The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 20
ทางด้านญาณินเมื่อกลับถึงรีสอร์ท ญาณินเดินรีบร้อนมาที่หน้าบ้านติณห์เพราะมีลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง ติณห์เดินตามมาแทบไม่ทัน
“ป้าออคะ ป้าอออยู่รึเปล่า”
“ทนายสมชาติ คุณอยู่ที่นี่รึปล่าว Are you here”
ติณห์วิ่งแซงญาณินมาเปิดประตูเข้าบ้าน แล้วก็ยิ้มออกเมื่อเห็นด้านหลังของทนายสมชาติยืนอยู่กับป้าอรวรรณ
“นั่นไงคุณ อยู่ที่นี่กันเอง” ติณห์เดินเข้าไปหา “เฮ้ คุณทนาย ผมถามว่าอาร์ ยู เฮีย ทำไมคุณไม่ตอบผม”
ทั้งสองเดินเข้ามาใกล้ๆ เห็นป้าอรวรรณกับทนายสมชาติยืนอยู่กลางบ้านในลักษณะที่กำลังยืนมองขึ้นไปชั้นบนด้วยสีหน้าตกใจ ในมือทนายสมชาติถือไฟฉายส่องอะไรบางอย่าง
“แล้วนี่พวกคุณดูอะไรกันอยู่เหรอ? เฮ้ ผมถาม ทำไมไม่พูด”
“เดี๋ยวค่ะคุณติณห์ มองพวกเค้าให้ดีๆ ซีคะ” ญาณินแกว่งมือไปที่หน้าป้าอรวรรณ “ป้าออคะ ป้าออ”
ติณห์แกว่งมือที่หน้าทนายสมชาติบ้าง
“คุณสมชาติ เฮ้ ยูเฮียมี? คุณทนาย”
แต่ทั้งสองก็ยังยืนนิ่งราวกับรูปปั้นไม่มีชีวิต
“โอ้วมายก็อด ใครมาสตาฟสองคนนี้ไว้”
“เดี๋ยวก็รู้ค่ะ เรามาเขย่าแรงๆ ปลุกสองคนนี่พร้อมกันนะคะ”
ติณห์พยักหน้าแล้วทั้งคู่ก็จับตัวป้าอรวรรณกับทนายสมชาติเขย่าเต็มแรง
“คุณสมชาติ ตื่น!/ป้าออ ตื่นค่ะ!”
ทั้งสองสะดุ้งหายใจเฮือก รู้สึกตัวด้วยอาการตื่นตกใจค้าง
“อ๊าก/อ๊าย”
“พวกเราเองค่ะ ไม่ต้องตกใจ”
ป้าอรวรรณผวาเกาะญาณินมองเลิ่กลั่ก
“มันหายไปไหนแล้ว น่ากลัวจริงๆ เลย”
“อะไรค่ะป้า นี่กลัวอะไรกันคะ”
“ผมก็ไม่รู้ครับ ว่ามันเป็นผีหรือเป็นคน”
ทนายสมชาติเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน...ทนายสมชาติรีบเดินถือไฟฉายมาที่บ้านติณห์กับป้าอรวรรณ
“เมื่อคืน พวกผมกลับมาจากทำธุระในเมืองกัน พอมาถึงพวกผมได้ยินเสียงดังแปลกๆ มาจากบ้านคุณติณห์”
ทนายสมชาติกับป้าอรวรรณเดินมาถึง หยุดยืนมองที่หน้าบ้านที่บัดนี้มันดูมืดมิดวิเวกวังเวงไม่ต่างจากบ้านผีสิง มีเสียงคนเดินอยู่ในบ้านทนายสมชาติกับป้าอรวรรณเงี่ยหูฟัง
“ธรรมดาไฟต้องติดอัตโนมัตินี่นา”
“คุณทนายได้ยินเหมือนที่ฉันได้ยินรึปล่าวคะ”
“เสียงคนเดินอยู่ในบ้าน”
“แล้วดูซีคะนั่น”
ป้าอรวรรณชี้ไปที่ประตูหน้าบ้าน ถูกเปิดอ้าทิ้งไว้
“มีคนแอบเข้าไปในบ้าน รีบเข้าไปดูเถอะครับ”
“เอ่อ เดี๋ยว”
ป้าอรวรรณไม่ทันปฏิเสธ ทนายสมชาติก็คว้ามือจูงเข้าบ้านไปด้วยกันทันที
ทนายสมชาติกับป้าอรวรรณก้าวเข้ามาในบ้านที่ไฟมืดมิด ทนายสมชาติพยายามกดสวิตซ์ไฟ แต่ไฟไม่ยอมติด
“ไฟไม่ติดสักดวง”
“คุณลืมจ่ายค่าไฟรึเปล่าคะ เดี๋ยวนี้ค้างเดือนเดียวการไฟฟ้าก็ตัดแล้วนะ ตอนอยู่ที่บริษัทซิกส์เซ้นส์ อู๊ย โดนตัดบ่อยค่า”
“ชู่ว” ป้าอรวรรณเงียบ “ผมว่าคงเป็นฝีมือของไอ้โจรที่อยู่ข้างบนมันตัดให้ด้วยความหวังดี ฟังซีครับเสียงเหมือนมันอยู่ในห้องนอนคุณติณห์”
“แล้วเราจะอยู่ทำไมล่ะคะ มาก็มือเปล่า จะไปสู้อะไรกับโจรได้ รีบไปแจ้งตำรวจกันดีกว่าค่ะ”
ป้าอรวรรณดึงแขนทนายสมชาติให้เดินออกไป แต่ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูห้องติณห์ออกมา ทนายสมชาติส่องไฟฉายขวับไปที่ประตูทันที แต่ไม่เห็นใคร ทั้งๆ ที่ประตูถูกเปิดออกมา แล้วมีเสียงเดินดังใกล้เข้ามา
“ห่ะ ทำไมไม่เห็นตัวมัน ทั้งๆ ที่เสียงเดินมาทางเรา”
“อ๊าย หรือว่า...”
ป้าอรวรรณร้องลั่นพลางเข้ามาเกาะแขนทนายสมชาติแน่น ทำเอาทนายสมชาติตกใจไปด้วย
“เย้ย อะไรครับ”
“เสียงมันมาเดินอยู่ข้างหน้าเราแล้ว”
ทนายสมชาติส่องไฟฉายไปในความมืดรอบตัวอย่างลนลาน แล้วทั้งสองต้องช็อคเมื่อไฟฉายส่องสว่างวาบมาเจอร่างดำทะมึนยืนอยู่ตรงหน้า
“อ๊าก/อ๊าย”
ทั้งสองร้องตกใจเสียงก้อง แล้วร่างทั้งคู่ก็นิ่งค้างราวรูปปั้น
สุคนธรสมีสีหน้าตกใจขณะลงจากรถหลังจากกลับมาจากอยุธยา พลางคุยโทรศัพท์กับญาณิน
“แย่แล้วแกยัยเจ๊”
“ทำไม”
“นั่นมันวิชาล่องหนหายตัวสุดยอดแห่งวิชาไสยดำขั้นสูง คนที่ใช้วิธีนี้ บุกรุกเข้ามาในห้องคุณติณห์ แล้วยังสะกดจิตป้าออกับทนายสมชาติแช่แข็งเอาไว้ได้”
“แต่ไม่ได้เอาของมีค่าอะไรไปเลย”
สาวๆ ก๊อง ฟังอย่างตั้งใจ อ้าปากหวอ
“ถ้ามันใช้วิชามารระดับนี้ได้ มันคงไม่ต้องการของมีค่าหรอกเจ๊ แต่สิ่งที่มันต้องการน่าจะเป็นอะไรบางอย่างของคุณติณห์”
“อย่างเช่นอะไร”
“อาจจะเป็นสิ่งที่เอาไปทำพิธีทางคุณไสยได้ พวกเศษเสื้อผ้า เส้นผม หรือว่าเศษเล็บของคุณติณห์”
ญาณินชักใจไม่ดี
“ฮะ เอาไปทำ อย่างที่ยัยเพนนีเคยทำเหรอ”
“ยัยเพนนีน่ะเด็กๆ”
“มันกะฆ่าให้ตายเลยใช่ไหม”
“วิญญาณคุณหลวงกับโกลเด้นท์เบบี้ล่ะ”
คุณหลวงหายไปก่อน ชั้นจะไปช่วยแกปราบไอ้หมอสมคิดอีก ทีแรกนึกว่าโกรธชั้นแต่นี่จุดธูปเรียกไปแล้วก็ไม่มา โกลเด้นท์เบบี้ก็หายไปซักพักนี่เอง มันเริ่มทะแม่งๆ แล้ว”
“หรือว่าทั้งคู่โดนมันซิวไปแล้ว”
ญาณินตกใจสุดขีด
ที่ห้องทำพิธีบ้านกำนันพงษ์อบอวลด้วยควันธูปกำใหญ่ในกระถางหน้าหัวกะโหลก กำนันพงษ์นั่งหัวเราะหึๆ ในคอ ขณะนั่งดึงเส้นผมติณห์ที่ติดอยู่ที่แปรงหวีผมออกมาทีละเส้นช้าๆ แล้วมองด้วยแววตาราวกับปีศาจ
สนหยิบพานที่มีผ้าปูมาวางรอรับกลุ่มผมของติณห์ แม้แต่สนก็แต่งตัวแปลกออกไป นุ่งผ้าเหมือนพวกสาวกพ่อมดหมอผี รอบๆ ตัวของทั้งคู่รายล้อมด้วยหม้อดินปิดด้วยผ้าลงยันต์สีดำ ตัวอักขระภาษาต่างด้าวสีแดงจำนวนมากที่วางรวมอยู่ในห้อง ปากกำนันพงษ์พร่ำพูดเหมือนกับบอกใครบางคน
“คืนวันพรุ่งนี้ ถ้าฉันยังไม่ได้สิ่งที่ฉันต้องการ คุณหลวงจะได้เห็นความสยดสยองหลานชาย มันจะต้องตาย
อย่างทรมานที่สุด หึๆ”
ที่มุมมืดของห้อง เท้าซีดๆ ผอมติดกระดูกของวิญญาณหลวงพิชัยภักดียืนอยู่โดยมีด้ายแดงมัดรัดไว้รอบราวกับทาส กำนันพงษ์วางกลุ่มผมของติณห์ลงบนพาน ตึง
ภายในบ้านทรงไทย ญาณินใช้มือลูบปัดฝุ่นบางๆ ที่เกาะติดอยู่ที่รูปหลวงพิชัยภักดีแล้วก็คามือแนบสัมผัสรูปค้างไว้อย่างนั้น
“ถึงแม้ว่าฉัน จะไม่ใช่ลูกหลานของคุณหลวง ไม่ได้มีสายเลือดเกี่ยวข้องอะไรกับท่านเลย แต่ฉันเชื่อค่ะว่าการที่ฉันมีญาณวิเศษเป็นพรสวรรค์ติดตัวมาก็เพื่อภาระกิจใหญ่ครั้งนี้”
ญาณินหันเดินไปกลางบ้าน นั่งพับเพียบลงมือไหว้ระลึกถึงพระรัตนตรัยแล้วก้มลงกราบก่อนจะหลับตาลง มือประสานกัน กำหนดลมหายใจเข้าสู่สมาธิ
“คุณหลวง โกลเด้นท์เบบี้ อยู่ที่ไหน ช่วยนำทางฉันไปด้วย”
อีกด้านหนึ่งที่บริษัทซิกส์เซ้นส์ สุคนธรส เนตรศิตางศุ์ กรรัมภา กรรณา ก๊องและณัฐเดช กำลังมุงดูปฏิทินไสยศาสตร์จากจอคอมพิวเตอร์
“ตามปฏิทินดวงดาว ในคืนวันพรุ่งนี้จะเป็นคืนแรม 15 ค่ำ คืนแห่งกาฬปักษ์ คืนที่วิชามารคุณไสยจะขลังและแรงที่สุด”
“ถ้างั้นใครที่อยากทำพิธีกรรมอาถรรพณ์ใส่คุณติณห์ มันต้องทำในคืนพรุ่งนี้น่ะสิ”
“แล้วถ้าพวกเราแก้ไขไม่ได้”
“นายติณห์ของเจ๊จีจ้าอาจถึงขั้นสติเลอะเลือน หรือไม่ก็ตาย”
“ผมคิดว่า ผมก็พอจะมีซิกส์เซ้นส์อยู่เหมือนกัน ผมเริ่มฝันแม่นแล้วนะ ฝันว่า37 ก็ออก37 เสียอย่างเดียวไม่ได้ซื้อ”
“หุบปาก” ณัฐเดชผลักหน้าก๊อง “แล้วรสคิดว่าเราควรจะทำไง บอกมาเลย”
ที่หน้าอาณาเขตรั้วบ้านกำนันพงษ์ จิตของญาณินถูกดูดมาปรากฎขึ้น ญาณินหันมองรอบๆ อย่างจำได้
“นี่มัน บ้านใคร เหมือนเคยเห็นนี่นา” กำนันพงษ์เดินมา มองมา ไม่เห็นอะไรแล้วโบกมือเหมือนอำนวยเพลง
“บ้านกำนันพงษ์ แล้วแกกำลังทำอะไรเนี่ย”
ญาณินก้าวเดินเข้าไป แต่เมื่อเข้าใกล้ริมรั้วบ้านได้ระยะ ญาณินกลับชะงักเพราะปรากฏเป็นเปลวไฟอาคมแดงฉานเคลือบไปตามรั้วที่กั้นแบ่งอาณาเขตไว้ ญาณินผงะ
“กำนันพงษ์เป็นจอมขมังเวทย์”
กำนันพงษ์เดินเข้าบ้านไป ญาณินพยายามจะก้าวผ่าน ทันใดความร้อนพุ่งเข้าหน้าญาณินผวา แต่ตอนนั้นเองมีพลังแสงสีเขียววูบวาบเคลื่อนไหวมาจากด้านหลัง แล้วมาวนรอบตัวญาณิน
“โอ๊ะ”
ญาณินผงะถอยหลังกลับอย่างตกใจ แสงสีเขียววูบวาบค่อยๆ เปลี่ยนเป็นร่างผีนางตะเคียนอายุหลายร้อยปีตัวเขียว รอบตาดำคล้ำน่ากลัว ปรากฏตัวขึ้นยืนขวางทาง ผีนางตะเคียนปลายตามองขวับมาที่ญาณิน ดูน่ากลัว เหมือนกับว่าจะมาทำร้าย
“เข้าไปไม่ได้นะ”
“ฮะ”
ภายในบ้านติณห์ ติณห์ปัดแก้วกาแฟที่กำลังชงกินเองตกลงแตก
“เฮ่ย ซุ่มซ่ามจริงๆ เรา” ติณห์ก้มลงเก็บแก้วทิ้งถังขยะ แต่เศษแก้วดันบาดนิ้วเข้า “โอ๊ะ โธ่เอ้ย” ติณห์ลุกขึ้นดึงทิชชู่มาเช็ดเลือด แล้วต้องช็อคถลาหลังพิงเคาน์เตอร์เมื่อเห็นเงาตัวเองในกระจกไม่มีหัว “เฮ้ย”
ติณห์ขยี้ตามองอีกที ทุกคนกลับมาปกติ ติณห์ยืนมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น จังหวะนั้นป้าอรวรรณกับทนายสมชาติเดินเข้ามาขัดจังหวะ
“คุณติณห์ครับ คุณญาณินอยู่ที่นี่กับคุณรึปล่าว”
ติณห์หันขวับไปมอง
“เอ่อ ปละปล่าวครับ ญาณินกลับไปที่บ้านพักแล้ว”
“ไม่มีค่ะ ไม่ได้กลับ”
“อาจจะออกไปเดินดูไซต์งาน”
“เปล่าครับ ผมหาดูจนทั่วแล้ว”
จิตญาณินยังคงยืนเผชิญหน้ากับผีนางตะเคียนที่ดูเหมือนถูกส่งมาขัดขวางญาณิน
“เธอคือนางตะเคียน กำนันพงษ์ส่งเธอมาใช่ไหม”
“เปล่า ฉันเป็นผีไม่มีสังกัด ไม่มีใครส่งฉันเข้าประกวด ฉันเป็นคนส่งตัวเองมาห้ามแม่หนูเองจ๊ะ”
ผีนางตะเคียนยิ้มให้ ทำให้ใบหน้านางตะเคียนกลับมาสวยงาม ไม่น่ากลัว ญาณินถอนใจโล่งอก
“แบบนี้ค่อยน่าคบหน่อย”
“กำแพงไฟอาคมนี้ หากผ่านเข้าไปแล้วจะทำให้จิตของแม่หนูตัดขาดจากกายหยาบอย่างสิ้นเชิง ใครปลุกก็ไม่มีวันตื่น”
“แล้ววิญญาณคุณหลวงกับโกลเด้นท์เบบี้”
“ฉันรู้ ฉันเห็น แต่ฉันก็ช่วยอะไรไม่ได้ คนๆ นี้ อาคมแกร่งกล้ามาก ถ้าแม่หนูเข้าไปก็เท่ากับไปฆ่าตัวตายชัดๆ”
เสียงกุมาริการ้องออกมาจากข้างใน
“จะทำอะไร ปล่อยหนูนะ”
“ฮะ นั่นเสียงโกลเด้นท์เบบี้นี่”
ญาณินใจหายวาบ ด้วยความห่วง โดยไม่ยั้งคิดจิตญาณินพุ่งผ่านกำแพงไฟเข้าไปราวกับลำแสง
“เดี๋ยวก่อนแม่หนู อย่าไป”
ผีนางตะเคียนตกใจ ได้แต่ร้องเสียงหลง
จิตญาณินพุ่งทะลุผ่านกำแพงไฟวืดเข้ามายืนอยู่ในเขตบ้านกำนันพงษ์ ญาณินหันมองไปรอบๆ รับรู้ได้ถึงเมฆหมอกของวิญญาณที่ปกคลุมอบอวลไปทั่วบริเวณ ไม่ต่างจากบรรยากาศของป่าช้า
“ว้าย”
เสียงกุมาริกาดังก้องขึ้นในโสตประสาทของญาณินอีกครั้ง จิตญาณินหันพุ่งตามเสียงไปทันที
ส่วนที่รีสอร์ทติณห์ ติณห์ ป้าอรวรรณ ทนายสมชาติกำลังแยกย้ายกันหาญาณินทั่วรีสอร์ท
“ญาณิน คุณอยู่ไหน”
“คุณญาณินคร๊าบ”
“คุณหนูคะ อยู่ไหนคะเนี่ยะ”
ติณห์ ทนายสมชาติ ป้าอรวรรณวิ่งกลับมาเจอกัน ป้าอรวรรณร้องไห้
“ไม่เจอแม้แต่ตัว ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงเลยค่ะ”
“อย่าร้องไห้ซีครับ ผมเห็นน้ำตาผู้หญิงไม่ได้ซะด้วย คุณญาณินอาจจะแอบไปปลีกวิเวกที่ไหน”
“เย็บ คูณทนายพูดถูก ญาณินอาจจะแอบไปนั่งสมาธิที่ไหนอยู่ก็ได้ เค้าเป็นห่วงโกลเด้น เค้าอาจจะหาที่เงียบๆแล้วถอดจิตไปตามหา หรือเปล่า”
จิตญาณินผ่านทะลุประตูบ้านล่องลอยเข้ามาภายในบ้าน ตากวาดมองหา หูคอยเงี่ยฟังเสียง ภายในบ้านเก่าแก่ปิดประตูหน้าต่างทุกบ้าน ทำให้บ้านมืดสลัว เย็นยะเยือกช่างน่าสะพรึงกลัวไม่ต่างจากบ้านผีสิง และแล้วจิตญาณินก็ได้ยินเสียงคนพูดอยู่ด้านใน ญาณินเงยหน้ามองขึ้นไปชั้นบนแล้วจิตก็พุ่งไป
จิตของญาณินมาปรากฏอยู่หน้าห้องที่ได้ยินเสียงพูดงึมๆ อยู่ภายใน ประตูหน้าห้องไม่ได้ปิดสนิทมันแง้มอยู่นิดๆ มีแสงเทียนส่องวูบวาบลอดออกมา พร้อมควันธูปที่คลุ้งออกมาจางๆ ญาณินค่อยๆ ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ประตูที่แง้มอยู่ แอบมองด้วยตาข้างเดียวแล้วตาต้องเบิกโพลงกับสิ่งที่เห็นภายใน กำนันพงษ์กำลังทำพิธีดึงวิญญาณกุมาริกาที่ขังไว้ในหม้อดินออกมา
“ออกมา”
“ไม่ ฉันไม่ยอมให้แกมาบังคับฉันได้ ฉันไม่ใช่ผีรับใช้ของแก ไอ้กำนันบ้า”
กุมาริกาพยายามขัดขืน ทำให้วิญญาณผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในหม้อ
“ฤทธิ์มากนักนังกุมาริกานี่ ไอ้สน เอาด้ายมา”
สนส่งขดด้ายแดงให้ กำนันพงษ์คว้ามาท่องคาถาแล้วตวัดเข้าไปพันมัดรอบตัวกุมาริกา มือติดกับลำตัว กุมาริการ้องกรี๊ด
“กรี๊ด”
วิญญาณกุมาริกาหลุดจากหม้อร่วงลงมานอนกลิ้งอยู่กับพื้น ญาณินตกใจจนต้องยกมือขึ้นปิดปากไว้ไม่ให้เสียงดังออกมาแล้วก็เห็นวิญญาณหลวงพิชัยภักดีโผล่ขึ้นในเงามืดมุมห้อง ผมขาวโพลน กระเซิงทรุดโทรมไม่เป็นทรง ข้อมือ ข้อเท้าและคอ มีด้ายแดงพันแน่นพันธนาการไว้
“ไอ้อำมหิต แกอวดตัวว่าเป็นผู้มีวิชา แต่ไปรังแกได้กระทั่งผีเด็ก”
“ไม่ว่าผีเด็กหรือผีแก่ๆ อย่างแก ฉันก็ไม่เว้นทั้งนั้น ถ้าฉันไม่ได้สิ่งที่ฉันต้องการ บอกมาอีหนู ไอ้แก่นี่ซ่อนทองไว้ที่ไหน”
“ทองอะไร ฉันไม่รู้ๆ”
“โกหก เปิดปากพูดออกมาเดี๋ยวนี้ ทองซ่อนอยู่ที่ไหน”
กำนันพงษ์ดึงเชือกแดงที่รัดตัวกุมาริกา อาคมของเชือกบีบรัดตึงจนเนื้อปริ กุมาริการ้องลั่น
“ถึงฉันรู้ฉันก็ไม่บอกแก คุณตาอย่าบอกมันนะ”
“โธ่นังหนู ปล่อยมันเถอะ เด็กมันไม่รู้เรื่องกับฉันด้วย อย่าทำอะไรมันเลย”
“งั้นแกก็รีบบอกมาซี ว่าทองซ่อนอยู่ที่ไหน กำนันจะได้ปล่อยไอ้ผีเด็กนี่ไป”
“อย่าไปเชื่อน้ำหน้ามัน มันไม่ปล่อยหนูหรอก คุณตาอย่าบอกมันนะ”
“หึๆ แกไม่บอกไม่เป็นไร ถ้างั้นแกก็คอยดูหลานชายแก มันจะต้องตายอย่างทรมาน”
“ถึงฉันบอก คนเลวๆ อย่างแก ก็จะทำร้ายติณห์อยู่ดี ฉันรู้”
“มึงอย่ามาซ่ากับกูไอ้แก่ มึงทำได้อย่างเดียวคือบอกที่ซ่อนทองกูมา ไปไอ้สน ไปหาที่ขุดหลุมรอฝังศพหลานมัน”
กำนันพงษ์กับสนลุกเดินไปที่ประตู จิตญาณินรีบหลบวูบไปทันทีจังหวะนั้นกำนันพงษ์ชะงักเท้าที่ก้าวเดิน ตามองเหล่ๆ มาข้างหลัง สัมผัสได้ว่ามีใครแอบเข้ามาแต่ทำเหมือนไม่รู้ก้าวเดินผละไป
ญาณินรอจนกระทั่งกำนันพงษ์กับสนเดินลับตาไป จิตญาณินค่อยๆ โผล่ออกมาเงามืดอีกครั้ง มองไปที่ห้องทำพิธี
ติณห์ก้าวเดินขึ้นมาบนเรือนไทย มองหาญาณิน
“ญาณิน ญาณิน คูณอยู่บนเรือนหรือปล่าว ญา…” ติณห์ชะงักเมื่อเห็นญาณินนั่งอยู่กลางเรือน “เฮ่อ อยู่ที่นี่เอง” ติณห์เดินเข้าไปหา พลางบ่น
“คุณจะมาที่นี่ ทำไมไม่บอกป้าออ แกไม่เห็นคุณที่บ้าน เอะอะโวยวายใหญ่เลย ทำให้ผมนึกห่วงคุณแทบแย่ แล้วคุณมานั่งทำอะไรที่นี่” ติณห์เดินอ้อมหลังมามองหน้าญาณิน แล้วก็ถึงบางอ้อเมื่อเห็นญาณินนั่งหลับตามือประสาน
“โอเค้ หลบมาแอบใช้’หมอง นั่ง’มาธิก็ไม่บอก”
ติณห์ยืนกอดอกพิงระเบียงมองหน้าญาณินอยู่ห่างๆ มองไปก็ยิ้มไป มีความสุข
จิตญาณินทะลุประตูเข้ามาในห้องทำพิธีของกำนันพงษ์ วิญญาณหลวงพิชัยภักดีกับกุมาริกาหันมามอง ทั้งดีใจทั้งตกใจที่เห็นญาณิน
“แม่หนูญาณิน”
“เจ๊จีจ้า”
“ชิ้ว! เดี๋ยวพวกมันก็ได้ยินหรอก”
“แล้วหนูถอดจิตมาที่นี่ทำไม มันอันตราย”
“ฉันก็จะมาช่วยคุณหลวงกับโกลเด้นท์เบบี้ออกไปจากที่นี่น่ะซิ”
“หนูจะไปได้ยังไง มีด้ายอาคมมัดตรึงเราไว้กับที่แบบนี้”
“มา ฉันจะช่วยแก้มัดให้” ญาณินเข้ามาดึงด้ายแดง แต่ดึงเท่าไรก็ดึงไม่ออก “ทำไมมันถึงได้เหนียวอย่างงี้ อึ๊บ”
“โอ๊ย หนูเจ็บ”
“อย่าพยายามเลยแม่หนู ยิ่งพยายามดึงด้ายให้ขาด มันก็จะยิ่งรัดแน่นขึ้นไปอีก ไอ้กำนันพงษ์มันลงอาคมไว้ที่ด้ายแดงนี่ หนูต้องใช้คาถาอาคมมาแก้ ถึงจะปลดด้ายนี้ได้”
“นี่แปลว่าหนูช่วยคุณหลวงกับโกลเด้นท์ไม่ได้เหรอ โธ่”
ญาณินกอดกุมาริกาไว้
“หนูช่วยเราสองคนไม่ได้ แต่หนูช่วยเจ้าติณห์ได้” ญาณินเงยหน้ามองหลวงพิชัยภักดี “เห็นห่อผ้าบนพานเหนือหัวกะโหลกนั่นไหม๊ ในนั้นมีผมของเจ้าติณห์อยู่ กำนันพงษ์มันจะทำวิชามารใส่เจ้าติณห์”
จิตญาณินรีบลุกเดินไปหยิบห่อผ้า อยู่ๆ กำนันพงษ์ก็ผลักประตูเข้ามากับสน
“มันมาแล้ว”
ญาณินหันขวับไปมองอย่างตกใจ
“นังญาณิน เก่งจริงนะ ตัวแค่นี้”
“รีบเอาผมเจ้าติณห์หนีไปเร็วหนูณิน ไม่ต้องห่วงพวกเรา” หลวงพิชัยภักดีบอกญาณิน
“ไอ้สน ขวางมันไว้ อย่าให้นังนี่ออกไปจากประตูได้”
กำนันพงษ์กับสนเดินปรี่เข้าหาญาณิน ญาณินกุมห่อผมของติณห์ไว้แน่น เดินถอยหลังไปอย่างช้าๆ กำนันพงษ์ยังไม่รู้ว่าที่เห็นเป็นเพียงจิตญาณิน
“อย่าทำอะไรเจ๊จีจ้านะ”
“หึๆ อยู่ดีๆ ก็เดินเข้ามาให้เชือดเองซะงั้น อีนังคนสวย ฉันอยากจะรู้นักแกจะหนีรอดไปจากที่นี่ได้ยังไง ต่อให้มีปีก วันนี้แกก็หนีไม่พ้น”
กำนันพงษ์พูดเสร็จก็โผล่เข้าไปรวบตัวญาณิน แต่จิตญาณินหันวิ่งทะลุกำแพงบ้านหายไป ทำเอากำนันพงษ์กับสนตะลึงงันแทบไม่เชื่อสายตา
“เฮ้ย มันเป็นผี”
“ไม่ใช่ผีเว้ย อีนังนี่มันถอดจิตได้ ไม่อยากจะเชื่อเลย” กำนันพงษ์หันไปคว้าหุ่นเด็กรักยมขึ้นมาพูดสั่ง
“เฮ้ย ไอ้รักยม เอ็งสองตัวมัวไปมุดหัวอยู่ที่ไหนวะ ไปจับนังผู้หญิงคนนั้นไว้อย่าให้มันหนีไปได้”
วิญญาณเด็กชายรักในชุดสีทองกับเด็กชายยมในชุดสีเงินพุ่งกลิ้งตัวออกมาจากศาลเพียงตาที่แอบเข้าไปขโมยกินของเซ่นไหว้เจ้าที่ ปากยังเคี้ยวตุ้ยๆ มองไปยังจิตของญาณินที่วิ่งทะลุกำแพงจากในบ้านออกมายังสวนหย่อมข้างหน้า
“มันอยู่นั่น”
“ฮิๆ สนุกอีกแล้ว จับมัน”
วิญญาณสองเด็กชายท่าทางเกเรออกวิ่งไล่ตามทีเล่นทีจริงตามนิสัยผีเด็กๆ ญาณินเหลียวหลังไปมองเห็นรักยมที่อยู่ห่างไป วิ่งวื๊ดๆ ตามมาแต่ไกล
“ฮะ”
จิตของญาณินรีบเคลื่อนที่เร็วไปสุดชีวิตมือกุมห่อผมของติณห์ไว้แน่น
“อย่าหนีซี ยอมให้จับซะดีๆ ฮิๆ”
วิญญาณรักยมเปลี่ยนจากวิ่งธรรมดาเป็นเคลื่อนที่เร็วไล่ตามวืดไปวืดมา
อ่านต่อหน้า 2 พรุ่งนี้ เวลา 09.30น.
The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 20 (ต่อ)
ที่เรือนไทย ติณห์มองจ้องไปที่ร่างของญาณินสังเกตเห็นว่าที่หน้าของญาณินมีเหงื่อแตกพลั่กๆ เพราะจิตกำลังหนีการตามไล่ล่าของรักยมสุดชีวิต
“โถ เหงื่อแตกเต็มไปหมดเลย ทำไมต้องนั่งนานขนาดนี้ด้วยคร้าบในนี้ไม่มีแอร์ ไม่มีพัดลม มันก็ร้อนซิ”
ติณห์ควักผ้าเช็ดหน้าออกมายืนถือเก้ๆ กังๆ จะซับหน้าให้ก็ไม่กล้าถูกตัวญาณิน หันไปเห็นพัดใบลานเสียบอยู่ที่ข้างฝา ติณห์ยิ้มออกเดินไปหยิบพัดมานั่งลงข้างๆ คอยพัดวีให้ร่างญาณินอย่างน่ารัก
“เย็นขึ้นหรือยังครับ ตกลงนี่คุณนั่งสมาธิ หรือว่านั่งหลับเนี่ยะ” ร่างญาณินนิ่ง ติณห์เขกหัวตัวเองเบา “Crazy พูดอยู่ได้คนเดียว เค้าไม่ได้ยินหรอก”
ที่หน้าร่างญาณิน คิ้วขยับมีขมวดเล็กน้อยด้วยความเครียด
ที่อาณาเขตบ้านกำนันพงษ์ จิตญาณินเคลื่อนหนีมาตามที่รกๆ ท้ายอาณาเขตของบ้านกำนันพงษ์ที่มีต้นไม้ขึ้นรก วิญญาณเด็กชายรักไล่หลังมา แล้วกระโดดหายตัววื๊ดไปโหนอยู่ที่กิ่งไม้ที่ต้นไม้หน้าญาณิน
“จ๊ะเอ๋”
“ห่ะ”
จิตญาณินหยุดวิ่ง แล้วต้องตกใจอีกครั้งเมื่อเด็กชายยมโผล่มาขี่ม้าก้านกล้วยวนอยู่ข้างหลัง
“ฮี่ๆ ในที่สุดเราขี่ม้า ไล่ตามเจ้าจนทัน ฮี่”
“หนูสองคนปล่อยพี่ไปเถอะนะคะ กำนันพงษ์เป็นคนไม่ดี ถ้าหนูสองคนอยากหมดเวรหมดกรรมเร็วๆ ได้ไปผุดไปเกิดในที่ดีๆ หนูสองคนต้องทำความดี ไม่ช่วยคนชั่วรู้ไหม๊คะ”
“แต่ถ้าเราไม่ช่วยพ่อ เราก็ถูกพ่อตี”
“แล้วก็อดกินขนมอร่อยๆ ด้วย อย่าไปฟังมัน จับมันเลย”
หน้ารักยมที่เป็นเด็กน่ารักก็เปลี่ยนมาเป็นผีเด็กหน้าขาวตาโบว๋ดูน่ากลัวกระโจนเข้าใส่ญาณิน รักกระโดดเข้ากอดขี่คอ บีบคอ ยมกระโดดเข้ากอดรัดแข้งขา ญาณินพยายามสลัด
“ปล่อยนะไอ้เด็กบ้า ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้”
“เร็วดิ ไอ้ยม มัดมันไว้”
รักกับยมเสกด้ายแดงปรากฏขึ้นที่มือ ทำท่าจะมัดญาณิน ญาณินรีบหลับตารวบรวมสมาธิ แล้วจิตเธอก็หายวับไปทำให้รักยมร่วงลงพื้นมาชนกัน
“โอ๊ย”
จิตญาณินปรากฏขึ้นยืนมองทั้งสองห่างออกมา ก่อนหันออกวิ่งหนีต่ออีกครั้ง
“มันหนีไปแล้ว เร็วไอ้รัก แกลุกดิ ตามจับมันให้ได้ เดี๋ยวพ่อตีเรานะ”
วิญญาณรักยมลุกขึ้นวิ่งตามวืดๆ ไป
จิตญาณินวิ่งมาจะสุดเขตอาณาเขตบ้านกำนันพงษ์แล้ว มองเห็นกำแพงไฟอาคมอยู่ข้างหน้าอีกไม่ไกล จิตญาณินยิ้มดีใจจะรอดแล้ว แต่อยู่ๆ กำนันพงษ์ก็โผล่มาดักหน้า
“นึกว่าจะหนีพ้นเหรอ”
“ฮะ”
กำนันพงษ์ควงด้ายสีแดงขึ้นเหนือหัว มันกลายเป็นบ่วงบาศสีแดง กำนันพงษ์เหวี่ยงมา ญาณินพยายามวิ่งหลบ แต่ด้ายก็ตามคล้องคอไว้ได้อย่างแม่นยำ ดึงร่างญาณินล้มตึง
“โอ๊ะ”
ญาณินพยายามจะลุกขึ้น แต่รักยมก็กระโดดมาคร่อมตัวญาณินไว้ ช่วยกันจับมัดมือมัดขาญาณิน
“พวกหนูสองคนกำลังตกเป็นเครื่องมือของคนบาปนะ อย่ายอมให้มันจิกหัวใช้ ตาสว่างเสียทีซี ปล่อยฉัน”
“หุบปากนะ อย่าไปฟังมัน เอาห่อผ้านั่นมาให้ฉัน”
รักดึงห่อผมของติณห์จากมือญาณิน
“อย่าเอาไปนะ เอาคืนมาให้ฉัน เอาคืนมา”
รักยมเดินเอาห่อผมมายื่นให้กำนันพงษ์
“นี่ครับพ่อ ของๆ พ่อ”
กำนันพงษ์กระชากไปฉุนๆ
“เกือบไปแล้วพวกเอ็ง มัวแต่ตะกละไปกินของเซ่นเจ้าที่อยู่อีกล่ะซี ปล่อยให้นังนี่เล็ดลอดเข้ามาได้ ฉันจะทำโทษแกสองคนไม่เซ่นอะไรให้แกกินสามวัน ไปเซ่ ไปเฝ้าตรงรั้วโน่น อย่าให้ใครแอบเข้ามาได้อีก ไม่งั้นฉันจะเฆี่ยนแกด้วยหวายให้หลังลาย ไป๊”
“คับพ่อ”
รักยมหน้าจ๋อยหันเดินไป แล้วร่างก็หายวับไป กำนันพงษ์หันไปที่ญาณินอย่างทึ่ง
“นี่ถ้าไม่เห็นกับตา ฉันคงไม่เชื่อ เธอมันพวกมนุษย์กลายพันธุ์หรือไง ถึงมีญาณพิเศษถอดจิตได้ขนาดนี้ หึๆ แต่อย่าหวังเลยนะจ๊ะว่าจิตเธอจะได้กลับเข้าร่างอีกชาตินี้ มาเป็นทาสรับใช้ฉันซะดีๆ อีคนสวย”
กำนันพงษ์กระตุกบ่วงบาศที่รัดคอญาณิน
“อ๊าย”
ร่างญาณินยังคงนั่งนิ่ง เหงื่อไม่แตกแล้ว แต่ใบหน้าเริ่มซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่ติณห์ไม่ได้สังเกตเพราะมัวแต่นั่งพัดจนเมื่อยมือเมื่อยแขน
“นี่คุณ ผมพัดจนเมื่อยแขนไปหมดแล้วนะ คุณจะนั่งอีกนานไหม๊เนี่ยะ ดูดิ ยุงก็เริ่มยกพวกกันมาแล้ว” ติณห์ ตบยุงให้ “นี่แน่ะไอ้มอสกิโต้! จะมากินเลือดหอมๆ หวานๆ ของดาร์ลิ่งค์ไอเหรอ ต้องข้ามศพไอไปก่อน เอสๆ”
ป้าอรวรรณกับทนายสมชาติเดินขึ้นเรือนมา
“ฮั่นแน่ มานั่งสวีตหวานแหว๋วกันอยู่ที่นี่เอง ปล่อยให้ผมกับป้าออวิ่งตามหาซะเหงือกบาน”
“ชิ้ว เบาๆ ซี คุณญินกำลังนั่งสมาธิอยู่ มาแอบสวีตกันที่ไหนกันเล่า”
“อ้าวเหรอ ซอรี่ๆ”
“โธ่คุณหนู แอบมาปลีกวิเวกจริงๆ เหรอนี่ น่าจะบอกป้าสักคำ ห่ะ” ป้าอรวรรณมองหน้าญาณินแล้วตกใจ
“นี่คุณหนูนั่งสมาธิมานานหรือยังคะคุณติณห์”
“อืม ก็ตอนที่ผมมาเจอ เธอก็นั่งอยู่อย่างนี้แล้ว อย่างน้อยๆ ก็น่าจะมากกว่าชั่วโมงนึงได้แล้วครับ ทำไมเหรอครับป้าออ ตกใจอะไร”
“ก็ดูนี่ซีคะ ดูหน้าคุณหนูซี มันซีดไม่มีสีเลือดเลย”
“จริงด้วยครับ ยังกับไม่มีชีวิตแน่ะ”
“ห่ะ แปลว่าอะไรครับป้าออ”
“ฉันว่าปลุกดีกว่าค่ะ อาการแบบนี้ ไม่ดีแล้ว คุณหนู คุณหนูคะ ตื่นค่ะ”
ญาณินนิ่ง
“คุณญาณิน wake up ตื่นครับ ลืมตาขึ้นซีครับ คุณณิน”
“โอ้โห นั่งสมาธิยังไง ปลุกขนาดนี้ยังไม่รู้สึกตัวอีก นี่หรือเปล่าครับที่เรียกว่าบรรลุสมาธิขั้นเทพ”
“ขั้นเทพอะไรกันคะ ฉันว่าคุณหนูต้องถอดจิตออกไปไหนแน่ๆ”
“ถอดจิตได้ด้วย”
“โธ่คูณณิน คูณจะถอดจิตไปไหนนักหนา กลับมาคุณณิน”
“ว้ายตายแล้ว คุณพระคุณเจ้าช่วย”
“What?”
“ดูที่คอที่มือคุณหนูซีคะ”
ติณห์กับทนายสมชาติดู เห็นรอบคอรอบข้อมือญาณินมีรอยแดงรอบเหมือนมีอะไรมารัดไว้แน่นแทบปริ
“ยังกับถูกอะไรมารัดไว้แน่น”
“จิตของคุณหนูกำลังตกอยู่ในอันตรายแน่ๆ คุณหนูค่ะคุณหนูของป้า ตื่นซีคะ”
“ญาณิน ได้ยินผมมั้ย ตื่นซี ตื่น Please” ร่างญาณินที่นั่งสมาธิ อยู่ๆ ก็เอนล้มลง ติณห์รับร่างญาณินไว้ทัน เขามองเธอที่ซีดอยู่ในอ้อมแขน
“ญาณิน”
จิตญาณินถูกจับโยนมาอยู่รวมกับหลวงพิชัยภักดีและกุมาริกาที่สนเฝ้าอยู่
“แม่หนูญาณิน”
“เจ๊จีจ้า”
จิตญาณินล้มฟุบลง แม้มือขาและคอจะมีด้ายแดงมัดไว้ แต่ก็หันไปมองกำนันพงษ์อย่างไม่กลัว กำนันพงษ์ชี้หน้าคาดคั้น
“ไม่นึกเลยว่า ไอ้บริษัทซิกส์เซ้นส์ของพวกเธอจะกลายเป็นบริษัทปราบผีไปซะได้”
“ที่แท้ทั้งหมดเป็นฝีมือของเขาคนเดียวสินะ”
“จริงๆ ก็ไม่หมดหรอก” หลวงพิชัยภักดีบอก
“ฝูงผี ควายธนูน่ะ เป็นของไอ้สมคิดมัน ชั้นจ้างให้มันส่งผีมา สุดท้ายชั้นต้องมาออกแรงซะเอง”
“คงไม่ใช่แกคนเดียวแน่ๆ ที่มีพลังถอดจิตได้ นั่งเพื่อนเธอก็คงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน”
“กำนันพงษ์ แกคือหลานนายเกิดใช่ไหม”
“รู้ตอนนี้ก็สายไปแล้วคุณหลวง เรื่องนี้ต้องยกความดีให้ปู่ฉัน ที่ส่งฉันไปร่ำเรียนวิชาอาคมกับหม่องยันอ่องตั้งแต่ยังเด็ก ฮ่าๆ”
“สารเลว ปู่ของแกฆ่าฉันยังไม่พอ ยังทิ้งมรดกความชั่วถ่ายทอดไว้ให้หลานอย่างแกตามจองเวรหลานฉันอีก”
“ไอ้แก่ เก็บปากมึงไว้บอกกูดีกว่ามึงซ่อนทองไว้ที่ไหน ไม่อย่างนั้นไอ้ติณห์หลานมึงตาย”
“แกมันก็ไอ้พวกยึดติดอยู่กับสิ่งของเงินทอง ต่ำจริงๆ”
“แกไม่ยึดติดก็เอาทองมาซิวะ ฮ่าๆ ไง” ทุกคนเงียบ “ก็ไม่บอก พวกแกมันก็ไม่ต่างอะไรกับชั้นหรอกวะ ฮ่าๆ”
“ต่างสิกำนัน พวกชั้นมีแล้วชั้นช่วยคน ไม่ได้มีไว้บำเรอตัวเอง”
“เป็นแค่กุมารทองชั้นล่าง ทำปากดี เดี๋ยวตบคว่ำ”
กำนันพงษ์ยกมือห้ามสน
“ญาณิน ถ้าภายในสองวัน จิตเธอไม่กลับเข้าร่าง ร่างของเธอก็จะกลายเป็นศพแล้วจิตของเธอก็จะเป็นแค่วิญญาณผีชั้นต่ำไม่ต่างอะไรกับไอ้ผีตัวนี้” กำนันพงษ์ชี้ไปที่หลวงพิชัยภักดีและกุมาริกา ญาณินตะลึง รู้สึกใจหายวาบ
“ไอ้สน เอาหม้อมา”
“มึงจะทำอะไร ไอ้สารเลว”
ญาณินตกใจมองสนที่เอาหม้อดินมาวางไว้ต่อหน้าพวกเธอทั้งสาม กำนันพงษ์ไม่ตอบพนมมือท่องคาถา แล้วทั้งสามก็ถูกดูดเข้าไปอยู่ในหม้อดิน
“อ๊าย!”
ทั้งสามร้องด้วยความตกใจ สนใช้ผ้าดำลงยันต์ปิดหม้อจนภาพมืดมิด
“ปล่อยฉันออกไปๆ”
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นติณห์กำลังอุ้มร่างญาณินวิ่งกระหืดกระหอบมาจากทางเรือนไทย ป้าอรวรรณกับทนายสมชาติรีบตามหลังมา ป้าอรวรรณร้องไห้สะอึกสะอื้น ทนายสมชาติทั้งตกใจทั้งงงกับเรื่องที่เกิดขึ้น ติณห์วิ่งพลางก้มลงมองหน้าญาณินที่ซีดราวคนตาย เนื้อตัวอ่อนปวกเปียกเหมือนกับผัก
“ญาณิน คุณอย่าเป็นอะไรไปนะ คุณจะตายไปจากผมแบบนี้ไม่ได้”
ติณห์อุ้มญาณินวิ่งตรงไปที่รถ คิดจะพาไปส่งโรงพยาบาล จังหวะนั้นเองที่มีรถแล่นปร๊าดเข้ามา ณัฐเดชกดแตรพร้อมกับตะโกนออกมาจากหน้าต่าง
“เฮ้ย ไอ้ติณห์”
ติณห์ชะงักหยุดวิ่งหันมองไป เห็นทุกคนรีบลงจากรถด้วยสีหน้าตกอกตกใจ ป้าอรวรรณเห็นสี่สาวถึงกับร้องไห้โฮ โผเข้าไปหา
“ฮือๆ ป้าดีใจจริงๆ ที่พวกคุณมา ช่วยคุณหนูด้วยค่ะ”
“เกิดอะไรขึ้นป้า” สี่สาวถามออกมาพร้อมกัน
“ยัยณินเป็นอะไรไปห่ะไอ้ติณห์”
“ฉะ ฉันก็ไม่รู้ เธอนั่งสมาธิ แล้วก็ไม่รู้สึกตัวเลย”
หมอวรวรรธเข้ามาจับชีพจรญาณิน
“ยังนะ ยังหายใจอยู่นะ”
“ฉันจะรีบพาเธอไปส่งโรงพยาบาล”
“พาไปส่งโรงพยาบาลก็ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะคุณติณห์”
“หมอช่วยอะไรไม่ได้หรอก”
“แล้วจะให้ผมทำยังไง”
“ใจเย็นๆ ค่ะคุณติณห์ ไว้เป็นหน้าที่ของพวกเราเองเถอะค่ะ”
“พวกเราจะช่วยพายัยณินกลับมาเอง”
ติณห์มองหน้าสี่สาว ทั้งสี่พยักหน้าให้ความมั่นใจ ติณห์ก้มลงมองญาณินอย่างแสนห่วง
ภายในหม้อดินมืดมิดไม่ต่างจากคุกขังนักโทษ มีเพียงแสงสว่างบางๆ จากกุมาริกาที่เปลี่ยนมือข้างหนึ่งเป็นดวงไฟ ญาณินนั่งกอดเข่าหมดอาลัย
“เราจะทำยังไงกันดีคะคุณหลวง”
“ก็คงต้องบอกที่ซ่อนทองมันไป เจ้าติณห์มันจะได้ปลอดภัย ได้ทำรีสอร์ทอย่างที่มันฝันไว้ ช่วงสงคราม ชั้นได้เปลี่ยนเงินมาเป็นทองคำหลายร้อยแท่งและฝังมันไว้ในที่ดินแห่งนี้แหล่ะ ฉันตั้งใจจะเก็บทองไว้ให้เจ้าติณห์ ไม่นึกเลย ทองคำพวกนี้จะทำให้ลูกหลานฉันเป็นทุกข์เดือดร้อน”
หลวงพิชัยภักดีพูดด้วยเสียงสั่นเครือ ศีรษะขาวโพลนก้มต่ำสะท้าน ทำให้กุมาริกาโผเข้าซบร้องไห้
“คุณตา อย่าร้องไห้ซี”
“ตาขอโทษเจ้าหนู ที่ทำให้พวกเธอต้องมาลำบากด้วย ตาขอโทษ ไอ้กำนันพงษ์มันเหี้ยมเกรียมมาก พวกเราพวกเราคงไม่รอดแน่แล้ว”
ญาณินมองหลวงพิชัยภักดีกับกุมาริกาซบกันร้องไห้แล้วน้ำตาไหล
“หนูเสียใจที่ช่วยคุณหลวงไม่ได้”
“หนูก็เสียใจที่พลาดถูกพวกมันจับตัวได้”
“ใครจะไปรู้ว่าไอ้กำนันพงษ์มันเป็นผู้มีวิชาอาคมแกร่งกล้าขนาดนี้ ฉันเองที่เลินเล่อให้ไอ้เกิดกับอีนังลำดวนเมียทรยศมันล่วงรู้เรื่องทอง” หลวงพิชัยภักดี ร้องไห้ออกมา
“คุณตากับเจ๊จีจ้าอย่าเพิ่งหมดหวังซี คุณติณห์ก็ต้องรู้ว่าจิตของเจ๊จีจ้าหายไป คุณติณห์ต้องรีบไปบอกพวกพี่รสให้มาช่วยเราแน่ๆ” กุมาริกาบอก
“ฉันกลัวว่ามันจะช้าเกินไปน่ะซิ”
ญาณินบอกด้วยสีหน้าเป็นกังวล
ร่างญาณินนอนอยู่บนเตียง หมอวรวรรธกำลังตรวจดูอาการญาณิน ติณห์ ป้าอรวรรณ ทนายสมชาติ เนตรศิตางศุ์ ยืนดูห่างๆ
“อุณหภูมิในตัวต่ำลงกว่าปกติ ผมอยากได้น้ำเกลือ ยาบำรุงฉีดเข้าเส้น แล้วก็ออกซิเจ้นเผื่อใช้ยามฉุกเฉิน เกิดร่างกายคุณณินสู้ไม่ไหวขึ้นมา”
“ที่นี่พอจะหาซื้อได้ไหมคะคุณทนาย”
“ได้ครับ ผมจะจัดการให้เลยครับ”
ทนายสมชาติวิ่งออกจากบ้านไปดำเนินการ
“แล้วญาณินจะอยู่อย่างนี้ได้นานแค่ไหนครับหมอ” ติณห์ถามอย่างเป็นห่วง
“ผมว่าถ้าพรุ่งนี้ไม่ดีขึ้น ต้องพาส่งโรงพยาบาลแล้วครับ อยู่ที่นี่ลำพังเราคงดูแลกันไม่ไหว”
ระหว่างนั้นเนตรสิตางศุ์กับป้าอรวรรณหันไปจับมือญาณินมองญาณินด้วยความเป็นห่วง
“เจ๊จีจ้า ไม่ว่าตอนนี้เจ๊จะเจอกับอะไรอยู่ที่ไหน สู้ไว้นะ เจ๊เก่งอยู่แล้ว อย่ายอมแพ้ง่ายๆ ล่ะ พวกเรามาช่วยแล้ว”
ป้าอรวรรณซบไหล่เนตรสิตางศุ์ร้องไห้เงียบๆ ไตรรัตน์เดินเข้ามาสะกิดติณห์พาเดินออกไปข้างนอก
พวกสุคนธรสกำลังวางแผนอยู่ ติณห์กับไตรรัตน์เข้ามาสมทบ
“คุณติณห์ จิตของยัยณินคงถูกพวกมันจับเอาไว้”
“ว่าไงนะ ญาณินๆ โอ ทำมายๆ เธอไม่บอกผมซะก่อน Why?”
“ยัยณินประมาท คงคิดว่าไม่เป็นไร ประมาณฝีมือศัตรูต่ำเกินไป”
“แล้วคุณรู้ได้ไงอ่ะ”
“ก็ที่รอบคอ ข้อมือ ข้อเท้ายัยณินนั่นไงมีรอยแดงคล้ายถูกมัด ลักษณะแบบนี้แสดงว่ายัยณินคงถูกเล่นงานด้วยอาคม”
“แต่ไอ้มัน ไอ้ศัตรู ไอ้ใครเนี่ย มันเก่งกว่าหมอสมคิดอีกใช่ไหม แล้วมันคือใคร”
“ใคร ที่อยากทำร้ายคุณติณห์”
“โกลเด้นท์เบบี้กับคุณหลวงก็คงจะโดนมันจับไปด้วย”
“Oh My God” ติณห์เครียดจัด
“จับ ฉันต้องการจับจุดสุดท้าย ที่เจ๊ไปนั่งสมาธิถอดจิต”
กรรัมภาถอดถุงมือ
สี่สาวยืนหันหลังเป็นวงกลมอยู่ที่หน้าเรือนไทยต่างคนต่างแหงนหน้ามองไปรอบๆ พยายามใช้ความสามารถพิเศษของตัวเองค้นหาร่องรอยการหายไปของญาณิน กรรัมภาแตะๆ ลูบๆ ตามต้นไม้ใบหญ้า
“ยัยแก้ม เป็นไง”
“จะเป็นไง มันก็ต้นไม้ใบหญ้า ซี๊ด มีหนามอีกต่างหาก”
“จิ๊! ฉันถามว่าเห็นร่องรอยญาณินบ้างไหม๊”
“ถ้าเห็นฉันก็บอกแล้วซี ไม่เห็นต้องถาม” มือกรรัมภาปัดโดนพุ่มไม้พุ่มหนึ่ง “เอ๊ะเดี๋ยว” กรรัมภาชะงักเมื่อเอเห็นภาพจิตญาณินล่องลอยผ่านพุ่มไม้ไป “ทางนั้น”
กรรัมภาไม่พูดพร่ำ รีบเดินเอามือแตะต้นไม้ไปตลอดทางอย่างรวดเร็ว สามสาวหันมามองหน้ากันอย่างดีใจ รีบตามกรรัมภาที่เดินนำลิ่วๆ ไปในทางที่เป็นต้นไม้รกทึบ
กรรัมรัมภาใช้สมาธิเดินแตะใบไม้ต้นไม้นำทางมา เห็นได้ว่าเมื่ออยู่ในภาวะที่ใช้พลังเต็มที่การเดินไปข้างหน้าของกรรัมภา เคลื่อนที่เร็วมากราวกับเหาะเหินเดินอากาศได้เลยทีเดียว ทำให้สุคนธรส กรรณา เนตรสิตางศุ์ถึงกับต้องวิ่งตามมาข้างหลัง
กรรัมภาวิ่งมาหยุดกึกอยู่ที่หนึ่ง กรรัมภาเห็นภาพญาณินยืนมองไปข้างหน้าพร้อมคุยอะไรซักอย่างกับใคร
“ยัยเจ๊ หยุดยืนตรงนี้คุยอะไรกับใครไม่รู้”
“มา ชั้นช่วย”
“เนตรด้วย”
กรรณา เนตรศิตางศุ์จับมือกรรัมภาอีกข้าง ส่งกระแสให้กัน เห็นเป็นภาพญาณินยืนคุยอยู่กับนางตะเคียนก่อนที่จิตญาณินจะพุ่งหายไป
ทุกอย่างกลับสู่สภาวะปกติ ทั้งสามสาวมองไปทางที่จิตญาณินหายไป สุคนธรสเดินมาสมทบมองไปข้างหน้า เห็นรั้วกั้นบ้านกำนันพงษ์อยู่ข้างหน้ามีต้นไม้ปกคลุม มองไม่เห็นตัวบ้าน กรรัมภายกมือถือขึ้นมาถ่ายรูป
กรรัมภาเอาภาพในมือถือไปให้ติณห์ดู
“กำนันพงษ์น่ะเหรอจับจิตของญาณิน วิญญาณคุณตาแล้วก็โกลเด้นท์เบบี้ไป มันต้องการอะไร ผมจะให้มันทุกอย่าง” ติณห์จะรีบไป ณัฐเดชดึงไว้
“เดี๋ยว ตั้งสติก่อนสตาร์ทสิ ฝรั่ง...แกเคยเป็นคนพูดเองไม่ใช่เหรอไอ้ติณห์ว่ากำนันพงษ์เป็นผู้ต้องสงสัยหมายเลข1 ที่รับมรดกเลี้ยงผีนางพรายไว้ที่ใต้แม่น้ำ เพราะว่าเป็นหลานนายเกิดอดีตคนรับใช้ของคุณหลวง”
“ใช่ แต่ฉันไม่คิดว่ากำนันพงษ์จะเป็นถึงหมอผี”
“ไม่คิดเลย ว่าบ้านเมืองเรา หมอผีชุมพอๆ กับนักการเมืองเลย”
“พี่ณัฐ ผมว่าเราติดต่อตำรวจท้องที่กันก่อนเถอะ”
“ไม่ได้ ถ้ามันรู้ตัวเมื่อไหร่ เราจะไม่มีวันพบกับญาณินอีกเลย”
“ใช่ จนป่านนี้ ยังไม่รู้อีกเหรอว่างานนี้ มันหน้าที่ใคร”
สี่สาวยืนเรียง เตรียมพร้อม พวกผู้ชายอึ้ง ก๊องโผล่พรวดเข้ามา
“หน้าที่ของ...” ก๊องกำลังจะบอกว่าเป็ตัวเองแต่โดนกรรณายันโครม
ไตรรัตน์ลากสุคนธรสออกมาคุยอีกมุมหนึ่ง
“นายเป็นอะไรไป ดึงชั้นออกมาทำไม”
“คุณนี่จริงๆ เลย ไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งโง่กันแน่ห่ะ ผมเป็นห่วงคุณนะสิ คราวที่แล้วก็เกือบจะไม่รอด คราวนี้ไอ้กำนันบ้านั่นน่าจะเหนือกว่าไอ้หมอผีสมคิดอีกนะ”
ว่าแล้วไตรรัตน์ก็ดึงสุคนธรสมากอดไว้โดยที่สุคนธรสไม่ทันตั้งตัว สุคนธรสอ้าปากค้างก่อนจะผลักไตรรัตน์ออก
“แทนที่จะมาคิดมากมัวแต่ห่วงฉัน คุณน่าจะให้กำลังใจฉันมากกว่านะ เพราะยังไงพวกฉันก็ต้องไปช่วยชีวิตเพื่อนรักของฉันมาให้ได้”
ไตรรัตน์จ้องสุคนธรสเห็นความมุ่งมั่นในแววตา แล้วดึงเข้ามากอดอีก
“ยังไงผมก็จะอยู่ข้างคุณ เป็นไงเป็นกัน”
ไตรรัตน์ฝืนยิ้มกอดสุคนธรสไว้ สุคนธรสน้ำตาซึม
พลบค่ำวันเดียวกันนั้นภายในห้องทำพิธีบ้านกำนันพงษ์ที่ไม่มีคนอยู่ มีแต่เสียงครวญครางหวีดหวิวเบาๆ ของวิญญาญ มีเสียงเรียกดังมาจากกองหม้อดินจำนวนมากมายที่กักขังวิญญาณภูติผี หม้อที่ขังจิตญาณิน หลวงพิชัยภักดี และกุมาริกาซึ่งวางปะปนอยู่กับหม้อใบอื่นๆ
“เฮ้ย ไอ้หมอผี! พวกแกไปไหนกันหมด”
“กำนันพงษ์ ได้ยินไหม”
“วู้ อยากรู้ที่ซ่อนทองไม่ใช่เหรอ ปล่อยพวกเราออกก่อนซี”
หลวงพิชัยภักดี ญาณิน กุมาริกาช่วยกันตะโกนเรียกจนเหนื่อย
“ไอ้กำนันพงษ์ โผล่หัวแกมา แกอยากรู้ที่ซ่อนทอง ฉันจะบอกแกเดี๋ยวนี้”
“มัวทำอะไรอยู่ ไม่ได้ยินหรือไง”
“ข้างนอกเงียบฉี่เลย พวกมันคงไม่อยู่หรอกค่ะ”
“นี่ข้างนอกมันกี่โมงกี่ยามแล้ว มันหายหัวไปไหนกันหมด พวกแกมัวไปทำอะไรกันอยู่ห่ะไอ้กำนันพงษ์”
“หรือว่า พวกมันจะไปทำพิธีคุณไสย์ใส่คุณติณห์แล้วค่ะคุณตา”
คำพูดของกุมาริกาทำเอาสีหน้าญาณินกับหลวงพิชัยภักดีตกใจ ใจคอไม่ดี
อ่านต่อหน้า 3
The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 20 (ต่อ)
ที่มุมป่าด้านหลังในอาณาเขตบ้านกำนันพงษ์ สนกำลังเงื้อจอบขุดหลุมขนาดใหญ่เท่าหลุมฝังศพ กำนันพงษ์ยืนกำกับอยู่โดยสะพายดาบลงอาคมไว้ข้างหลังราวกับเป็นนักรบ
“เอาล่ะ พอแล้ว เอาโลงศพวางลงไป”
กำนันพงษ์กับสนช่วยกันยกโลงศพเปล่าหย่นลงไปในหลุม
“คืนพรุ่งนี้ถึงจะเป็นคืนแห่งกาฬปักษ์ แต่กำนันจะทำของใส่นายติณห์คืนนี้เลยเหรอ”
“ใช่!ไอ้วิญญาณคุณหลวงมันปากแข็งดื้อด้าน มันไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา ก็ต้องเล่นหลานมันคืนนี้นี่แหละ มันจะได้รู้สึก ถึงคืนนี้จะไม่ใช่แรม15ค่ำคืนแห่งกาฬปักษ์ หึ แต่เอ็งไม่ต้องกลัวไอ้สน มันไม่ได้ทำให้อาถรรพ์อาคมของกูแรงน้อยลงไปเท่าไหร่หรอก หึๆ”
“แล้วถ้าไอ้คุณหลวงมันบอกที่ซ่อนทองล่ะ กำนันจะจัดการยังไงกับวิญญาณมันทั้งสามตัว จะปล่อยไปเหรอ”
“จะปล่อยทำไมให้โง่วะ เก็บพวกมันไว้ใช้งานซีวะ โดยเฉพาะนังญาณิน พอจิตมันไม่กลับเข้าร่างมันก็จะไม่ต่างอะไรกับวิญญาณเร่ร่อนแล้วมันก็จะกลายเป็นเมียผีชั้นดีของข้าเลยทีเดียว เหมือนที่ขุนแผนมีนางโหงพรายไว้แก้เหงาไง ฮ่ะๆ”
กำนันพงษ์ล้วงรูปถ่ายติณห์ออกมา ท่องคาถาอาคมแล้วโยนรูปติณห์ลงไปในโลงศพ
ขณะนั้นติณห์นั่งเฝ้าอาการญาณินด้วยความเป็นห่ง ติณห์สั่งจับมือญาณินอย่างแสนรัก ญาณินมีสายน้ำเกลือและอุปกรณ์ยังชีพบำรุงร่างกายอยู่
“ญาณิน คุณได้ยินผมบ้างไหม๊ ขอบคุณมากที่คุณพยายามจะช่วยคุณตาของผม คุณเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่คุณทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ซะเหลือเกิน คุณช่วยผมอยู่ตลอดเวลาโดยไม่หวังอะไรเลย ญาณิน ถ้าคุณได้ยินผม คุณต้องกลับมาหาผมนะ อย่าไปเป็นอะไรไป ผมอยู่โดยไม่มีคุณไม่ได้” ติณห์ก้มลงจูบมือญาณิน แล้วอยู่ๆ ติณห์มีอาการวูบวาบๆ แปลกๆ จนหน้ามืดฟุบลงกับมือญาณิน “โอ๊ะ”
หมอวรวรรธ ก๊อง ป้าอรวรรณ ทนายสมชาติเปิดประตูเข้ามาเห็นติณห์เข้าพอดี
“คุณติณห์ เป็นอะไรไปครับ”
“อยู่ๆ ผมก็ตาลาย หน้ามืด” ติณห์พยายามลุกแต่เซ “โอ๊ะ”
หมอวรวรรธประคองติณห์ไว้ทัน
“ระวังครับ มานั่งตรงนี้ก่อนครับ ให้ผมตรวจดูหน่อย” ติณห์ช่วยประคองติณห์ไปนั่งที่เก้าอี้ หมอวรวรรธรีบตรวจเช็คดูติณห์ “ชีพจร ความดันก็ปรกตินี่ครับ พี่ติณห์อาจจะเครียดเพราะห่วงคุณณินมากไปน่ะครับ”
“หรือไม่ คุณติณห์ก็อาจจะโดนเข้าแล้ว”
“โดนอะไรครับ”
“ก็โดนของที่ไอ้กำนันพงษ์มันทำใส่น่ะซิ พวกคุณหนูเล่าให้ฉันฟังว่าที่มันแอบพรางตัวเข้ามาบ้านคุณติณห์คืนนั้นน่ะ มันแอบเข้ามาขโมยของของคุณติณห์ไปทำของใส่ มันอาจจะเริ่มลงมือร่ายพิธีแล้วก็ได้”
คำพูดของป้าอรวรรณทำเอาทุกคนตกใจ ติณห์สำรวจอาการ มองสองมือตัวเองที่ซีดแล้วก็คิดอย่างเดียวกัน
“คงจะเป็นอย่างที่ป้าออว่า” ติณห์ขบกราม “หึ กำนันพงษ์!แกต้องการอะไรจากชั้นวะ”
“หวังว่าพวกคุณหนูจะทำสำเร็จนะคะ”
ทุกคนมองหน้ากัน
คืนนั้นเนตรศิตางศุ์ กรรณา กรรัมภาช่วยกันจุดคบไฟที่ปักไว้สี่ทิศสว่างพรึ่บ สามสาวยืนถือคบเพลิงมองไป เสาคบเพลิงทั้งสี่ถูกโยงไว้ด้วยด้ายสายสิญจน์โดยรอบ
ภายในสายสิญจน์สุคนธรสนั่งขัดสมาธิอยู่ที่เสื่อตรงกลางตรงหน้ามีพานใส่ใบไม้ไว้ 2-3 ใบ สองมือพนมปากท่องคาถาวิชาพรางตัวที่ได้ร่ำเรียนมา
“ไม่เคยรู้เลยว่ายัยรสมีวิชาพรางตัวด้วย”
“แต่มันบอกว่า ตั้งแต่ร่ำเรียนมาจากหลวงปู่มา มันไม่เคยใช้เลยนะแก”
“แล้วถ้าไม่สำเร็จล่ะ”
กรรณากับกรรัมภาหันมามองหน้านอยๆ ของเนตรสิตางศุ์อย่างอ่อนใจ ประมาณ แกจะพูดทำไม แล้วสามสาวก็หันมองไปที่สุคนธรสอย่างเอาใจช่วย ลมรอบๆ บริเวณเริ่มพัดแรงขึ้น
สามสาวแหงนหน้ามองต้นไม้ที่ไหวในแรงลม เนตรศิตางศุ์หันไปเห็นสุคนธรสกำลังทำบางอย่างรีบสะกิดให้สองสาวดู สุคนธรสค่อยๆ ยื่นมือไป รอจนใบไม้ใบหนึ่งหล่นลงมาในอุ้งมือ แล้วเอาขึ้นมาส่องๆ ก่อนจะพับสามทบ แล้วเอามาทัดหู ลุกขึ้นยืน
“พวกแกทั้งสามคน ไม่เห็นฉันแล้วใช่ไหม๊”
“หา”
สามสาวอ้าปากค้าง ทำหน้าแหยๆ เพราะยังเห็นสุคนธรสยืนอยู่ สุคนธรสยิ้มพอใจ แล้วทำหน้าลิง หน้าผี แลบลิ้นปลิ้นตาใส่เพื่อนๆ
“ไอ้นี่ ไม่สวยแล้วยังเกรียนอีก”
“ว่าไงนะ อย่าบอกนะว่าพวกแกยังเห็นฉันอยู่”
“ชัดแจ๋วเต็มสองตาเลยด้วย นี่”
กรรณายื่นมือไปบีบจมูกสุคนธรส สุคนธรสปัดมือกรรณาออกอย่างฉุน
“เฮ้ย ไรวะ แล้วทำไมพวกแกไม่รีบบอกฉัน”
“นี่ก็แปลว่า เธอใช้วิชาพรางตัวไม่สำเร็จน่ะซิ”
“ก็บอกแล้วไง ว่าไม่เคยใช้ ท่องคาถาตรงไหนผิดหว่า หรือว่าลืมท่องคาถาบทไหนวะเนี่ยะ”
“เอ็งไม่ได้ลืมคาถาบทไหนหรอก แต่เอ็งไม่เข้าถึงสมาธิ”
เสียงหลวงลุงสุวิทย์ดังขึ้น สี่สาวหันขวับมองไปเห็นหลวงลุงสุวิทย์แบกกลดเดินผ่านเงามืดออกมา สี่สาวทรุดนั่งลงพนมมือ
“หลวงลุง”
“ต่อให้เอ็งแม่นคาถา แต่สมาธิไม่นิ่ง คาถาที่เอ็งร่ำเรียนมาถึงจะวิเศษแค่ไหนมันก็ไม่สัมฤทธิ์ผลหรอก”
“ถ้าอย่างนั้น นิมนต์อาจารย์ช่วยรสให้พรางตัวสำเร็จด้วยเถอะค่ะจิตญาณินถูกจับกักขังไว้ ถ้าพรุ่งนี้ไม่ได้กลับเข้าร่าง ญาณินต้องตายแน่ๆ รสจะไปช่วยเพื่อน และปลดปล่อยวิญญาณคุณหลวงกับโกลเด้นท์เบบี้ให้เป็นอิสระ”
“ก็คิดว่าข้ามาทำอะไรล่ะ”
หลวงลุงสุวิทย์ปักด้ามกลดลงกับพื้น
สุคนธรสนั่งขัดสมาธิอยู่ต่อหน้าหลวงลุงสุวิทย์ที่ปักกลดไว้ด้านหลังมีพานใส่ใบไม้อยู่ระหว่างกลางของทั้งสองโดยมีสามสาวนั่งพับเพียบพนมมืออยู่ห่างๆ
“ใจสงบ สมาธิก็เกิด เมื่อจิตนิ่ง สมาธิก็นิ่ง ขอให้คิดถึงพระพุทธคุณเป็นที่มั่น” สุคนธรสเริ่มดำดิ่งสู่สมาธิ “เพ่งกระแสไปที่ใบหน้า”
สุคนธรสเริ่มท่องคาถาอิติปิโส หลวงลุงสุวิทย์สูดลมหายใจเข้าแล้วท่องคาถาบทเดียวกับสุคนธรสอย่างสอดคล้องคราวนี้ลมพัดแรงไปทั่วบริเวณ แต่กลับมุ่งไปปะทะที่ตัวสุคนธรสกับหลวงลุงสุวิทย์ แล้วม้วนเป็นเกลียวอยู่รอบๆ ตัวทั้งสอง สามสาวมองอย่างตะลึง
เพียงชั่วครู่หลวงลุงสุวิทย์ก็ยื่นมือไปหยิบใบไม้ที่พานตรงหน้ามาเหน็บไว้ที่หู ร่างในผ้าเหลืองค่อยๆ เลือนหายไปจากกลด ต่อหน้าต่อตาสามสาวที่อ้าปากตาค้าง
ครู่ต่อมาสุคนธรสก็หยิบใบไม้ขึ้นมาเหน็บหู สามสาวลุ้นว่าจะตัวจะหายไปเหมือนหลวงลุงสุวิทย์หรือไม่ และแล้วร่างของสุคนธรสก็ค่อยๆ เลือนหายไปเหมือนกัน สามสาวหันมาจับมือกันอย่างสุดแสนดีใจ แต่ต้องกลั้นเสียงไว้ไม่ให้ดังออกจากปาก
“ดีมาก เอาล่ะ เอ็งไปช่วยเพื่อนเอ็งได้แล้ว ระวังตัวให้ดีอย่าให้ฝ่ายโน้นรู้ได้ว่าเอ็งแอบพรางตัวเข้าไปในอาณาเขตของเค้า”
“ค่ะหลวงลุง รสจะระวังตัว”
ร่างหลวงลุงสุวิทย์ค่อยๆ ปรากฏขึ้นพร้อมมือที่ดึงใบไม้ออกจากหู หันมองไปที่กิ่งไม้ตรงหน้าท่านที่ขยับไหว เพราะตัวสุคนธรสเดินผ่านไป สามสาวมองตามใบไม้ที่ไหวไปตามทางข้างหน้า
“ระวังตัวนะยัยรส”
“ช่วยเจ๊จีจ้ากลับมาให้ได้นะ”
“สู้ๆ”
ร่างใสราวกับพรายน้ำของสุคนธรสเดินเคลื่อนไหวมาในความมืดจนมาถึงกำแพงไฟริมรั้วอาณาเขตบ้านกำนันพงษ์ ผีนางตะเคียนโผล่ออกมาจากต้นไม้ มาห้ามไว้
“เจ้าคิดจะมาช่วยเพื่อนเจ้าใช่ไหม”
สุคนธรสสะดุ้ง
“นางตะเคียน”
สมาธิสุคนธรสหลุดไป ตัวสุคนธรสกระพริบเกือบจะกลับมาเป็นปกติ สุคนธรสจึงรีบทำจิตว่าง ร่างจึงกลับมาโปร่งใสเหมือนเดิม
“ฉันเตือนเพื่อนเจ้าแล้ว เขาก็ไม่เชื่อ เจ้าอยากเป็นแบบเพื่อนเจ้าเหรอ”
“ขอบคุณค่ะ แต่หนูต้องไปช่วยเพื่อนค่ะ”
สุคนธรสหันกลับไปทางกำแพงไฟและท่องคาถา กำแพงไฟแยกออกเป็นทาง พอให้สุคนธรสเดินผ่านได้เมื่อสุคนธรสเดินผ่านไปแล้ว กำแพงไฟกลับมารวมกันใหม่เหมือนเดิม
ร่างใสของสุคนธรสเดินเข้ามาในเขตบ้านกำนันพงษ์เคลื่อนไหวมาในความมืด วิญญาณรัก ยม รับรู้การมาของสุคนธรส ทั้งคู่หันขวับมาทางสุคนธรสแต่ไม่พบอะไร สุคนธรสแอบอยู่หลังต้นไม้ทำให้รัก ยม มองไม่เห็น
“เกือบเสร็จแล้วไหมล่ะ” สุคนธรสเลยล้วงเอากระดูกงูพญาจงอางออกมา “งั้นต้องเจอกับกระดูกงูพญาจงอาง”
สุคนธรสท่องคาถาแล้วโยนข้ามรั้วไป กระดูกงูพญาจงอางขาวโพลนร่วงลงพื้น แล้วเปลี่ยนร่างกลายเป็นเป็นพญางูมีชีวิต ขดลำตัวยาวผงกหัวแลบลิ้นสองแฉกสีทองยาว วิญญาณรัก-ยมวิ่งมาแต่ไกล ค่อยๆ ปรากฏตัวชัดขึ้น
“ห่ะ งู งูจงอาง มันโผล่มาจากไหนเนี่ย”
“เออว่ะ ในรอบรั้วอาณาเขตบ้านพ่อ เราไล่ล่าถลกหนังมันเล่นหมดทุกรูแล้วนี่”
“แต่ดูไอ้ตัวนี้ มันไม่ธรรมดาวะ มันต้องเป็นพญางูแหงๆ”
“ฮ่ะฮ่า พญางูงั้นเหรอ เดี๋ยวฉันจะถลกหนังมันให้ดู”
เด็กชายยมแสดงอิทธิฤทธิ์ด้วยการถอดกำไลทองใส่ข้อมือขว้างเข้าใส่พญาจงอาง กำไลหมุนติ้วขยายใหญ่ขึ้นกลายเป็นห่วงพุ่งเข้าใส่ พญาจงอางแยกเขี้ยวคำรามตวัดหางฟาดใส่ห่วง ก่อนจะหมุนตัวเลื้อยหนีไปอย่างรวดเร็ว ห่วงหมุนกลับมาเข้ามือเด็กชายยม
“อย่า'นี้นะ ไม่รู้จักรักยมซะแล้ว”
วิญญาณเด็กชายทั้งสองวิ่งตาม ก่อนร่างจะหายลับตาไป สุคนธรสที่แอบดูอยู่ยิ้มที่ล่อรักยมไปสำเร็จ
“ไอ้ผีเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม แกเจอพญางูสวาปามแน่งานนี้”
แล้วร่างใสของสุคนธรสก็รีบไปอย่างรวดเร็ว
กำนันพงษ์รู้สึกสังหรณ์ใจบางอย่างกลอกตามองไปทั่วป่า สนกำลังตอกเสาไม้ที่หัวกับท้ายหลุมศพที่ใส่โลงไว้โดยที่หัวเสาทั้งสองใช้หัวกะโหลกคนแปะยันต์เสียบไว้
“เอาล่ะ เสร็จแล้ว”
กำนันพงษ์เอาหุ่นฟางออกมามือนึง แล้วเส้นผมติณห์มือนึง
“นี่คือหุ่นฟาง สมมุติว่าเป็นตัวไอ้ติณห์ แล้วนี่เส้นผมของไอ้ติณห์ ที่กูล่องหนไปเก็บเอามาจากหวีของมัน”
กำนันพงษ์เอามือแหกหัวหุ่นออก เอาผมติณห์ใส่ แล้วเอาเชือกพันๆรอบหัวให้กลมๆ พลางสวดคาถา
“พิธีบังฟัน เอาเส้นผมศัตรูใส่หุ่น แล้วเอามีดหมอฟันให้ทรมานจนกว่ามันจะตายเจ๋งจริงๆ ได้ยินมานานแล้วไม่
เคยเห็นใครทำพิธีนี้มาก่อนเลย”
กำนันพงษ์สวดกระชั้นขึ้น แสงที่หน้าดูสยอง
ร่างใสของสุคนธรสเดินอยู่ในบ้านกำนันพงษ์ โดยก้าวขึ้นบันไดมาใช้จมูกสูดดมหากลิ่นสาปของวิญญาณ
กลิ่นนำเธอมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องทำพิธี สุคนธรสค่อยๆ ผลักประตูเข้าไป
“โอ๊ก”
กลิ่นสาปเน่าอย่างรุนแรงของวิญญาณจากในห้องพุ่งเข้าปะทะจมูกสุคนธรสจนแทบยังล้มหงายตึง สุคนธรสยกมือปิดปากจมูกด้วยอาการคลื่นเหียนแทบอ๊วก ตาก็เบิกตะลึงมองเมื่อเห็นภายในห้องไม่ต่างจากสำนักหมอผี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหม้อดินกักวิญญาณที่วางเกลื่อนเต็มห้องช่างน่าขนลุกนัก
“อะไรกันนี่ กลิ่นความสยดสยองเหม็นเน่ารุนแรงแบบนี้ ในนี้คงจะมีแต่ผีตายโหงเต็มไปหมด”
สุคนธรสจำต้องก้าวเข้ามาในห้อง พลางปิดประตูไว้อย่างเดิม แล้วมองไปรอบๆ ห้องอีกที จนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ก็ดึงใบไม้ที่เหน็บหูออก คลายมนต์พรางตัว ทำให้ร่างสุคนธรสกลับมาปรากฏปกติเหมือนเดิม
“เจ๊ โกลเด้น คุณหลวง อยู่ในนี้หรือเปล่า”
สุคนธรสส่งเสียงเรียกหาเบาๆ พลางพยายามอดกลั้นอาการเหม็นเน่าที่ทำให้ท้องไส้เธอปั่นป่วนเจียนจะอ้วกตลอดเวลา
ในหม้อดิน ญาณิน กุมาริกา หลวงพิชัยภักดีที่นั่งคอตกห่อเหี่ยวหมดหวังอยู่ ได้ยินเสียงเรียกของสุคนธรสก็พากันลุกขึ้นมองไปเหนือหัว
“นั่นเสียงพี่รสนี่! พวกเราอยู่นี่ พี่รส”
“ยัยรส ฉันอยู่ในนี้”
สุคนธรสได้ยินเสียงเสียงเรียกเล็กๆ ดังขึ้นมาจากความเงียบในห้อง เลยหันขวับมองหาอย่างดีใจ
“ในนี้น่ะ ในไหนล่ะ”
“อยู่ในหม้อนี่ไงเล่านังหนู”
“ห่ะ ในหม้อเนี่ยนะ”
“ใช่ พวกเราถูกขังอยู่ในหม้อ เห็นหรือยัง”
“เห็นซิ ทำไมจะไม่เห็น เห็นหม้อเต็มห้องเลย เจ๊อยู่ในใบไหนล่ะ”
สุคนธรสหันหาซ้ายขวางงไปหมด
ขณะนั้นกำนันพงษ์กับสนเดินกลับมาจากท้ายสวน กำนันพงษ์หยุดยืนมองไปรอบๆ อย่างระแวง ตา หูกวาดสำรวจหาสิ่งผิดปรกติ มีลางสังหรณ์บางอย่าง
“มีอะไรผิดปรกติเหรอกำนัน”
“มันเงียบผิดปรกติ ไอ้รักยมมันหายหัวไปไหน”
กำนันพงษ์รีบเดินตรงดุ่ยๆ ไปยังบ้านที่อยู่ไม่ไกลข้างหน้า
ภายในห้องสุคนธรสกำลังเหงื่อตก รีบเร่งควานหาหม้อ
“ใช่ใบนี้รึปล่าว”
สุคนธรสยกหม้อขึ้นมาฟังแนบหู โดยมีเสียง ของญาณิน กุมาริกาและหลวงพิชัยภักดีคอยบอกประสานเซ็งแซ่เป็นระยะ
“ทางนี้ๆ”
“ใบนี้ก็ไม่ใช่ ใบไหนล่ะเนี่ยะ”
กำนันพงษ์กับสนเดินเข้าใกล้ตัวบ้านเข้ามา พยายามมองหาสิ่งแปลกปลอม สุคนธรสยืนเครียดพอก้มลงมือตัวเองที่เปื้อนไปด้วยฝุ่นก็คิดได้
“เออใช่! หม้อในนี้ เก่ามีฝุ่นเกาะเขรอะแทบทุกใบ ยัยเจ๊เพิ่งถูกจับมาวันนี้ งั้นหม้อที่ใช้กักขังวิญญาณก็ต้องเป็นหม้อที่ใหม่เอี่ยมที่สุด”
สุคนธรสรีบหันมองหาให้ควั่ก และแล้วก็เห็นหม้อใบหนึ่งดูใหม่เอี่ยมที่สุดวางอยู่ท่ามกลางหม้อเก่าๆ อยู่ที่มุมหนึ่ง สุคนธรสชี้อย่างดีใจ รีบก้าวข้ามหม้ออื่นๆ เข้าไปคว้าหม้อขึ้นมาแนบหู
“ฮัลโหล ยัยเจ๊ แกอยู่ในนี้รึเปล่า”
“พวกเราอยู่ในนี้ รีบปล่อยพวกเราออกไปเร็วเข้า”
ทั้งมสามบอกอย่างดีใจ สุคนธรสรีบเปิดผ้ายันต์ที่ฝาหม้อออกทันที กลุ่มควันก็พวยพุ่งออกมา ปรากฏเป็นจิตโปร่งใสของญาณิน ทั้งสองยิ้มดีใจที่เจอหน้ากันจนน้ำตาคลอ
“ยัยรส”
“ยัยณิน โฮ่ย ดีใจจริงๆ ที่หาแกพบ เอ๊ะ”
สุคนธรสชะงักที่เห็นญาณินถูกมัดมือมัดเท้าพันคอไว้ด้วยด้ายแดงและสภาพของหลวงพิชัยภักดีกับกุมาริกา
“โกลเด้นท์ คุณหลวง นี่คุณหลวงใช่ไหมคะ โธ่ น่าสงสารจริงๆ ยัยเจ๊ ทำไมมันต้องมัดแกไว้อย่างงี้ด้วย ไอ้อำมหิต! คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะพวกพ่อมดหมอผีสายที่โบราณที่สุดในเอเชียเลยนะเนี่ย”
“หนูคิดแล้วว่าพี่รสต้องมาช่วยพวกเรา”
“คุณหลวงล่ะคะ ไหวมั้ย”
“ยังไหวอยู่”
“คุณติณห์เป็นไงบ้าง”
“เขาก็ตกใจแทบตายน่ะ ก็ดูแลกายหยาบของแกอย่างดี เติมน้ำเกลือให้แล้ว ถ้าแกเป็นห่วงเขานักก็รีบกลับกันเถอะจะได้กลับเข้าร่าง”
จังหวะนั้นเอง เสียงเปิดประตูบ้านชั้นล่างก็ดังขึ้น ทั้งสี่ชะงักตกใจ
“พวกมันกลับมาแล้ว”
กำนันพงษ์ก้าวเข้าประตูบ้านมาราวกับซาตาน หยุดยืนมองไปรอบๆ บ้านที่มืดสลัวด้วยสายตาเหี้ยมเกรียม ขณะที่สนหันมองตาม
“มันเงียบผิดปกติจริงด้วยกำนัน”
กำนันพงษ์หรี่ตามองขึ้นไปยังชั้นบน แล้วก้าวเดินไป
เสียงเท้าของกำนันพงษ์ที่ก้าวขึ้นบันไดมา ทำให้ทั้งหมดร้อนรน
“ไอ้หมอผีมันกำลังขึ้นบันไดมาแล้ว ทำไงดีพี่รส”
“ฉันจะรีบคลายมนต์แก้มัดให้เดี๋ยวนี้ เราจะได้ไปจากที่นี่กัน”
สุคนธรสพนมมือ แต่หลวงพิชัยภักดีท้วงขึ้น
“อย่าเพิ่งนังหนู”
“จะรออะไรอีกคุณหลวง พวกมันกำลังขึ้นมาแล้วนะ”
“ถ้าฉันไป เรื่องนี้ก็ไม่จบหรอก ตราบใดที่ไอ้กำนันพงษ์มันยังไม่ได้สิ่งที่มันต้องการ นั่นก็คือทองที่ฉันซ่อนไว้ในที่ดิน มันต้องหาวิธีต่างๆ นานาตามราวีเจ้าติณห์ไม่มีวันสิ้นสุด”
“เรื่องนั้น ค่อยคิดหาทางรับมือมันทีหลังเถอะ ตอนนี้เรารีบหนีไปจากที่นี่กันก่อน”
“ฉันไปไม่ได้”
“คุณหลวง”
“ฉันต้องอยู่เพื่อหยุดความชั่วของลูกหลานตระกูลนี้ ให้ยุติอยู่แค่ไอ้กำนันพงษ์”
ญาณินกับสุคนธรสมองหน้ากันเครียด
กำนันพงษ์ก้าวมาถึงหน้าห้องโดยมีสนตามหลังมา สีหน้ากำนันพงษ์รู้สึกว่ามีอะไรผิดปรกติอยู่ในห้อง เมื่อเห็นเงาคล้ายคนวูบวาบจากช่องใต้ประตู สนเองก็มองเห็น
“มีคนอยู่ข้างใน”
สนกระซิบบอก กำนันพงษ์ชักดาบที่สะพายหลังออกมาทันที ที่ดาบสลักลงยันต์ไม่ต่างจากมีดหมอ แล้วใช้ขาถีบประตูผางเข้าไป พร้อมกับเงื้อดาบก้าวเข้าห้อง
“อ๊าก”
กำนันพงษ์ฟันฉับ แต่กลับกลายเป็นเทียนเล่มใหญ่ที่จุดไว้ ถูกฟันขาดสะบั้นกลิ้งลงกับพื้น
“ฮ่ะๆ นึกว่ามีใครแอบบุกเข้ามาในห้อง ที่แท้ก็ไอ้เทียนพรรษานี่เอง”
แต่กำนันพงษ์ไม่ขำด้วย ตวาดลั่น
“มึงขำอะไร้”
“อึ๋ย” สนหัวหด
กำนันพงษ์เดินถือดาบตาขวาง กวาดตามองไปรอบๆ ห้อง ไม่พบใคร ทุกอย่างในห้องก็ยังปรกติเหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็น ร่างใสของสุคนธรสแอบย่องออกทางประตูที่เปิดอ้าไว้ ขณะที่กำนันพงษ์หันขวับมามอง ขบกราม มือกำดาบแน่น แต่ไม่เห็นสุคนธรสที่ออกจากห้องไปแล้ว
กำนันพงษ์หันกลับไปมองหม้อที่ขังญาณิน หลวงพิชัยภักดี กุมาริกาไว้ ยังเห็นวางอยู่ที่เดิมเลยเก็บดาบ
เนตรศิตางศุ์ กรรณา กรรัมภา ไตรรัตน์ ณัฐเดช ก๊องมารออยู่กับติณห์ด้วยใจจดจ่อ ติณห์เดินไปเดินมาพลางมองชะเง้อออกไปนอกบ้านอย่างรอคอยร้อนใจ แล้วก็รู้สึกวูบๆ จนต้องหยุดเกาะผนังเพราะการที่กำนันพงษ์เอารูปเขาใส่ไว้ในโลงศพ ทำให้พลังชีวิตเขาอ่อนลงไป พร้อมที่จะถูกทำคุณไสย์ใส่ได้ง่ายดาย
“ไอ้ติณห์ หยุดเดินก่อน เป็นอะไรไปอีกคนจะแย่นะ” ติณห์ยืนจับขมับ รู้สึกสมองมึนชา ขนหัวลุก ไตรรัตน์ร้อนใจไม่แพ้ติณห์ เดินเป็นหนูติดจั่น “แกก็อีกคน อยู่นิ่งๆ ได้ไหม เวียนหัวแล้ว”
“ก็ชั้นเป็นห่วงคุณรสนี่หว่า”
ทันใดนั้นร่างสุคนธรสก็ปรากฏขึ้นกลางบ้าน ในท่าที่มือดึงใบไม้ออกจากหู มายืนอยู่ข้างไตรรัตน์ ไตรรัตน์หันมาเห็นตกใจสะดุ้งโหย่ง
“เย้ย”
“ขวัญอ่อนไปได้นายไตวาย ฉันเอง”
ไตรรัตน์ดีใจรีบเข้ากอดสุคนธรสทันที
“ผมจะบ้าอยู่แล้วเนี่ย เป็นไงบ้าง”
ติณห์หันขวับมามอง รีบกรูเข้ามาหาสุคนธรสพร้อมสาวๆ
“คุณรส ญาณิน แกรนด์ปา เป็นไงบ้าง”
สุคนธรสอายเพื่อนๆ รีบผละออกจากอกไตรรัตน์
“ทุกคน ฟัง ยัยเจ๊ คุณหลวง โกลเด้นท์เบบี้ฝากมาบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง ทุกคนสบายดี แต่ตอนนี้ยังกลับมาไม่ได้”
“อ้าว”
“แกรนด์ปาของคุณไม่ยอมกลับมา ท่านจะสู้กับมัน ด้วยสมองอันปราดเปรื่อง ท่านถึงไล่ฉันกลับมาทำตามแผน”
“แผนอะไร”
สนเปิดหม้อปล่อยวิญญาณญาณิณ หลวงพิชัยภักดี กุมาริกาลอยเป็นควันออกมาจากหม้อ ขณะที่กำนันพงษ์นั่งพร้อมอยู่กับหุ่นฟางและมีดหมอ กำนันพงษ์ยิ้มเหี้ยมเกรียมมองวิญญาณหลวงพิชัยภักดีที่ลอยออกจากหม้อมาเต็มตัว
“มา ออกมาดูกับตาแกไอ้คุณหลวง ว่าฉันจะทำอะไรกับหลานแกมั่ง ฮ่ะๆ”
“หยุดนะ แกอย่าทำอะไรหลานฉันนะ”
“ยอมอะไรห่ะ พูดออกมาให้ชัดๆ ซิว่าทองอยู่ที่ไหน”
พูดเสร็จกำนันพงษ์ก็หยิบแส้อาคมออกมาฟาดไปที่วิญญาณหลวงพิชัยภักดีดังสนั่น จนหลวงพิชัยภักดีล้มทั้งยืน
“อ๊าก”
“คุณตา”
ญาณินและกุมาริการีบเข้าไปพยุงหลวงพิชัยภักดีขึ้นมา รอบที่ถูกแส้ฟาดทำให้เสื้อขาดเป็นทางแดงเหมือนไฟช็อต
“คุณตา เจ็บมั้ย” กุมาริกาน้ำตาคลอ
“เจ็บใจมากกว่าอีหนูเอ้ย”
กำนันพงษ์หัวเราะลั่น
“เอาล่ะ นั่นแค่ของว่าง คราวนี้ของหนัก”
“ใจร้าย เป็นคนหรือเปล่า” กุมาริการ้องไห้โฮ
กำนันพงษ์หยิบมีดหมอมาปักลงบนโต๊ะข้างหุ่นฟางขู่คุณหลวง ทุกคนยังคงเงียบดูท่าทีกำนันพงษ์
“อย่าทำคุณติณห์นะ”
“แกจะได้เห็นไอ้ติณห์มันตายอย่างทรมาร”
กำนันพงษ์ยกมีดขึ้นท่องคาถา แล้วเงื้อแทงขาหุ่น หลวงพิชัยภักดีรีบร้องห้ามเสียงหลง
ภายในบ้านพักติณห์ทุกคนกำลังปรึกษากันอยู่ ติณห์ที่นั่งอยู่บริเวณในห้องร้องด้วยวามปวดเต็มเสียง ตกเก้าอี้ทันที
“อ๊าก” ติณห์กุมขาข้างที่โดนกำนันพงษ์แทง ตุบ ตกจากเก้าอี้ ทุกคนรีบเข้ามาพยุง
“คุณติณห์ เป็นอะไร”
“ขาผมเหมือนโดนอะไรทิ่มเข้าไป ความรู้สึกเจ็บแบบมาจากข้างใน โอย”
“ไอ้กำนันพงษ์แน่”
“ช่วยคุณติณห์ได้ไหม”
“หวังว่าทั้งสามจะถ่วงเวลามันได้นะ”
ติณห์ยังไม่ลุก แสดงถึงความเจ็บปวดทรมาน
กำนันพงษ์เงื้อมีดขึ้นอีกและเงื้อจะแทงขาหุ่นฟางอีกข้าง
“อย่า ฉันยอมบอกแล้ว ว่าฉันซ่อนทองไว้ที่ไหน”
“อย่าบอกมันนะคุณหลวง”
“หุบปากนะ ฉันจะช่วยหลานฉัน เธออย่ามายุ่ง”
หลวงพิชัยภักดีแกล้งตวาด ญาณินทำอึ้ง กุมาริการับมุขแกล้งร้องไห้ฮือโฮ กำนันพงษ์ยั้งมือที่ถือมีดไว้หัวเราะก้องอย่างพอใจที่เห็นทั้งคู่แตกคอกัน
“เอ๊า เงียบอยู่ทำไมล่ะ รีบบอกมาเซ่คุณหลวง ว่าแกซ่อนทองขุมสมบัติของแกไว้ที่ไหน”
“ฉันบอกไป พวกแกก็ไม่มีวันจะหาเจอหรอก ต้องให้ฉันเป็นคนพาไปชี้จุด แต่แกต้องไม่ทำอะไรหลานฉัน เอาผมมันคืนมาให้ฉัน”
กำนันพงษ์ยิ้มๆ แล้วหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ ทุกคนมองแค้นๆ
อ่านต่อหน้า 4 พรุ่งนี้ เวลา 09.30น.
The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 20 (ต่อ)
ที่บ้านติณห์ทุกคนนั่งล้อมวงประชุมกัน ติณห์นั่งเจ็บขาอยู่บนเก้าอี้มีกรรณากับเนตรศิตางศุ์คอยช่วยดูแล สุคนธรสเอาเบี้ยแก้ให้ติณห์กลัดไว้กับเสื้อป้องกันอาคมกำนันพงษ์
“หวังว่าเบี้ยแก้จะบรรเทาอาคมของไอ้กำนันพงษ์ได้นะ”
“แม่เคยเล่าให้ฟังว่า คุณตาผมเป็นคนโกงทองญี่ปุ่นมา แล้วเอาไปแจกให้พวกผู้หญิง”
“ไม่จริงเลย คุณหลวงไม่ได้โกงใคร แล้วก็ไม่ได้แจกใคร คุณหลวงเก็บทองมหาศาลในพื้นที่ดินผืนนี้ แล้วปู่ของกำนันพงษ์รู้มันจึงอยากได้”
“มิน่า กำนันพงษ์ถึงได้ทำผีหลอกคนงาน ผมจะได้สร้างรีสอร์ทไม่สำเร็จ เมื่อผมล้มเหลว ถอดใจ ล้มเลิกวางมือ มันจะได้เข้ามาขุดหาทอง”
“แผนของคุณหลวงก็คือจะยอมบอกที่ซ่อนทอง แล้วก็หลอกล่อพาพวกกำนันพงษ์เข้ามาขุดหาทางถึงที่และให้พวกเราทำกับดักเพื่อถอดของมันก่อน”
“ถอดของ ถอดอะไร ถอดยังไง ผมว่า กำนันพงษ์ถอดออกมาแล้วคงไม่น่าดูแน่ๆ”
“ถอดของ แปลว่าประกอบพิธีกรรม ทำให้คาถาอาคมมันเสื่อม หมดสภาพจอมขมังเวทย์ กลายเป็นตาแก่ธรรมดาๆ”
“หน้าที่ใช้กำลังจับพวกกำนันพงษ์ ยกให้หนุ่มๆ จัดการ”
“แต่หน้าที่ถอดของออกจากมัน เป็นหน้าที่ของพวกเราเอง”
พวกสาวๆ แปะมือกัน พวกหนุ่มๆ งง
สี่สาวฉายไฟฉายคนละอันไปที่เรือนไทยที่ปิดไฟมืด กรรัมภาเอาไฟมาส่องใต้คางตัวเอง ทำเสียงเย็นๆ “ท่านผู้ชมคะ ดิฉันรู้สึกขนลุกค่ะ ขนลุกมากๆ”
กรรณาส่องไฟใส่คางตนบ้าง
“ปวดท้องอึเหรอคะ”
“เปล่าค่ะ แต่บนเรือนไทยเรือนนี้มีผีค่ะ”
“พอแล้ว เล่นอยู่ได้” สุคนธรสส่องไฟไปที่ซุ้มประตู “ดูนั่น ซุ้มประตูเวลาจะเดินขึ้นเรือน ทุกคนก็ต้องเดินลอดซุ้มเข้าไป”
“แล้วไง มันเกี่ยวอะไร”
“ทุกคนเคยได้ยินไหม เรื่องคนเล่นของ ห้ามกิน ห้ามดื่ม หรือห้ามก้มลอดบางสิ่งบางอย่าง ที่มีอาถรรพณ์ เพราะจะทำให้ของเสื่อม พอลอดปุ๊บคาถาเวทย์มนต์ก็หายปั๊บ”
ทุกคนมองที่ซุ้มประตูนั้น แล้วหันมามองหน้ากัน ประมาณจะเอาอะไรของใครล่ะ
ติณห์นั่งเฝ้าญาณินอยู่ ติณห์จับมือญาณินตลอดไม่ยอมปล่อยหน้าตาอิดโรย ไตรรัตน์เฝ้ามองดูอยู่มุมหนึ่งเป็นห่วงทั้งคู่ สี่สาวเดินเข้ามาหลังจากไปเรือนไทยมา
“เป็นไงบ้างครับ หาวิธีถอดอาคมมันได้หรือยัง”
“พวกเราวางแผนวางกับดักกำนันพงษ์แล้ว แต่...”
“แต่อะไร”
“แต่ไม่รู้จะใช้อะไรถอดอาคมมันให้สำเร็จในช่วงเวลาแค่อึดใจ”
“และได้แค่ครั้งเดียว เพราะมันฉลาดมาก เราไม่สามารถทำซ้ำสองได้”
ทั้งหมดกังวลมาก ไตรรัตน์หันไปมองติณห์และญาณิน ทุกคนมองตาม
“สงสารสองคนนั้น”
“โทรมพอกันทั้งคนเฝ้าและคนโดนเฝ้า”
“แล้วป้าออล่ะ”
ทันใดประตูห้องน้ำเปิด ป้าอรวรรณเดินออกมา กระโจมอกด้วยผ้าถุงแล้วมีผ้าขนหนูพาดคอ ผมมีหมวกชาวเวอร์แค็ป ในมือถือถังใส่ชุดที่เปียกๆ ที่ซักใหม่จะเอาไปตาก
“ป้าออ”
“พอดี เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยค่ะ”
“อุบัติเหตุ”
ทั้งสี่สาวตกใจรีบวิ่งเข้าไปหาป้าอรวรรณหน้าตาตื่น
“เป็นอะไรคะ เจ็บตรงไหน”
“ไม่ใช่อย่างน้านค่ะ คือพอดี ประจำเดือนป้ามากะทันหัน ไม่รู้ตัว เลยรีบเข้าไปอาบน้ำ แล้วเลยซักผ้าซะเรียบร้อยเลย เอ่อ ขอตัว ไปเปลี่ยนชุดนอนแล้วตากผ้าก่อนนะคะ”
ป้าอรวรรณเดินจะออกไป สาวๆ มองตามไป แล้วตาโต หันมามองหน้ากัน
“ป้าออมีประจำเดือน”
“ตกใจอะไรคะ ป้ายังสาวอยู่นะคะ แหม มาดูถูกกัน” ป้าอรวรรณบอกอย่างฉุนๆ
“ผ้าถุงป้าออ” ป้าอรวรรณหันมา ตกใจ “ถอดออกมาเดี๋ยวนี้เลย”
สี่สาวเข้ารุมป้าอรวรรณ
สนนำชายฉกรรจ์ในชุดดำเดินเข้ามาในบ้าน
“พวกผมมากันพร้อมแล้วกำนัน”
กำนันพงษ์ยืนรออยู่ หันมามองชายฉกรรจ์ทั้งห้า แต่ละคนดูเหี้ยมสมใจ
ระหว่างในห้องทำพิธี ญาณิน หลวงพิชัยภักดี กุมาริกาที่ยังถูกมัดนั่งรอคอยเวลาด้วยใจจดจ่อ เสียงผลักประตูเข้ามา ทั้งสามหันไปมองเห็นกำนันพงษ์เปลี่ยนมาใส่ชุดดำเดินเข้ามาในห้อง
“ฉันดูฤกษ์ยามมาแล้ว คืนนี้ตี4 ฤกษ์ยามงามดี เราจะไปเอาทองกัน พวกแกเตรียมพร้อมไว้ แล้วจำใส่กะโหลกไว้ให้ดี” กำนันพงษ์หยิบหุ่นฟางที่ใส่ผมติณห์ออกมาจากย่ามกำไว้ “ว่าถ้าแกตุกติกหลอกที่ซ่อนทองฉันล่ะก็ ฉันจะตอกลิ่มใส่หัวใจไอ้ติณห์ทันที ฮ่ะๆ”
กำนันพงษ์เดินหัวเราะออกไป
“ฉันห่วงจังเลยค่ะคุณหลวง” ญาณินบอกกับหลวงพิชัยภักดี
“ทำไมรึ”
“ก็มันรีบไปแบบนี้ พวกยัยรสจะทันเตรียมตัวรับมือมันรึเปล่าก็ไม่รู้”
พอถึงตีสี่กำนันพงษ์ สนและชายฉกรรจ์ห้าคนในชุดดำอาศัยความมืดเดินลัดเลาะมาตามดงไม้เข้ามาในที่ดิน
ของติณห์ พอเข้ามาในที่ดินของติณห์แล้วกำนันพงษ์ก็ยกมือขึ้นสั่งให้ทุกคนหยุดอยู่กับที่ กำนันพงษ์สอดส่ายสายตามองฝ่าความมืดไป ไม่เห็นอะไรผิดปรกติ
“เราเข้ามาในเขตที่ดินของไอ้ติณห์แล้ว ส่งหม้อมาไอ้สน”
สนส่งหม้อให้ กำนันพงษ์ถือหม้อแล้วบริกรรมคาถาเป่าพ่วงไปที่หม้อ แล้วเปิดผ้ายันต์ปิดหม้อออก จิตญาณิน วิญญาณหลวงพิชัยภักดีและกุมาริกาลอยเป็นควันออกมาจากหม้อ ก่อนจะปรากฏเป็นรูปเป็นร่างของจิตและวิญญาณ โดยมีด้ายสีแดงพันธนาการไว้รอบคอและข้อมือ สนกับชายฉกรรจ์ทั้งห้ามีสีหน้าตกใจที่เห็นวิญญาณพวกนี้ด้วย
“ฮะ ทำไม คราวนี้ พวกผมถึงมองเห็นวิญญาณผีพวกนี้ด้วยอ่ะกำนัน”
“ฉันใช้คาถาเบิกเนตรกับวิญญาณพวกมัน เกิดมันเล่นลวดลายขึ้นมาพวกเราจะได้เห็นพวกมันได้ชัดๆ ไง แกซ่อนทองไว้ที่ไหน นำทางไปซีไอ้คุณหลวง”
วิญญาณหลวงพิชัยภักดีเก็บความแค้นไว้ในใจ นำหน้าทุกคนไปพวกกำนันพงษ์ตาม จิตญาณินเคียงข้างไปกับกุมาริกา พลางควบคุมอาการไม่ให้วอกแวก แต่แอบสอดส่ายสายตามองไปรอบๆ มั่นใจว่าติณห์และเพื่อนๆ คงดักซุ่มรอลงมืออยู่แถวๆ นี้
วิญญาณหลวงพิชัยภักดีนำพวกกำนันพงษ์ตรงมาที่หน้าเรือนไทย ที่ดงไม้ในมุมมืดข้างเรือนไทย สุคนธรส เนตรสิตางศุ์ กรรณา กรรัมภาแอบซุ่มดูอยู่ สี่สาวเห็นญาณิน หลวงพิชัยภักดี กุมาริกาก็พากันจับมือดีใจ กำนันพงษ์มองไปรอบๆ อย่างระแวง แล้วคว้าด้ายแดงที่มัดคอหลวงพิชัยภักดีกระตุก
“เดี๋ยว”
“โอ๊ย”
วิญญาณหลวงพิชัยภักดีจับไปที่คออย่างเจ็บปวด กุมาริกามองหลวงพิชัยภักดีอย่างเจ็บแทน
“คุณตา แกไปทำร้ายคุณตาทำไมอ่ะ”
“กำนันอยากได้ทอง คุณหลวงก็พามาแล้ว จะเอายังไงอีก”
“แกสองตัวเงียบ ฉันอยากรู้ว่าทำไมแกถึงพาฉันมาที่นี่ ตอบมาไอ้แก่พามาทำไม”
“โอ๊ะ ฉันก็ซ่อนทองไว้บนเรือนนี่ไง”
กำนันพงษ์หน้าเสีย
“ห่ะ นี่แกซ่อนทองไว้บนบ้านผีสิงเนี่ยะเองเหรอ”
“หึ เพิ่งรู้ตัวล่ะสิ ว่าแกกับปู่ของแกถูกหลอก มัวแต่หลงไปขุดหาในดินอยู่ตั้งนานพวกแกขุดให้ตายก็ไม่มีวันเจอหรอกเว้ย ฮ่ะๆ”
“มึง ไอ้แก่เจ้าเล่ห์ กูอยากจะส่งวิญญาณมึงไปลงนรกไม่ต้องผุดต้องเกิด”
กำนันพงษ์ดึงด้ายแน่น วิญญาณหลวงพิชัยภักดีเจ็บปวดแสนสาหัส
“โอ๊ย”
“หยุดทำร้ายคุณตานะ”
“ปากดีนัก”
กำนันพงษ์ดึงด้ายแดงของกุมาริกาอย่างแรง กุมาริกาเหมือนโดนดึงด้วยแรงมหาศาลกระเด็นจากหลวงพิชัยภักดีล้มตึง
“อีหนู”
“โกลเด้นท์เบบี้” พวกสี่สาวที่แอบดูอยู่ต่างร้อนใจ แทบนั่งไม่ติด แต่ญาณินก็รีบแก้สถานการณ์ไว้ได้ทัน “ทำไมต้องทำขนาดนี้ด้วย อยากได้ทองก็เอาไปซี แล้วปล่อยพวกเราไปไม่อย่างงั้น กำนันจะไม่ได้อะไรเลย แม้แต่เศษทอง”
สีหน้าแววตาขู่เอาจริงของญาณินได้ผล ช่วยหยุดกำนันพงษ์ได้ กำนันพงษ์ขบกรามมองจ้องญาณินเขม็ง แล้วเดินตรงเข้าไปหาญาณิน สี่สาวอยู่ไม่สุขเมื่อเห็นกำนันพงษ์เดินจะไปเอาเรื่องญาณิน กรรณากำลังจะลุกไปลุย สุคนธรสรีบดึงเอาไว้ได้ทัน
“มันจะทำร้ายเจ๊แล้ว”
“ใจเย็น เดี๋ยวเสียแผน”
ก่อนที่กำนันพงษ์จะถึงตัวญาณิน สนสะกิดเตือนสติ
“กำนัน รีบเข้าไปเอาทองดีกว่าน่า มัวแต่ทะเลาะอยู่กับผี เดี๋ยวใครตื่นขึ้นมาเห็นพวกเราเข้าแทนที่จะได้ทองไปง่ายๆ มันจะกลายเป็นเรื่องยากนะกำนัน ไปเหอะ”
ญาณินแอบถอนหายใจ กำนันพงษ์คลายด้ายแดงปล่อยวิญญาณหลวงพิชัยภักดี
“ก็ไปซี นำไป”
วิญญาณหลวงพิชัยภักดีนำไป พวกกำนันพงษ์เดินตาม ญาณินโล่งอก
วิญญาณหลวงพิชัยภักดีนำทุกคนมาถึงบันไดขึ้นเรือนไทยที่มีซุ้มประตูอยู่ด้านบน วิญญาณหลวงพิชัยภักดี กุมาริกา ญาณินลอยขึ้นบันไดหายตัวผ่านประตูเข้าบ้านไปก่อน
ที่ด้านบนของซุ้มประตูมีผ้าถุงลายดอกของป้าอรวรรณถูกมัดขดเหมือนเชือกแอบซ่อนไว้ในร่องของซุ้มเหนือประตูทางเข้า กำนันพงษ์ก้าวตาม เท้าก้าวขึ้นบันไดไปทีละขั้นๆ จนถึงบันไดขั้นบนสุดมือผลักประตูซุ้มเปิดออก
สี่สาวที่แอบดูอยู่ลุ้นตัวโก่งอยากเร่งให้กำนันพงษ์เดินลอดซุ้มประตูเข้าไปเร็วๆ กำนันพงษ์ก้มหัวจะก้าวข้ามธรณีประตู ลอดซุ้มประตูเข้าไป อยู่ๆ ก็มีเสียงจิ้งจกร้องทักขึ้น ทำให้กำนันพงษ์ชะงักเท้าหยุดทันทีมองไป จิ้งจกข้างผนัง ร้องใหญ่ จุ๊ๆ สี่สาวที่กำลังลุ้นตัวโก่งพากันเซ็ง
“โธ่เอ้ย ไอ้จิ้งจกปากเสีย มาจุ๊ๆ อะไรตอนนี้วะ” สุคนธรสบ่นอย่างหงุดหงิด
สนยืนอยู่ที่ขั้นบันไดหลังกำนันพงษ์ถามอย่างแปลกใจ
“อ้าว หยุดทำไมล่ะกำนัน ไอ้คุณหลวงมันนำเข้าไปหาทองแล้วน่ะ รีบตามเข้าไปซี ฉันอยากเห็นขุมสมบัติทองแล้ว”
“แกไม่ได้ยินเหรอไอ้สน จิ้งจกมันทัก โบราณว่ามันเป็นลางร้าย”
“โธ่เอ้ย ฉันเจอมันร้องแบบนี้ใส่มาไม่รู้กี่ตัวแล้ว ไม่เห็นจะมีอะไรเลย”
“แต่กูว่าต้องมีอะไรแน่ๆ ไม่งั้นจิ้งจกมันไม่ร้องดักหน้ากูอย่างงี้หรอก”
หลวงพิชัยภักดี ญาณิน กุมาริกาที่ยืนอยู่ด้านในบ้านแอบมองตากัน ชักหวั่นๆ ว่ากำนันพงษ์จะรู้ตัว หลวงพิชัยภักดีรีบรบเร้า
“จะเอายังไงกำนัน อยากได้ทองนักไม่ใช่หรือ ทำไมไม่เข้ามาล่ะ”
“มึงมาเร่งพากูเข้าบ้านแบบนี้ มึงวางแผนจะทำอะไรกัน บอกมานะ”
“ฉันถูกมัดด้วยอาคมแน่นหนาแบบนี้ แล้วจะมีปัญญาไปทำอะไรพวกแกได้อีกห่ะ”
“โธ่เอ้ย ไอ้หมอผีขี้ขลาด กลัวกระทั่งผีไม่มีทางสู้ ล่อแล่”
กุมาริกาลืมตัวแล่บลิ้นยาวออกมายั่ว กำนันพงษ์สุดโกรธ
“ไอ้ผีไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม มึงจะลองดีกับกูใช่ไหม๊”
กำนันพงษ์ล้วงข้าวสารเสก กำออกมาจากย่าม ท่องคาถาอย่างรวดเร็วแล้วโยนใส่กุมาริกา ข้าวสารเสกแต่ละเม็ดแดงว๊าบขึ้น พุ่งเข้าใส่ราวกับสะเก็ดไฟ กุมาริการ้องกรี๊ดอย่างเจ็บปวดแสนสาหัส
“พอแล้วกำนันพงษ์ อย่าทำอะไรโกลเด้นท์อีกเลย”
จิตญาณินเข้าไปยืนขวางกุมาริกาไว้
สุคนธรสโกรธที่เห็นกุมาริกาถูกทำร้าย จนลุกอยากจะไปเอาคืน
“ไอ้หมอผีนรก มาทำนังหนูของฉันทำไม”
เนตรศิตางศุ์กับกรรณาช่วยกันรั้งสุคนธรสไว้
“อย่าไปยัยรส นิ่งไว้ เดี๋ยวพวกมันก็ได้ยินเราหรอก”
“เก็บความแค้นแกไว้ก่อน ค่อยเอาคืนมาทีหลัง”
“ดูเหมือนมันจะรู้แกวเราแล้ว ทำไงดี ถ้ามันไม่ยอมลอดซุ้มเราเข้าไป”
“เอ๋ ยัยแก้มหายไปไหน ยัยแก้ม” กรรณาตะโกนหาเบาๆ
ขณะนั้นกรรัมภามาโผล่ที่ตีนบันไดเรือนไทยแล้วเขวี้ยงหินไปโดนหัวชายฉกรรจ์ที่ยืนออรออยู่คนสุดท้าย
ชายฉกรรจ์จับหัวตัวเองที่โดนหินแล้วหันมามองที่มาของหิน เห็นกรรัมภาเอาไฟฉายส่องหน้าตัวเองปลอมเป็นผี ดึงผมยาวลงมาปรกหน้า แลบลิ้น เหลือกตา
“แฮ่”
“อ๊าก ผี”
มันตกใจถอยกรูดหนี ทำให้ตัวไปชนเพื่อนที่ยืนรอต่อๆ กันอยู่ตามขั้นบันได ทำให้เซชนกันไปเป็นโดมิโน จนมาชนสน สนก็ชนเข้าแผ่นหลังกำนันพงษ์เสียหลักตัวคะมำขาสะดุดธรณีประตูถลำไปข้างหน้า ตัวกำนันพงษ์คะมำผ่านลอดซุ้มประตูเข้าไป
สามสาวดีใจแทบส่งเสียงกรี๊ดลั่นออกมา กรรัมภาวิ่งกลับมาสมทบ
“สุดยอดเลยยัยแก้ม”
“เสียวละสิไม่ว่า”
กำนันพงษ์ฉุนหันไปตวาดลูกน้องลั่น
“เฮ้ย อะไรวะ มึงผลักกูทำไมไอ้สน”
“ฉันปล่าวผลักนะกำนัน ไอ้พวกข้างหลังมันชนฉันมา”
“ฉันขอโทษนะกำนัน ฉันไม่ได้ตั้งใจ เมื่อฉันเห็นผีมันยืนอยู่ตรงนี้ อะอ้าว มันหายไปไหนแล้ว”
“ไอ้เวรเอ้ย อยู่กับกู ยังจะกลัวผีอีก”
“อย่าเอะอะน่ากำนัน เดี๋ยวพวกไอ้ติณห์มันก็ตื่นหรอก ไหนๆ ก็เข้ามาแล้วรีบไปเอาทองเถอะ”
กำนันพงษ์ได้แต่หัวเสีย ทำอะไรไม่ได้ เลยหันไปทางวิญญาณหลวงพิชัยภักดี
“ไหนล่ะทอง แกซ่อนไว้ที่ไหน”
“อยู่ที่ห้องโน่น ตามฉันมา”
วิญญาณหลวงพิชัยภักดีลอยนำไป พวกกำนันพงษ์ตาม
หลวงพิชัยภักดีเดินนำมาหยุดที่หน้าห้องๆ หนึ่ง
“ห้องนี้แหละ”
กำนันพงษ์กับสนล้วงไฟฉายออกมาเปิด กำนันพงษ์ผลักประตูเข้าไปในห้อง ส่องไฟดู พบแต่ห้องว่างเปล่าเลยหันมาทางวิญญาณหลวงพิชัยภักดีอย่างฉุน
“ไหนวะทอง มีแต่ห้องเปล่าๆ โล่งโจ้ง หีบสมบัติสักใบยังไม่มี”
“ถ้าฉันซ่อนทองไว้ในหีบสมบัติ ป่านนี้ก็คงมีไอ้พวกโจรห้าร้อยมาปล้นไปหมดแล้ว”
กำนันพงษ์ดึงด้ายแดงบีบรัดคอหลวงพิชัยภักดี
“หยุดพล่ามได้แล้วมึง รีบบอกมามึงซ่อนทองไว้ที่ไหน ห่ะ”
“รีบบอกมันไปเถอะคุณหลวง เรื่องมันจะได้จบๆ ซะที” ญาณินบอก หลวงพิชัยภักดีจึงชี้ไปที่เสา
“ที่เสาพวกนั้น ฉันเจาะช่องใส่ทองเอาไว้ แล้วปิดทับไว้ด้วยไม้ลงยาอย่างดี”
“ยืนเฉยอยู่ทำไมไอ้สน ลงมือเจาะเสาดูซีวะ ถ้าไม่มีทองไอ้ติณห์ตาย” กำนันพงษ์เอาหุ่นฟางออกมาขู่ สนกับชายฉกรรจ์ทั้งห้ารีบล้วงเอาเครื่องมือที่เตรียม ช่วยกันเจาะแงะเสากันทันที
กำนันพงษ์ปล่อยด้ายแดงที่คอหลวงพิชัยภักดีแล้วเดินปรี่ไปจับจ้องเสาที่ลูกน้องกำลังเจาะกันอยู่ วิญญาณหลวงพิชัยภักดี กุมาริกา ญาณินค่อยๆ เดินถอยมายืนรวมกันอยู่ที่มุมห้องข้างหลังพวกมัน
ภายนอกบ้านเรือนไทย ณัฐเดช ติณห์ ไตรรัตน์ หมอวรวรรธ ก๊องแอบเคลื่อนพลเงียบๆ มาสมทบกับสี่สาว
“เป็นไง พวกมันลอดซุ้มประตูเข้าบ้านไปแล้วใช่ไหม”
“เรียบร้อยค่ะพี่”
“อย่ามัวพูดอยู่เลยไอ้ณัฐ เรารีบบุกเข้าไปช่วยคูณณินกับแกรนด์ปากัน”
“เดี๋ยวค่ะ อย่าสุ่มสี่สุ่มห้า อย่าประมาทกำนันพงษ์”
ด้านในขณะนั้นพวกกำนันพงษ์ที่กำลังเจาะเสาและแล้วสนก็เห็นแสงเหลืองอร่ามของทองแท่งกระทบแสงไฟออกมาจากในเสา
“เฮ้ยทอง เจอแล้วกำนัน เจอทองแล้ว”
กำนันพงษ์ดีใจ รีบเข้าไปช่วยแงะทองออกมา พบว่ามีทองแท่งจำนวนมากยัดอยู่ในเสา
“ทอง ทองที่กูตามหามานาน เยอะแยะไปหมดเลย ฮ่ะๆ”
“กำนัน เสานี้ก็มีทอง”
“เสานี้ด้วยกำนัน”
“พวกมึงก็รีบแงะออกมาให้หมด เร็วๆ ซีวะ”
สนถือทองแท่งก้อนใหญ่ไว้ในมือ
“แม่เจ้าโว้ย เกิดจากท้องพ่อทองแม่ ไม่เคยเห็นทองแท่งเบ้อเร่ออย่างงี้มาก่อน”
กำนันพงษ์แย่งทองไปจากมือสน
“มึงอย่ามัวแต่ดูอยู่ เร่งมือเข้า ขนทองไปให้เกลี้ยงแล้วเราจะได้รีบไปจากที่นี่กัน”
กำนันพงษ์จูบทองแล้วเอาไปใส่ถุงผ้าที่เตรียมมา กำนันพงษ์มัวแต่สนใจทอง จนลืมสังเกตว่าญาณิน หลวงพิชัยภักดี กุมาริกาค่อยๆ ก้าวออกจากห้องไป
ที่บ้านพักติณห์ ญาณินยังคงนอนนิ่งขณะที่ป้าอรวรรณเดินลุ้นอยู่ข้างๆ ทนายสมชาตินิ่งหน้าเครียด
“ขอให้คุณๆ ทั้งหลายทำสำเร็จด้วยเทอญ”
ป้าอรวรรณยกมือไหว้ท่วมหัว
พวกกำนันพงษ์พากันแงะทองออกมาจากเสาจนหมดแล้วเอามาใส่ถุงผ้าได้เป็น 10 ถุง
“เราจะรวยกันแล้วโว้ย ฮ่าๆ”
“เอาล่ะ หมดแล้วล่ะ รีบไปจากที่นี่กันเถอะ”
ทั้งหมดทั้งหิ้วทั้งแบกถุงใส่ทองคนละ 2 ถุง เฉพาะกำนันพงษ์ที่ทั้งหิ้วทั้งแบกคนเดียวถึง 4 ถุงด้วยหน้าสุดละโมบหันมาทางที่ญาณิน วิญญาณหลวงพิชัยภักดีและกุมาริกาแต่ไม่พบทั้งสามแล้ว
“เฮ้ย พวกมันหายไปไหนวะ”
พวกกำนันพงษ์ขนทองออกมานอกห้องแต่กลับพบพวกติณห์ยืนประจันหน้าอยู่อีกด้านของเรือนไทย
“พวกแกจะไปไหน”
“ถ้ามึงไม่อยากตาย หลีกไป ไอ้ติณห์”
“ไม่หลีก พวกแกนั่นแหละ ถ้าไม่อยากตาย ก็วางทองของคุณตาไว้เดี๋ยวนี้”
“มึงเก่งนักเหรอ ไอ้ติณห์ อยากลองดีกับกูใช่มั้ย”
กำนันพงษ์เอาหุ่นฟางออกมาแล้วเอาลิ่มแทงไปที่ไหล่หุ่น
“อ๊าก”
ติณห์ทรุดลงไปกับพื้น
“ห๊า ทำไมมันยังมีอาคมอยู่อีก” สุคนธรสตกใจ สาวๆ เข้าไปช่วยติณห์ที่ดิ้นเจ็บปวดอยู่กับพื้น
“นึกว่าชั้นไม่รู้เหรอว่าพวกแกเอาของชั้นต่ำมาใส่อยู่บนซุ้มเป็นกับดักให้อาคมชั้นเสื่อม ต้องขอบใจจิ้งจกมันร้องทัก”
กำนันพงษ์กดลิ่มฝังลึกลงไปบนตัวหุ่น
“อ๊าก”
ติณห์ปวดไหล่เหมือนจะหลุดออกจากตัว
“ฮ่าๆ ชั้นเสกอาคมหุ้มตัวไว้ ช่วงที่ลอดซุ้มนั้นมา”
“พอแล้ว พอ ไอ้กำนัน เรายอมแล้ว” ติณห์บอก
“คิดว่าแค่ยอมคงจะไม่สะใจชั้นซะแล้วมั้ง”
พูดเสร็จกำนันพงษ์กระตุกด้ายแดง ทำให้จิตญาณิน วิญญาณหลวงพิชัยภักดีและกุมาริกากระเด็นกลับมาอยู่แทบเท้ากำนันพงษ์
“เจ๊ ญาณิน คุณหลวง โกลเด้นท์เบบี้”
กำนันพงษ์และสมุนหัวเรากันลั่นสะใจ
“คิดจะหนีเหรอพวกมึง”
กำนันพงษ์ดึงด้ายแดง ทำให้ทั้งสามโดนด้ายรัดแน่นเข้าไป หายใจแทบไม่ออก
“โอ๊ย”
ญาณินและติณห์ต่างมองกันและกัน ต่างเจ็บปวดทรมานและไม่มีทางช่วยกันได้
“แกจะเอาทองก็เอาไปเลย แต่ปล่อยพวกเราเถอะ”
“ใช่ พวกเรายอมทุกอย่าง”
“ฮ่าๆ ยอม ได้ แต่กูไม่ยอม พวกมึงต้องตายโดยเฉพาะไอ้ติณห์มึงคนแรก”
กำนันพงษ์กำลังจะตอกลิ่มลงบนหน้าอกหุ่นฟาง แต่แล้วก็มีเสียงปืนดังสนั่น โดนลิ่มในมือกำนันพงษ์กระเด็นไป ณัฐเดชเป็นคนยิงปืน ควันจากปากกระบอกปืนยังไม่จางหายไปก็มีตำรวจนอกเครื่องแบบพุ่งขึ้นมาพร้อมปืนเป็นทีม
สาวๆ พาติณห์หลบไปอยู่มุมหนึ่ง
“กำนันนั่นแหละหยุด วางถุงพวกนั้นลง แล้วยอมมอบตัวซะ”
กำนันพงษ์และพวกหันมามอง เห็นพวกณัฐเดช และตำรวจเล็งปืนใส่
“ฮะ”
“บุกรุก ลักทรัพย์ พยายามฆ่า พอไหม”
กำนันพงษ์และสนสังเกตเห็นเรือนไทยมีบันไดทางลงหลังเรือนอีกทาง ทั้งสองพยักหน้าให้กันเตรียมหนี
“มีทางลงหลังเรือนอีกทางกำนัน” สนกระซิบบอก กำนันพงษ์ขยับหนีทางหลังเรือนทันที
สนชักปืนออกมายิงใส่พวกตำรวจ แต่ก่อนกระสุนจะลั่นพวกณัฐเดชสาดกระสุนใส่พวกกำนันพงษ์ก่อน สนโดนยิงแขน ขา ร่วงลงกับพื้น เหล่าชายฉกรรจ์บ้างตาย บ้างบาดเจ็บ ร่วงกราวเป็นใบไม้ร่วง
“ฮะ”
ตำรวจกรูเข้าไปจับสนกับชายฉกรรจ์ โดยมีไตรรัตน์ หมอวรวรรธ ก๊องช่วยกันจับ สาวๆ รีบวิ่งไปดูญาณิน ขณะที่กำนันพงษ์ฉวยโอกาสแบกทองถุงนึงแล้ววิ่งหนีทางบันไดหลังเรือนไปได้ แต่ติณห์เห็นพยายามลุกด้วยกำลังหยดสุดท้าย
“กำนันพงษ์ แกจะหนีไปไหน” ติณห์ลุกขึ้นแล้วเขยกไปหาญาณินที่เกือบหมดลมเพราะด้ายแดง “ผมจะช่วยคุณให้ได้”
ติณห์รีบวิ่งลงจากบ้านตามกำนันพงษ์ไป
“ฮะ คุณติณห์”
“อย่าไปไอ้ติณห์”
ทุกคนจะตามแต่ไม่กล้าไป เพราะวิญญาณทั้งสามโดนด้ายแดงรัดจนตัวเกร็งจะหมดสติเข้าไปทุกที
จบตอนที่ 20
อ่านต่อตอนที่ 21 ตอนอวสาน พรุ่งนี้ เวลา 09.30น.