กี่ เ พ้ า ตอนที่ 3
ภายในสวนของบ้านตระกูลเจ้า ซึ่งมีศาลาโปร่งกลางแจ้ง มีการตั้งกระถางเพื่อไหว้บูชาฟ้าดิน คืนนี้ทุกคนมาประชุมพร้อมกันเพื่อดูการไหว้ของหลินเพ่ยในสภาพยังไม่หายจากอาการตื่นตกใจ ซิ่วหลานจุดธูปยัดใส่มือหลินเพ่ย
“มาค่ะมาไหว้ฟ้าดิน ไหว้เจ้าที่เจ้าทางให้ท่านคุ้มครอง”
“หนูเห็นผีจริงๆนะคะคุณพ่อ ผีนังเมย์ลี” หลินเพ่ยบอก
“ไหว้เจ้าก่อนนะลูก ไหว้เจ้าก่อน” เหม่ยอิงบอก
หลินเพ่ยไหว้แบบไม่เต็มใจ ซิ่วหลานเอาธูปไปปักที่กระถาง
“มันเกลียดหนู มันจะฆ่าหนู มันจะเอาหนูไปอยู่ด้วย”
“รดน้ำมนต์หน่อยนะคะด้วยกิ่งทับทิมจะช่วยไล่ผีออกได้ค่ะ” ซิ่วหลานบอก
ซิ่วหลานหยิบโถทองเหลืองใส่น้ำมนต์ มีกิ่งทับทิมและกิ่งต้นเทพพนมใช้พรมน้ำใส่หัว ใส่ตัวของหลินเพ่ย
หลินเพ่ยปัดออกบอก
“ไม่ ไล่ยังไงก็ไม่ไปหรอก หนูไม่อยู่บ้านนี้แล้ว หนูไม่อยู่ แม่ขา ไปอยู่โรงแรมกันนะคะ ถ้าอยู่ที่บ้าน มันต้องตามหลอกหลอนหนูจนหนูอยู่ไม่เป็นสุขแน่”
เจิ้นหลุนกระซิบบอกอี่เหวินกับเป่าหลินที่ยืนอยู่แถวนั้น
“ไหนวันนั้นยังท้าผีอยู่หยกๆ พอผีมาจริงๆ สติแตกเลยแฮะ”
“เฮียหลุน พูดมากจริง” เป่าหลินว่า
“ไปสิแม่”
เหม่ยอิงพูดกับอากาศรอบตัว
“บ้าจริง แทนที่จะไปหลอกนังคนนอกคอกนั่น ดันมาหลอกพวกเดียวกันเอง ฉันจะเอานักพรตมาทำลายวิญญาณแก คอยดูสิ”
อี่เหวินกระซิบบอกเจิ้นหลุน
“ท่าทางคุณนายรองกับคุณหนูจริงจังมากเลย หรือว่าจะโดนผีหลอกกันจริงๆ”
“จริงไม่จริง อาหลุนก็โดนหลอกมาแล้วใช่มั้ย” เป่าหลินว่า หลุนพยักหน้ารับ
“ไปสิแม่ หนูกลัวมันมาหลอกอีก” หลินเพ่ยบอกเหม่ยอิง
ลี่ผิงมองอย่างไม่ไว้ใจหลินเพ่ยมาตลอด ไม่ค่อยอยากเชื่อคำพูดเลยลองขู่ดู
“เพ่ยเพ่ย อย่ามาทำลีลานะ คนตายก็คือคนตายจะลุกขึ้นมาได้ยังไง”
“ในเมื่อแม่ไม่ไป หนูก็จะไปเอง หนูไม่อยู่แล้วบ้านนี้” หลินเพ่ยบอก
หลินเพ่ยขยับจะไป แต่เหม่ยอิงดึงไว้
“เดี๋ยวก่อนลูก คุณพี่คะ ขออนุญาตนะคะ อย่างน้อยก็สองสามวัน”
“ถ้าจำเป็นก็พาไปหาหมอหลิว พักผ่อนที่โรงพยาบาลจะดีกว่าไปโรงแรม” เหวินเยี่ยบอก
หลินเพ่ยจะพุ่งไป เหม่ยอิงรีบตาม
“ได้ค่ะได้ เดี๋ยวสิลูก”
“คุณหนูจะไปไหนคะ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนค่ะ จะไปทั้งชุดนอนได้ยังไงกันคะ” เป่าหลินว่า
หลินเพ่ยรีบสะบัดตัวเดินจากไป เหม่ยอิงกับเป่าหลินรีบตามไป
“นี่มันอะไรกันเนี่ย เกิดอะไรขึ้นในบ้านเรา” อวี้เหลียนว่า
จิ้นเจินบอกกับลี่ผิง
“ถ้าสองคนนั้นเล่นละคร ก็นับว่าเป็นนักแสดงที่เก่งมากทีเดียว”
“มันจะเป็นละครไปได้ยังไงกัน คุณกับฉันก็เคยเห็นผีเมย์ลีกับตาตนเองเหมือนกัน” อวี้เหลียนบอก
หมิงเทียนตัดบท
“ผมไม่เชื่อ ผมขอยืนยัน ถ้าเป็นเมย์ลีจริง เธอต้องมาหาผม”
เพกาพึมพำคนเดียว
“ใช่ ถ้าฉันเป็นเมย์ลี ฉันจะมาหาคุณ มาหาหัวใจตัวเอง แต่นี่กลับไปหาคนอื่น”
เพกาครุ่นคิดต่อ
“คุณพี่ คุณเชื่อเรื่องนี้ไหมคะ” ลี่ผิงถาม
“ไม่มีทาง ผีไม่มีในโลก ฮึ่ย นี่มันเกิดบ้าอะไรกันขึ้นเนี่ย” เหวินเยี่ยบอก
เหวินเยี่ยมองคนรอบบ้านที่วุ่นวายกับเรื่องผีแล้วหงุดหงิด เพราะยังยึดมั่นในความคิดของตนเช่นเดียวกับหมิงเทียนว่า ผีไม่มีจริง
ภายในสวนของวันใหม่ในเวลากลางวัน เพกาเอามือจับดอกโบตั๋น ส่วนสมองกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก
“ฉันเจอคุณในชุดกี่เพ้าสีแดง … คนอื่นเจอคุณในชุดสีขาว พร้อมสัญลักษณ์ของคุณคือดอกโบตั๋น”
เพกานึกถึงคำพูดของแทนไท
“วิญญาณที่ปรากฎตัวให้คนเห็น ไม่มีหรอกนะ ที่มาหลอกเล่นๆ ส่วนใหญ่มีเหตุผล มาเพราะห่วง มาเพราะแค้น กับอีกบางส่วนมาเพราะขอ”
“ใช่ ผีที่พวกเขาเจอเหมือนจะมาหลอกเล่นสนุกๆ ไม่มีจุดมุ่งหมายอะไรเลย แบบนี้ไม่น่าจะใช่คุณเมย์ลี” เพกาว่า
หมิงเทียนเดินเหม่อกับความคิดตัวเองเข้ามาในสวนจนเจอเพกา
“ขอโทษนะ”
หมิงเทียนจะหันหลังหนี เพการีบถาม
“เดี๋ยวคุณ ชั้นขอคุยอะไรด้วยหน่อยสิ คุณก็ไม่เชื่อว่าผีเมย์ลีจะอาละวาดหลอกคนในบ้านนี้ใช่ไหมคะ”
หมิงเทียนที่อารมณ์ขุ่นมัวมาตลอดทั้งวันกลายเป็นโมโห เดินมาจับมือเพกาแล้วโวยวายใส่
“อย่าพูดถึงเมย์ลีแบบนั้น ตอนเธอมีชีวิตอยู่ เธอไม่เคยคิดร้าย ไม่เคยทำร้ายใคร ตายไปเธอจะเป็นอย่างนั้นได้ยังไง”
“นั่นไงล่ะ มันไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ฉันก็ไม่เชื่อหรอกค่ะ ว่าที่พวกเขาเจอคือคุณเมย์ลี”
“ยังมีหน้ามาพูด คุณนั่นล่ะที่เริ่มเรื่องผีนี่ขึ้นมาก่อน คุณเป็นคนบอกว่ามีผีมาร้องไห้ที่หน้าห้อง คุณเป็นคนสร้างความปั่นป่วนในบ้านนี้”
“โมโหอะไรมาเนี่ย”
หมิงเทียนเก็บอารมณ์ขุ่นใจเอาไว้มาตั้งแต่เรื่องของหลินเพ่ย เลยมาระบายใส่กับเพกา ถามหาความรับผิดชอบ
“เพราะผมไม่ชอบให้ใครพูดถึงเมย์ลีแบบนั้น ยามมีชีวิตอยู่คนพวกนั้นรังแกเมย์ลีไม่พอ เวลาที่เธอตายไป ยังมากล่าวหาว่าเธอเป็นผีมาเที่ยวหลอกชาวบ้านอีก คุณพิ้งค์ คุณต้องรับผิดชอบเรื่องนี้”
เพกาเสียงดังตอบ
“จะให้ฉันรับผิดชอบหรือ ได้สิ บอกมาคำเดียว ฉันจะไปจากฮ่องกง จะกลับเมืองไทยทันที พูดมาสิคะ”
เพกาสบตาหมิงเทียนอย่างท้าทาย หมิงเทียนอึ้ง ถึงที่สุดเขาก็ไม่กล้าไล่
“ฉันก็เป็นเพื่อนของเมย์ลีเหมือนกัน ฉันปรารถนาดีกับเขาไม่ต่างจากคุณหรอกน่า”
“เพื่อนหรือ คุณไม่เคยเจอเมย์ลีด้วยซ้ำ”
“ใครบอกล่ะ ฉัน...” เพาเผลอเกือบจะหลุดปาก แต่ยั้งไว้
หมิงเทียนมองเพกาด้วยความสงสัยมากขึ้นทุกที
“ฉันอะไร จะพูดอะไรก็พูดมา ท่าทางลับลมคมในตลอด บอกมานะ ไม่งั้นผมบีบคอคุณแน่”
หมิงเทียนใช้มือข้างเดียวมาแตะที่คอเพื่อเป็นการขู่ ใบหน้าใกล้ชิด สบตา เผชิญหน้ากับเพกาตาประสานดวงตา เพกาไม่กลัว จ้องตา เชิดหน้าสู้
“งั้นก็บีบเลยสิ ไหนคุณบอกว่าฉันหน้าเหมือนเมย์ลี มองหน้าฉันแล้วบีบมาเลย ฉันก็อยากรู้มานานแล้วว่า คุณจะฆ่าเมย์ลีลงไหม บีบสิ บีบเลย”
หมิงเทียนกับเพกามองหน้ากันราวกับจะประเมินความมั่นใจ เพกาสบตาไม่ยอมถอย ในที่สุด หมิงเทียนก็ใจเย็นลงยอมปล่อยมือจากคอเพกา
“ฮึ่ย”
หมิงเทียนเดินจากไปอย่างอารมณ์เสีย เพกาชักมีอารมณ์ยืนโวยวายอยู่คนเดียว
“คนอะไร อารมณ์แปรปรวน สามวันดีสี่วันร้าย ขอให้รู้ไว้ ฉันไม่ได้อยากอยู่นักหรอก”
ในวันเดียวกัน เพกาและซิ่วหลานกำลังจะออกนอกบ้าน อี่เหวินจอดรถรออยู่ สองสาวกำลังจะเดินมาขึ้นรถที่หน้าบ้าน
“ฉันจะแวะซื้อของส่วนตัวนิดหน่อยเท่านั้น” เพกาบอก
“ฮ่องกงเป็นเมืองชอปปิ้ง เรามีร้านแบรนด์เนมดังๆมากมาย คุณเดินเล่นสักหน่อยสิคะ”
“เราผ่านย่านชอปปิ้งด้วยหรือคะ”
“ค่ะ ใช้เวลาตามสบายเพราะซิ่วจะไปที่โรงพยาบาล คุณเยี่ยสั่งทำของอร่อยๆ ไปให้คุณหนูเพ่ยเพ่ย กลัวเธอจะทานอาหารของโรงพยาบาลไม่อร่อย”
ซิ่วหลานยกปิ่นโต และโถซุบที่ถือมาให้ดู
“ฉันไปเยี่ยมเธอด้วยดีไหมคะ”
“เอ้อ...” ซิ่วหลานมีสีหน้าลำบากใจ
“จะยิ่งทำให้เธอป่วยสินะ โอเคค่ะ ไม่ไปก็ไม่ไป”
ซิ่วหลานยิ้มอย่างเห็นด้วย เมื่อทั้งสองขึ้นรถ อี่เหวินก็ขับออกไป
ถนนสายชอปปิ้งในฮ่องกง เพกาเดินเที่ยวดูตามร้านรวงต่างๆ หลินเพ่ยกำลังเดินเล่นมาตามทางเช่นกันแต่มองไม่เห็นเพกาเพราะมัวแต่เดินดูของ
“เอ๊ะ นั่นมันคุณเพ่ยเพ่ยนี่นา ไหนบอกอยู่โรงพยาบาลไง”
หลินเพ่ยเดินเล่นต่อ เพกาแอบสะกดรอยตามไม่ให้เห็น
หลินเพ่ยกำลังชอปปิ้งสินค้าแบรนด์เนมและพูดคุยกับคนขายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม สบายใจเหมือนกำลังทำกิจวัตรปรกติ เพกาเดินตามแอบมอง
“เดินชอปปิ้งสบายใจเฉิบ เนี่ยหรือคนป่วย ถ่ายรูปไว้ดีกว่า”
เพกาเอามือถือมากดถ่ายวีดีโอเก็บไว้เป็นหลักฐาน
เวลากลางคืนวันเดียวกัน ซิ่วหลานเพิ่งมาจากโรงพยาบาล พอเดินเข้าบ้านมาก็เจอเพการออยู่แล้ว
“อ้าว คุณพิ้งค์กลับมานานแล้วหรือคะ”
“ค่ะ เอออาซิ่ววันนี้ไปเยี่ยม คุณเพ่ยเพ่ยเป็นไงบ้างคะ” เพกาถาม
“เจอแต่อาเป่านั่งเฝ้าหน้าห้องค่ะ เขาบอกว่าหมอห้ามเยี่ยมกลัวติดเชื้อ เป็นแค่โรคเครียด ติดเชื้อได้ยังไงไม่เข้าใจ สุดท้ายเลยฝากอาหารให้เป่าไปจัดการเอง”
เพกายิ้มเยาะเสียงความคิดดังก้องในใจ
“ยายเพ่ยเพ่ย คนขี้โกหก ติดเชื้อช่างช้อปน่ะสิ”
วันใหม่ เพกาทำตัวเหมือนพวกสายลับ ย่องมาตามทาง จนมาถึงหน้าห้องหลินเพ่ย แล้วมองซ้ายมองขวาแล้วเปิดประตูเข้าห้องไปทันที
ภายในห้องหลินเพ่ย เพกามองไปรอบๆห้อง
“ใครเข้ามาเจอเราอยู่ในห้องตอนนี้ ตายแน่ๆยัยพิ้งค์”
แล้วเพกาก็โดนสองแม่ลูกจับได้คาหนังคาเขา
“ยายขี้ขโมย ฉันจะเรียกตำรวจจับแก” เหม่ยอิงพูดขึ้น
“แกแอบเข้ามาขโมยของในห้องฉันใช่ไหม ฉันจะให้ตำรวจจับแกส่งตำรวจกลับเมืองไทยเดี๋ยวนี้”
เพกาเอาภาพจินตนาการออกจากความคิดแล้วตัดสินใจลุยต่อ
“เอาวะ ตายเป็นตาย”
เพกาเริ่มต้นค้นหาหลักฐาน เดินเข้าไปเปิดตู้นั่น ลิ้นชักนี่
เป่าหลินฮัมเพลงเถียนมีมี่มาตามทาง ที่มือเข็นรถที่มีราวเสื้อผ้าเล็กๆ มีเสื้อผ้ารีดเรียบร้อยแขวนอยู่จะมาส่งที่ห้องของเพ่ยเพ่ย
เพกาได้ยินเสียงเพลงเถียนมีมี่และราวเสื้อผ้าที่เคลื่อนมาตามทางก็ชะงัก
“มีคนมา ตายแล้ว ทำไงดี ทำไงดี”
เพการีบมองหาที่ซ่อน สายตาของเพกามองไปที่ห้องน้ำที่เปิดอยู่ พิจารณาว่าจะซ่อนในนั้นได้ไหม
เป่าเดินเเปิดประตูห้องเข้ามาในห้องเพ่ยเพ่ย เพื่อจะเอาเสื้อผ้าเข้ามาเก็บ เพกาซ่อนตัวแล้ว ไม่มีความความผิดปรกติใดๆในห้อง
เมื่อเป่าหลินเก็บเสื้อผ้าเข้าตู้จนหมดเรียบร้อย ก็เอะใจ...
“ทำไมห้องน้ำประตูปิด”
เป่าหลินเดินตรงไปที่ห้องน้ำ เปิดประตูออก
“ไม่เห็นมีใคร”
เป่าหลินเลิกสนใจ เข็นรถเข็นเดินออกจากห้องไปแล้วปิดประตูห้องลง
เพกาที่นอนอยู่ใต้เตียง ถอนใจรอดไปได้อย่างหวุดหวิด
“เฮ้อ เกือบไปแล้วไหมล่ะ”
เพกาออกมาจากใต้เตียงมองไปรอบๆ และเริ่มค้นหาหลักฐานต่อ
ในวันเดียวกัน เหวินเยี่ยนั่งตรวจงานเอกสารอยู่ในห้องทำงานเหมือนทุกวัน เหม่ยอิงเดินเข้ามา ด้วยท่าทางเอาเรื่อง
“คุณพี่คะ เพ่ยเพ่ยไม่ยอมกลับบ้าน ลูกยืนยันว่า บ้านเรามีสิ่งผิดปรกติ”
เหวินเยี่ยยังสนใจงานตรงหน้าของตนต่อไป ทำไป พูดไป
“เรื่องนี้อีกแล้ว ถ้าเชิญนักพรตมาปัดเป่า คนเขาจะมองบ้านเราว่าเป็นยังไง ฉันยอมไม่ได้”
“ที่ดิฉันจะบอกคุณพี่ก็คือ วิญญาณเมย์ลีถูกปลุกขึ้นมาเพราะผู้หญิงจากเมืองไทยคนนั้น คุณพี่ต้องให้ฉันจัดการกับมัน”
เหวินเยี่ยหยุดงานมองหน้าเหม่ยอิงแล้วคิด แต่ไม่ตอบ
“เอาเป็นว่า ดิฉันขออนุญาตจัดการเรื่องนี้เองแล้วกันนะคะ”
เหม่ยอิงพูดเอง เออเอง แล้วเดินออกไป
“อาอิงเธอจะทำอะไรน่ะ ฮึ่ย”
เหวินเยี่ยส่ายหน้าเบื่อหน่ายกับเรื่องจุกจิกในบ้าน
เหม่ยอิงและเป่าหลินต่างมีสีหน้ามุ่งร้ายเดินตรงไปที่ห้องดอกไม้ของเพกา ที่หน้าประตูห้อง เหม่ยอิงไม่สนใจว่าจะมีคนอยู่ในห้องหรือไม่
“อาเป่า เปิดเข้าไป”
“ค่ะ คุณนายรอง”
เมื่อเข้ามาในห้องได้ เหม่ยอิงก็ตะโกนสั่งอีก
“อาเป่า เอากระเป๋าเดินทางของมันมาเก็บข้าวของของมันทุกชิ้น ฉันจะพายายนั่นไปสนามบินส่งกลับเมืองไทยวันนี้”
“ได้ค่ะ”
เป่าหลินเปิดตู้แล้วลากกระเป๋าเดินทางออกมา หอบเสื้อที่แขวนไว้โยนโครมเข้าไปในกระเป๋าเดินทาง จากนั้นก็ลากกระเป๋าไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง กำลังจะใช้มือกวาดข้าวของบนโต๊ะลงไปในกระเป๋าแบบไม่แคร์ว่าของจะแตกไหม พอดีว่าเพกาเข้ามาในห้องพอดี ตะโกนบอก
“หยุดนะ อาเป่า นี่พวกคุณจะทำอะไร”
เหม่ยอิงเข้ามาด่า
“คนที่ปลุกวิญญาณผีเมย์ลีขึ้นมาก็คือเธอ กลับไปซะ วิญญาณเมย์ลีจะได้กลับลงสุสาน เพ่ยเพ่ยลูกสาวฉันจะได้กลับบ้าน”
“คนที่ให้ฉันมาคือคุณเจ้าเหวินเยี่ย คนที่มีสิทธิ์ไล่ฉันก็คือคุณเยี่ย”
“ฮึ เธอคงเห็นฉันเป็นแค่เมียรอง เธอคงคิดว่า อดีตนักร้องไนต์คลับอย่างฉันมันจะไปกล้าอะไร้ ถ้าฉันไม่แน่จริง ฉันไม่อยู่บ้านบ้าๆหลังนี้มาได้เป็นสิบปีหรอกอาเป่า ไปเชิญทุกคนมารวมกันที่ห้องชั้นล่าง ถ้านังคนนี้ยังอยู่ในบ้านนี้ต่อไป อย่ามาเรียกฉันว่าเหม่ยอิง”
“ค่ะ คุณนายรอง”
เพกาอึ้ง เริ่มรู้สึกหวั่นใจ
ทุกคนมารวมกันที่ห้องโถง มีเรื่องอีกแล้ว
“เธอจะให้ฉันไล่เขากลับเมืองไทยหรือ” เหวินเยี่ยถาม
เจิ้นหลุนยิ้มแห้งๆ วางกระเป๋าไว้ให้ตรงหน้าเพกาอย่างเกรงใจ
“นี่ครับกระเป๋าที่ลอยมาจากฟ้า”
ลี่ผิงมองเหม่ยอิงอย่างดูถูก
“ถึงกับอาละวาดเชียวหรือ แม่คนข้างถนน”
“ฉันทนเห็นลูกสาวฉันเป็นคนไข้โรคจิตอยู่ที่โรงพยาบาลไม่ได้อีกแล้ว คุณพี่ คุณนายใหญ่ เห็นใจฉันเถอะนะคะ ยังไงเพ่ยเพ่ยก็เป็นคนในครอบครัวเรา ส่วนแม่คนนี้ ก็แค่คนงานเท่านั้น”
“คุณเพกาเริ่มงานไปแล้ว คุณหย่งซานยังชมว่าเธอทำงานดี” ซิ่วหลานบอก
“ก็เอาคนอื่นมาทำสิ เอาคนที่หน้าไม่เหมือนเมย์ลี มันจะหาไม่ได้เชียวหรืออาซิ่ว คุณจิ้น คุณเหลียนทุกคนก็เจอผีมาด้วยตนเอง จะทนอยู่กับวิญญาณร้ายไปถึงไหนกันคะ”
เพกาก้มหน้ามือประสาน ตามองพรมตลอดเวลา ก็ส่งเสียงขึ้น
“ฮึๆ พรมห้องนี้สวยมากเลยนะคะ คงราคาแพงมากเลย แพงไหมคะคุณเยี่ย”
ทุกคนงง ไม่รู้ว่า เพกาจะมาไม้ไหน
“ถามทำไม พรมนี่ไปเกี่ยวอะไรด้วย” เหวินเยี่ยถาม
“ก็แค่สงสัย ซุกปัญหาไว้ใต้พรมราคาแพง มันซ่อนได้จริงหรือคะ”
ทุกคนอึ้งกับคำพูดปริศนาของเพกา
“ไม่ต้องมาเจ้าคารม จะพูดอะไรกันแน่”
“คนดีๆอย่างคุณเมย์ลีถูกฆ่าตายในบ้านตัวเอง หนังสือพิมพ์ลงข่าวครึกโครม พวกคุณคงอายมาก พวกคุณถึงพยายามลืมชื่อเมย์ลี พวกคุณทุกคนในที่นี้พยายามทำเหมือนเธอไม่มีตัวตน ไม่มีรูป ไม่มีการพูดถึงเธอ ทั้งๆที่เธอเป็นลูกหลานคุณแท้ๆ”
เพกามองหน้าทุกๆคนและยังพูดไปเรื่อยๆ อย่างไม่กลัวเกรง เหวินเยี่ยและทุกคนต่างตะลึงงันเหมือนถูกด่าพร้อมๆกัน
“นี่ แกกำลังด่าว่าพวกเราอยู่นะ คุณพี่ ดูมันสิคะ คนแบบนี้จะให้มันอยู่ต่อไปได้ยังไง ไล่มันไปซะ”
“ที่กลัวผีเมย์ลีน่ะ. เพราะคุณทำอะไรไว้กับเธอล่ะ”
เพกาถาม เหม่ยอิงอึ้งไป
หมิงเทียนที่ฟังอยู่หมดความอดทน ตบโต๊ะเสียงดัง เพราะเขายังคงต้องการปกป้องเมย์ลีอยู่เสมอ แม้กลายเป็นวิญญาณไปแล้วก็ตาม
“เลิกพูดเรื่องเมย์ลีเสียที เธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเมย์ลี หยุดพูดถึงคนที่เธอไม่รู้จักได้แล้ว”
เพกากำลังบ้าเลือดก็พูดเสียงดัง ในประโยคสำคัญที่ทำให้คนในบ้านทุกคนตะลึงยิ่งไปกว่าเก่า
“ใครบอกว่าฉันไม่รู้จัก ผีเมย์ลีตัวจริงไปหาฉันถึงที่เมืองไทย ถ้าวิญญาณของเธออยู่เป็นสุขดี เธอคงไม่ไปขอความช่วยเหลือฉันหรอก”
“ไปหาถึงเมืองไทยหมายความว่ายังไง” หมิงเทียนถาม
“กี่เพ้าชุดนั้น กี่เพ้าโบตั๋นสีแดงเลือดนก เมื่อฉันใส่มัน ฉันได้ติดต่อกับวิญญาณเมย์ลี วิญญาณของเธอเชื่อมโยงกับฉัน วิญญาณของเมย์ลีขอความช่วยเหลือฉัน ฉันถึงยอมมาที่นี่ มาเพื่อช่วยเธอ”
เพกาโพล่งทุกอย่างออกมาอย่างไม่มีสติ หารู้ไหมว่า สิ่งนี้จะนำเธอไปสู่อันตรายเพราะฆาตกรตัวจริงก็ได้ยินทั้งหมดไปด้วยและมองเพกาเป็นศัตรูทันที
“แบบนี้นี่เอง ความลับของเธอที่ฉันสงสัยมานาน”
“ฉันถึงรู้ว่าเมย์ลีถูกแทงตายในกี่เพ้าชุดนั้น พวกคุณทุกคนพยายามปกปิดเรื่องการตายของเธอ พวกคุณรู้สึกผิดสินะที่ปกป้องเมย์ลีไม่ได้ปล่อยให้เธอถูกฆ่าตายในบ้านหลังนี้”
เหวินเยี่ย ลี่ผิง จิ้นเจิน อวี้เหลียน ทุกคนต่างมีสีหน้าชวนน่าสงสัย
“สามหาวขึ้นทุกที แกมีสิทธิ์อะไรมาวิพากษ์วิจารณ์คนในบ้านนี้” เหม่ยอิงถาม
“พวกคุณพูดถึงผีที่มาหลอกหลอนคุณ แต่ฉันนี่แหล่ะที่บ้าตามผีตนนั้นมาที่นี่ ดวงตาที่น่าสงสารของผู้หญิงที่ฉันไม่เคยรู้จัก ความเจ็บปวดของเธอ ทำไมฉันต้องรู้สึกไปด้วยก็ไม่รู้. ยิ่งเวลาที่พวกคุณมองฉัน เหมือนมองเมย์ลี ฉันรู้สึกได้เลย คนในบ้านนี้ทุกคนทำให้วิญญาณของเธอไม่เป็นสุข”
“เธอเชื่อมโยงกับเมย์ลี ติดต่อกับวิญญาณของเมย์ลีได้จริงหรือ” ลี่ผิงถาม
“เชื่อมโยงได้มากกว่าผีปลอมที่พวกคุณเห็นก็แล้วกัน” เพกาบอก
“ผีปลอม ที่พวกเราเห็นคือผีปลอมงั้นหรือ” จิ้นเจินถาม
“ฉันเจอนี่ตอนวิ่งตามผี”
เพกาชูกิ๊บติดผมขึ้น
ภาพเหตุการณ์ตอนนั้นผุดขึ้นมาทันที - - เพกาเดินไปเปิดประตูห้องผัวะ เสียงฝีเท้าคนวิ่งพร้อมเงาวูบไหว แต่เพกามองไม่เห็นร่าง
“คนนี่”
เพกาเหยียบกิ๊บที่หล่นอยู่ ร้อง “โอ๊ย”
ทุกคนมองกิ๊บติดผมที่เพกาถืออยู่
“ของมีราคาแบบนี้ มีคนในบ้านนี้แค่สองคนที่ซื้อใช้”
ทุกคนมองมาที่เหม่ยอิงที่ร้อนตัวขึ้นมาทันที
อวี้เหลียนจำได้ โพล่งออกมา
“นี่มันของหนูเพ่ยเพ่ย”
กี่ เ พ้ า ตอนที่ 3(ต่อ)
เหม่ยอิงถลึงตาใส่ อวี้เหลียนกลัว รีบยกมือปิดปากทันที
“นั่นไง นึกแล้วไม่มีผิด ยังมีอีก”
เพกาว่าพลางชูมือถือของตัวเองขึ้นมาแล้วบอกอีก
“ในนี้มีคลิปวิดีโอที่ฉันถ่ายไว้เมื่อวาน ตอนที่คุณเพ่ยเพ่ยไปชอปปิ้งอย่างสุขสบาย ทั้งที่บอกทุกคนว่านอนอยู่ในโรงพยาบาล เปิดดูได้เลยค่ะคุณเยี่ย”
เพกายื่นให้ เหวินเยี่ยพยักหน้าให้อี่เหวินเปิดดู
เมื่อดูแล้ว อี่เหวินก็บอกกับเหวินเยี่ย
“คุณหนูเพ่ยเพ่ยจริงๆครับ”
เหม่ยอิงชี้หน้าเพกา
“แกหาว่าลูกฉันโกหกงั้นหรือ”
“เปล่า ฉันหาว่าลูกคุณปลอมเป็นผีเองแล้วมาสร้างสถานการณ์หลอกคนอื่นต่างหาก”
“แกใส่ร้ายลูกฉัน นังตัวดี”
เหม่ยอิงบุกเข้าไปตบหน้าเพกา เปรี้ยง เพกาเบ้หน้าด้วยความเจ็บ
“ฉันจะเอาเรื่องแก”
เหม่ยอิงทำท่าจะตบตีเพกาอีก หมิงเทียนเข้าไปปกป้องจับมือเหม่ยอิงไว้
“หยุดนะ คุณน้าไม่มีสิทธิ์ทำอย่างนี้”
“คุณชายรอง เพ่ยเพ่ยเป็นน้องคุณนะ นังคนนี้เป็นคนอื่น ปกป้องมันทำไมมันก็แค่คนโกหก”
“ฉันไม่ได้โกหก ฉันยังมีหลักฐานสำคัญอีก”
ทุกคนตะลึงต่อ
เพกาเดินนำทุกคนเข้ามาในห้องของหลินเพ่ย
“ฉันนึกสงสัยก็เลยแอบเข้ามาในห้องนี้”
เมื่อเพกาเข้ามาที่ห้องของหลินเพ่ย และแอบที่ใต้เตียงจนเป่าหลินออกจากห้องไปแล้ว เพกาก็ค้นของต่อ เพกาเปิดลิ้นชักอันหนึ่งก็เจอกับของที่ต้องการ
เพกาเปิดลิ้นชักให้ทุกคนได้เห็นพร้อมกัน เพกาหยิบชุดขาวและหน้ากากผีออกมาโชว์ให้ทุกคนดู
“นี่ไงคะ หลักฐานว่าคุณเพ่ยเพ่ยปลอมเป็นผี”
เหม่ยอิงหน้าซีดมีพิรุธมองเหวินเยี่ยที่โวยวายลั่น
“อาอิง นี่มันหมายความว่ายังไง”
“คุณพี่ นี่คุณพี่เชื่อมันหรือ ทุกคนเชื่อเรื่องที่มันพูดงั้นหรือ มันเป็นแค่คนงานนะ”
ลี่ผิงชี้หน้าด่าเหม่ยอิง
“หนอย เหม่ยอิง นี่เธอบังอาจเล่นละครหลอกคุณพี่ หลอกฉัน เห็นพวกเราโง่มากหรือไง”
“ไม่จริง ไม่จริง คุณพี่ให้ความยุติธรรมกับฉันด้วย”
“เรื่องนี้มันเริ่มต้นที่เห็นผี งั้นฉันก็จะถามคนที่เห็นผีให้เขาเป็นคนตัดสินแล้วกันว่า เขาจะเชื่อใคร หลุนไปเอามาดู”
เพการีบเอาหลักฐานแจกไป ทุกๆคนที่เห็นผีรับชุดไปพิจารณา แล้วครุ่นคิดตามความจำของตนเอง หลุนรับชุดไป
“โอโหชัดเลย ชัด” เจิ้นหลุนบอก
เจิ้นหลุนส่งชุดให้ซิ่วหลาน
“ผีที่ซิ่วเห็นก็ใส่ชุดสีขาวแบบนี้ค่ะ”
ซิ่วหลานส่งให้อวี่เหลียน
“ชุดแบบนี้ที่เราเห็นใช่ไหมคะคุณ”
“ว่าไง อาจิ้น” เหวินเยี่ยถาม
จิ้นเจินครุ่นคิด มองหน้าเหม่ยอิงด้วยแววเกรงใจ แล้วหลบตาพยักหน้าตอบ
“ครับพี่เยี่ย”
“คุณจิ้น” เหม่ยอิงร้องขึ้น
“นี่หมายความว่าทุกคนยืนยันหมดเลยหรือ” หมิงเทียนถาม
“ซิ่วไม่เคยเชื่ออยู่แล้วว่าสิ่งที่เห็นคือคุณเมย์ลี” ซิ่วหลานบอก
“ผมเป็นพวกกระต่ายตื่นตูม ตอนที่ผมเห็นผมมัวแต่ตกใจ” เจิ้นหลุนบอก
“ชุดแบบนี้ ที่จริงเมย์ลีไม่เคยใส่ ถ้าจะเป็นผี ก็ควรจะมาในชุดอื่นที่เป็นตัวเธอมากกว่านี้” อวี้เหลียนบอก
“ผมขอโทษครับพี่เยี่ย ผมเป็นผู้ใหญ่ ผมไม่ควรเชื่ออะไรง่ายๆ” จิ้นเจินบอก
เหม่ยอิงโวยวายลั่น ด่ากราด
“บ้าๆ บ้าไปแล้วทุกคน เพ่ยเพ่ยก็เป็นลูกหลานพวกคุณ แล้วนังผู้หญิงคนนี้มันก็แค่หน้าเหมือนเมย์ลี ทำไมทุกคนต้องไปเข้าข้างมันด้วย”
“น่าสมเพช เธอสองคนแม่ลูกควรให้หมอไปเช็คประสาทดูบ้างนะ ลุกขึ้นมาสร้างเรื่อง เพื่อไล่ผู้หญิงคนเดียว พวกเธอมันบ้า ฉันจะไม่เสียเวลากับเรื่องไร้สาระพรรค์นี้อีก”
ลี่ผิงด่าเสร็จลุกเดินหนีไปทันทีโดยไม่อยากสนใจอีก เหม่ยอิงยังพูดกับเหวินเยี่ย
“คุณพี่ ชุดนี้เพ่ยเพ่ยอาจจะเอาไว้ใส่ไปงานแฟนซีวันฮาโลวีน เด็กวัยรุ่นน่ะมีชุดพวกนี้ทุกคนนั่นล่ะ”
เหวินเยี่ยตัดสินใจพูด
“แต่ไหนแต่ไร ฉันไม่เคยเชื่อเรื่องผีนี่อยู่แล้ว ถ้าไล่ผู้หญิงคนนี้ไปก็เท่ากับยอมรับว่าวิญญาณของเมย์ลีมีอยู่จริง ไม่มีทาง คนตายไปแล้วคือคนตาย อย่าพูดเรื่องวิญญาณเมย์ลีขึ้นมาอีก ใครพูดฉันจะตัดเงินเดือน ได้ยินไหม”
เหวินเยี่ยลุกหนีตามลี่ผิงไปอีกคน เพกายิ้มดีใจ เหม่ยอิงเดินตามและพยายามจะรบเร้าบอกสามีอีก
“ไม่ ไม่คุณพี่ แล้วลูกเพ่ยเพ่ยที่ยังอยู่ในโรงพยาบาลล่ะคะ คุณพี่ต้องไล่นังเพกาออกไปนะคะ ไม่งั้นลูกเพ่ยเพ่ยจะกลับบ้านได้ยังไง คุณพี่คะคุณพี่”
เหวินเยี่ยไม่สนใจเดินออกไปจริงๆ เหม่ยอิงตกใจมาก ก่อนจะหันมามองเพกาอย่างโกรธแค้น เพกายิ้มสะใจกับซิ่วหลาน ก่อนจะหันไปสบตาเหม่ยอิง เพกามองตอบอย่างผู้ชนะ
เหม่ยอิงมองตอบแววตาชัดเจนว่าฝากไว้ก่อน
ในเวลาต่อมา เพกาเอามือจับแก้มเดินเข้ามาในห้องนอนมาดูตัวเองในกระจกยาวข้างเตียง
“โอ๊ยเกิดมาเพิ่งเคยโดนตบ เจ็บชะมัดเลย”
ประตูห้องถูกเปิดออก หมิงเทียนเดินเข้ามาแล้วปิดลง เพกาได้ยินเสียงคนเปิดประตูเข้ามา ก็มั่นใจว่าเป็นซิ่วหลานจึงพูดโดยไม่ได้หันไปมอง
“อาซิ่ว ช่วยเอาผ้าห่อน้ำแข็งมาให้ฉันที ฉันจะประคบแก้ม”
หมิงเทียนเดินตรงเข้าไปที่ตู้เย็นเล็กๆในโถงห้องนอนนั้น เอาผ้าเช็ดหน้าตนห่อน้ำแข็งมาแล้วเดินมาหา เพกานั่งลงบนเตียงในห้องนอน
“มีแต่คนไม่อยากให้เราอยู่ที่นี่ เอาไงดีล่ะพิ้งค์”
เพกาหลับตาลงอย่างเหนื่อยหน่าย
หมิงเทียนเดินเข้ามา มือของหมิงเทียนยื่นผ้าห่อน้ำแข็งมาประคบที่แก้มเพกา เพกาลืมตา
“ขอบใจอาซิ่ว”
เพกาพอเห็นหน้าจึงชะงัก
“คุณหมิงเทียน”
หมิงเทียนมองมาแต่ไม่ยอมปล่อยมือ ตาสบตา มือประคองที่มือกันและกันบริเวณปากของเพกา คราวก่อนร้าย วันนี้กลับมาดีอีกแล้ว เพกาอึ้งตะลึงนานเท่านาน
“คุณหมิงเทียน”
สักครู่เพกาเดินลุกหนี
“ขอบคุณค่ะ”
“คุณรู้มั้ย วันนี้สิ่งที่สั่นประสาทคนในบ้านนี้ไม่ใช่ละครฉากใหญ่ ไม่ใช่การอาละวาดของคุณอิง ไม่ใช่ผีปลอม แต่คือผีจริงที่คุณเล่าต่างหาก”
เพกางง แล้วคิดตาม
“กี่เพ้าชุดนั้น กี่เพ้าโบตั๋นสีแดงเลือดนก เมื่อฉันใส่มัน ฉันได้ติดต่อกับวิญญาณเมย์ลี วิญญาณของเธอเชื่อมโยงกับฉัน วิญญาณของเมย์ลีขอความช่วยเหลือฉัน ฉันถึงยอมมาที่นี่ มาเพื่อช่วยเธอ”
ความคิดเพกาที่ครุ่นคิดตาม
“จริงด้วย เราไม่น่าพูดแบบนั้นออกไปเลย ถ้าเกิดฆาตกรอยู่ในคนกลุ่มนั้น เขารู้ว่าเราติดต่อเมย์ลี เขาอาจจะกลัวความจริงเปิดเผย เขาอาจจะฆ่าปิดปากเราก็ได้”
เพกาคิดตามแล้วขนลุก นึกกลัว ประโยคเหล่านี้ทำให้สถานการณ์ของเพกานับจากนี้ไปเข้าตาจน เพราะฆาตกรก็จะมุ่งร้ายไปที่เมย์ลีทันทีนับจากนี้
จากเหตุการณ์ในห้องโถง … ทุกคนต่างแยกย้ายกันอยู่ในมุมต่างๆของบ้าน เริ่มมีปฏิกิริยา อาการของแต่ละคนคือหน้าเครียด คิดมาก
ภายในห้องนอน เหม่ยอิงกำหมัดแน่นด้วยความแค้น
“หนอย คิดจะมาหาฆาตกรฆ่าเมย์ลีงั้นหรือ ฮึๆๆ”
ส่วนอวี้เหลียนเดินไปมาครุ่นคิด ดูมีแววกังวลใจ
“คุณเพกามาที่นี่เพราะวิญญาณเมย์ลีขอความช่วยเหลือเธอ...อืม”
บริเวณเฉลียงหน้าบ้าน จิ้นเจินเดินมานั่งคิด
“วิญญาณเพกาเชื่อมโยงกับวิญญาณเมย์ลี เชื่อมโยงยังไง มันหมายความว่าอะไร”
ภายในห้องทำงานในบ้าน เหวินเยี่ยนั่งเขย่าเก้าอี้ขึ้นลง สีหน้าแสยะ ดุ กำกวมและมีเลศนัย
“เมย์ลีบอกอะไรกับเพกาเรื่องฆาตกร ไม่จริง ผีไม่มีจริง คนตายก็คือคนตาย”
ภายในห้องพิพิธภัณฑ์ ซิ่วหลานยืนมองชุดกี่เพ้าตัวอื่นในตู้
“กี่เพ้าชุดนั้นปลุกวิญญาณคุณเมย์ลี ทำให้คุณเมย์ลีกลับคืนสู่ตระกูลเจ้างั้นหรือ”
ภายในห้องดอกไม้ หมิงเทียนยังคุยกับเพกาอย่างต่อเนื่อง การประเมินอย่างถูกจุดของหมิงเทียนสอดคล้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้
“คนในบ้านหลังนี้ทุกคนจะอยู่ไม่เป็นสุขนับจากนี้ นับจากวันที่เขารู้สึกว่า วิญญาณเมย์ลียังอยู่”
“หมายความว่ายังไงคะ”
“แม้แต่ตัวคุณเอง คุณจะไม่ใช่แค่คนหน้าเหมือน แต่คุณคือคนที่ติดต่อกับวิญญาณเมย์ลีได้ คุณรู้ไหม สิ่งนี้จะนำอะไรมาสู่คุณบ้าง”
“นำอะไรมาสู่ คุณหมายถึงอันตรายจะมาสู่ฉันงั้นหรือคะ”
เพกามีสีหน้าตระหนก เพราะแม้แต่หมิงเทียนก็ยังยืนยันในสิ่งที่ตนกังวลใจ
“ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่เชื่อว่าผีมีจริง ถึงนาทีนี้ผมก็ยังไม่เชื่อ แต่หากคุณยังยืนยันว่า เรื่องที่คุณเล่าเป็นเรื่องจริง ก็กลับเมืองไทยไปซะ อย่าอยู่ที่นี่อีกเลย”
สีหน้าหมิงเทียนมองอย่างมั่นคง จริงใจ จริงจัง จนเพกาหวั่นใจ !
ภายในห้องครัว กลุ่มคนใช้กินของว่างไป คุยกันไป
“ไอ้เราก็นึกโล่งใจตอนคุณพิ้งค์แกบอกว่าเป็นผีปลอม แต่ไปๆมาๆ ผีที่แกเล่าว่า มาหาแกน่ะ น่ากลัวกว่าผีที่เราเจออีก” เจิ้นหลุนว่า
“คุณพิ้งค์บอกว่า ผีคุณหนูเมย์ลีมาขอความช่วยเหลือ ขออะไรน่ะอาซิ่ว” อี่เหวินถาม
ซิ่วหลานดูนิ่งลงนัยน์ตาเครียดไม่ตอบ
“ไปฟังคนบ้าพรรค์นั้น นึกอยากสร้างเรื่องโกหก เรียกร้องความสนใจน่ะสิ” เป่าหลินว่า
“ฮึ พูดออกมาเองนะ สร้างเรื่องโกหกเรียกร้องความสนใจ เฮอะๆ ฟังแล้วดูไม่ใช่คุณพิ้งค์”
เป่าหลินร้อนตัวกับสายตาของซิ่วหลาน
”ก็คุณนายรองบอกแล้วไงว่า คุณเพ่ยเพ่ยไม่ได้โกหก ถ้าโกหกจะไปนอนโรงพยาบาลทำไม”
“ยังจะเถียงข้างๆคูๆ วันแรกที่คุณพิ้งค์มา คุณนายรองก็ให้เอากระจกคุณหนูเมย์ลีไปให้เธอ จะขู่ให้เธอกลัวผีในห้องตัวเอง ถูกไหม” ซิ่วหลานถาม
เป่าหลินมีดวงตาเลิ่กลั่กมีพิรุธชัดเจน แต่ยังปากแข็งโวยวายเถียงต่อ
“พูดอะไรก็ไม่รู้ ไปดีกว่า”
“ที่มาร้องไห้หน้าห้องคุณพิ้งค์ แกไปยืนอยู่ด้วยกับคุณเพ่ยเพ่ยเจ้านายแกใช่มั้ย”
เจิ้นหลุนถามคาดคั้น
เป่าหลินหลบหน้าจะเดินหนีไปอีกทาง อี่เหวินเข้ามาล้อมอีกคน
“ที่ลับๆล่อๆในสวน ที่ไปเปิดปิดไฟในโรงรถ ที่เอาดอกโบตั๋นไปโรยน่ะ คุณเพ่ยเพ่ยทำเองได้ที่ไหน แกช่วยทั้งนั้นใช่ไหมล่ะ”
เป่าหลินผลักอี่เหวินแล้วปากแข็งโวยวายเถียงต่อ
“โอ๊ย พวกแกมันคนทรยศ เป็นคนงานบ้านตระกูลเจ้าแท้ๆ กลับไปเข้าข้างคนอื่นใส่ร้ายคุณหนู"
“แกน่ะสิ คนขี้อิจฉา แกล้งคุณเมย์ลีไม่พอ มาแกล้งคุณเพกา” ซิ่วหลานว่า
“นังซิ่วหลาน”
เป่าหลินเงื้อมือจะตบ แต่ซิ่วหลานไวกว่า ตบก่อนจนอีกฝ่ายเซไป
“นี่แก แกตบฉันก่อนหรือ”
“แกไม่ได้มีมืออยู่คนเดียวนี่หว่า”
“หนอยนังซิ่ว อย่าอยู่เลย”
เป่าหลินพุ่งเข้ามา แต่อี่เหวินรีบขวางไว้
“เฮ้ยพอๆ”
“อาอี่ เฮียหลุน นี่แกสองคนจะเข้าข้างอาซิ่วหรือ” เป่าหลินบอก
“โฮ้ย เฮียไม่เกี่ยว เฮียไม่เข้าข้างใครทั้งนั้น เฮียเป็นกลาง เป็นผู้ใหญ่แล้วต้องยุติธรรม อุ๊ยสะดุด"
เจิ้นหลุนที่ยกชามเฉาก๊วยอยู่ก็แกล้งทำสะดุด ยกถ้วยใส่เฉาก๊วยคว่ำกลางกบาลเป่าหลิน
“อี๊ เฮียหลุน”
“อุ๊ยๆ เฉาก๊วยหลุดมือไปได้ไงเนี่ย ไม่เป็นไร ปัดออก ปัดออก”
ปากบอกว่าปัดออก แต่มือเจิ้นหลุนกลับเข้าไปยีเฉาก๊วยที่กองอยู่บนหัวเป่าหลินจนเละเทะไปทั้งหัว
“อ๊ายปัดภาษาอะไรเละหมดแล้วเนี่ย”
“เฮ้ยปัดออกให้จริงๆ ปัดใหม่ ปัดใหม่”
เจิ้นหลุนบอกแล้วก็ยีเนื้อเฉาก๊วยกดลงหัวให้เละลงไปอีก
“อี๊ ปล่อยปล่อย อย่ามายุ่งกับหัวฉัน ปล่อย”
เป่าหลินดิ้น แน่เจิ้นหลุนไม่ยอมปล่อย ยังคงยีเฉาก๊วยบนหัวต่อไป อี่เหวินกับซิ่วหลานแอบขำ
วันใหม่เวลากลางวัน เจิ้นหลุนหิ้วกระเป๋าใบเล็กเดินตามเหม่ยอิงและหลินเพ่ยที่เพิ่งกลับมาจากโรงพยาบาลมาอยู่ที่บ้าน
เหวินเยี่ย หมิงเทียน อวี้เหลียน และเป่าหลินรอต้อนรับ
“กลับมาแล้วหรือคะคุณหนู” เป่าหลินทักทาย
“กลับมาก็ดีแล้ว อยู่ที่ไหนจะสบายเหมือนบ้านเราไม่มีหรอก” เหวินเยี่ยบอก
หลินเพ่ยเข้าไปกอดผู้เป็นพ่อ แล้วทักทายหมิงเทียน
“พี่รอง”
หมิงเทียนจับหัวอย่างเอ็นดูแล้วปลอบไปตามน้ำ
“อยู่บ้านเถอะนะ ไม่มีอะไรแล้ว”
“คุณพี่คะ ดิฉันขอยืนยันอีกครั้ง เพ่ยเพ่ยไม่ได้โกหก ไม่ได้เล่นละครอะไรทั้งนั้น”
“เชื่อจ้ะเชื่อ แหมเรียนจบมาตั้งนาน ทำตัวเป็นคนว่างงาน อ้างว่า หางานที่เหมาะไม่ได้ ตอนนี้น่าจะหาได้แล้วนะ อาชีพอะไรดีนะอาหลุน” ลี่ผิงว่า
“ดารารางวัลม้าทองคำครับ”
เจิ้นหลุนแกล้งทำเป็นหลุดปาก จนลี่ผิงหัวเราะสะใจ หลินเพ่ยกับเหม่ยอิงถึงกับหน้าเสียละอายใจ เจิ้นหลุนเข้าไปยืนกระซิบเป่าหลิน
“โรงพยาบาลเดี๋ยวนี้ให้บริการดีอย่างกับโรงแรม ให้นอนเล่นๆก็ได้ ออกไปชอปปิ้งก็ไม่ว่าด้วยนะ”
“อาหลุน นี่แน่ะ”
เป่าหลินเหยียบเท้าเจิ้นหลุนจนร้อง “โอ๊ย”
หลินเพ่ยเดินมากระแทกตัวลงนั่งในห้องด้วยอารมณ์ หงุดหงิดมาก เช่นเดียวกับเหม่ยอิง
“แค้นพวกมันจริงๆ ไล่นังเพกาไม่สำเร็จ ยังถูกพวกมันเยาะเย้ยอีก” หลินเพ่ยว่า
“นังนี่มันร้ายกว่าเมย์ลีหลายเท่า หนอยกล้าเข้ามาค้นของถึงในห้องนี้”
“เพ่ยเพ่ยจะฆ่ามันให้ตาย ตายตามเมย์ลีไปเลยคอยดู๊ คอยดู”
หลินเพ่ยทุบลงบนเก้าอี้ข้างๆ ด้วยความแค้นใจ
เวลาอาหารเย็น สมาชิกส่วนใหญ่ทยอยกันมานั่งรอแล้ว เหล่าคนใช้ก็พร้อมทำหน้าที่อยู่ข้างหลังเช่นกัน เหวินเยี่ยเดินเข้ามา ทุกคนยืนต้อนรับ เหวินเยี่ยนั่งลง และบอกให้ทุกคนนั่งลงได้
“เหม่ยอิงกับเพ่ยเพ่ยมาพอดี”
หลินเพ่ยกับเหม่ยอิงค่อยๆเดินเข้ามา หลินเพ่ยไม่พูดไม่จาเดินตรงมาหาเพกาที่นั่งอยู่แล้วเอาน้ำในแก้วสาดเข้าที่หน้า
“นี่แน่ะ กล้ามาค้นห้องฉันหรือ”
“อืมม์ น้ำสาด คลาสสิกกว่าที่ฉันจินตนาการไว้อีกนะเนี่ย”
ลี่ผิงลุกขึ้นยืนโวยวายเพ่ยเพ่ย
“เพ่ยเพ่ย เสียมารยาทกับแขกได้ยังไง”
“แขกที่เข้าไปค้นของในห้องเจ้าของบ้าน เขาไม่เสียมารยาทหรือไง ไล่มันออกไปเลยค่ะคุณพ่อ”
บรรยากาศของบ้านเข้าสู่ความตึงเครียดอีกครั้ง
“ที่จริง ถ้ามีความละอายก็ควรจะคิดได้เองนะ ทำตัวเป็นปัญหาขนาดนี้ น่าจะย้ายออกไปตั้งนานแล้ว หน้าด้านแบบนี้ หรือว่าโดนน้ำสาดจะน้อยเกินไป”
เหม่ยอิงพุ่งเข้าไปจะตบเพกา แต่หมิงเทียนลุกขึ้นขวางอีก หมิงเทียนพูดด้วยเสียงดุ ตาแข็งกร้าว
“หยุดนะ คุณนายรอง”
“คุณชายรอง นี่ครั้งที่สองแล้วนะที่คุณปกป้องมัน”
“พี่รอง นี่พี่ก็เข้าข้างมันหรือคะ”
เพกามองหมิงเทียนอย่างขอบคุณ หมิงเทียนเสียงอ่อนลงลดท่าทางแข็งกร้าว
“ผมแค่คิดว่าการใช้กำลังไม่ได้ช่วยอะไร”
“ทุกคนไม่เชื่อเรื่องผีที่เพ่ยเพ่ยบอก แล้วทำไมผีของของนังเพกาทุกคนถึงเชื่อล่ะคะ ถามหน่อย ที่บอกว่าผีเมย์ลีมาขอความช่วยเหลือจนหล่อนต้องมาที่นี่น่ะ เขาขอให้ช่วยเรื่องอะไร”
เพกาเงียบไม่อยากพูดเรื่องนี้ เสียงความคิดพยายามเตือนสติตัวเอง - - “อย่าพูดนะยายพิ้งค์”
“ทำไมคราวนี้ ทำเงียบล่ะแม่คนเก่ง ยอมรับมาเถอะ ว่าเธอน่ะโกหก”
เพกาโดนยั่วเลยโมโห หลุดออกมาอีก
“ฉันมาสืบเรื่องการตายของเมย์ลี หรืออาจหมายถึง ฆาตกรที่ฆ่าเมย์ลี”
“เหลวไหล ใครๆก็รู้ตั้งนานแล้วว่าฆาตกรที่ฆ่าเมย์ลีคือใคร” หลินเพ่ยบอก
เพการู้สึกงงกับข้อมูลใหม่
“พวกคุณรู้หรือคะ”
เพกามองไปทางซิ่วหลานที่พยักหน้ารับ
“เขาชื่อเหว่ย เหลียงเหว่ยเหอ ตำรวจพบหลักฐานว่า เขาลอบเข้ามาในบ้านแล้วขึ้นไปพบกับคุณเมย์ลีเป็นคนสุดท้าย”
“เหว่ย ชื่อเหว่ยหรือคะ”
ดูเหมือนว่า การจัดการหาตัวฆาตกรให้เมย์ลีดูจะวุ่นวายขึ้นเรื่อยๆ
เวลาเดียวกัน ประตูคฤหาสถ์ตระกูลเจ้าถูกเปิดออกด้วยลวดเส้นเล็กๆเส้นหนึ่ง ชายคนหนึ่งสวมหมวกแก๊ปบังหน้าเดินเข้ามาในสวน แววตาของเขามุ่งหมายร้าย เขามองซ้ายมองขวาและแอบย่องต่อไป เพื่อจะเข้าไปในตัวบ้าน
เหลียงเหว่ยเหอระหว่างการหนีการจับกุม บังเอิญได้ข่าวเรื่องกี่เพ้าสีแดงก็เลยต้องการมาแอบดูความเคลื่อนไหวของคนในตระกูลเจ้า
ในห้องอาหาร การพูดคุยยังเข้มข้นต่อเนื่อง
“คิดจะปั้นเรื่องหลอกชาวบ้าน ไม่รู้จักศึกษาให้ดีพอ เหว่ยมันมีเรื่องกับยายเมย์ลีมาตั้งนานแล้ว มันเคยเข้านอกออกในบ้านนี้คืนวันที่เกิดเรื่องมันลอบเข้ามาเพื่อฆ่าเมย์ลี เพราะเหตุผลส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับคนในบ้านนี้สักหน่อย”
“เหตุผลส่วนตัว เหตุผลอะไรคะ”
เหวินเยี่ยตบโต๊ะ เพราะพูดเรื่องเหว่ยทีไรจะต้องไปเกี่ยวพันกับเรื่องเกย์ ซึ่งเหวินเยี่ยทนไม่ได้ จึงโวยเสียงดังตัดบท
“ไม่ใช่เรื่องของเธอ อย่าพูดชื่อไอ้คนชั่วนั้นในบ้านหลังนี้ นี่คือคำสั่ง”
“ตำรวจเขารวบรวมหลักฐานปิดคดีไปตั้งนานแล้ว เสียแต่ว่า ยังจับตัวอาเหว่ยไม่ได้เท่านั้นเอง เรื่องของเมย์ลีก็มีแค่นี้แหล่ะ ส่วนที่เกินไปจากนี้ หล่อนสร้างขึ้นมาเองมากกว่า” เหม่ยอิงบอก
เพกา งง มึนตึบ เสียงความคิดแทรกขึ้น
“รู้ตัวฆาตกรมาก่อนแล้ว คุณเมย์ลีแล้วคุณจะให้ฉันช่วยอะไรอีก ให้ช่วยจับนายเหว่ยเนี่ยหรือ ฉันไม่ใช่เอฟบีไอนะ ฮือ"
ที่ด้านนอก อี่เหวินเดินมาเจอเหลียงเหว่ยเหอเข้าพอดี
“เฮ้ย เอ็งเป็นใครวะ”
ที่ด้านในจิ้นเจินได้ยินเสียงอี่เหวินก็มองไปที่หน้าต่างที่เห็นแต่เงาของเหว่ย
“ใครน่ะ”
จิ้นเจินรีบวิ่งออกไป ตามด้วยหมิงเทียนและคนอื่น
กี่ เ พ้ า ตอนที่ 3(ต่อ)
เหลียงเหว่ยเหอพุ่งเข้ามาหาและชกอี่เหวิน ทั้งคู่ชกตอบกันไปมาอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เจิ้นหลุน จะวิ่งเข้ามาเจอ
“อาเหว่ย หนอย”
เจิ้นหลุนมัวแต่ยืนตั้งท่าบรู๊ซลี ร้องย้ากส์ เมื่อเหลียงเหว่ยเหอเอาชนะอี่เหวินได้ก็วิ่งเข้ามาถีบเจิ้นหลุนจนกระเด็นไปลงไปกองจุกไอแค่กๆอยู่กับพื้นอย่างง่ายดายก่อนที่จะวิ่งหนีออกไปทางประตูที่แอบเปิดเข้ามา
หมิงเทียนและจิ้นเจิน วิ่งมาช่วยประคองตัวอี่เหวินและเจิ้นหลุนขึ้นนั่ง คนอื่นๆ จึงค่อยๆวิ่งออกมาสมทบ
“อาเหว่ยครับ อาเหว่ยแอบเข้ามาในบ้านเรา” อี่เหวินบอก
จิ้นเจิน หมิงเทียนวิ่งไปในสวน ซิ่วหลาน เป่าหลิน อวี้เหลียนวิ่งเข้าไปในบ้านแยกย้านกันไปดู
“ตัวบ้านติดสัญญาณกันขโมยทุกประตูเข้าออก ทำไมสัญญาณถึงไม่ดัง" เหวินเยี่ยถาม
"เอ่อ ผมกับอาหลุนเห็นว่ายังหัวค่ำ เลยไม่ได้เปิดสัญญาณกันขโมยครับ" อี่เหวินบอก
"สะเพร่ามาก เกิดมันมีอาวุธ คนในบ้านได้ตายกันหมด สัญญาณกันขโมยที่ฉันติดตั้งไว้ ไร้ประโยชน์"
อี่เหวินหน้าถอดสี ไม่มีคำตอบ
เพกายืนตะลึง หลินเพ่ยเข้าไปยิ้มเยาะตอกย้ำ
“เหว่ยเหอ ฆาตกรที่ฆ่าเมย์ลีไงล่ะ อยากจับไม่ใช่เหรอ ตามไปจับสิ”
เพกายืนงงต่อ ลี่ผิงถาม
“อาอี่ อาหลุน ตอนที่เจออาเหว่ยมันทำอะไรอยู่”
“มันยืนอยู่ตรงหน้าห้องอาหาร น่าจะยืนมาสักครู่แล้ว ไม่รู้มันต้องการอะไร” อี่เหวินบอก
“ยืนตรงนี้ไม่ได้ห่างมาก มันต้องได้ยินเสียงที่เราคุยกันแน่ เราคุยกันเรื่องของมันพอดี” เหม่ยอิงว่า
หลินเพ่ยคิดตามแม่แล้วบอก
“ใช่คุยกันเรื่องยายเพกาคิดจะจับฆาตกร ตามคำสั่งของผีเมย์ลีเฮอะๆๆ”
“คุณหัวเราะอะไร” เพกาถาม
หลินเพ่ยแววตาร้ายตอบ
“อาเหว่ยมันเป็นคนร้ายฆ่าเมย์ลี เธอคิดจะจับมันแสดงว่าเธอเป็นศัตรูกับมัน ที่สำคัญ เธอหน้าเหมือนเมย์ลี มันเกลียดเมย์ลีที่สุด มันก็ต้องคิดอยากฆ่าเธอเหมือนที่ฆ่าเมย์ลีไงล่ะ ฮะฮะฮ่า ฮะฮะฮ่า ตาย”
เพกามีสีหน้าปริวิตกทันที นี่ภัยมาถึงตัวแล้วหรือนี่
ในเวลาต่อมา เพกาเดินหน้าตาตื่นเข้ามาในห้อง นึกถึงเมื่อตอนที่แทนไทจับมือของเธอแล้วทายทัก
“อาไม่ได้รู้ทุกอย่าง อารู้แต่ว่า ชีวิตหนูในช่วงนี้กำลังมาถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ” แทนไทว่า
“ดีหรือไม่ดีคะ” พร้อมถาม
“ดีที่สุดและแย่ที่สุด”
“คุณพระช่วย”
คำพูดของหลินเพ่ยยังก้องดังในหู
“อาเหว่ยมันเป็นคนร้ายฆ่าเมย์ลี เธอคิดจะจับมันแสดงว่าเธอเป็นศัตรูกับมัน ที่สำคัญ เธอหน้าเหมือนเมย์ลี มันเกลียดเมย์ลีที่สุด มันก็ต้องคิดอยากฆ่าเธอเหมือนที่ฆ่าเมย์ลีไงล่ะ ฮะฮะฮ่า ฮะฮะฮ่า”
เพกาคิดแล้วก็พึมพำกับตัวเอง
“ชะตาขาดแน่ยายพิ้งค์เอ๊ย”
เช้าวันใหม่มาถึง บริเวณโถงตระกูลเจ้า คนในบ้านรอตำรวจกลับมาแจ้งที่ไปตามล่าตัวเหลียงเหว่ยเหอ เพกาได้แต่โผล่หน้ามาแอบดูแต่ไม่กล้าเข้าไปแจม
เหวินเยี่ยมองออกไปที่สวนแล้วพูดขึ้น
“ตำรวจไปนานแล้วได้เรื่องหรือเปล่าก็ไม่รู้”
อวี้เหลียนหันไปเห็นเพกาเข้าพอดี
"ยืนหลบอยู่ทำไมคะคุณเพกา เข้ามาสิคะ"
ทุกคนหันไปมองเพกาเป็นสายตาเดียว เพกาเผ่นไม่ทันเลยต้องเข้าร่วงวงด้วย
"คือ ฉันมาดูว่ามีอะไรคืบหน้าไหม" เพกาพูดหน้าหงอ ไม่กล้าพูดอะไรมาก
"ตำรวจออกไปหาหลักฐานอยู่ครับ” จิ้นเจินบอก
เจิ้นหลุนพาตำรวจกลับมา ตำรวจบอกว่า
"คนร้ายทิ้งรองเท้าไว้ข้างหนึ่งคาดว่าทำหลุดตอนวิ่งหนี"
รองเท้าของเหลียงเหว่ยเหอที่ตำรวจนำกลับมาเป็นรองเท้าเก่าๆ ขาด ๆ ที่ใช้ในการหลบหนีคดีเป็นคนเร่เร่อนในสภาพความเป็นอยู่จึงลำบากมาก
"ผมจะเอารองเท้าไปตรวจสอบ แต่คงสาวถึงที่อยู่ของฆาตกรยาก รองเท้าแบบนี้มีขายทั่วฮ่องกง ใคร ๆ ก็ใส่" ตำรวจว่า
"มีความคืบหน้าก็แจ้งทางเราด้วย" เหวินเยี่ยบอก
"ครับคุณเจ้า"
"จิ้น ไปส่งตำรวจ"
จิ้นหลุนพาตำรวจออกไป หมิงเทียนเดินเข้ามากระซิบเพกาเบาๆ
"เราต้องคุยกัน"
ทั้งสองมองหน้ากัน
ภายในสวน หมิงเทียนพาเพกามาคุยตรงที่ปลอดคน แต่ภาวะของอารมณ์ก็เปลี่ยนไปอีก วันนี้ หมิงเทียนอยู่ในอารมณ์โกรธ เครียดด้วยความกลัวว่า ภัยจะมาถึงเพกา
หมิงเทียนโวยวาย
"เหว่ยได้ยินที่คุณพูดและเห็นหน้าคุณด้วย”
“แม้แต่คุณที่ฉันเชื่อถือที่สุด ก็ยังบอกว่าฉันเป็นอันตรายงั้นหรือคะ”
"หาเรื่องเดือดร้อนเก่งนัก ทำไมคุณถึงไม่อยู่เฉย ๆ ทำตัวสงบเสงี่ยม สงบปากสงบคำเหมือนผู้หญิงอื่น หา”
หมิงเทียนใช้อารมณ์ก่อน เพกายอมใครที่ไหนจึงใส่อารมณ์บ้าง
"ก็คนรักคุณ เธอไม่ยอมอยู่เฉยก่อนนี่คะ คุณเมย์ลีเธอมาขอให้ฉันช่วยก่อนนี่”
“ผมหวังให้คุณเป็นคนไข้โรคจิต โรคประสาทหลอน ขอให้ผีเมย์ลีที่คุณเล่าเป็นแค่เรื่องในจินตนาการไม่มีอยู่จริง”
“คุณรับไม่ได้ล่ะสิ เมย์ลีมาขอความช่วยเหลือฉัน ไม่ได้มาขอความช่วยเหลือคุณ”
“เพกา”
หมิงเทียนโมโห ยกมือข้างเดียวจับที่คอเพกาโดยไม่รู้ตัว คราวนี้หมิงเทียนจะบีบคอเพกาจริงๆ
“คราวที่แล้วขู่ คราวนี้คุณบีบจริง”
เพกาไอแค่ก หมิงเทียนได้สติ ตกใจและรีบปล่อย
“ถ้าฉันประสาทหลอน คุณก็โรคจิตเหมือนกันนั่นล่ะ คนในบ้านนี้เองก็เถอะจะปรกติสักกี่คน ฮึ”
"ก่อนพูดอะไรหัดคิดซะมั่ง ผลที่จะตามมาคืออะไร คุณเล่นท้าทายประกาศลั่นว่าจะจับฆาตกร เหว่ยมาได้ยินเข้าแบบนี้ เขาต้องพยายามกำจัดคุณ"
“นายเหว่ยอะไรนี่ เขาร้ายกาจมากเลยหรือคะ"
"เหว่ยเคยลอบเข้ามาในบ้านแอบขึ้นไปที่ห้องดอกไม้ แล้วมันก็...มันแทงเมย์ลีตายอย่างเลือดเย็น"
เพกามีอาการกลัว เริ่มสติแตก
"ฉันต้องย้ายห้องไหมนี่ ฆาตกรเคยบุกขึ้นไปที่ห้องดอกไม้มันอาจบุกขึ้นไปอีกเมื่อไหร่ก็ได้”
"ผมสั่งให้เปิดสัญญาณกันขโมยทั้งวันเหว่ยเข้ามาเมื่อไหร่ เราต้องรู้"
"กว่าคนในบ้านจะขึ้นไปช่วย ฉันโดนกระหน่ำแทงตายแล้วล่ะคะ ฉันย้ายกลับไปนอนห้องพักแขกดีไหมคะ”
"ห้องดอกไม้อยู่ใกล้ห้องแม่ผม เกิดอะไรขึ้น แม่ผมจะได้ช่วยคุณ"
"โธ่คุณหมิงเทียน ผู้หญิงสองคน อีกคนก็แก่แล้วสู้แรงผู้ชายหนุ่ม ๆ ไม่ได้หรอกค่ะ ฉันจะให้อาซิ่วกับอาอี่ไปช่วยขนของ ย้ายห้องเดี๋ยวนี้เลย"
"นอนห้องดอกไม้น่ะดีแล้ว ผมวิ่งไปแป๊บเดียวถึง ห้องพักแขกอยู่ไกลใกล้ ๆ กันก็มีแต่ห้องว่าง ไม่มีใครช่วยคุณ”
“โฮ้ยทำไงดี ทำไงดี”
หมิงเทียนเปลี่ยนจากโกรธจนกลายเป็นแววตาขำเอานิ้วจิ้มหน้าผากเพกาซ้ำไปมาอย่างเอ็นดู
“ฮึ คุณนี่มันบ้า ชอบทำบ้าดีเดือดไม่มีความยั้งคิด แล้วมาทำหน้าตาตื่นตอนนี้เนี่ยนะ สายไปแล้วมั้ง”
หมิงเทียนค้อนหมั่นไส้เพกาแล้วเดินจากไป
เพกาคลำหัวตัวเองที่ถูกหมิงเทียนจิ้มด้วยความเอ็นดู แต่ยังไม่อยากคิดอะไรมาก เพราะมัวแต่กังวลเรื่องเหลียงเหว่ยเหอ
ท่ามกลางชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในฮ่องกง เหลียงเหว่ยเหอเดินมาตามทางด้วยรองเท้าแค่ข้างเดียวอย่างไม่อินังขังขอบ ปัญหาชีวิตของเหว่ยเหอทำให้เขาดูเป็นคนเศร้า เครียดมีชีวิตอย่างคนเร่ร่อนและเกือบจะกลายเป็นบ้า
เขาเดินมาเครียดมาที่มุมถนนแห่งหนึ่ง คำพูดของเพกายังก้องอยู่ในหัว
“ฉันมาสืบเรื่องการตายของเมย์ลี หรืออาจหมายถึงฆาตกรที่ฆ่าเมย์ลี”
เหลียงเหว่ยเหอคิดถึงหมิงซานและชีวิตที่ตกอับเพราะถูกใส่ร้าย ท่ามกลางผู้คน เขาเงยหน้าขึ้นคำรามร้องโฮ้ย...พร้อมกับเตะไปที่เสาอย่างซ้ำๆ คนเดินถนนแถวนั้นหันมามองเขาบ้างด้วยความตกใจ
เวลากลางคืน เพกาตรวจประตูหน้าต่างก่อนนอน แล้วพูดขึ้นลอยๆ
“ล็อกให้สนิท นี่แน่ะ... คุณน่าจะเตือนฉันว่าฆาตกรแอบฟังอยู่ ตอนนี้ฉันกลายเป็นเป้าหมายฆาตกรไปแล้ว เฮ้อ”
เพกาก้าวขึ้นเตียง ห่มผ้าเพราะอากาศหนาว
"ว่าแต่อาเหว่ยมีเหตุจูงใจอะไรถึงฆ่าคุณเมย์ลีนะ”
เพกาทั้งกลัว ทั้งคิดเยอะเลยข่มตาไม่ลง
หมิงเทียนนอนหลับอยู่ในห้อง ความฝันนั้นเป็นสวนและเรื่องราวที่คุยกับเพกา
“ผมหวังให้คุณ เป็นแค่คนไข้โรคจิต โรคประสาทหลอน...”
“คุณรับไม่ได้ล่ะสิ เมย์ลีมาขอความช่วยเหลือฉัน ไม่ได้มาขอความช่วยเหลือคุณ”
“เพกา”
หมิงเทียนบีบคอเพกาที่กลายเป็นเมย์ลี ดวงตามีเลือดไหล ดวงหน้าซีดเป็นผีน่ากลัว มองหมิงเทียนอย่างโกรธขึ้ง ราวกับหมิงเทียนเป็นฆาตกร เสียงเอคโค่อาฆาต
“คุณปกป้องฉันไม่ได้ คุณทำให้ฉันตาย ฉันไม่เชื่อใจคุณอีกแล้ว”
หมิงเทียนละเมอ ตะโกนบอก
“เมย์ลี ผมจะปกป้องคุณ ผมจะดูแลคุณ เมย์ลี เมย์ลี”
หมิงเทียนทะลึ่งพรวดสะดุ้งตื่น หอบเหนื่อย ฝันร้ายอีกแล้ว
หมิงเทียนนอนไม่หลับเลยเดินตรวจตราสวน หมิงเทียนหยุดยืนมองหน้าต่างห้องนอนเพกา เสียงความคิดหมิงเทียนบอก
"ผมไม่สามารถปกป้องผู้หญิงในห้องนั้นได้ ครั้งนี้ถ้าเหว่ยทำอะไรคุณผมจะปกป้องคุณได้ไหม จะทำได้ไหม”
เสียงคนเหยียบใบไม้ หมิงเทียนคิดถึงเหลียงเหว่ยเหอทันที ก่อนกวาดตามองหาอย่างระแวดระวัง ในความมืดหมิงเทียนเห็นเงาผู้ชายที่พื้นเดินย่องมาด้านหลังในมือถือท่อนไม้ หมิงเทียนรีบหาที่ซ่อนรอตระครุบตัวทันที
หมิงเทียนรอจนเงาดำนั้นเดินมาใกล้จึงกระโจนใส่จนล้ม หมิงเทียนคร่อมตัวเงื้อหมัดจะต่อยหน้า
“ผมเองๆ อย่าๆ คุณชายรอง" อี้เหวินร้องขึ้น
"ออกมาทำอะไรดึก ๆ ดื่น ๆ"
"ผมลุกมาเข้าห้องน้ำครับ เห็นเงาคนเดินอยู่ในสวนคิดว่าเป็นอาเหว่ยเลยคว้าไม้มาติดตัวไว้ คุณชายรองออกมาทำอะไรครับ"
หมิงเทียนตีหน้าตายบอก
“เดินเล่น"
"เดินเล่น อากาศหนาวอย่างนี้เนี่ยนะครับ"
"ฉันชอบลมหนาว เย็นสบายดี"
"เข้าบ้านเถอะครับ เดี๋ยวเป็นหวัด"
"อีกเดี๋ยว อี่ไปนอนเถอะ"
อี่เหวินเดินกลับเข้าบ้านพลางหันมามองหมิงเทียนอย่างแปลกใจ
หมิงเทียนแกล้งทำเป็นเดินเล่นชมต้นไม้ดอกไม้ อี่เหวินอดสงสัยไม่ได้
วันใหม่ ในตอนกลางวัน หมิงเทียนจ้างคนมาติดกล้องวงจรปิดที่กำแพง หมิงเทียนกับอี่เหวินยืนมองดูคนติดกล้องอยู่ หลินเพ่ยเดินมาหา
"อย่าติดเลยค่ะพี่หมิงเทียน เปิดทางให้เหว่ยเข้ามา ใช้เพกาเป็นเหยื่อล่อเราได้จับตัวอาเหว่ยได้ยังไงล่ะคะ"
"พูดอะไรอย่างนี้น่ะเพ่ยเพ่ย ชีวิตคุณพิ้งค์มีค่า"
"แม่นั่นมีจิตอาสา อยากช่วยผีเมย์ลีจับฆาตกรก็ต้องยอมสละชีวิตสิ"
"พี่จะไม่ยอมให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย"
"พี่หมิงเทียนห่วงเพกางั้นหรือคะ”
หมิงเทียนสะดุ้งรีบโวยกลบเกลื่อน
“บ้าสิ ไม่ใช่สักหน่อย พี่กำลังทำเพื่อทุกคนในบ้านเราต่างหาก”
เหม่ยอิงกับเป่าหลินเดินเข้ามาหยุดฟัง
"แม่นั่นไม่ใช่เมย์ลีของพี่นะคะ เมย์ลีตายแล้วไม่กลับมาหาพี่อีกแล้ว พี่หมิงเทียนเลิกยึดติดกับอดีตซะที"
หมิงเทียนโวยเสียงดังทันที
“หยุดพูดนะเพ่ยเพ่ย"
"เพ่ยเพ่ยไม่หยุด จนกว่าพี่หมิงเทียนจะปล่อยเมย์ลีไปจากใจพี่”
เหม่ยอิงเพ่งมองดุลูกสาวแล้วสั่ง
"อาเป่าพาคุณหนูเข้าบ้าน”
“แม่อ่ะ”
“ไปค่ะคุณหนู”
เป่าหลินรีบพาหลินเพ่ยไป หมิงเทียนหน้าบึ้งไม่พอใจที่หลินเพ่ยพูดแทงใจดำ
"อันที่จริงเพ่ยเพ่ยหวังดีกับคุณชายรองนะคะ แต่ด้วยนิสัยเด็กเลยโผงผาง พูดตรงไปซักหน่อย อย่าถือสาเพ่ยเพ่ยเลยนะคะ”
หมิงเทียนพยักหน้า
"ขอตัวนะคะ"
เหม่ยอิงยิ้มแย้มเอาใจหมิงเทียนแล้วเลี่ยงไป
"เมื่อคืนคุณชายรองไม่ได้ออกมาเดินเล่น คุณชายกลัวเหว่ยย้อนกลับมาทำร้ายคุณเพกา เลยออกมาเฝ้าในสวน”
“พูดมากน่ะ”
อี่เหวินยิ้มแอบขำรู้ทันว่าหมิงเทียนโกหก หมิงเทียนตีหน้าตายตามสไตล์ผู้ชายปากแข็ง
วิ่วหลานกำลังชงชาอยู่ในครัว เพกาเดินเข้ามาหา
"ขอซักแก้วได้ไหมคะอาซิ่ว"
"จะชงให้ใหม่ค่ะ เหยือกนี้ของคุณท่าน"
"งั้นไม่ต้องชงหรอกค่ะ ดื่มนมแทนก็ได้ อาซิ่วคะ คนชื่อเหว่ยเกี่ยวข้องยังไงกับตระกูลเจ้าคะ ทำไมเค้าถึงฆ่าคุณเมย์ลี"
“อาเหว่ยไม่ใช่สายเลือดตระกูลเจ้าค่ะ ที่เข้านอกออกในบ้านตระกูลเจ้าจนรู้ทางเพราะคุณหมิงซาน"
"คุณหมิงซาน คนที่ได้รับอุบัติเหตุเสียชีวิตไปแล้ว”
ซิ่วหลานพยักหน้าบอก
“พี่ชายคุณหมิงเทียนค่ะ"
"คุณหมิงซานขี้เก็ก หงุดหงิดง่าย ใจร้ายเหมือนน้องชายหรือเปล่าคะ"
"คุณหมิงซานเป็นผู้ใหญ่ ใจเย็น เธอเป็นคนเก่งมากค่ะ เก่งตั้งแต่เด็ก"
ซิ่วหลานมองเหยือกชา พลันนึกถึงอดีต
เมื่อ 20 ปีก่อน … บริเวณมุมพักผ่อนในบ้าน ซิ่วหลานวางเหยือกชาลงบนโต๊ะ เด็กชายหมิงซานรินชาใส่ถ้วยให้พ่อกับแม่ ขณะนั้น เหวินเยี่ยและลี่ผิงอายุประมาณ 40 ปลาย ๆ
"ขอบใจ หมิงซาน ลูกรู้ไหมสุดยอดชาคือ ชาอะไร"
"ชาหลงจิ่งครับคุณพ่อ ชาหลงจิ่งได้ชื่อว่าเป็นชาจากบ่อมังกร สมัยก่อนปลูกไว้สำหรับจักรพรรดิ ผมอ่านหนังสือมา”
เหวินเยี่ยกับลี่ผิงมองลูกชายคนโตอย่างชื่นชมแต่ไม่กอดลูก ตระกูลเจ้าเลี้ยงลูกแบบห่างเหิน ตามประเพณีจีนที่ว่าไว้ “ รักลูกให้เก็บอยู่ในใจ อย่าแสดงออกมาก ไม่เช่นนั้นลูกจะเหลิง ”
"ใฝ่รู้อย่างนี้ เป็นสมัยโบราณ หมิงซานต้องสอบติดจอหงวน"
หมิงเทียนถือคันเบ็ดค่อยๆย่องเข้าบ้านไม่ให้พ่อแม่เห็น หมิงซานกับซิ่วหลานเห็นหมิงเทียน หมิงเทียนที่ทำปากจุ๊ๆเป็นสัญญาณว่าอย่าทัก
ลี่ผิงเห็นสายตาหมิงซานมองไปด้านหลังจึงมองตาม เห็นหมิงเทียนกำลังย่องอยู่พอดี
"หมิงเทียน"
"ผมหิว ไปกินข้าวในครัวนะครับ"
ลี่ผิงคว้าตัวหมิงเทียนไว้
"แม่สั่งกี่ทีแล้ว ห้ามไปตกปลาที่คลองข้างบ้าน ลูกชายคุณเซี๊ยะเพิ่งตกน้ำเกือบจมน้ำตาย"
ลี่ผิงเอาคันเบ็ดของลูกชายคนรองมาตีก้น
"โอ๊ยเจ็บนะครับแม่”
หมิงเทียนโดนตีจนเจ็บทำหน้าแหยเก เหวินเยี่ยพอใจที่ลี่ผิงลงโทษลูกชายจอมแก่น หมิงซานกับซิ่วหลานได้แต่มองอย่างสงสาร
กี่ เ พ้ า ตอนที่ 3(ต่อ)
ในวันตรุษจีน ที่บริเวณศาลไหว้ฟ้าดิน หมิงเทียนกับซิ่วหลานแต่งชุดแดงรับวันตรุษจีน หมิงเทียนแอบจุดปะทัดที่แขวนไว้ เสียงดังปังๆๆๆ
“คุณหมิงเทียนเรายังไม่ได้ไหว้ครับ อย่าเพิ่ง โอ๊ยๆ” คนใช้ต่างปิดหูหนี
ลี่ผิงในชุดแดงกับหมิงซานกำลังถือถาดผลไม้และของไหว้ออกมาจากในบ้าน
"หมิงเทียนต้องให้แม่ตี ถึงจะเลิกซนใช่ไหม"
"คุณพ่อมาแล้วไปเอาอั่งเปาดีกว่า"
หมิงเทียนหนีแม่วิ่งไปรับพ่อที่รถ
“ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดใช้ครับคุณพ่อ"
หมิงเทียนแบมือขออั่งเปาจากเหวินเยี่ย ลี่ผิงจัดของไหว้ต่อไปด้วยสีหน้ามีความสุข
"กินข้าวก่อน พ่อถึงจะให้อั่งเปา"
เหวินเยี่ยหันไปพูดกับคนในรถ
"ลงมาสิ"
เหม่ยอิงหน้าตาสะสวย สวมชุดสีแดงสด ปากทาลิปสติกสีแดงเข้ากับชุดก้าวลงจากรถพร้อมเด็กผู้หญิงวัย 6 ขวบหน้าตาน่ารัก ที่ลงจากรถมายืนข้างๆเหม่ยอิง คนใช้เอากระเป๋าเสื้อผ้าเหม่ยอิงกับหลินเพ่ยออกจากกะโปรงหลังรถ ลี่ผิงมองตะลึง มือที่จับถาดเกร็งอย่างไม่มีเหตุผล
"นี่เหม่ยอิงกับเพ่ยเพ่ยลูกสาว ตั้งแต่วันนี้ เหม่ยอิงกับลูกจะเป็นสมาชิกตระกูลเจ้า" เหวินเยี่ยแนะนำ
"ผู้หญิงคนนี้จะเข้ามาอยู่บ้านเราในฐานะอะไร"
"เป็นคุณนายรอง เหม่ยอิงเป็นเมียฉัน"
ลี่ผิงปล่อยถาดผลไม้ร่วง ผลไม้กลิ้งไหลไปตามพื้น เหม่ยอิงยิ้มสะใจ ลี่ผิงจ้องคุณนายรองราวกับจะฉีกเนื้อเป็นชิ้น ๆ
ในเวลาต่อมา ลี่ผิงอาละวาดรื้อข้าวของของตนเองออกมาทุ่มทิ้งที่พื้น สะอื้นไห้ น้ำตานองหน้าร้องไห้คร่ำครวญ ข้าวของที่แตกกระจายส่วนใหญ่เป็นรูปในกรอบ
ลี่ผิงเอารูปแต่งงานที่ใส่กรอบออกมาทุ่ม แล้วบอก
“ความรักจอมปลอม”
รูปถ่ายคู่กันของเหวินเยี่ยกับลี่ผิงขณะไปเที่ยว
“คำสัญญาที่จะมีรักเดียว นี่ก็จอมปลอม”
รูปครอบครัวที่มีลูกชายสองคนซึ่งถ่ายร่วมกันขณะไปเที่ยว
“คำว่าครอบครัวไม่มีอีกแล้ว”
รูปตอนเป็นเด็กของลี่ผิงที่มาจากตระกูลดีในครอบครัวร่ำรวยที่เซี่ยงไฮ้ แต่งตัวสวยงามตามสมัย
“ฉันคือหวังลี่ผิง หญิงสาวจากตระกูลยิ่งใหญ่ มันไม่มีค่าอีกแล้ว”
รูปเกียรติบัตรการศึกษา เภสัชศาสตร์ จากม.เบิร์กเลย์
“ปริญญาตรี เภสัชศาสตร์จากอเมริกาไม่ใช่เครื่องการันตีว่าฉันมีค่า นี่แน่ะ”
ลี่ผิงกวาดตำรายาจากหิ้งลงมาที่พื้น
“การทุ่มเททำงานหนักเพื่อตระกูลเจ้าในฐานะสะใภ้ที่ดี นี่ก็ไม่มีค่า”
ลี่ผิงเดินไปที่โต๊ะทำงาน กวาดรื้อของบนโต๊ะลงมาที่พื้นอย่างไม่ใยดี
“ทำงานวันละสิบสองชั่วโมง ทำความดีทุกอย่างในฐานะสะใภ้ เพราะหวังว่าอนาคตจะอยู่ด้วยกันอย่างเป็นสุข ในที่สุดมันก็เป็นแค่ความฝัน”
เหวินเยี่ยทนไม่ไหว เดินเข้ามาตะโกนด่า
“ผิง นี่เธอเป็นบ้าไปแล้วหรือไง หยุดเสียที”
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นแค่นักร้องไนต์คลับ ไม่มีสกุล ไม่มีสมอง เอาคนอย่างนั้นมาเทียบเท่าฉัน ผู้หญิงคนนั้นแค่ยั่วยวนไปวันๆ ใช้ความพยายามแค่เรื่องเดียว เรื่องบนเตียง แค่นั้นมันก็ได้ความรักจากคุณไป นี่หรือความยุติธรรม โฮ”
ลี่ผิงตีเหวินเยี่ยไป ร้องไห้ไป ผู้เป็นสามีเขย่าตัวลี่ผิงแล้วด่า
“ก็เพราะเธอเป็นอย่างนี้ไง แม่ตุ๊กตาปูนปั้น สวยงามสมบูรณ์แบบจนแตะต้องไม่ได้ ทุกอย่างของเธอมันต้องสมบูรณ์แบบ สมบูรณ์แบบเท่านั้น ฉันถึงต้องมีคนอื่น แบบนี้ไง”
“อย่ามาโทษฉัน คุณก็แค่คนเห็นแก่ตัว ฉันจะหย่า จะหย่ากับคุณ”
"หย่ากับฉัน คนก็ต้องตราหน้าเธอว่าเป็นแม่ม่าย เธอทนได้หรือเลือกเอา จะใช้สกุลฉัน หรือกลับไปใช้สกุลเดิม ให้คนติฉินนินทาเราสองคน หา”
เหวินเยี่ยสะบัดตัวลี่ผิงที่ลงไปนั่งร้องไห้โฮกับพื้นอย่างน่าสงสาร
เด็กหมิงซานและหมิงเทียนเศร้าแอบมองแม่ โดยเฉพาะหมิงซานถึงกับเช็ดน้ำตาร้องไห้
วันใหม่ ภายในโรงเรียนนานาชาติที่ฮ่องกง หมิงซานนั่งเหม่อมองไปนอกหน้าต่างด้วยความไม่สบายใจที่พ่อมีเมียใหม่
"หมิงซาน Can you answer?” ครูถาม
บนกระดานเป็นโจทย์คณิตศาสตร์ หมิงซานเอาแต่เหม่อไม่สนใจเรียนจึงอึกอัก ไม่รู้คำตอบ เหลียงเหว่ยเหอที่นั่งข้างหมิงซาน เขียนตัวเลขคำตอบบนกระดาษยื่นให้หมิงซานเห็น
“Sixteen”
“Very good”
หมิงซานยิ้มขอบใจเหลียงเหว่ยเหอ
เลิกเรียนแล้ว เด็ก ๆ วิ่งเล่นในสนาม เด็กนักเรียนที่ไปกลับทยอยกลับบ้าน หมิงซานนั่งรถกลับบ้าน เห็นเหลียงเหว่ยเหอนั่งเหงาอยู่คนเดียว ไม่มีเพื่อนเล่น
“หยุดรถ"
รถบ้านหมิงซานจอดเทียบตรงที่เหลียงเหว่ยเหอนั่งอยู่ หมิงซานเปิดประตูรถยิ้มให้ อีกฝ่ายยิ้มตอบ
หมิงซานพาเหลียงเหว่ยเหอที่ตื่นตาตื่นใจกับบ้านหลังใหญ่โตหรูหราของหมิงซานเข้ามาในบ้าน ลี่ผิงเดินออกมาหา
"คุณแม่ครับ วันนี้ให้เหว่ยค้างบ้านเรานะครับ เหว่ยเรียนห้องเดียวกับผม"
"ขออนุญาตพ่อแม่หรือยังจ๊ะ"
"เหว่ยอยู่ประจำครับ ขออนุญาต Master แล้ว"
"อยู่ประจำแสดงว่าเป็นเด็กต่างชาติ มาจากประเทศอะไรจ๊ะ” ลี่ผิงพูดพลางยิ้มกว้าง
"เหว่ยอยู่ฮ่องกงครับ" หมิงซานบอก
"ให้เพื่อนตอบเองบ้างสิหมิงซาน ว่ายังไงจ๊ะ บ้านอยู่ไหน พ่อแม่ทำธุรกิจอะไร"
"พ่อผมตายแล้วครับ แม่เป็นชาวประมง”
ลี่ผิงหน้าเปลี่ยนสีหน้าจากชื่นชมเป็นอึ้งโกรธทันที ส่งสายตามองเหลียงเหว่ยเหออย่างดูถูก
ลี่ผิงเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นกระด้าง
"มาเรียนโรงเรียนเดียวกับหมิงซานได้ยังไง"
"ปีก่อน แม่พามาขอทุนที่โรงเรียนครับ"
"เหว่ยเรียนเก่งมากครับคุณแม่ ปีก่อนเรียนได้ที่ 1ของห้อง ชนะผมด้วย”
หมิงซานบอกพลางพยักหน้าให้เพื่อนเดินตาม
"เข้าไปข้างในกัน ไป"
“เอ้า เดี๋ยวสิ หมิงซานๆ”
หมิงซานกับเหลียงเหว่ยเหอวิ่งเข้าไปข้างในแล้ว ลี่ผิงเรียกไว้ไม่ทัน
ภายในห้องครัวในปัจจุบัน ซิ่วหลานคุยกับเพกา
“ถึงคุณผิงจะไม่ชอบเหว่ย แต่ก็ขัดใจลูกชายคนโปรดไม่ได้ คุณหมิงซานกับอาเหว่ยเป็นเหมือนเงาของกันและกัน กิน นอน เรียนหนังสือด้วยกัน ส่วนคุณเพ่ยเพ่ย ลูกติดคุณนายรองจากสามีเก่า คุณเยี่ยก็ไม่ได้รังเกียจ ท่านยอมรับเป็นลูกบุญธรรม เป็นคุณหนูตระกูลเจ้า"
“แล้วเมย์ลีล่ะคะ มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“คุณเมย์ลีเธออาภัพ พ่อแม่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์พร้อมกัน ป่วยอยู่ได้ไม่กี่อาทิตย์ก็ตายไปทั้งคู่”
ภายในงานศพที่เมืองไทยในอดีต ตอนนั้นสุคนธาอายุเพียง 9 ขวบ ท่ามกลางบรรยากาศทำบุญกระดูกพ่อแม่ของสุคนธาในตอนเช้า มีเห็นรูปถ่ายคู่ “ สุชาติ กับ รสสุคนธ์ ” พ่อแม่สุคนธาตั้งอยู่
ญาติมาร่วมฟังสวดไม่กี่คน เด็กหญิงสุคนธาร้องไห้ จนกระทั่งพระสวดจบ
เหล่าญาติในงาน ไม่เคยมีใครเคยเห็นหรือรู้จักเหวินเยี่ยมาก่อน เมื่อเจ้าตัวมาถึงก็แนะนำตัว
"ผมเจ้าเหวินเยี่ย"
"อ๋อสวัสดีครับ ผมโทรหาคุณตามคำสั่งที่พี่สุชาติสั่งไว้ก่อนสิ้นลม” ญาติคนหนึ่งบอก
เหวินเยี่ยพยักหน้า มองรูปถ่ายสุชาติเพื่อนรักอย่างเศร้าสร้อย
"ขอโทษที่ฉันมาช้า มาส่งนายขึ้นสวรรค์ไม่ทัน"
เหวินเยี่ยบอกกับญาติว่า
“ผมกับสุชาติเรียนด้วยกันที่อเมริกา สุชาติเป็นเพื่อนรักคนเดียวของผม"
เหวินเยี่ยหันมามองสุคนธาแล้วถาม
"โตขึ้นนะ จำลุงได้ไหม"
สุคนธาปาดน้ำตาพยักหน้าให้
“พ่อของเมย์ลีกับลุงเหมือนพี่น้องกัน ไปอยู่กับลุงที่ฮ่องกงเถอะนะ”
"ไม่ หนูไม่ไป"
สุคนธาวิ่งกลับไปหาญาติๆ
"หนูจะอยู่กับน้า"
ญาติอีกคนบอก
"น้าไม่ได้ร่ำรวย เลี้ยงหนูไม่ไหว ลำพังลูกน้าเองก็ 3 คนแล้ว ไปอยู่กับคุณลุงเจ้า หนูจะได้เรียนสูง ๆ ไงจ๊ะ พ่อแม่หนูต้องการอย่างนั้น หนูต้องทำตามที่พ่อแม่สั่งเสียไว้ ไปหาคุณลุงสิ"
เมย์ลีเดินร้องไห้กลับไปหาเหวินเยี่ย
"หยุดร้อง ลุงไม่ชอบเด็กขี้แย"
สุคนธาพยายามกลั้นน้ำตาแต่ทำไม่ค่อยได้
"ผมจะพาเมย์ลีไปฮ่องกงวันนี้เลย เรื่องหนี้สินของสุชาติ ผมจะจัดการให้ก่อนเดินทาง"
ญาติต่างยิ้มดีใจกัน
เหวินเยี่ยพาสุคนธามาที่คฤหาสถ์ตระกูลเจ้า คนใช้หิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าเพียงใบเดียวให้สุคนธาที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นตามเหวินเยี่ย ลี่ผิงออกมาต้อนรับตามด้วยซิ่วหลาน
"หนูเมย์ลีมาแล้ว โถน่าสงสาร เป็นกำพร้าตั้งแต่เด็ก"
"ดูแลเมย์ลีต่อที ร้องไห้ตลอดทางขี้แยเหลือเกิน"
เหวินเยี่ยเดินผละไป ลี่ผิงลูบผมสุคนธาอย่างเอ็นดู
"พ่อแม่หนูไปสบายแล้วล่ะ" ลี่ผิงบอก
"ถ้าหนูไม่ขอเรียนบัลเล่ต์ คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ต้องขับรถไปรับจนรถชน"
จังหวะนั้น หลินเพ่ยวิ่งเล่นเข้ามาในห้องนี้พอดี หลินเพ่ยชะงักมองสุคนธา
"ใครน่ะ”
"คุณท่านบินไปรับเด็กที่เมืองไทยมาเลี้ยงค่ะ คุณหนู" คนใช้บอก
"หนูทำให้คุณพ่อคุณแม่ตาย" สุคนธาบอก
สุคนธาร้องไห้โฮน้ำมูกน้ำตาไหล ซิ่วหลานหยิบผ้าเช็ดหน้ามาให้
“เช็ดน้ำตาเถอะค่ะ คุณหนู" ซิ่วหลานบอก
หลินเพ่ยโกรธที่ซิ่วเรียก สุคนธาว่าคุณหนู หลินเพ่ยพุ่งมาผลักเด็กน้อยผู้มาใหม่ทันที
"ฉันเป็นคุณหนูได้คนเดียว"
"นังเด็กก้าวร้าว มารยาททรามอย่างแกน่ะ ควรได้เป็นแค่ลูกคนใช้ ขอโทษเมย์ลีเดี๋ยวนี้” ลี่ผิงบอก
"คุณหนูตระกูลเจ้าไม่ต้องขอโทษใคร"
"จะขอโทษไหม"
"เพ่ยเพ่ยไม่ขอโทษมัน"
ลี่ผิงตีหลินเพ่ย
"แม่ แม่ ช่วยด้วย”
เหม่ยอิงได้ยินเสียงลูกร้องก็วิ่งมาดู เห็นลี่ผิงตีกำลังหลินเพ่ยก็ปรี่เข้ามาขวาง
"ลูกฉันทำผิด ฉันลงโทษเอง คนอื่นไม่มีสิทธิ์"
"ฉันเป็นแม่ใหญ่ ฉันจะเฆี่ยนลูกเธอจนเนื้อแตกก็ยังได้"
"งั้นเวลาคุณชายคนไหนซน ฉันจะเฆี่ยนจนเนื้อแตกเลือดไหลซิบเพราะฉันเป็นแม่รอง”
"แตะลูกฉันแม้แต่ปลายเล็บ หล่อนได้ไสหัวไปจากบ้านนี้"
ลี่ผิงกับเหม่ยอิงจ้องหน้ากันอย่างคู่อาฆาต
สุคนธาเห็นบรรยากาศบ้านแล้วรู้สึกตระหนกกลัว ไม่ชอบบ้านหลังนี้เอาซะเลย
ต่อจากตอนที่แล้ว
เวลาผ่านไปอีก 10 ปี จนคุณหนูของคฤหาสถ์ตระกูลเจ้าเติบโตและอยู่ในวัยศึกษา หมิงเทียน หมิงซาน เหว่ย สุคนธา และหลินเพ่ย ทุกคนมีเป้หนังสือเรียน
รถตู้คันหนึ่งมีตราวิทยาลัยอินเตอร์ในฮ่องกง ขับเข้ามาจอด เจิ้นหลุนซึ่งยืนหน้าตึกเดินเร็วๆเข้าไปที่กลางบ้านมองไปทางชั้นบน ตะโกนบอก
"คุณหนูทั้งหลายครับ รถจากวิทยาลัยมารับแล้วครับ"
เด็กวัยรุ่นทั้งห้าเดินลงมาจากบ้านในชุดนักศึกษาวิทยาลัยนานาชาติ หมิงซานเดินออกมากับเหลียงเหว่ยเหอ พูดคุยกันเบาๆ กระซิบกันตลอดเวลา ตามด้วยหมิงเทียนที่เดินมาพร้อมเล่นเกมกดมาด้วย ตามมาด้วยหลินเพ่ยที่เดินช้าๆรอแกล้ง เมื่อสุคนธาเดินมากำลังแซงนำหน้าไป หลินเพ่ยจึงเดินเร็วๆไปชนกระแทกสุคนธาจนเซไป หลินเพ่ยเยาะอย่างสะใจเดินนำไปขึ้นรถ สุคนธาก้มหน้าจ๋อยๆ ยอมคนเพราะโดนจนชิน เมื่อทุกคนขึ้นรถ รถก็แล่นออกไป
ซิ่วหลานบอกเล่าว่า
"เด็กๆทั้งห้า เติบโตเป็นหนุ่มเป็นสาวขึ้นมาด้วยกัน หมิงซานสมบูรณ์แบบ สมเป็นความหวังของตระกูลเจ้า, อาเหว่ยเป็นเงาของหมิงซานมาอยู่มากินในบ้านบ่อยๆจนกลายเป็นสมาชิกคนหนึ่งโดยปริยาย, หมิงเทียสดใส ดื้อเงียบ ไม่สนใจในกรอบสังคมใดๆ, เพ่ยเพ่ย ยิ่งโตยิ่งแกร่งเหมือนเสือสาวที่พร้อมจะขย้ำเมย์ลีทุกเมื่อ, เมย์ลีอ่อนโยนน่าสงสาร ยิ่งถูกแกล้งก็ยิ่งเงียบขรึม ทั้งห้าคนมีชีวิตเกี่ยวพัน รักและริษยากันและกัน"
“รักริษยากันยังไงคะ” เพกาถาม
ที่วิทยาลัย สุคนธาเดินถือถาดอาหารกลางวันมาวางนั่งกินคนเดียวอย่างเหงาๆ หลินเพ่ยเดินมาหาพร้อมด้วยลิ่วล้อกลุ่มใหญ่ หลินเพ่ยแย่งถาดอาหารไปให้เพื่อนตัวอ้วนของตน
"เพื่อนฉันกินไม่อิ่ม"
สุคนธาให้เขาไปเฉยๆ เนื่องจากกลัวหลินเพ่ยจึงได้แต่ก้มหน้าและเดินจากไป หลินเพ่ยสะใจ
ที่มุมหนึ่งหมิงเทียนแอบมองสุคนธาอย่างเห็นใจ
บริเวณโต๊ะสนามในสวนของวิทยาลัย สุคนธาถือเป้เดินมานั่งเล่นพร้อมเปิดเป้เอากล้วยหอมออกมากินประทังความหิว ครู่หนึ่งรถมอเตอร์ไซค์ส่งอาหารขับเข้ามาจอด แล้วเอาถาดใส่อาหารแบบจีนที่เป็นชั้นๆมาวางเรียงตรงหน้าสามสี่ถาด กินได้สี่ห้าคน สุคนธาเห็นแล้วก็งง
"ของฉันหรือคะ"
พนักงามค้อมหัวให้เมื่อวางเสร็จ พร้อมยื่นดอกไม้ให้หนึ่งช่อแล้วขึ้นมอเตอร์ไซค์จากไป อาหารมากมายเต็มโต๊ะ เป็ด ไก่ ขนม สุคนธามองอย่างสงสัย หมิงเทียนที่ยืนมองอยู่ใต้ต้นไม้รีบหลบเพราะเป็นคนสั่งมา
"คุณชายรอง"
สุคนธายิ้มมองดอกไม้ ดมดอกไม้หนึ่งครั้งแล้วมองหมิงเทียนพลางค้อมหัวให้ขอบคุณ หมิงเทียนเขินมุดเข้าต้นไม้ไปอีก สุคนธาเริ่มกินอาหารอย่างมีความสุข หมิงเทียนออกมามองอีกครั้งและยิ้มอย่างมีความสุข
ภายในห้องครัว ซิ่วหลานคุยกับเพกาอย่างต่อเนื่อง
“คุณหมิงเทียนชอบคุณเมย์ลีตั้งแต่เด็กเลยหรือคะ” เพกาถาม
ซิ่วหลานพยักหน้า
“ทั้งสองเป็นรักแรกของกันและกัน”
“โห แสดงว่าลึกซึ้งมากเลยนะนี่”
เพกาใจแป้ว หน้าเสียไปอย่างไม่รู้ตัว เพราะลึกๆแล้วก็แอบชอบหมิงเทียน ซิ่วหลานสังเกตเห็น
“ทำไมหรือคะ”
“อ๋อ เปล่าๆ เล่าต่อเถอะค่ะ”
วันใหม่ในอดีต ภายในห้อง เหม่ยอิงกำลังหวีผมให้หลินเพ่ย เหวินเยี่ยเพิ่งกลับจากที่ทำงานก็เดินมาหา
“คุณพ่อเหนื่อยไหมคะ นั่งก่อนค่ะนั่งก่อน เพ่ยเพ่ยรินชาให้”
หลินเพ่ยประจบ เอาใจเหวินเยี่ยเสมอ
ซิ่วหลานบอก
“คุณหนูเพ่ยเพ่ยเอาอกเอาใจคุณเยี่ยจนเป็นที่โปรดปราน อย่างว่านะคะ คนไม่เคยมีลูกสาว”
เหวินเยี่ยเอาเงินใส่ซองให้เหม่ยอิง
"เดือนนี้ บริษัทมีกำไร ฉันมีโบนัสพิเศษให้เธอสองแม่ลูก”
“รักคุณพ่อที่สุดเลย”
“รักพ่อ ก็ต้องตั้งใจเรียน การศึกษาเปรียบเหมือนพายเรือทวนน้ำ ถ้าไม่รุดหน้าก็ถอยหลัง คนไม่ใฝ่รู้จะถูกทิ้งไว้ข้างหลังให้อยู่กับความโง่เขลา ตกต่ำ”
“เพ่ยเพ่ยจะตั้งใจเรียนให้ได้ที่ 1 ค่ะคุณพ่อ”
เหม่ยอิงเอามือแตะต้นขาเหวินเยี่ยอย่างมีนัย
“เดือนนี้บริษัทมีกำไร ท่านคงเหนื่อยน่าดู คืนนี้ฉันจะนวดให้ค่ะ”
เหม่ยอิงยิ้มเย้ายวน ขณะที่สามีมองด้วยสายตาเสน่หา
“เพ่ยเพ่ยไปดูทีวีดีกว่า”
“มานี่ก่อนลูก”
หลินเพ่ยเข้าไปหา เหม่ยอิงกระซิบบอกเบาๆ
“พี่หมิงซานอยู่ในสวนน่ะ”
เหม่ยอิงมีแผนจับคู่หลินเพ่ยกับหมิงซาน ลูกชายคนโตเหวินเยี่ย แต่หลินเพ่ยไม่เต็มใจยิ้มแห้งๆ พยักหน้าอย่างจำใจ
ในวันหยุด เหลียงเหว่ยเหอมาทำการบ้านที่บ้านหมิงซาน หมิงเทียนนั่งทำรายงานอยู่ด้วย ลี่ผิงเดินมาหา
“มาตั้งแต่เช้า อีกชั่วโมงกลับได้แล้วนะเหว่ย วันนี้ห้ามค้างคืนที่นี่”
"ครับคุณนายเจ้า" เหลียงเหว่ยเหอพูดอย่างเจียมตัวและยิ้มเศร้า
"แม่ไปห้องน้ำเดี๋ยว อย่าให้เพื่อนเดินเพ่นพ่านล่ะหมิงซาน"
ลี่ผิงเดินออกไป หมิงเทียนผลักที่งานทำอยู่ออกทันทีแล้วหันไปหยิบเกมกดที่ซ่อนไว้ใต้โต๊ะขึ้นมา ขณะที่หมิงซานกับเหลียงเหว่ยเหอยังทำอยู่ หมิงเทียนถามไป เล่นไป
"ทำไมคุณแม่ไม่ชอบเหว่ย”
เหลียงเหว่ยเหอได้ยินก็หน้าเศร้า
"พี่จะไปขอคุณพ่อให้เหว่ยอยู่กินอาหารเย็นก่อนค่อยกลับ"
หลินเพ่ยยกคุ้กกี้มาอาใจหมิงซานตามคำสั่งแม่
"คุกกี้ค่ะพี่หมิงซาน"
หมิงซานเมิน หลินเพ่ยหยิบคุกกี้ยื่นไปที่ปากหมิงซานจะป้อนคุกกี้
“เอ้านี่ เพ่ยเพ่ยป้อน”
หมิงซานปัดคุกกี้ในมือหลินเพ่ยกระเด็น
"อย่ามายุ่งกับฉัน”
หมิงซานเขวี้ยงคุกกี้ในจานทิ้ง เหม่ยอิงเดินมาเจอเข้า
"น้องอุตส่าห์ยกมาให้นะคะคุณหมิงซาน"
“ลูกนักร้องไนต์คลับไม่ใช่น้องฉัน"
"อุ๊ยตายจริง ใครสอนให้พูดคะเนี่ย"
ลี่ผิงเดินกลับเข้ามาพอดี เอาของว่างมาให้
"คุณแม่บอกว่าเธอสองคนเป็นคนชั้นต่ำ เธอสองคนสกปรก"
ลี่ผิงสะใจมากที่หมิงซานด่าเหม่ยอิงอย่างที่ตนด่า หลินเพ่ยโกรธจัดตรงเข้าไปผลัก
“พี่หมิงซาน นี่แน่ะ”
หมิงซานผลักกลับจนหลินเพ่ยเซไป หมิงเทียนเข้าไปรับหลินเพ่ยได้ทันเวลาและมองอย่างเห็นใจ
"เจ็บไหม"
หลินเพ่ยซาบซึ้งเรียก
“พี่รอง”
ลี่ผิงมองสายตาดุหมิงเทียนที่จำใจปล่อยมือจากหลินเพ่ย
"คุณนายใหญ่ตระกูลเจ้าสอนลูกชายเก่งจริงนะคะ สอนให้รังแกเด็กผู้หญิง”
"เธอก็สอนลูกดีนะเหม่ยอิง สอนให้จับผู้ชาย"
เหม่ยอิงหน้าชารีบบอก
"คุณนายใหญ่คิดมาก เขาพี่น้องกันอยู่แล้ว”
"ฉันรู้ทันเธอนะ นังคนทะเยอทะยาน โลภมาก เชื้อมันไม่ทิ้งแถวหรอก ลูกมันก็ไม่ต่างจากแม่ เป็นลูกไม้ที่หล่นโคนต้น"
"เพ่ยเพ่ยถอดแบบฉันไปก็ดีสิคะ เพราะฉันได้เป็นคุณนายเจ้า อีกหน่อยเพ่ยเพ่ยก็ต้องได้คุณนายเจ้าเหมือนฉัน”
ลี่ผิงอึ้งมองเหม่ออิงด้วยความแค้นจนแทบอยากจะฆ่า ขณะที่เหม่ยอิงสู้สายตาอย่างไม่กลัวเกรง
วันใหม่ในอดีต หมิงซานกับเพื่อนนักศึกษานั่งทำข้อสอบ หมิงเทียนนั่งเครียดคิดไม่ออก แล้วแอบเปิดที่แขนเสื้อสูทดึงกระดาษแผ่นเล็กๆ ที่เป็นโพยซึ่งซ่อนไว้ออกมาจากแขนเสื้อ หมิงเทียนคิดจะโกงข้อสอบ ค่อยๆคลี่กระดาษนี้ออกมาวางเตรียมจะลอก แต่แล้ว ลมเกิดพัดมาทางหน้าต่างวูบหนึ่งกระดาษในห้องบนโต๊ะครูและของเพื่อนในห้องปลิวหลายคน รวมทั้งโพยแผ่นเล็กๆของหมิงเทียนด้วย หมิงเทียนหน้าซีดเมื่อเห็นโพยของตนปลิวไปตกที่พื้นแถวหน้าห้องใกล้ครู ครูก้มลงเก็บกระดาษที่พื้นไปเรื่อยๆและแล้วก็เก็บโพยได้ ครูหยิบขึ้นดูแล้วโกรธถามเสียงดัง
“ของใคร”
หมิงเทียนหน้าซีด
“ถ้าไม่มีใครยอมรับ ฉันจะปรับตกยกห้อง”
เพื่อนทุกคนเลิ่กลั่ก หมิงเทียนถอนใจเตรียมจะลุก แต่แล้วหมิงซานเดินเข้ามาในห้องพูดอย่างมั่นใจ
“ของผมเอง ผมโยนเข้ามาหวังจะช่วยน้อง แต่น้องเขาไม่เห็นไม่รู้เรื่อง”
ครูอึ้งไป
เหตุการณ์นั้น ลี่ผิงต้องชำระความในห้องโถง ลี่ผิงโกรธด่าหมิงซานที่ยืนก้มหน้าสำนึกผิดอยู่ มือของเหวินเยี่ยมีจดหมายจากวิทยาลัย
“จดหมายบอกว่าลูกตั้งใจทุจริตการสอบ ลูกไม่เคยเป็นแบบนี้ ทำแบบนี้ทำไม”
หมิงเทียนแอบดูอยู่ที่มุมหนึ่ง
“ผมขอโทษ ผมทำผิดไปแล้ว ลงโทษผมเถอะครับ”
เหวินเยี่ยแอบเห็นหมิงเทียนหลบอยู่ก็สงสัย จึงคาดคั้นต่อ
“จะบอกหรือไม่บอก”
“ต่อไปผมจะไม่ทำอีกแล้วครับ ผมขอลงโทษตัวเองไม่กินข้าวเย็น และจะไปนั่งคุกเข่าสำนึกผิดที่ป้ายบรรพบุรุษ”
หมิงซานไม่สะทกสท้านเดินออกไป เหวินเยี่ยกับลี่ผิงมองหน้ากัน
“ไม่ใช่นิสัยหมิงซาน ยังไงก็ไม่ใช่”
ในเมื่อไม่ยอมรับก็เลยทำอะไรไม่ได้ จึงได้แต่สงสัย หมิงเทียนได้แต่อึ้งในการกระทำของพี่ชาย
โปรดติดตาม "กี่เพ้า" ตอนที่ 4