The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 14
โรงละคร ใบหม่อนกำลังพูดคุยกับเนตรสิตางศุ์และกรรณาอยู่
“ไม่ ฉันไม่ใช่คนโกหก ฉันไม่ใช่พวกสตอเบอรี่” ใบหม่อนตวาด
“เขาบอกเขาไม่ชอบสตรอเบอรี่” กรรณาบอก
“แต่เนตรจำได้ ใบหม่อนเคยยอมรับว่าหมอรุทธ์ปิ๊งใบหม่อน”
“แต่ฉันไม่เคยรักหมอรุทธ์ ฉันรักปาณัท ฉันทำศัลยกรรมทุกอย่างไปก็เพื่อปาณัทคนเดียวเท่านั้น”
“งั้นใบหม่อนเคยไปบ้านหมอรุทธ์ไหม”
“ไม่”
กรรณาปิดหู
“โอย จ้ะๆ ไม่เคยไป แก้วหูจะแตก ”
“ครั้งเดียวก็ไม่เคยเหรอ” เนตรศิตางศุ์ถามต่อ
“ไม่ ฉันบอกว่าไม่ๆ”
“ถามอยู่ได้ยัยเนตร ชั้นจะเป็นลมแล้ว” กรรณาปิดหูแน่น
แองเจโล่ มาริโอ้ เดินโผล่มาหลังสองสาวพอดี
“สรุปว่าใบหม่อนไม่เคยคบหากับหมอรุทธ์”
“เท่าที่เห็นไม่เคยค่ะคุณน้อง”
เนตรศิตางศุ์ กรรณา หันมาตกใจเจอสองแฝด
“ใบหม่อนเป็นคนหวงตัวจะตาย เธอสวยเลือกได้ ถึงได้เลือกคุณปาณัทไงจ๊ะ” มาริโอ้บอก
“โผล่มาเงียบๆ ตกใจหมดเลย”
“ขวัญอ่อนนะน้องสาว”
“แล้วพวกพี่เคยได้ยินเรื่องภรรยาหมอรุทธ์มั้ยคะ”
เนตรศิตางศุ์พาเข้าประเด็นเดิมในที่สุด
“โอ้พระเจ้า” มาริโอ้หันไปทางแองเจโล่ “จอร์จ หมอรุทธ์มีเมียแล้วเหรอ”
“นั่นสิซาร่า ข่าวใหม่ ข่าวใหญ่ อย่างนี้ต้องรีบป่าวประกาศ”
“ไม่ใช่ค่ะพี่ เนตรแค่ลองถามดูเท่านั้นเอง เห็นหมออายุไม่น้อยแล้ว เลยคิดว่าไม่น่าโสด”
“เท่าที่รู้ยังไม่มีนะ และไม่น่าจะมีด้วย”
“หน้าหม้อซะขนาดนั้น”
“ว่าตัวเองเหรอคะ”
“อะไรนะจ๊ะ”
“เห็นด้วยค่ะ หมอรุทธ์หน้าหม้อ”
สองสาวมองหน้ากันด้วยความหนักใจที่ไม่รู้อะไรเพิ่มขึ้นมาสักเท่าไหร่
“แต่ว่าไปยัยใบหม่อนนี่ก็ฉลาดนะ เลือกคุณปาณัท”
“เพราะคุณปาณัทเป็นเจ้าของโรงละคร”
“และรวย”
สองแฝดหัวเราะลั่น ใบหม่อนที่ยืนอยู่โมโหที่ว่าเธอเห็นแต่เงิน แผดเสียงลั่น
“โอ้ย” กรรณาปิดหู “หูจะระเบิดแล้ว”
สองแฝดมองหน้ากันแบบงงๆ
ขณะเดียวกันกรรัมภาสลัดบ็อบใส่ภาพหมอรุทธ์ยืนกอดปลอบขวัญวาโย
“รีบๆ หาหลักฐานดีกว่าเรา ให้มันจบๆ กันไป ไม่อยากเห็นภาพบาดตาบาดใจ หึๆ”
กรรัมภายี้ใส่ภาพนั้น เดินเข้าห้องผ่านภาพคู่นั้นไปพร้อมกับภาพที่จางหายไป ตรงไปยังตู้เก็บแฟ้มลูกค้าVIPที่เคยเห็นครั้งก่อน แต่พอเปิดตู้เอกสารพบว่ามันว่างเปล่า
“อุ้ยแม่เจ้า! แฟ้มประวัติรักษาใบหม่อนหายไปไหนแล้ว ของคนอื่นๆ ก็หายไปหมดเลย แย่แล้ว” กรรัมภารีบล้วงมือถือออกมากดโทรหาเนตรศิตางศุ์
“ฮัลโหล ยัยเนตรเอกสารทุกอย่างอันตรธานหายไปหมดเลยอ่ะ แล้วเมื่อกี้ฉันก็เห็น ภาพยัยใบหม่อนจะกรีดหน้าตัวเองเพราะว่าหมอไม่รัก”
เนตรศิตางศุ์พูดสายขณะกำลังนั่งพัดวีกรรณาที่หมดเรี่ยวแรงจากเสียงใบหม่อน
“ใบหม่อนจะทำร้ายตัวเองทำไม ในเมื่อไม่ได้มีอะไรกับหมอ”
“อ๋อเหรอ ไม่มีอะไรมากเลยนะ ถึงกับจะทำร้ายตัวเองประชดหมอขนาดนี้”
แองเจโล่กับมาริโอ้เดินเข้าหลังจากไปหาน้ำหาท่ามาให้
“นี่จ้าน้ำเย็น”
“เป็นไงบ้างจ๊ะ สงสัยไวรัสเข้าหูถึงปวดหูจนเป็นลม”
“กรรณไม่ได้เป็นลม แต่ได้ยินเสียงวิญญาณ” กรรณาบอกสองแฝดตกใจ
“เฮ้ย! มั่วแล้ว ชั้นว่าไวรัสแน่ ดูดิ เริ่มพูดเพ้อเจ้อแล้ว”
ทั้งคู่ไม่หยุดพูด เนตรศิตางศุ์เลยลุกเดินมาพูดมือถือห่างออกมา
“ใบหม่อนว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่เค้านะยัยแก้ม”
“แกก็เชื่อเหรอ ผีมันหลอกแกน่ะสิ”
“แล้วใบหม่อนจะมาหลอกฉันเพื่ออะไร ในเมื่อฉันกำลังช่วยเค้าหาฆาตกรที่ฆ่าเค้าให้อยู่”
“เฮ่ย ก็นั่นสินะ หรือว่าใบหม่อนมีฝาแฝดวะแก? แล้วถ้ามีฝาแฝด ต้องโดนแยกกันตอนเกิดแน่ คนหนึ่งรวย คนหนึ่งจน แล้วต้องมาฆ่ากันเองเพื่อผู้ชายหรือมรดกไรงี้”
“ไปใหญ่แล้วยัยแก้ม เอางี้ยัยแก้ม ถ้าแกอยากพิสูจน์ว่าหมอรุทธ์ไม่ได้ฆ่าใบหม่อนจริงๆ ตามที่สัญชาตญาณแกบอก แกต้องพาพวกฉันเข้าไปในบ้านหมอรุทธ์อีกครั้งให้ได้”
กรรัมภาทำหน้าแหย
“ฮะ แกจะหางานให้ฉันอีกแล้วเหรอ”
“แค่นี้ก่อนนะจ๊ะ ฉันกับยัยกรรต้องรีบกลับกรุงเทพแล้ว”
เนตรศิตางศุ์กดวางสายไป
“เฮ้ย เดี๋ยวดิ ฮัลโหลๆ ยัยนี่ดูติ๋มๆ อย่างงี้เหอะ หลอกใช้เพื่อนเก่งใช้ได้เลย”
กรรัมภาเก็บมือถือรีบเปิดประตูออกจากห้องหมอรุทธ์ แต่ต้องตกใจเมื่อเปิดออกไปเจอลาภอยู่หน้าห้องกำลังจะพาก๊องไปยังห้องนวดหน้าพอดี ทั้งก๊องทั้งกรรัมภาช็อค
“โธ่เอ้ย ดันโผล่ออกมาตอนนี้” ก๊องแอบบ่น
“เอ๊ะคุณ! เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ยะ” ลาภถามอย่างตกใจ
“เอ่อ ใครเหรอ?”
กรรัมภายังนึกข้อแก้ตัวไม่ออก เลยพูดออกไปน้ำขุ่นๆ
“ผมก็ถามคุณนั่นแหละจะมีใคร แอบเข้ามาแบบนี้ คุณต้องการอะไร”
“แอบเอิบอะไรกันคะ ฉันก็เดินเข้ามาดีๆ คุณไม่เห็นเหรอ”
“อ้าว ถ้าผมเห็น ผมจะโวยคุณเหรอ ไม่ต้องมาทำพูดลวดลายเลย คุณมานี่”
ลาภจับแขนกรรัมภา ก๊องตกใจแต่ไม่กล้าเข้าช่วย
“อ๊าย จะทำอะไร มาจับตัวฉันทำไม”
“ผมก็จะส่งตัวคุณให้ตำรวจน่ะสิ ข้อหาบุกรุก”
ลาภพูดพลางดึงตัวกรรัมภาไป
“จะบ้าเหรอ ฉันไม่ได้เข้ามาขโมยอะไรนะ ปล่อยฉัน ปล่อย”
กรรัมภาหันไปขยับปากด่าก๊อง “ทำอะไรสักอย่างซี ช่วยฉันหน่อย”
ก๊องขยับปากถาม
“จะให้ทำอะไรล่ะ”
ลาภดึงตัวกรรัมภามา ก๊องเดินตามมา แต่ทำอะไรไม่ได้
“ฉันบอกให้ปล่อย ฉันเป็นลูกค้าคนพิเศษของหมอรุทธ์นะ นายทำกับฉันยังงี้ไม่ได้นะ หมอรุทธ์ขา หมอรุทธ์อยู่ไหน ช่วยแก้มด้วย”
ผู้คนในคลินิกแตกตื่น หมอรุทธ์เดินออกมาจากห้องทำเลเซอร์
“หยุดนะนายลาภ อะไรกันน่ะ”
“ผู้หญิงคนนี้แอบเข้ามาในห้องเก็บเอกสารของคลินิคเราครับ”
“ก็แก้มมาหาหมอนี่คะ แก้มอยากเจอหมอ แต่นายคนนี้ดันไม่เห็นแก้มตอนเดินเข้ามาก็มาหาว่าแก้มเป็นโจรเป็นขโมย ไม่ให้เกียรติกันเลยนะคะ แก้มเสียใจจริงๆ” กรรัมภาบีบน้ำตา ก๊องทำหน้าประชดประชัน
“แก้มจะไม่มาที่นี่อีกแล้ว จะไม่มาให้หมอเห็นหน้าอีก ลาก่อนค่ะ ปล่อยฉันซี”
กรรัมภาสะบัดมือลาภหลุด เดินผ่านหมอรุทธ์จะออกไปแต่หมอรุทธ์คว้าแขนกรรัมภาไว้
“เดี๋ยวครับคุณแก้ม”
“อย่ามาห้ามเลยค่ะหมอ แก้มอาย แก้มทนอยู่สู้หน้าหมอไม่ได้หรอก”
หมอรุทธ์เลยดึงกรรัมภามากอดไว้
“อย่าไปเลยนะครับ ผมคิดถึงคุณ”
ก๊องตะลึงมองอ้าปากค้าง ลาภหลับตาถอนใจ...ห้ามไม่อยู่จริงๆ ขณะที่กรรัมภาแทบละลายอยู่ในมือหมอรุทธ์
“เอ่อ แก้ม แก้มก็คิดถึงหมอค่ะ”
“คุณแก้มอย่าถือสาคนของผมเลยนะครับ” หมอรุทธ์มองจิกด่าลาภ “ไว้ผมจะจัดการลงโทษเค้าให้เอง”
“เอ่อ ช่างเถอะค่ะ แก้มไม่อยากจะเอาเรื่องใคร ขอแค่หมอเข้าใจแก้มก็พอแล้ว”
“ไง คุณแก้มไม่เอาเรื่องแล้ว ยังไม่ขอโทษอีก”
ลาภน้อมหัวให้
“เอ่อ ผมขอโทษครับ”
“ขอโทษแล้วจะไปทำอะไรก็ไปสิ”
“เชิญครับ ห้องกำจัดสิวอยู่ทางนี้”
ลาภผายมือพาก๊องเดินไป ก๊องแอบยกหัวแม่มือชมกรรัมภาก่อนเดินตามลาภไป
“คุณแก้มมาหาผมมีเรื่องด่วนอะไรครับหรือว่าตัดสินใจจะทำศัลยกรรมแล้ว ผมจะได้รีบเคลียร์คิวทำให้คุณ”
“อ๋อ คือเพื่อนแก้มน่ะค่ะ สนใจจะทำศัลยกรรมกันหลายคน แต่ยังไม่กล้า เพราะไม่มีความเข้าใจเรื่องศัลยกรรมดีพอ แก้มก็เลยมีไอเดียว่าหมอน่าจะจัดปาร์ตี้บิ้วตี้ขึ้นที่บ้าน เพื่อให้ความรู้เรื่องความสวยความงาม เป็นการโปรโมทคลีนิคของหมอไงคะ แล้วแก้มจะทำหน้าที่เชิญเพื่อนๆ และแขกกระเป๋าหนักทั้งหลายมาให้หมอเอง กู๊ดไอเดียดีไหม๊คะ”
“กู๊ดไอเดียครับ ผมก็เคยคิดจะจัดปาร์ตี้แบบนี้เหมือนกัน”
“งั้นเราก็ใจตรงกันน่ะสิคะ”
กรรัมภายกนิ้วโอเค หมอรุทธ์ก็ยกนิ้วโอเคมาประกบ
“โอเค”
“ฮิๆ”
กรรัมภาหัวเราะน่ารัก แอบยิ้ม ตามแผน!
กรุงเทพยามค่ำคืน...ติณห์กำลังนั่งชนแก้วตัวติดกันกับเพ็ญนภา ทั้งคู่คล้องแขนกันดื่ม มองตากันซึ้ง ณัฐเดชเดินเข้ามาในร้านหยุดยืนกอดอกมองภาพนั้นด้วยท่าทีแปลกใจโดยเฉพาะสีหน้าท่าทางของเพื่อนรัก
“เห็นเพื่อนอินเลิฟขนาดนี้ ดีใจด้วยจริงๆ”
ติณห์กับเพ็ญนภาหันมามอง เพ็ญนภาเม้ง
“เสียมารยาท ไม่เห็นเหรอว่าฉันกับติณห์กำลังดินเน่อร์กันอยู่”
“ขอโทษครับ พอดีผมมีธุระสำคัญจะคุยกับคุณติณห์น่ะครับ เชิญดื่มไวน์แก้วนั้นให้หมดก่อน ผมรอได้ครับ”
ณัฐเดชเดินไปนั่งลงที่โต๊ะข้างๆ
“ติณห์คะ ไหนว่าอยากจะอยู่กับเพนนีสองคนไงคะ ให้เพื่อนคุณตามมาทำไมเนี่ยะ ไล่เค้าไปซีคะ”
“ไม่ได้ยินเหรอไอ้ณัฐ แฟนฉันอารมณ์เสียแล้ว แกรีบไปเลยไป วันนี้ฉันไม่มีเวลาจะคุยกับแก”
“เฮ้ย! แกไล่ฉันเหรอ” ณัฐเดชนึกฉุน
“อ้าว หูตึงเหรอวะ บอกให้ไปก็ไปซี”
“แกเป็นอะไรของแกห่ะไอ้ติณห์ ญาณินเค้าไปช่วยแกสร้างรีสอร์ทในฝันของแกน่ะเว้ย แกทำตัวดีๆ กับเค้าหน่อย ไม่ใช่เอะอะก็ไปด่าว่าเค้า”
“ทำไมจะด่าไม่ได้ เป็นแค่ลูกจ้าง วิเศษวิโสมาจากไหน ถ้าแม่นั่นทำงานให้ติณห์แล้วลำบากนักล่ะก็ เลิก!ไม่ต้องทำแล้วรีสอร์ท” เพ็ญนภาบอกแล้วหันไปอ้อนติณห์ “ดีเหมือนกันนะคะติณห์ขายที่ดินตรงนั้นซะ เอาเงินหลายร้อยล้านใส่กระเป๋า แต่งงานกับเพนนี แล้วเราก็บินไปใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกกัน 2 คน”
“อยู่กับคุณ 2 คนเหรอ! ได้ งั้นผมขาย ผมจะขายที่ดินนั่นซะ แล้วไปอยู่กับคุณ”
ณัฐเดชแทบไม่เชื่อหูตัวเอง ก้าวเข้ามาดึงไหล่ติณห์
“แกเสียสติไปแล้วเหรอไอ้ติณห์”
“ว้าย”
ติณห์สะบัดมือณัฐเดชออก
“มีสิทธิ์อะไรมาแตะตัวฉัน” แต่ณัฐเดชก็จับคอเสื้อติณห์ให้ลุกขึ้น
“ไหนแกเคยบอกฉันว่า ยังไงแกจะไม่ขายที่ดินของคุณหลวงตาแก แกรักที่ดินตรงนั้นและจะสร้างรีสอร์ทบนผืนดินของบรรพบุรุษแกไง”
ติณห์กระชากมือณัฐเดชออก
“อี๋ ความรักของฉันก็คือเพนนีไง ใม่ใช่ที่ดินเน่าๆ อย่างนั้น”
ติณห์เอาแต่หันไปมองเพ็ญนภาอย่างหลงใหลคลั่งไคล้ ณัฐเดชอึ้งมองอาการเพื่อนชักผิดสังเกต
“ไอ้ติณห์ ผีห่าซาตานอะไรเข้าสิงแกวะ”
“ติณห์คะ ไล่เพื่อนคุณไปได้แล้ว”
ติณห์หันมาตวาดณัฐเดชตาขวาง
“ไปให้พ้น!”
“ไอ้ติณห์”
“Get Out”
ณัฐเดชขบกรามกำหมัดแน่นอย่างสุดโกรธ แต่ไม่อยากทำเพื่อนเลยหันเดินออกไป เพ็ญนภายิ้มสะใจ
เสียงมือถือของญาณินดังขึ้น ญาณินเดินมาหยิบมือถือขึ้นมาดูเบอร์
“มีอะไรคะพี่ณัฐ โทรมาซะดึกเลย”
ณัฐเดชเดินพูดมือถือออกมาจากร้านอาหารอย่างร้อนใจ
“พี่ไปเจอไอ้ติณห์มา อาการมันน่าเป็นห่วงมาก ยัยเพนนีพูดอะไร มันเชื่อทุกอย่าง”
“ก็ช่างเขาสิคะพี่ เค้าคงรักคุณเพนนีมาก”
“ช่างได้ไง พี่รู้จักไอ้ติณห์ดี ปรกติมันไม่ใช่คนเกรียนแตกแบบนี้หรอก”
“แล้วไงคะ พี่มาบอกณินทำไม”
“พี่ว่าไอ้ติณห์มันต้องโดนของแน่ๆ”
“โดนของ”
หลวงพิชัยภักดีกับกุมาริกาโผล่เข้ามาฟังทันทีอย่างดีใจ
“ใช่ โดนเสน่ห์ไง” หลวงพิชัยภักดีกับกุมาริกาบอกพร้อมกัน
“พี่รู้ได้ไง ว่าคุณติณห์เค้าโดนของ”
“พี่ไม่รู้หรอก พี่ไม่ได้มีสัมผัสพิเศษเหมือนพวกเธอ เธอซะอีกที่ควรจะรู้ก่อนใครเพราะเธอเป็นคนที่สมาธิดี มีสติตลอดเวลา” ญาณินจ๋อย “ที่พี่มั่นใจเพราะไอ้ติณห์ที่พี่เจอเมื่อกี้ มันไม่ใช่เพื่อนพี่คนเดิม มันดูเปลี่ยนไป ผิดไปเป็นคนละคน”
“แล้วเราจะพิสูจน์เรื่องนี้ได้ยังไงกันคะ”
“ไว้พี่จะจัดการเอง เราเตรียมตัวไว้ก็แล้วกัน แล้วพี่จะโทรมา แค่นี้นะ”
“ค่ะพี่”
ณัฐเดชวางสายไป ญาณินเดินคิดไปที่หน้าต่าง เริ่มได้สติ
“โดนของ คุณติณห์ถูกคุณเพนนีทำเสน่ห์ใส่”
“ก็นี่แหละที่ฉันพยายามจะบอกหนู แต่ติดต่อกับหนูไม่ได้สักที” หลวงพิชัยภักดีบอก
“โชคดีจริงๆ ที่พี่ณัฐช่วยบอกแทนเรา ก่อนที่สายเกินไป”
พูดเสร็จกุมาริกาก็หูผึ่งหันไปมองนอกตัวบ้านขวับ แล้วญาณินก็เห็นอะไรบางอย่างที่นอกหน้าต่าง
“เอ๊ะ ใครน่ะ” ญาณินเห็นชายแก่คนหนึ่งนุ่งผ้าเตี่ยวสีแดงเดินผ่านแว๊บๆ ไป “นั่นใครน่ะ ใคร? “
ญาณินตัดสินใจไปเปิดลิ้นชัก หยิบไฟฉาย แล้วออกจากบ้านไป
“ท่าไม่ดีแล้วคุณตา”
“ใช่ ไปดูกัน”
แต่พอหลวงพิชัยภักดีกับกุมาริกาจะหายตัวทะลุออกจากบ้าน วิญญาณกลับเด้งกลับออกไปไม่ได้
“เฮ้ย ทำไมออกไปไม่ได้”
ประมาณ มีคาถาบางอย่างสกัดกักวิญญาณไว้ในบ้าน
ขณะนั้นกำนันพงษ์กำลังนั่งขัดสมาธิท่องคาถาต่อหน้าหุ่นพยนต์ ปลุกหุ่นพยนต์ไปหาที่เก็บทองคำโดยมีเทียนปักอยู่รอบตัว พร้อมขันน้ำวางอยู่ตรงหน้า ในขันน้ำปรากฏภาพวิญญาณหุ่นพยนต์ในร่างของตาปะขาวกำลังเดินหาที่เก็บทองอยู่ในรีสอร์ทของติณห์ สนมองอย่างตื่นตาตื่นใจจนต้องยกมือขึ้นพนมงันงก
ญาณินถือไฟฉายส่องเดินออกมามองหาแล้วก็เห็นวิญญาณหุ่นพยนต์ในร่างตาปะขาวเดินแว๊บๆ เคลื่อนไหวเร็วมากอยู่ห่างออกไปข้างหน้าญาณินตะโกนถาม
“ใครน่ะ หยุดนะ คุณบุกรุกเข้ามานะ”
ตาปะขาวหันมามอง หน้าซีดเผือดผมขาวนัยตาแดงโปนอย่างไม่พอใจ รีบเดินหายตัววืดๆ ไป ญาณินวิ่งตาม
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่กรุงเทพ รถของติณห์แล่นเป๋ไปเป๋มาเข้ามาในลาดจอดรถของคอนโด เสียงเบรคเอี๊ยดไปเอี๊ยดมา
“อ๊าย ติณห์ ระวัง ขับตรงๆซีคะ บอกให้เพนนีขับก็ไม่เชื่อ อ๊าย เบรกๆ...เสาๆ”
รถจอดเอี๊ยดตรงที่จอดรถของตัวเอง แต่ดันมีรถคันอื่นมาจอดแทน ติณห์กดแตรลั่น
“เฮ้ยู ถอยออกไปจากที่จอดรถไอเดี๋ยวนี้นะ หูหนวกหรืองายบอกให้ถอยไป ไอจะจอด”
“โธ่ติณห์คะ มันมีแต่รถ มีคนที่ไหนล่ะคะ คุณนี่เมาจริงๆ เลย ไม่น่าให้ให้กินเยอะเลยเรา”
“ใครเมา ไอไม่เมา”
ติณห์ยื่นหน้ามาจูบแก้มเพ็ญนภา เพ็ญนภาทำเป็นหนี หัวเราะคิกๆ
“เพนนีขึ้นไปรอบนห้องติณห์ก่อนนะ ช้าอดหมดโปรโมชั่น”
เพ็ญเปิดประตูรถลงจากรถเดินเข้าตึกไป
“wait เพนนี รอไอด้วย”
เพ็ญนภาขึ้นลิฟต์มาก่อน มายืนรออยู่หน้าลิฟท์พลางหยิบสัญญาซื้อขายที่ดินออกมายืนดู
“คืนนี้ลงมือให้ได้ อย่าให้พลาดเด็ดขาด หว่านล้อมไอ้ติณห์เซ็นสัญญาขายที่ดินที่รีสอร์ทให้เตี่ยให้ได้ มันกำลังหลงแกหัวปักหัวปำ ไม่พ้นมือแกหรอก”
เพ็ญนภายิ้มเมื่อนึกถึงคำพูดของเสี่ยปิยะพันธ์
“จะให้เซ็นก่อน หรือว่าเซ็นหลังจากที่ ฮิๆๆ” เพ็ญนภามองไปลิฟต์พลางเก็บเอกสารใส่กระเป๋า
“ทำไมป่านนี้ ยังไม่ขึ้นมาอีกนะ หรือเมาหลับอยู่ในรถไปแล้วก็ไม่รู้โง่จริงๆ เลยฉัน เค้าโดนเสน่ห์ไปแล้ว ยังจะไปมอมเหล้าเค้าอีก”เสียงลิฟต์ขึ้นมา
“อุ้ย มาแล้ว” เพ็ญนภาจัดผมเผ้าให้เซ็กซี่ ยืนเท้าเสารออยู่หน้าลิฟต์ ประตูลิฟต์เปิด...
“จ๊ะเอ๋เบบี้...อ้าว” เพ็ญนภาตกใจเพราะมองไม่เห็นใครยืนอยู่ในลิฟต์ เพ็ญนภามองต่ำแล้วตกใจ
“ว้าย...อะไรกันเนี่ย”
ติณห์นอนเมาหลับกองอยู่กับพื้นลิฟต์ เพ็ญนภากดล็อกลิฟต์ไว้ แล้วเข้าไปปลุกติณห์
“ติณห์ค่ะติณห์ มานอนอะไรอยู่ในลิฟท์ ลุกขึ้นซี”
ติณห์เมามาย ลืมตาไม่ขึ้น
“ I need you”
“need ก็ลุกซี อึ้บ ลุกซีปัดโธ่ ยังไงคืนนี้คุณต้องเซ็นสัญญาขายที่ดินให้เตี่ยฉันด้วย”
“โอเค”
“อุ้ย” เพ็ญนภายืนตกใจปิดปากตกใจที่ดันหลุดปาก
“เอ่อ ติณห์คะ คุณได้ยินที่ฉันพูดรึเปล่า ติณห์คะ ติณห์ ติณห์” ติณห์หลับไปแล้ว
“โธ่เอ้ย! เสียแผนหมดเลย”
เพ็ญนภายืนพิงผนังลิฟต์มองติณห์อย่างสุดเซ็ง
ส่วนที่โรงพยาบาล ไตรรัตน์กับสุคนธรสนอนเฝ้าเจ๊หญิง สุคนธรสหลับไปแล้วที่โซฟาเฝ้าไข้ ไตรรัตน์หยิบผ้าห่มมาห่มให้ ยิ้มๆ มองหน้าสุคนธรสที่ขยับตัวเหมือนเด็กๆ แล้วหันไปมองเจ๊หญิงที่นอนให้น้ำเกลืออยู่บนเตียง ไตรรัตน์ถอนใจมองอย่างแสนห่วง ก่อนหันเดินเข้าห้องน้ำไป
เจ๊หญิงที่นอนหลับอยู่ลืมผลึงขึ้น ตาแข็ง ลุกนั่งทันที มองตาขวางไปที่สุคนธรสราวกับเกลียดแค้นมานาน ก่อนถอดสายน้ำเกลือแล้วก้าวขาลงจากเตียง
ประตูห้องค่อยๆ เปิดเองช้าๆ เจ๊หญิงยืนก้มหน้าไหล่ตกรออยู่ในห้อง เจ๊หญิงค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ตัวแข็งทื่อเหมือนโดนสะกดจิต เจ๊หญิงค่อยๆ เอียงคอมองเหมือนเห็นบางสิ่งบางอย่างรออยู่หน้าห้อง ควันดำทะมึนลอยรออยู่หน้าห้อง เจ๊หญิงเดินออกมาจากห้อง ประตูห้องปิดเอง
เจ๊หญิงก้าวเดินไปโดยมีควันดำล้อมตัวไปด้วย พยาบาลคนหนึ่งเข็นรถมาตามทางตรงไปทางที่เจ๊หญิงกำลังเดินมา มองเห็นเจ๊หญิงเดินมาแต่ข้างหน้า พยาบาลขมวดคิ้วมองสงสัย คนไข้ออกมาเดินทำไมดึกๆ ดื่นๆ รีบเข็นรถเดินตรงไปจะไปถาม แต่พอเดินผ่านเสาคลาดสายตาแว๊บเดียว เจ๊หญิงที่เดินสวนมาก็หายตัวไปแล้ว พยาบาลยืนช็อค มองทางเดินข้างหน้าที่โล่งจนวังเวงไม่มีใครสักคน
“หายไปได้ยังไง! หรือว่า...”
พยาบาลยกมือจับที่หน้าอกอย่างขนหัวลุก
สุคนธรสที่นอนหลับลึก กลิ่นอบอวลของวิญญาณไหลเข้าโสตประสาทปลุกให้เธอตื่นขึ้น มือสุคนธรสกระตุก จมูกขยับสูดกลิ่น สุคนธรสลืมตาผึงขึ้น ตัวเด้งขึ้นนั่งทันที
“กลิ่นวิญญาณจากป่าช้า”
ไตรรัตน์ออกมาจากห้องน้ำมาพอดี
“เป็นอะไรคุณ ทำหน้ายังกับฝันร้าย”
“มีวิญญาณชั่วร้ายมาที่ห้องนี้ เกิดอะไรขึ้นระหว่างที่ฉันงีบไปรึเปล่า?”
“ไม่มี๊ คุณละเมอรึปล่าวเนี่ยะ แม่ผมก็นอนอยู่นั่น อ้าวเฮ้ย” ไตรรัตน์ต้องตกใจเมื่อชี้ไปที่เตียง แต่เจ๊หญิงหายไป ถลามาที่เตียง
“ม้า! หายไปไหนเนี่ยะ” ไตรรัตน์หยิบสายน้ำเกลือที่ถูกถอดทิ้งดู แล้วควานหาไปรอบๆ ห้อง
“ม้า”
สุคนธรสรีบเปิดประตูระเบียงออกไปดู
“เจ๊คะ เจ๊”
สุคนธรสเกาะระเบียงก้มลงมองไปพื้นชั้นล่าง แต่ไม่พบอะไร
“เป็นไงบ้างคุณ?”
“ไม่เจออะไร เจ๊คงออกไปจากห้องแล้ว รีบตามเถอะ”
ทั้งสองรีบวิ่งไป
ไตรรัตน์เปิดประตูออกมานอกห้อง แต่สุคนธรสที่ตามหลังมา หยุดชะงักอยู่ที่ประตู
“อ้าวคุณ หยุดทำไม ไปเร็วซิ”
“ฉันได้กลิ่นเน่าของวิญญาณมากมายตรงหน้าประตูห้องนี่”
“โธ่คุณ โรงพยาบาลที่ไหนๆ ก็มีวิญญาณคนตายทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ?”
“ไม่ใช่! ไม่ใช่ผีในโรงพยาบาลนี้ กลิ่นเน่าสะอิดสะเอียนแบบนี้ มันผีโผล่จากหลุมในป่าช้าชัดๆ”
“โอ้ยคุณ หยุดเรื่องผีก่อนได้ไหม๊ ผมจะตามหาแม่ผม” ไตรรัตน์หันไปเห็นพยาบาลเข็นรถกลับมา รีบวิ่งเข้าไปหา “คุณพยาบาลครับ! แม่ผมหายไปจากห้อง คุณเห็นบ้างไหม๊ครับ?”
“เอ่อ เมื่อตะกี้ฉันเห็นคนไข้คนหนึ่งเดินอยู่ตรงนั้น แต่พอเดินเข้ามาใกล้จะถาม ป้าแกก็หายไปแล้ว ฉันก็นึกว่าตัวเองตาฝาดไปเอง ตกลง เป็นคุณแม่คุณเหรอคะ”
“คงใช่แม่ผมมั๊ง ป่านนี้ไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้”
ไตรรัตน์เครียด
“คงจะอยู่ในโรงพยาบาลนี้แหละ ไม่ไปไหนหรอก คุณพยาบาลบอกเจ้าหน้าที่ให้ช่วยตามหาหน่อยนะคะ”
“ค่ะๆ”
สุคนธรสกับไตรรัตน์ออกวิ่งตามหาต่อ พยาบาลรีบเข็นรถไปอีกทางเพื่อแจ้งเจ้าหน้าที่
ส่วนที่กาญจนบุรี วิญญาณหุ่นพยนต์ในร่างตาปะขาวโผล่เข้า หน้าขาวๆ ตาแดงโปน เสียงหายใจฟึดฟัดกัดฟันกรอดๆ อยู่ในคอ ท่าทางของตาปะขาวดูงุ่นง่านมากขึ้น เมื่อเข้าใกล้ที่ซ่อนทอง เหลียวหลังไปมองเห็นญาณินกำลังตามหลังมาห่างๆ ตาปะขาวแสยะฟันดำโกรธ
เสียงท่องคาถาของกำนันพงษ์เร่งเร้ามากขึ้น สนมองจ้องไปที่ภาพตาปะขาวในขันน้ำเห็นตาปะขาวเหลียวมองหลัง
“มันเหลียวหลังมองอะไรวะ ยังกับมีใครตามมันไปงั้นแหละ” สนเกาหัว หักล้างตัวเอง
“ใครหน้าไหนจะมองเห็นผีได้วะ”
ตาปะขาวก้าวขาโก่งเดิน และแล้วมันก็มองเห็นเรือนไทยที่เห็นอยู่ข้างหน้าไกลๆ มันกระพริบตาแดงโปนของมันปริบๆ ราวตากิ้งก่ารับรู้ว่าทองอยู่ทางนั้น คราวนี้มันเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเร็วมาก
ญาณินวิ่งตามมาเกือบทันแล้ว แต่เห็นหลังตาปะขาวแว๊บๆ ไปข้างหน้าเร็วมาก ญาณินหยุดวิ่งเกาะต้นไม้หอบ
“ทำไมยิ่งตามก็ยิ่งห่างออกไปทุกที ยังกับไม่ใช่คนหรือว่านั่นวิญญาณ! งั้นเราก็...”
ญาณินก้มลงมองตัวเอง
ญาณินนั่งหลับอยู่ที่โต๊ะทำงาน เธอถอดจิตออกไปได้อย่างไม่รู้ตัวขณะเดียวกันวิญญาณหลวงพิชัยภักดีกับกุมาริกาเจอฤทธิ์คาถาปลุกวิญญาณหุ่นพยนต์ทำให้วิญญาณยังคงถูกกักอยู่ในเรือนรับรอง ทั้งสองร้อนรนอยากออกไป พยายามสารพัดวิธีจะออกไป
“ตอนมา ทะลุบ้านเข้ามา ทำไมตอนออกถึงทะลุออกไปไม่ได้วะ ดันซีนังหนู ดัน”
กุมาริกาออกแรงดันหลังหลวงพิชัยภักดีจนหน้าจมไปกับผนังบ้าน
“หนูก็ดันสุดแรงเกิดแล้วอ่ะคุณตา”
“ก็ดันอีกซีวะ ดันอีก...ดันอีก”
“อึ๊บ...โอ๊ย! ทำไมออกไปไม่ได้ซักที หนูหมดพลังแล้วอ่ะตา อ๋อย”
กุมาริกาปล่อยมือ หลวงพิชัยภักดีผละออกจากฝาเห็นหน้าแบนจนจมูกตาปากแบนเป็นแผ่นโรตี
“อะไรวะ เราเป็นผี เราจะโผล่ไปไหนมาไหนก็ได้ ทำไมตอนนี้ถึงทำไม่ได้”
หลวงพิชัยภักดีพูดพลางดึงหน้าตัวเองให้กลับคืนมาเป็นอย่างเดิม
“ต้องมีอะไรมาขัดขวางเราไว้แน่ๆ เลย เราถูกขังแล้วคุณตา”
ป้าอรวรรณเดินเข้ามาในห้อง
“คุณหนูค่า เลิกทำงานเถอะ ไปนอนได้แล้วล่ะค่า” ป้าอรวรรณถอนใจเมื่อเห็นญาณินนั่งหลับอยู่ “เฮ่อ มานั่งหลับคางานอีกแล้ว อีตาคุณติณห์เค้าจะรู้บ้างไหม๊เนี่ยะว่าคุณหนูทำเพื่อรีสอร์ตเค้าขนาดนี้ มัวแต่ไปขลุกกับยัยเพนนี ให้เค้าเสี้ยมเค้าสอนอยู่ได้ คุณหนูขา ไปนอนที่ห้องเถอค่ะ มานั่งทรมานตัวเองทำไม” ป้าอรวรรณเดินพูดเข้ามา พลางยื่นมือจะจับตัวญาณินปลุก “คุณ...”
“อย่า”
กุมาริกาจับมือป้าอรวรรณไว้! ป้าอรวรรณมองมือตัวเองที่ค้างอยู่กลางอากาศโดยไม่เห็นมือกุมาริกา
“อึ๋ย! อะไรเนี่ยะ ทำไมมือขยับไม่ได้ อึ๊บ! คุณหนูขา...”
กุมาริกาโผล่ร่างมาขี่หลังป้าอรวรรณพร้อมกับอุดปากป้าอรวรรณไว้
“ก็บอกว่าอย่าปลุกไง”
ป้าอรวรรณตาเหลือกร้องลั่น
“อ๊าย! เฮิ้ก”
ป้าอรวรรณลมใส่ ขาอ่อน ล้มหงายหลังลง
“อุ้ย ลมใส่อีกแล้วยัยป้า”
กุมาริการีบยก 2 แขนขึ้นใช้พลังพยุงป้าอรวรรณไว้ให้ร่างลอย ก่อนค่อยๆ ปล่อยลงนอนอย่างนิ่มนวล หลวงพิชัยภักดีถอนใจส่ายหน้าอ่อนใจ หันมองออกไปนอกบ้านอย่างสังหรณ์ใจว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น
“มันเกิดอะไรขึ้นข้างนอกกันแน่”
อ่านต่อหน้า 2 เวลา 17.00น.
The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 14 (ต่อ)
ตาปะขาวเคลื่อนที่เร็ววืดมาหยุดกึกที่หน้าเรือนไทย ตาปะขาวยืนมองเรือนไทยที่ตั้งตะหง่านอยู่ตรงหน้า ก่อนจะหลับตาลงเพื่อส่งกระแสจิตสัมผัสหาทองภายในในบ้าน ก่อนจะลืมตาแดงโปนขึ้น อ้าปากกว้างเงยหน้าส่งเสียงคำรามไปทางที่ญาณินตามมา เมื่อแน่ใจว่าเจอของที่หาแล้ว เกิดลมพัดปั่นป่วนใบไม้ปลิวไปทั่วบริเวณเรือนไทย
จิตญาณินที่กำลังตามหาตาปะขาวที่คลาดสายตาไป และแล้วก็ได้ยินเสียงร้องของตาปะขาวดังก้องมา ญาณินรับรู้ได้ว่ามาจากทางเรือนไทย...หันขวับไป
“ฮะ เรือนไทยของคุณหลวง! วิญญาณตัวนั้นไปทำไมที่นั่น อ๊าย!”
ญาณินร้องลั่นเมื่อจะก้าวตามไปยังเรือนไทย เพราะมีลมพัดหมุนแรงพุ่งมาจากทางเรือนไทย ปะทะจิตเธอแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
กระแสลมพัดหมุนจากพลังของหุ่นพยนต์ที่ปะทะมาทำให้ภาพจิตของญาณินบิดเบี้ยว ญาณินหลับตาพยายามรวมรวมพลังจิตให้แข็ง จิตของญาณินค่อยๆ กลับมาคงรูปร่างเหมือนเดิม ก่อนญาณินจะลืมตาขึ้นด้วยดวงตาเข้มแข็ง พยายามเดินฝ่าลมแรงเพื่อไปยังเรือนไทย
กำนันพงษ์กำลังท่องคาถา อยู่ๆ ก็ลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงร้องโหยหวนมองไปยังภาพจากน้ำในขัน ตื่นเต้นที่เห็นวิญญาณหุ่นพยนต์อยู่หน้าเรือนไทย
“เรือนไทยของคุณหลวงพิชัยภักดี”
“ไอ้หุ่นพยนต์มันไปยืนทำอะไรตรงนั้น ทำไมไม่รีบไปหาที่ซ่อนทอง” สนถามอย่างแปลกใจ
“ไอ้โง่! มันกำลังบอกฉันว่าทองซ่อนอยู่ในเรือนหลังนั้นเว้ย”
“ฮะ ทองซ่อนอยู่ในเรือนไทยนั่นเองเหรอ ปั๊ดโธ่ นึกว่าไอ้แก่นั่นจะซ่อนไว้ในที่พิสดารพันลึกกว่านี้ซะอีก”
“ฮะๆในที่สุดฉันก็หากรุซ่อนทองพบจนได้ ฮะๆ”
“งั้นจะมัวรออะไรอยู่อีกล่ะกำนัน ให้มันพาเข้าไปดูเลยดิ ฉันอยากจะเห็นกะตาว่าทองมันจะมากมายมหาศาลเหมือนขุมทรัพย์โกโบริอย่างที่กำนันว่าจริงๆ รึเปล่า”
“เอ็งได้เห็นเต็มตาแน่ไอ้สน หึๆ” ว่าแล้วกำนันพงษ์ก็พนมมือขึ้นหลบตาลงท่องคาถาอีกครั้ง ก่อนจะสั่งเป็นคำพูด “เข้าไป!...เข้าไป”
ตาปะขาวยืนจ้องอยู่หน้าเรือนไทยได้ยินคำสั่ง
“พาไปให้ถึงที่ซ่อนทอง เข้าไป”
ตาปะขาวพยักหน้างึกๆ งัก ก่อนจะเดินตรงไปใกล้ที่เรือนไทย ก้าวขึ้นบันไดเรือนแต่ต้องชะงัก ผงะออกมา มันโกรธหันไปคำรามตาโปนใส่เรือนไทย
ที่เสาใต้ถุนเรือนไทย ปรากฏยันต์ของสุคนธรสที่ญาณินแอบเอามาแปะไว้ที่ตามเสาใต้ถุนไว้นานแล้ว แดงวาบขึ้นด้วยอาคม
ภาพจากน้ำในขัน ตาปะขาวยังยืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าเรือนไทย
“อ้าว แล้วมันจะหยุดทำไม...เข้าไปดิ”
“มันมียันต์กันผีไว้รอบบ้านน่ะซิ ใครแอบมาแปะไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ เฮ้ย ไม่ต้องไปกลัวมัน แค่ยันต์กระจอก เข้าไป”
ตาปะขาวถูกบังคับก็ก้าวขึ้นบันไดเรือนไปอีกครั้ง คราวนี้เนื้อตัวร้อนจนร้องครางและถูกแรงผลักกระเด็นออกมา
“ฉันบอกให้แกเข้าไป สู้พลังกับมัน ไม่มีอำนาจอะไรจะขวางแกได้หรอก”
ตาปะขาวลุกขึ้นพยายามก้าวเข้าบ้านอีกครั้งเพราะถูกอำนาจของกำนันพงษ์บังคับเต็มที่แต่จิตของญาณินวิ่งตามมาถึง ตะโกนห้ามมันไว้
“หยุดนะ บ้านหลังนี้มีเจ้าของ แกเข้าไปไม่ได้”
ตาปะขาวหันมาคำรามใส่จิตญาณินอย่างโกรธ
สนกับกำนันพงษ์มองอย่างสงสัยเพราะไม่เห็นจิตญาณินจากน้ำในขัน
“มันหยุดทำไมอีกวะ”
“ยังกับมีใครอยู่กับมันด้วยงั้นแหละ แต่ไม่เห็นมีใคร”
กำนันพงษ์ชักไม่ไว้ใจ
“เราใช้เวลามากไปแล้วว่ะ บัดซบเอ้ย แล้วยังมีไอ้ยันต์นรกนั่นคอยขวางคออีก ถอนหุ่นพยนต์กลับดีกว่า อย่างน้อยวันนี้ก็รู้แล้วว่าทองซ่อนอยู่ในเรือนเก่าคุณหลวง ไว้เราค่อยหาวิธีเข้าไปหาทองเอง”
กำนันพงษ์ร่ายอาคมถอนหุ่นกลับ
จิตญาณิณเดินไปรอบๆ ตาปะขาวพยายามหาความจริงกับตาปะขาว
“แกเป็นภูติผีวิญญาณจากไหน ทำไมถึงมาที่เรือนไทยนี้ ต้องการอะไรหรือใครส่งแกมา” ตาปะขาวมองมาที่ญาณินอย่างโกรธ ก่อนจะพุ่งเข้าหา ญาณินตกใจ “อ๊ายยย”
แต่ก่อนที่ตาปะขาวจะถึงตัวญาณิน ร่างของมันก็แตกออกเป็นเศษหญ้าเศษฟาง แล้วก็กระจายหายไปในท้องฟ้า ญาณินยืนแหงนหน้ามองไปในท้องฟ้ายามพระจันทร์เต็มดวง
“วิญญาณภูติผีอะไรเนี่ยะ มันมาทำอะไรที่เรือนคุณหลวง?”
ญาณินยืนมองเรือนไทยอย่างสงสัย
เช้าวันรุ่งขึ้นไตรรัตน์กับสุคนธรสถูกเสาวภาหลังจากกลับมาบ้านแล้วรู้ว่าเจ๊หญิงหนีกลับบ้าน
“ลื้อ 2 คนมัวทำอะไรกันอยู่ล่ะ คนหนีออกจากโรงพยาบาลถึงไม่รู้เรื่อง”
ไตรรัตน์กับสุคนธรสหน้าจ๋อย
“อาตี๋เล็ก ลื้อรีบดูม้าลื้อไป อีเก็บตัวเงียบอยู่ในห้อง ไม่รู้เป็นไงมั่ง”
อาม่าบอก ไตรรัตน์เลยเดินไปที่หน้าห้องเจ๊หญิง เงื้อมือจะเคาะประตูเรียก
“ม้าครับ”
เจ๊หญิงเปิดประตูออกมาพอดี ไตรรัตน์ชะงักมือมอง แล้วทุกคนต้องแปลกใจ เมื่อเห็นเจ๊หญิงที่ยืนอยู่ในชุดแต่งองค์ทรงเครื่องแบบพวกสาวกหมอผีสมคิด ห้อยเครื่องรางที่ซื้อมาจากหมอผีสมคิดเต็มไปหมด
“ว้ายตายแล้วเจ๊หญิง นี่ลื้อต้องไข้ขึ้นอาการหนักแน่ๆ เลย ถึงได้แต่งตัวเพี้ยนยังงี้”
เจ๊หญิงตาขวางใส่
“ลื้อซิเพี้ยน ลื้อซิบ้า ปากพล่อย”
เจ๊หญิงตาลุกวาวชูสร้อยหินเครื่องรางที่สวมเต็มคอชูขึ้นใส่หน้าเสาวภา ท่องไม่เป็นภาษา
“โอม-มะ-ครือ-ฮะ-ธาธา ต่อหน้าเครื่องรางของขลังศักดิ์สิทธิ์ของอาจารย์สมคิด ใครหลบลู่ดูหมิ่นต้องมีอันเป็นไป มีเงินก็หมดตัว มีผัว...ผัวก็ทิ้ง”
“อ๊าย มาแช่งฉัน...ฉันไม่ย๊อมไม่ยอมอาม่า”
“เฮ้ย....ลื้อจะไปถือสาทำไม คนไม่สบายอยู่ ทำอะไรลงไปไม่รู้ตัวหรอก”
“ฉันไม่ได้ป่วย...ฉันสบายดี พวกลื้อนั่นแหละป่วย ชะตากำลังขาด จะต้องตายกันทุกคน”
“ว้ายซีเลี้ยว ทำไมลื้อพูดอย่างงั้นล่ะอาหญิง”
“ม้าคงเมายากล่อมประสาทที่หมอให้น่ะอาม่า ถึงได้พูดจาแบบนี้ ไปครับม้า เปลี่ยนชุดดีกว่าม้า”
ไตรรัตน์คว้าแขน แต่เจ๊หญิงสะบัด
“ปล่อย แกซิประสาท ไอ้ลูกไม่รักดี หลีกไปอย่ามาขวางทางฉันนะ”
“เดี๋ยวค่ะเจ๊ เจ๊จะไปไหน”
“เธอก็เหมือนกัน อย่ามายุ่งเรื่องฉัน ฉันจะไปสวดภาวนาแก้กรรมให้เสี่ยที่สำนักอาจารย์ เสี่ยจำริญจะได้หมดเคราะห์หมดกรรมหายป่วยเร็วๆ “
แต่ไตรรัตน์คว้าแขนเจ๊หญิงจับไว้แน่น
“แต่ผมไม่ให้ม้าไปหาไอ้หมอผีนั่นเด็ดขาด มันกำลังมอมเมาม้า”
“ฉันบอกให้แกหลีกไป”
เจ๊หญิงตาลุกวาวอย่างโกรธออกแรงผลักไตรรัตน์แค่นิดเดียว ราวกับถูกคนนับ10 ผลัก มือไตรรัตน์หลุดจากแขนเจ๊หญิง กระเด็นไปชนโต๊ะที่วางแจกันลายครามล้มลงแตก อาม่ากับเสาวภาร้องลั่น
“ว๊าย อาตี๋เล็ก”
สุคนธรสรีบเข้าไปประคองไตรรัตน์ที่นั่งเจ็บไหล่เจ็บหลัง
“เป็นอะไรรึเปล่าคุณ”
เจ๊หญิงรีบเดินไปทันที อาม่าโวยตามหลัง
“อาหญิง ทำไมลื้อถึงทำกับลูกยังงี้”
“ม้า อย่าไปนะม้า กลับมา โอ๊ย”
ไตรรัตน์จะตามแต่เจ็บหลังทรุดลง
“อาการแบบนี้นะ ชัดเลย อาการแรกเริ่มของคนเป็นโรคประสาท อี๋ย น่ากลัว ไม่รู้วันไหน อีจะลุกขึ้นมาเชือดฉันก็ไม่รู้”
ไตรรัตน์เปิดประตูเดินเข้ามาในห้องอย่างซึมๆ มองเสี่ยจำเริญที่นอนอ้าปากหลับอยู่บนเตียงอย่างคนป่วยที่อาการประสาทยังไม่กลับมาปรกติเหมือนเดิม ไตรรัตน์นั่งลงข้างๆ เตียงแตะไปที่หลังมือพ่อ
“ป๊าครับ มันเกิดอะไรขึ้นกับบ้านเรา ผมจะบ้าตายอยู่แล้ว ตัวเองอยู่ก็ไม่มีประโยชน์ช่วยอะไรป๊ากับม้าไม่ได้เลย”
ไตรรัตน์นั่งก้มหน้า
ที่หน้าห้องสุคนธรสเดินมาหยุดมองเห็นประตูปิดไม่สนิทเลยแง้มมองเข้าไปเห็นไตรรัตน์นั่งคอตกจับมือพ่อก็รู้สึกเห็นใจ สุคนธรสขมวดคิ้วครุ่นคิดสงสัย รู้สึกได้ถึงเรื่องผิดปรกติที่เกิดขึ้นในครอบครัวนี้ พยายามสูดจมูกดมหากลิ่นวิญญาณในบ้าน
“หื๊อ กลิ่นวิญญาณแปลกปลอมในบ้านก็ไม่มี จะว่าเป็นฝีมือภูติผีปีศาจ ก็ไม่น่าจะใช่ แล้วทำไมช่วงนี้...คนในบ้านหลังนี้ถึงมีแต่เรื่อง หรือว่ามันถึงคราวเคราะห์ อุ้ย”
สุคนธรสสะดุ้งเพราะมือถือในกระเป๋าสั่นขึ้น มีคนโทรเข้ามา สุคนธรสล้วงมือถือออกมาดูก่อนจะกดรับสาย เดินพูดห่างออกมาจากหน้าห้อง
“หวัดดีค่ะพี่ณัฐ มีเรื่องอะไรรึปล่าว ฮะ คนถูกทำเสน่ห์เหรอ ก็ต้องล็อคพาตัวมาให้ได้อ่ะพี่ รสถึงจะแก้เสน่ห์ให้ได้ เอ่อ เดี๋ยวพี่ณัฐ ใครโดนเสน่ห์คะ ฮัลโหลๆ”
ณัฐเดชวางสายไปแล้ว สุคนธรสถอนใจ
ณัฐเดชเปิดประตูผัวะเข้ามาในห้องแล็บ หมอวรวรรธที่กำลังนั่งเครียดอยู่เงยหน้ามอง หมอวรวรรธมีสีหน้าตกใจที่เห็นณัฐเดชเดินย่างสามขุมเข้ามาถึงตัว หมอวรวรรธลุกขึ้นยืนพร้อมมีดผ่าตัดในมือ
“ผมบอกซะก่อนนะ ถ้าพี่คิดจะใช้กำลังไม่ฟังเหตุผล คราวนี้ผมทำหมันฟรีให้พี่แน่”
ณัฐเดชเสียววาบ
“เฮ้ย ฉันมาดีเว้ย มา...แกไปกับฉัน”
“ไปไหน?”
“ตามมาแล้วกัน อย่าถามเยอะ”
“ไม่ได้ บอกผมก่อน จะพาผมไปไหน”
“เอายาสลบไปด้วย”
“เฮ้ยพี่! เอาไปทำไมยาสลบ”
“บอกให้เอาไป ก็เอาไปเหอะ เอายาแบบไม่แรงน่ะ สลบไม่นาน ไม่อันตรายถึงชีวิต”
“ยาสลบอะไรไม่อันตราย มันอันตรายทั้งนั้นแหละพี่”
“จะเอาไง จะไปหรือไม่ไป”
ทั้งคู่มองหน้ากัน
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่สำนักหมอผีสมคิด หมอผีสมคิดยืนมองพอใจที่เห็นเจ๊สมหญิงเดินตามหาญ กล้าเข้ามาในสำนัก พอเห็นหมอผีสมคิดเจ๊หญิงคุกเข่าลงต่อหน้าราวกับเห็นพระเจ้า
“อาจารย์! ลูกมาแล้ว อาจารย์ได้โปรดเมตตาให้ลูกอยู่สวดภาวนาในสำนักด้วยเถอะ ลูกอยากอยู่ใกล้ๆ อาจารย์ นะคะอาจารย์”
เจ๊หญิงยื่นมือมาจับที่เท้าหมอสมคิด
“ได้ อาจารย์อนุญาต”
“ขอบพระคุณอาจารย์ ลูกจะขออุทิศตัวคอยรับใช้อาจารย์ไปตลอดชีวิต”
หาญกับกล้ามองสบตากันยิ้ม
“เสี่ยจำเริญสามีของเจ๊ยังไม่หมดเคราะห์ ความตายกำลังจ้องหมายเอาชีวิต เจ๊จะต้องสวดภาวนาให้หนัก เพราะเจ๊คนเดียวเท่านั้นที่จะเป็นคนแก้กรรมให้เสี่ยได้”
“ค่ะอาจารย์ ลูกจะสวดภาวนา ลูกจะทำตามคำศักดิ์สิทธิ์ของอาจารย์ทุกอย่าง อาจารย์สั่งมา...ได้โปรดบัญชาลูกด้วยเถิด”
“แต่เจ๊อาจแก้กรรมไม่สำเร็จ มันมีคนจ้องจะขัดขวาง มันพวกนั้นเป็นมาร”
เจ๊หญิงตาขวางขึ้นมาทันที มือกำสร้อยเครื่องลางแน่น ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“ใครเป็นมารมาขวาง ฉันจะกรีดเลือดมัน มาบูชายันต์ให้อาจารย์ให้หมด บูชาๆ ชาบูๆ”
“ฮะๆ”
“สำเร็จ! อาจารย์ได้เจ๊หญิงมาอยู่ในกำมือแล้ว พวกมันทั้งตระกูลจะไปไหนรอดหึๆ” กล้ากระซิบบอก
ที่คอนโดของติณห์ เพ็ญนภากำลังถือหินดำปลุกเสกยืนมองด้วยสายตาเต็มไปด้วยไฟราคะตัณหา นึกย้อนไปถึงคำพูดของหมอผีสมคิดเมื่อครั้งไปเติมของ
“หินเสน่หาอาดูร ชายใดแม้นได้สัมผัส จักต้องลุ่มหลงพิศวาสมิวาย จนถึงตายก็มิอาจลืมรักเธอ ฮะๆ”
เพ็ญนภายิ้มยิ้มพูดกับตัวเองในกระจก
“วันนี้แหละดาร์ลิง...ยูจะต้องตกเป็นทาสของเพนนีไปตลอดชีวิต”
เสียงติณห์เคาะประตู
“เพนนี...เพนนี...คุณทำอะไรอยู่...I need you… please…please”
ติณห์ยืนเกาะประตูห้องน้ำเอาหัวพิงประตู มือตบๆ ประตูอย่างโหยหาเพ็ญนภา เพ็ญนภายิ้มส่งเสียงตอบกลับไป
“รอแป๊บนึงนะคะติณห์ อดใจไว้ก่อน แล้วเพนนีจะทำให้คุณมีความสุขจนลืมทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไปเลย”
เ
พ็ญนภาลงมือใช้หินปลุกเสกถูไปทั่วตัว ปากก็ท่องไปด้วย “ชายใดแม้นได้สัมผัส...จักต้องลุ่มหลงพิศวาสมิวาย...จนถึงตายก็มิอาจลืมรักเธอ ชายใดแม้นได้สัมผัส...จักต้องลุ่มหลงพิศวาสมิวาย...จนถึงตายก็มิอาจลืมรักเธอ” เพ็ญนภากระหยิ่มถูหินที่ซอกคอแต่แล้วได้ยินเสียงกริ่งหน้าห้องดังขึ้น เพ็ญนภาชะงักมือที่ถู...ฉุนกึก “ใครมันมาตอนนี้นะ”
มือกดกริ่งรัวหน้าห้อง ติณห์เปิดประตูห้องผัวะออกมาอย่างยัวะ ติณห์มีสีหน้าดูอิดโรยหมองคล้ำเพราะเสน่ห์ยาแฝดเร่งเร้าจิตใจ
“จะเคาะไปถึงไหน”
กรรณากับกรรัมภาปลอมตัวมาเป็นสาวจะไปปาร์ตี้แฟนซี กรรัมภาแต่งชุดนางแมวยั่วสวาท กรรณาเป็นมัมมี่สาว
“ซอรี่ค่ะ ไม่ได้ตั้งใจจะมาขัดขวางความสุข แต่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น...นั่นก็คือ”
“แอ่น...แอ๊น”
“คุณจอดรถสปอร์ตขวางทางคูปี้ๆ ดูของเราน่ะค่ะ…เหมี๊ยว”
“รถผมไปขวางคูปี้ๆ ดูอะไรของคุณห่ะ”
“คูปี้ คูปี้ดูก็รถมิตซู ของเรา 2 คนน่ะซีค้า แฮ่”
กรรณาพูดพลางใช้มือปลอมยื่นใส่หน้าติณห์ ติณห์ปัดออกอย่างหงุดหงิด
“เฮ้ยู ก็ที่จอดรถมันเต็ม จะให้ทำไง”
“เรารู้แต่ว่า ยูต้องลงไปเลื่อนรถให้ไอเพราะไอ 2 คนจะต้องรีบไปพาร์ตี้”
“ควิกลี่ ควิกลี่ เหมี๊ยวๆ”
“ทำไมผมต้องลงไป ยูก็ไปบอก รปภ.ให้ช่วยเข็นเอาซี”
“มันไม่อีซี่อย่างงี้ซีคะ เพราะว่า...”
สองสาวกอดคอพูดใส่หน้าติณห์พร้อมกัน
“คุณดันใส่เบรกมือไว้ ฮี่ๆ”
“อี๋”
ติณห์หันไปคว้ากุญแจรถอย่างหัวเสีย ขณะที่เพ็ญนภารีบใส่ชุดคลุมออกมา
“ใครมากดกริ่งคะติณห์?”
กรรัมภากับกรรณารีบทำหน้าทำตาตามคาแรคเตอร์ที่ใส่ กลัวเพนนีจะจำได้
“ผมจะลงไปเลื่อนรถให้ 2 คนนี่ก่อน คุณรอผมนะ ผมจะรีบขึ้นมา”
“ทำไมต้องลงไปเลื่อนให้คะ ไม่ต้องลงไปหรอกติณห์”
“ผมไปไม่นานหรอก จะรีบขึ้นมาให้เร็วที่สุด รอผมนะ จุ๊บๆ”
ติณห์รีบออกจากห้องไป
“ติณห์ อิ๋ เสียอารมณ์” เพ็ญนภาสุดเซ็ง
ติณห์เดินอย้างรีบร้อนออกมาที่ลานจอดรถ กรรัมภากับกรรณาเดินตามหลังมาพลางมองตากันอย่างมีพิรุธ
ติณห์เดินมาถึงที่รถตัวเองที่จอดอยู่ชิดผนังด้านนึงแต่ไม่ได้ขวางรถใคร
“เฮ้ยู ไหนอ่ะ ไอจดรถขวางยูตรงไหน ไม่มีรถจอดหลังไอสักคัน”
“อ้าว เหรอคะ ฉันจำรถผิดคันน่ะค่ะ”
“นั่นซิ เราจอดรถไว้ตรงโน้น ไม่ใช่ตรงนี้”
ติณห์หรี่ตามองสองสาวขวับ เดินชี้นิ้วเข้ามา สองสาวเดินถอยหลัง
“ยู ไม่ต้องมาแก้ตัว ไอไม่โง่ ไอดูออก ยูหลอกให้ไอลงมาข้างล่างนี่ใช่มั้ย ยูต้องการอะไร”
“พร้อมหรือยังยัยแก้ม?” กรรณาถามกรรัมภาเบาๆ
“ฉันพร้อมนานแล้ว”
“What do you want?”
“วิ่ง”
ว่าแล้วสองสาวก็หันวิ่งหนีล่อติณห์ไป ติณห์เสียรู้วิ่งตาม
“จะหนีไปไหน หยุดนะ”
สองสาววิ่งล่อติณห์มา ติณห์วิ่งไล่ตาม สองสาววิ่งเลี้ยวที่มุมเสา ติณห์วิ่งเลี้ยวตาม ณัฐเดช หมอวรวรรธ ก๊องที่ซุ่มรออยู่ก็โผล่พรวดออกมาช่วยกันจับล็อคติณห์ไว้
“เฮ้ย” ติณห์พยายามดิ้น “พวกแกจะทำอะไร ปล่อยนะเว้ย”
ติณห์สะบัดหลุด หันไปชกก๊องเปรี้ยง
“โอ๊ย ตาชั้น”
ก๊องโดนเต็มเบ้าตา ณัฐเดชฉวยจังหวะนั้นกระโดดล็อคแขนติณห์ไว้จากด้านหลัง
“โปะเลยซีไอ้หมอ โปะเร็วซีวะ”
“โปะอะไรของแก”
“โปะได้ไง ดิ้นขนาดนี้”
ก๊องลุกขึ้นมาฉุนๆ
“มาก๊องช่วยเอง” ก๊องเข้าไปกะจะรวบติณห์จากด้านหน้า แต่กลับเจอติณห์ถีบ “อ๊ากก...”
ก๊องกระเด็นไปอีก ณัฐเดชใช้วิชาที่เรียนมา ล็อคคอติณห์ ติณห์ขยับคอขยับหน้าไม่ได้
“เร็ว ไอ้หมอ โปะเร็ว...โปะ”
ติณห์ถูกหมอวรวรรธใช้ผ้าชุบยาสลบปิดปากปิดจมูก แต่ติณห์ไม่ยอมหมดฤทธิ์ง่ายดิ้นสุดแรง มือเหวี่ยงเข้าเบ้าตาหมอวรวรรธ
“อ๊อก! ” แต่มือยังโปะยาสลบอยู่ ขาติณห์ถีบพลั่กเข้าเป้าณัฐเดช
“อึ๋ย! ไอ้บ้าเอ้ย แรงยังกะช้าง”
“รีบพาไปขึ้นรถซีพี่ณัฐ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”
กรรณาบอก ณัฐเดช ก๊อง หมอวรวรรธช่วยกันลากถูลู่ถูกังพาติณห์ไปขึ้นรถอย่างทุลักทุเล ถึงขนาดรถโยกไปโยกมา กว่าติณห์จะสลบสิ้นฤทธิ์นิ่งไป สามหนุ่มเจ็บตัวตามๆ กัน
“สลบหรือยังพี่ ผมไม่ไหวแล้ว อ๊ากก” ก๊องถาม
“สลบแล้ว” หมอวรวรรธบอก
“โอ๊ย เจอสวนเข้าเบ้า ผมเกือบชิงสลบก่อน”
“ขอบใจมากนะสองสาวที่มาช่วย เดี๋ยวเจอกัน” ณัฐเดชบอก ขณะนั้นเพ็ญนภาตามลงมา กรรัมภาหันไปเห็น
“ว้ายๆ ยัยปากแดงตามลงมาแล้ว รีบไปเถอะพี่ เร็วๆ”
สองสาวรีบไล่ ณัฐเดชปิดประตูรีบขับรถผ่านไป เกือบเฉี่ยวเพ็ญนภา เพ็ญนภาหลบโดยไม่รู้ว่าติณห์อยู่ในรถคันนั้น
“ว้าย! ขับรถยังไงยะ ไม่เห็นคนหรือไง” กรรัมภากับกรรณารีบหลบขึ้นรถแล้วรีบขับออกไป เพ็ญนภาเดินมาดูที่จอดรถติณห์ เดินมองหารอบรถแต่ไม่เห็นใคร
“ติณห์คะติณห์ คุณอยู่ไหนอ่ะ ดาร์ลิง ติณห์ค่ะ คุณหายไปไหนเนี่ย”
ภายในบริษัทซิกส์เซ้นส์ ณัฐเดช หมอวรวรรธ ก๊องช่วยกันแบกติณห์เข้ามาที่ห้องๆ หนึ่ง
“วางมันนอนลงบนเตียงนั่นน่ะ อึ๊บ”
สามหนุ่มวางติณห์นอนลงบนเตียง แล้วทั้งสามก็ทรุดนั่งหมดเรี่ยวหมดแรงไปตามๆ กัน เนตรศิตางศุ์เดินเข้ามาดู
“ได้ตัวคุณติณห์มาแล้วหรอคะพี่ณัฐ เอ่อ...หมอ”
เนตรศิตางศุ์ชะงักเมื่อเห็นหมอวรวรรธ ตาสบตา ต่างก็คิดถึงกัน
“คุณเนตร เอ่อ...”
หมอวรวรรธจะพูด ณัฐเดชเห็นอย่างนั้นรีบคว้าหมอนตุ๊กตาใกล้มือปาใส่หน้าหมอวรวรรธหยุดกระแสความรัก
“แกกลับไปได้แล้วไอ้หมอ หมดหน้าที่ของแกแล้ว”
“ผมยังกลับไม่ได้”
“เฮ้ย! พูดงี้หมายความว่าไง”
ณัฐเดชยัวะ ลุกขึ้น เนตรศิตางศุ์ยืนตกใจซีด ก๊องต้องรีบถลาเข้าไปยืนขวางไว้ก่อน
“เย็นนะครับพี่ณัฐ อะไรอ่ะ เมื่อกี้ยังเป็นพวกเดียวกันอยู่เลยอ่ะ”
“หลีกไปไอ้ก๊อง” ณัฐเดชดันก๊องชี้หน้าหมอวรวรรธ “ทำไมจะกลับไม่ได้ ใครไปล่ามโซ่แกไว้เหรอห่ะ”
หมอวรวรรธลุกขึ้นยืนเผชิญหน้าณัฐเดชอย่างไม่หวั่น
“ในฐานะหมอ ในเมื่อผมวางยาสลบคนไข้ไปแล้ว ผมต้องรับผิดชอบชีวิตเค้า”
“แต่ไอ้ติณห์ไม่ใช่คนไข้ของแก”
“แต่ผมเป็นหมอ ผมต้องรอดูอาการพี่ติณห์จนกว่าพี่เค้าจะฟื้น ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา ผมคนเดียวเท่านั้นที่ต้องรับผิดชอบ”
“แกอย่ามาอ้างเพื่อจะอยู่ใกล้เนตรหน่อยเลย ฉันรู้ทันแก”
“พี่ณัฐครับ ผมขอเจือกหน่อยเถอะ พี่จำบทเรียนเรื่องการตายไมเคิล แจ็กสันไม่ได้เหรอครับ ขานั้นนอนไม่หลับ ถึงกับใช้ยาสลบให้หลับ แล้วเป็นไง ช่วยให้ฟื้นไม่ทัน ตายเลยนะครับ”
“จริงด้วยพี่ณัฐ อย่าห่วงเรื่องเนตรเลยค่ะ ห่วงชีวิตคุณติณห์ดีกว่า”
“เกิดลูกเศรษฐีอย่างนายติณห์ซี้แหง๋ขึ้นมานะพี่ บรื๋อ ติดคุกกันหัวโตเลยนะ ผมไม่อยากไปได้สามีนะคุกนะเพ่” ณัฐเดชฉุนเขกกะบาลก๊อง “โอ๊ย”
“ถ้าฉันเห็นไอ้หมอตาหนูนี่เข้าใกล้ยัยเนตร ฉันจะเอาเรื่องแกไอ้ก๊อง โทษฐานหนับหนุนกันดีนัก ไปทำอะไรในครัวก็ได้ไป๊ ยัยเนตร”
ณัฐเดชดึงมือเนตรศิตางศุ์ออกจากห้องไป ก๊องยืนลูบหัวป้อยๆ
“ซวยเลยกรู”
หมอวรวรรธถอนใจ หันไปจับข้อมือเช็คดูการเต้นของชีพจรติณห์ ขณะที่ติณห์นอนหลับสนิท
เพ็ญนภาตามหาติณห์ไม่เจอจึงรีบกลับมารายงายเรื่องนี้กับพ่ออย่างร้อนใจ
“ไอ้ติณห์หายตัวไป”
“ก็ใช่น่ะซิเตี่ย ไม่รู้หายไปไหน กระป๋องกระเป่า รถเอย มือถือก็ไม่เอาไป ติดต่อไม่ได้เลย”
“นี่แกจะบอกว่ามันหายไปแต่ตัวเปล่าๆ น่ะเหรอ เป็นไปไม่ได้ มันกำลังหลงแก แทบจะหลงแดงตาย มันจะมาห่างแกได้ยังไง”
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ล่ะเตี่ย ถ้าคนมันถูกลักพาตัวไป” เปรมบอก
“ลักพาตัวไป”
“ใครวะ ใครจะลักพาตัวนายติณห์ไป?”
“หึ เตี่ยก็ให้เพนนีโทรไปเช็คที่รีสอร์ทของนายติณห์ซี่ เผื่อจะมีใครตอบเตี่ยได้มั่ง”
เสี่ยปิยะพันธ์หรี่ตา ฉุกคิดสงสัยว่าอาจจะเป็นฝีมือพวกติณห์
“ฉันโทรไปแล้ว ไอ้รีสอร์ทซังกะบ๊วยนั่นไม่มีใครรับสายเลยสักคน ไม่รู้มันหายหัวไปไหนกันหมด”
เปรมดีดนิ้ว
“โป๊ะเชะ อย่างงี้เอาหัวไอ้เปรมมันเป็นประกันได้เลยว่าไอ้ติณห์มันถูกพวกเดียวกันอุ้มไปซ่อนจากแก ยัยเพนนี”
“อ๊าย ถ้ามันจริงนะ ฉันจะอาละวาดพวกมัน”
“เดี๋ยวก่อนเพนนีลูกรัก ไอ้ติณห์ถูกลักพาตัวไป เตี่ยไม่สนหรอก เตี่ยสนไอ้สัญญาซื้อขายที่ดินนั่น เมื่อคืนลูกได้กล่อมให้ไอ้ติณห์มันเซ็นขายที่ดินของมันให้เราหรือยัง?”
เพ็ญนภาเพิ่งนึกขึ้นได้
“สัญญาซื้อขาย เอ่อ...”
“อ้ำอึ้งอะไร ให้มันเซ็นหรือยังฮะ”
“โธ่เตี่ยเมื่อคืน ฉันก็กำลังจะให้เซ็นอยู่แล้ว แต่ยังไม่ทันจะเซ็นติณห์ก็ดันเมาหลับไป พอมาวันนี้ ติณห์ก็ออกไปจากห้องแล้วก็หายตัวไปซะอีก”
เสี่ยปิยะพันธ์หัวเสีย
“โธ่เอ้ยเพนนี แกหายไปกรุงเทพกับมันทั้งวันทั้งคืน แล้วมัวทำอะไรอยู่ทำไมไม่ให้มันรีบเซ็น”
“หึ คงมัวแต่ลีลาจะอ่อยไอ้ติณห์อยู่จนลืมให้เซ็นมากกว่าล่ะมั้งแกน่ะ”
“อี๋ ไอ้พี่เปรม อย่ามาซ้ำเติมกันนะ”
“หรือไม่จริงวะ”
“เฮ้ยหยุด เก็บแรงกัดกันเอง ไปตามล่าหาตัวไอ้ติณห์กันดีกว่า ถ้าหาตัวมันไม่ได้อดนะเว้ย อด...ฉันอดได้ที่ดินแกก็อดได้ไอ้ติณห์ เข้าใจมั้ย”
เสี่ยปิยะพันธ์ลุกเดินไป เพ็ญนภาสะบัดหน้าใส่เปรมเดินตามไป เปรมลุกเดินตามอย่างยียวน
“รอด้วยดิ จะไปลุยกับไอ้พวกนั้น ไม่มีไอ้เปรมมันไปด้วย ก็ไม่เละอ่ะดิ ฮ่ะๆ”
เสี่ยปิยะพันธ์ เพ็ญนภา เปรมมาตามหาติณห์ที่รีสอร์ทของติณห์
“คุณติณห์ไม่ได้ถูกใครอุ้มลักพาตัวไปซะหน่อยนะครับ ตะกี๊คุณติณห์ยังโทรมาคุยเรื่องงานกับผมอยู่เลย” ทนายสมชาติบอก
“อะไรนะ ติณห์โทรมาคุยกับคุณเหรอ”
“ครับ รับรองว่าไม่ได้โทรมาเรื่องค่าถงค่าไถ่อะไร ฟังน้ำเสียงคุณติณห์ ก็ปรกติดีทุกอย่าง”
“โกหก”
“เป็นไปได้มั้ยคะ เมื่อคืนตอนที่คุณติณห์อยู่กับคุณ อยู่ๆอาจจะเกิดเบื่อขึ้นมา รุ่งเช้าก็เลยชิ่งหนีไปซะอย่างงั้น” ป้าอรวรรณบอก
“หยุดนะยัยป้า อย่ามาหลอกด่าฉันนะ”
“หยุดเล่นละครได้แล้วน่าพวกแก รวมหัวกันกีดกันน้องสาวไอ้เปรมมันยังไม่พอ นี่ถึงกับลักพาตัวนายติณห์ไปจากน้องสาวไอ้เปรมมันเลยเหรอห่ะ” เปรมคว้าคอเสื้อทนายสมชาติ “บอกมาซะดีๆ ว่าพานายติณห์ไปไว้ที่ไหน บอกมา”
“ลักพาตัวอะไร ไม่มีหรอกครับ พวกคุณคิดกันไปเอง”
“คิดกันไปเองเหรอ มึง”
เปรมเงื้อหมัดจะต่อยทนายสมชาติ ป้าอรวรรณตะครุบดึงหมัดเอาไว้
“อย่าทำอะไรคุณทนายนะ ไม่งั้นฉันจะแจ้งตำรวจ”
“แจ้งตำรวจเหรอ เอาเลย ฉันจะได้ตบแกอีกคน อีแก่”
เปรมเลยจับข้อมือป้าอรวรรณไว้ ป้าอรวรรณร้องลั่น
“อ๊าย! ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
ทนายสมชาติเข้าช่วยป้าอรวรรณ
“เฮ้ย! หยุดร้อง มันยังไม่ทันทำอะไรเลย ไอ้เปรม ปล่อย ฉันบอกให้ปล่อยไง” เสี่ยปิยะพันธ์บอกอย่างหงุดหงิด
“อี๋”
เปรมจำใจต้องปล่อยทั้งสองคน
อ่านต่อหน้า 3
The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 14 (ต่อ)
“ไม่บอกไม่เป็นไร แต่ฉันมั่นใจที่นายติณห์หายตัวไป ต้องเป็นฝีมือพวกแกนั่นแหละ เล่นทำกันอย่างนี้ อย่าให้ถึงทีฉันบ้างก็แล้วกัน กลับเพนนี”
เสี่ยปิยะพันธ์จูงมือเพ็ญนภาเดินออกไป โดยเพ็ญนภาร่ำร้องไปตลอด
“แล้วติณห์อยู่ที่ไหนล่ะเตี่ย ฉันจะหาติณห์”
“พอซักที นี่มันหลงแกหรือแกหลงมันเนี่ย”
เปรมชี้หน้าคาดโทษป้าอรวรรณกับทนายสมชาติก่อนเดินตามเสี่ยปิยะพันธ์ออกไป
“เจ็บตรงไหนบ้างมั้ยคะคุณสมชาติ” ป้าอรวรรณถามทนายสมชาติอย่างเป็นห่วง
“พวกมันผยองมากไปแล้ว นึกอยากทำอะไรก็ทำ”
เพ็ญนภากลับมาถึงบ้านก็เข้าห้องรีบกดมือถือโทรหาหมอผีสมคิดอย่างร้อนใจ พร้อมกับเดินพล่านไปมา
“รับสายเร็วๆ ซี”
“ฮัลโหล”
เพ็ญนภาได้ยินเสียงหมอผีสมคิดก็ดีใจมาก ระล่ำระลักพูด
“อาจารย์สมคิดเหรอคะ นี่ฉันเองค่ะ เพนนี”
หมอผีสมคิดยิ้มที่ได้ยินเสียงเพ็ญนภา
“สวัสดีคุณเพนนี โทรมามีอะไรให้อาจารย์ช่วย หรือว่าอยากจะมาเติมของอีก หึๆ”
“เติมของอะไรล่ะคะอาจารย์ ผู้ชายของฉันหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้”
“ฮะ จะหายไปได้ยังไง คนที่ถูกทำเสน่ห์จากฉัน มันไม่มีทางอยู่ห่างคู่ตัวเองไปได้” หมอผีสมคิดมีสีหน้าแปลกใจ
“ฉันสงสัยว่าเค้าจะถูกลักพาตัวไปแก้เสน่ห์ค่ะอาจารย์”
“ไม่ต้องร้อนใจไป หนูรออยู่ที่บ้านนั่นแหละ ฉันจะทำให้ผู้ชายของหนู ทุรนทุรายหาทางกลับไปหาหนูให้จนได้”
“จริงๆ นะคะอาจารย์ ฉันจะรอ”
หมอผีสมคิดกดวางสาย
“คิดจะแก้เสน่ห์ยาแฝดของฉันเหรอ หึ รู้จักหมอสมคิดน้อยไป ไอ้กล้า”
“ครับอาจารย์”
“ไปเอาดิน 7 ป่าช้ามาให้ฉัน”
“ได้ครับ”
กล้าเดินไปหยิบจากตู้ที่เก็บ กล้าส่งห่อผ้าเน่าๆ เหมือนผ้าติดน้ำเหลืองห่อศพมาให้ หมอผีสมคิดรับไปเปิดห่อผ้าออกทีละชั้นๆ จนเห็นดินข้างในที่มีหนอนชอนไชอยู่ หาญกับกล้ายี้เบือนหน้าหนี หมอผีสมคิดหลับตาท่องคาถา มือข้างขวาขยำไปที่ก้อนดิน หยิบมันขึ้นมา เริ่มปั้นหุ่นติณห์
ติณห์ที่ยังคงนอนหลับอยู่บนเตียงสีหน้าติณห์ซีดขาวลงเรื่อยๆ ร่างกายมีอาการกระตุกๆ บางครั้งจากฤทธิ์คุณไสยที่ครอบงำจิตอยู่ หมอวรวรรธที่อยู่เฝ้าอาการ หลับคาอยู่ที่เก้าอี้ ประตูห้องเปิดออก เนตรศิตางศุ์พาญาณินเดินเข้ามา
“คุณติณห์นอนอยู่นั่นน่ะจ้ะ ตั้งแต่ถูกพาตัวมา ยังไม่ฟื้นเลย”
ญาณินเห็นสภาพติณห์แล้วต้องปิดปาก
“โธ่ คุณติณห์ ทำไมถึงได้ทรุดโทรมยังงี้ เมื่อวานเจอกันที่รีสอร์ท เค้ายังไม่ดูแย่ถึงขนาดนี้เลย”
“เนตรก็เพิ่งเคยเห็นจะๆ คนถูกทำเสน่ห์ยาแฝดใส่ เค้าเป็นกันอย่างงี้เหรอ เคยได้ยินแต่ยัยรสเล่าว่าของที่เอามาทำเสน่ห์ใส่กันก็เป็นของต่ำๆ บ้างก็เอามาจากศพคนตายในป่าช้าอะไรนี่แหละ”
“โธ่คุณติณห์”
ญาณินเดินเข้าไปนั่งลงข้างเตียง มองหน้าติณห์อย่างสงสาร หมอวรวรรธขยับตัว รู้สึกตัวตื่นขึ้น มองสองสาว
“ขอโทษนะคะที่ทำให้หมอตื่น”
“อ๋อ ไม่เป็นไรครับ” หมอวรวรรธหาว มองไปที่ติณห์แล้วงง “คุณติณห์ยังไม่รู้สึกตัวอีกเหรอ ผมโปะยาสลบไปนิดเดียว ทำไมสลบยาวขนาดนี้”
“นั่นน่ะสิ คุณติณห์จะเป็นอะไรไปรึเปล่าคะหมอ”
“คิดว่าไม่น่าเป็นอะไร ความดันปรกติ ชีพจร การเต้นของหัวใจ ทุกอย่างปรกติหมด โดยรวมเค้าเป็นคนแข็งแรงมาก”
“คุณติณห์ไม่เป็นอะไรหรอกเนตร เค้าต้องไม่เป็นอะไร ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อให้เค้าหายกลับมาเป็นคุณติณห์คนเดิม”
ญาณินมองหน้าติณห์อย่างเชื่อมั่น เนตรศิตางศุ์เห็นอย่างนั้นเลยแอบกวักมือเรียกหมอวรวรรธให้ออกจากห้องไป หมอวรวรรธลุกเดินออกไปจากห้องกับเนตรศิตางศุ์ปล่อยญาณินไว้กับติณห์ ญาณินค่อยๆ ยื่นมือไปจับหน้าติณห์
“ฉันขอโทษที่เอาแต่โกรธน้อยใจคุณ จนไม่รู้เลยว่าคุณกำลังตกเป็นเหยื่อของคนพวกนั้น” ญาณินเลื่อนฝ่ามือมาทาบที่อกด้านซ้ายของติณห์ “ขอให้จิตคุณเข้มแข็งไว้นะคะติณห์ อย่ายอมให้สิ่งชั่วร้ายเอาชนะคุณได้ อย่าให้มันครอบงำคุณทั้งตัวและหัวใจ ฉันจะอยู่เคียงข้างช่วยคุณเอง”
หมอวรวรรธล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำกำลังจะใช้แขนเสื้อเช็ดก็เจอเข้ากับผ้าขนหนูสีหวานลายปักตุ๊กตาน่ารักยื่นมาให้ที่หน้าห้องน้ำ หมอวรวรรธยิ้มมองเนตรศิตางศุ์ที่กำลังยื่นผ้าให้
“ขอบคุณครับ”
หมอวรวรรธแกล้งรับผ้าโดยจับมือเนตรศิตางศุ์ด้วย เนตรศิตางศุ์หน้าแดงรีบหดมือกลับ หมอวรวรรธยิ้มได้แต่มองจ้องผ้าเนตรศิตางศุ์ไม่ยอมเช็ด เนตรศิตางศุ์ค้อนใส่หันจะเดินไป หมอวรวรรธรีบคว้ามือเนตรศิตางศุ์ไว้ เนตรศิตางศุ์ชะงัก หันมามองหน้าหมอวรวรรธ
“ผมคิดถึงเนตรครับ”
เนตรศิตางศุ์เห็นสีหน้าแววตาของหมอวรวรรธแล้วแทบจะใจอ่อนโผเข้าไปหา แต่พยายามห้ามใจไว้
“หมอจะมาคิดถึงเนตรทำไมคะ ในเมื่อหมอมีคุณพีชอยู่แล้วทั้งคน ปล่อยมือเนตรเถอะค่ะ”
“ผมกับพีชเราเลิกกันแล้ว ผมขอยืนยัน”
“แต่ที่เนตรเห็น มันไม่เป็นอย่างที่หมอพูดนี่คะ หมอกับคุณพีชยังดูห่วงใยกันมากๆ เนตรไม่ควรเข้าไปใกล้ชิดหมอ ทำให้คุณพีชเธอเข้าใจผิด”
“เนตรก็เอาแต่คิดอย่างงี้อยู่ฝ่ายเดียว พี่ณัฐก็เอาแต่โกรธกีดกันผมกับเนตร แล้วผมล่ะครับ พวกคุณเคยเห็นใจผมบ้างไหม๊ครับ ว่าผมจะรู้สึกยังไง”
เนตรศิตางศุ์อึ้งเมื่อเห็นหมอวรวรรธอัดอั้นตันใจจนตาแดงกล่ำ
“หมอ...”
เนตรศิตางศุ์เกือบจะใจอ่อนอยู่แล้ว แต่เสียงมือถือของหมอวรวรรธดังขึ้นเสียก่อน หมอวรวรรธเซ็ง
“ทำไมต้องโทรมาตอนนี้ด้วย”
“อาจจะที่เป็นโรงพยาบาลโทรมาก็ได้ รับสายซีคะหมอ”
หมอวรวรรธล้วงมือถือออกมาดูเบอร์ เป็นชื่อสุพิชชา หมวรวรรธอึ้งเหลือบมองหน้า เนตรศิตางศุ์ เนตรศิตางศุ์รู้ทันทีว่าเป็นใครโทรมา
“คุณพีชโทรมาใช่ไหม๊คะ งั้นเนตรขอตัวก่อนนะคะ”
หมอวรวรรธดึงเนตรศิตางศุ์ไว้ไม่ให้ไป
“ผมบริสุทธิ์ใจกับเนตรเสมอ” หมอวรวรรธกดรับให้เนตรศิตางศุ์เห็น “ฮัลโหล จ๊ะพีช เปล่าครับ ตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ที่นิติเวช ผมอยู่กับคุณเนตรที่บริษัทซิกส์เซ้นส์ของเธอ”
เนตรศิตางศุ์อึ้งมองที่หมอวรวรรธบอกกับสุพิชชาอย่างนั้น หมอวรวรรธเองพูดพลางมองมาที่เนตรศิตางศุ์อย่างโล่งใจที่เขาได้พิสูจน์ความจริงใจให้เนตรศิตางศุ์เห็น
สุพิชชายืนพูดมือถืออยู่ที่หน้าต่าง ความหึงพุ่งปรี๊ดเมื่อได้ยินว่าหมอวรวรรธอยู่กับเนตรศิตางศุ์จนตัวสั่นสะท้าน แต่พยายามบังคับเสียง
“บริษัทซิกส์เซ้นส์เหรอคะ ชื่อแปลกดีนะคะ บริษัทของคุณเนตรทำเกี่ยวกับอะไรคะ”
หมอวรวรรธตอบพลางยกผ้าขนหนูของเนตรศิตางศุ์ขึ้นมาซับหน้า ทำตาพริ้มใส่เนตรศิตางศุ์ เนตรศิตางศุ์เขิน
“อินทีเรียรับตกแต่งบ้านน่ะครับ”
“ดีเลยค่ะ เกิดทางโรงพยาบาลจะปรับปรุงห้องพัก พีชจะคิดถึงบริษัทคุณเนตรเป็นที่แรก”
สุพิชชาพูดพลางกัดฟันกรอด
“พีชโทรมามีเรื่องด่วนอะไรรึปล่าว”
“อ๋อ ไม่มีอะไรคะ ไว้คุยกันนะคะวรรธ”
สุพิชชากดวางสาย ใจคอรุ่นร้อนเพราะกลัวจะเสียหมอวรวรรธไป
“บริษัทซิกส์เซ้นส์” สุพิชชาหันไปมองพ่อที่นอนเป็นเจ้าชายนิทราอยู่ที่เตียง สุพิชชาเดินเข้ามาคุกเข่าลงจับมือพ่อ น้ำตาคลอ “พีชต้องไม่ยอมแพ้ใช่ไหม๊คะ พีชต้องเอาหมอวรวรรธกลับคืนมาให้ได้ใช่ไหม๊ค่ะพ่อ” สุพิชชาลูดลมหายใจเข้า ฮึดสู้เมื่อคิดว่าหมอวรวรรธกำลังใกล้ชิดอยู่กับเนตรศิตางศุ์ที่บ้าน “พ่อไม่ต้องห่วงนะคะ ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน พีชจะเอาเค้ากลับมาพักผ่อนนะคะพ่อ”
สุพิชชาขยับห่มผ้าให้พ่อ ปาดน้ำตาลุกขึ้น แววตากลับมาเอาจริง หันเดินออกไป
ติณห์สลบไปนานแต่ก็ยังไม่รู้สึกตัวจนญาณินเริ่มเป็นห่วงจึงพยายามปลุกเรียกติณห์
“คุณติณห์คะ ตื่นได้แล้วค่ะนี่ฉันเองค่ะญาณิน ตื่นเถอะค่ะ คุณหลับนานไปแล้วนะคะ คุณติณห์”
ญาณินจับมือเขามาบีบๆ กระดุ้งให้รู้สึกตัว แต่ปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น ญาณินครุ่นคิดหนัก “หรือว่าจิตของเค้า ไม่ได้อยู่ในร่าง”
ญาญินร้อนใจรีบเดินมานั่งลงขัดสมาธิกลางห้อง กำหนดลมหายใจตั้งสมาธิ เพียงชั่วครู่ญาณินก็ถอดจิตโปร่งใสลุกขึ้นยืนก้าวออกจากกายหยาบ เดินเข้ามายืนมองร่างติณห์ที่นอนอยู่บนเตียง จิตญาณินเอื้อมมือจะแตะร่างติณห์อีกครั้ง แต่ต้องชะงักเมื่อรู้สึกว่ามีจิตดวงหนึ่งกำลังเคลื่อนไหวเป็นเงาดำๆ อยู่ด้านหลัง ญาณินขนหัวลุก ตัวสะท้าน แต่กลั้นความกลัวถามออกไป
“นั่นใครน่ะ?” ญาณินค่อยๆ เหลียวหลังไปมองที่ด้านหลัง แล้วก็เจอเข้ากับร่างหนึ่งที่นั่งก้มหน้าคุดคู้อยู่ที่มุมห้อง “คะ คุณใช่ไหม๊ติณห์?”
ร่างนั้นไม่ตอบแต่นั่งนิ่ง มีเพียงหัวที่ขยับไปมา จิตญาณินเลยตัดสินใจก้าวเดินเข้าไปหาช้าๆ พร้อมกับยื่นมือเข้าไปหา อยู่ๆ ร่างนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองมาที่เธอ ญาณินตกใจเมื่อเห็นจิตของติณห์ดูฟั่นเฟืองราวกับวิญญาณผีร้าย
“ติณห์! มันทำอะไรกับจิตของคุณเนี่ยะ” จิตของติณห์ไม่ตอบ ได้แต่เอียงคอจ้องมาที่ญาณินเขม็ง “กลับเข้าร่างเถอะค่ะคุณติณห์ เร็วซีคะก่อนที่ร่างของคุณจะแย่ไปกว่านี้ ยื่นมือมาซีคะ ฉันจะพาคุณกลับเข้าร่างเอง ส่งมือมาให้ฉัน” แทนที่จะส่งมือให้ จิตของติณห์กลับโผพรวดเข้าถึงตัวญาณินอย่างรวดเร็ว พร้อมมือข้างหนึ่งที่บีบคอเธอไว้ “อ๊อก! อย่าค่ะ นี่ฉันเอง คุณจำไม่ได้เหรอ คุณติณห์ ปล่อย”
แต่จิตติณห์ไม่ปล่อย แถมใช้อีกมือมาบีบคอเธอ เป็นสองมือ ญาณินตาเหลือกร้องไม่ออกจับสองมือเขาไว้ วินาทีนั้นเธอตัดสินใจหลับตาลงรวบรวมสมาธิดึงจิตตัวเองไป จิตของญาณินสลายหายไปจากมือของจิตติณห์
ร่างญาณินที่นั่งสมาธิอยู่กลางห้อง หายใจเฮือก ลืมตาขึ้น มือจับไปที่คอตัวเอง ไอโขก หายใจหอบ ขณะที่ร่างติณห์บนเตียงก็ขยับตัวไปมา ติณห์กำลังรู้สึกตัวตื่น ญาณินดีใจรีบถลาเข้าไปดูเขาที่เตียง
“คุณตื่นแล้ว! เป็นยังไงบ้างคุณติณห์ ลืมตาขึ้นซีคะ ลืมตา มองฉันซีคะ”
ติณห์ลืมตาขึ้นมองญาณิน แต่ทันทีที่ลืมตาผวาขึ้น ชื่อแรกที่เรียกกลับเป็น...
“เพนนี”
“เขาไม่อยู่ที่นี่หรอกค่ะ ตั้งสตินะคะติณห์ แล้วฟังฉัน ฉันจะช่วยคุณ”
“หุบปากนะ! เพนนีของผมอยู่ที่ไหน”
ติณห์ตาขวาง ตะปบไหล่ญาณินเขย่าถามเต็มแรงจนญาณินตัวโยน
“โอ๊ะ”
ที่สำนักหมอผีสมคิดหุ่นดินติณห์ในมือหมอผีสมคิดที่ปั้นเสร็จเป็นรูปเป็นร่างแล้ว หมอผีสมคิดกำลังท่องคาถา จ่อหุ่นรนด้วยเทียน แล้วคว้ามือชายธงด้ามสำริด จิกปลายมีดเขียนยันต์ลงบนหุ่นอย่างรวดเร็วและชำนาญมีผลทำให้ติณห์เกิดอาการคลุ้มคลั่ง
“เอาเพนนีไปซ่อนไว้ที่ไหน เอาเพนนีของฉันคืนมา”
“ฉันเจ็บนะคุณติณห์ ปล่อยฉัน”
ญาณินออกแรงเหวี่ยงแขนติณห์ออกจากไหล่ได้สำเร็จ ลุกหนี ติณห์ลุกตาม ย่างสามขุมตาขวางเข้ามาหา
“เพนนีไปไหน เอาเพนนีคืนมา อ๊าก!”
เสียงคาถาของหมอผีสมคิด ทำให้ติณห์ยิ่งคลั่ง สองมือจิกไปที่หัวตัวเองอย่างเจ็บปวดทรมานแทบขาดใจ ญาญินสงสาร อยากจะช่วยแต่ทำอะไรไม่ภูก
“โธ่คุณติณห์ คุณอย่าเป็นอะไรไปนะ ฉันจะช่วยคุณยังไงดีเนี่ย”
“เอาเพนนีมา เอาเพนนีมาให้ฉัน”
ติณห์หันมาเล่นงานญาณิน คว้าตัวแต่ญาณินหลบ ติณห์คว้าได้เสื้อคลุมหลุดติดมือไป ญาณินจะวิ่งไปที่ประตูห้อง แต่ติณห์ไปดักที่ประตูมือกดล็อคประตูไว้ ญาณินตะลึงค้าง เธอติดกับเสียแล้ว
“ฮะ”
ขณะเดียวกันที่ด้านนอก กรรณา กรรัมภา ก๊องกำลังแอบมองเนตรศิตางศุ์กำลังนั่งดื่มกาแฟกินขนมกับหมอวรวรรธ ณัฐเดชพาสุคนธรสและไตรรัตน์เดินเข้ามาในบริษัท เห็นด้านหลังทั้งสามกำลังแอบมองอะไรอยู่ เลยเดินเข้ามา
“ดูอะไรกันน่ะ”
ทั้งสามตกใจหันมามอง โดยเฉพาะก๊องถึงกับตกใจตาเหลือกเพราะถูกคาดโทษไว้
“เฮิ้ก”
“ เปล่าค่ะพี่ณัฐ ไม่มีอะไร”
“เจ๊จี้จ้าอยู่กับคุณติณห์ในห้องน่ะ รีบพายัยรสเข้าไปเถอะเพ่”
สองสาวพูดพลางพยายามกอดคอกันใช้ตัวบังไว้ แต่ณัฐเดชไม่หลงกลใช้มือแหวกทั้งคู่ออกจากกัน
“หลบ”
ณัฐเดชก็เห็นหมอวรวรรธกำลังนั่งดื่มกาแฟอยู่กับเนตรศิตางศุ์ ฉุนกึกหันขวับมามองก๊อง
“ฉันบอกนายว่าไง ถ้าเห็นไอ้หมอเข้าใกล้เนตร โดน” ณัฐเดชจะรวบคอก๊อง ก๊องก้มหลบเร็วปรือ รอดตัวไป ณัฐเดชเลยหันไปเล่นงานหมอวรวรรธ เดินปรี่เข้าไปเลย “เฮ้ย ทำอะไรกันน่ะ”
หมอวรวรรธกำลังยกกาแฟดื่มแทบสำลักพรวดออกมา
“เย้ย กินกาแฟครับพี่”
“มากินอะไรกับน้องสาวฉันฮะ ที่ฉันยังให้นายอยู่ที่นี่ก็เพื่อดูอาการไอ้ติณห์นะเว้ยแล้วนี่มาทำอะไรข้างนอกนี่ ไอ้ติณห์มันฟื้นแล้วฮะ”
“เอ่อ พี่ณัฐคะ หมอวรวรรธก็ดูแลคุณติณห์มาแล้วทั้งวันนะคะพี่ ให้หมอได้พักดื่มกาแฟบ้างเถอะ”
“อยากพักก็กลับไปซี หมดหน้าที่ของหมอแล้ว ไปๆ”
ณัฐเดชเข้ามาดึงหมอวรวรรธให้ออกไป ทำเอาสาวๆ ตกอกตกใจไปกันหมดไตรรัตน์เห็นอย่างนั้นก็เลยรีบเข้ามาจับแขนณัฐเดชห้าม
“เฮ้ย ไม่เอาน่าไอ้ณัฐ แกทำให้น้องๆ ตกอกตกใจไปหมดแล้วนะเว้ย แค่เค้ากินกาแฟกันไม่ได้หนีตามกันซะหน่อย”
“อ้าว ไอ้ปากเสีย ทำไมพูดงี้”
“ก็นี่ไม่ใช่เวลามาหวงน้องสาวนะเว้ย ห่วงไอ้ติณห์ดีกว่า ไม่รู้เป็นไงมั่ง”
ทันใดนั้นมีเสียง ดังโครมครามจากด้านใน ทุกคนตกใจอ้าปากค้าง
ณัฐเดชวิ่งนำทุกคนมาหน้าห้อง จะเปิดประตูแต่ประตูล็อค
“ประตูล็อค เกิดอะไรขึ้นข้างในญาณิน เปิดประตูให้พี่เดี๋ยวนี้ ญาณินเปิดประตู”
ทุกคนช่วยกันเรียกช่วยกันตะโกน แต่ไม่ได้ผล
“อย่ามัวเรียกอยู่เลย พังเข้าไปเลยดีกว่า”
“หลีก! มา ไอ้ก๊องเอง ย๊าก!”
ทุกคนหลีกทางให้ก๊องวิ่งเข้าไปใช้ไหล่กระแทกประตู ปรากฏว่าตัวเด้งออกมาไหล่แทบหัก
“โอ๊ย!”
ณัฐเดชกับไตรรัตน์ทำตาปะหลับปะเหลือก เซ็งกับก๊อง สองหนุ่มมองหน้ากันพยักหน้าให้จังหวะกันแล้ววิ่งเข้าไปกระแทกประตูพร้อมกัน ประตูเปิดออก แล้วทุกคนต้องตกใจ เมื่อเจอติณห์กำลังล็อกคอญาณินอยู่
“เจ๊จีจ้า”
“เฮ้ย ไอ้ติณห์แกเป็นบ้าอะไร ปล่อยญาณินเดี๋ยวนี้นะ”
“ไม่มีประโยชน์หรอกพี่ณัฐ เค้าไม่รับรู้หรอก” ญาณินบอก
“อย่าเข้ามานะ ไม่งั้นยัยนี่ตาย”
“หึ ตกลงนี่มันโดนผีเสพยาบ้าเข้าสิงใช่มั้ยเนี่ย”
ทุกคนหยุด หันมามองหน้าไตรรัตน์ สุคนธรสหวดแขนไตรรัตน์ผัวะ
“ปากอ่ะ! ยังจะมีอารมณ์มาพูดเล่นอีก รีบหาทางแยกเจ๊จีจ้าออกมาเร็วๆ เข้าเถอะ เดี๋ยวเจ๊ก็ตายคามือนายติณห์พอดีหรอก”
“งั้นมานี่ ประชุมแผน”
“แผนอะไรวะ”
ทุกคนมองหน้างงๆ ก๊องเต้นฟุตเวิร์กฟิตจัด
“ให้สัญญาณมาเลย ผมพร้อมแล้ว”
“แผนแรก แกเข้าไปก่อน”
ณัฐเดช ถีบก้นก๊องคะมำเข้าไป
“เหว๋อ”
ติณห์เห็นก๊องเซเข้ามาก็ปล่อยมือจากล็อกญาณินข้างหนึ่งมาบีบคอก๊อง ณัฐเดชเลยตะโกนบอกทุกคนทันที
“แผนสอง ลุยเข้าไปเลย”
ทั้งหมดกรูเข้าไปหาติณห์ ณัฐเดช ไตรรัตน์ หมอวรวรรธเข้าไปช่วยกันจับล็อกติณห์ ขณะที่เนตรศิตางศุ์ กรรัมภาและกรรณาเข้าไปช่วยแกะญาณินออกจากมือติณห์ ติณห์พยายามฮึดฮัดสู้
“อ๊าก!”
“เขี้ยวเสือไฟช่วยนายติณห์ทีเถอะ”
สุคนธรสรีบล้วงสร้อยเขี้ยวเสือไฟซึ่งมีสรรพคุณป้องกันภูติผี ของไม่ดี ออกมาหลับตาพนมมือไหว้ ท่องคาถาบูชา และแล้วสามสาวก็ดึงญาณินหลุดออกมาจากมือติณห์ได้
ณัฐเดช หมอวรวรรธ ไตรรัตน์และก๊องช่วยกันจับล็อกติณห์ไว้กับพื้นห้องอย่างทุลักทุเลเพราะติณห์แรงมหาศาลมาก
“เร็วยัยรส จะทำอะไรก็ทำ แรงมันเยอะมาก”
สุคนธรสท่องเสร็จ ลืมตา รีบเข้าไปใช้เขี้ยวเสือไฟจิ้มไปที่หน้าผากติณห์ เกิดควันลอยขึ้นมาจากหน้าติณห์ราวกับถูกธูปร้อนๆ จี้ ทำอาพวกหนุ่มๆ ตกใจตะลึงมองอย่างแทบไม่เชื่อสายตา ติณห์ร้องครวญครางราวกับแสบร้อน ค่อยๆ อ่อนแรงลง หยุดคลั่ง พร้อมกับเลือดดำๆ ไหลหยดออกมาจากจมูกติณห์ สุคนธรสรีบคล้องสร้อยเขี้ยวเสือไฟไว้ที่คอติณห์ทันที ทำให้ติณห์หยุดคลั่งลงนอนอ่อนแรง หนุ่มๆ ผละออกมานั่งหมดแรงตามๆ กัน
“เค้าสงบแล้ว เขี้ยวเสือไฟจะช่วยป้องกันเค้าจากมนต์คาถาภูติผี แต่แค่ชั่วคราวเท่านั้น เค้ายังไม่หลุดจากเสน่ห์ยาแฝดของยัยเพนนีหรอก”
“แล้วเค้าจะหายได้ยังไงยัยรส”
“ต้องหาทางแก้เสน่ห์ แต่ลำพังฉันคนเดียว คงแก้ไม่ได้หรอก”
“ใช่ ขนาดของพลังของยัยรสเต็มบ้านหลังนี้ ของที่คุณติณห์โดยมันยังไม่หลุดเลย แถมยังออกฤทธิ์อีกด้วย”
“ยัยรสเจอของแรงเข้าแล้วงานนี้”
ทุกคนถึงกับอึ้งไปตามๆ กัน ญาณินมองไปที่ติณห์อย่างห่วงเขาสุดๆ
หมอผีสมคิดทำพิธีเสร็จ วางหุ่นดินของติณห์ลงบนถาดเงินแล้วกดมือถือโทรไปหาเพ็ญนภา
“ฮัลโหล อาจารย์เองนะคุณเพนนี อาจารย์ลงยันต์มหาเสน่ห์ปลุกอารมณ์พิศวาสเพิ่มให้ตัวผู้ชายแล้ว คุณสบายใจได้ ภายในวันนี้เขาจะต้องหาทางกลับไปหาคุณเอง แต่งตัวสวยๆ นอนรอได้เลย หึๆ”
เพ็ญนภายิ้มดีใจ
“ขอบคุณมากนะคะอาจารย์ เรื่องเงิน ทันทีที่เค้ากลับมาหาฉัน ฉันจะโอนไปให้อาจารย์ทันที”
เพ็ญนภากดวางสาย เดินไปนั่งที่โต๊ะเครื่องแป้ง ปล่อยผมที่มวยเอาไว้สยายผมยิ้มยั่วยวนใส่กระจก หยิบขวดน้ำหอมมาแตะที่ซอกคออย่างรอคอย
คืนนั้นรถคันหนึ่งแล่นเข้ามาที่บริษัทซิกส์เซ้นส์อย่างเงียบเชียบ ก่อนจะถึงประตูรั้วรถคันนั้นชะลอลงพร้อมดับไฟหน้าแล้วจอดหยุดสนิทบริเวณริมมุมรั้วบริษัทซิกส์เซ้นส์
สุพิชชาเป็นคนขับรถ เธอเห็นที่หน้าบริษัทมีรถมอเตอร์ไซด์หมอวรวรรธกับรถณัฐเดชจอดอยู่ สุพิชชามั่นใจว่าทั้งสองพร้อมเนตรศิตางศุ์ต้องอยู่ที่นี่แน่ สุพิชชาตัดสินใจรอในรถ แววตามุ่งมั่นในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
เช้าวันรุ่งขึ้นที่สำนักหมอผีสมคิด พวกบรรดาครูๆ อาจารย์ต่างๆ ที่เป็นสาวกของหมอผีสมคิดกำลังสวดมนต์หมู่ร่วมกัน เสียงสวดมีทำนองกึ่งๆ ป๊อป เหล่าบรรดาสาวกทั้งหลายใบหน้าอิ่มบุญอิ่มสุขมากๆ
หมอผีสมคิดและสมุนทั้งสองยืนมองภาพเหล่านั้นจากแท่นด้านบนที่อยู่เหนือบรรดาผู้คนเหล่านั้น ด้วยความพึงพอใจ
“ตัวแทนโรงเรียนจากชานเมืองกลุ่มนี้ เวิร์คมากครับอาจารย์ มากันแต่เช้ามืด สวดมนต์ ซึมซับคำสอนและหลักปฏิบัติสไตล์สำนักหมอสมคิดเข้าไปอย่างง่ายดายยิ่งกว่าเทน้ำลงพื้นทรายอีกครับ”
“ภายในเดือนนี้ ตัวแทนโรงเรียนเหล่านี้ก็จะผ่านการอบรมหลักสูตรธรรมะของเรา หึๆ แล้วคนพวกนี้แหละ ที่จะไปคายตะขาบให้เด็กๆ ในความดูแล”
“และท้ายที่สุด เด็กทุกคนก็จะถูกฝังหัวให้เชื่อในหลักการการทำบุญแบบสำนักเรา”
“นี่แหละที่ชั้นต้องการ ไม่มีอำนาจอะไรจะยิ่งใหญ่ไปกว่าอำนาจแห่งศรัทธาอีกแล้ว ฮ่าๆ”
หมอผีสมคิดยิ้มร้ายกาจ สะใจ แต่แล้วกล้าก็เข้ามายื่นมือถือให้
“อาจารย์ โทรศัพท์ครับ”
หมอผีสมคิดเดินแยกออกมากดรับสาย
“คนรักคุณกลับมาหาแล้วใช่มั้ย”
เพ็ญนภาวีนใส่หมอผีสมคิดทันที
“กลับบ้าอะไร ยังไม่เห็นแม้แต่เงา อาคมของอาจารย์ได้ผลแน่หรือเปล่า ชั้นรอไม่ไหวแล้วนะ มีวิธีที่ทำให้ติณห์กลับมาเร็วกว่านี้มั้ย”
“บอกว่าภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงก็คือยี่สิบสี่ชั่วโมง ถ้ารอไม่ได้ กระเหี้ยนกระหือรืออยากเจอคนรักจนตัวสั่นเดี๋ยวชั้นจะส่งลูกน้องไปแก้ขัดให้แล้วกัน” หมอผีสมคิดกดตัดสายทันที “ทำมาเป็นขึ้นเสียงถ้าไม่เห็นแก่ความสวยนะ เสกควายธนูเข้าท้องแกแน่ ยัยเพนนี”
หมอผีสมคิดจะเดินกลับไป หาญกับกล้ายืนยิ้มเผล่รออยู่
“อาจารย์พูดจริงใช่มั้ยครับ อิๆ”
เพ็ญนภาวีนใส่โทรศัพท์ด้วยความโมโห
“หนอย ไอ้หมอผีเฮงซวย ถ้าอาคมแกไม่สำเร็จนะ ชั้นบุกไปถล่มสำนักแกแน่”
เสี่ยปิยะพันธ์เดินเข้ามา
“เป็นไงล่ะ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะความโง่ของแก ถ้าแกจับไอ้ติณห์มันเซ็นสัญญายอมขายที่ดินตั้งแต่ตอนมันกำลังหน้ามืดก็จบเรื่องไปแล้ว นี่คงมัวแต่ฟีเจอริ่งจนลืมภารกิจที่เตี่ยมอบหมายละสิ”
“เตี่ย เตี่ยก็ห่วงแต่ที่ดินนั่นแหละ เพนนีกำลังอกหักแคร์บ้างมั้ย”
“ป่านนี้นังญาณินมันคงพาไอ้ติณห์ไปหาพระหาอาจารย์ที่ไหนต่อไหนแล้ว และถ้าเกิดมันแก้ของให้ไอ้ติณห์สำเร็จ ชั้นไม่อยากคิดเลยว่าแกจะกลายเป็นตัวอะไรในสายตาคนที่แกรัก แกจะไม่ได้ทั้งผู้ชาย ไม่ได้ทั้งที่ดิน ไม่ได้อะไรเลย”
“เพนนีไม่ยอม เพนนีจะไปตามหาติณห์แล้วพากลับมา”
“แกจะไปตามที่ไหน”
“ไม่รู้ รู้แต่ เพนนีจะไม่ยอมเสียติณห์ไปอีกแล้ว”
“อะแฮ่ม ไอ้เปรมมันคิดว่าถึงเวลาต้องให้ไอ้เปรมมันจัดการแล้วล่ะ” เปรมเดินเข้ามา
“แกจะทำอะไร”
“ไอ้เปรมมันก็จะจัดการตามสไตล์ของไอ้เปรมมันน่ะสิครับป๋า วิธีซอฟท์ๆ เบาๆ แบบสุภาพชนไง หึๆ”
ติณห์นอนหมดสภาพมีเขี้ยวเสือไฟคล้องคออยู่ ข้างๆ ติณห์ ณัฐเดช หมอวรวรรธ ก๊อง นอนตามมุมต่างๆ เพลียที่เฝ้าติณห์ทั้งคืน หมอวรวรรธรู้สึกตัวก่อนคนอื่นเห็นทุกคนยังหลับนิ่งเลยออกมานอกห้อง
หมอวรวรรธเดินมาที่ห้องรับแขก ไตรรัตน์นอนที่โซฟา สาวๆ เริ่มตื่นกันบ้างแล้ว หมอวรวรรธมองหาเนตรศิตางศุ์ จึงเห็นเธอเดินถือหม้อข้าวต้มหม้อใหญ่ออกมาจากครัวกะจะเสิร์ฟเพื่อนๆ
“ทุกคน ข้าวต้มร้อนๆ มาแล้วจ้า กินซะหน่อยจะได้มีแรงลุยต่อ”
กรรณาและกรรัมภา ออกมาจากห้องน้ำและอีกมุมของบ้าน อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย ได้ยินเนตรศิตางศุ์เรียกก็รีบกลับไปตามที่ๆ ตัวเองออกมา
“ชั้นลืมของไว้ในห้อง เดี๋ยวออกมานะ”
“ว๊า ลืมเขียนคิ้ว”
สุคนธรสเพิ่งตื่น งัวเงีย
“รส มาชิมข้าวต้มเนตรเร็ว...”
“ห๊า? เออ ขอไปแปรงฟันก่อนนะ”
เหลือไตรรัตน์ที่ยังหลับอยู่กับหมอวรวรรธที่ยืนจ้องเนตรศิตางศุ์อยู่
“ผมหิว ผมกินเอง” หมอวรวรรธบอก
“ได้เลยค่ะ”
เนตรศิตางศุ์รีบกุลีกุจอตักข้าวต้มใส่ถ้วยให้หมอวรวรรธทันที หมอวรวรรธรับชามข้าวต้มมาจากเนตรศิตางศุ์ แล้วเอาใจเนตรศิตางศุ์รีบตักเข้าปากทันที ก่อนลิ้นจะรับรส หมอวรวรรธเอ่ยถาม
“ข้าวต้มอะไรครับ หอมจัง”
“ข้าวต้มกระดูกหมู และก็มีแหนมตุ้ม หมูตั้งค่ะ” หมอวรวรรธชะงักอีก ลิ้นเริ่มรับรสของอาหารที่สุดจะทนจะคายก็กลัวเสียฟอร์ม “เป็นไงคะอร่อยไหม”
“สุดยอด...”
“ขอบคุณค่ะ”
ณัฐเดชเดินออกมาจากห้องที่ติณห์อยู่เห็นภาพสวีทของทั้งสอง สุดจะทน
ณัฐเดชดึงหมอวรวรรธออกมาจากบ้าน
“ไม่ต้องลากกันขนาดนี้หรอกครับพี่ณัฐ ผมเดินเองเป็น”
“เดินเป็นก็รีบไปซี นายกลับไปได้แล้วต่อจากนี้เรื่องนายติณห์ ให้ยัยรสเป็นคนจัดการ”
“เยี่ยมเลย! พอเสร็จงานก็ถีบหัวส่ง คำขอบคุณของพี่นี่มันซาบซึ้งใจผมจริงๆ”
“อ๋อ นี่นายลำเลิกบุญคุญฉันเหรอฮะ ได้ไว้วันหลัง ฉันจะทดแทนบุญคุณนายให้หายยากเลย”
เนตรศิตางศุ์รีบตามออกมาห้าม
“พี่ณัฐค่ะ อย่าเกเรซี เนตรขอร้องนะคะ หมออุตส่าห์ยอมมาช่วยพวกเรานะคะ ช่วยดีกับหมอบ้างได้มั้ยคะ”
เสียงปิดประตูรถดังปัง ทั้งสามชะงักหันไปมองแล้วต้องตกใจเมื่อเห็นสุพิชชาก้าวลงจากรถ
“พีช” ณัฐเดชกับหมอวรวรรธเรียกออกมาพร้อมกัน
อ่านต่อหน้า 4 เวลา 17.00น.
The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 14 (ต่อ)
ที่หน้าบริษัท กรรณายืนมองณัฐเดช สุพิชชา เนตรศิตางศุ์ หมอวรวรรธ อยู่ที่ประตูทางเข้าตัวบ้าน ที่เหลือตามมาสมทบจากห้องที่ขังติณห์
“เกิดอะไรขึ้นยัยกรรณ”
“ไม่รู้จะอธิบายยังไง ดูเองดีกว่า”
ทุกคนมองไปทางที่กรรณามองอยู่ แล้วตะลึง เมื่อเห็นสุพิชชาตีหน้าเศร้า น้ำตาไหล
“พี่ณัฐ...ตาหนู...”
ณัฐเดชเห็นสีหน้าสุพิชชา ห่วงใย ขยับจะเข้าไปหา
“พีช เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม”
แต่สุพิชชากลับโผเข้าไปกอดหมอวรวรรธ ร้องไห้โฮ โดยไม่แคร์สายตาใคร ณัฐเดชค้างกลางคัน เนตรศิตางศุ์มองอย่างตะลึง อึ้ง หมอวรวรรธอึกอัก
ญาณิน สุคนธรส กรรณา กรรัมภา ไตรรัตน์เห็นหมอวรวรรธกอดกับสุพิชชาอยู่ได้แต่ยืนตะลึงงัน ฮือฮากับภาพที่เห็น
“พีช เป็นอะไร”
สุพิชชาปาดน้ำตา ตั้งสติ
“ ตาหนู...ตาหนูต้องช่วยพีชนะ พีชไม่มีใครแล้ว ตาหนูไปกับพีชตอนนี้นะ...นะ” สุพิชชาจะดึงตัวหมอวรวรรธไป
“เดี๋ยว จะพาผมไปไหน ผมไปไม่ได้”
“ทำไม”
หมอวรวรรธมองเนตรศิตางศุ์ อึกอัก
“เอ่อ คือ”
“มีอะไรหรือเปล่า เอ่อ นี่ น้องสาวพี่ณัฐ แฟนใหม่ตาหนูเหรอ”
หมอวรวรรธหันมองหน้าณัฐเดชปุ๊บ ณัฐเดชตาลุกมองมาที่หมอวรวรรธสลับเนตรศิตางศุ์
“จริงเหรอ เนตร”
“เอ้อ อ้า...คือ...” เนตรศิตางศุ์หน้าซีด
“ยัยเนตร”
หมอวรวรรธกลัวณัฐเดช
“เอ้อ เปล่าๆ นะครับ ไม่ๆ ไม่ใช่ๆ เราไม่ได้เป็นอะไรกัน แค่เป็นคนรู้จักธรรมดาๆ เอง...” หมอวรวรรธรีบเปลี่ยนเรื่อง “เมื่อกี้พีชว่ามีอะไรนะ ไปๆ เราไปคุยกันทางนั้นเถอะ”
หมอวรวรรธรีบแยกสุพิชชาออกไป เนตรศิตางศุ์อึ้ง
“ค่อยยังชั่วดีแล้ว ที่ไม่ได้เป็นอะไรกัน มันไม่ใช่คนดี แค่เป็นคนรู้จักก็นับว่าขาดทุนแล้ว” ณัฐเดชมองตามไปอย่างปวดร้าว
พวกญาณินได้แต่มองเนตรศิตางศุ์อย่างเป็นห่วงเป็นใย
ส่วนที่รีสอร์ทของติณห์ ป้าอรวรรณเดินออกมาจากบ้านพักแล้วต้องผงะ เพราะเพ็ญนภายืนรออยู่
“บอกแล้วไงว่าชั้นไม่รู้ว่าคุณติณห์อยู่ไหน จะต้องให้พูดกี่รอบ หลบ ชั้นจะไปทำงาน” ป้าอรวรรณเดินผ่านเพ็ญนภาไป เปรม เสี่ยปิยะพันธ์เดินเข้ามาขวางหน้าป้าอรวรรณอีก “ถ้าพวกคุณมีญาติพี่น้องสักยี่สิบคนก็คงจะขนมากันหมดตระกูลเลยใช่มั้ย ดูปากนะชั้นไม่รู้ว่าคุณติณห์อยู่” ป้าอรวรรณพูดไม่ทันขาดคำก็ต้องร้องว้าย เพราะสมุนของเปรมหิ้วปีกทนายสมชาติที่หน้าตาบวมเป่งแบบถูกชกเข้ามาโยนกองกับพื้น “คุณทนายสมชาติ”
เพ็ญนภากระชากแขนป้าอรวรรณมาอย่างแรง
“ทีนี้จะบอกได้หรือยังว่านังแม่มดเอาติณห์ของชั้นไปไว้ที่ไหน”
“ชั้น ชั้น เอ่อ ”
“อย่าบอกพวกมันนะคุณออ”
“อ้าว พูดแบบนี้ ก็แสดงว่าพวกแกรู้น่ะสิ”
“จะไม่พูดใช่มั้ย ได้ๆ ไอ้เปรมมันก็อยากรู้ว่าพวกแกจะปิดปากได้นานแค่ไหน” เปรมกระชากคอทนายสมชาติให้ลุกขึ้นมา “ไปกับชั้น”
เปรมลากคอทนายสมชาติไป ลูกน้องฉุดป้าอรวรรณออกไป
ที่บริษัทซิกส์เซ้นส์ ติณห์ยังคงเพ้อครวญหาแต่เพ็ญนภา
“เพนนีจ๋า เพนนียอดรัก ผมจะไปหาคุณ หลับตาลงก็เห็นแต่ใบหน้าเธอ กี่เช้าตื่นมาก็เจอว่าคิดถึงเธออยู่เป็นประจำ ใจมันก็ลอยออกไปหาเธออยู่ทุกเช้าค่ำไม่รู้จะทำยังไง”
ติณห์คลานไปกับพื้น แต่แล้วก็ถูกก๊องคว้าข้อเท้า ลากกลับมาที่เดิมอย่างง่ายดาย เพราะติณห์อ่อนแรงมาก
“ทำไมก๊องต้องมาเป็นคนเฝ้าด้วย แทนที่จะได้ไปซิ่งรถ ลองเครื่องซะหน่อย เฮ้อออ”
ติณห์พยายามจะถอดเขี้ยวเสือไฟออกจากคอ แต่ถอดไม่ได้ราวกับว่าเขี้ยวเสือไฟนั้นหนักมาก
“อาการของคนโดนทำเสน่ห์มันน่ากลัวจริงๆ เห็นแล้วคิดถึงตัวเอง”
ก๊องหันมามองท่านเจ้าที่
“หือ จะบอกว่าเคยโดน”
“ไอ้น้องชาย ถอดสร้อยนี่ออกให้ที สงสารคนหัวใจช้ำๆ คนนี้เถอะนะ คิดซะว่าเห็นใจคนที่หน้าตาหล่อเหลาทัดเทียมกัน”
ก๊องตะลึง หันขวับทันที
“หล่อทัดเทียมกัน”
“เฮ้ย เอ็งมีหน้าที่เฝ้าก็เฝ้าไป อย่าไปหลงเชื่อคำโกหกพกลม”
“ผมแยกแยะออกน่ะว่าอันไหนจริง อันไหนโกหก ผมรู้ว่าที่พี่ติณห์พูดมาเป็นจริงทุกประการ”
“ถูกต้อง น้องสุดหล่อ ผิวขาวอมชมพู สูงสมาร์ท หุ่นนายแบบ ร้องเพลงเพราะ น้องอย่าไปฟังคำพูดของลุงแก่ๆ ขี้อิจฉาเลย”
“ว่าใครแก่ ใครอิจฉา เฮ้ย เดี๋ยว เอ็งมองเห็นข้าด้วยเหรอ”
“ปล่อยเถอะ..ปล่อย” ติณห์ขู่ อาฆาต แต่อ่อนแรงมาก “ไม่งั้นชั้นจะกระทืบแกให้ตับแตกเลย”
“อุ๊ยๆ กลัวกลั๊วกลัว...” ติณห์ยันตัวขึ้นมาจะเตะก๊อง แต่ไม่มีแรง หน้าคว่ำไปเอง “ฮ่าๆ”
ได้ที่ก๊องร้องเพลงเย้ยหยันติณห์
“อยากมีเธออยู่เคียงข้างกายให้เธอ เป็นคนรักคนสุดท้ายตลอดชีวิตไม่คิดให้ใคร แค่เธอผู้เดียวที่ใจฉันเห็นว่าใช่ ถ้ายังไม่มีผู้ใดได้ใจก็ถือโอกาสตรงนี้บอกกันซะเลย จะคิดยังไงกับฉัน ก็แล้วแต่เธอ”
ก๊องกับท่านเจ้าที่สนุก ร้องเต้นไปรอบๆ ติณห์ ติณห์แค้นพยายามจะชก แต่ไม่มีแรง ล้มคว่ำไป แล้วอยู่ๆ ติณห์ก็แน่นิ่ง ทีแรกก๊องไม่คิดอะไรแต่พอเห็นติณห์นิ่งไปนาน เริ่มเอะใจ
“ทำไมนิ่งไป พี่ติณห์...” ติณห์ยังนิ่ง “เป็นไรป่าวอ่ะ...พี่ติณห์” ก๊องเข้าไปจับๆ ตัว เขย่าๆ แต่ติณห์ยังนิ่ง “เป็นอะไรป่าววะ”
อยู่ๆ ติณห์ก็ลุกพรวดมา ฮึดด้วยแรงเฮือกสุดท้ายเอาเท้าตวัดรัดตัวก๊อง รัดแน่นมาถึงคอ ก๊องดิ้นพล่าน
“ปล่อยผม ปล่อยๆๆๆ ลุง ช่วยด้วย”
“ฮ่าๆ ไอ้เด็กมะวานซืน แกมันซื่อบื้อจริงๆ แค่นี้ก็เสียท่า ก๊ากๆ”
ท่านเจ้าที่เอาแต่ขำที่ก๊องเสียท่า ไม่ช่วย ก๊องพยายามดิ้นใช้มือปัดป่าย ตีและดันหน้า ดันคางติณห์ วนเวียนใกล้ๆ ตรงสร้อยเขี้ยวเสือไฟนั่นเอง แต่ติณห์รัดแน่นไม่ยอมปล่อย
หมอวรวรรธอ่านกระดาษแผ่นนึงที่มีลายมือยุกยิกตัวเท่าหม้อแกงเขียนว่า “ตามวรรธมา”
“คุณพ่อเอาแต่เรียกหาคุณ ไม่ยอมกิน ไม่ยอมทำอะไรทั้งนั้น แล้วนี่ พ่อก็เขียนอย่างนี้ ก่อนที่จะนิ่งไปฮือๆ”
สุพิชชาสุดกลั้น ร้องไห้โฮ หมอวรวรรธดึงเข้ามากอด ปลอบ
“คุณพ่อของพีช ท่านสบายแล้ว”
“ตาหนู อย่างน้อยคุณพ่อท่านก็เป็นอาจารย์ของคุณ คุณช่วยไปดูใจคุณพ่อ เป็นครั้งสุดท้ายนะคะ”
“ครั้งสุดท้าย อีกแล้วเหรอ”
เนตรศิตางศุ์ยืนมองทั้งคู่อยู่อีกมุมหนึ่งของบริษัท สุพิชชามองผ่านไหล่หมอวรรธไปเห็นเนตรศิตางศุ์ยืนอยู่ เลยรีบแสร้งโผกอดซบหมอวรวรรธทันที ร้องไห้โฮ จนหมอวรวรรธยกมือขึ้นมากอดปลอบ ลูบปลอบใจ เนตรศิตางศุ์กล้ำกลืนข่มอารมณ์หันกลับไป
เนตรศิตางศุ์หันหน้ากลับเข้ามา ไม่อยากมองภาพนั้นพยายามสงบสติอารมณ์ แล้วจึงเพิ่งเห็นว่าญาณิน กรรณาและกรรัมภายืนอยู่ตรงนั้นแล้ว และเห็นว่าเนตรศิตางศุ์มองอะไรอยู่
ภายในห้องที่ขังติณห์ ก๊องตาเหลือกมือปัดป่ายไปเรื่อย ป้วนเปี้ยนอยู่แถวคอของติณห์ จนกระทั่งมือไปเกี่ยวเอาสร้อยเขี้ยวเสือไฟและตวัดสร้อยหลุดออกจากตัวติณห์โดยไม่ตั้งใจ ติณห์ผวาออกจากก๊อง ก๊องรีบคลานหนีห่างติณห์
“ไอ้ลุงยามใจโหด อำมหิต คนจะตายอยู่แล้วยังนั่งหัวเราะอยู่ได้”
“ก็เอ็งซื่อบื้อเองนี่หว่าฮะๆๆ” ท่านเจ้าที่เห็นสร้อยในมือก๊อง “ในมือแกอะไร”
ก๊องยกมือมาดู
“ก็ เขี้ยวเสือไฟ”
“อ๋อ เฮ้ย”
ท่านเจ้าที่กับก๊องหันไปที่ติณห์ พบว่าติณห์เรี่ยวแรงกลับมา ลุกยืนพร้อมจะหนีออกไปแล้ว
“เพนนีจ๋า ดาร์ลิ้งก์มาแล้วววว”
ติณห์จะวิ่งออกจากห้องนั้น ท่านเจ้าที่ร่ายมนต์ให้โต๊ะเข้ามุมแถวนั้นเคลื่อนมาขวางหน้าติณห์ แต่ติณห์กระโดดหลบได้
“ไม่มีอะไรขัดขวางอานุภาพแห่งรักได้”
ท่านเจ้าที่เสกให้ประตูและหน้าต่างทุกบานบริเวณนั้นปิดหมด ติณห์วิ่งชนเข้ากับประตูอย่างจัง ล้มทั้งยืน
“เอ็งรีบ เอาสร้อยคล้องคอเร็ว” ท่านเจ้าที่สั่งก๊อง
“ได้” ก๊องเอาสร้อยคล้องคอตัวเอง
“คล้องคอคุณติณห์สิเว้ย”
“แล้วก็ไม่พูดให้เคลียร์”
ก๊องจะเข้าไปสวมสร้อยให้ติณห์ แต่กลับทะเล่อทะล่าไม่ดูตาม้าตาเรือ ไปพลาดท่าถูกติณห์ที่กำลังซวนเซเพราะจุก ศอกใส่หน้าก๊องอย่างจัง โดยไม่ตั้งใจ
“โอ๊ย”
ก๊องเซไป เลือดกำเดาไหล
“เนตรโอเค”
เนตรศิตางศุ์ชิงพูดขึ้นมา
“โอเค”
“ใช่ โอเคมากๆ เนตรจะไป ไป ทำอาหารให้ทานนะ”
กรรณาจับมือเนตรศิตางศุ์ไว้
“ยัยเนตร ถ้าแกไม่โอเคก็ไม่ต้องฝืนหรอก พวกเราเพื่อนกัน แกรู้สึกยังไงก็ปล่อยมาได้เลย ไม่ต้องกั๊ก”
เนตรศิตางศุ์ปล่อยโฮชุดใหญ่ทันที
“ฮือๆ โฮๆ” เนตรศิตางศุ์โผกอดญาณิน
“ไงล่ะ ไม่ต้องกั๊ก หึๆ” กรรัมภาขำญาณิน
“ผู้ชายห่วยๆ มันล้นโลกจริงๆ ยัยรสก็เจอลูกเจ้าของตลาดหน้าภาชนะหุงต้ม ยัยแก้มก็เจอหมอเสริมอึ๋มหูดำเขรอะ คุณหนูอย่างแกก็ยังจะเจออีก เฮ้ย ผู้ชายดีๆ ที่ไม่เจ้าชู้มันคงสูญพันธุ์ไปพร้อมไดโนเสาร์แล้วจริงๆ ใช่มั้ยเนี่ย ยัยเนตร หยุดร้องไห้ แล้วรีบเลิกคบกับหมอวรวรรธซะ ผู้ชายพรรค์นี้คบไปชีวิตก็มีแต่ตกต่ำ”
“มากไปแล้วกรรณ ไม่ต้องสุดโต่งขนาดนั้นก็ได้มั้ง คิดแบบนี้ ถึงเป็นคนเดียวในกลุ่มที่ไม่มีผู้ชายเข้ามาในวงจรชีวิตเนตร ไม่ต้องไปฟังใครทั้งนั้น ค่อยๆ คิดค่อยๆ ตัดสินใจ เลือกอย่างที่แกอยากจะให้เป็น เพราะนี่คือชีวิตแกเองแต่ก่อนอื่นแกช่วยกั๊กๆ หน่อยได้มั้ย”
เนตรศิตางศุ์สงบลง ผละออกมา ปาดน้ำตา
“เนตรจะไปเลิกคบกับหมอวรวรรธเลิกคบๆ”
ติณห์พยายามกระชากประตูแต่เปิดไม่ออก ติณห์ถอยหลังไปตั้งหลัก ตั้งใจจะวิ่งกระแทกพังประตูออกไป แต่พอจะออกวิ่ง กลับวิ่งไม่ได้ เพราะท่านเจ้าที่ดึงเอวติณห์เอาไว้จากด้านหลัง
“ปล่อย ไอ้อ้วน”
ติณห์สะบัดอย่างแรง ท่านเจ้าที่กระเด็นไป
“ไปไม่ได้”
ก๊องโดดขี่หลังติณห์ล็อกตัวเอาไว้ ติณห์สะบัด ก๊องไม่หลุด ติณห์วิ่งเอาหลังที่มีก๊องกระแทกประตู ก๊องกระอัก ติณห์กระแทก ก๊องน่วมร่วงจากหลังติณห์ไปกองกับพื้น
“เพนนีจ๋า ติณห์จะไปหาแล้วจ้ะ”
ติณห์จะถีบประตูเปิดออกไป วิ่งแล้วจะถีบ แต่ท่านเจ้าที่เสกให้ประตูเปิดก่อนทำให้ติณห์ถีบวืด ติณห์เสียหลัก ล้มคว่ำไปกองอยู่หน้าห้อง ติณห์สะบัดหน้า เงยหน้าขึ้นมองเห็นเท้าผู้หญิงยืนอยู่ข้างหน้า ยิ้มดีใจ
“เพนนี เพนนีมาหาติณห์แล้ว”
ติณห์เงยขึ้นไปเรื่อยๆ กลับกลายเป็นญาณินที่ยืนอยู่ ติณห์ลุกขึ้นยืนประชันหน้ากะญาณิน ตาดุดัน
“คุณติณห์...”
“ยัยมารร้าย...”
ไตรรัตน์รู้เรื่องจากณัฐเดช
“คนที่แย่งพิชไปจากแกคือไอ้หมอวรรธนี่เองเหรอ แล้วแกก็ปล่อยให้ชั้นญาติดีกับมันอยู่ได้ตั้งนาน หนอยแบบนี้มันต้องเจอตื้บ”
“นี่! แทนที่จะช่วยกันสร้างความปรองดอง มาของขึ้นเองแบบนี้ได้ไง” สุคนธรสต่อว่าไตรรัตน์
“ก็ เพื่อนเจ็บ ผมเจ็บกว่า”
“พี่ณัฐยังไม่ได้ว่าอะไรเลยสักคำ นายจะมาเดือดร้อนอะไรแทน จริงมั้ยพี่ณัฐ” สุคนธรสหันมาแต่ณัฐเดชหายไป “อ้าว พี่ณัฐ...”
สุคนธรสกับไตรรัตน์มองไปเห็นณัฐเดชกำลังเดินเข้าไปหาหมอวรวรรธกับสุพิชชาที่กำลังจะออกจากบริษัทไปด้วยกัน
“เฮ้ย พี่ณัฐ” สุคนธรสจะตามแต่ไตรรัตน์ดึงแขนไว้
“ปล่อยเขาเคลียร์กันเถอะคุณ เรื่องมันจะได้จบๆ”
“ชั้นว่ามันจะยิ่งบานปลายนะสิ”
สุพิชชากับหมอวรวรรธเดินมาด้วยกัน ณัฐเดชตะโกนเรียก
“ไอ้หมอ จะไปไหน”
“พี่ณัฐ”
“ก่อนหน้านี้ไม่ถึงชั่วโมง แกยังเจ๊าะแจ๊ะน้องสาวชั้นอยู่เลย แต่ตอนนี้แกกำลังจะควงแฟนเก่าออกไปสวีท แกเห็นน้องสาวชั้นเป็นอะไร”
ในบริษัทขณะนั้นติณห์ก้าวสามขุมเข้าหาญาณิน
“คุณติณห์...คุณจะทำอะไร”
ติณห์ไม่สน เดินเข้าหาญาณินจนถึงระยะประชิด แต่หยุดกึกแล้วหันไปด้านหลังท่านเจ้าที่หยุดกึกเหมือนกัน ในมือท่านเจ้าที่ถือสร้อยเขี้ยวเสือไฟค้างอยู่ เพราะกะจะคล้องคอให้ติณห์ช่วงเผลอ ท่านเจ้าที่ลอยกระแทกฝาบ้านโครมใหญ่ สร้อยหลุดมือ
“โอย ทำไมอาคมมันแรงขนาดนี้ นี่บ้านชั้นแท้ๆนะ โอย”
หลังจากเหวี่ยงท่านเจ้าที่ไปแล้ว ติณห์หันไปมองก๊องตาขวาง
“โอย หน้ามืดวิงเวียน” ก๊องทิ้งตัวสลบทันที
ติณห์หันมาหาญาณิน ญาณินตั้งมั่นในความรักที่จะช่วยติณห์
“แก มารขัดขวางความรักของชั้น”
“คุณอย่ายอมแพ้อาคมของพวกมัน ตั้งสติให้มั่นคุณติณห์”
ญาณินพูดไม่ทันขาดคำ ติณห์ถึงตัวญาณิน สองมือคว้าหมับเข้าที่คอญาณิน ญาณินหายใจไม่ออก ตาเริ่มลอย
ด้านนอกขณะนั้นณัฐเดชถามหมอวรวรรธอย่างเอาเรื่อง
“ว่าไง เห็นน้องสาวชั้นเป็นอะไร”
“พ่อพีชป่วยหนัก ผมแค่จะไปเยี่ยมท่าน” ณัฐเดชอึ้ง
“อ้าว พ่อพีชเป็นอะไร”
“โรคเดิมนั่นแหละค่ะ” สุพิชชาบอก
“พี่ก็รู้จักคุณพ่อของพีชนะ รู้จักดีด้วย ทำไมพีชไม่บอกพี่”
“พี่ณัฐก็รู้แล้วนี่ไงคะ แต่ไม่ต้องไปเยี่ยมหรอกนะคะ แล้วพีชจะบอกพ่อให้ว่าพี่ฝากความคิดถึงนะคะ ไปเถอะค่ะตาหนู อย่าเสียเวลาเลย” สุพิชชารีบตัดบท
“เดี๋ยว”
สุพิชชาหันกลับมา น้ำเสียงเหวี่ยง
“มีอะไรอีกคะพี่ณัฐ”
“พี่ยังมีเรื่องต้องเคลียร์กับไอ้หมอนี่ก่อน เรื่อง เรื่องน้องสาวชั้น” ณัฐเดชหันมาดุใส่หมอวรวรรธ “ไอ้วรรธ น้องสาวชั้นไม่ใช่ตัวฆ่าเวลา ไม่ใช่ตัวช่วยให้แกลืม คนรักเก่า ถ้าสุดท้ายแล้วแกก็จะกลับไปคืนดีกับพีช แกก็ออกไปจากชีวิตน้องสาวชั้น...ไป๊”
“พี่ณัฐ แน่ใจเหรอว่าพี่อยากเคลียร์กับผมเรื่องน้องสาว”
“เออสิ ทำไม”
“ผมว่าพี่อยากเคลียร์กับผมเรื่องพีชมากกว่า ใช่มั้ย”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่” ณัฐเดชรีบปฏิเสธ
“พี่ไม่เคยให้อภัยผม และพี่ก็ไม่เคยลืมพิช พี่ยังรักพิชอยู่ ใช่มั้ย”
ณัฐเดชอึกอัก เสียฟอร์มต่อหน้าสุพิชชา
“ไม่ใช่เว้ย”
ณัฐเดชจะชกหมอวรวรรธ แต่สุพิชชาขวางเอาไว้ ณัฐเดชชะงัก สุพิชชาเข้าผลักณัฐเดช
“พี่เป็นบ้าเหรอไง นิสัยพี่ไม่เคยเปลี่ยนเลย ใช้แต่กำลัง ป่าเถื่อนที่สุด”
สุพิชชาเข้าไปประคองหมอวรวรรธ ณัฐเดชยืนอึ้ง เห็นภาพนั้นยิ่งเจ็บปวด เนตรศิตางศุ์เดินฮึกเหิมเข้ามา ไตรรัตน์ สุคนธรสหันไปมองเนตรศิตางศุ์
“ไปกันใหญ่แล้วงานนี้”
“แล้วเพื่อนคุณหายไปไหนคนนึง?” ไตรรัตน์มองหาญาณิน
“หมอวรวรรธ ฟังนะ”
พอเนตรศิตางศุ์เห็นหมอวรวรรธกับสุพิชชาประคองกันใกล้ชิดก็ต้องผงะเช่นเดียวกับณัฐเดช กลายเป็นช้ำใจ
กรรณา กรรัมภาที่ตามหลังเนตรศิตางศุ์มาต้องหยุดมองตาม สงสารเพื่อน
“คุณเนตร มีอะไรครับ” หมอวรวรรธถาม
“เนตรตัดสินใจแล้ว”
ในบ้านขณะนั้นติณห์บีบคอญาณินจนหน้าเขียว
“ใครขัดขวางความรักของชั้นกับเพนนีต้องเป็นแบบนี้”
ทันใดนั้นไตรรัตน์พุ่งเข้ามารวบเอวติณห์ กระเด็นกันไปทั้งคู่ ญาณินหลุดจากติณห์ได้ทรุดลงกับพื้น ไอโครกๆ
สุคนธรสเข้ามาประคองญาณิน
“เจ๊ ไหวมั้ย”
ญาณินยกนิ้วให้สัญญาณโอเค ไตรรัตน์ลุกขึ้นมาก่อน
“ทำไมโหดร้ายนักล่ะคุณฝรั่ง”
ติณห์ลุกมาไม่พูดพร่ำทำเพลง พุ่งเข้าใส่ไตรรัตน์คืน
“โอ๊ย ” ติณห์ดันไตรรัตน์กระแทกผนังบ้านโครม ไตรรัตน์กอง “ทำไมความรักชั้นมีอุปสรรคมากเหลือเกิน”
“นายไตร จับเขาให้ได้ อย่าให้เขาหนีไปเด็ดขาด” สุคนธรสสั่ง
“ครับผม” ติณห์จะวิ่งหนีแต่โดนไตรรัตน์รวบขาล้มคว่ำลงไปอีก ไตรรัตน์ขึ้นคร่อม
“มาช่วยกันหน่อยซิผมคนเดียวเอาไม่อยู่แน่” พูดจบไตรรัตน์ก็โดนติณห์ถีบกระเด็น “โอ้”
ด้านนอกทุกคนนิ่งฟังเนตร
“ตัดสินใจอะไรเนตร รีบพูดไปเลย”
เนตรรวบรวมความเข้มแข็งอันน้อยนิดกลั้นน้ำตาเอาไว้ เพื่อนๆ ลุ้น หมอวรวรรธลุ้นยิ่งกว่า
“ตาหนู ไปเถอะค่ะ พ่อพีชรออยู่”
“เดี๋ยว ” หมอวรวรรธพูดกับสุพิชชาแล้วหันมาหาเนตรศิตางศุ์ “คุณเนตร”
แววตาหมอวรวรรธอ้อนวอนขอให้ไม่ใช่อย่างที่เขาคิด เนตรศิตางศุ์ยืนอึ้ง ไม่ตอบ
“ไปเถอะค่ะตาหนู ไปค่ะ”
สุพิชชาลากหมอวรวรรธออกไป หมอวรวรรธมองเนตรศิตางศุ์อย่างไม่อยากไปแต่ต้องไป ณัฐเดชมองตามอย่างช้ำใจ เนตรศิตางศุ์ช้ำใจพอกัน ไม่สามารถพูดสิ่งที่คิดออกไปได้ เพราะมันขัดกับหัวใจของเธอเอง
หมอวรวรรธออกรถตามรถสุพิชชาไป เพื่อนๆ เข้ามารุมปลอบเนตรศิตางศุ์ ณัฐเดชเครียดจะเดินเข้าบ้าน
“ชั้นจะไปหาเพนนี”
ทุกคนหันไปมองตามเสียงที่ดังออกมาจากในบ้าน จังหวะนั้นไตรรัตน์ลอยทะลุประตูออกมาจากในบ้าน ติณห์พุ่งตามออกมา
“ไอ้ติณห์”
“คุณติณห์”
ติณห์วิ่งจะออกจากบริษัทซิกส์เซ้นส์ ญาณินและสุคนธรสตามออกมา
“พี่ณัฐจับคุณติณห์เร็ว”
ญาณินตะโกนบอก ณัฐเดชออกวิ่งทันที ติณห์วิ่งหนีขึ้นรถแล้วปิดประตูล็อค สตาร์ทแล้วออกเอี๊ยดดังสนั่น พุ่งทะยานจากหน้าบริษัทฯไปได้ก่อนณัฐเดชจะถึงตัว
สุคนธรสวิ่งกลับมาดูไตรรัตน์ ประคองขึ้นมา
“คุณ มีอะไรหักไหม” สุคนธรสถามอย่างเป็นห่วง
“อก...”
“ห๊า”
“อก...กลัว อกหัก”
สุคนธรสปล่อยไตรรัตน์หงายท้อง ณัฐเดชวิ่งกลับมา
“ตามเร็ว ไปรถพี่กับรถกับรถไอ้ไตร”
สุคนธรสวิ่งเข้ามา
“ไม่ทันแล้วพี่ณัฐ คุณติณห์คว้ากุญแจที่วางอยู่บนโต๊ะไปด้วยทั้งสองคันเลย”
“ปัดโธ่”
“นี่มันโลกแตกหรือไงฮะ”
“รถเราไง”
ญาณินบอกก๊องวิ่งมาพร้อมกุญแจ
“กุญแจอยู่นี่ครับ” ก๊องยื่นกุญแจรถให้ณัฐเดช ไตรรัตน์กระเผลกเข้ามา
“อย่าบอกว่าไปกันหมดด้วยรถคันนี้คันเดียวนะ”
“ไปไม่หมดเหรอ” กรรัมภาถามยิ้มๆ
รถบริษัทซิกส์เซ้นส์แล่นออกไป ในรถอัดกันแน่นเอียดเหลือเพียงก๊องยืนอยู่คนเดียว...หน้าเศร้า
“ทำไมต้องเป็นก๊องอยู่เฝ้าบริษัทอีกแล้ว อึ๋ย”
“อย่าบ่น ชั้นอยู่ตั้งกี่ปีแล้วยังไม่เคยบ่นเลย” ท่านเจ้าที่บอก
ที่บ้านสุพิชชา ทีมแพทย์กำลังดูแลตรวจอาการพ่อของสุพิชชาอย่างเต็มกำลัง สุพิชชาเดินนำหมอวรวรรธเข้ามายืนมอง
“คุณพ่อเป็นยังไงบ้าง”
“ชีพจรต่ำ การตอบสนองน้อย อาการไม่ดีขึ้นเลยครับคุณพีช พวกเราคิดว่า...”
“ค่ะ พีชทราบแล้วค่ะ” สุพิชชาไปหาพ่อข้างเตียง พูดใกล้ๆ “คุณพ่อคะ คุณพ่อต้องสู้สิคะ พีชไม่ให้คุณพ่อยอมแพ้เด็ดขาด เข้าใจมั้ยคะ” น้ำตาสุพิชชาไหล หมอวรวรรธมาจับบ่าปลอบ
“ผมมาหาอาจารย์แล้วนะครับ”
“พ่ออยากเจอตาหนูไม่ใช่เหรอคะ นี่ไงคะศิษย์รักของคุณพ่อมาให้กำลังใจคุณพ่ออีกแรงนึงแล้ว พ่อต้องหายดีนะคะ”
แล้วอยู่ๆ พ่อของสุพิชชาก็ค่อยๆ ขยับมือ ยกขึ้นไขว่คว้า หมอวรวรรธรีบกุมมือนั้นทันที
“ผมอยู่นี่ครับ”
อยู่ๆ สัญญาณชีพจรพ่อสุพิชชาก็ดีขึ้น สุพิชชาดีใจที่เห็นพ่อมีการตอบสนองที่ดี
“คุณพ่อ มีใครอยู่บ้าง เข้ามาดูคุณพ่อที”
พวกทีมแพทย์กลับเข้ามาดูอาการ หมอวรวรรธจะถอย หลีกทาง แต่พ่อสุพิชชาจับมือหมอวรวรรธแน่น ไม่ยอมปล่อย จนหมอวรวรรธแปลกใจและจำต้องยืนให้พ่อสุพิชชาจับมืออย่างนั้น พ่อสุพิชชาบีบมือหมอวรวรรธแน่นไม่ยอมปล่อย หมอวรวรรธและสุพิชชาแปลกใจ
ที่รีสอร์ทริเวอร์มูน ทนายสมชาติถูกจับแช่ตัวอยู่กลางลำน้ำ บริเวณที่น้ำลึกประมาณครึ่งตัว ยังพอทรงตัวยืนได้
ป้าอรวรรณโดนคุมตัวอยู่ริมตลิ่ง เห็นสภาพทนายสมชาติแล้วอยากจะไปช่วยเหลือ
“ปล่อยชั้น ปล่อยคุณทนาย” เสี่ยปิยะพันธ์ เพ็ญนภา เปรมยืนดูผลงานอย่างพอใจ
“พวกแกมันชั่วที่สุด ทำเสน่ห์ใส่คุณติณห์ แล้วยังซ้อมคนไม่มีทางสู้อีก”
“แก แกรู้เรื่องทำเสน่ห์ด้วยเหรอ”
เพ็ญนภาถามอย่างแปลกใจ ป้าอรวรรณอึ้งที่เผลอพูดออกไป
“ ก็...”
“แสดงว่าพวกแกรู้เรื่องนี้หมดแล้ว ยัยยิปซีต้องขโมยติณห์ไปเพราะจะเอาไปทำพิธีถอนเสน่ห์ใช่มั้ย...” เพ็ญนภากระชากตัวป้าอรวรรณมา บีบแขน
“ใช่มั้ย”
“ไม่รู้ ชั้นรู้แต่ว่า เมื่อไหร่ที่คุณติณห์ได้สติ หล่อนตายแน่”
“อ๊าย” เพ็ญนภาจับตัวป้าอรวรรณมาเขย่าคาดคั้น “ชั้นไม่ยอมบอกชั้นมาว่าติณห์อยู่ที่ไหน บอกมาๆ”
“เพ็ญนภา ใจเย็นๆ ก่อน” เสี่ยปิยะพันธ์ปราม แต่เพ็ญนภาฉุนขาด “คุณออ พวกคุณมันก็แค่ลูกจ้าง มาทำงาน รับเงิน แล้วก็กลับบ้านไป เพราะงั้นอย่าหาเรื่องเจ็บตัวดีกว่า”
“ผมไม่ เป็นอะไร อย่าบอก” ทนายสมชาติบอก ป้าอรวรรณอ้ำๆ อึ้งๆ
“ชั้น...เอ่อ...”
เปรมเหลืออด แหวกเสี่ยปิยะพันธ์ออก
“โอ๊ย! ปากแข็งแบบนี้ต้องให้ไอ้เปรมมันง้างปากเอง” เปรมเข้ามายืนเผชิญหน้าป้าอรวรรณ แล้วเงื้อมือจะหลังแหวน “จะพูดไม่พูด ห๊า”
“อย่า”
ทนายสมชาติร้องอย่างตกใจ ป้าอรวรรณหลับตาปี๋ แต่เปรมกลับยั้งมือไว้
“ฮ่าๆ หลับตาซะตีนกาโผล่เชียว คนอย่างไอ้เปรมมันไม่รังแกหญิงแก่หรอก” เปรมหยิบก้อนหินขึ้นมา “ระดับไอ้เปรมต้องแบบนี้”
เปรมเอาก้อนหินเขวี้ยงใส่ทนายสมชาติ หินไม่โดนหัวทนายสมชาติ เปรมหน้าเสีย เสี่ยปิยะพันธ์ เพ็ญนภา ลูกน้องมองมาทางเปรม
จบตอนที่ 14
อ่านต่อตอนที่ 15 พรุ่งนี้ เวลา 09.30น.