“แล้วติดต่อกลับมาบ้างนะพิณ” ผึ้งกำชับ
พิณทองไหว้ป้าสำอาง “ป้า ขอบคุณมากนะคะ” แล้วหันไปหาผึ้ง “ฉันไปแล้วนะ”
สำอางค์กำชับ “ดูแลแม่ด้วยนะ โชคดี”
พรรณีบอกลาหน้าเศร้า “ฉันไปนะ”
“มีอะไรโทร.มานะพิณ” ผึ้งบอก
พรรณีพูดกับป้าสำอางค์ และผึ้ง “ฉันกับลูกลาล่ะ”
ครู่หนึ่งพรรณีและพิณทองขึ้นรถไป
พรรณีเหลียวมองกลับไปที่บ้านของตัวเองอีกครั้งอย่างหดหู่ ส่วนพิณทองรู้สึกแย่ที่ทุกอย่างกลายเป็นแบบนี้
“น่าสงสารมันแท้ๆ เลย พรรณีเอ๊ย เวรกรรมจริงๆ”
สำอางค์รำพึงออกมาด้วยความเวทนา
สองพ่อลูกอยู่ในห้องทำงานของธานินทร์ที่บ้านเลิศชัยวัฒน์ ชนะศึกเล่าเรื่องที่พรรณีถูกอังคณาหลอกมาทำร้ายที่บ้านให้ธานินทร์ฟังหมดแล้ว ธานินทร์ผุดลุกขึ้นท่าทางฉุนเฉียวดูออกว่าโกรธมาก
“อะไรกัน นี่ทำกันถึงขนาดนี้เชียวเหรอ มันมากเกินไปแล้วนะ ชนะ แม่เขาทำแบบนี้ได้ยังไงกัน พ่อจะไปพูดกับเขา”
ธานินทร์จะออกจากห้องทำงานไป แต่ชนะศึกดึงแขนธาพ่อไว้
“อย่าเพิ่งเลยครับ ไม่ใช่ตอนนี้”
ธานินทร์ดึงดันจะไป “แม่ของลูกร้ายเกินไป พรรณีเขามีเรื่องเดือดร้อน อยากจะพบพ่อ แต่แม่ของลูกกับยัยนกกลับหลอกเขามาทำร้าย มันโหดร้ายสิ้นดี”
ชนะศึกหนักใจ “พ่อครับ ผมเข้าใจครับ แต่มันมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่า เราน่าจะทำก่อน”
ธานินทร์ฉงน “อะไร”
“เรื่องพี่ชายของพิณทอง ทำไมเขาถึงคิดว่าคุณแม่เป็นคนใส่ร้ายเขาเรื่องยาเสพติด ผมอยากรู้ว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง”
ธานินทร์กับชนะศึกยืนนิ่งคิด
เย็นวันนั้นพรรณีกับพิณทองอยู่ที่หน้าบ้านเช่าแห่งใหม่ เป็นบ้านไม้เก่าๆ สภาพบ้านแย่กว่าบ้านเช่าหลังเดิมที่เคยอยู่ ป้าเจ้าของบ้านพาเดินเข้ามาด้านใน
“ขอค่าเช่าล่วงหน้ามาเลยนะ เดือนละสองพัน สองเดือนก็สี่พัน” ป้าเจ้าของบ้านเช่าบอก
“เอาล่วงหน้าด้วยเหรอ” พรรณีใจแป้วมองกระเป๋าสตางค์ในมือ “ฉันเพิ่งย้ายมา ข้าวของอะไรก็ยังไม่ได้ซื้อ ฉันจ่ายเดือนเดียวก่อนได้ไหมจ๊ะ ขอเก็บเงินไว้ทำทุนก่อน”
“มันตามธรรมเนียมอยู่แล้ว ค่าเช่าบ้านล่วงหน้าเนี่ย”
พรรณีพยักหน้า จำใจควักเงินส่งให้ เกือบหมดกระเป๋า
“กุญแจบ้าน” ป้าส่งให้ “มีดอกเดียวนี่แหละ เอาไว้ล็อคประตูหน้าบ้าน”
ป้าเจ้าของบ้านเดินออกไป
พรรณีกับพิณทองชะงักเมื่อหันไปเห็นประตูบ้านหลุดอยู่ และวางไว้ตรงหน้าบ้าน
“เดี๋ยวจ๊ะป้า ประตูมันเป็นแบบนี้ แล้วจะล็อคยังไงล่ะป้า” พิณทองทักท้วง
ป้าหันมาไม่ได้ใส่ใจมากนัก “ลืมไป ประตู ไอ้คนเก่ามันทำพังไว้ พออยู่กันได้ไหมล่ะเนี่ย ทรัพย์สมบัติก็ไม่มีอะไรไม่ใช่เหรอ”
“แหม ฉันอยู่กันแต่ผู้หญิงนะจ๊ะ มันไม่ค่อยปลอดภัยเลย ยังไงก็ซ่อมให้ฉันหน่อยเถอะ” พรรณีร้องขอ
ป้าส่ายหัว ทำท่าลำบากใจ
“ฉันไม่มีคนซ่อมนะซี หลานชายก็โดนเกณฑ์ทหารไปซะแล้ว ไม่งั้นจะให้มันมาช่วย ลำพังฉันเองน่ะซ่อมไม่ไหวหรอก เอางี้” พลางส่งแบงค์ร้อยคืนให้ 1 ใบ “ฉันลดค่าเช่าให้ร้อยนึงละกัน ค่าประตู”
พูดจบป้าก็เดินหนีไป พิณทองกับพรรณีมองประตูงงๆ ว่าจะทำยังไงดี
“ป้าแต่...” พิณทองจะพูด แต่ไม่ทันป้าเดินลับตัวไปแล้ว
เวลาต่อมา พิณทองกับพรรณีกำลังช่วยกันซ่อมประตูบ้าน พิณทองช่วยยกจับประตูให้เข้าที่ ขณะที่พรรณีพยายามใช้ค้อนตอกตะปูติดบานพับ แต่ตอกไม่ค่อยถนัดนัก ท่าทีเก้ๆกังๆ
แถมประตูมีน้ำหนักมาก พิณทองต้องออกแรงเต็มที่ยกและดันประตูไว้
“ได้ยังคะแม่”
“ได้แล้วๆ หนักหน่อยนะ”
“ค่ะๆ”
“หนักไหมลูก ทนอีกนิดนะ จวนจะได้แล้ว”
“ไม่เป็นไรจ้ะแม่” ปากบอกไป แต่ท่าทางบอกชัดว่าแทบไม่ไหวแล้ว
พรรณีพยายามตอกตะปูเข้าไป แต่ไม่ค่อยถนัด ตะปูเลยเบี้ยวคาไม้
พรรณีถอดใจ เริ่มต้นใหม่ ตะปูเหลืออีกตัวเดียว พรรณีจับตะปูแน่น เลยตอกโดนมือตัวเองจังๆ
พรรณีร้อง “โอ๊ย”
พิณทองตกใจ “แม่ เป็นอะไรมากไหม พิณตอกให้เองดีไหมแม่”
“ไม่เป็นไรลูก นิดเดียวเอง จะเสร็จแล้ว จับไว้ก่อนนะลูก”
“ได้ ๆ ค่ะ พิณไหว”
พรรณีทนเจ็บกัดฟันตอกตะปูจนสำเร็จพลางยกมือปาดเหงื่อ “ได้แล้วลูก
“งั้นพิณไปเอายามาให้แม่นะ”
พิณทองเดินออกไป ปล่อยให้พรรณีอยู่ที่ประตูคนเดียว
เนื่องเพราะบานพับตอกตะปูไม่ครบจึงรับน้ำหนักประตูไม่ไหว ในที่สุดบานพับก็หลุด ประตูล้มลงจะทับร่างพรรณี
อยู่แล้ว พรรณีร้องลั่นตกใจมาก ก้มหน้าอย่างหวั่นกลัว
ประตูกำลังจะล้มลง จู่ๆ มีมือของใครคนหนึ่งเข้ามารับประตูไว้ แล้ววางประตูลง พรรณีเงยหน้าขึ้นมองงงๆ ก่อนจะเห็น เป็นเพชรแท้ที่มาช่วยไว้ทัน
พรรณีร้องออกมาอย่างดีใจ “เพชร”
เพชรแท้สวมกอดพรรณีแน่น “แม่”
พิณทองเดินออกมาเห็นพอดี
“พี่เพชร” วิ่งมากอดเพชรแท้อีกคน
สามคนแม่ลูกกอดกันกลมด้วยความดีใจ
บ่วงรัก ตอนที่ 6 (ต่อ)
ขณะที่เพชรแท้ทายาให้พรรณีอยู่นั้น พิณทองกำลังใช้ขันตักน้ำดื่มจากโอ่งหลังบ้านมาให้
“เพชรโทร.ไปหาป้าสำอางค์ เขาบอกว่าแม่ย้ายมาอยู่ที่นี่ ทำไมแม่ต้องย้ายออกมาจากบ้านนั้นด้วยล่ะ เพชรหนีตำรวจคนเดียว แม่ไม่ได้เกี่ยวด้วยซักหน่อย” เพชรแท้ถาม
“พวกนั้นเขาไม่ยอมเลิกรา เขาขู่จะทำร้ายครอบครัวเราอีก แม่กลัวว่าคราวนี้เขาจะมายุ่งกับพิณ”
เพชรแท้หันมาทางพิณทองตาขวาง “เห็นไหมว่าพวกมันเลวแค่ไหน” พาลโมโหใส่พิณ “มันทำให้พี่กลายเป็นโจรผู้ร้าย ทำให้แม่ต้องย้ายมาอยู่ไอ้บ้านเช่าโทรมๆ นี่ คราวนี้ ยังจะปลื้มมันอยู่อีกหรือเปล่า”
“แม่ก็ส่วนแม่ ลูกก็ส่วนลูกซีพี่เพชร คุณชนะศึกเขาไม่ได้ทำร้ายอะไรใครซักหน่อย” พิณทองแย้ง
เพชรแท้พาลพาโล “มันแม่ลูกกัน มีหรือมันจะไม่รู้กัน”
“พี่เพชร อย่างนี้เขาเรียกว่าพาลแล้วล่ะ” พิณทองโมโหเดินไปหาพรรณี
เพชรแท้ฉุนดึงแขนพิณทองไว้ “นี่ว่าพี่เรอะ” ออกอาการโมโห “พิณ เห็นมันดีกว่าพี่อีกแล้วเหรอ”
พิณทองเริ่มโมโหบ้าง “ก็พี่เพชรพาลจริง ๆ”
เพชรแท้ขึ้นเสียง “ยังจะเถียงอีก พูดไม่รู้เรื่องหรือ” สะบัดแขนพิณทองจนน้ำหกจากขัน
พิณทองโมโหทิ้งขันน้ำนั้นลง “ก็คุณชนะศึกเขาไม่ผิดนิ”
เพชรแท้พูดใส่หน้าน้องสาว “ดูสิ มันทำกับครอบครัวเรายังไง”
“พอแล้วลูก พอแล้ว อย่าทะเลาะกันได้ไหม” พรรณีทั้งอัดอั้นและคับแค้นใจ จนร้องไห้ออกมา
ลูกทั้งสองคนชะงัก พิณทองเข้าไปกอดปลอบพรรณี
“แค่นี้มันยังแย่ไม่พออีกเหรอ จะต้องให้ทุกข์กันไปถึงไหน”
“พิณขอโทษจ้ะ”
“เพชรก็แค่โมโหพวกมันที่ทำให้เราต้องเป็นแบบนี้”
“ไม่ต้องไปโมโหใคร ไม่ต้องคิดถึงคนอื่นอีกแล้ว ตอนนี้เราได้อยู่ด้วยกันครบ แม่ก็ถือว่ามันดีที่สุดแล้ว” พรรณีดึงเพชรแท้เข้ามากอด “ครอบครัวเราก็มีกันอยู่เท่านี้ เราต้องรักกันให้มากๆ ต้องช่วยกันทำทุกอย่าง ให้เรื่องเลวร้ายมันผ่านพ้นไป จำไว้นะทั้งสองคน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ลูกจะต้องรักกันให้มากๆ อย่าทะเลาะกันอีกรู้ไหม”
ทั้งคู่รีบพยักหน้ารับคำ พรรณีกอดลูกสองคนไว้แน่น
เย็นวันเดียวกัน อังคณาอยู่กับชนกนันท์อยู่ในห้องนั่งเล่นที่บ้าน เรืองโรจน์มารายงานเหตุการณ์
“รู้ไหม มันย้ายไปอยู่ที่ไหน”
“เรื่องนี้ผมยังไม่ทราบครับ”
อังคณาหัวเราะเยาะ “สมน้ำหน้าพ่อแกนัก อุตส่าห์ไปหาเมียเก่าแต่ไม่เจอ ฮึ ป่านนี้มันคงหนีหัวซุกหัวซุนไปอยู่ไหนๆ แล้ว”
ชนกนันท์ยิ่งสะใจ “ลองมีคดีติดตัวอย่างนั้น คงต้องเตลิดเข้าป่าไปเลยล่ะค่ะแม่”
“ดี! แต่เราก็ยังวางใจไม่ได้นะ นก ลองพ่อกับพี่ชายลูกไปตามหามันไม่เจอ เขาคงไม่เลิกง่ายๆ” อังคณาหันมากำชับเรืองโรจน์ “เธอต้องคอยจับตาดูพวกเขาไว้ เรืองโรจน์ ไม่ว่ามันย้ายไปอยู่ไหน เราก็จะตามเล่นงานมันอีก ตราบใดที่มันยังอยู่บนโลกนี้ ฉันจะตามมันไปทุกที่”
เรืองโรจน์พูดประจบ “คุณอังคณาไม่ต้องห่วงครับ ถ้าเรื่องไหนที่ท่านรู้ เราก็จะต้องรู้”
สองแม่ลูกยืนยิ้มอย่างสะใจ
เรืองโรจน์กำลังเดินออกมาที่โถงในบ้าน ชนกนันท์เดินตามหลังมา พูดแขวะ
“จะรีบไปหาความดีความชอบใส่ตัวอีกล่ะสิ”
เรืองโรจน์หยุด หันหลังมามองนก
“ผมทำตามคำสั่งของคุณอังคณาครับ”
“แต่มันทำให้คุณพ่อกับคุณแม่ทะเลาะกัน” ชนกนันท์ตวาด “สิ่งที่แกทำ มันทำให้ครอบครัวฉันเดือดร้อน”
เรืองโรจน์ยิ้มเยือกเย็น “ผมก็แค่ทำตามหน้าที่ลูกจ้างที่ดี”
“เหรอ! แต่ฉันว่า แกทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองมากกว่า อย่านึกว่าฉันรู้ไม่ทันคนพรรค์อย่างแก!”
เรืองโรจน์โกรธที่โดนดูถูก แต่ยังสงบสติไว้
“คิดเสียว่า ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ดีกว่าครับ...คนเรา ไม่ว่าจะสูงหรือต่ำ มันก็ต้องพึ่งพาอาศัยกันนะครับ”
ชนกนันท์มองเรืองโรจน์อย่างดูถูก
“แกจะทำอะไรก็ทำไป” ประโยคหลังชนกนันท์เน้นคำ “แต่จำใส่กระโหลกเอาไว้ อย่าล้ำเส้น อย่าทำอะไรเกินคำสั่ง แล้วที่สำคัญ อย่าให้คุณพ่อฉัน ต้องเดือดร้อนเพราะแก”
พูดจบชนกนันท์ก็สะบัดหน้าเดินออกไป เรืองโรจน์มองตาม สีหน้าร้ายกาจผุดออกมาอย่างชัดเจน
คืนนั้น ขณะที่พิณทองกำลังทำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอยู่ ส่วนพรรณีกำลังติดโบว์ที่ชุดกระโปรงเด็กกองใหญ่ เพชรแท้มานั่งดูด้วยความรู้สึกสงสารแม่จับใจ
“เขาให้ค่าแรงเท่าไรเนี่ยแม่” เพชรแท้ถาม
“ตัวละห้าสิบสตางค์น่ะ ถ้าวันนึงเราทำได้หนึ่งพันตัว เราก็จะได้ห้าร้อยนะ”
“พันตัว” เพชรแท้ลุกหนี นึกโมโหตัวเอง “เป็นเพราะเพชรแท้ๆ ถ้าเพชรไม่ต้องหนีตำรวจ เพชรก็คงกลับไปทำงานที่สปอร์ตคลับได้ มีเงินมาให้แม่ แม่ก็ไม่ต้องลำบาก”
พรรณีเดินตามเพชรแท้ไป “อย่าพูดอย่างนั้นสิเพชร งานแค่นี้แม่ไม่เป็นอะไรหรอก” พรรณียิ้มอย่างมีหวัง “ถึงมันจะได้เงินน้อย แต่มันก็ยังเป็นงานนะ”
พรรณียิ้มปลอบจนเพชรแท้เย็นลง เดินกลับไปนั่งลง
“งั้นเพชรช่วยแม่ทำเอง”
พรรณียิ้ม แล้วลงไปนั่งเย็บโบว์ต่อ ระหว่างนั้นพิณทองเดินออกมาจากอีกด้าน พร้อมกับถาดใส่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 3 ชาม
“อาหารเย็นเสร็จแล้วจ้ะ กินกันเถอะ”
พรรณีมองที่ชามบะหมี่ยิ้มบอกลูกๆ “ลูกกินกันเถอะ แม่จะทำงานต่อ”
“แม่กินก่อนนะ กินเสร็จแล้วเดี๋ยวพิณช่วยด้วยอีกคน” เด็กสาวยิ้มแย้มสดใส “เราสามคนช่วยกัน
คืนนี้ไม่เสร็จไม่เลิก” หันมาพูดกับเพชรแท้ “เนอะพี่เพชรเนอะ”
เพชรแท้เอาด้วย “ใช่ ไม่เสร็จไม่เลิก มา แม่มากินก่อนมา”
“จ้ะ”
พรรณียิ้มออกมาอย่างตื้นตัน มองลูกทั้งสองอย่างสุขใจ
เวลาเดียวกัน ที่บ้านเลิศชัยวัฒน์ อังคณาเดินลิ่วขึ้นบ้าน หน้าเชิด ด้วยอารมณ์โกรธจัด มีธานินทร์ตามมา สองคนทะเลาะกันรุนแรง ด้วยอารมณ์ที่โมโหจัดทั้งคู่
“หยุดนะ อังคณา ผมบอกให้หยุด...” อังคณาไม่ยอมหยุด ธานินทร์พูดเย้ยอีก “แน่จริงก็อย่าหนี”
ได้ผล อังคณาชะงักกึก หันขวับมา ตาวาววับ ธานินทร์มองสู้สายตา อย่างท้าทาย
“ตอบผมมา คุณให้คนเอายาเสพติดไปไว้ที่บ้านพรรณีใช่ไหม” อังคณาเชิดหน้านิ่ง “กล้าทำก็กล้ารับหน่อย”
อังคณาแหวใส่ “เออ ใช่! ฉันทำ แล้วคุณจะทำไม”
ธานินทร์ตกใจที่อังคณายอมรับ อังคณาพูดใส่อารมณ์อย่างเจ็บแค้น
“อึ้งเลยเหรอ ไง ล่ะ เป็นห่วงกันนักใช่ไหม จะบอกให้นะ พวกมันไม่รอดแน่ โดยเฉพาะลูกชายมัน ติดคุกหัวโต ไม่ได้ออกมาเห็นเดือนเห็นตะวันแน่นอน”
ธานินทร์หน้าสลดลง เสียใจยิ่งนัก “ทำไม...คุณอังคณา คุณไปทำร้ายคนที่ไม่มีทางสู้คุณทำไม”
“ฉันพอใจ! ถ้าฉันไม่มีความสุข ก็อย่าหวังเลยว่าใครจะมันมี”
ธานินทร์เหลืออดด่าออกมา “เลวจริงๆ” พร้อมกับดึงแขนอังคณาอย่างแรง “ไป คุณต้องไปบอกตำรวจ ว่าคุณเป็นคนใส่ร้ายเขา”
อังคณาขัดขืนไม่ยอมไปง่าย ๆ
“ฉันไม่ไป”
ธานินทร์ดึงแขนอังคณา พยายามพาตัวอังคณาลงบันได
“คุณต้องไป ไปกับผมเดี๋ยวนี้”
อังคณาขัดขืนแรงขึ้น โดยจับราวบันไดไม่ยอมตามไป และแผดเสียงดังมากขึ้น
“ไม่...ปล่อยฉันนะคุณธานินทร์”
ทั้งคู่ยื้อยุดฉุดกระชากกันอยู่ เสียงดังโหวกเหวกโวยวาย
ชนะศึก และชนกนันท์ได้ยิน ต่างออกมาจากห้องของตัวเอง หน้าตาตื่นตระหนก
“อะไรกันครับคุณพ่อ คุณแม่” ชนะศึกรีบเข้าไปห้ามกลางระหว่างธานินทร์กับอังคณา
ส่วนชนกนันท์รีบเข้าไปหาอังคณา
ชนกนันท์มองธานินทร์อย่างตำหนิ “คุณพ่อจะทำอะไรคุณแม่คะ”
ธานินทร์ชะงัก อังคณาสะบัดหลุด แล้ววิ่งไปกอดชนกนันท์ แกล้งทำเป็นเสียใจ โวยวาย
“พ่อแกน่ะซี จะจับแม่ส่งตำรวจ”
“อะไรนะครับ คุณพ่อ” ชนะศึกตกใจ
“ก็แม่แกเค้าเป็นคนใส่ร้ายเพชรแท้เรื่องยา เค้ายอมรับออกมาเอง”
ชนะศึกตะลึง มองหน้าอังคณา
อังคณาพลิกลิ้นรีบปฏิเสธ “แม่ไม่ได้ทำนะ แม่ไม่ได้ทำ” จ้องหน้าธานินทร์ “คุณใส่ร้ายฉัน” แล้วหันมาฟ้องอ้อนชนะศึก “พ่อเขาใส่ร้ายแม่ เขาอยากกำจัดแม่ไปให้พ้น ๆ เค้าอยากให้แม่ติดคุก เขาจะได้ไปเสวยสุขกับเมียเก่าของเขา พ่อแกมันใจดำ ใจดำ” จากนั้นก็บีบน้ำตาแสร้งร้องไห้
ชนกนันท์กอดอังคณาแน่น แล้วหันไปต่อว่าธานินทร์ “คุณพ่อทำได้ยังไงคะ เห็นคนอื่นดีกว่าคุณแม่ได้ยังไง นี่แม่ของนกนะคะ”
ธานินทร์มองอังคณาที่กอดลูกอยู่ รู้ว่าไม่มีทางสู้แน่ ๆ ได้แต่ทอดถอนใจ
“เอาเถอะ คุณอังคณา วันนี้ผมทำอะไรคุณไม่ได้ แต่ซักวันนึง ทุกอย่างจะต้องเปิดเผยแล้วคุณจะต้องเสียใจ ที่ทำอย่างนี้”
ธานินทร์หันหลังเดินลงบันไดไป ชนะศึกยืนอยู่ใกล้ๆ มองธานินทร์ แล้วหันมองอังคณา เห็นอังคณามีสีหน้าและแววตาสะใจ ชนะศึกรู้ทันที ชายหนุ่มถอนใจ อังคณาหันมาเห็นแววตาชนะศึก รีบปรับทีท่า
“มองอะไรชนะ”
ชนะศึกถอนใจ แล้วเดินหนีไป
ด้านธานินทร์เดินลงบันไดมา จะออกไปหน้าบ้าน หยุดยืนคิดอย่างกลัดกลุ้ม
“พรรณี ผมจะช่วยคุณยังไงดี”
จู่ๆ ธานินทร์รู้สึกปวดท้องอย่างแรง ค่อยๆ ทรุดตัวลงใช้มือข้างหนึ่งจับราวบันไดไว้ อีกมือกุมท้อง สีหน้าเจ็บปวดทรมาณ แต่ยังรู้สึกเป็นห่วงพรรณี
เวลาผ่านไปจนเช้าวันใหม่มาเยือน พิณทองกำลังหุงข้าว เอาหม้อข้าวลงจากเตาถ่าน ส่วนอีกด้านหนึ่งเห็นเพชรแท้กำลังผ่าฟืน
พิณทองวิ่งไปหาเพชรแท้ หน้าตาตื่น
“พี่เพชร พี่เพชร มาดูแม่เร็ว แม่เป็นอะไรก็ไม่รู้”
“ทำไม แม่เป็นอะไร”
พิณทองตอบไม่ถูก เพชรแท้ตกใจรีบวิ่งเข้าไปในบ้าน
เพชรแท้วิ่งมาเห็นพรรณีนอนหลับตานิ่งอยู่กับถุงใบใหญ่ที่ใส่ผ้า
“แม่ แม่”
“พิณเรียกตั้งหลายทีแล้ว แม่ก็ไม่ตื่น นอนนิ่งเลย”
“ไปเอายาดมมา”
พิณทองวิ่งไป เพชรแท้ประคองแม่ พยายามนวดแขนให้เลือดลมเดิน พิณทองเอายาดมให้พรรณีดม ครู่หนึ่งพรรณีจึงลืมตาขึ้นมา
“แม่จ๋า แม่เป็นไงมั่ง” พิณทองถามอย่างห่วงใย
“คงจะอดนอนมากไปน่ะลูก เลยเวียนหัว” ลุกขึ้นนั่ง พอได้สติก็ตกใจ “นี่กี่โมงแล้ว”
“แปดโมงกว่าแล้วแม่” เพชรแท้บอก
พรรณีตกอกตกใจ “ตายจริง ต้องรีบไปแล้ว เดี๋ยวไม่ทัน เจ๊เขาบอกให้แม่เอางานไปส่งก่อนเก้าโมงเช้า” ว่าพลางพรรณีพยายามจะลุก “แม่ต้องรีบไป”
พรรณียันกายลุกขึ้น แต่เพราะไม่สบาย จึงมีอาการซวนเซ พิณทองรีบเข้ามาประคอง
“แม่ไม่สบายจะไปได้ยังไง”
“ไม่ได้ลูก ต้องไป แม่รับปากเขาไว้แล้วว่าจะทำให้เสร็จทันเวลา แม่จะผิดนัดไม่ได้ ไม่งั้นต่อไปเขาคงไม่จ้างเราอีก” พรรณีจะเดินไป แต่แล้วเซอีก
“เดี๋ยวพิณเอาไปส่งให้เองดีกว่าจ้ะ แม่นอนพักเถอะ” พิณทองว่า
เพชรแท้หันไปมองถุงชุดกระโปรงใบโต ตัดสินใจ
“ถุงใหญ่ขนาดนี้ พิณจะถือยังไงไหว พี่เอาไปส่งเองดีกว่า”
“แต่ว่า...พี่เพชรจะไปได้เหรอ เกิดตำรวจ...”
เพชรแท้ตัดสินใจเด็ดขาด “ไม่เป็นไรหรอก แถวนี้ไม่มีใครรู้จักพี่ โรงงานก็อยู่ไม่ไกล ของนี่สำคัญกับแม่มาก พี่ไม่อยากให้พิณถือ เดี๋ยวเกิดตกหล่นเสียหายไปจะเป็นเรื่อง”
พรรณีซึ้งใจ “โธ่...เพชร”
“ไม่ต้องห่วงจ้ะแม่ เพชรเอาไปส่งให้ทันเวลา แม่นอนพักนะ ขากลับได้ตังค์มาแล้ว เพชรจะแวะซื้อยามาให้แม่ด้วย”
เพชรแท้คว้าถุงเสื้อออกไปอย่างมุ่งมั่น
บ่วงรัก ตอนที่ 6 (ต่อ)
เพชรแท้ดุ่มเดินออกมาตามทางเดินอย่างหมายมาด พร้อมกับหิ้วถุงใส่ชุดเด็กหนึ่งพันตัวออกมาด้วย เพชรแท้ดึงหมวกแก๊ปหรุบลงเพื่อพรางตัว แล้วเดินมาเรื่อยๆผ่านบริเวณวัด เห็นผู้คนสัญจรผ่านไปมา แต่ไม่มีใครสนใจ เพชรแท้รู้สึกสบายใจมากขึ้น
เพชรแท้เดินต่อมาจนถึงบริเวณชุนชนหน้าวัด ผ่านร้านค้าหลายร้าน แต่ก็ยังไม่มีใครสนใจเขา เพชรแท้จึงเดินไปเรื่อยๆ อย่างสบายใจมากขึ้น แต่แล้วเพชรแท้ก็ต้องชะงัก
เพราะห่างออกไปประมาณยี่สิบเมตร มีมอเตอร์ไซค์สายตรวจจอดอยู่ และมีตำรวจสายตรวจคนหนึ่งกำลังยืนคุยกับพ่อค้าก๋วยเตี๋ยวรถเข็น
เพชรแท้ชะงักใจเต้นระรัว หันหลังเดินกลับ ตำรวจขับมอเตอร์ไซค์ตามมา เพชรแท้รีบเดินหนี หลบเข้าไปแอบที่มุมห้องแถว ตำรวจหยุดมอเตอร์ไซค์ตรงทางเข้า เพชรแท้แกล้งทำเป็นจัดของ
“อะไรน่ะน้อง” ตำรวจตะโกนถาม
“เสื้อผ้าเด็กน่ะครับ ผมกำลังจะเอาไปส่ง”
เพชรแท้ถือถุงผ้าเดินต่อไป ตำรวจมองตาม
เพชรแท้เดินอย่างระแวดระวังเข้ามาในซอย ที่ทางเดินผ่านดงน้ำครำนี้เป็นสะพานไม้แผ่นเดียวสภาพผุ และเก่า สำหรับ เพชรแท้เหลียวหลังไปมอง เห็นว่าตำรวจยังไม่ไปไหน
เพชรแท้ตัดสินใจ พยายามประคับประคองถุงผ้า ขณะที่เดินไปบนไม้กระดานเก่าที่ไหวยวบยาบ เท้าของเขาไปเหยียบตรงรอยต่อของแผ่นไม้ที่หลุดจากกัน ทำให้พลาดเสียหลัก เซไป เพชรแท้ตกใจพยายามทรงตัวไว้ แต่ไม่สำเร็จถุงผ้าหลุดมือตกลงในในน้ำครำ ถุงผ้าลอยตุ๊บป่องอยู่
เพชรแท้ตกใจหน้าเสีย หันไปมองตำรวจยังอยู่ที่เดิม แต่สักครู่หญิงคนหนึ่งเหมือนจะเป็นภรรยาของตำรวจคนนั้นเดินออกมาจากด้านใน นั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ ตำรวจขับออกไป
เพชรแท้เพิ่งรู้ว่าตัวเองเข้าใจผิด ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บใจ
เพชรแท้หันมองไปที่ถุงผ้า เห็นถุงผ้าใบใหญ่กำลังค่อย ๆ จมลงในน้ำครำ เพชรอึ้งทรุดตัวลง
เสียงพรรณีผู้เป็นแม่ดังเข้ามาในความคิด ตอนที่เพชรแท้คุยกับพรรณีเรื่องงานเย็บโบว์ติดชุด และค่าแรงอันน้อยนิด
เพชรแท้นั่งเศร้า มองถุงผ้าในน้ำครำอย่างเจ็บใจ
ตอนกลางวัน ของวันนั้น เพชรแท้กำลังเอาผ้าที่เปื้อนน้ำครำเป็นสีดำๆ ปาลงในกะละมังที่มีฟองอยู่เต็ม หนุ่มเลือดร้อนขยี้ผ้าแรงๆ อารมณ์ยังครุกรุ่น
“โธ่เอ๊ย”
เพชรแท้โกรธ และโมโห จนพยายามจะทำร้ายตัวเอง
พรรณีกับพิณทองเดินตามออกมา พรรณีพยายามเข้ามาปลอบ
“ไม่เป็นไรหรอกนะลูก เพชรไม่ได้ตั้งใจซักหน่อย มันบังเอิญพลาดไป”
เพชรแท้ส่ายหน้า ขบกรามแน่น ระบายความขมขื่นออกมา
“มันไม่ได้บังเอิญหรอกแม่ เพชรตั้งใจดูแลถุงผ้าของแม่อย่างดีที่สุดแล้ว แต่ที่ถุงผ้ามันตกน้ำ ก็เพราะเพชรกลัวจะโดนจับ แล้วที่มันเป็นแบบนี้ ก็เพราะมันมีคนมายัดข้อหาใส่ให้เพชร”
เพชรแท้กระแทกกะละมังคว่ำไปด้วยความอัดอั้น
พรรณีใจเสีย “โธ่ลูกแม่”
เพชรแท้ระบดระบายออกมา “ทำไมมันต้องเป็นอย่างนี้ด้วย แม่ เพชรเป็นลูกผู้ชาย แต่เพชรทำงานหาเลี้ยงแม่ไม่ได้ เพชรออกไปไหน ทำอะไรก็ไม่ได้ กะอีแค่เอาเสื้อไปส่งให้เขา เพชรยังทำไม่ได้” หนุ่มเลือดร้อนร้องไห้ออกมา “แล้วเพชรจะทนอยู่ต่อไปยังไง เพชรจะต้องหลบๆ ซ่อนๆ ไปอีกนานขนาดไหน”
พรรณีเข้ามากอดปลอบ
“ใจเย็นๆ ลูก สักวันเราอาจจะมีทางรอด”
“วันไหนล่ะแม่ เพชรอาจจะโดนตำรวจยิงตายพรุ่งนี้ก็ได้ แม่คอยดูนะ” ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น “ถ้าเพชรจะต้องตายหรือเข้าคุกเพราะไอ้พวกบ้านนั้น เพชรยอมตายเพราะไปฆ่ามันยังจะดีซะกว่า”
พรรณีตกใจ “อย่านะลูก อย่าคิดอย่างนั้น เพชรเป็นดวงใจของแม่ ถ้าเพชรเป็นอะไรไปแม่จะอยู่อย่างไง ไม่คิดอย่างนั้นนะลูก”
เพชรแท้กับพรรณีกอดกันร้องไห้อย่างน่าเวทนา
พิณทองเข้ามากอดด้วยความสลดใจ สงสารแม่ และพี่ชายเหลือเกิน
ช่วงเวลาตอนกลางวัน ภายในห้องทำงานของธานินทร์ ชนะศึกกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ ท่าทางฉุนเฉียว ธานินทร์ยืนฟังอยู่
“อะไรนะ คุณไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพิณทองเลยเหรอ คุณเป็นฝ่ายบุคคลภาษาอะไร”
ระหว่างนั้นเรืองโรจน์ถือแฟ้มเดินผ่านมา ได้ยิน จึงหยุดแอบฟัง
“ไม่มีชื่อญาติหรือคนติดต่อที่ไหนทั้งนั้น อะไรกันบริษัทใหญ่โต ทำธุรกิจเป็นพันๆ ล้าน กะอีแค่พนักงานหายไปคนนึงก็หาไม่เจอ ไม่ได้เรื่องเลย”
ชนะศึกวางสายอย่างหงุดหงิด ธานินทร์ถาม
“ไม่มีเบาะแสเลยใช่ไหม”
“ไม่มีเลยครับพ่อ ทุกคนที่รู้จักพิณทองผมก็เรียกมาถามหมดแล้ว” ชนะศึกหยุดคิอีกดนิดหนึ่ง “พิณทองไม่ได้ติดต่อใครเลยครับ ไม่มีใครทราบที่อยู่ใหม่ของเขาเลย”
ธานินทร์มีท่าทีร้อนใจมาก “พ่อรู้ว่าเขาต้องกำลังเดือดร้อนมาก ลูกจะทำยังไงก็ได้ เราต้องหาเขาให้เจอ”
“ผมคิดว่าจะจ้างนักสืบเอกชนตามหาเขา”
ธานินทร์เห็นด้วย “เอาไงก็เอา พ่อยอมทุ่มไม่อั้น แต่ระวังหน่อยแล้วกัน เวลาลูกจะทำอะไร ต้องอย่าให้แม่ของลูกรู้เป็นอันขาด ไม่งั้นพวกเขาจะไม่ปลอดภัย”
“เราคุยกันสองคน คุณแม่จะรู้ได้ยังไงล่ะครับ” ชนะศึกนึกสงสัย
ธานินทร์ยิ้มเยาะตัวเอง ลดเสียงเบาลง “เชื่อไหมล่ะ ช่วงหลังๆ มานี่ ไม่ว่าพ่อจะทำอะไร แม่ของลูกเขาก็รู้ทุกอย่าง”
ชนะศึกแปลกใจ “คุณพ่อหมายความว่ายังไง”
เสียงเคาะประตูดังขัดขึ้น
“เชิญ”
เรืองโรจน์เปิดประตูเข้ามา
“ผมมีเอกสารด่วนถึงท่านครับ”
ธานินทร์มองเรืองโรจน์ยิ้มอย่างรู้เท่าทัน
“วันหลัง เธอไม่ต้องเอาอะไรมาให้ฉัน ทุกอย่างให้ยุ้ยเขาจัดการแทน”
เรืองโรจน์งง “แต่ผมเป็นเลขาฯ ส่วนตัวของท่านนะครับ”
“ฉันว่าเธอทำงานอย่างอื่นจะดีกว่า ตำแหน่งเลขาฯ น่ะ มันเหมาะกับคนที่ไว้วางใจได้เท่านั้น”
ธานินทร์พูดจบก็เปิดประตูเป็นเชิงไล่ เรืองโรจน์ตะลึงทำอะไรไม่ถูก รีบพาตัวเองออกไป
ชนะศึกมองหน้าธานินทร์ เข้าใจทุกอย่างทันที
เวลาต่อมา พิณทองยืนอยู่ในตู้โทรศัพท์สาธารณะ มีเหรียญจำนวนหนึ่งในมือ เด็กสาวจะโทร.หาชนะศึก
เวลาเดียวกันนั้น ในห้องทำงานมือถือชนะศึกดังขึ้น แต่ไม่มีใครอยู่ในนั้น
พิณทองรอสายอยู่นาน จึงวางสาย พอคิดจะกดใหม่ซ้ำ แต่โดนตู้โทรศัพท์กินเหรียญไป พิณทองเซ็ง
พิณทองเอาเหรียญที่เหลือหยอดแล้วกดใหม่ ระหว่างนั้นด้านนอกตู้มีคนรอคิวอยู่ พิณทองยิ้มเกรงใจให้นิดหนึ่ง
โทรศัพท์มือถือชนะศึกดังอีก สุดาเดินเข้ามาได้ยินเสียง หยิบมาดู เห็นเบอร์โชว์แต่ไม่รู้ว่าใคร สุดาคิดตริตรอง แล้วหยิบมือถือเดินออกไป
สักครู่หนึ่ง สุดาเดินมาที่หน้าห้องประชุมบริษัท เคาะประตูเบาๆ ก่อนจะโผล่หน้าเข้าไป ซึ่งภายในห้องชนะศึกกำลังประชุมอยู่กับพนักงาน 2-3 คน
สุดาชูมือถือให้ชนะศึกดู ซึ่งเสียงยังดังอยู่
“ขอโทษนะคะคุณชนะศึก ใครโทร.มาไม่ทราบค่ะ เบอร์ไม่คุ้นเลย คุณชนะจะรับไหมคะ”
ชนะศึกหงุดหงิด ก้มหัวให้เป็นเชิงขอโทษที่ประชุม แล้วลุกออกมา รับโทรศัพท์มาดู ชนะศึกมองอย่างฉงน
“เบอร์ใคร”
พิณทองเหลือเหรียญอยู่สองบาท รีบหยอด คนที่รอโทร.อยู่เริ่มกดดัน พิณทองภาวนาในใจ
“รับหน่อยเถอะค่ะ รับหน่อย”
ชนะศึกรับ น้ำเสียงไม่พอใจ “ฮัลโหล ใครพูด”
โทรศัพท์เตือนว่าเหรียญกำลังจะหมดพิณทองรีบพูด
“คุณชนะเหรอคะ พิณเองค่ะ”
ชนะศึกดีใจ “พิณทองเหรอ ตอนนี้คุณอยู่ไหน เป็นไงมั่ง”
“พิณมีเรื่องสำคัญอยากจะคุยกับคุณน่ะค่ะ เหรียญกำลังจะหมดแล้ว วันนี้คุณออกมาเจอพิณได้ไหมคะ ที่” พิณทองบอกชื่อสถานที่ “เดี๋ยวนี้เลยนะคะ”
เสียงสายถูกตัดไป
“พิณทอง พิณ...” สายตัดไปแล้ว ชนะศึกหงุดหงิด บอกกับสุดาอย่างใจร้อน “บอกที่ประชุมให้ประชุมกันไปก่อน ผมมีเรื่องด่วนต้องไปทำ”
ชนะศึกเดินแกมวิ่งออกไปทันทีอย่างร้อนใจ สุดามองตามงง ๆ
เรืองโรจน์เดินเข้ามาจากอีกทาง มองตามชนะศึกไปด้วยความสงสัย จึงแกล้งถาม
“อ้าว คุณสุดา เจ้านายคุณเขารีบร้อนไปไหน”
“อ๋อ ไปหาน้องพิณน่ะค่ะ พอดีน้องพิณโทร. มา” สุดาบอกพาซื่อ
เรืองโรจน์ยิ้ม ดวงตาวาววาม
รถชนะศึกแล่นเข้ามาจอดที่บริเวณหน้าสวนหย่อมในสวนสาธารณะแห่งนั้น รถของเรืองโรจน์แล่นตามมา จอดอยู่ไม่ห่างรถของชนะศึก ที่สวนหย่อมชนะศึกเข้าไปหาพิณที่นั่งรอยู่
พิณทองหันมาเห็นก็ดีใจ “คุณชนะศึก”
“พิณทอง คุณเป็นไงบ้าง ลำบากมากไหม ทำไมคุณไม่ติดต่อกลับมาเลย”
“วุ่นไปหมดเลยค่ะ พิณย้ายบ้านไปอยู่แถวหลังวัด...โน่นแน่ พิณเป็นห่วงพี่เพชรค่ะ” สีหน้าเศร้าลง “ตอนนี้พี่เพชรต้องคอยหนีตำรวจ แม่พิณก็กลุ้มใจทุกวัน” พิณทองทำท่าจะร้องไห้
ชนะศึกแสนสงสาร “คุณอยากให้ผมช่วยอะไร บอกมาเลย”
พิณทองไหว้ “พิณไหว้ล่ะค่ะ คุณชนะศึกช่วยพูดกับคุณแม่ของคุณหน่อยได้ไหมคะ เรายอมแพ้ทุกอย่างแล้ว พิณกับแม่จะไม่ยุ่งอะไรกับครอบครัวของคุณอีก แค่ขอให้ท่านช่วยบอกความจริงกับตำรวจไปว่าที่เพชรไม่ใช่เจ้าของยา”
“แล้วบอกเขาว่า เจ้าของยาคือคุณแม่ผมเอง... งั้นเหรอ”
“คุณไม่เชื่อเหรอคะ ว่าท่านใส่ร้ายพี่เพชร”
ชนะศึกอึ้งไปอย่างหนักใจ ก่อนจะพูดอย่างระมัดระวัง
“เรื่องนี้มันเรื่องใหญ่นะพิณทอง คุณกำลังบอกว่าแม่ผมพัวพันกับยาเสพติดนะ” ชนะศึกมีท่าทีลำบากใจ “คือถ้าคุณไม่มีหลักฐาน...”
พิณทองฉุนขาด สวนคำทันที “จะเอาหลักฐานอะไรล่ะค่ะ รอยเท้าหรือรอยนิ้วมืองั้นเหรอ คนระดับคุณแม่คุณต้องลงมือทำอะไรเองเลยเหรอคะ พิณถึงจะมีหลักฐานไปมัดตัวท่านได้”
“ไม่ใช่อย่างนั้น ผมหมายความว่า...”
พิณทองน้อยใจ ฟูมฟาย “คุณคิดว่าพี่เพชรผิดจริงใช่ไหมคะ เพราะเราจนใช่ไหมคะ เราถึงทำชั่วได้ คนจนมันเลวกันทุกคนเลยใช่ไหมคะ”
“พิณทอง นี่ไปกันใหญ่แล้วนะ ผมไม่เคยดูถูกคุณ ก็แค่จะเตือนให้คุณคิดให้ดีๆ ก่อนที่คุณจะกล่าวหาคุณแม่ผม”
ได้ยินชนะศึกใช้คำว่า “กล่าวหา” พิณทองเลยยิ่งโกรธ
“ถ้าคุณชนะคิดว่าพิณกล่าวหาท่าน เราก็คงไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก พิณไปล่ะค่ะ”
พิณทองสะบัดหน้าจะเดินหนี ชนะศึกคว้าแขนพิณทองไว้
“เดี๋ยวซี คุณไม่เข้าใจผม”
“พิณเข้าใจดีค่ะ แม่ใครใครก็รัก พิณโง่เองที่คิดว่าจะพึ่งคุณได้” นึกน้อยใจขึ้นมาอีก “พิณเข้าใจค่ะ แล้วก็ไม่ว่าอะไรคุณด้วย”
พิณทองดึงดันจะไป ชนะศึกจับไว้ แล้วรวบตัวพิณทองมากอดเอาไว้ ดุแรง ๆ
“ฟังนะพิณทอง ผมรู้ว่าคุณแม่ผมทำไม่ดีกับครอบครัวคุณ” พิณทองชะงัก “แต่สำหรับเรื่องยาน่ะ คุณต้องยอมรับว่าคุณก็ไม่มีหลักฐานที่จะเอาผิดท่าน” ค่อยๆ คลายอ้อมกอด ปล่อยพิณทอง พูดเสียงอ่อนลง “แต่ผมรับรอง จะช่วยพี่ชายคุณ”
พิณทองจ้องหน้าชายหนุ่มย้อนถาม “แม้ว่ามันจะทำให้คุณแม่คุณต้องเดือดร้อนงั้นเหรอคะ พิณไม่อยากจะเชื่อ”
ชนะศึกจับมือพิณทองไว้ “เชื่อผม ผมจะทำสิ่งที่ถูกต้อง”
พิณดึงมือออก ยิ้มให้ ถอยออกมาจากชนะศึก เขินนิด ๆ แล้วเดินกลับไป ชนะศึกมองตาม
เรืองโรจน์เห็นพิณทองจึงรีบวิ่งกลับไปที่รถ
แทนสายตาชนะศึก เห็นเรืองโรจน์เดินออกมา แปลกใจ ไม่พอใจ
เรืองโรจน์กำลังจะขึ้นรถที่หน้าสวน ชนะศึกเดินปรี่เข้ามาหา เรืองโรจน์ตกใจ แต่ทำเป็นบังเอิญเห็นเพื่อกลบเกลื่อน
“คุณเรืองโรจน์”
“อ้าว คุณชนะศึก คุณมาทำอะไรแถวนี้ครับ”
“ผมน่าจะถามคุณมากกว่า คุณมาทำอะไรแถวนี้” ชนะศึกย้อนถาม
“ผมมาทำธุระน่ะครับ”
“ธุระอะไร ตามสะกดรอยผมเนี่ยนะ ธุระของคุณ”
เรืองโรจน์ตีหน้าเซ่อ ทำงง “พูดเรื่องอะไรกันครับ”
ชนะศึกจ้องตา “อย่ามาทำเป็นแกล้งโง่ดีกว่า ผมรู้นะว่าคุณคอยตามผม คุณทำงานให้แม่ผม” เรืองโรจน์นิ่งงันไป “บอกมาเลยนะ ผมไม่เหมือนพ่อผม พ่อผมเป็นคนมีความอดทน แต่ผมไม่มี”
เรืองโรจน์ฉุนบอกอย่างสามหาวถือดี ไม่ยี่หระ “ในเมื่อคุณชนะก็รู้ว่าผมทำงานให้ใคร แล้วคิดเหรอครับว่าใครจะทำอะไรผมได้ง่ายๆ”
“อย่าอวดดีเกินไปนัก คุณเรืองโรจน์” ชนะศึกอดไม่ไหวพูดจาดูถูกแกมตักเตือน “สุนัขรับใช้บางตัวถึงมันจะมีปลอกคอ แต่ถ้ามันสร้างความรำคาญจนผมทนไม่ไหว ผมอาจจะเตะให้กระเด็นไปก็ได้ ผมบอกแล้วไง ผมเป็นคนไม่มีความอดทน”
พูดแล้วชนะศึกก็เดินออกไป เรืองโรจน์มองตามอย่างอาฆาตแค้นชนะศึก
อังคณาโกรธมากพอรู้เรื่องจากสายสืบส่วนตัว
“เธอก็เลยไม่ได้ตามนังเด็กนั่นไปเหรอ”
เรืองโรจน์กับชนกนันท์อยู่ด้วยในห้องนั่งเล่น
น้ำเสียงเรืองโรจน์ยังโกรธชนะศึกอยู่เหมือนเดิม “ก็คุณชนะมาขวางซะก่อนนี่ครับ”
ชนกนันท์ยิ่งไม่พอใจ “ตกลงพี่ชนะก็รู้แล้วซี ว่านายแอบตามเขาไป”
“ครับ”
“หมดกัน คุณธานินทร์รู้ว่าเธอทำงานให้ฉัน ตอนนี้ ชนะก็รู้อีก ต่อไปจะทำงานได้ยังไง เธอไม่มีประโยชน์แล้ว เรืองโรจน์” เรืองโรจน์อึ้ง อังคณาลุกไปเซ็นเช็ค ส่งให้ “เอาไป ค่าเหนื่อยของเธอ แล้วจะไปไหนก็ไป”
อังคณาเดินไปนั่งอย่างหงุดหงิด เรืองโรจน์มองดูตัวเลขเห็น 1 แสนบาทบนเช็ค ไม่พอใจ แต่ฝืนยิ้ม
“หนึ่งแสนบาท งานนี้มีความหมายแค่นี้เองเหรอครับ”
ชนกนันท์ดูหมิ่นต่อทันที “แล้วแกอยากได้เท่าไหร่ล่ะ ว่ามาซี”
เรืองโรจน์พูดกับอังคณา แต่หันไปมองชนกนันท์ น้ำเสียงจริงจัง “เรื่องนี้ ผมจะคุยกับคุณอังคณาคนเดียวเท่านั้น”
อังคณาหันมามองเรืองโรจน์อย่างรำคาญ แต่เห็นแววตาจริงจัง เลยชะงัก
เรืองโรจน์ย้ำเสียงเข้ม “คุณอังคณาครับ ผมขอ...”
อังคณาพยักหน้า “ออกไปก่อนยัยนก”
ชนกนันท์ค้อนแม่อย่างขัดใจ “คุณแม่อ่ะ”
อังคณาโบกมือไล่ ชนกนันท์ไม่พอใจ แต่ก็เดินออกจากห้องไป เรืองโรจน์มองตามหลังไป จนพ้นสายตา อังคณาตวัดเสียงอย่างหงุดหงิด
“จะเอายังไง เท่าไหร่ ว่ามา”
เรืองโรจน์ยิ้ม ท่าทีอ่อนน้อม แต่แววตาเจ้าเล่ห์
“เอ้า ว่าไงล่ะ จะยิ้มทำไม มีอะไรก็พูดมาซี”
ชนกนันท์ยังเดินวนเวียนอยู่หน้าห้อง คอยดูสถานการณ์ในห้อง ด้วยความอยากรู้อยากเห็น สักครู่หนึ่งเห็นเรืองโรจน์เดินยิ้มออกมาจากห้อง
“อารมณ์ดีจริงนะ” แหวใส่ “แกขออะไรคุณแม่ล่ะ รถ คอนโด หรืออะไร”
เรืองโรจน์ไม่ตอบ มองหน้าชนกนันท์แล้วยิ้มๆ
“ฉันถาม ไม่ได้ยินหรือไง”
เรืองโรจน์หัวเราะ แล้วเดินออกไป
“ไอ้บ้า ลามปาม ถามอะไรก็ไม่ตอบ ทุเรศ...”
ชนกนันท์นึกแล้วอยากรู้ จนทนไม่ไหว เดินเข้าไปหาอังคณาในห้องนั่งเล่น
อังคณาจิบเครื่องดื่มอยู่อย่างสบายใจ ใบหน้ายิ้มละไม
“ไม่มีอะไรหรอกน่ะ ยัยนก อย่าวุ่นวายไปเลย”
“ไม่มี แล้วทำไมมันต้องทำท่าลับลมคมนัยด้วยล่ะคะ คุณแม่...มันยิ้ม แล้วมันทำท่า...” ชนกนันท์นึกถึงเรืองโรจน์ แล้วทำท่าขยะแขยง “...นกก็บอกไม่ถูก แต่ว่ามัน...”
อังคณาหัวเราะเยาะเรืองโรจน์ “เอาเถอะน่ะ ไม่มีอะไรหรอก คนมันไม่เคยมี มันก็อยากได้อยากมีของมันไปตามประสา”
“แต่ตอนนี้ คุณพ่อกับพี่ชนะก็รู้ทันว่ามันเป็นคนของคุณแม่ แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรคะ”
“จะว่าไป เรืองโรจน์มันก็ไม่ถึงกับไร้ประโยชน์ซะทีเดียวหรอกยัยนก เพราะมันทำให้แม่คิดได้...” หันบอกชนกนันท์ “...ว่าคนอย่างพ่อแก พูดไปก็ไร้ประโยชน์ เปลืองน้ำลายเปล่าๆ”
“แปลว่าคุณแม่จะปล่อยให้คุณพ่อ...”
อังคณายกมือห้าม “ไม่ปล่อย แต่แม่จะไม่พูดแล้ว...ถึงเวลาต้องลงมือจัดการขั้นเด็ดขาดซะที”
อังคณาพูดเป็นนัยพร้อมกับยิ้มร้ายอย่างสะใจ
บ่วงรัก ตอนที่ 6 (ต่อ)
ธานินทร์อยู่ในห้องทำงานที่บ้านเลิศชัยวัฒน์ รับรู้เรื่องการนัดพบของชนะศึกกับพิณทองแล้ว
“เจ้าเรืองโรจน์แอบสะกดรอยตามลูกไปงั้นหรือ? นี่แปลว่าแม่ของลูกยังไม่เลิกราจริงๆ” ธานินทร์ถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย “ทำเขาจนบ้านแตกสาแหรกขาดแบบนั้น ยังไม่สาสมใจ แล้วนี่ลูกว่าเขาย้ายไปอยู่ที่ไหนกันนะ”
“เห็นเขาว่าอยู่หลังวัด... ครับ”
ธานินทร์ทวนคำ พยายามจำ “วัด..เหรอ”
“ผมไม่ได้ตามเขาไป แต่ฟังดูท่าทางอยู่ไกล แล้วก็คงจะลำบากกันน่าดู”
ธานินทร์ครวญ “บาปกรรมแท้ ๆ เราต้องรีบช่วยเขานะชนะ ให้เขาพ้นจากเรื่องบ้าๆ นี่ซะที”
ธานินทร์ยื่นนามบัตรใบหนึ่งให้ชนะศึก
“เอ้า” ชนะศึกรับไปดู “ลูกไปคุยกับผู้การสวัสดิ์เลย พ่อโทร.นัดเขาไว้แล้ว จะให้เขาช่วยเรื่องพี่ชายของพิณทอง”
ชนะศึกรับนามบัตรมา “พ่อไม่ไปด้วยเหรอครับ”
ธานินทร์นิ่งไป หยุดนิดหนึ่ง ก่อนจะบอกต่อ “ไม่ล่ะ พ่อมีธุระอย่างอื่นต้องทำ”
“ครับพ่อ”
ชนะศึกพยักหน้ารับทราบ แล้วออกไป
เช้านั้นธานินทร์นั่งลงที่โต๊ะทำงาน เปิดลิ้นชักแล้วหยิบกล่องใส่นาฬิกาออกมา เปิดกล่องแล้วหยิบนาฬิกาพกออกมา นั่งจ้องมองนาฬิกาเรือนนั้น รำพึงกับตัวเอง
“ยี่สิบปีแล้ว วันนี้ฉันจะได้พบเธอซะทีพรรณี”
ธานินทร์จดสายตามองนาฬิกาอยู่อย่างนั้น
เพชรแท้ใส่หมวกแก๊ปปิดบังพรางหน้าตา เดินมองซ้ายมองขวาอย่างระวัง มาที่ลานจอดรถ ขณะที่บนรถคันหนึ่งสมภพนั่งคอยอยู่ เพชรแท้เดินมา และเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถข้างคนขับทันที
“เฮ้ย! ทำไมมาช้าจังวะ นี่เงินแก พี่เกียรติให้เอามาให้” สมภพบอก
เพชรแท้หยิบซองมาเปิดออกดู นับเงิน แล้วอึ้งไป
“เหลือแค่นี้น่ะเหรอ
“ยังดีนะโว้ยที่เขายอมให้เงินแก ไอ้คดีที่แกโดนน่ะ ตามระเบียบแกไม่ได้อะไรซักบาท อยู่ดีๆ ไปโดนคดีค้ายาได้ไงวะ”
เพชรแท้แค้นขึ้นมา “คนมันแกล้งน่ะ เออ แล้วนี่ฉันมีโอกาสที่จะกลับไปทำงานกับพี่เขาไหมเนี่ย”
“นี่แกยังคิดจะกลับมาทำงานอีกเหรอ ถ้าไปก็ติดคุกซี ตำรวจมาวนเวียนที่สปอร์ตคลับทุกวัน แกอยู่เฉยๆ ไปก่อนเหอะ”
“อยู่เฉยๆ ก็อดตายพอดี” เพชรแท้ถอนหายใจ “ไม่เป็นไร ยังไงก็ขอบใจนะที่อุตส่าห์เอาเงินมาให้”
“เออ” สมภพตบไหล่สงสารเพื่อน “โทษทีนะเพชร ฉันช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ”
เพชรแท้พยักหน้าเข้าใจ รันทดหดหู่กับชีวิตตัวเองยามนี้
“ฉันไปก่อนละกัน”
“โชคดีเว้ย ระวังตัวด้วยนะ”
เพชรแท้เปิดประตูลงจากรถไปอย่างระแวดระวัง
เวลาต่อมาภายในร้านอาหารตกแต่งค่อนข้างหรูหรา ชนะศึกกินกาแฟอยู่กับนายพลตำรวจคนหนึ่ง ซึ่งใส่ชุดซาฟารี
“ไอ้เรื่องคดียาเสพติดนี่มันยุ่งยากนะชนะ มันไม่เหมือนคดีทั่วๆ ไป” สวัสดิ์เพื่อนที่ธานินทร์แนะนำเอ่ยขึ้น
“แต่ว่ามันอาจเป็นการใส่ความกันก็ได้นะครับ”
“ใครล่ะ เขามีปัญหากับใคร”สวัสดิ์ซัก
ชนะศึกชะงัก หยุดนิดหนึ่ง “เรื่องนั้นผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ”
“ลองมียาจำนวนมากขนาดนี้อยู่กับตัว ถ้าเป็นการใส่ความ ไอ้คนที่ใส่ความก็ต้องตัวใหญ่มากๆ เอางี้ดีกว่า ขั้นแรกเลย ถ้าคิดว่าตัวเองบริสุทธิ์ก็เข้ามามอบตัว ถ้ายิ่งหนีอยู่อย่างนี้ก็ยิ่งอันตราย ดีไม่ดีอาจจะถูกวิสามัญก็ได้”
ชนะศึกพยักหน้ารับทราบ
ขณะเดียวกันเพชรแท้เดินมาตามฟุตบาทจนใกล้จะถึงร้านอาหารหรู ที่ชนะศึกมาพบกับนายพลตำรวจสวัสดิ์
สักครู่หนึ่งชนะศึกกับสวัสดิ์ก็เดินออกมา เพชรแท้ชะงักจำชนะศึกได้ทันที จึงรีบหามุมหลบ แล้วแอบดู เห็นชนะศึกกับสวัสดิ์เดินมาที่รถ นายร้อยตำรวจคนสนิททำความเคารพ แล้วเตรียมจะเปิดประตูรถให้ สวัสดิ์หันมาพูดกับชนะศึก
“ไม่ต้องห่วงนะ ลุงจะดูแลเรื่องนี้เอง”
ชนะศึกไหว้ขอบคุณ “ขอบพระคุณมากครับ”
“ฝากความคิดถึงพ่อกับแม่ด้วยล่ะ”
จากนั้นสวัสดิ์ก็เข้าไปนั่งในรถ นายร้อยคนสนิทเข้าไปนั่งด้านข้างคนขับ พลขับประจำตัวติดเครื่อง แล้วถอยรถออกไป
เพชรแท้เข้าใจผิด รู้สึกโกรธมากกับสิ่งที่เห็นรำพึงกับตัวเอง
“แกจะเล่นงานฉันให้ได้ใช่ไหม”
ธานินทร์ก้าวออกมาจากลิฟต์ เขาเปลี่ยนเป็นชุดลำลองดูดี ธานินทร์กำลังจะเดินออกไป อังคณานั่งอยู่ที่ชุดรับแขกในห้องโถง
“เดี๋ยวอย่าเพิ่งไป”
อังคณาเดินมาตรงหน้า มีกระดาษปึกหนึ่งในมือ
“เห็นไหม นี่อะไร”
ธานินทร์ชะงัก
“หนังสือขอหย่าที่ทนายของคุณส่งมาให้ฉันเซ็น” อังคณาฉีกกระดาษเป็นชิ้น ๆ แล้วปาใส่หน้าธานินทร์ “เอ้า! เอาคืนไป แล้วบอกไอ้ทนายหน้าโง่ของคุณด้วยว่าฉันไม่ยอมหย่าให้คุณง่ายๆ หรอก มันจะส่งมากี่ร้อยใบ ฉันก็จะฉีกทิ้งให้หมด”
ธานินทร์ไม่สนใจสักนิด “ก็แล้วแต่คุณ ถ้าไม่มีอะไรทำดีกว่านี้ก็ตามใจ”
“ไม่! ฉันไม่ทำอะไรทั้งนั้น อย่างเดียวที่ฉันจะทำก็คือ ทำให้คุณไม่มีความสุข เหมือนกับที่คุณทำกับฉัน ฉันจะทำทุกทางไม่ให้คุณกับมันได้มีความสุขอีกเลย” อังคณาเดือดดาล
“ได้ยินที่ตัวเองพูดบ้างไหมอังคณา คุณได้ยินไหมว่าความคิดของคุณมันทุเรศขนาดไหน” ธานินทร์ด่า
อังคณาแค้นจัด “ใช่...ฉันมันทุเรศ แต่อย่านึกนะว่าคุณจะหนีฉันไปได้ คุณจะต้องอยู่กับฉัน เราจะต้องตกนรกทนทุกข์ทรมานไปด้วยกันตลอดชาตินี้ ฉันไม่มีทางปล่อยคุณไปง่ายๆ”
“คุณขวางผมไม่ได้หรอก อังคณา อีกไม่นาน ผมก็จะพ้นจากทุกๆ อย่างแล้ว” พูดจบธานินทร์ก็จะเดินหนี
อังคณาขวางไว้อีก “หมายความว่ายังไง คุณคิดว่าคุณจะหย่าจากฉันได้งั้นเหรอ มีไม้ตายอะไรซุกซ่อนเอาไว้อีกล่ะ งัดขึ้นมาเลย อยากรู้เหมือนกันว่าใครหน้าไหนจะเอาคุณไปจากฉันได้ ถ้าฉันไม่ยอมแพ้ซะอย่าง”
อังคณาโวยวายลั่น ธานินทร์มองอย่างสมเพช
“คราวนี้คุณต้องยอม คุณไม่มีทางชนะ คุณไม่มีทางจะรั้งผมไว้ได้ ไม่มีทาง!”
ธานินทร์ก็เดินออกไปทันที
อังคณามองตาม รู้สึกหวาดหวั่นในใจว่า เหตุใดธานินทร์ถึงมีท่าทีมั่นใจมากขนาดนี้
รถยนต์หรูคันนั้นขับแล่นมาตามทาง โดยมีศักดาเป็นคนขับ ส่วนธานินทร์นั่งอยู่ที่เบาะหลังรถ ศักดาเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นอย่างรู้ใจนาย
“ในที่สุดก็ถึงวันนี้ซักทีนะครับ”
“ฉันรอมายี่สิบปี ทุกข์ทรมานมายี่สิบปี ตอนนี้ฉันจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ทำในสิ่งที่ถูกต้องเสียที”
“ขอให้ทุกอย่างราบรื่น สมความปรารถนาของท่านนะครับ” ศักดาบอกอีก
“ขอบใจ” ธานินทร์รำพึง “ถ้าฉันช่วยพรรณีได้สำเร็จ คราวนี้ฉันจะได้พักยาว ๆ ซักที”
“ท่านจะไปไหนครับ” ศักดาถามที่หมายของเจ้านาย
“ไปที่สงบ ๆ ไปให้พ้นจากปัญหาทุกอย่าง”
รถของธานินทร์แล่นไปบนท้องถนนมุ่งหน้าสู่จุดหมาย โดยมีรถของเรืองโรจน์ขับตามมาห่าง ๆ
เรืองโรจน์พยายามขับตามรถของธานินทร์ไปไม่ให้คลาดสายตา และไม่ให้ธานินทร์รู้ตัว เรืองโรจน์มั่นใจว่าเขาจะต้องได้สิ่งที่ต้องการแน่
ที่บริเวณใกล้ๆ กับบ้านเช่าใหม่ พรรณีกำลังเก็บกระถิน และตำลึงที่ขึ้นอยู่ใกล้ๆ บ้าน ท่าทางพรรณีดูเหนื่อยล้า แต่เธอก็ยังฝืนเก็บต่อไปเรื่อย ๆ
เวลาเดียวกันรถของธานินทร์แล่นเข้ามาจอดใต้ร่มไม้ต้นหนึ่ง ศักดาลงมาเปิดประตูให้ธานินทร์
“เชิญครับท่าน”
ธานินทร์ลงมาจากรถ
“บ้านคุณพรรณีอยู่ที่นี่เหรอครับ” ศักดาถาม
“ชนะศึกบอกว่าพรรณีเขาอยู่ที่บ้านเช่าหลังวัด”
“ให้ผมไปถามให้นะครับ”
ธานินทร์ปฏิเสธ “ไม่เป็นไรหรอก จะมีสักกี่หลังกัน ฉันถามเองก็ได้ เธอรออยู่ที่นี่แหละศักดา”
แล้วธานินทร์ก็เดินเข้าไปหาเด็กวัดที่อยู่แถวๆ นั้น
“เออ ขอโทษนะ เข้าไปในนี้หลังวัด มีบ้านเช่าไหม”
เด็กวัดชี้บอก “เดินตรงไปหลังวัดนะครับ แล้วก็เลี้ยวขวา จะเจอสวนแล้วก็มีบ้านอยู่ สองสามหลัง ลองไปถามดูก็ได้นะครับ”
“ขอบใจมากนะ”
เรืองโรจน์แอบดูอยู่มุมหนึ่ง เห็นธานินทร์เดินเข้าไปตามทางที่เด็กวัดชี้บอก ส่วนศักดายืนรออยู่ที่รถ
เรืองโรจน์เดินกลับมาแล้วเข้าไปนั่งในรถท่าทีหงุดหงิด
“โธ่เอ๊ย จะยืนทำบ้าอะไรวะ”
ธานินทร์เดินมาเรื่อยๆ ตามทางจนถึงบริเวณบ้านเช่า ที่เด็กวัดคนนั้นบอก จากนั้นจึงค่อยๆ เดินไปที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ธานินทร์มองไปที่หน้าบ้าน เห็นพรรณีกำลังติดเตาไฟอยู่ ควันขึ้นโขมง ธานินทร์ยิ้มอย่างดีใจที่ได้เห็นพรรณีอีกครั้ง
พรรณีสำลักควันนิดหน่อย แล้วครู่หนึ่งถ่านก็เริ่มติดไฟ ควันจางลง พรรณีเอาหม้อที่ใส่น้ำไว้แล้วตั้งบนเตา
ธานินทร์มองภาพตรงหน้า เห็นความยากลำบากของพรรณีแล้วยิ่งรู้สึกแย่
จังหวะที่พรรณีเดินเข้าไปในบ้าน ธานินทร์ตัดสินใจเดินออกมาจากที่ซ่อน เปิดดูหม้อที่ตั้งอยู่บนเตา
ครู่หนึ่งพอพรรณีเดินกลับออกมาในมือถือขวดน้ำปลา ก็เห็นธานินทร์ยืนหันหลังอยู่ ท่ามกลางกลุ่มควันที่ลอยขึ้นมาจากเตาไฟและหม้อ และเห็นเป็นเพียงเงาดำ
“คุณคะ มาหาใครคะ” พรรณีตัดสินใจถาม
ธานินทร์ค่อยๆ หันมา กลุ่มควันจางลง เผยให้เห็นเป็นธานินทร์ พรรณีตกตะลึง ภาพธานินทร์ในวัยหนุ่มซ้อนเข้ามา และกลับมาเป็นธานินทร์ที่ยืนอยู่ตรงหน้า
พรรณีตะลึง ปล่อยขวดน้ำปลาในมือร่วงลงพื้นโดยไม่รู้ตัว
“คุณธานินทร์”
พรรณีตะลึงอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะได้สติเดินถอยหลังออกมา ธานินทร์เดินตาม ทักทายเสียงอ่อนโยน
“สวัสดี...พรรณี”
“คุณกลับไปซะ” พรรณีไล่ ธานินทร์ชะงักกึก “แล้วอย่ามาที่นี่อีก”
“เมื่อวันก่อน ผมเข้าใจว่าคุณอยากจะเจอผม พรรณี ผมรู้นะว่าคุณกำลังเดือดร้อนมาก แล้วผมก็รู้ว่าผมเป็นต้นเหตุ”
“แล้วคุณยังจะมาทำไม”
“เพราะผมอยากจะแก้ไขในสิ่งที่ผิดไงพรรณี ทุกอย่างที่อังคณาเขาทำกับพวกคุณ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อยี่สิบปีก่อน ผมอยากจะขอโทษ และชดใช้ความผิดทุกอย่าง ทุกอย่างที่ผมเคยทำผิดต่อคุณ”
“คุณทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ”
“ได้ซี...ถ้าคุณจะให้โอกาสผมนะพรรณี ให้โอกาสผมได้แก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดไปแล้ว ผมทำได้”
“คุณไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ฉันขอร้อง...ธานินทร์ คุณกลับไปซะ”
ธานินทร์ยังคงพยายามพูดกล่อมพรรณี
“พรรณี จำได้ไหม เมื่อยี่สิบปีก่อน ผมสัญญาว่าผมจะแต่งงานกับคุณ”
พรรณีสวนออกมาน้ำเสียงขมขื่น “แต่คุณก็ทำไม่ได้”
“เพราะผมทำไม่ได้ ผมมีความจำเป็นหลายอย่าง แต่วันนี้พรรณี ผมไม่มีข้อจำกัดอะไรอีกแล้ว ผมทำอะไรก็ได้พรรณี ผมทำให้คุณเดือดร้อนมาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ ทั้งคุณทั้งลูกๆ ของคุณ ได้โปรด...ขอให้ผมได้ไถ่โทษในสิ่งที่ผมทำเถอะนะให้ผมทำอะไรก็ได้ เพื่อชดใช้ให้กับคุณ”
พรรณีนิ่งคิดอย่างตริตรอง “ก็ได้...คุณอยากทำอะไรเพื่อฉันใช่ไหม”
ธานินทร์ดีใจ “ใช่ บอกผมมาเลยพรรณี คุณต้องการให้ผมทำอะไร ผมพร้อมจะทำทุกอย่าง”
“ฉันขอแค่สองอย่างเท่านั้น อย่างแรก ขอให้คุณช่วยเพชร เพชรไม่ได้ทำผิด เขาถูกใส่ร้าย”
“ได้ ผมจะช่วย” ธานินทร์ยิ้มแย้มอย่างมีความสุข “แล้วอย่างที่สองล่ะ”
พรรณีพูดเสียงเรียบ “ไปซะ ไปให้พ้นจากชีวิตฉัน”
ธานินทร์อึ้งนิ่งงันไป
เรืองโรจน์นั่งคอยอยู่ในรถนานสองนาน ชักเริ่มจะเบื่อๆ แต่จากกระจกมองหลังเป็นชายคนหนึ่งกำลังเดินตรงมา ทางตน ซึ่งเป็นเพชรแท้ที่เดินหลบหน้าหลบตาผู้คน และกำลังจะเข้าซอยวัด หน้าตาเคร่งเครียด
เรืองโรจน์รำพึง จำได้ “ไอ้เพชร”
เพชรแท้เดินเข้ามาใกล้รถของเรืองโรจน์ จนเรืองโรจน์รีบหย่อนตัวหลบเพื่อไม่ให้เพชรแท้เห็น
จนเมื่อเพชรแท้เดินผ่านไปเรืองโรจน์ยิ้มอย่างมีชัย สมหวัง
“ไอ้เพชร แกอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย”
เรืองโรจน์หยิบมือถือขึ้นมา แล้วกดโทร.หาอังคณาทันที
“คุณอังคณาเหรอครับ ผมคิดว่าผมเจอบ้านของนังพรรณีแล้ว คุณธานินทร์ก็มาที่นี่ด้วย”
อังคณารับสายอยู่ที่บ้านเลิศชัยวัฒน์
“ไปหากันจนเจอแล้วซีนะ มิน่าล่ะ เมื่อเช้าถึงได้มั่นอกมั่นใจนัก”
“ที่สำคัญ ผมยังเจอคนอื่นอยู่ด้วย” เรืองโรจน์บอกต่อ
อังคณาฉงน “ใคร”
“ไอ้เพชร ลูกชายของนังพรรณี”
อังคณายิ้มเหี้ยมเกรียม “เรอะ งั้นเธอจัดการได้เลย”
“คุณอังคณาอยากให้จัดการแบบไหนครับ”
อังคณาหงุดหงิด “เอาแบบที่ ยิงปืนนัดเดียวได้นกทั้งรังเลยน่ะ ทำเป็นไหม”
เรืองโรจน์ยิ้มร้ายออกมา ก่อนจะวางสาย แล้วกดใหม่
“ฮัลโหล...ผมจะแจ้งเบาะแสคนร้ายน่ะครับ”
เรืองโรจน์ยิ้มนัยน์ตาส่อแววชั่วร้ายเต็มสองตา
โปรดติดตาม "บ่วงรัก" ตอนที่ 7