ไฟมาร ตอนที่ 19
ค่ำคืนนั้น กรรณนรีอยู่ในชุดแต่งงานซบหน้าร้องไห้บนเตียงแบบใจจะขาด กาวินทร์กับเกริกมองอย่างสงสาร และเห็นใจ เกริกพูดปลอบ
“ตัดอกตัดใจซะเถอะกาว...ยังไงเรื่องของลูกกับคุณสรวงมันก็เป็นไปไม่ได้”
“เป็นไปได้ค่ะพ่อ...กาวเข้าใจคุณสรวง”
กาวินทร์ฉุน โกรธ “กาว”
“กาวเข้าใจคุณสรวงจริงๆ นะพี่แก้ว คุณสรวงรักกาว...”
เกริกสะท้อนใจ บอกเสียงสั่นเครือ “แม่เค้าก็รักลูกมาก เค้าถึงปกป้องลูกอย่างนั้น”
“ไม่ใช่ครับพ่อ..แม่รักตัวเอง ที่ผ่านมาแม่ทำอะไร แม่ก็นึกถึงแต่ตัวเอง”
กาวินทร์ผลุนผลันออกไป เกริกมองอย่างตกใจ
“แก้ว”
กาวินทร์เดินฮึดฮัด ออกมา
“ผมพูดไม่ผิดหรอกครับพ่อ...แม่ทำอะไรแม่นึกถึงแต่ตัวเอง”
เกริกปราม “อย่าว่าแม่ แก้ว”
“ผมรู้แม่เกลียดคุณหญิงสุดา แต่แม่เอากาวมาอ้าง เพราะถ้าแม่รักกาวจริง แม่ต้องรู้...กาวจะเข้าไปเป็นสะใภ้เค้าแล้ว แม่จะไปห้ำหั่นกับเค้าได้ยังไง”
เกริกอึ้ง หน้าตาเศร้ามีแต่ความเจ็บปวด กาวินทร์พูดต่อ
“แม่ทำอะไรไม่เคยคิดถึงใจคนอื่น เอาแต่อารมณ์ตัวเองเป็นใหญ่...แล้วนี่เกิดเรื่องขนาดนี้แม่จะทำยังไง”
“ก็คงทำเหมือนที่ผ่านมา...ปัดทุกสิ่งทุกอย่างให้พ้นตัว”
สุดท้ายเกริกพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ รู้นิสัยภาพิศดียิ่งกว่าใครอื่น
คืนนั้นภาพิศหลบมาตั้งหลัก กบดานที่บ้าน พร้อมกับพิไล ผู้เป็นพ่อและแม่ และกำลังนั่งหน้าเครียดอยู่ ขณะที่พร้อมกับพิไลร้องลั่นพอรู้เรื่อง
“เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้แกจะทำยังไง” พร้อมเสียงดัง
ภาพิศเหวี่ยงใส่ กลุ้มจัด “ก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงน่ะสิ ถึงต้องหลบมาตั้งหลักที่นี่ก่อน”
“แหม..ตอนอยู่สุขสบายไม่เคยคิดถึงพ่อถึงแม่ พอตอนเดือดร้อน โผล่มาให้เห็นเชียวนังนุดี” พิไลด่า
“แม่พูดอย่างนี้ก็ไม่ถูกนะ ที่ผ่านมาฉันก็ส่งเงินให้ใช้ตลอด จะเอาอะไรอีก”
“เอาหน้าเอาตาของฉันคืนมา เพราะตอนนี้ฉันเดินไปไหนมาไหน คนก็ตราหน้าฉันไปหมด ว่าลูกสาวเป็นเมียน้อย พวกหน้าด้านทำลายครอบครับคนอื่น” พิไลด่าอีก
ภาพิศโมโห เหวี่ยงหนักยิ่งกว่าเดิม “ทำไมแม่ว่าฉันอย่างนี้ ก็ตอนนั้นพ่อกับแม่เชียร์ฉันนักหนาไม่ใช่เหรอ ให้ฉันทิ้งพี่เกริกไปหาท่านอารักษ์น่ะ”
พร้อมสวนออกมา “อย่ามาโทษพ่อโทษแม่... สุดท้ายแล้วมันก็อยู่ที่แก...”
พิไลเสริม “ใช่..ทุกอย่างมันอยู่ที่แก..เหมือนที่ตอนแรก แกแต่งงานกับเกริก ทั้งๆ ที่พ่อแม่ก็เห็นว่าเกริกมันไม่ได้เรื่อง”
ภาพิศเสียงแผ่วพูดทั้งน้ำตา “แต่ตอนนี้ พี่เกริกคือคนที่ดีที่สุดในชีวิตของฉัน”
“ยังไงมันก็สายไปแล้ว..ตอนนี้สิ่งที่แกต้องทำเป็นอย่างแรกเลย จะทำยังไงกับปัญหาที่แกก่อ” พร้อมถาม
“ฉันมีวิธีจัดการของฉันแล้วกัน ยังไงฉันก็ไม่ยอมให้นังสุดามันทำลายฉันฝ่ายเดียวหรอก”
ภาพิศตาวาววับไม่ยอมคน อีกตามเคย
ทางด้านแฉล้มเลี้ยงลูกสาวของภาพิศ พร้อมกับคุยโทรศัพท์กับภาพิศไปด้วย แฉล้มพูดด้วยสุ้มเสียงกลุ้มใจหนัก
“คุณเอ๊ย...ฉันเข้าใจคุณนะ...แต่คุณทำอะไรไม่คิดอีกแล้ว...”
ภาพิศร้องไห้ฟูมฟาย “ก็นังสุดามันทำลูกฉันก่อน”
“คุณสรวงเค้าตัดสินใจแต่งงานกับกาว ยังไงเค้าก็ต้องมีทางออก แต่พอคุณทำอย่างนี้ เรื่องมันยิ่งจะบานปลายไปกันใหญ่”
สีหน้าภาพิศที่ร้องไห้อยู่เจื่อนลง ส่วนแฉล้มพูดต่อเหนื่อยใจแทน
“ให้ตาย...ถึงตอนนี้ฉันคิดภาพไม่ออกเลยว่าสรวงกับกาวจะอยู่กันได้ยังไง ในเมื่อคุณตั้งใจจะฆ่าแม่เค้า ที่สำคัญ ถ้าทางนั้นเอาผิด คุณจะทำยังไง” แฉล้มวิตกหนัก
ภาพิศตาวาวโรจน์ “ก็จัดการมันก่อนที่มันจะจัดการฉันน่ะสิ ฝากลูกฉันด้วยแล้วกัน”
ภาพิศวางสาย ขณะที่แฉล้มตะโกนหน้าซีดเผือด
“คุณๆ...โธ่เอ๊ยคุณ.. แค่นี้ยังเลวร้ายไม่พออีกเหรอ? จะทำอะไรอีก”
ภาพิศนั่งนิ่งอยู่คนเดียว กลางหว่างความมืดมิดภายในห้อง และได้แต่คำรามในใจ
“นังสุดามันทำชีวิตฉันพัง ชีวิตมันก็ต้องพังเหมือนกัน”
ดวงหน้าของภาพิศท่ามกลางแสงสลัวช่างน่ากลัวเหลือเกิน
วันใหม่มาเยือนหมอเจ้าของไข้ เปิดประตูออกมาจากห้องฉุกเฉิน สรวงกับอารักษ์ในชุดใหม่ปราดเข้าไปหา
สรวงถามอย่างร้อนใจ “แม่ผมเป็นอย่างไรบ้างครับ”
“พ้นขีดอันตรายแล้วครับ โชคดีที่คุณหญิงตกลงมาที่ระแนงกันสาด ไม่ได้กระแทกตกลงมาที่พื้นชั้นล่าง ไม่งั้นก็คงแย่เหมือนกัน แต่…” หมอค้างคำ
อารักษ์ถามรัวเร็ว “อะไรครับคุณหมอ”
“จากแรงกระแทก คุณหญิง...อาจจะเป็นอัมพาต”
“คุณแม่”
“คุณหญิง”
สรวง กับอารักษ์สีหน้าสลดลง ด้วยความเสียใจ สองพ่อลูกวิ่งเข้าไปในห้องเร็วรี่ โดยไม่รู้ว่าที่ด้านหลังกรรณนรีวิ่งตามมาติดๆ
กรรณนรีเกาะประตูแอบมองตรงช่องกระจก เห็นภาพในห้องสุดานอนร้องไห้อยู่บนเตียง สภาพชวนหดหู่ ทั้งเสียใจ และโกรธแค้น
ทันทีที่สรวงกับอารักษ์เดินเข้าไป สุดาก็ตะเบ็งเสียงดังลั่น เอามือทุบขาตัวเอง
“สะใจแล้วใช่มั้ย ที่แม่ต้องอยู่ในสภาพแบบนี้ สะใจแล้วใช่มั้ย”
“อย่าพูดอย่างนี้ครับคุณแม่”
“แล้วจะให้แม่พูดยังไง” มองมาอย่างเสียใจ “สรวงรวมหัวกับพ่อ หลอกแม่ แต่งงานกับนังนั่น แล้วเป็นยังไง แม่มันผลักแม่ตกตึก แม่พิการ นี่ใช่มั้ยคือสิ่งที่สรวงอยากจะเห็น สรวงจะได้ไปเสวยสุขกับนังนั่น”
สุดากรี๊ดร้องอาละวาด กรรณนรีเองก็ร้องไห้น้ำตาไหลเสียใจ สรวงร้องไห้เข้าไปกอดสุดาแน่น
“ไม่เลยครับแม่...ไม่เลย”
“แต่สรวงก็ทำกับแม่ไปแล้ว รู้ทั้งรู้ว่านังภาพิศมันทำลายชีวิตแม่ สรวงก็ยังอยากไปแต่งงานกับลูกสาวมัน สรวงทำกับแม่ยังงี้ได้ยังไง”
“ไม่มีใครตั้งใจให้มันเป็นอย่างนี้จริงๆ คุณหญิง” อารักษ์แทรกขึ้นมา
“หุบปาก” สุดาหยิบของข้างตัวมาปาใส่หน้าอารักษ์ “เพราะคุณคนเดียว..เอาไฟเข้ามาในบ้านไม่พอ คุณยังโยนไฟให้มันมาเผาฉันเอง คุณมันเลวจริงๆคุณอารักษ์ คุณมันเลว”
“ผมยอมรับว่าผมเลว แต่สิ่งที่ผมทำเพราะลูก...ลูกรักกรรณนรี”
กรรณนรีมองสรวงอย่างเห็นใจ สุดาด่าภาพิศอย่างเกรี้ยวกราด
“แต่ฉันเกลียดมัน เกลียดแม่มัน จนตายฉันก็อยู่ร่วมโลกกับมันไม่ได้ ฉันจะเอานังภาพิศเข้าคุก”
สุดาประกาศกร้าว สีหน้ากรรณนรีสลดยิ่งกว่าเดิม
กรรณนรีสะเทือนใจหนัก เดินออกมาจากโรงพยาบาลน้ำตาไหลริน คิดไม่ตก เพราะปัญหานับวันจะยิ่งรุนแรงมากขึ้นทุกทีๆ
แหวนของคุณหญิงสุดาที่สรวงใช้หมั้นกรรณนรี อยู่ในมือสุขหฤทัย สองแม่ลูกคุยกันอยู่ในบ้าน
“ไม่น่าเชื่อเลยนะคะแหวนวงนิดเดียว จะเกิดเรื่องตั้งมากมาย”
“ไม่ใช่เพราะแหวน แต่เป็นเพราะคน”
สุขฤทัยอึ้งมองหน้าแม่ สมหญิงว่าต่อ
“บางทีแม่ก็คิดนะ..ว่าฤทัยผิด”
“ฤทัยจะผิดได้ยังไงคะคุณแม่” สาวแสบงง
“ก็ผิดที่บอกคุณหญิงสุดาไง....แม่เองก็ผิดที่ไม่ห้ามฤทัย เพราะถ้าเราสองคนไม่บอก ป่านนี้คุณสรวงก็แต่งงานไปแล้ว”
“ถึงแต่ง ยังไงก็มีปัญหาอยู่ดี” สุขหฤทัยแย้ง
“นั่นเป็นปัญหาของเค้า ไม่ใช่ของเรา แต่พอปัญหามันเกิดจากเรา...แม่กลัว”
“กลัวอะไรคะ”
“กลัวกรรมมันจะตามสนองยังไงลูก อย่าลืมฤทัย...ก็ยังไม่ได้แต่งงาน”
สุขหฤทัยหน้าจ๋อยไปทันที
กรรณนรีนั่งหน้าหม่นหมองอยู่ที่บ้าน กาวินทร์ถามอย่างกลุ้มๆ
“ตกลง...กาวจะเข้าไปขอโทษคุณหญิงสุดา”
“ค่ะกาวพร้อมจะรับผิดสิ่งที่กาวทำทุกอย่าง และพร้อมจะรับผิดแทนแม่ทุกอย่าง”
กาวินทร์พูดอย่างกังวล “แล้วคิดเหรอว่าเค้าจะให้อภัย”
“กาวจะทำทุกอย่างจนกว่าคุณหญิงจะให้อภัย เพราะกาวรักคุณสรวง”
เกริกที่ฟังอยู่นานที่ด้านหลังสองคนบอก
“ถ้ากาวตัดสินใจอย่างนั้นแล้วพ่อก็ไม่ห้าม แต่พ่ออยากให้กาวคิดซักนิดนึง คุณสรวงเค้าพร้อมจะจับมือกาว ก้าวผ่านปัญหาตรงนี้หรือเปล่า”
กรรณนรีนิ่ง พูดไม่ออก นั่นเป็นสิ่งที่เธอไม่ได้คิดมาก่อนเหมือนกัน
สรวงยืนเอามือล้วงกระเป๋าอยู่ด้านนอก ท่าทางเศร้า กลุ้มใจ กังวลใจ เสียงสุดาดังก้อง
“สรวงจำได้มั้ยลูก...ก่อนที่ภาพิศจะเข้ามา บ้านเรามีความสุขกันแค่ไหน”
สรวงหวนนึกไปถึงเหตุการณ์ตอนเป็นเด็กๆ ประมาณ 10 ขวบ อารักษ์สอนสรวงทำการบ้าน สุดาเดินเอาขนมมาให้กิน ทุกคนต่างยิ้มและหัวเราะเบิกบาน
อีกเหตุการณ์ ที่สระว่ายน้ำ สุดา กับอารักษ์ และสรวงตอนเด็ก ว่ายน้ำด้วยกัน โยนลูกบอลเล่นกันมีความสุข นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมยามเช้า สามคนพ่อแม่ลูกวิ่งออกกำลังรอบหมู่บ้าน ล้วนแต่มีความสุข
“แต่พอภาพิศเข้ามา บ้านเราลุกเป็นไฟ” เสียงสุดาดังแทรกเข้ามาอีก
เหตุการณ์ตอนที่สรวงยังเด็กอีกเหมือนกัน สรวงนั่งทำการบ้าน สุดานั่งรออารักษ์ท่าทีร้อนใจ พออารักษ์กลับเข้ามา สุดากับอารักษ์ก็ทะเลาะกัน
สรวงแอบเข้าไปในห้องทำงานอารักษ์ รื้อกระเป๋าเงิน เห็นภาพอารักษ์ถ่ายคู่กับภาพิศ สรวงเสียใจ
“แม่ขอเถอะนะสรวง..สิ่งเดียวในชีวิตที่แม่ขอ...อย่าให้แม่ทุกข์มากไปกว่านี้อีกเลย แม่รับไม่ได้..รับไม่ได้จริงๆ...ถ้าสรวงจะแต่งงานกับนังกรรณนรี”
สรวงดึงตัวเองกลับมาเผชิญความจริง ชายหนุ่มยืนน้ำตาคลอ อารักษ์เดินมาหาแตะไหล่ สรวงหันมามองพ่อก่อนบอก
“ต่อจากนี้ไปผมจะตามใจแม่ทุกอย่าง แม่ต้องการอะไรผมจะไม่ขัด...เพราะแม่มีความหมาย แม่สำคัญที่สุดในชีวิตของผม” สรวงว่า
“แล้วลูกกับกรรณรี” อารักษ์ท้วง
“ผมกับเค้าอาจจะเกิดมาแค่รักกัน แต่ไม่ได้เกิดมาคู่กันก็ได้ครับพ่อ”
สรวงพูดอย่างตัดใจ อารักษ์มองลูกชายอย่างเห็นใจ
ไฟมาร ตอนที่ 19 (ต่อ)
แม้นจะเป็นช่วงตอนกลางวัน ทว่าภายในห้องภาพิศที่บ้านพ่อและแม่ บรรยากาศกลับดูอึมครึมและวังเวง ภาพิศนั่งจมอยู่ตรงมุมห้องนิ่งๆ แต่ดวงตาเต้นระริกเป็นประกายวามวับแลดูน่ากลัว ขณะคำรามก้องในใจ
“ถ้าไม่มีนังสุดาซักคน...เพียงแต่ไม่มีนังสุดาซักคน”
ภาพิศค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมา แต่ในรอยยิ้มนั้นช่างเต็มไปด้วยความดุดันเหี้ยมเกรียม
ตกตอนเย็น ภาพิศอยู่ในชุดนางพยาบาล มีหน้ากากอนามัยปิดปากช่วงพรางตัวอีกด้วย ในมือถือถาดยา พร้อมกับเข็มฉีดยาเหมือนนางพยาบาลทั่วไป เดินมา มีผู้คนเดินผ่านไปมา ภาพิศก็เดินมาตามทางอย่างใจเย็น ไม่ส่อพิรุธใดๆ ดวงตาคู่นั้นแน่วนิ่ง
สักครู่หนึ่ง ภาพิศมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องพักฟื้นของสุดา ส่องมองผ่านกระจกเข้าไปเห็นสุดาหลับอยู่ โดยหันหน้าเข้าข้างฝาผนังอีกด้าน ภาพิศถอนหายใจ หัวใจเต้นรัว ที่โชคเข้าข้าง หันไปมองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นว่าไม่มีใคร ภาพิศจึงเปิดประตูเข้าไป
ด้านสุดานอนหลับอยู่ ลมหายใจสม่ำเสมอเหมือนคนหลับสนิท ภาพิศมองสุดาด้วยสายตาแห่งความเกลียดชัง ค่อยๆ หยิบเข็มฉีดยาขึ้น พึมพำกับตัวเอง
“แกจะได้หลับสนิทจนนิจนิรันดร์นังสุดา”
ภาพิศจับมือของสุดาไว้ พร้อมกับจรดปลายเข็มลงไป วินาทีนั้นเข็มจ่อตรงผิวหนังตรงเนื้อแขนของสุดาแล้ว แต่ทันใดนั้นเองประตูก็ถูกเปิดเข้ามา ภาพิศสะดุ้งเฮือก เหลียวขวับไปเห็นนางพยาบาลเวร เดินเข้ามาพร้อมถาดยา และเข็มฉีดยาแบบเดียวกับภาพิศ นางพยาบาลตัวจริงมองจ้องหน้าภาพิศท่าทีตกใจ ก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงอันดังลั่น
“ไม่ใช่เจ้าหน้าที่นี่ คุณเป็นใคร”
สุดาสะดุ้งตื่นลืมตาหันมามองจ้อง ก่อนจะเบิกตากว้างอย่างตกใจ “นังภาพิศ”
มือของภาพิศจะแทงเข็มเข้าไป คล้ายคนหน้ามืด เพราะไหนๆ ก็ไหนๆแล้ว สุดาชักมือออก
“อย่า” สุดาผลักมือภาพิศออก
สองคนยื้อยุดกันไปมา เข็มในมือภาพิศหล่น สุดากระชากหน้ากากอนามัยออก ขณะที่เจ้าหน้าที่ตะโกนลั่น
“ช่วยด้วยๆๆๆๆ”
ภาพิศรู้ว่าพลาดแล้ว จึงรีบวิ่งหนีออกไปทันที
ภาพิศก้มหน้าวิ่งลนลานออกไปหน้าห้องด้วยความตกใจกลัว ชนกับอารักษ์ สรวงที่เดินเข้ามา
ภาพิศร้อง “ว้าย”
สองคนพ่อลูกบอก “ขอโทษครับ” กัน
ภาพิศหันมา อารักษ์ กับสรวงเห็นภาพิศซึ่งแต่งตัวเป็นพยาบาลอย่างชัดเจน
สรวงตกตะลึง “คุณภาพิศ”
ภาพิศหน้าซีด พยาบาลวิ่งตามออกมาจากห้องตะโกนบอก
“จับไว้ค่ะ จับไว้”
ภาพิศรีบวิ่งลนลานหนีไป สรวงถามเร็วปรื๋อ
“เกิดอะไรขึ้นครับ”
“เค้าลอบเข้ามาทำร้ายคุณหญิงค่ะ” พยาบาลบอกสีหน้ายังตื่นตระหนก
อารักษ์กับสรวงมองตามก่อนวิ่งเข้าไปในห้องสุดาอย่างรวดเร็ว
ภาพิศวิ่งลนลานออกมาตามทางในโรงพยาบาล ยินเสียงผู้คนร้องตะโกนตามโหวกเหวก
“จับไว้ครับจับไว้” เจ้าหน้าที่ วิ่งไล่ตามจับตัวภาพิศจ้าละหวั่น
ผู้คนทั้งญาติและคนไข้ตามทาง ต่างงุนงง ภาพิศวิ่งหนีเตลิดไปด้านนอกอาคารผู้ป่วย จังหวะนั้นกรรณนรีซึ่งตั้งใจมาเยี่ยมสุดาเดินมาจากอีกทาง เห็นเหตุการณ์ก็ตกใจ
กรรณนรีพึมพำเบาๆ “แม่” แล้วรีบวิ่งตามภาพิศไปทันที
ภาพิศวิ่งขึ้นรถแท็กซี่ที่หน้าโรงพยาบาล หนีไปได้อย่างหวุดหวิด ส่วนที่ด้านหลังนางพยาบาลซึ่งวิ่งตามมาหอบแฮ่กๆ
“หนีไปจนได้”
กรรณนรีวิ่งตามมาหน้าตาเหลอหลา มองตามไปแต่ไม่เห็นอะไรแล้ว งง ขณะที่พระอาทิตย์โรยราแสง ก่อนจะลับขอบฟ้าไปในเวลาต่อมา
ค่ำนั้น ทางด้าน สุดากรีดร้องโวยวายด่าทอภาพิศ
“นังภาพิศมันจะฆ่าฉันๆๆ”
“เราให้เจ้าหน้าที่ช่วยกันตามอยู่ค่ะคุณหญิง” นางพยาบาลปลอบ
“จับมันเข้าคุกไปเลย มันจะฆ่าฉัน” สุดาบอกอย่างคั่งแค้น
อารักษ์หน้าเสีย บอกเป็นเชิงห้าม “อย่าทำขนาดนั้นเลยคุณหญิง” แล้วรีบกลบเกลื่อน “ก็แค่...เพื่อนกันล้อกันเล่น”
สุดาแหวใส่ “เพื่อนบ้าอะไรจะฆ่ากัน ฉันไม่ใช่เพื่อนมัน”
พยาบาลชักงง “ตกลงยังไงกันคะ จะให้แจ้งความหรือเปล่า”
อารักษ์กับสุดาพูดพร้อมกัน แต่ไปคนละทาง อารักษ์บอก “ไม่แจ้ง” ส่วนสุดาบอก “แจ้ง”
สองหันมามองหน้ากัน สุดาแว้ด
“คุณอารักษ์...จนป่านนี้แล้ว คุณยังจะเข้าข้างมันอีกเหรอ สรวงแม่ไม่ยอมนะ แม่ไม่ยอม” สุดาหันมาอ้อนลูกชายสุดสวาท
“เดี๋ยวดิฉันแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ค่ะ” นางพยาบาลว่า
สรวงรีบบอก “เดี๋ยวผมจัดการเองครับ ขอบคุณ”
นางพยาบาลเดินออกไปลับกายแล้ว ในจังหวะที่กรรณนรีวิ่งมาถึงหน้าพอดี จึงเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง
“ไม่ต้องแจ้งความนะสรวง ถือว่าจบกันไปแค่นี้” อารักษ์บอกเป็นเชิงขอร้อง
“นังภาพิศมันเข้ามาฆ่าฉัน มันจะจบได้ยังไง”
“คุณก็ไม่ได้เป็นไรนี่ อีกอย่างถ้าตาต่อตาฟันต่อฟันขนาดนี้ มีแต่คนเละ มันต้องมีคนยอมด้วยสิคุณ”
“แล้วทำไมฉันต้องเป็นคนยอม”
“เพื่อที่เรื่องทุกอย่างมันจะได้จบๆกันไปซักที” สรวงพูดแทรกขึ้นด้วยใบหน้าหม่นเศร้า แต่น้ำเสียงเด็ดเดี่ยว “ผมเองก็จะเลิกยุ่งเกี่ยวกับกรรณรีทุกอย่าง”
กรรณนรีได้ยินเต็มสองหู ใบหน้าสวยนั้นซีดเผือด เสียใจ น้อยใจ และเจ็บปวดระคนกัน ในขณะที่สุดายิ้มย่องมองสรวงอย่างดีอกดีใจ
จังหวะนั้นอารักษ์เหลียวมองออกไปที่หน้าประตู เห็นกรรณนรียืนนิ่ง น้ำตาร่วงอยู่ อารักษ์จึงรีบขยับเอาตัวบังร่างกรรณนรีไม่ให้สุดามองเห็น
สุดาจึงไม่ทันเห็นกรรณนรี มองสรวงอย่างดีอกดีใจ “จริงเหรอสรวง สรวงพูดจริงนะ”
“ครับแม่...” น้ำเสียงสรวงเข้ม เด็ดขาด และชัดเจน “ผมจะเลิกติดต่อยุ่งเกี่ยวกับกรรณรีทุกทาง”
“แม่ดีใจที่สุดเลยสรวง ต่อไป แม่ต้องหายวันหายคืน”
สุดายิ้มแย้ม กอดสรวง ท่าทางฮึกเหิม ฮึดสู้ สรวงกอดตอบแน่น บอก
“คุณแม่พักผ่อนนะครับ....เรื่องคุณภาพิศก็ให้จบๆ กันไป จะได้หมดเวรหมดกรรมต่อกัน”
สุดามองขยับปากเหมือนจะค้าน สรวงพูดอย่างนอบน้อม
“นะครับคุณแม่..ผมขอ.. ถ้าเราหยุด..เค้าก็ต้องหยุดเหมือนกัน...”
สุดาทอดถอนหายใจ “ก็ได้จ้ะ...แม่รักสรวง อะไรที่สรวงสบายใจ แม่จะทำ”
“งั้นคุณแม่พักผ่อนนะครับ”
สุดาหลับตาลงอย่างว่าง่าย จับมือสรวงแน่นไม่ยอมปล่อย สรวงมองแม่อย่างสงสาร
อารักษ์มองกรรณนรีสลับกับมองสรวง ก่อนจะจ้องหน้าสรวงเป็นเชิงบอก สรวงรู้สึกตัวหันมามองอารักษ์ อารักษ์ส่งสายตาไปหน้าประตู สรวงหันตามไป เห็นกรรณนรียืนอยู่ สรวงรู้สึกตกใจ และเสียใจ เชื่อว่ากรรณนรีเห็นและได้ยินทั้งหมด อารักษ์ขยับตัวเข้ามาจับมือสุดาแทน ปล่อยให้สรวงเดินออกไป
ค่ำคืนที่แสนเงียบเหงา สองคนซึ่งในใจปวดร้าวระบม ยืนนิ่งๆ อยู่ ที่หน้าโรงพยาบาล กรรณนรีนั้นร้องไห้ไม่หยุด
สรวงทำลายความเงียบ ถามย้ำน้ำเสียงแผ่วเบา “คุณได้ยินหมดแล้วใช่มั้ย”
กรรณนรีพยักหน้า ดวงหน้าที่นองไปด้วยน้ำตานั้นซีดเซียว แลดูน่าสงสารอย่างยิ่ง
สรวงพูดต่ออย่างอ่อนโยน “ผมรักคุณ รักมาก....” น้ำเสียงของสรวงเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก “แต่ความรักของเราสองคน...คงต้องจบกันแค่นี้”
“คุณสรวง” กรรณนรีน้ำตาไหลพราก
สรวงใจจะขาดมองกรรณนรี ทั้งสงสารเห็นใจ “เราทั้งคู่ต่างเจ็บปวด แต่ผมไม่รู้จะจัดการแก้ปัญหาตรงนี้ยังไง? ไม่รู้จริงๆ นอกจาก...” น้ำเสียงของสรวงสั่นเครือขณะพูดประโยคทำร้ายจิตใจตนเองและกรรณนรีออกมา “ยุติความรักของเราสองคน”
สรวงและกรรณนรีต่างมองหน้ากันอย่างเจ็บปวด ทุกข์ทรมานใจแสนสาหัส
คืนนั้นพอรู้เรื่องจากปากภาพิศ แฉล้มร้องออกมาอย่างตกอกตกใจ
“ตาย! ทำไมคุณทำอะไรอย่างนั้น คุกนะคุณ คุก”
ภาพิศกร้าวอย่างอาฆาตพยาบาท “แต่ถ้าแลกกับนังสุดาตาย ฉันยอม กาวจะได้อยู่กับคุณสรวงอย่างมีความสุข” แม่ลูกอ่อนเดินมาอุ้มลูกน้อยของตน “ส่วนยัยหนู ก็จะได้เป็นทายาทอริยยะวรรต โดยไม่มีนังสุดามาขวาง”
“แต่ตอนนี้ล่ะ พวกอริยะวรรตรู้กันหมดว่าคุณคือคนร้าย คุณพยายามฆ่าคุณหญิงสุดาครั้งแล้วครั้งเล่า คุณคิดว่าเค้าจะปล่อยคุณอีกเหรอ”
ภาพิศนิ่ง แต่ดวงตาคู่นั้นบอกความดื้อรั้น ไม่ยอมใคร แฉล้มมองดูอย่างเวทนาขณะพูดเตือนสติออกมา
“ลูกคุณนั่นแหละ จะเป็นคนรับกรรมแทนคุณ”
คืนเดียวกันนั้น กรรณนรียืนเศร้าอยู่หน้าบ้าน แหงนหน้ามองดวงจันทร์บนท้องฟ้า น้ำตาไหลริน สะท้อนใจเหลือแสนกับทางรักของตนและสรวง ที่เดินมาถึงทางตัน
ส่วนสรวงอยู่ที่บ้านอริยะวรรต ท่าทางซึมเศร้า มองพระจันทร์ดวงเดียวกัน ก่อนที่สรวงจะผลุนผลันวิ่งออกไปอย่างห้ามใจตัวเองไม่อยู่
ขณะที่กรรณนรีกำลังจะเดินเข้าบ้าน สรวงวิ่งตามมาร้องเรียกไว้
“กรรณนรี”
กรรณนรีหยุด เหลียวหันมามองราวกับรับรู้ถึงความรู้สึกของกันและกัน ต่างคนต่างมองกันนิ่งและนาน
สรวงครวญเสียงเศร้า “ฉันขอโทษ...ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น...เราจะไม่ทิ้งกัน”
กรรณนรีกับสรวงโผเข้ากอดกันแน่น ร้องไห้ออกมา ส่วนด้านหลัง กาวินทร์กับเกริกมองเห็นความรักที่สองคนมีต่อกันอย่างมั่นคง ก็พูดไม่ออก ได้แต่ยืนมองด้วยความเห็นใจ
นพเดินเข้าไปในบ้าน ใบหน้าถมึงทึง นาเห็นก็ยิ้มเย้ย ด่านพทันที
“ไง?..นังหน้าขาวมันยุให้คุณมาจัดการฉันรึไง”
นพมองนาอย่างเบื่อหน่ายและอ่อนใจ “ยิ่งคุณพูดออกมาเท่าไหร่ มะยมยิ่งเหมือนนางฟ้า แต่คุณเป็นนางมารร้าย”
นาร้องกรี๊ด “คุณนพ คนเลว คนเฮงซวย กล้ายกย่องนังนั่นต่อฉันเหรอ” โผนทะยานเข้ามาตบตีตามตัว นพปัดป้องตัวเองพัลวัน กระแทกเสียงใส่อย่างเหลืออด
“ใช่....เพราะถึงขนาดนี้ เค้ายังไม่เอาเรื่องคุณ มีแต่คุณที่ตามไปหาเรื่องเค้าไม่หยุดหย่อน ทั้งๆ ที่เค้าไม่ได้เป็นอะไรกับผม จำไว้นะ..ถ้าคุณไปตามรังควานมะยมอีก” ท้ายประโยคนพเน้นชัดถ้อยชัดคำ ท่าทีจริงจังไม่ได้ขู่เล่น “คุณกับผมจะได้เห็นดีกัน” จากนั้นก็เดินออกจากห้องไป
นาปรี๊ดขึ้นมาสุดขีด คำรามในลำคอ
“คิดว่าฉันจะกลัวแกเหรอ เอาซี้...ก็อยากจะรู้เหมือนกัน น้ำหน้าอย่างแกจะทำอะไรฉันได้ ผัวเฮงซวย!”
ทางด้านมะยมนอนอยู่ในห้องพักฟื้นที่โรงพยาบาลคนเดียว ตอนกลางวันวันนี้ มีนางพยาบาลยกเอาอาหารมาให้
“ทานอาหารค่ะ”
พยาบาลยิ้มให้กับมะยม สักครู่ก็เดินออกไป
ขณะที่มะยมกำลังจะทานข้าว นาก็พรวดเข้ามา ถามเสียงเย็นเฉียบ
“จะทานข้าวเหรอ”
มะยมมองอย่างตกใจ ว่ามาได้ยังไงอีก? และจะมาทำอะไรฉันอีก
นายิ้มเยือกเย็นแต่น่ากลัว “มะ..ฉันป้อน”
นายกชามข้าวต้มราดรดลงบนหัวมะยมทันที มะยมร้องกรี๊ดตกใจมาก นากระชากผมมะยมขยุ้ม จนหน้าแหงนหงาย
“ผัวฉันมันรักมันหลงแกนักใช่มั้ย? ได้...ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าน้ำหน้าอย่างไอ้นพมันจะทำอะไรฉันได้”
พูดจบนาก็ตบมะยมอย่างแรง มะยมร้องทั้งเจ็บทั้งตกใจระคนกัน นายิ่งคลั่งตบอีกหลายฉาด
มะยมเอามือดัน “อย่า..ช่วยด้วยๆๆ”
นาบ้าเลือดไม่สนอะไรอีกแล้ว กระชากมือมะยมออก จนสายน้ำเกลือหลุด เลือดพุ่งกระฉูด นิคกับจ๋าที่เพิ่งกลับจากซื้ออาหารวิ่งเข้ามาสองคนตกใจร้องลั่นขึ้นพร้อมๆ กัน
“มะยม”
นิคปราดเข้ามาหามะยม ขณะที่จ๋ามองนาอย่างเกลียดชัง
“ยัยบ้าเอ๊ย”
โดยที่นาไม่คาดคิดว่าจะมีคนกล้าด่า จ๋าก็เดินเข้ามาตบผลัวะเข้าที่หน้านาเต็มแรง นาหน้าหัน และเพราะไม่ทันระวังจึงเซล้มลงไป จ๋าตามไปกระชากตบอีก มะยมร้องกรี๊ดๆ
“อย่าพี่จ๋าอย่า”
นามองอย่างกับจะเลือดกินเนื้อ “ฉันจะฟ้องแก ฟ้องแกทุกคน”
จ๋าไม่ยี่หระแล้ว กระแทกเสียงด่า “ใครกันแน่ตามหาเรื่องก่อน โง่..แค่พูดออกมาก็รู้แล้วว่าโง่ มิน่าผัวถึงทิ้ง”
นาถูกจี้ใจดำก็ยิ่งโกรธแค้น เนื้อตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า “พวกนังเมียน้อย”
“ปากเสียอย่างนี้ มันต้องเจอส้นตึกของฉันอุดปาก”
พูดแล้วจ๋าก็ทำท่าจะถอดรองเท้าออก นาร้องกรี๊ดวิ่งซมซานออกไป จ๋าตะโกนด่าตามหลังไป
“อย่ามาให้เห็นอีกนะ ไม่งั้นแกได้กินยำเล็บมือนางแน่ นังบ้า”
จ๋ากร้าว ทีท่าฮึดฮัด มะยมยังตกใจอยู่ นิคกอดประคองเอาไว้ ไม่วายพูดเยาะเย้ย
“นี่เหรอที่ไอ้คุณนพมันบอกว่าไม่ต้องห่วง จะจัดการ แล้วเป็นไง”
“ฉันว่าคุณนพเค้าไม่รู้เรื่อง...แกอย่าบอกเค้านะนิค...”
“มะยม” นิคไม่ใจอย่างแรง
“ฉันอยากให้เรื่องมันจบ” มะยมว่า
“แต่พี่คิดว่าต้องบอก คุณนพจะได้จัดการขั้นเด็ดขาดซะที ปล่อยเมียวิ่งพล่านเป็นหมาบ้าอย่างนี้ไม่ไหวหรอก” จ๋าบอก
คืนนั้น นิคโทร.นัดนพออกมาพบที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง นพนั่งอึ้ง ขบกรามแน่น คาดไม่ถึงว่านาจะทำขนาดนี้ นิคมองนพแววตาดุดันเอาเรื่อง
“ผมขอโทษ..ผมเสียใจจริงๆ” นพพูดด้วยท่าทีและน้ำเสียงเสียใจอย่างที่สุด
“เก็บคำขอโทษของคุณ ไปจัดการภรรยาดีกว่า....ผมขอร้องอย่าทำความเดือดร้อนให้มะยมอีกเลย”
พูดจบนิคก็ควักเงินมาวางไว้บนโต๊ะ แล้วเดินออกไปอย่างฉุนเฉียว
นพนั่งอึ้ง ดวงตาตริตรองเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่ ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาโทร.หาใครบางคน
เวลาเดียวกัน นารับโทรศัพท์อยู่ที่บ้าน เห็นเป็นเบอร์นพก็พูดด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน
“ไง?..นังหน้าขาวมันฟ้องอะไรฉันอีก ถึงได้โทร.มาหาฉันน่ะ”
“ถึงเค้าไม่ฟ้อง คุณเองก็น่าจะรู้ว่าทำเลวอะไร? หรือต่อมถูกผิด มันไม่ยอมทำงานถึงไม่รู้ดีรู้ชั่ว”
“คุณนพ!”
นพพยายามคุยด้วยดีๆ “ผมไม่ได้โทร.มาหาเรื่อง แต่ต้องการเคลียร์เรื่องของเรา มันจะได้จบๆ ซักที”
“ฉันไม่ว่าง ฉันจะไปเมืองนอก เดือนหน้าถึงจะกลับ” นาพูดปด จริงๆ ไม่ได้ไป
“ได้ผมจะรอ..นานแค่ไหนผมก็จะรอ จนกว่าจะได้ใบหย่าจากคุณ”
นพวางสายในทันที
นาน้ำตาไหลพราก ยิ่งยื้อยุด ดูเหมือนนพจะยิ่งห่างออกไปทุกที
ด้านนพดวงตาวาวโรจน์ ขณะครุ่นคิดแผนการบางอย่างอยู่ในใจ
“คุณบังคับให้ผมต้องทำอย่างนี้เอง คุณนา”
สรวงเข็นรถเข็นพาสุดาเข้ามาในบ้าน สรวง-อารักษ์ขรึม อารักษ์เริ่มมีอาการป่วย แต่สุดามีสีหน้าแช่มชื่น
“แม่ดีใจจริงๆ ที่ได้กลับบ้าน” สีหน้ายิ้มแย้มนั้น สลดลงขณะพูดด้วยเสียงหม่นเศร้า “แต่จะดีใจยิ่งขึ้น....” แล้วค่อยๆ สั่นเครือ “ถ้าแม่ได้เดินเล่นรอบๆ บ้านอีกครั้ง”
“ผมกับสรวงจะทำทุกวิถีทางให้คุณกลับมาเดินได้เหมือนเดิม” อารักษ์ให้คำมั่น
สุดาเป็นปลื้ม ตื้นตัน มองลูกและสามีน้ำตารื้นอย่างซึ้งใจ สรวงคุกเข่านั่งลงจับมือแม่ บอกด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน
“รวมทั้ง...” สรวงค้างคำไว้
สุดารีบซักด้วยความสงสัย “อะไรลูก”
สรวงเดินออกไป สุดามองตาม ด้วยความอยากรู้ ครู่หนึ่งจึงเห็นลูกชายจูงมือกรรณนรี
เข้ามาหา สุดาตาเบิกกว้าง ดวงตาคู่นั้นแสดงออกถึงความโกรธแค้น ชิงชัง ไม่พอใจอย่างรุนแรง สุดาร้องกรี๊ด
“ตาสรวง”
กรรณนรีตกใจ หน้าซีดเป็นกระดาษ สรวงกอบกุมมือคนรักแน่น สุดาอาละวาดใส่ทันที
“พามันออกไป” ชี้มือไล่ส่ง “ออกไป๊” คุณหญิงผู้อาฆาตพยาบาทในตัวกรรณนรี พยายามจะลุก ทั้งที่ขยับตัวไม่ได้
อารักษ์รีบจับตัวเอาไว้ “อย่าคุณหญิง”
สุดาขัดขืน พยายามสะบัดสุดแรง “ปล่อย...” ชี้หน้าด่ากรรณนรี “แกออกไปนะ ออกไป๊”
กรรณนรีใจหล่นวูบ ร้องไห้สะอึกสะอื้น ทรุดตัวลงนั่งแทบเท้าสุดาอย่างน่าเวทนา พร้อมกับยกมือไหว้
“คุณหญิงขา....หนูมากราบขอโทษค่ะ” กรรณนรีก้มลงกราบแทบเท้าสุดา แล้วยกมือที่ประนม
อยู่ขึ้นมา “ขอโทษในสิ่งที่หนู ที่แม่ ได้ทำต่อคุณหญิง หนูพร้อมชดใช้ให้คุณหญิงทุกอย่าง
สุดาปัดมือกรรณนรีออก ตวัดเสียงใส่ “ชดใช้ทุกอย่าง” พร้อมกับทุบขาตัวเองอย่างเย้ยหยัน “แล้วขาฉันล่ะ ขา ฉัน แกจะชดใช้ยังไง”
สรวงใจหาย รีบทรุดตัวประคองกรรณนรีพร้อมกับให้คำมั่น “ผมกับกาวจะอยู่เคียงข้างคุณแม่ คอยรับใช้คุณแม่”
“หนูจะเป็นขาให้คุณหญิงเอง คุณหญิงจะให้ทำอะไร หนูพร้อมยอมทำทุกอย่าง” กรรณนรีให้คำสัญญาอย่างหนักแน่น
สุดาไม่ยินดี แถมยังชี้มือไล่ให้ออกไป “งั้นแกก็ไสหัวไปให้พ้นหน้าฉัน ออกไป๊”
สรวงกับกรรณนรีหน้าเสีย อารักษ์แตะมือสุดาเป็นเชิงปราม
“คุณหญิง...ลูกมากราบขอโทษถึงขนาดนี้แล้ว ถึงไม่ให้อภัย แต่ก็ให้โอกาสลูกเถอะ”
กรรณนรีเงยหน้าขึ้นมามองสุดาด้วยสายตาอ้อนวอน “คุณหญิงอาจจะไม่เชื่อใจ ไม่ไว้ใจ แต่หนูขอโอกาสนะคะ....หนูพร้อมทำทุกอย่าง เพื่อพิสูจน์ให้คุณหญิงเห็น..ว่าหนูตั้งใจ มาขออภัยคุณหญิงจริงๆ”
“นะครับคุณแม่...ให้โอกาส เราสองคน นะครับ” สรวงขอร้องแม่อีกแรง
“เห็นแก่ลูกเถอะนะคุณหญิง” อารักษ์พูดเสียงอ่อนโยน
สุดาหันมามองจ้องกรรณนรีด้วยสายตาเกลียดชัง และในดวงตาคู่นั้นฉายเล่ห์กลบางอย่าง พร้อมกับแกล้งพูดเสียงอ่อน
“ฉันก็อยากจะให้โอกาสหรอกนะ..แต่ฉันกลัว เกิดฉันทำอะไรให้เธอไม่พอใจโดยไม่ตั้งใจ เธอจะฟ้องสรวง ฟ้องคนอื่น ว่าฉันใจร้ายใจดำกับเธอ”
กรรณนรีรีบบอก “ไม่ค่ะ..ไม่..ขอเพียงคุณหญิงให้โอกาส”
“นะครับแม่” สรวงอ้อนด้วยความหวัง
อารักษ์เสริม “นะคุณหญิง”
สุดามองกรรณนรีแน่วนิ่ง กรรณนรีประนมมือไหว้ ทอดสายตามองมาอย่างอ้อนวอน คุณหญิงสุดยิ้ม ในแววตามีแผนร้าย ก่อนจะปรับสีหน้าบอก
“ก็ได้...”
สามคนยิ้มอย่างดีใจ ขณะที่สุดาพูดต่อ
“แต่ไม่ใช่เพราะเธอ....ฉันเห็นแก่ตาสรวง”
กรรณนรียิ้มย่อง ปลื้มเหลือล้น “แค่นี้หนูก็ขอบพระคุณ คุณหญิงอย่างที่สุดแล้วค่ะ”
สรวงยกมือไหว้ขอบคุณแม่ “ขอบคุณครับแม่...ขอบคุณจริงๆ”
ทุกคนยิ้มให้กันอย่างชื่นมื่น กรรณนรีกุลีกุจอลุกขึ้น แล้วเข็นรถให้สุดาพาเข้าบ้านไป สรวง กับอารักษ์มองหน้ากันด้วยความดีใจ
ไม่ทันมีใครสังเกตเห็นว่า คุณหญิงสุดายิ้มเยาะ สายตาวาววามบอกชัดเจนว่าไม่มีทางที่เธอจะยอมญาติดีกับคนรักของลูกชาย ผู้เป็นลูกสาวของภาพิศ ซึ่งเป็นมารชีวิต เป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของเธอ
ไฟมาร ตอนที่ 19 (ต่อ)
ค่ำคืนนั้น สุขหฤทัยนั่งอยู่ในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ยกมือถือขึ้นมาดู พึมพำกับตัวเอง
“ทำไมเดี๋ยวนี้ แก้วไม่เห็นติดต่อมาเลย ไม่คิดถึงเรารึไง”
สาวแสบ หยิบมือถือขึ้นมา ดูชื่อที่เม็มไว้ว่า แก้ว แล้วกดโทร.ออก
เวลาเดียวกันกาวินทร์เดินออกมาหน้าบ้าน เจอกับมาลินีที่เดินเข้ามาพอดี
“อ้าว! มด มาทำไม”
คำทักทายของกาวินทร์ ทำเอามาลินีถึงกับสะอึก มองจ้องหน้า กาวินทร์ถามอย่างหมางเมินเหมือนไม่เคยมีอะไรกันมาก่อน แวบหนึ่งนั้นมาลินีรีบปรับสีหน้า ก่อนจะบอกเรื่องค้างคาใจออกมา
“มดสงสัย...เรื่องที่คุณหญิงสุดาไปอาละวาดงานแต่งของกาว คุณฤทัยน่าจะเกี่ยว เพราะก่อนงานจะเริ่ม เค้าพูดอะไรแปลกๆ กับมด”
กาวินทร์เงียบ อึ้งไป เสียงมือถือดังขัดจังหวะ กาวินทร์ดูชื่อแล้วกดรับ สุขหฤทัยส่งเสียงเจื้อยแจ้วออดอ้อน
“ว่างรึเปล่าคะ ..ฉันอยากชวนดื่มกาแฟ”
“เอาสิ..ผมอยากคุยกับคุณเหมือนกัน แล้วเจอกัน” กาวินทร์วางสาย แล้วพูดตัดบทกับมาลินีอย่างไม่มีเยื่อใย หรือใส่ใจเรื่องที่มาลินีกังขา “ถ้ามดจะมาเพราะเรื่องแค่นี้ พี่ไม่ว่างนะ พี่มีนัด”
กาวินทร์เดินออกไปเลย มาลินีอึ้ง ความน้อยใจ เสียใจ มาเป็นริ้วๆ น้ำตาไหลรินออกมา กาวินทร์ปรายตาชำเลืองตามอง ขณะคิดอยู่ในใจ
“ขอโทษนะมด แต่พี่อยากให้เราจบกันแค่นี้จริงๆ”
กาวินทร์พาตัวเองมาอยู่ต่อหน้าสุขหฤทัยที่นั่งรออยู่แล้ว ท่วงท่าและหน้าตาที่เฉยเมยของกาวินทร์ ทำให้สุขหฤทัยเต็มไปด้วยความสงสัย คลางแคลงใจ สุขหฤทัยถามอย่างน้อยอกน้อยใจ
“นี่คุณไม่คิดถึงฉันเลยเหรอ”
“ไม่” กาวินทร์บอกเสียงกระด้าง
“แก้ว!” สุขหฤทัยงุนงง ไม่เข้าใจ “ทำไม”
กาวินทร์สวนคำออกมาทันที “เกมของเรามันจบแล้วสุขหฤทัย”
“เกม...เกมอะไร” สาวแสบงงเป็นไก่ตาแตก
กาวินทร์คว้ามือถือในมือสุขหฤทัยขึ้นมา กดค้นหาคลิปอุบาทว์แล้วชูให้ดู สุขหฤทัยมองไม่เก็ตอยู่ดี
“อะไร”
กาวินทร์โยนมือถือลงตรงหน้าก่อนจะบอก “ดูเองสิ...มือถือคุณมันไม่มีอะไร”
สุขหฤทัยคว้ามือถือขึ้นมา กดดู รู้ทันที สาวแสบใจหายวาบ มองกาวินทร์เขม็ง
“คลิปถูกลบไปแล้ว แปลว่า…”
“ที่ผ่านมามันเป็นแค่แผน...แผนที่ทำให้คุณรัก คุณตายใจ” กาวินทร์บอกอย่างสะใจ
สุขหฤทัยเดือดดาล ตบผลัวะ “เลว”
กาวินทร์บอกเสียงเข้ม “ถ้าผมเลวจริงๆ วันที่คุณเสนอตัวให้ผม ผมสนองคุณไปแล้ว นี่ผม
ยังเป็นลูกผู้ชายพอ ไม่อย่างนั้นคุณจะเจ็บและอายยิ่งกว่านี้เอง...”
สุขหฤทัยร้องไห้โฮ มองกาวินทร์อย่างไม่เชื่อ สายตาคู่นั้นทั้งเจ็บและอับอายระคนกัน กาวินทร์มองแล้วรู้สึกเวทนา จึงพูดน้ำเสียงอ่อนลง
“ที่ผ่านมา ทั้งคุณและผมต่างทำร้ายกันมากพอแล้ว วันนี้ มันถึงเวลาที่เราควรยุติ อโหสิกรรมให้กันและกันนะฤทัย” กาวินทร์ลุกขึ้นเดินหันหลังไปเลย
สุขหฤทัยโกรธจัด สาดแก้วกาแฟใส่กาวินทร์ คำรามลั่น “ไม่มีวัน”
กาวินทร์หันกลับมามอง สุขหฤทัยจ้องด้วยอาการเกรี้ยวกราด และแค้นอาฆาต
“คนอย่างฉันไม่มีวันยอมให้ใครทำร้าย แกกับฉันมันต้องเจอกัน ไอ้แก้ว”
กาวินทร์เดินหนีไปไม่ต่อล้อต่อเถียง สุขหฤทัยกัดริมฝีปากแน่น แค้นจนอกแทบระเบิด อยากจะฉีกเนื้อกาวินทร์เป็นชิ้นๆ ครู่ต่อมา สุขหฤทัยนึกบางอย่างได้ เปิดกระเป๋าหยิบแหวนแต่งที่สรวงสวมให้กรรณนรีขึ้นมา ดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์ จ้องที่แหวนเหมือนมีแผนร้ายในใจแล้ว
คืนวันหนึ่ง กรรณนรีอยู่บนเตียงกับสรวงที่บ้านอริยะวรรต สรวงกอดกรรณนรีเอาไว้ หอมแก้มกรรณนรีฟอดใหญ่
“เป็นอะไรจ๊ะ?..หน้ามุ่ยเชียว...หรือว่ายังไม่ได้เข้าหอ? มะ..งั้นเข้าเลย”
สรวงดึงกรรณนรีเข้ามาปลอบทำท่าจะจูบ กรรณนรีเอามือดันหน้าออก สรวงออกอาการกระเง้ากระงอด
“ทำไมจ๊ะที่รัก เราแต่งงานกันแล้วน้า” สรวงเย้า
“พ่อโทร.มาบอกพี่แก้ว ดูเครียดๆ ฉันเลยเป็นห่วงนะค่ะ”
“ห่วงผมดีกว่า...ผมก็เครียด...ตั้งแต่แต่งงานมายังไม่ได้เข้าหอเลย…” สรวงยิ้มตาหยี ทำตากรุ้มกริ่ม “เข้าหอได้แล้วนะ”
สรวงจะจูบ กรรณนรียิ้มหลับตาพริ้มรอรับ เสียงมือถือดัง สรวงผละตัวออก กรรณนรีคว้ามือถือ
“พ่อโทร.มา รับสายก่อนนะคะ” สรวงทำหน้าจ๋อยกรรณนรีรับสาย “คะพ่อ”
เกริกอยู่ที่บ้านยิ้มออกมาแต่ดวงตาเป็นห่วงลูกสาวจับใจ
“เป็นยังไงบ้างลูก?...คนที่นั่นเค้าดีกับลูกมั้ย”
กรรณนรีอมยิ้มมองสรวง “ดีค่ะ...คุณสรวงดีกับกาวมาก”
“โอเค. งั้นพ่อก็ไม่ห่วง...นอนเถอะนะลูกนะ”
“ค่ะพ่อ”
กรรณนรีวางสาย สรวงยิ้มกริ่ม ตั้งท่าจะจูบกรรณนรี ทว่าเสียงมือถือดังขัดขึ้นอีก
กรรณนรีมองมือถือ “พ่อ...” รีบกดรับสาย สรวงทำท่าอยากตาย “มีอะไรคะพ่อ”
“ช่วงนี้อากาศเย็น...อย่าลืมห่มผ้านะลูก..ห่มให้คุณสรวงด้วย...”
กรรณนรียิ้ม “ค่ะพ่อ” แล้ววางสายหันมาหาสรวง “พ่อบอกให้ห่มผ้าห่มให้คุณด้วยค่ะ”
สรวงยิ้มตาหยี “มะ...งั้นห่มกันเลย”
พร้อมกันนั้น สรวงตวัดผ้าห่มมาคลุมร่างกรรณนรี ใต้ผ้าห่มเคลื่อนไหวพยับเพยิบ แต่แล้วเสียงมือถือดังขัดขึ้นมาอีก กรรณนรีตวัดผ้าห่มออก ขณะที่สรวงทำหน้าเซ็งเสียอารมณ์ท่าทีน่าขัน
กรรณนรียิ้มบอก “พ่อโทร.มา” กดรับสาย “คะพ่อ”
ขณะที่กรรณนรีคุยกับเกริกอยู่นั้น สรวงกำลังตะกายข้างฝาท่าทางตลกๆ
ทางด้านเกริกบอกลูกสาวยิ้มๆ
“พ่อลืมราตรีสวัสดิ์..ฝันดีนะลูก...อ้อ..ฝากบอกคุณสรวงหอมที่หน้าผากหนูแทนพ่อด้วย..เพราะก่อนนอน พ่อต้องหอมหนูทุกคืน ฝันดีจ้ะ”
“ฝันดีค่ะพ่อ”
กรรณนรีวางสายหันมามอง เห็นสรวงมองจ้อง ก่อนจะปิดตาทำท่านอนประชด กรรณนรีสะกิดยิกๆ
“หลับแล้วเหรอคะ”
สรวงตอบทั้งที่ยังหลับตา “ฮื่อ”
กรรณนรีปลุก “ลุกขึ้นมาหน่อยสิ”
สรวงอิดออด งอนใส่ “ไม่เอา..ง่วงแล้ว”
กรรณนรียิ้มกริ่ม “พ่อฝากให้คุณหอมฉันก่อนนอนนะ”
สรวงลืมตาทันที หันมามองยิ้มกะล่อนร้องลั่น “ว้าว! ยอดคุณพ่อ”
สรวงมองหน้ากรรณนรีหวานฉ่ำ กรรณนรียิ้มตอบ สรวงบรรจงจูบหน้าผากกรรณนรีอย่างแผ่วเบา
“นี่...ของคุณพ่อ”
กรรณนรีหลับตาพริ้ม สรวงพรมจูบลงมาที่จมูกงอนงามของกรรณนรี
“นี่..ของผม...” สรวงไล่จูบมาที่ริมฝีปาก “นี่...เพื่อลูกของเรา
กรรณนรีจูบตอบสรวงอย่างเต็มใจ และราตรีนั้นช่างแสนหวานเหลือเกิน
สุดาเข็นรถเข็นมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องหอของลูกชาย ท่ามกลางความมืด ดวงหน้าสุดาแสนจะหยามหยัน รอยยิ้มเยาะผุดขึ้นที่ริมฝีปากขณะคิดในใจ
“ไม่มีทะเบียนสมรส ยังไงก็ไม่ใช่เมียที่ถูกต้องตามกฎหมายอยู่ดี”
สุดาเลื่อนรถไปขณะหยิบมือถือขึ้นมา พูดเสียงแผ่วแต่น้ำเสียงเย็นเยียบฟังดูน่ากลัว
“ฤทัย...พรุ่งนี้มาหาน้าด้วยนะลูก”
เช้าวันนี้กรรณนรีกับสรวง ช่วยกันพยุงสุดาให้ทำกายภาพบำบัด สุดาเดินไม่เท่าไหร่ก็บ่นว่าเหนื่อย
“แม่ไม่ไหวแล้วลูก”
“คุณแม่นั่งพักก่อนนะครับ”
สองคนช่วยกันพยุงและประคองสุดานั่งลงรถเข็น กรรณนรีรีบทรุดตัวลงนั่งพื้น นวด
เท้าให้สุดาอย่างเอาใจ ถามเสียงอ่อนน้อม
“ดีขึ้นมั้ยคะคุณหญิง”
สุดาแสร้งยิ้มแย้ม “ก็ดี...สรวงไปทำงานเถอะลูก ไม่ต้องห่วงแม่”
“ฝากแม่ด้วยนะกาว”
“ค่ะ” กรรณนรียิ้มให้
ระหว่างนั้นอารักษ์เดินออกมา ไอแค่กๆ ตลอดเวลา ท่าทางเหนื่อยล้าไม่มีเรี่ยวแรง สุดาทัก
“หมู่นี้ไม่สบายบ่อยจังนะคุณ”
“นั่นน่ะสิ เหนื่อยๆเพลียๆยังไงก็ไม่รู้ ท้องเสียตลอด”
“งั้นคุณพ่อต้องไปหาหมอ ตรวจเช็กร่างกายบ้างนะครับ” สรวงว่า
“ว่าจะหาเวลาไปอยู่เหมือนกัน”
อารักษ์บอก แต่ไม่ได้ซีเรียสจริงจังอะไร
จนเมื่อวันหนึ่ง อารักษ์ท่าทางไม่สบายหนัก หน้าซีดเซียว ตัดสินใจมาให้หมอตรวจร่างกาย
พอตรวจเสร็จอารักษ์ถามอย่างไม่ซีเรียส “ผมเป็นอะไรครับคุณหมอ”
หมอมีอาการกังวล “รอผลตรวจเลือดซักครู่ครับ”
ระหว่างนั้นเสียงมือถือดังขึ้น อารักษ์กดรับ ท่าทางซีเรียส
“ได้ๆ...ผมจะรีบไป” หันมาบอกหมอ “พอดีผมมีงานด่วน...เดี๋ยวค่อยมาฟังผลตรวจ
ทีหลังนะครับคุณหมอ”
“ได้ครับ อย่าลืมแล้วกัน เผื่อท่านเป็นอะไร จะได้รักษาได้ทัน”
“ผมไม่เป็นอะไรหรอกครับ ก็แค่เป็นไข้” อารักษ์ยิ้มๆ “ที่มาหาหมอ เพราะขี้เกียจฟัง
ลูกบ่นเท่านั้นเอง”
อารักษ์เดินออกไป ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะป่วยเป็นโรคอะไร
เวลาเดียวกันภาพิศนั่งเลี้ยงลูกอยู่ ท่าทางกลัดกลุ้มเป็นกังวล แฉล้มเลื่อนรถเข็นเข้ามาก่อนจะเอ่ยทำลายความเงียบขึ้น
“ตะกี้ฉันโทร.ไปถามที่โรงพยาบาล เค้าบอกคุณหญิงสุดา ออกไปแล้ว”
ดวงตาภาพิศเป็นประกายวาว รู้สึกผิดหวัง แฉล้มพูดต่อ
“ยังเงียบๆ อยู่ แสดงว่าเค้าไม่ได้เอาผิดคุณ ฉันว่าทางที่ดี คุณไปขอโทษเค้าเถอะ เรื่องจะได้จบๆ ซะที ไม่ต้องคิดจะทำอะไรอีกแล้ว อย่าลืม! ที่ผ่านมาคุณก็ร้ายกับเค้าเหมือนกัน”
ภาพิศทำหูทวนลม หันไปก้มหน้าเลี้ยงลูก แฉล้มจึงไม่เห็นแววตาถือดีของภาพิศที่คิดแค้นอยู่ในใจ “คนอย่างนังสุดาจะไปขอโทษมันทำไม ให้มันตายๆ ไปน่ะแหละ ดีที่สุดแล้ว”
ด้านสุดานั่งอยู่บนรถเข็นดวงตาไร้ความสุข เต็มไปด้วยไฟแค้น กรรณนรีเดินมาพร้อมอาหาร
“ทานข้าวนะคะคุณหญิง”
กรรณนรีถือถาดอาหาร ที่มีข้าว และกับ เป็นแกง และผัด พร้อมกับทำท่าจะป้อนเอาใจ
สุดามองอย่างเกลียด ตวาดลั่น “ ถึงขาฉันจะเป็นง่อย แต่มือฉันไม่ได้ง่อย”
ขาดคำสุดายกถาดอาหารทั้งถาดคว่ำใส่หัวกรรณนรีทันที กรรณนรีร้องว้าย ผมเผ้าและเนื้อตัวเลอะเทอะเต็มไปด้วยข้าวและอาหาร
กรรณนรีมองอย่างหวาดกลัว “หนูแค่อยากดูแลคุณหญิง”
“ฉันไม่ต้องการ”
สุดากระแทกเสียงใส่ พร้อมกับเหวี่ยงถาดในมือใส่กรรณนรีอย่างแรง แต่กรรณนรีหลบได้อย่างฉิวเฉียด มองสุดาด้วยสายตาเว้าวอน
สุดามองหน้ากรรณนรีเขม็ง สายตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความโกรธ เกลียด และชิงชัง
“แกคิดว่า ทำอย่างนี้แล้วฉันจะใจอ่อนเหรอ ไม่มีทาง จนตายฉันก็ไม่มีวันรับแกเป็นสะใภ้”
พูดจบสุดาก็เลื่อนรถเข็นมาที่กรรณนรีอย่างรวดเร็ว ล้อของรถเข็น ทับเข้าที่มือของกรรณนรีเต็มๆ กรรณนรีร้องสุดเสียง ด้วยความเจ็บปวด รีบเอามืออีกข้างพยายามจะดันรถเข็นออก
“คุณหญิง..อย่าค่ะ ฉันเจ็บ”
สุดาตะคอก “ถ้าทนไม่ได้ ก็ไสหัวไปจากบ้านฉัน ไป”
กรรณนรีร้องไห้น้ำเสียงอ้อนวอน มือข้างนั้นยังอยู่ใต้ล้อ “ไม่ค่ะ ไม่...ฉันจะอยู่รับใช้คุณหญิง”
สุดาด่า “นังหน้าด้าน”
พร้อมกันนั้นสุดายังได้ขย่มรถเพื่อให้ล้อรถทับมือกรรณนรีแรงขึ้นอีก กรรณนรีร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด เลือดที่มือไหลออกมา จังหวะนั้นแม่บ้านโผล่หน้าออกมามอง ทำท่าสยอง แต่ไม่กล้ามาช่วย
สุขหฤทัยเดินเข้ามา ชูแหวนในมือขึ้น พูดดัดจริต “ต๊ายยย...มือแตกอย่างนี้ สงสัย จะสวมแหวนไม่ได้นะจ้ะกาวจ๋า”
กรรณนรีหันไปมอง สุขหฤทัยและสุดายิ้มสะใจ สุขหฤทัยชูแหวนยั่วอีก
“ถ้าสวมไม่ได้...งั้นฉัน...”
“สวมเลยฤทัย แม่ยกให้” สุดายิ้มเยาะ
สุขหฤทัยสวมแหวนใส่มือตัวเองพร้อมกับกรีดนิ้วอวดต่อหน้ากรรณนรี
“ขอบคุณค่ะคุณหญิงแม่ สวยจังเลย...”
“สวย..สมกับเป็นสะใภ้แม่...อย่างหนู ไม่ใช่นังนี่”
ว่าแล้วสุดาก็เลื่อนรถเข็นที่ทับมือกรรณนรีอยู่ผ่านไป กรรณนรีร้องลั่น สุดากับสุขหฤทัยหัวเราะเยาะ
“ฉันจะแกล้งจนกว่าแกจะอยู่ที่นี่ไม่ได้ นังหน้าด้าน”
สุขหฤทัยเข็นรถพาสุดาเข้าไปข้างใน กรรณนรีร้องไห้โฮ มองมือที่มีเลือดโชกชุ่มของตัวเองอย่างเจ็บปวด แม่บ้านวิ่งเข้ามามองเวทนา
“โธ่เอ๊ยคุณ...จะทนทำไมเนี่ย”
“ฉันอยากให้คุณหญิงให้อภัย”
“คุณตายก็ไม่มีวันนั้นหรอก มา...ฉันพาไปหาหมอ”
แม่บ้านประคองกรรณนรีออกไปอย่างเวทนา
ภาพิศยืนอยู่หน้าบ้าน เมื่อไม่เห็นใคร ภาพิศมองปืนในกระเป๋า คิดอยู่ในใจ
“ฉันจะฆ่าแกให้ตายนังสุดา”
ภาพิศลอบเข้าไปในบ้านอริยะวรรตอย่างว่องไว
ที่บริเวณสระว่ายน้ำ สุดานั่งอยู่กับสุขหฤทัย สองคนรู้สึกสาแก่ใจที่ได้แกล้งกรรณนรี สุขหฤทัยยกมือไหว้ขอบคุณ
“ฤทัยขอบคุณคุณหญิงแม่มากนะคะที่เอ็นดูฤทัย”
“แม่บอกแล้วไง คนที่แม่ต้องการเป็นสะใภ้มีคนเดียวคือหนู...ส่วนนังกรรณรีก็เป็นได้แต่เมียเก็บ เมียน้อย นางบำเรอเหมือนแม่มัน”
“ฤทัยรักคุณหญิงแม่ที่สุดเลยค่ะ”
สุขหฤทัยยิ้มย่อง ยกมือกรีดดูแหวนอย่างพึงพอใจ ภาพิศได้ยินทุกคำพูด กำปืนแน่นมองอย่างอาฆาตและพยาบาท ก่อนที่จะยกปืนขึ้น คิดแค้นอยู่ในใจ
“ตายทั้งคู่เลยแล้วกัน”
มือของภาพิศจะกดไกปืนอยู่แล้ว จู่ๆ สรวงเดินเข้ามาจากอีกมุม
“เป็นยังไงบ้างครับคุณแม่”
สุดาหันมายิ้มทัก “สรวง”
ภาพิศหงุดหงิด หัวเสีย และขัดใจ ลดปืนลง ยินสรวงถามสุดาถึงกรรณนรี
“กาวล่ะครับ”
“ออกไปเที่ยวมั้ง..แต่ไม่เป็นไร ฤทัยมาอยู่เป็นเพื่อนแม่...สรวงไม่ต้องห่วงจ้ะ”
สุขหฤทัยฉอเลาะเอาอกเอาใจสุดา สรวงมองอย่างไม่สบายใจ รู้ว่ามีเรื่องแน่
ภาพิศเดินออกมาอย่างหัวเสีย
“แกยังมีบุญที่มีลูกคุ้มหัว แต่วันพระไม่ได้มีหนเดียว นังสุดา”
ภาพิศมองรูปของสุดาที่ตั้งอยู่ในกรอบอย่างแค้นใจ ภาพิศ คว้ากรอบรูปติดมือออกมา
ตกกลางคืน ท่ามกลางความมืด มือของภาพิศจุดไฟแช็ค ก่อนจะหยิบรูปของสุดาที่ขโมยมาออกมาลนไฟ เปลวไฟค่อยๆ ลามเลียรูปสุดา ภาพิศมองดูนิ่ง แต่ดวงตาเต้นระริกเป็นประกายวาววับ
แฉล้มเลื่อนรถเข้ามาเห็นภาพนั้น มองภาพิศด้วยความเวทนา ก่อนพูดขึ้นเป็นการเตือนสติ
“ถ้าใครขอโอกาสคุณ อย่าลืมถามเค้าด้วย จะเอาโอกาสไปทำดีหรือทำชั่ว”
ภาพิศหันขวับไปมองตาวาวโรจน์ แฉล้มพูดต่ออีก
“คุณหญิงสุดาเค้าให้โอกาสคุณแล้ว แต่คุณไม่ให้โอกาสตัวเอง”
ภาพิศดื้อด้านไม่ยอมฟัง “คนอย่างมันเป็นคนเลว”
แฉล้มถอนหายใจเฮือกขี้เกียจเถียง “ถ้าคุณคิดเองไม่ได้ ฉันก็อยากให้คุณหันหน้าเข้าหาธรรมะ เผื่อจะคิดออก”
ภาพิศเหลียวขวับ ยิ้มขำ ว่าเป็นไปไม่ได้ “วัดน่ะเหรอ”
“ฉันก็เคยคิดอย่างคุณ...คนเราถ้าไม่ทุกข์ถึงที่สุด ไม่นึกถึงวัดหรอก....ถ้าคุณฝึกด้วยตัวเองไม่ได้ คุณก็ควรจะไป”
ภาพิศยิ้มเย้ยอีก แฉล้มบอกทันควัน
“คุณอาจจะคิดว่าเป็นไปไม่ได้...แต่ฉันก็ทำได้แล้ว..และฉันก็อยากให้คุณทำได้เหมือนกัน อย่าไปวัดเพียงแค่เผาผีเลยคุณ...ขัดเกลาจิตใจตัวเองบ้างเถอะ จำไว้ถ้าคุณยอมไม่เป็น คุณก็เย็นไม่ได้ และคนที่ทุกข์ก็คือคุณ”
ภาพิศเถียงไม่ออก ได้แต่นิ่งอึ้ง ดวงตาหมองลง เพราะที่ผ่านมาก็รู้สึกทุกข์จริงๆ
ไฟมาร ตอนที่ 19 (ต่อ)
คืนเดียวกันสรวงนั่งรอกรรณนรีอยู่ในห้องโถง มีสุดาและอารักษ์นั่งอยู่ด้วย สักครู่หนึ่งกรรณนรีเดินเข้ามาหน้าตาซีดเซียว มือข้างหนึ่งที่โดนรถเข็นทับมีผ้าพันแผลอยู่
“ไปไหนมากาว” มองเห็นมือก็ตกใจ “อ้าว!แล้วนั่นมือเป็นอะไร”
กรรณนรียิ้มแย้มพูดกลบเกลื่อน “มีดบาดน่ะค่ะ”
“บาดยังไงถึงได้พันทั้งมือ” สรวงสงสัย
กรรณนรีนิ่ง สุดาซึ่งนั่งอยู่ด้วย ทำหน้าเฉยไม่รู้ไม่ชี้ ขณะที่แม่บ้านคันปากยิบๆ สุดาเหลือบ
ไปเห็น ถลึงตาใส่ แม่บ้านหลบ สีหน้าไม่สบายใจ กรรณนรีแก้ตัว
“พอดีตอนนั้นฉันมองทางอื่นน่ะค่ะ มันเลยบาดทั้งมือ”
อารักษ์ที่ท่าทางอิดโรยเหมือนคนป่วยหนักตัดบท “พากาวไปพักเถอะลูก”
สรวงโอบกอดพากรรณนรีออกไป สุดาแอบเบ้ปากทำหน้าสะใจ
สรวงประคองกรรณนรีที่อยู่ในชุดนอนแล้ว นอนลงที่เตียงห่มผ้าห่มให้ พร้อมกับจับมือกรรณนรีอย่างห่วงใย
“ผมรู้..แม่ต้องทำอะไรคุณ ....และผมก็รู้...ที่คุณไม่บอก เพราะคุณไม่อยากให้ผมไม่สบายใจ”
กรรณนรียิ้มออก ดีใจที่สรวงเข้าใจ “ฉันบอกแล้วไงคะ...ฉันยอมทุกอย่าง จนกว่าคุณหญิงจะให้อภัยและรับฉันเป็นสะใภ้อย่างเต็มใจ”
“ขอบใจมาก แต่ผมไม่อยากให้คุณยอมคุณแม่อย่างนี้”
กรรณนรียิ้มอีก “ฉันทนได้ค่ะ คุณอย่าว่าอะไรคุณหญิงนะคะ...ไม่งั้น...เดี๋ยวจะเป็นเรื่องใหญ่”
สรวงพยักหน้า “อดทนหน่อยนะกรรณนรี ผมเชื่อ..ความดีของคุณ..จะเอาชนะใจคุณแม่ได้ซักวัน”
กรรณนรีใจชื้น “ฉันทำเพื่อคุณค่ะคุณสรวง เพราะฉันรักคุณ”
“ผมก็รักคุณ...รักมาก ก็ได้แต่หวัง..ถ้าเรามีลูก คุณแม่จะใจอ่อน”
“ฉันก็รอวันนั้นเหมือนกันค่ะ”
สรวงก้มลงจูบกรรณนรีอย่างละมุนละไม ทั้งรักทั้งสงสารและหวงแหน กรรณนรีกอดสรวงแน่น ถึงสุดาจะร้ายกาจแค่ไหน แต่กรรณนรีไม่ทุกข์เลย ที่มีสรวงอยู่เคียงข้าง
เวลาเดียวกัน พรรณีแม่บ้าน กำลังจะเดินเข้าห้อง สุดาเข็นรถเข็นตามมา
“เดี๋ยว” แม่บ้านหันมามอง สุดาพูดต่อ “ฉันรู้นะว่าแกคิดอะไร แต่ถ้าแกปากโป้ง...” สุดามองจ้องด้วยสายตาโหดเหี้ยม
“ฉันไม่กลัวหรอกค่ะ เพราะฉันจะไม่อยู่ที่นี่อีกแล้ว บอกตรงๆ ฉันทนไม่ไหวที่มีเจ้านายใจคอวิปริต” กระแทกเท้าเดินออกไปอย่างไม่แคร์
สุดาโกรธจนตัวสั่น “นังพรรณี...นังพรรณี”
สุดาลืมตัวทำท่าจะลุกตาม แต่เดินไม่ได้ จึงได้แต่ฮึดฮัดทุบขาตัวเองโกรธแค้น
เช้าวันต่อมา ภาพิศไปซื้อของที่ตลาดนัด เจอพรรณีแม่บ้านสุดาที่ไปซื้อของเหมือนกัน สองคนเห็นกันก็ร้องทัก
“อ้าว!คุณ”
พรรณีมองภาพิศอย่างเห็นใจ สภาพของภาพิศทุกวันนี้ไม่ได้สวยเลิศเฉิดฉายเหมือนตอนเป็นคุณหญิง และที่สำคัญไม่คิดว่าคนอย่างภาพิศจะเดินตลาดนัด
สองคนนั่งคุยกันในร้านขายน้ำ แม่บ้านบอก
“ฉันคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะเจอคุณที่นี่” พูดเสียงอ่อยๆ “แล้วได้นั่งดื่มน้ำกับคุณ”
ภาพิศเข้าเรื่องที่อยากรู้ “คนที่นั่นเป็นยังไงบ้าง”
แม่บ้านพรรณีถอนหายใจ “ดีแล้วล่ะที่คุณออกมาจากดงคนบาป คุณหญิงสุดาเหมือนจะ
เป็นบ้าขึ้นทุกวัน”
ดวงตาภาพิศเปล่งประกายสะใจ พรรณีเล่าต่อเสียงเศร้า
“สงสารก็แต่เมียคุณสรวง”
คราวนี้สีหน้าภาพิศเปลี่ยนไปทันที ซักรัวเร็ว
“ทำไม”
“ถูกคุณหญิงกลั่นแกล้งตลอด บางครั้งเลือดตกยางออกก็มี...ฉันทนไม่ไหวนี่แหละ ก็เลยลาออกมา กลัวจะเป็นบ้าเหมือนคุณหญิง”
ภาพิศได้ฟังยิ่งเป็นห่วงกรรณนรีสุดหัวใจ
ค่ำคืนนั้น ภาพิศยืนลับมีดนิ่งๆ อยู่ภายในห้องครัว ดวงตาคู่นั้นกลอกไปมา ราวกับที่ลับมีดคือเนื้อของสุดายังไงยังงั้น จังหวะนั้นหนูตัวหนึ่งวิ่งผ่านเข้ามาในครัว ภาพิศเห็นจะเขวี้ยงมีดใส่หนูเพื่อระบายอารมณ์ แฉล้มเลื่อนรถเข็นเข้ามาพอดี ร้องห้ามเสียงหลง
“อย่าคุณ”
ภาพิศชะงัก ปรายตามอง แฉล้มบอก
“แบ่งๆ กันกินมั่งก็ได้”
ภาพิศทำหน้าแขยง “เชื้อโรค”
“เมื่อก่อนฉันก็คิดอย่างคุณ เห็นไม่ได้ ต้องใช้ยาเบื่อหนูจัดการตลอด”
ดวงตาภาพิศ ฉุกคิดถึงยาเบื่อหนู วางมีดลง ขณะที่แฉล้มพูดต่ออย่างเสียใจ
“แต่พอนึกถึงภาพหนูดิ้นกระแด่วๆ น้ำลายฟูมปาก ทรมานก่อนตาย ฉันยิ่งคิดว่าตัวเองโหดร้ายทารุณ ตอนนี้อะไรมองผ่านได้ ก็มองผ่านไปเถอะ ยังไงเรากับมันก็อยู่ในโลกใบเดียวกัน”
ภาพิศที่หันหลังให้แฉล้มเหมือนไม่ได้ฟัง ริมฝีปากพึมพำออกมาเบาๆ
“ยาเบื่อหนู”
คืนนั้นภายในห้องตรวจคนไข้ อารักษ์ถามหมอ
“หมอให้ผมมาหา มีอะไรครับ”
“อยากให้ท่านมาฟังผลตรวจเลือด” หมอบอกเสียงเรียบ
อารักษ์นึกได้ “ผมก็ลืมซะสนิท...ตกลงผมเป็นอะไรครับ”
“ผลการตรวจเลือดของท่าน พบเชื้อ HIV” หมอบอกอย่างลำบากใจ
อารักษ์ทวนคำพูดหมอ “HIV เอดส์ ผมเป็นเอดส์” สีหน้าตื่นตกใจ “เป็นไปไม่ได้..” อารักษ์อาละวาดหนัก “หมอตรวจผิด หมอตรวจผิด” รับไม่ได้
อารักษ์เดินโซเซออกมาที่หน้าโรงแรม ภาพตอนมีความสัมพันธ์กับหญิงแปลกหน้าตอนเตลิดออกมาจากรีสอร์ท และอีกครั้งในคืนก่อนวันที่สรวงจะแต่งงาน อารักษ์พูดกับตัวเองอยู่ในใจ
“เราเป็นเอดส์”
อารักษ์เซซังแทบหมดแรง
ระหว่างรับประทานอาหารเช้าร่วมกันอยู่นั้น สรวงถามอารักษ์ ด้วยอาการตกใจระคนดีใจ
“อะไรนะครับ...คุณพ่อจะจัดงานฉลองแต่งให้ผมกับกาว”
สุดากับกรรณนรีมองอย่างตกใจ สุดานั้นไม่พอใจมาก ขณะที่กรรณนรีแปลกใจระคนตื่นเต้น ไม่อยากเชื่อ อารักษ์ฝืนยิ้ม
“ก็...ลูกยังไม่ได้ฉลองแต่งกันเลย...จะได้ถือโอกาสจดทะเบียนสมรสด้วย” อารักษ์ว่า
สรวงยกมือไหว้ “ขอบคุณครับพ่อ..ขอบคุณจริงๆ”
กรรณนรียกมือไหว้ตาม “ขอบพระคุณค่ะท่าน”
ทุกคนหันไปมองสุดาที่นั่งหน้าบึ้งเป็นตาเดียว สุดารีบยิ้มแย้มกลบเกลื่อน
“มองแม่ทำไม...ว่าไงก็ว่าตามกันสิลูก” สุดาพูดสีหน้ามีเลศนัย “แม่ก็อยากเลี้ยงต้อนรับ สะใภ้ ของแม่เหมือนกัน
ทุกคนยิ้มสบายใจ มีแต่สุดาที่ยิ้มในสีหน้า รู้ใจตัวเองคนเดียว ขณะคว้าไม้เท้าลุกขึ้น สรวงกับกรรณนรีปราดเข้าไปประคองอย่างเอาอกเอาใจ ยากให้สุดาเดินได้ อารักษ์หน้าหม่น ก่อนยิ้มออกมา ได้ ทำเพื่อสรวงและกรรณนรี
อีกมุมหนึ่ง สุขหฤทัยแว้ดถามสุดาสุ้มเสียงไม่พอใจ
“แปลว่าคุณหญิงแม่ รับนังกรรณรีเป็นสะให้แล้ว”
สุดาซึ่งถือไม้เท้าอยู่ในมือ และพยายามหัดเดิน ตอบสุขหฤทัยหน้ายิ้มๆ “ใครว่า”
“ก็คุณหญิงแม่บอก จะเลี้ยงต้อนรับสะใภ้”
“ใช่...แต่สะใภ้ของแม่ มีเพียงฤทัยคนเดียว”
สุขฤทัยนิ่งไปนิด ก่อนจะยิ้มออกมาได้ ดวงตาเจ้าเล่ห์ “แปลว่า...”
“แม่จะฉีกหน้านังกรรณรีกลางงานแต่งครั้งที่ 2”
สุดาหัวเราะก้องด้วยความสะใจ สุขหฤทัยผสานเสียงหัวเราะตาม สะใจเช่นกัน
สองหนุ่มอยู่ในห้องทำงานของสรวง เจ้าของห้องถามขึ้นอย่างตกใจ
“พี่นพจะลาออกไปทำไม”
นพฝืนยิ้ม “ไปดูรีสอร์ทให้พ่อ...ทิ้งไว้หลายปีแล้ว พี่ว่าจะฟื้นฟูใหม่”
“ไม่มีอะไรแน่นะพี่” สรวงถามย้ำ ท่าทีเป็นห่วงมาก
นพอึ้งไปนิดก่อน รีบกลบเกลื่อน “ไม่มี แต่ไม่ต้องห่วง ยังไงงานฉลองแต่งสรวงพี่ก็จะไปให้ได้” นพพูดประโยคต่อมาเป็นนัย เสียงแผ่วลง “เพราะอาจจะเป็นครั้งสุดท้าย ที่พี่ได้ทำเพื่อสรวง”
นพฝืนยิ้ม สรวงมองดูนพอย่างไม่เข้าใจ
มาลินีอยู่ในห้องน้ำ ในมือถือแผ่นตรวจครรภ์เอาไว้ มองผลอย่างดีใจ
“เราท้อง”
ใบหน้ายิ้มแย้มดีใจเมื่อครู่ของมาลินี เปลี่ยนเป็นสลดลงด้วยความกังวลใจ
ค่ำนั้น กาวินทร์ประชุมงานอยู่ภายในห้องประชุมที่ออฟฟิศ เสียงโทรศัพท์มือถือดังไม่หยุด กาวินทร์มองเห็นเป็นเบอร์มาลินี จึงไม่ยอมรับ จนเพื่อนบอก
“รับสายก่อนก็ได้นะแก้ว”
“งั้น...ขอตัวเดี๋ยวนะ” กาวินทร์เดินออกไป
กาวินทร์เดินออกมาคุยหน้าออฟฟิศ ถามเสียงขุ่น
“พี่บอกแล้วไงว่าเรื่องของเราจบลงแล้ว พี่ไม่อยากให้มดติดต่อพี่อีก”
มาลินีเดินอยู่ริมน้ำ หน้าเสียไปทันที
“แต่มดท้อง”
สีหน้ากาวินทร์ ช็อก ตกใจ เพราะคาดไม่ถึง มาลินีพูดย้ำต่อ
“มดท้องนะพี่แก้ว…”
“พี่ยังไม่พร้อมที่จะเป็นพ่อใคร”
พูดจบกาวินทร์ก็วางสายไป ยังตกใจ ตั้งรับไม่ทัน ส่วนมาลีนี้นั้นร้องไห้โฮ เสียงกาวินทร์ดังก้องในหัว
“พี่ยังไม่พร้อมที่จะเป็นพ่อใคร”
คืนนั้นภาพิศประคองพาแฉล้มขึ้นนอนบนเตียงอย่างอาทร เสียงป้าข้างบ้านตะโกนเรียก
“แม่ภาๆ”
ภาพิศสะดุ้งมีพิรุธ แฉล้มมองอย่างจับสังเกต ภาพิศรีบกลบเกลื่อน
“ฉันฝากป้าซื้อของน่ะ คุณนอนเถอะนะ ฝันดี”
ภาพิศเดินออกไป แฉล้มมองตาม ก่อนจะรำพึงออกมาด้วยแววตาสงสัย
“ซื้ออะไร”
ภาพิศเดินออกมาหาป้าที่หน้าบ้าน ป้ายื่นยาเบื่อหนูให้หลายซอง
“ซื้อยาเบื่อหนูมาทำไมตั้งหลายซอง หนูเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ” ป้าซัก
ภาพิศยิ้ม “จ้ะป้า” ยื่นเงินให้ พร้อมกับกำชับ “แต่ป้าอย่าบอกแฉล้มนะ เค้าเป็นคนธรรมะธัมโม”
“ป้ารู้...” ทำท่าขยะแขยง “แต่ป้าทนไม่ได้หรอก ป้าเกลียดหนู” แล้วป้าก็เดินไป
“ฉันก็เกลียดหนู...” ภาพิศเหยียดยิ้มพูดเสียงเย้ยเบาๆ “หนูสุดา”
ภาพิศชูซองยาเบื่อหนูขึ้น ตาวาววับยิ้มร้ายออกมาอย่างน่ากลัว
“แกตายแน่
วันใหม่มาถึง ภาพิศแต่งตัวรัดกุมทะมัดทะแมงเดินออกมา พร้อมกระเป๋าถือ ภาพิศหยุดยืนก้มไปมองในกระเป๋า เห็นมียาเบื่อหนูอยู่ในนั้น แฉล้มอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บอกออกมาอย่างยินดี
“ท่านอารักษ์กับคุณหญิงสุดาจะจัดงานฉลองแต่งให้คุณสรวงกับกาว”
ภาพิศตาวาววาม “ฉันไม่เชื่อ จะเป็นไปได้ยังไง”
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ ท่านอารักษ์เอ็นดูกาวอยู่แล้ว ส่วนตอนนี้คุณหญิงสุดาก็อาจจะใจอ่อน” แฉล้มว่า
ภาพิศรู้จักสุดาดี จึงไม่มีวันเชื่อเด็ดขาด “แม่ผัว ลูกสะใภ้มีปัญหากันมาตลอด โดยเฉพาะแม่ผัวอย่างนังสุดา คุณคิดว่ามันจะเอ็นดูลูกฉันเหรอ”
“ใช่...เพราะกาวเป็นเด็กดี และฉันก็เชื่อว่าความดีเอาชนะทุกสิ่ง”
ภาพิศนิ่ง พูดไม่ออก แฉล้มบอกต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เชื่อฉัน เลิกจองเวรจองกรรมคุณหญิงเถอะ เค้าเปิดใจรับลูกคุณเป็นสะใภ้ นั่นเป็นสิ่งที่ดีแล้ว”
ภาพิศไม่เชื่อ แต่ยอมวางกระเป๋าลง แฉล้มเลื่อนตัวเข็นรถเข็นออกไป ส่วนภาพิศตัดสินใจหยิบซองยาเบื่อหนู ออกไปเก็บในตู้แถวนั้น
โปรดติดตาม "ไฟมาร" ตอนที่ 20 (อวสาน) วันนี้ เวลา 17.00 น.