xs
xsm
sm
md
lg

สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 21 จบบริบูรณ์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 21

กำนันพงษ์พยายามแบกทองวิ่งหนีมาตามป่าอย่างทุลักทุเล ติณห์วิ่งตามมาห่างๆ ข้างหลัง
“หยุดนะกำนันพงษ์ อย่าหนีนะ”
กำนันพงษ์ยกปืนในมือหันไปยิงใส่ติณห์ปังๆ ติณห์วิ่งหลบกระสุนที่ปลิวว่อนแต่ก็ไม่หยุดวิ่งไล่ตาม
“ไสหัวมึงไปให้พ้นนะ จะตามกูมาทำไม อ๊าก” กำนันพงษ์ยิงกราดอย่างคลั่ง จนกระสุนหมด
กำนันพงษ์เขวี้ยงปืนทิ้ง สองมือจับถุงทองบนบ่าวิ่งหนีสุดกำลังแต่น้ำหนักทอง ทำให้ไปได้ช้าและล้มลง ติณห์ก็วิ่งตามมาทัน
“แกจะหนีไปไหน”
กำนันพงษ์เงยหน้าหันมา โดยถือหุ่นฟางที่ใส่ผมติณห์ไว้อยู่ในมือและถือมีดหมอไว้ข้างนึง แทงมีดลงไปท้องหุ่นฟาง
“อ๊าก”
ติณห์กุมท้องทรุดลงร้องอย่างเจ็บปวด
“ลืมแล้วหรือไอ้ติณห์ กูยังมีหุ่นมึงอยู่ วันนี้มึงต้องตายไปอยู่กับตามึง”

ที่เรือนไทยเหล่าตำรวจพาพวกสมุนกำนันพงษ์ลงเรือนไทยไป ทุกคนเป็นห่วงวิญญาณหลวงพิชัยภักดี ญาณินและกุมาริกาที่กำลังดิ้นเจ็บปวด
“ทำไงดีคุณรส จะช่วยเขายังไง จะปล่อยให้เขาตายแบบนี้เหรอ”
“ใช่ๆ มันต้องมีทางแก้สิพี่”
ไตรรัตน์ลุกพรวดขึ้นจะตามติณห์ไป
“ผมตามไปช่วยคุณติณห์ดีกว่า”
“ไม่ต้องตามไป” สุคนธรสร้องห้าม
“ทำไม”
“ตอนนี้เราได้แต่รอเวลา”
“ชั้น ชั้นจะไม่หวายแล้ว อ๊อก”
หลวงพิชัยภักดีร้องบอกขณะที่ หนุ่มๆ งง
“เจ๊ ทนหน่อยนะ อีกแป๊บทุกอย่างจะดีขึ้น”
“คุณหลวง โกลเด้นท์เบบี้ ทนอีกหน่อยนะ”
ทันใดนั้นด้ายแดงที่รัดวิญญาณทั้งสามอยู่เริ่มคลายตัวออก จิตญาณิน หลวงพิชัยภักดี กุมาริกาเริ่มหายใจออกปวดน้อยลง
“เป็นไปได้ยังไง”

ติณห์ยังคงดิ้นทุรนทุราย กำนันพงษ์หัวเราะสะใจ
“ฮ่าๆ มันทรมานมากใช่ไหมไอ้ติณห์” กำนันพงษ์ทิ่มลิ่มลงไปบนหุ่นอย่างสะใจ แต่คราวนี้ติณห์กลับดิ้นน้อยลง กำนันพงษ์เอะใจ “อะไรวะ ทำไมมันไม่เป็นอะไร”
กำนันพงษ์เริ่มสวดคาถาอีกแล้วทิ่มลิ่มพรวดลงบนตำแหน่งหัวใจหุ่นฟางนั้นแต่กลับไม่มีผลอะไรกับติณห์

ที่เรือนไทย ด้ายแดงที่รัดวิญญาณทั้งสามอยู่คลายตัวเองและจางหายไปในที่สุด
“โอย นึกว่าตายรอบสองซะแล้ว”
“คุณตา” กุมาริกาวิ่งไปกอดหลวงพิชัยภักดีอย่างดีใจ
สี่สาวกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
“เจ๊ รีบไปเข้าร่างเร็ว”
“ชั้นไปก่อนนะ เดี๋ยวเจอกัน” จิตญาณินหายวืบไป
สี่สาวหันมาหาหลวงพิชัยภักดีและกุมาริกาแต่ไม่พบเพราะหายไปแล้ว ไม่มีใครเห็นนอกจากเนตรศิตางศุ์
“ทั้งคุณหลวงกับโกลเด้นท์เบบี้โอเคแล้วค่ะ” เนตรศิตางศุ์บอก
“ใช่ ทั้งคู่ฝากบอกทุกคนว่าขอบคุณมาก” กรรณาบอก
“มันเกิดอะไรขึ้นคุณรส” ไตรรัตน์ถามอย่างแปลกใจ
“นั่นสิ ทำไมอาคมของกำนันพงษ์มันหมดไปล่ะ”
“พวกเราคิดว่ากำนันพงษ์มันต้องระวังตัวอยู่แล้ว เราจึงวางแผนสองชั้น โดยหลอกเอาผ้าถุงปลอมที่เพิ่งซื้อมาไปซ้อนที่ซุ้มทางขึ้นเรือนไทย แต่เอาผ้าถุงใช้แล้วของป้าออไปใส่เหนือทางลงด้านหลังเรือนไทย”
“เพราะเวลาหนี กำนันพงษ์คงไม่ระวังตัว จึงลอดผ้าถุงทำให้อาคมค่อยๆ เสื่อม”
“แล้วอาคมของมันก็จะย้อนกลับเข้าตัวเอง”
“รับกรรมที่ตัวเองก่อไว้”

ร่างญาณินซึ่งนอนอยู่ที่เตียงลืมตาขึ้นเมื่อจิตกลับเข้าร่าง แล้วผุดลุกขึ้นนั่งในทันที ญาณินรู้สึกปวดแปลบที่แขน เพราะมีสายน้ำเกลือเสียบอยู่
“อุ้ย”
ป้าอรวรรณกับทนายสมชาติที่อยู่เฝ้าร่างญาณิน พากันดีใจ
“คุณณินฟื้นแล้ว”
“คุณหนูของป้า เป็นยังไงบ้างคะ”
ป้าอรวรรณโผกอดญาณินอย่างดีใจมาก
“อย่าเพิ่งลุกนะคะ คุณหนูไม่ได้ทานอะไรมาสองวันแล้ว เดี๋ยวจะเป็นลมเป็นแล้งไป”
“หนูไหวค่ะป้า หนูต้องรีบไปช่วยคุณติณห์”
“คุณติณห์เป็นอะไรครับ”
“ตามกำนันพงษ์ไปค่ะ”

ญาณินเอาสายน้ำเกลือ สายวิตามินอาหารบำรุงร่างกายออกแล้วรีบวิ่งออกไป

 
ภายในห้องทำพิธีบ้านกำนันพงษ์ เมื่อคาถาอาคมของกำนันพงษ์เริ่มเสื่อมลง ยันต์แดงที่ผ้าดำปิดหม้อกักวิญญาณก็ค่อยๆ เสื่อมความขลังลงเช่นกัน ลายยันต์สีแดงที่ผ้าค่อยๆ เลือนลงช้าๆ ทำให้วิญญานที่ถูกกักขังอยู่ในหม้อถูกปลดปล่อยออกมาอย่างช้าๆ เห็นเป็นควันดำทะยอยลอยขึ้นมาจากหม้อแต่ละใบ พร้อมเสียงวีดร้องอย่างอาฆาตแค้นของภูติผีปีศาจที่ถูกกักขังอย่างทรมานมานานแรมปี

ติณห์ยันตัวลุกขึ้นยืน จ้องกำนันพงษ์ตาไม่กระพริบ
“อาคมแกไม่มีอีกแล้ว”
“ไม่จริง ไม่มีทาง กูไม่เชื่อ”
กำนันพงษ์มีสีหน้าวิตกเริ่มหวาดระแวง เอาลิ่มแทงไปที่หุ่นฟางไม่ยั้ง แต่ติณห์ยังคงนิ่ง ไม่ปรากฏอาการใดๆ
ติณห์ฉวยจังหวะเหมาะ รวบรวมแรงเท่าที่จะพอมีเหลือกระโจนเข้าไปหวังจะเข้าเล่นงานกำนันพงษ์ แต่ด้วยสภาพร่างกายที่อ่อนล้า คว้าได้แค่ถุงใส่ทองของกำนันพงษ์ ทองร่วงกระจายเต็มพื้น
“ทอง ทองกู”
กำนันพงษ์เสียหลักล้มลงกลิ้งไปทั้งคู่ แต่มือยังกำถุงใส่ทองไว้แน่น ด้วยความโมโหกำนันพงษ์หันมาเหวี่ยงหมัดใส่ติณห์เต็มแรงจนติณห์ร่วงลงไปนอน กำนันพงษ์ไม่สนใจติณห์รีบเก็บทองที่กระจายอยู่เต็มพื้นใส่ถุง ติณห์คลานเข้าไปล็อคขากำนันพงษ์เอาไว้ กำนันพงษ์สะบัดออก ถีบติณห์หงายหลังไป แล้วหันไปเก็บทองต่อ
ติณห์ลุกขึ้นพุ่งเข้าไปหากำนันพงษ์อีกครั้งเหวี่ยงหมัดเข้าปลายคางกำนันพงษ์ทั้งคู่แลกหมัดใส่กันอย่างไม่ลดราวาศอก
ขณะนั้นญาณินวิ่งลัดเลาะมาตามทางด้วยความร้อนใจ ไม่สนอันตรายใดๆ ที่จะเกิดขึ้น สายตาสอดส่ายมองหาติณห์และกำนันพงษ์ ญาณินตะโกนเรียกหาติณห์เป็นระยะๆ
ญาณินวิ่งเข้ามาที่มุมป่าเห็นติณห์และกำนันพงษ์อยู่ลิบๆ จึงรีบวิ่งเข้ามาอย่างไม่คิดชีวิต ติณห์ที่อ่อนล้าจากอาคมที่โดนกำนันพงษ์เล่นงานยังไม่ทันหายดีร่างกายเริ่มหมดกำลังเสียหลักล้มลง กำนันพงษ์ได้จังหวะขึ้นคร่อมร่างติณห์
“คิดจะมาสู้กะกูเหรอ ไอ้ติณห์ ฮ่าๆ”
กำนันพงษ์หัวเราะอย่างบ้าคลั่งพร้อมสาดหมัดเข้าใส่ติณห์ไม่รามือ ญาณินค่อยๆ ย่องเข้ามาทางด้านหลังกำนันพงษ์ ก้มลงไปหยิบท่อนไม้ขนาดเหมาะมือและฟาดลงไปเต็มแรงที่หัวกำนันพงษ์จนทั้งสองหยุดนิ่ง ติณห์ผลักกำนันพงษ์ออกแล้วตะเกียกตะกายแยกตัวออกมา ญาณินเข้าไปประคองติณห์ด้วยความเป็นห่วง
กำนันพงษ์ยกมือกุมไปที่หัวของเหลวสีแดงค่อยๆ ไหลออกมา กำนันพงษ์นิ่งไปชั่วอึดใจ จะลุกหนี ติณห์ผละออกมาจากญาณิน กระชากคอเสื้อไว้ กำนันพงษ์หันมาเหวี่ยงหมัดต่อยติณห์ ติณห์หลบได้ ญาณินร้องห้ามแต่ไม่เป็นผล
“คุณติณห์ อย่าค่ะ”
ติณห์สวนด้วยหมัดเต็มหน้ากำนันพงษ์จนล้มกระแทกพื้น ติณห์จะเข้าไปซ้ำแต่ญาณินรั้งเอาไว้ กำนันพงษ์ค่อยๆ ลุกขึ้นเปลี่ยนใจหันไปเก็บทองต่อแล้วจะหนี หันมาเจอติณห์ ติณห์เหวี่ยงทองแท่งที่ถือในมือเข้าเต็มหน้ากำนันพงษ์อย่างสุดแค้น
“ย้าก”
ทองแท่งกระทบหน้ากำนันพงษ์ กำนันพงษ์ร่วง ถุงทองร่วงจากมือ ฟุบหน้ากับพื้นเลือดไหลออกจากปาก
ติณห์ยืนกำหมัดหอบมอง
“พอเถอะกำนัน แกแพ้แล้ว”
“ฮ่ะๆ ใครว่าฉันแพ้”
กำนันพงษ์เก็บมีดหมอขึ้นมาจากพื้นจะฟันติณห์ แต่แล้วก็มีเงาดำของวิญญาณตายโหงที่หลุดมาจากหม้อกักวิญญาณของกำนันพงษ์พุ่งเข้าใส่ตัวกำนันพงษ์
“ฮะ อย่า อย่า”
ร่างกำนันพงษ์ถูกพาลอยไปชนกับต้นไม้ต้นหนึ่ง ถูกตรึงไว้บนนั้นพร้อมกับมีเงาดำจำนวนมากพุ่งรุมเข้าใส่พร้อมเสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บแค้นของวิญญาณ ร่างกำนันพงษ์ดิ้นทุรนทุรายตาเหลือกโปนมีเลือดไหลออกจากปากจากจมูกอย่างน่าสยดสยอง ญาณินที่วิ่งตามมาหาติณห์หยุดเงยหน้ามองภาพนั้นอย่างตกใจ
“ญาณิน”
“วิญญาณภูติผีที่ไอ้กำนันเคยไปกักขังทรมานไว้ เค้ามาเอาคืนมัน” ญาณินตัดสินใจทำตามทางของพวกเธอ
“หยุดเถอะท่านทั้งหลาย” วิญญาณทุกตัวเหมือนไม่สนใจญาณิน เงยหน้าพูดไปเงาดำของวิญญาณที่กำลังพุ่งเข้าใส่กำนันพงษ์ไม่หยุด “อย่าก่อกรรมทำเข็ญอีกเลย พวกท่านกำลังจะได้ไปเกิดอยู่แล้วอย่าสร้างบาปอีก อโหสิกรรมให้หมอผีโง่คนนี้เสียเถอะ ชั้นขอเถอะ”
ญาณินพูดพลางพนมมือขึ้นสวดแผ่เมตตา เหล่าวิญญาณภูติผีต่างพากันหยุด หันมามองปรากฏเห็นกระแสสีดำขุ่นมัวของเหล่าวิญญาณ ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีที่ผ่องใสขึ้น จากการสวดของญาณิน ทั้งหมดจึงยอมถอย ร่างของกำนันพงษ์ร่วงจากที่ถูกตรึงบนต้นไม้ลงมานอนกองอยู่ที่โคนต้นไม้ ทั้งคู่เดินเข้าไปหาแล้วส่ายหน้ามองร่างกำนันพงษ์ที่นอนกระอักเลือดดิ้นกระตุกทุรนทุราย
“คุณยังจะช่วยหมอผีนี่อีกเหรอครับ คนชั่วแบบนี้ น่าจะปล่อยให้มันรับกรรมที่มันเป็นคนก่อขึ้นมา” ติณห์บอก

“ชั้นปล่อยให้เค้ามีสภาพทรมานอยู่อย่างนี้ไม่ได้หรอก เค้าต้องได้รับกรรมแน่ แต่ตอนนี้ ชั้นจะต้องทำให้เค้าสงบลงเสียก่อน”

 
ญาณินสวดมนต์แผ่ส่วนกุศลแล้วแตะมือกำนันพงษ์ กระแสของญาณินผ่านเข้าร่างกำนันพงษ์ให้พอบรรเทาอาการของย้อนเข้าตัวเอง วิญญาณหลวงพิชัยภักดี กุมาริกาปรากฏขึ้น นั่งลงพนมมือฟังสวดอย่างอโหสิให้ ร่างของกำนันพงษ์ค่อยสงบลงจากอาการสั่นเทาทุรนทุราย แต่ดวงตากลับมองอย่างเหม่อลอยอย่างคนที่เสียสติไปแล้ว
 
“เจ็บนิดๆ นะ เจ็บนิดๆ นะ เจ็บเหมือนมดกัดนิดเดียว แสบเล็กๆ นะ แสบเล็กๆ นะ อีกสักแป๊บก็หายไป เจ็บจี๊ดๆ นะ เจ็บจี๊ดๆ นะ แบบอาลัยอยู่เหมือนกัน แต่เล็กๆ นะ แบบแป๊บๆ นะ เจ็บนิดๆ ไม่ถึงตาย”
กำนันพงษ์ร้องเพลงอย่างเลื่อนลอย ญาณินลืมตาขึ้น ยื่นมือไปจับกำนันพงษ์อย่างเมตตาพร้อมกับพูด
“กำนันต้องบวช เพราะทำกับคนอื่นเอาไว้มาก ของถึงกลับเข้าตัวแบบนี้บวชเสีย เพื่อสร้างบุญกุศลล้างบาปให้กับทุกวิญญาณที่ไปกักขังไปรังแกเค้าให้ทุกข์ทรมานแสนสาหัส ถ้ากำนันขืนไม่บวชก็มีแต่จะรับกรรมแสนสาหัสสถานเดียว”
ที่ตากำนันพงษ์มีน้ำตาไหลออกมา ญาณินและติณห์มองไปที่ร่างกำนันพงษ์อย่างเวทนา

วันรุ่งขึ้นเมื่อเนตรศิตางศ์ กรรณา กรรัมภา สุคนธรส หมอวรวรรธและก๊องเดินทางกลับถึงบริษัทซิกส์เซ้นส์
กรรณา กรรัมภา ก๊องรีบวิ่งแย่งกันเข้ามาในบ้านจะแย่งกันเข้าห้องน้ำ
“ชั้นเข้าก่อน อั้นมาตั้งแต่กาญจนบุรี”
“ไม่เอา เดี๋ยวแกแอบแต่งหน้านานอีก ชั้นเข้าก่อน”
“ผมก่อนล่ะกัน”
“เสียสละให้ผู้หญิงเลยไอ้ก๊อง”
ทั้งสามวิ่งหายเข้าไปในบ้าน หมอวรวรรธเปิดประตูให้ เนตรศิตางสุ์และสุคนธรสตามเข้ามา ทั้งสามมองตามกรรณา กรรัมภา ก๊องอย่างขำๆ
“ชั้นขอไปเก็บของก่อนนะ แล้วจะขอนอนสัก3วัน”
หมอวรวรรธยิ้มรับ สุคนธรสเข้าไปในบ้าน
“หมอเหนื่อยไหมคะ เดี๋ยวเนตรไปปั้นน้ำอะไรอร่อยๆ มาให้ดื่มแก้เหนื่อยดีกว่า”
โทรศัพท์ของหมอวรวรรธดัง หมอวรวรรธหยิบขึ้นมามองหน้าจอ ไม่สบายใจแว่บหนึ่งเพราะสุพิชชาโทรมา
“พิช”
เนตรศิตางศุ์พยักหน้าบอกให้รับสายเถอะ หมอวรวรรธจึงกดรับ
“ฮัลโหล”
สุพิชชาคุยโทรศัพท์อยู่ที่บ้านร้องไห้สะอึกสะอื้น
“หมอคะ คุณพ่อ คุณพ่อสิ้นแล้วค่ะ”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ” หมอวรวรรธตกใจ
“เมื่อตะกี้ค่ะ หมอที่โรงพยาบาลโทรมาบอก”
“ผมเสียใจเรื่องคุณพ่อด้วยนะพิช”
“ขอบคุณค่ะ หมอคะ หมอมาหาพิชหน่อยได้ไหมคะ พีชไม่เหลือใครแล้ว พีชอยากมีเพื่อน”
หมอวรวรรธมองเนตรศิตางศุ์ชั่งใจว่าแคร์ใครมากกว่า สุพิชชายิ่งร้องไห้เรียกคะแนนความสงสารจากหมอวรวรรธ
“พิชตอนนี้ผมไม่สะดวก ผมทำธุระอยู่ไปหาคุณไม่ได้ เอาไว้ผมจะไปงานสวดศพพ่อคุณที่วัดพรุ่งนี้นะครับ แค่นี้นะครับ สู้ๆ นะครับ พิชเก่งอยู่แล้ว”
“อะไรนะ”
สุพิชชาผงะ มองโทรศัพท์ ไม่เชื่อหู

หมอวรวรรธปิดโทรศัพท์นิ่งซึมไป กรรณา กรรัมภา ก๊องยืนแอบฟังเนตรศิตางศุ์กับหมอวรวรรธคุยกัน สุคนธรสออกมาจากหลังบ้านแล้วกำลังจะเดินเข้าไปอย่างไม่รู้อีโหน่อีโหน่ กรรณาดึงคอเสื้อสุคนธรสห้ามไว้ไม่ให้เข้าไป
“หมอน่าจะไปอยู่เป็นเพื่อนคุณพีชนะคะสงสารเธอ ในขณะที่เธอต้องการใครซักคนที่สุด บางทีหมอจะได้รู้ใจตัวเอง”
“ถ้าผมไปในเวลาแบบนี้ เค้าต้องตีความว่าผมคือคนพิเศษของเค้า ผมอาจจะใจร้ายนะเนตร แต่ผมอยากให้ปัญหานี้มันจบซะที”
“แต่หมอจะทิ้งเธอไว้ในวันที่เธอไม่มีใครเลยเหรอคะ”
“ผมจะไปในงานศพที่วัดไง ผมเป็นลูกศิษย์คุณพ่อเค้า ผมก็จะไปพร้อมๆ กับเพื่อนๆ ที่เป็นลูกศิษย์เหมือนกันทุกคนแต่ไม่ใช่ไปอยู่กะเค้าตามลำพังที่บ้านตอนนี้”
สุคนธรสทนไม่ได้เดินเข้าไปเลย
“ไปเถอะหมอ อย่าให้เนตรมันกลายเป็นคนใจแคบในสายตาคนอื่นเลย”
กรรณา กรรัมภา ก๊องตามสุคนธรสออกมา
“หมอไปเหอะ พ่อคุณพีชไม่ได้ตายบ่อยๆ ด้วย”
“หลังจากนี้ยัยนั่นคงไม่มีข้ออ้างอะไรมาตื๊อหมอแล้วล่ะ ไปเถอะเดี๋ยวเขาจะหาว่าหมอไม่แมนแบบปาร์คจุนจี”
“ปาร์คจุนจีเกี่ยวอะไร”
“เกี่ยว เพราะเป็นแฟนชั้น จบป่ะ”

หมอวรวรรธลังเล

 
หมอวรวรรธออกมาจากในบ้านกำลังไปที่รถมอเตอร์ไซค์ของตัวเอง กรรณาตามออกมา
 
“หมอ เดี๋ยว”
หมอวรวรรธหยุดหันไปหากรรณา
“ครับ”
“จริงๆ ชั้นก็ไม่ค่อยอยากให้เพื่อนชั้นมีแฟนหรอกนะ เพราะชั้นรู้ว่าผู้ชายส่วนใหญ่ค่อนข้างจะเฮงซวย แต่ถ้ามันเป็นความสุขของเพื่อน ชั้นก็ยอมอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ”
“คุณกรรณจะบอกอะไรผม”
“ชั้นจะเตือนว่า ถ้าหมอยังปล่อยให้ยัยลูกพีชเน่าโทรมาหาหรือมาจิกหมอไปเข้าเฝ้านางเมื่อไหร่ก็ได้เมื่อนางว้อนท์หมอก็อย่ามาพูดว่ารักเพื่อนชั้น เพราะชั้นจะฝังไว้ในหัวสมองว่าหมอสตอเบอรี่ งี่เง่าสมองหมาปัญญาควาย พอสบโอกาสเมื่อไหร่ชั้นจะกำจัดหมอไปจากชีวิตของเพื่อนชั้น โอเคปะ”
พูดจบกรรณาเดินกลับเข้าบ้าน หมอวรวรรธไม่สบายใจเลย
ที่บ้านพักติณห์ตอนนี้มีรูปหลวงพิชัยภักดีแขวนเด่นเป็นสง่าเรียบร้อยแล้ว ติณห์ ทนายสมชาติยืนมองหีบใส่ทองแท่งจำนวนมาก
“โอ้ เกิดมาไม่เคยเห็นทองเยอะขนาดนี้เลย รวมแล้วกี่บาทครับ”
“ไม่ต่ำกว่าร้อยล้านครับ”
“ร้อยล้าน มาคุณทนายช่วยกันยกขึ้นรถกันเถอะจะได้เอาไปฝากแบงค์”
“เดี๋ยวแบงค์เขาจะต้องคิดว่าคุณติณห์ปล้นร้านทองมาแน่ๆ เลย ฮ่าๆ”
ทั้งคู่หัวเราะกันร่วน ทนายสมชาติกับติณห์ช่วยกันยกหีบแต่ยกไม่ขึ้น หนักมาก สองหนุ่มหุ่นล่ำมองหน้ากันเหรอหรา ตั้งหลักใหม่ออกแรงมากขึ้น
“อึ๋บ”
แต่ก็ยังยกไม่ขึ้น
“ทำไมหนักจัง”
“เมื่อตะกี้คนงานยังยกมาจากเรือนไทยได้อยู่เลย”
“ถ้าคนอื่นยกได้ผมก็ต้องยกได้ ลองใหม่”
ทนายสมชาติกับติณห์ช่วยกันยกขึ้นใหม่ หีบลอยขึ้นจากพื้นนิดหนึ่งแล้ว
“คุณตาออกแรงอีกเซ่” กุมาริกาบอก หีบวางบนพื้น กุมาริกานั่งบนหีบเล่นไอแพด หลวงพิชัยภักดีวางสองมือไว้บนหลังกุมาริกาออกแรงกดหีบเอาไว้ไม่ให้ติณห์กับทนายสมชาติยกขึ้น
“คุณตาอยากให้เขาเอาทองไปให้คนชื่อ “แบงค์” หรือไงคะ”
“ไม่มีวัน ทองข้าใครอย่าแตะ อึ๋บ”
“อึ๋บ”
ติณห์กับทนายสมชาติออกแรงยกกันจนหน้าเขียว ตอนนี้หลวงพิชัยภักดีนั่งขี่หีบมีกุมาริกาซ้อนแบบขี่ม้า
“ทองข้า ใครอย่าแตะ”
ขณะนั้นญาณินกับป้าอรวรรณเดินกลับมาจากไปใส่บาตรพอดี
“ทำอะไรกันคะ”
“ผมกับทนายสมชาติจะเอาทองไปฝากแบงค์ แต่ยกเท่าไหร่ก็ยกไม่ขึ้น”
ญาณินหันไปเห็นกุมาริกานอนคร่อมหีบทอง ญาณินแปลกใจกุมาริการีบบอก
“คุณตา เขาไม่ยอมให้คุณติณห์เอาทองไปฝากคนชื่อแบงค์”
ติณห์มองตามสายตาของญาณิน
“มีอะไรหรือเปล่า”
“บอกมันไปเลยว่าชั้นจะยกทองให้เธอ 10 แท่ง” หลวงพิชัยภักดีบอก
“คุณตา บอกเจ๊ให้บอกคุณติณห์ว่าจะคุณตาจะยกทองให้พี่ณิน 10 แท่ง”
“ณินไม่เอาค่ะ”
“เอาอะไรครับ” ติณห์ถามอย่างแปลกใจเพราะไม่ได้ยินสิ่งที่หลวงพิชัยภักดีกับกุมาริกาคุยกับญาณิน
“แต่ชั้นให้เธอ” หลวงพิชัยภักดีบอกญาณิน
“เป็นผีต้องไม่คืนคำ เจ๊ต้องเอา”
“ขอตัวก่อนนะคะ”
ญาณินเดินออกไปเลย
“คุณหนู” ป้าอรวรรณรีบตามออกไป
“แม่หนูญาณินกลับมาเอาทองไปเดี๋ยวนี้” หลวงพิชัยภักดีตะโกนเรียก
ติณห์ ทนายสมชาติงง
ญาณินเข้ามาในห้องอึดอัดที่จะต้องเอาทองจากหลวงพิชัยภักดี ป้าอรวรรณตามเข้ามา
“คุณหนู คุณหนูเป็นอะไรไปคะ”
“ณินไม่อยากได้ทองของคุณหลวงแล้วค่ะ แท่งเดียวก็ไม่เอามันไม่ใช่ของๆ เรา”
“แต่มันเป็นค่าจ้างที่คุณหลวงกับคุณหนูตกลงกันไว้”
“ณินได้สิ่งตอบแทนที่มีค่ามากกว่าทองแล้ว ณินไม่ต้องการอะไรแล้วค่ะ”
ป้าอรวรรณยิ้ม เข้าใจว่าญาณินหมายถึงติณห์ แต่แซว
“ฮิ้วๆ”
“ป้าออ”
สองสาวต่างวัยหยอกกันอย่างสุขใจ
 
อ่านต่อหน้า 2 เวลา 12.00น.

The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 21 (ต่อ)


ที่บ้านพักติณห์ หลวงพิชัยภักดีตะโกนใส่หูติณห์

“ให้ทองหนูณิน 10 แท่งสิเว้ย ไอ้โง่”
ติณห์ไม่ได้ยิน เขากับทนายสมชาติช่วยกันนำทองแท่งในหีบที่จะยกแบ่งไปใส่หีบอื่น
“เหลือทองอยู่แค่นี้ ยกไม่ไหวก็ให้มันรู้ไป คุณทนาย”
ทนายสมชาติถลกแขนเสื้อ เอากระป๋องแป้งเทใส่มือเยอะมาก แล้วถูมือไปมาเหมือนนักยกน้ำหนัก
“สู้ๆ”
ทนายสมชาติจับหูหีบกำลังจะยกขึ้น หลวงพิชัยภักดีกระโดดไปกดหีบเอาไว้
“อย่า”
ทนายสมชาติเกือบจะยกขึ้น หลวงพิชัยภักดีหันไปเห็นกุมาริกานั่งเล่นไอแพดอยู่ก็บ่นไม่พอใจ
“นังหนู มัวแต่เล่นอะไรอยู่ มาช่วยกันคิดหาทางบอกหลานชั้นให้รู้เรื่องสิ”
“นี่ไง หนูกำลังช่วย หนูจะพิมพ์ข้อความจากเครื่องไอแพดส่งไปบอกที่มือถือคุณติณห์”
“เออ ดีๆ พิมพ์เลย”
“แต่หนูส่งไม่เป็น”
“อ้าว”
“โธ่โว้ย แล้วงี้เราจะบอกหลานชั้นได้ยังไง ว่าให้เอาทองแบ่งให้แม่หนูญาณิน 10 แท่ง”
จู่ๆ เสียงกำนันพงษ์ก็ดังขึ้น
“คุณหลวงไม่ต้องการให้พวกคุณเอาทองไปที่อื่น”
ทุกคนหันขวับไปมองกำนันพงษ์
“กำนันพงษ์”
“ระวังทองครับ”
ทนายสมชาติกระโดดขวางทองเอาไว้ กำนันพงษ์เอ๋อๆ หน้าเบลอๆ แต่งตัวโทรมเหมือนคนสติไม่ดี แต่สายตาของกำนันพงษ์จ้องหลวงพิชัยภักดีไม่วางตา
“เอ็งมองเห็นข้าเรอะ” หลวงพิชัยภักดีถาม
“ข้ารู้ ข้าเห็น ข้าได้ยิน เพราะข้าเป็นกำนันพงษ์ผู้ยิ่งหย่าย”
“สวรรค์ส่งคนมาช่วยเราแล้ว เย้ๆ”
กำนันพงษ์ดีใจด้วย
“เย้ๆ”
ทุกคนมองอาการกำนันพงษ์เหวอๆ
“จะดีเหรอคุณหลวง อย่าลืมสิว่ากำนันพงษ์ทำอะไรเราไว้บ้าง” กุมาริกาบอก
“ข้าว่ามันหมดฤทธิ์แล้วแหละ อีกอย่างข้าก็อโหสิกรรมให้มัน กรรมจะได้สิ้นสุดลงที่เราไม่ต้องจองเวรกันต่อไปถึงลูกหลานอีกแล้ว ตอนนี้ใครก็ตามที่ช่วยให้ข้าสื่อสารกับไอ้ติณห์ได้ข้ารักทั้งนั้น ไอ้กำนันพงษ์แกบอกไอ้ติณห์สิว่า ต้องให้ทองแม่หนูญาณิน 10 แท่ง”
“คุณหลวงบอกว่าให้เอาทองให้ญาณิน 10 แท่ง” ติณห์ ทนายสมชาติมองหน้ากันไม่แน่ใจ “ไม่เชื่อเหรอ ไม่เชื่อก็อย่าเชื่อ ไปกินเกลือที่บ้านตาแป๊ะ ไปนอนเปาะแปะให้ตาแป๊ะเล่นนม”
“ถ้ามันไม่เชื่อ เรียกไอ้ติณห์ว่าไอ้พ่อหัวเถิก”
“คุณหลวงสั่งให้เรียกว่าไอ้พ่อหัวเถิก”
“มายก๊อด”
“ฉายาคุณติณห์เหรอครับ” ทนายสมชาติถาม ติณห์ไม่ตอบคำถามสมชาติ เลี่ยงไปอย่างอื่น
“โอเคๆ ผมเชื่อแล้วว่าแกรนด์ปาอยู่ที่นี่”
“คุณหลวงจ้างญาณิน ให้ญาณินยอมอยู่ที่นี่ทำงานให้คุณหลวง เมื่อสำเร็จจะให้ทอง 10 แท่งเป็นค่าตอบแทน”
ติณห์กับทนายสมชาติอึ้ง
“เริ่ด”
กำนันพงษ์นึกขึ้นได้
“ทำงาน ใช่ เป็นกำนันต้องไปเยี่ยมชาวบ้าน เอาใจพวกมัน มันจะได้เลือกเราสมัยหน้าอีก”

กำนันพงษ์รีบร้อนออกไป หลวงพิชัยภักดีมองตามกำนันพงษ์อย่างสงสาร

 
เย็นวันเดียวกันนั้นเมื่อณัฐเดชชะลอจะจอดรถหน้าบ้านก็เจอหมอวรวรรธนั่งคร่อมมอเตอร์ไซค์คอยอยู่หน้าประตู หมอวรวรรธดีใจแต่ณัฐเดชแปลกใจ
 
ณัฐเดชชักปืนออกมาเช็คกระสุน
“แกมีธุระอะไรก็รีบว่ามา ชั้นเหนื่อยอยากพัก”
“ผมกับคุณเนตรรักกันครับ” หมอวรวรรธบอกอย่างไม่กลัว ณัฐเดชเริ่มไม่ไว้ใจ
“หา แก หมายความว่า บอกมาว่ากี่เดือนแล้ว” ณัฐเดชตบกระสุนเข้าที่ กำลังเล็งที่หมอวรวรรธ หมอวรวรรธสะดุ้งลุกพรวด
“ใจเย็นๆ ครับพี่ณัฐ ไม่ใช่อย่างนั้นครับพี่ เก็บปืนก่อนนะพี่เดี๋ยวผีผลัก”
ณัฐเดชยอมเก็บปืน
“งั้นปัญหาของแกคืออะไร”
“คือ ผมอยากจะบอกว่าผมรักคุณเนตร ผมไม่ได้คิดอะไรกับพีช นอกจากเห็นเป็นเพื่อนแต่ตอนนี้พ่อพีชตายพีชอยากให้ผมไปอยู่เป็นเพื่อนเขา แต่ผมไม่อยากไป”
“พ่อพิชตายแล้ว” ณัฐเดชนึกเป็นห่วงสุพิชชา หมอวรวรรธสังเกตเห็นสีหน้าของณัฐเดช
“พี่รักพีชใช่ไหม”

ณัฐเดชปั้นหน้าเป็นปกติ
“ชั้นอนุญาตให้แกมายุ่งเรื่องของชั้นตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ถ้าพี่รักพีช พี่ลองให้โอกาสตัวเองกับพีชดูอีกครั้งไหม”
“นี่แกเห็นชั้นเป็นอะไร ที่จะต้องคอยรับผู้หญิงที่แกไม่เอาแล้ว ไอ้...”
ณัฐเดชชก หมอวรวรรธหลบ ณัฐเดชวืดเซล้ม หมอวรวรรธเข้าไปคุกเข่าตรงหน้า
“พี่รักเขาหรือเปล่า นี่คือประเด็นนะครับ ถ้าพี่รักพีช เรื่องอื่นก็ไม่สำคัญนะครับพี่”
ณัฐเดชอึ้ง

สุพิชชาใส่ชุดดำหน้าตาเศร้าหมอง กำลังเดินไปมาโทรศัพท์บอกญาติเรื่องพ่อเสีย
“ตั้งศพเจ็ดวันค่ะ ค่ะ วันนี้รดน้ำไปแล้วค่ะ แล้วพบกันที่วัดนะคะ”
สุพิชชาวางสาย เลขาเข้ามา
“คุณพีชคะ มีแขกมาขอพบค่ะ”
“หมอตาหนู ทำไมคุณเพิ่งมา” สุพิชชาลุกขึ้น หันไปทางประตูอย่างดีใจ ณัฐเดชใส่ชุดดำเข้ามาสุพิชชาหุบยิ้ม ผิดหวัง “พี่ณัฐ”
เลขาออกไป
“พี่เสียใจด้วยนะพีช”
“พี่ณัฐรู้ได้ไงคะ”
“หมอตาหนู บอกพี่”
“หมอตาหนู”
สุพิชชาโกรธจนเซจะเป็นลม ณัฐเดชปราดเข้าไปประคอง
“พิช นั่งก่อน” ณัฐเดชประคองสุพิชชานั่งบนเก้าอี้ สุพิชชาร้องไห้สะอึกสะอื้นโกรธที่หมอวรวรรธไม่มา ณัฐเดชมองสุพิชชาด้วยความสงสาร “พีชใจเย็นๆ พีชมีปัญหาอะไร บอกได้ทุกอย่างนะจ๊ะ”
ณัฐเดชยื่นมือไปกุมมือสุพิชชา สุพิชชาสะบัดมือ โมโห น้อยใจ พาลไปหมด
“พี่ณัฐคงอยากสมน้ำหน้าพีช ที่พีชเคยทิ้งพี่ไปหาหมอตาหนูแต่ตอนนี้เขากลับไม่สนใจพีช”
“พี่ไม่เคยคิดแบบนั้น”
“พี่ณัฐกับน้องสาวรวมหัวกันแกล้งพิช”
“อะไรนะ”
“พี่ณัฐคิดยังไงที่ยอมยกน้องสาวให้หมอตาหนู พี่คิดเอาน้องตัวเองมาแลกกะพีชเลยเหรอคะ”
ณัฐเดชพยายามไม่ถือสา
“พิช พิชกำลังเสียใจ พิชคงเครียด”
“ใช่สิ พิชเสียใจ พิชเครียด เพราะพวกผู้ชายแบบพี่ไง พิชไม่ใช่ลูกเทนนิสนะคะที่จะผลัดกันตีไปตีมา ระหว่างผู้ชายสองคนน่ะ”

ณัฐเดชอึ้ง

 
ที่บริษัทซิกส์เซ้นส์ เนตรศิตางศุ์กำลังนั่งทำงานซึมๆ อยู่ลำพัง จู่ๆ ก็มีผีโผล่ขึ้นมาข้างตัว
 
“วันนี้คุณเห็นผีแล้วหรือยัง”
“ว้าย”
เนตรศิตางศุ์ร้องออกมาด้วยความตกใจ หมอวรวรรธรีบถอดหน้ากากผีออก
“ผมเองคุณเนตร”
“หมอ” เนตรศิตางศุ์ตีหมอวรวรรธแก้เขิน “ห้ามแกล้งอย่างงี้อีกนะ เนตรกลัวผี”
“ขอโทษค่ะ ล้อเล่นนะ”
เนตรศิตางศุ์รู้สึกตัว กลับมาขรึมเหมือนเดิม
“คุณพีชเป็นยังไงบ้างคะ”
“ไม่รู้สิ ผมว่าจะไปสวดพรุ่งนี้ กับเพื่อนๆ หมอด้วยกัน”
“ทำไมล่ะคะ ไม่กล้าเจอเค้าสองต่อสองตอนร้องไห้หาพ่อเหรอหรือว่าคุณกลัวใจตัวเอง”
“คุณเนตร ป่านนี้แล้วยังไม่ไว้ใจผมอีกเหรอ”
“ค่ะ จะว่าอย่างนั้นก็ได้เนตรยอมรับว่าเนตรกลัวความผิดหวัง”
“ไม่ต้องกลัวหรอกเนตร” เนตรศิตางศุ์กับหมอวรวรรธหันไปเห็นณัฐเดชยืนอยู่ก็แปลกใจ ณัฐเดชเดินเข้าไปจับมือเนตรศิตางศุ์ “เพราะพิชไม่น่ารักเหมือนน้องสาวพี่ ถ้าใครรักหรือเลือกพิชแทนเนตรก็บ้าแล้ว จริงมั้ยไอ้หมอ”
“จริงที่สุดเลยครับ”
เนตรศิตางศุ์เริ่มยิ้มออก ณัฐเดชมองหน้ากับหมอวรวรรธ ส่งผ่านสายตาว่าห้ามทำให้น้องฉันเสียใจ

คืนนั้นติณห์นั่งซึมอยู่หน้าบ้าน ทนายสมชาติเดินเข้ามาหา
“ที่ญาณินทำดีกับผม เพื่อทองใช่ไหมครับ”
“ทำไมคุณติณห์คิดอย่างนั้นล่ะครับ”
“เพนนีรักผมเพราะอยากได้ที่ ญาณินทำดีกับผมเพราะทอง ถ้าผมไม่มีอะไรคงจะไม่มีใครสนใจคนอย่างผมหรอก”
“คุณญาณินเสี่ยงชีวิตช่วยคุณไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ยอมเสี่ยงชีวิตช่วยคุณหลวงจนเกือบจะเป็นวิญญาณเรร่อนคุณเอง คุณติณห์ คุณก็ช่วยคุณญาณินโดยไม่เสียดายแม้กระทั่งชีวิตตัวเอง อย่าว่าแต่ทองคำ 10 แท่งเลยครับ 1000แท่งยังเทียบไม่ได้กับความจริงใจที่คุณสองคนมีให้กันเลย” ติณห์ใบหน้าเรียบเฉย คิดทบทวน “ผมเข้านอนก่อนนะครับ”
ทนายสมชาติเดินกลับเข้าบ้าน
กลางดึกคืนนั้นที่นาฬิกาเข็มบอกเวลาตี 1 กรรณาเดินออกมาจากห้องนอนจะไปเอาน้ำเห็นก๊องนอนหลับหน้าทีวี กรรณาส่ายหน้าเดินมาปิดทีวี แล้วหางตาหันไปเห็นสุคนธรสนั่งคนเดียวในกลาสเฮ้าส์ สุคนธรสนั่งร้องไห้อยู่คนเดียวกรรณาเดินเข้ามาหา สุคนธรสรีบปาดน้ำตา ไม่อยากให้เพื่อนเห็น
“แกนี่มันแข็งนอกอ่อนในนะยัยรส แกรักนายไตวายมากใช่ไหม” สุคนธรสพยักหน้ายอมรับ “แล้วปฏิเสธคำขอแต่งงานเขาทำไม”
“วันที่สู้กับไอ้หมอสมคิด แค่หมอสมคิดทำภาพลวงตาว่าเป็นยัยเคธี่ นายไตรถึงกับวางมีด ยอมตาย แล้วแกคิดว่าชั้นควรจะแต่งงานกับเขาเรอะ”
“ก็ไม่ควร”
“ลึกๆ แล้วใจเขายังรักยัยเคธี่อยู่ตลอด”
“ถ้าแต่งแล้วไม่ได้เป็นที่หนึ่งจะแต่งหาพระแสงอะไรวะ”

สุคนธรสพยักหน้า แล้วจู่ๆ ก็ร้องไห้โฮออกมาดังลั่น กรรณาเข้าไปกอดปลอบสุคนธรส

 
วันต่อมาติณห์ยืนอยู่หน้ารูปหลวงพิชัยภักดี
 
“แกรนด์ปาครับ ตอนนี้ผมสบายใจแล้ว คนไม่ดีทั้งหลายแพ้ไปหมดแล้ว ผมสัญญาผมจะทำที่นี่ให้ดี ไม่ให้แกรนด์ปาผิดหวัง ผมขอโทษด้วยที่เคยเข้าใจแกรนด์ปาผิด ผมรู้จริงๆ ในใจลึกๆ ของผม ผมเชื่อว่าแกรนด์ปาของผมเป็นคนดี ไม่โกงชาติโกงแผ่นดิน”
หลวงพิชัยภักดียืนข้างๆ ติณห์ หลวงพิชัยภักดีเบะหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้นแต่ติณห์ไม่เห็น
“ตารอฟังคำนี้จากเอ็งมานานเหลือเกินหลานเอ้ย”
“ผมจะเขียนหนังสือเล่าประวัติที่แท้จริงของแกรนด์ปา เพื่อกอบกู้ชื่อเสียงของแกรนด์ปาและตระกูลเราให้กลับคืนมา”
“คุณอยากให้ชั้นช่วยเรียบเรียงเป็นภาษาไทยให้มั้ย”
ญาณินถาม ติณห์หันไปมองเห็นญาณินเดินเข้ามา
“คุณเรียกแพงไหม ผมอาจมีเงินไม่มากพอ”
“ชั้นไม่ได้ทำเพื่อเงิน หรือทอง”
“แล้วทำเพื่ออะไร”
“เพื่อคุณหลวง”
“เพราะแกรนด์ปาจ้างคุณด้วยทอง คุณจึงยอมทำเพื่อท่าน”
ญาณินไม่พอใจจึงพูดประชด
“ใช่ค่ะ ชั้นมันเป็นคนไม่จริงใจ ใครให้ทำอะไรก็ทำ ถ้ามีสิ่งตอบแทนมากพอ”
“ไอ้บ้าติณห์ ไม่รู้เลยหรือไงวะ ผู้หญิงพูดแบบนี้ แสดงว่าผู้หญิงกำลังประชด ง้อสิวะง้อ” หลวงพิชัยภักดีบอก
“ที่ผมจ้างคุณไป ก็คงจะมากพอ คุณถึงยังทำอยู่”
“คุณจะคิดยังไงก็เรื่องของคุณ”
ญาณินจะเดินไป
“ปากไม่ตรงกับใจกันเล้ย ต้องเหนื่อยเราอีกแล้ว”
หลวงพิชัยภักดียกมือสองข้างขึ้นกระพือๆ ประตูบ้านปิดปัง ญาณินออกจากบ้านไม่ได้
“คุณหลวง หนูขี้เกียจคุยกับคนไม่มีเหตุผลแล้วค่ะ เปิดประตูด้วยค่ะ”
“คุณ” ญาณินหันมา คิดว่าติณห์จะง้อ “ประตูอีกด้านก็มีนะ” ติณห์ชี้ไปที่ประตูอีกบานที่เปิดอยู่
“รู้แล้ว” ญาณินรีบเดินฉุนจะออกประตู หลวงพิชัยภักดีกระพืออีก ประตูปิดปัง “คุณหลวงเปิด ไม่เปิดเหรอ ได้”
ญาณินจะออกทางหน้าต่าง หลวงพิชัยภักดีปิดอีก ปัง ปัง ปัง ระหว่างนั้นติณห์ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาและญาณิน แล้วตัดสินใจ
“ผมไม่มีอะไรจะให้คุณแล้ว คุณถึงไม่อยากอยู่กับผมหรือไง”
“ชั้นไม่อยากอยู่กับคนที่มองชั้นในแง่ร้าย” ญาณินตะโกนตอบ
“หรือว่าไม่จริง คุณทำดีกับผม ห่วงใยผมจนผมรักคุณก็เพราะทองแค่ 10 แท่ง”
“ถ้าคุณคิดอย่างงั้นก็แล้วแต่คุณเถอะค่ะ คนบ้าบอขี้ดูถูกน้ำใจคนอื่น ชั้นไม่มีอะไรจะต้องพูดอีกแล้ว”
ญาณินหาทางออก ติณห์พุ่งไปกอดจากด้านหลัง
“คุณต้องพูดออกมาเดี๋ยวนี้ว่าคุณเกลียดผม ผมจะได้ตัดใจจากคุณได้สักที”
ญาณินดิ้นอยู่ในอ้อมกอดของติณห์
“ไม่”
“คุณต้องพูด”
“ไม่”
“ทำไม”
“เพราะชั้นไม่อยากโกหก คุณจะมองว่าชั้นไม่จริงใจเห็นแก่เงินไม่ได้หวังดีกับคุณก็เรื่องของคุณ แต่อย่าให้ชั้นพูดโกหกว่าชั้นไม่รักคุณ”

ญาณินบอกทั้งน้ำตา และทันทีที่พูดจบติณห์ก็โน้มหน้าจูบปากญาณินทันที ญาณินตาโตแล้วค่อยๆ หลับตาพริ้มเคลิ้มไปกับสัมผัสของติณห์ มือญาณินโอบกอดติณห์ หลวงพิชัยภักดียืนมองฉากรักของติณห์กับญาณิน หัวเราะคิกคักชอบใจ
“ไอ้ติณห์ก็หล่อ หนูณินก็สวย เราต้องเกิดมาหน้าตาดีแน่ๆ”
“ผมรักคุณ”
ติณห์จะจูบญาณินต่อ ทันใดนั้นประตูเปิดผ่างป้าอรวรรณยืนอยู่เห็นภาพโรแมนติกของติณห์กับญาณินก็รีบปิดตา
“ว้าย”
ติณห์กับญาณินกระเด้งออกจากกัน ทำหน้าไม่ถูกกันเลยทีเดียว หลวงพิชัยภักดีถึงกับเซ็ง
“มีมารผจญจนได้ เฮ้อ”

“คุณหนู ผู้หญิงเรา ต้องรักนวลสงวนตัว อย่าชิงสุกก่อนห่ามสิคะ”
 
อ่านต่อ หน้า 3

The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 21 (ต่อ)


หมอวรวรรธกับเนตรศิตางศุ์พากันมาทำบุญที่วัด ทั้งคู่ถวายสังฆทานพระจากนั้นก็ปล่อยปลาแล้วกรวดน้ำฟังพระสวดอย่างสงบและส่งใจไปให้ดวงวิญญาณทั้งหลาย

หมอวรวรรธเอาน้ำที่ใช้กรวดน้ำมารดที่ใต้โคนต้นไม้ใหญ่นอกศาลาการเปรียญ
“หวังว่าดวงวิญญาณทุกดวงที่ผมผ่าชันสูตรศพคงจะได้รับส่วนบุญที่ผมทำไปให้”
เนตรศิตางศุ์มองไปเห็นกลุ่มวิญญาณยืนมองมาที่หมอวรวรรธด้วยสีหน้าอิ่มบุญ ก่อนจะหันเดิน หายไป เนตรศิตางศุ์ยิ้มอย่างสุขใจ
“ค่ะ ทุกดวงวิญญาณได้รับ”
“หื้อ อย่าบอกนะว่าคุณเห็นทุกคนมาที่นี่น่ะ”
เนตรศิตางศุ์ยิ้มแทนคำตอบ
“ต่อไปจำเอาไว้นะคะหมอ ต้องหาโอกาสทำบุญตักบาตร การทำบุญ ทำให้เราอ่อนน้อมถ่อมตน มีความเอื้อเฟื้อ ทำให้เราลดความโลภ ความเห็นแก่ตัว”
“ผมไม่ค่อยมีเวลา”
“คนเรามีเวลาเท่ากันค่ะ แล้วแต่เราจะให้ความสำคัญกับอะไรต่างหาก”
“จ้า”
“อย่างน้อยที่สุด การทำบุญก็คือการช่วยต่ออายุพระศาสนาให้ยังคงอยู่สืบไป หมอทราบไหมคะ เนตรเคยเห็นภาพสตรีชาวมุสลิมที่ 3 จังหวัดภาคใต้ ใส่บาตรให้กับพระสงฆ์ของศาสนาพุทธ เพราะเค้าคงเห็นว่าแถวนั้นพระของเราลำบาก ทั้งๆ ที่เค้าก็คงไม่ได้เชื่อเรื่องทำบุญแบบชาวพุทธอย่างเรา แต่เค้าก็ทำเพราะความมีน้ำใจ เนตรว่านี่คือกุศลที่บริสุทธิ์มากเลย”
“เพราะเค้าต้องการที่จะให้เท่านั้น ไม่ได้คิดหวังผลบุญอะไรตอบแทนหรอก”
“ค่ะ เพราะเมื่อเราตายไป เราก็ไม่ต้องเป็นวิญญาณหิวบุญ เที่ยวมารอขอความช่วยเหลือให้คนอื่นช่วยทำบุญให้ที”
“เหมือนวิญญาณที่น่าสงสารพวกนี้”
“ค่ะ”
ทั้งสองเดินผ่านไปในบริเวณวัดที่มีต้นไม้ร่มรื่นแต่แล้วหมอวรวรรธต้องชะงักหน้าซีดอีกครั้งเมื่อหูแว่วได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้อยู่ใกล้
“เอ่อ คุณเนตรครับมีผีมาร้องไห้ขอส่วนบุญจากผมอีกแล้วล่ะครับ”
“ผีที่ไหนคะ” เนตรศิตางศุ์มองหาแล้วก็เห็นสุพิชชาในชุดดำไว้ทุกข์ มือหนึ่งถือรูปพ่อ อีกมือกำลังเทน้ำจากการกรวดน้ำลงที่โคนต้นไม้พลางสะอื้น “ไม่ใช่ผีหรอกค่ะหมอ ดูโน่นซีคะ”
หมอวรวรรธมองไปเห็นสุพิชชาปาดน้ำตาหันมามองพอดี หมอวรวรรธคว้ามือเนตรสิตางศุ์มากุมไว้แล้วพาเดินเข้าไปหาสุพิชชา
สุพิชชายืนถือรูปถ่ายหน้าศพของพ่อ มองทั้งคู่เดินเข้ามาหา ตาแอบจับจ้องไปที่มือหมอวรวรรธที่กุมมือเนตศิตางศุ์แน่น
“ไม่คิดว่าจะมาเจอคุณที่นี่”
“ฉันมาทำบุญให้คุณพ่อน่ะค่ะ”
“แล้วเมื่อไหร่ทำบุญครบร้อยวัน ผมกับเพื่อนๆ ร่วมรุ่นจะมาร่วมกันเป็นเจ้าภาพเลี้ยงพระด้วยนะครับ”
“ขอบคุณ คุณมีน้ำใจมาก”
“พิช คุณเป็นคนเก่ง คุณจะผ่านช่วงเวลานี้ไปได้อย่างสง่างามแน่ๆ”
“แน่นอนค่ะ คนเก่ง ต้องผ่านเรื่องแย่ไปได้ ตามลำพังคนเดียวเสมอ ไม่เหมือนพวกอ่อนแอ นุ่มนิ่ม ปวกเปียก ดัดจริตที่ต้องมีคนช่วยประคับประคองเคียงข้าง พีชไม่ใช่ผู้หญิงประเภทไม่มีกระดูกสันหลังแบบนั้น ที่เดินคนเดียวก็ไม่ได้ ต้องคอยจับมือใครตลอดๆ”
เนตรศิตางศุ์ยิ้ม หันไปมองหมอวรวรรธ

“หมอตาหนูคะ คุณนี่แย่มากใช้ไม่ได้ เดินคนเดียวไม่ได้ต้องคอยจับมือชั้นตลอดๆ” เนตรศิตางศุ์ปลดมือออก “หัดอายสุภาพสตรีที่เข้มแข็งอย่างคุณพิชบ้างนะคะ”

 
สุพิชชามองเนตรศิตางศุ์อย่างเยือกเย็น
 
“ฉันดีใจกับคุณค่ะ ที่เห็นตาหนูรักคุณมากขนาดนี้ ขอให้รักกันไปนานๆ นะคะ ฉันจะคอยอวยพรให้”
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
“สู้ๆ นะครับพิช”
“สู้ตายค่ะ แล้วเราคงจะได้พบกันอีก”
เนตรศิตางศุ์กับหมอวรวรรธส่งยิ้มให้ สุพิชชายิ้มตอบน้อยๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากมาสีหน้าเปลี่ยนเป็นเคียดแค้นทันที

พอแยกจากสุพิชชา หมอวรวรรธแอบมองหน้าเนตรศิตางศุ์เป็นระยะๆ แต่เนตรศิตางศุ์ก็ทำหน้าพริ้มๆ ยิ้มๆตลอดเวลา
“เนตร ไม่หวั่นไหวนะ”
“เรื่องอะไรคะ”
“ก็ ผมเป็นต้นเหตุให้เนตรต้องโดนพีชเค้าระบายอารมณ์ใส่”
“เนตรก็เซ็งล่ะค่ะ เพราะเนตรอยู่ของเนตรดีๆ แต่ก็ต้องมีศัตรู แต่จะให้เนตรเป็นนางเอกยอมนิ่งให้เค้าใส่ข้างเดียวก็คงไม่ได้ ทั้งๆ ที่เนตรไม่อยากทำร้ายใครเลย”
“ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง แต่ผมเป็นคนซื่อสัตย์นะเนตร รักเดียวใจเดียว”
“ประเดี๋ยวเดียว”
“โหย ไม่ใช่เลย”
“เข้าใจค่ะ ความรักก็คงจะเป็นแบบนี้แหละ ทำให้เราสุข ทำให้เราทุกข์ ทำให้เรางี่เง่า ทำให้เรารำคาญ แต่เราก็รักไปแล้ว”
“ผมขอให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ แล้วเนตรจะได้เห็นว่าเนตรจะไม่เสียใจที่รักผม”
“ค่ะ เพราะถ้าเนตรเสียใจ คุณก็คงเสียชีวิต พี่ณัฐคงไม่เอาคุณไว้แน่”
“ชะอุ๋ย”
หมอวรวรรธทำคอย่น เนตรศิตางศุ์มองแล้วขำ หมอวรวรรธทำหน้าตลกต่างๆ ใด้ดูจนเนตรศิตางศุ์ต้องหัวเราะออกมา

ที่รีสอร์ทของติณห์ กำนันพงษ์กำลังนั่งกินอาหารอยู่โดยมีติณห์นั่งดู
“ใจดีเนอะ คุณตีนนน ใจดีให้ขนมผมกินตล๊อดๆ”
“กำนันก็เคยดีกับผมนี่นา” ติณห์บอกอย่างเวทนา
“คงจะบ้ากู่ไม่กลับแล้วล่ะค่ะคุณหนู อยากสร้างกรรมไว้เองก็ปล่อยให้เค้าชดใช้กรรมไปเถอะค่ะ” ป้าอรวรรณบอก
“ไม่ได้หรอกป้าออ”
ญาณินมองแล้วเดินไปทรุดนั่งขัดสมาธิลงที่ใต้ต้นไม้
“คุณหนูจะทำอะไรอีกคะ”
“ไม่รู้จะทำได้แค่ไหนนะคะ จะลองพยายามดู” ว่าแล้วญาณินก็หลับตาลง พนมมือกล่าวอัญเชิญเจ้ากรรมนายเวรของกำนันพงษ์ “ข้าพเจ้าขออโหสิกรรมแทนกำนันพงษ์ พงษ์พิศ ขอให้เจ้ากรรมนายเวรของกำนันพงษ์ พงษ์พิศ อโหสิกรรมให้แก่ชายผู้นี้ อย่าได้จองกรรมกันต่อไปเลย กรรมใดที่ชายผู้นี้ กระทำแก่ผู้ใดในชาตินี้หรือชาติไหนๆ ขอให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ได้โปรดยกถวายพระพุทธเจ้าเป็นอภัยทาน เพื่อจะได้ไม่มีเวรกรรมต่อกันไปในชาติภพหน้าด้วยเทอญ”
กล่าวเสร็จญาณินก็สวดมนต์ เพียงครูเดียวกำนันพงษ์ก็ร้องลั่นอย่างผวาหันมองไปบนอากาศ
“อย่า อย่า ฉันกลัวแล้ว อย่าทำอะไรฉันเลย อย่า”
กำนันพงษ์ยกมือกันหน้าร้องลั่นอย่างหวาดกลัว เหล่าวิญญาณเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายพากันลอยหมุนรอบๆ ตัวกำนันพงษ์เป็นวงกลม เร็วขึ้นๆ ป้าอรวรรณตะลึงมอง กลัว รีบเอาพระที่คอออกมาไหว้
กำนันพงษ์ราวกับถูกดูดลุกขึ้นยืนเงยหน้าตัวแข็ง เกร็ง ตาค้าง เห็นเงาดำซึ่งเป็นคุณไสย์พุ่งออกจากร่างเป็นเสี่ยงๆ ดูดเข้าไปอยู่กับกลุ่มเจ้ากรรมนายเวรที่หมุนอยู่รอบตัวจนกระทั่งหมด เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายก็จางหายไป ขณะที่กำนันพงษ์ทรุดลงนั่งหมดแรง ร้องไห้
ญาณินออกจากสมาธิ ลืมตาขึ้น รีบลุกเข้าไปดูกำนันพงษ์
“เป็นไงบ้างกำนัน”
“มาช่วยฉันไว้ทำไม ทำไมไม่ปล่อยให้ฉันตาย” กำนันพงษ์ร้องไห้อย่างขมขื่น

ติณห์ ญาณิน ป้าอรวรรณ มองกันอย่างอนาถ

 
เวลาผ่านไป รีสอร์ทติณห์เป็นรูปเป็นร่างโครงสร้างภายนอกเกือบเสร็จเรียบร้อยแล้ว ติณห์พากำนันพงษ์ที่แต่งตัวสะอาด ตัดผม โกนหนวด หน้าตาสดใส เข้ามา
 
“กำนันพงษ์ แน่ใจนะครับ ว่าพร้อมแล้ว” ติณห์ถาม
“ผมพร้อมแล้ว เจ้ากรรมนายเวร อาจจะอโหสิให้ผมแล้ว แต่คนที่ผมเคยทำกับเค้าเอาไว้ ยังมีอีกหลายคดี ที่ผมหนีอยู่”
กำนันพงษ์บอกอย่างสงบ ทนายสมชาติพาตำรวจเข้ามา
“เชิญครับ สารวัตร”
ตำรวจเข้ามาต่างก้มหัวให้กำนันพงษ์
“กำนันพงษ์ สบายดีนะครับ”
“สบายดี สารวัตร”
“อย่างที่ผมบอกครับสารวัตร ว่ากำนันเวลานี้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ไม่ได้เป็นโรคจิตแต่อย่างใดเลยครับ เขาตั้งใจ ที่จะขอมอบตัวให้ทางตำรวจพาไปดำเนินคดีตามกฏหมายจริงๆ”
“นี่นะครับ หมายจับมีอยู่ 5 คดี ฉ้อโกง ขู่กรรโชก ทำร้ายร่างกาย กักขังข่มขืนใจทำให้สูญเสียอิสรภาพ แล้วก็อันนี้ครับ อุ้มฆ่าและทำลายศพ” ตำรวจบอก
“อือ ผมก็หลงคิดว่า เวลาที่เรามีอำนาจวาสนาเงินทองอิทธิพลแล้วกรรมมันจะไม่มีทางตามทันซะอีก”
ตำรวจรีบเข้าไปใส่กุญแจมือกำนันพงษ์
“เขาขอมอบตัวเองโดยดี คงไม่ต้องสวมกุญแจมือมั้งคะ อย่างน้อยเค้าก็เคยเป็นกำนัน เคยทำประโยชน์ให้กับท้องถิ่นที่นี่มาก็ไม่น้อย” ป้าอรวรรณบอก
“ผมไปช่วยดูแลเองครับ เผื่อจะช่วยว่าความอะไรได้”
“ขอบคุณครับ ทนายสมชาติ แต่ผมตั้งใจจะสารภาพทุกข้อหาไม่สู้คดีอะไรเลย”
“ครับ ดีครับ แบบนี้จะช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้ ทุกคดีครับ”
“เดี๋ยวป้าไปเป็นเพื่อนคุณทนายนะค่ะคุณหนู”
“ค่ะ”
ติณห์ ญาณิน มองทนายสมชาติและป้าอรวรรณที่ตามตำรวจและกำนันพงษ์ออกไป ติณห์ยกแขนขึ้นโอบญาณิน
“เฮ้อ ญาณิน โชคดีนะที่ยังมีคนทำผิดแล้วรู้จักกิลตี้กันบ้าง”
“สำนึกผิดค่ะ”
“สำนึกผิด ใช่”
“คนสำนึกผิด และยืดอกยอมรับผิดอย่างสง่านี่เท่มากเลยนะคะ”
“คนที่ให้อภัย และช่วยเหลือศัตรูอย่างเรานี่ ผมว่าก็เท่เหมือนกันนะ”
“เท่มากๆ เลยค่ะ”
ทั้งสองโอบกอด ยิ้มชื่นชมกัน

สุคนธรสซ้อนท้ายก๊องถือถุงกับข้าวกำลังกลับเข้ามาในซอย แล้วสักพัก รถสะอึก แท่กๆ จนต้องจอดรถ
“รถเป็นไรอะ ก๊อง”
“ไม่รู้ดิพี่”
“น้ำมันหมดป่าว”
“น่าจะเป็นระบบไฟนะ”
ทันใดมีรถตู้คันนึงแล่นมาจอดประกบทั้งสองหันไปมอง ประตูรถตู้เปิดออก เสี่ยจำเริญ เจ๊หญิง เสาวภากรูลงมาเข้าล็อคตัวสุคนธรส
“หา เสี่ย เจ๊หญิง เย้ย...อะไรกัน”
“เร็วๆ ขึ้นมาๆ”
ก๊องเข้าร่วมขบวนด้วย
“อย่าขัดขืนดีกว่า เจ๊ถ้าไม่อยากให้ผมเจ็บตัว”
“อะไรนะ ไอ้ก๊อง แก”
“อ่ะ หนูก๊อง” เจ๊หญิงส่งเงินให้1พัน
“นี่ แกขายชั้น แค่พันเดียวเองเหรอ”
“นี่คือการอุ้ม ไปเลยไป ไปเลยไป”
“จะเอาตัวหนูไปไหนคะ”

สุคนธรสโวยวายแต่ก็โดนดันขึ้นรถไป ประตูปิดลง ปัง รถตู้แล่นออกไป ก๊องลั้นลาเอาตังค์ใส่กระเป๋ากางเกงแล้วขี่มอเตอร์ไซค์ต่อโดยที่มอเตอร์ไซค์ไม่มีปัญหาอะไรเลย

 
รถตู้ขับมาจอดที่ชายทะเล เสี่ยจำเริญ เจ๊หญิง เสาวภาพากันลากสุคนธรสลงมาที่หาด
 
“มันไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ” สุคนธรสบอก
“หนูสุคนธรส นึกว่าสงสารลูกชายเจ๊เถอะ”
“คุยกะมันหน่อยนะ ให้โอกาสมันซักครั้ง”
“เราพูดกันจบแล้วค่ะ เราควรให้โอกาสซึ่งกันและกัน ให้เค้าสมหวังกับคนที่ใช่ ไม่ดีกว่าหรือคะ เพราะถึงยังไง หนูก็คือคนที่ไม่ใช่”
“หนูสุคนธรส ไม่มีคนที่ใช่กว่าหนูอีกแล้ว ยัยเคธี่มันเคยทิ้งไตร ทำให้ไตรอกหักแทบตายไตรมันรับความผิดหวังอีกไม่ได้แล้ว หนูไม่รู้เหรอว่าอาตี๋น้อยมันเป็นคนหัวใจมีบาดแผล หนูยังจะไปตอกย้ำซ้ำที่เดิม”
“เจ๊ ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ”
“นั่นไง หนูเข้าใจแล้ว ปกติคนจีนเค้าจะหวงลูกชายจะตาย แต่นี่ทำไมสนับสนุนจังเลย แต่ก่อนหนูก็นึกว่าเพราะหนูมีวิชาอาคมช่วยปกป้องเค้าได้ ตอนนี้หนูรู้แล้วที่จริงเพราะนายไตรรัตน์มีแผลใจ ต้องการคนมารักษาเยียวยาต่างหาก หนูขอบอกทุกคนนะคะว่าหนูไม่ใช่ตัวสำรอง หนูไม่ใช่ตัวแทนของยายคาที่”
สุคนธรสน้ำตาไหล หันกลับวิ่งหนี แต่ไตรรัตน์โผล่มาขวาง
“คุณ มันไม่ใช่อย่างนั้นนะ คุณเข้าใจผิด”
“ไม่ต้องมาพูด นิสัยไม่ดี ทำให้พวกพ่อแม่ ผู้หลักผู้ใหญ่ลำบากไปหมด คนทุเรศ”
สุคนธรสชกเปรี้ยง ไตรรัตน์ล้มหงาย สุคนธรสวิ่งหนีสุดชีวิต

สุคนธรสวิ่งมาจนเหนื่อย เปลี่ยนเป็นเดินแล้วในที่สุดก็หยุดพัก หอบๆ
“เหนื่อยแล้วใช่ไหม”..
สุคนธรสชะงัก หันขวับไป ไตรรัตน์มองมา หน้าดุๆ
“ถ้าอย่างนั้นก็หยุดหนี แล้วหันมาเผชิญความจริงกัน”
ไตรรัตน์กำลังจะก้าวเข้ามา
“อย่าเข้ามานะ” ไตรรัตน์ก้าวเข้ามา “นี่ นายไตวาย ชั้นอยู่ของชั้นมาดีๆ สบายๆ ไม่เคยรู้สึกเจ็บปวด ไม่เคยต้องร้องไห้เพราะผู้ชาย ชั้นมีชีวิตสนุกสนานของชั้นอยู่ดีๆ แต่พอคุณเข้ามาทุกอย่างมันก็พังหมด”
“ใครกันแน่ที่เข้ามา คุณนั่นแหละ อยู่ๆ ก็เข้ามาในชีวิตผม แล้วอยู่ๆ ก็จะเดินออกไปง่ายๆ”
“ชั้นเข้าไปในชีวิตคุณเพื่อช่วยคุณกับครอบครัว และที่สำคัญเพื่อกำจัดไอ้พวกใช้ไสยศาสตร์มามอมเมาผู้คน แล้วชั้นก็ทำสำเร็จแล้ว งานชั้นจบแล้ว ชั้นก็ต้องเดินกลับออกมา มันก็ถูกแล้วไง”
“ทั้งหมดที่คุณพูดมา อาการต่างๆ ที่คุณเป็น ไม่ใช่เพราะคุณรักผมเหรอ”
“ชั้นไม่อยากรัก”
“แต่ก็รัก ใช่ไหมล่ะ” สุคนธรสเงียบไป “คุณมีบุญคุณต่อผม คุณเสี่ยงอันตรายเพื่อผมมากมาย คุณควรจะอยู่ต่อไปให้ผมได้ตอบแทนก่อนสิ”
“ไม่ต้องเลย ไม่ต้อง เรื่องเสี่ยงอันตราย ชั้นไม่ถือ อโหสิให้ แต่เรื่องที่ชั้นต้องเจ็บใจเพราะคุณยังมียัยคาที่อยู่ลึกสุดใจซะขนาดนั้นน่ะ ชั้นไม่เอาอีกแล้ว”
สุคนธรสหันหน้าจะหนี ไตรรัตน์เข้ามาจับมือสุคนธรสไม่ให้ไป
“ผมรักคุณคนเดียว ไม่มีใครซ่อนอยู่ลึกสุดใจมุมไหนอีกแล้ว”
สุคนธรสหันมา
“ไม่จริง”
สุคนธรสสะบัดมือไตรรัตน์สุดแรง แล้ววิ่งจะข้ามถนนไปอีกฝั่ง โดยลืมสังเกตว่ามีรถวิ่งมา รถบีบแตรลั่น สุคนธรสข้ามถนนโดยไม่ดู สุคนธรสหันไปตามเสียงแตรแล้วตกตะลึงเมื่อเห็นรถพุ่งเข้ามาทางตน
“คุณรส”
รถเบรกสุดตัว เสียงเบรกดังลั่น
“ว้าย!”
ก่อนที่รถจะมาถึงตัว ไตรรัตน์เข้ามากระชากสุคนธรสกลับมาได้ทันควัน ทั้งคู่ล้มกองอยู่ริมฟุตบาธ รถคันนั้นหยุดพอดี เลยจุดที่สุคนธรสเคยยืนอยู่กลางถนน เจ้าของรถเปิดหน้าต่างมาต่อว่า
“ข้ามถนนระวังหน่อยสิ หัดมีสติบ้าง”
สุคนธรสหน้าเจื่อน ร้องไห้ออกมาด้วยความตกใจ ไตรรัตน์ดึงสุคนธรสเข้ากอดแน่น
“ผมอยู่นี่แล้ว ไม่ร้องนะคะ”

สุคนธรสร้องไห้กอดไตรรัตน์แน่น
 
อ่านต่อหน้า 4

The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 21 (ต่อ)


วันต่อมา ณัฐเดชซึ่งดูหล่อมากๆ อยู่ในชุดสีเอิร์ธโทนเป็นลินินดูสบายก้าวเข้ามา ในมือมีกล้องวีดีโอถ่ายไปรอบๆ เรือนกระจกที่เปิดออกและแต่งด้วยต้นเฟิร์นเขียวขจีห้อยย้อย ตามด้วยก๊องที่อยู่ในชุดลินิน สีไล่เฉดกัน เดินถือพานที่มีดอกกุหลาบสีต่างๆ จัดเป็นบูเก้เล็กๆ ติดเข็มกลัดสำหรับติดเสื้อเดินเข้ามา ณัฐเดชหันไปถ่ายก๊องทันที

“พี่ครับ เค้าให้ติดเสื้อกันทุกคนครับผม”
หมอวรวรรธกำลังแต่งทรงผมตัวเองสุดฤทธิ์ เดินมาเอาดอกไม้ไปติด ขณะนั้นติณห์กำลังวิ่งไล่ฉีดน้ำหอมให้ไตรรัตน์มาจากอีกด้านนึง ไตรรัตน์อยู่ในชุดหล่อและเต็มยศที่สุด
“เฮ่ย ไม่เอา บอกว่าเราเกลียดกลิ่นน้ำหอมไง ไม่ฉีดๆ เว้ย ไอ้ขนุน”
“เจ้าสาวของนายชื่ออะไร”
“สุคนธรส”
“เจ้าหล่อนคือผู้ได้กลิ่นวิญญาณ แต่วันนี้เราจะไม่ยอมให้เจ้าหล่อนได้กลิ่นอะไรมารบกวนงานเด็ดขาด ดังนั้น นายต้องหอม จนกลิ่นอื่นๆ ไม่สามารถแซกแซงเข้ามาได้ โอเค้”
“ไม่นึกเลยว่าสุดท้าย คุณไตรก็ชนะเลิศ ได้แต่งก่อนใครๆ” ติณห์ช่วยกลัดกุหลาบให้ไตรรัตน์ ก๊องติดกุหลาบให้ติณห์
“แต่การแต่งงานเนี่ย เค้าว่าคนในอยากออก คนนอกอยากเข้านะครับ”
“แปลว่าอะไร ก๊อง ออกๆ เข้าๆ ต้องทะลึ่งแน่ๆ ใช่ไหม”
“ฝรั่งเอ๊ย ในหัวมีแต่เรื่องลามก ไม่ต้องไปสนใจไอ้ก๊องหรอก เชื่อวาทะคมๆ ของชั้นดีกว่า”
“ว่า...”
“คนที่แต่งงานแล้ว อาจจะมีที่เสียใจบ้างก็ได้แต่คนที่ไม่ได้แต่งงานเลย ต้องเสียใจแน่ๆ”
ทุกคนบ้างโห่ บ้างฮา ณัฐเดชเอากล้องวิดีโอมาไล่ถ่าย พวกหนุ่มๆ โพสท์หล่อ

เสียงเคาะประตูดังขึ้น ญาณินในชุดสวยสีทำนองเดียวกับฝ่ายชาย ติดกุหลาบสีสวยที่เสื้อ เปิดประตูออกเห็นเป็นติณห์ยืนเท้าประตูยิ้มกรุ้มกริ้มอยู่
“เจ้าสาวแต่งตัวเสร็จหรือยังครับ เจ้าบ่าวรอนานแล้ว”
“ยังค่ะ บอกให้รอไปก่อน”
ญาณินจะปิดประตู แต่หมอวรวรรธที่อยู่หลังติณห์กับณัฐเดชผลักประตูไว้
“ดะๆ เดี๋ยวซีครับ แล้วคุณเนตรของผมล่ะครับ ขอเห็นหน้าหน่อย ผมคิดถึง”
ณัฐเดชถือกล้อง พยายามจะถ่าย
“นั่นดิ จะปิดประตูทำไม ขอพี่เข้าไปหน่อย”
ว่าแล้วสามหนุ่มก็พยายามจะเปิดประตูเข้าไป
“ไม่ได้ นี่บ้านเจ้าสาวนะ ผู้ชายเข้าไม่ได้ มาช่วยกันหน่อยเร็ว”
เนตรสิตางศุ์ กรรณา กรรัมภา มาช่วยกันดันปิดล็อคประตูลงได้ สี่สาวโล่งอก ป้าอรวรรณประคองสุคนธรสออกมาจากห้องด้านใน
“เจ้าสาวมาแล้ว เป็นไงคะ พวกเราคอมเมนท์กันหน่อย”
สุคนธรสอยู่ในชุดสวยที่ดูเด่นที่สุดและแต่งหน้าสวยพิเศษกว่าทุกคนซึ่งดูยังกับไม่ใช่สุคนธรส
“โอ๊ย สุคนธรสนี่มันไม่ใช่แม่มดหมอผีจอมขมังเวทย์แล้ว นี่มันเจ้าหญิงชัดๆ” ญาณินแซว
“เดินไม่ถูกแล้วล่ะ รองเท้ามันสูงไปหรือเปล่า”
“สวยมากเลย ยัยรส หวานมาก สง่ามาก”
“อย่าถอดนะ รองเท้านั่นน่ะ”
“ชั้นกลัวหกล้มนี่นา”
“คนสวยไม่สบาย คนสบายไม่สวย ท่องไว้ ถ้าเดินไม่ถนัด ก็เกาะแขนเจ้าบ่าวแน่นๆ สิ โหนให้เป็นชะนีเลย”
“เฮ้อ ไม่น่าเชื่อเลย ว่าคนที่ฉลาดๆ แบบยัยรสจะมาแต่งงานก่อนใคร ทั้งๆ ที่คนที่น่าจะแต่งเป็นคนแรกคือยัยแก้ม” กรรณาบอกอย่างเหยียดๆ
“หมายความว่ายังไง เพราะฉันสวยเลือกได้ที่สุดใช่ม้า”
“เปล่า เธอมันสวย ไม่เลือก เอาหมด”
“ว้าย” กรรัมภาเข้ามาตีกรรณา
“หยุด สองคนนี่ยังไงนะ จะตีกันไปทุกงาน ไม่หยุดวันพระวันโกนเลยหรือคะ”
“ลองมาทายดูสิ คิวต่อไปใครจะเป็นคนแต่ง ยัยน้องหนู”
“ไม่ต้องทายต้องเดาเลยก็เจ๊จีจ้าเองไงคะ คุณติณห์คงพร้อมจะแต่งแล้ว”
ญาณิน เขินสุดๆ

“บ้าๆ ไม่จริงหรอก ตัวเองน่ะแหละ”

 
พ่อแม่ของไตรรัตน์และพ่อแม่สุคนธรสกำลังคุยกันอยู่ที่มุมหนึ่งร่วมกับอาม่า เสาวภา ซึ่งตอนนี้เริ่มเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว สมศักดิ์เอาพระเครื่องพานใหญ่อวดเสี่ยจำเริญ
 
“นี่ไง ของชำร่วยที่ฉันเตรียมมาแจก พระอุปคุตได้มาจากทางเหนือ เชื่อกันว่าท่านมีพุทธคุณปราบมาร ก่อให้เกิดลาภผล ความมั่งมี ขจัดภยันตราย และมีอิทธิฤทธิ์ในทางขอฝนอีกด้วย”
“เอ แล้วจะทำให้น้ำท่วมไหมคะ”
“น้ำท่วมไม่เกี่ยวกะพระนะ”
“ใครทำการเกษตรก็เอาไว้อธิษฐานเวลาภัยแล้งไงคะ ใครกลัวฝนตก ก็อย่าขอฝน ขอลาภผลแทนค่ะ” สมศรีบอก
ขณะนั้นติณห์ ไตรรัตน์ หมอวรวรรธซักซ้อมอ่านตารางงานอยู่มุมนึง ก๊องกับทนายสมชาติช่วยกับเพื่อนผู้ชายจัดแจงรับแขก ห้าสาวและป้าอรวรรณมายืนแอบดูจากหน้าต่างมุมนึง เห็นงานที่จัดที่สนาม งานสวยงาม บริษัทดูดี แล้วต่างหันมายิ้มให้กัน
“รู้สึกเหมือนฝันไปเลยเนอะ ที่ในที่สุดบริษัทของเรามีวันนี้ วันที่พวกเราเลี้ยงตัวเองอยู่ได้ด้วยการออกแบบตกแต่ง วิชาชีพที่พวกเราเรียนกันมา”
“เราไม่ต้องเป็นหนี้ค่าน้ำค่าไฟ ไม่ต้องขายของเก่าหรือจำนำเครื่องไฟฟ้า”
“แล้วเราก็ได้ใช้พรสวรรค์พิเศษ สัมผัสที่ 6 ที่พวกเราพยายามจะหนีและปฏิเสธมันมาตลอด ให้เป็นประโยชน์กับผู้คน และผู้ที่ไม่ใช่คนมากมายเลย”
“เราต้องเสี่ยงภัยอันตรายหลายอย่างเลยนะ บางทีก็ถึงชีวิตด้วยซ้ำ แต่เราก็รอดกันมาได้”
“แล้วเราก็มีความรัก ได้เจอคนที่เรารักและรักเรา”
“แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดนะ ก็คือพวกเราห้าคนและป้าออด้วยค่ะ เราอยู่ด้วยกัน มีกันและกัน”
“ร่วมทุกข์ ร่วมสุข ผจญภัย ต้องฝ่าฝันความทุกข์ยากลำบากสารพัด”
“แต่เราก็รักกัน เนอะยัยติงต๊อง” กรรัมภากอดกรรณา
“ย่ะ ยัยเพ้อเจ้อ ชั้นด่าเธอ เพราะชั้นไม่มีใครให้ด่าได้มันกว่าเธออีกแล้ว” กรรณาน้ำตาคลอ เนตรศิตางศุ์เข้ามากอดด้วย
“ฮือๆ จริงที่สุด พวกเราไม่มีใครเหมือนกันเลย ต่างกันอย่างสุดๆ” ญาณินเข้ามากอดด้วย
“พรสวรรค์พิเศษของเรา ทำให้เรารู้สึกแปลกแยก ไม่มีใครกล้าคบเราและเราก็ไม่กล้าคบใคร แต่กลับทำให้เราได้มาเจอกัน แต่ก่อนชั้นเคยเซ็งมาก แต่ตอนนี้ฉันดีใจจริงๆ”
สุคนธรสกับป้าอรวรรณเข้ามากอดด้วย ทุกคนน้ำตาไหลออกมา
“ว้าย ตาฉันเลอะป่าว” สุคนธรสเช็ดน้ำตาอย่างระวัง
“หึ” ทุกคนส่ายหน้าพร้อมกัน
“ฉันว่านะ เราเลิกกลัว เลิกอาย เลิกทำตัวหลบๆ ซ่อนได้แล้ว”
“รสหมายถึงจะให้เราเปิดตัวเหรอว่าเราสัมผัสวิญญาณได้”
“ใช่ เราจะได้ช่วยเหลือคนอื่นได้เต็มที่ไง”
ป้าอรวรรณพยักหน้าเห็นด้วย
“นั่นซิ ทำความดี ทำไมต้องปิดบังหรอกค่ะ ต่อไปบริษัทซิกส์เซ้นส์ของเราจะไม่รับตกแต่งบ้านอย่างเดียวแล้ว แต่จะรับปราบผีด้วย”
ห้าสาวหัวเราะ เอามือมาวางทับๆ กัน

ป้าอรวรรณโผล่มายกมือให้คิวทำท่าซารางเฮ ทนายสมชาติทำเครื่องหมายซารางเฮตอบว่าพร้อมแล้วและกดคีย์บอร์ดที่แผงคุม คอมพิวเตอร์ เปิดเสียงเปียโน เพลงเฮียร์คัมเดอะไบรด์ดังขึ้น

 
ไตรรัตน์ ติณห์ หมอวรวรรธ ณัฐเดช ก๊อง ยืนเรียงกัน สุคนธรสในชุดเจ้าสาวแสนสวยเดินควงแขนพ่อกับแม่ออกมาโดยมีอีกสี่สาวเดินตามออกมา ไตรรัตน์ยืนมองอย่างตะลึง สุคนธรสมองสบตาไตรรัตน์ ทั้งสองยิ้มให้กันอย่างเปี่ยมสุข
 
“คุณสวยมากเลย” ไตรรัตน์บอก
“มันเป็นเรื่องของธรรมชาตินะ ตื่นมาชั้นก็เป็นแบบนี้เลย”
เจ๊หญิงกับเสี่ยจำเริญเดินเข้ามายืนประกบข้างลูกชาย รอพ่อแม่สุคนธรสเดินพาเจ้าสาวมาส่งให้ สมศรีกับสมศักดิ์จับมือสุคนธรสคนละข้างส่งให้ไตรรัตน์กุมไว้ ทั้งสองจูงกันไปนั่งลงตรงที่จัดสำหรับรดน้ำ
เนตรศิตางสุ์กับกรรณาเป็นคนเชิญหอยสังข์รดน้ำ ญาณินกับกรรัมภายืนหลังเจ้าสาว ขณะที่ติณห์ ณัฐเดชยืนหลังเจ้าบ่าว ส่วนหมอวรวรรธและก๊อง เป็นคนแจกของชำร่วยหลังรดน้ำซึ่งก็คือพระอุปคุต
“เอาล่ะ ต่อจากนี้ไปพ่อขอมอบลูกสาวของพ่อให้พ่อไตรเป็นคนดูแล ขอให้รักกันตลอดไปจนถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร หนักนิดเบาหน่อยต้องอภัยให้กันนะเฮ้ย ถ้าเอ็งทำให้ยัยรสเสียใจล่ะก็ฉันจะมาเพ่นกระบาลแก” สมศักดิ์บอกขณะรดน้ำสังข์
“ขอให้อยู่อย่างเพียงพอและพอเพียง มีลูกสอนลูก มีหลานสอนหลาน โตไปไม่โกงให้เอาความดีนำชีวิต ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน”
“แม่จะอวยพร หรือหาเสียง” สุคนธรสขัด
“ลืมไป ข้าว่าจะสมัคร อบต.”
“คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องห่วงครับ ผมสัญญาว่าจะรักและถนอมคุณรสเท่าชีวิตของผม จะไม่ทำให้รสเสียใจครับ แต่ถ้ารสทำให้ผมเสียใจ ผมจะเอาไงดีครับ”
“ไม่มีวันหรอก ชั้นเหรอ จะทำให้คุณเสียใจ”
“ใครจะไปรู้”
“เอ้าๆ อย่าเถียงกันๆ เราเป็นผู้ชาย ต้องยอมแพ้ ให้ผู้หญิงชนะตลอด จบไหม”
“จบครับ”
เจ๊หญิงกับเสี่ยจำเริญรดน้ำต่อจากสมศรี
“วันนี้แม่มีความสุขมาก หนูรส ทำให้บ้านเราพ้นจากทุกข์โศกทั้งหลาย ต่อไปแม่ก็ขอฝากผีฝากไข้กะหนู นึกว่าแม่เป็นแม่ของหนูอีกคนนะลูก”
“ชั้นก็เหมือนกัน นึกว่าชั้นเป็นพ่อนะหนูรส แล้วก็มีหลานให้พ่อเร็วๆ อย่าช้า”
“หนูรสก็ให้อาอี๊เป็นอาอี๊ด้วยนะ หนูรสคือหัวใจของบ้านเรา ต่อไปนี้บ้านเราจะเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ ไม่มีอะไรขาดอีกแล้ว”
ที่บนต้นไม้ปรากฏวิญญาณหลวงพิชัยภักดี กุมาริกา ท่านเจ้าที่โผล่หันมาพร้อมแก้วคอกเทลในมือ ยืนมองมาที่บ่าวสาวอย่างชื่นชม แต่แล้วก็มีลมวูบใหญ่พัดมา เสื้อผ้า ผมปลิว
“เอ๊ะ มีใครมา”
“ใครหรือนังหนู”
“คนหรือผี”
“ผีที่ไม่ได้รับเชิญน่ะดิ”

ที่ริมรั้ว วิญญาณเด็กผู้หญิงคนหนึ่งยืนร้องไห้กอดตุ๊กตามองอยู่นอกรั้ว เด็กหญิงโบตั๋นมองภาพไตรรัตน์ที่ตั่งรดน้ำคู่สุคนธรสแล้วร้องไห้ออกมา
“ฮือๆ พี่ชายลืมหนู พี่ชายใจร้าย ผู้หญิงคนนั้นแย่งพี่ไปจากหนู หนูเกลียดมัน”
วิญญาณกุมาริกา หลวงพิชัยภักดี ท่านเจ้าที่หายตัวแว่บมาปรากฏที่รั้ว
“นี่เธอ มาจากไหนเนี่ยะ มาหาใคร”
“เข้าไม่ได้ ฉันไม่อนุญาต ที่นี่ไม่ใช่บ้านของหนู ไปซะ”
เด็กหญิงโบตั๋นก้าวถอยหลัง ก่อนหันวิ่งหนีหายไป
“อ้าวเดี๋ยวนังหนู อย่าเพิ่งไป เลยไม่รู้กันว่ามาหาใครที่นี่”
“คงจะเป็นผีเด็กเร่ร่อนอยากหาที่สิงสถิตย์อยู่น่ะท่าน อย่าไปสนใจเลย”
“แต่ดูท่าทางยัยนั่น ยังกะโกรธอาฆาตพยาบาทใครสักคนในบ้านนะเจ้าที่ ถ้าเจอจ๊ะเอ๋กันข้างนอกอีกที ยัยนี่ต้องฆ่าเอาแน่ๆ”
“พยาบาทใครวะ”

“นั่นน่ะดิ”

เนตรศิตางศุ์ กับหมอวรวรรธ หลบมายืนกินขนมกันมุมหนึ่ง
 
“ถ้าวันเราแต่งงาน ผมอยากแต่งที่ทะเล เนตรว่ายังไง”
“เอาแบบ มีขี่มอเตอร์ไซค์กันด้วยไหมคะ”
“เอาสิ เนตรเป็นเจ้าสาวสก๊อย ใส่กระโปรงสั้นๆ ดีไหม”
“บ้า ใส่กระโปรงสั้นแล้วซ้อนไม่ถนัดนะคะ”
“เนตรก็ต้องกอดแน่นๆ นะน้องนะสิครับ”
เนตรศิตางศุ์ทุบหมอวรวรรธ
อีกมุม ณัฐเดช ก๊อง กรรณา กรรัมภายืนอยู่ด้วยกัน ณัฐเดชมองเนตรศิตางศุ์กับหมอวรวรรธตาเขียวปั๊ด
“พี่ณัฐขา ไม่เอาค่ะ อย่าไปขวางความรักคนอื่น เราต้องพยายามสนับสนุนให้เค้าสมหวัง อานิสสงค์จะได้ส่งให้เราได้สมหวังในความรักด้วย”
“สงสัย พี่จะต้องอยู่เป็นโสดไปจนตายมากกว่า”
“เป็นโสดแล้วไง เราไม่ได้โสด เพราะไม่มีใครเอาเรานี่คะ แต่เราไม่เอาใครเองตังหาก”
“ชั้นเป็นโสดรอปาร์คจุนจี วันไหนเค้ามาเมืองไทยเราจะเป็นของกันและกัน”
“แล้วปาร์คจุนจีเค้ารู้ตัวยังอ่ะพี่”
“ยัง” กรรัมภาเชิดใส่กีอง
อีกด้านหนึ่ง ป้าอรวรรณยืนจัดถาดขนมอยู่ ทนายสมชาติเดินมาข้างหลังทำท่าเคาะประตูในอากาศ
“ก๊อกๆ มีใครอยู่ไหมครับ”
ป้าอรวรรณสะดุ้ง หันมาทำท่าน่ารัก
“อยู่ค่ะ” ป้าอรวรรณทำท่าเปิดประตู “แอ๊ด อ้าว คุณเป็นใคร มาหาใครคะ”
“มาหาเจ้าของบ้านสิครับ ขอเข้าไปข้างใน ได้ไหมครับ”
“อุ๊ย ไม่ได้ค่ะ แม่สั่งไว้ไม่ให้เปิดรับคนแปลกหน้า”
“อะไรกัน จนเดี๋ยวนี้ก็ยังแปลกอยู่อีกหรือครับ”
“แปลกค่ะ”
ทั้งสองหัวเราะกัน
อีกมุม ติณห์กับญาณินยืนกุมมือกัน
“ผมไม่ยอมอ่ะ ผมไม่ยอม”
“ไม่ยอมอะไรคะ”
“ไอ้ไตวายมันแซงเรา ปาดเราไปเข้าเส้นชัยแบบต้องตัดสินด้วยรูปถ่ายเลยอ่ะ”
“ดีแล้วค่ะ เราไม่ต้องรีบหรอก อยู่แบบนี้ก็สบายดี”
“ผมไม่สบายนี่นา ผมอยากอยู่กะคุณ เพราะผมชอบตัวเองมาก เวลาผมอยู่กะคุณ”
“ชอบก็ให้แม่มาขอสิคะ” ญาณินล้อขำๆ
“จริงเหรอ ถ้าแม่มาขอปุ๊บ คุณจะยอมปั๊บเลยเหรอครับ”
ระหว่างนั้นมีรถหรูคันหนึ่งแล่นเข้ามาที่ถนนหน้าบริษัท ภายในรถมิรันตีแม่ของติณห์สวมแว่นกันแดดนั่งวางมาดราวนางพญาอยู่เบาะหลัง เธอหันมองออกไปนอกหน้าต่างพินิจบริษัทด้วยอาการนิ่ง ไม่ยินดีชื่นชม ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง สีหน้าออกจะเยาะๆ หยันๆ
บนต้นไม้หลวงพิชัยภักดีสะดุ้งแทบหล่นจากต้นไม้
“เจ๊ย นั่น ตาชั้นไม่ได้ฝาดใช่ไหม”
“หา ผีที่ไหนมาอีกเหรอ คุณพี่ครับ”
“ไม่ใช่ผี นั่นมิรันตี ลูกสาวช้าน”
“หา หมายความว่าแม่คุณติณห์มาจากอเมริกาเหรอ ก็ดีสิคะจะได้ขอพี่ญาณินไปแต่งงานไง”
มิรันตีกดกระจกไฟฟ้าลงช้าๆ
“นี่หรือ บริษัท the 6th sense ที่ตกแต่งรีสอร์ทของชั้น กระจอกงอกง่อยแบบนี้ ต้องแต่งแบบปอนๆ ประหยัดๆ ถูกๆ พัวร์ๆ แน่เลย แล้วลูกฉันอยู่ไหนเนี่ย ไม่เห็นมีเลย ฉันต้องพูดกะเค้าเรื่องทอง ถ้าหาทองเจอทองก็ต้องเป็นของทายาทคือชั้นสิ จริงไหมนายชม”
หลวงพิชัยภักดีมาปรากฎข้างรถ
“ยัยแม่ผัวหน้าเค็มขนาดทุ่มทุนกลับมาเมืองไทยเพราะหวงสมบัติ แล้วแบบนี้ข้าจะได้เกิดเมื่อไหร่วะ”

สุคนธรสยืนควงแขนไตรรัตน์เตรียมโยนช่อดอกไม้ สาวๆ รอรับ ติณห์นวดไหล่ญาณินราวกับเทรนเน่อร์ หมอวรวรรธพูดติวเข้มเนตรศิตางศุ์พร้อมกำชับอย่ารับพลาด ก๊องดันหลังกรรณาให้เข้าไปแจมรับกับคนอื่นด้วย ขณะที่กรรัมภารีบแย่งพื้นที่เข้าไปยืนอยู่หน้าสุด ณัฐเดชยืนลุ้นตัวโก่ง แขกผู้ใหญ่ยืนล้อมดูอย่างสุขใจ พลอยสนุกสนานไปกับหนุ่มๆ สาวๆ

และแล้วก็มีเสียงประสานนับถอยหลัง 5...4...3...2...สุคนธรสโยนดอกไม้ ช่อดอกไม้ลอยละลิ่วขึ้นสู่อากาศกลุ่มสาวๆ พากันเงยหน้าเบียดแย่งรอรับ ท่ามกลางเสียงเชียร์ของหนุ่มๆ ดอกไม้ลอยลงสู่เบื้องล่างโดยมีมือของสาวๆ ยื่นไขว่คว้ากันสลอน

"สื่อรักสัมผัสหัวใจ ภาค 1" จบบริบูรณ์
กำลังโหลดความคิดเห็น