The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 6
หาญ กล้า สมุน วิ่งเข้ามา ตุ้บๆๆๆ มาหยุดหอบแฮ่กๆๆในสำนักหมอผีสมคิด หมอผีสมคิดมีอีกาเกาะมือ กำลังให้อาหารกาป้อนทีละคำ กาจิกกินอย่างเอร็ดอร่อย
“พวกแกหนีใครมา...หรือว่ามีใครเห็นตอนพวกแกวางเพลิง...หา”
“ปละ...เปล่าๆๆๆครับ มือชั้นนี้ จะมีใครเห็นได้”
“แต่เผาไปๆ ใจมันก็อดหายไม่ได้ครับ ตลาดหญิงจำเริญ มันคืออู่ข้าวอู่น้ำของพวกเรา...ไม่ใช่เหรอครับ”
“ก็แค่เผาเป็นส่วนๆ จิ๊บๆ คนเดือดร้อนไม่ถึงร้อยหรอกน่ะ เดี๋ยวพวกมันก็ดับทัน แถมพวกตลาดมันมีประกันด้วย มันก็จะได้ตังค์ชดเชยเยียวยากันไป”
หมอผีสมคิดส่งกาเข้ากรง
“แล้วอาจารย์จะเผาหา...เอ๊ย...เผาให้มันเกิดอะไรขึ้นมาครับ”
“ไอ้โง่! เรื่องนี้จะทำให้นังเจ๊หญิงร้อนใจไง หมู่นี้ดูพวกมันชักจะชิลด์ๆ กันเกินไปแล้ว...เกิดเคราะห์หามยามร้ายขึ้นมากระทันหันแบบนี้ เดี๋ยวมันก็จะรีบมาเช็คดวง...ทีนี้ละ...ฉันจะปั่นหัวมันให้มันไปขโมยพระที่ห้อยคอผัวกับลูกของมันออกให้หมด แล้วให้ผีไปเล่นมันให้หนัก คราวนี้แหละ มันจะหันมาซื้อเครื่องรางของเรา...แหม...อุตส่าห์ปั้นมากะมือตั้งหลายอัน ขายแค่อันละล้าน...เพิ่งขายออกไป 3 อันเอง...เซ็งเป็ดว่ะ”
“แหม...อาจารย์นี่ฉลาดล้ำเลิศ ขี่ตั๊กแตนจับช้างชัดๆๆ ฮ่ะๆๆ”
ทั้งหมดหัวเราะกัน
ที่ตลาดหญิงจำเริญรถดับเพลิงกำลังดับเพลิงอยู่ เริ่มจะควบคุมเพลิงไว้ได้แล้ว ไตรรัตน์กอดคอณัฐเดชยืนกระซิบร้อนใจมากๆ
“เฮ้ยๆฟังก่อนซีวะ ฉันสาบานได้ ว่าฉันไม่ได้ทำอะไรยัยนั่น แค่เปลี่ยนเสื้อผ้าให้แต่พอยัยนั่นตื่นขึ้นมาก็ตามฆ่าฉัน หาว่าฉันไปกระทำชำเราเจ้าหล่อน”
“ก็แล้วแกทำหรือเปล่าวะ เป็นลูกผู้ชาย ทำอะไรก็ต้องยอมรับซีวะ”
“เอ๊ะไอ้นี่...อีกคนนึงแระ...ก็บอกว่าไม่ได้ทำๆ แค่มองเฉยๆ”
“ไอ้ไตร”
“อึ๋ย! แค่มองแว๊บๆ ไม่ได้จงใจ หุ่นยังกับไม้กระดานแบบนั้น ฉันไม่สนใจหรอก แกเป็นพี่ของเพื่อนเค้า แกช่วยเคลียร์ให้หน่อยสิ”
แล้วไตรรัตน์ก็ต้องช็อคเมื่อได้ยินเสียงเจ๊หญิงทักขึ้น
“อ้าวหนูรสมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ยะ?”
ไตรรัตน์กับณัฐเดชหันไปดู...เห็นเจ๊หญิงกับเสี่ยจำเริญเดินเข้าไปหากลุ่มสุคนธรสที่เผอิญเดินมาเจอกันเข้า
สีหน้าสุคนธรสก็ไม่สู้ดี แต่พยายามฝืนยิ้มยกมือไหว้
“เอ่อ...สวัสดีค่ะ ครอบครัวเจ๊กับเสี่ยเป็นอะไรรึปล่าวคะ?”
“ขอบใจจ้ะที่เป็นห่วง พวกเจ๊ไม่เป็นอะไรหรอก แค่ตลาดเสียหายแล้วก็ขวัญหนีดีฝ่อ”
“แล้วหนูล่ะ เมื่อคืนไปกินข้าวกับอาตี๋ของเสี่ย เป็นไงบ้าง เล่าให้เสี่ยฟังหน่อยสิหึๆๆ”
“เมื่อคืนเหรอคะ...เมื่อคืน...”
สุคนธรสมีอาการควันออกหูทันที ไตรรัตน์เห็นอย่างนั้น กลัวสุคนธรสจะฟ้องพ่อแม่เลยรีบเดินปรี่เข้าไป
“หยุดๆๆๆ...หยุดพูดเดี๋ยวนี้ สุคนธรส” ไตรรัตน์เข้ามาปิดปากสุคนธรส “ไม่จริงครับ...พ่อ แม่...ไม่จริง ผมสาบานได้”
“อะไรไม่จริงวะ ไอ้ตี๋”
“นั่นแน่ะๆๆ อะไรกัน งุบงิบๆ ซุบซิบกันสองคน”
สุคนธรสดึงมือไตรรัตน์ออก
“นี่คิดจะเอาตัวรอดเหรอ อย่าหวังเลย นายตายแน่ ไอ้มารสังคม มานี่เลย”
สุคนธรสกระชากคอเสื้อพาไตรรัตน์เดินไป
“เฮ้ย...เบาๆ”
ทำเอาเจ๊หญิง เสี่ยจำเริญและชาวบ้านที่เห็นตกอกตกใจสนใจว่ามีเรื่องอะไรกัน
“ตายแล้ว...2 คนนั่น ทำไมรุนแรงกันอย่างนั้นล่ะ?”
“เหมือนเสื้อผ้าขาดๆ ด้วยนะ”
พวกกรรัมภา เนตรสิตางศุ์ ก๊องได้แต่มองหน้ากันอ้ำอึ้ง แต่กรรณาไม่เงียบ
“ก็ลูกชายของเจ๊น่ะสิ ทำมิดีมิร้าย...”
“ยัยกรร...ให้สองคนนั่นเคลียร์กันเองดีกว่าน่า”
ณัฐเดชตามมาเบรกไว้ทัน กรรณาหยุดพูดอย่างขัดใจ
สุคนธรสดึงคอเสื้อพาไตรรัตน์เดินมา
“จะลากผมไปในกองไฟเลยไหม”
“อย่างนายต้องพาไปนรกอย่างเดียว ไอ้โจรล่าพรหมจรรย์”
ไตรรัตน์กระชากมือสุคนธรสออกจากคอเสื้อ
“โว้ย! ช่างสรรหาคำมาด่าจริงๆ ผมไม่ได้ทำอะไรคุณนะ คุณเข้าใจผิด ผมเล่าให้ไอ้ณัฐฟังหมดแล้ว”
“หา...กินในที่ลับ แล้วไขในที่แจ้งเหรอ...ไอ้เลวเฮ้ย”
สุคนธรสโกรธลืมตัวปล่อยหมัดเข้าเต็มตาไตรรัตน์ จนลมคว่ำลงไปกับพื้น สุคนธรสลงไปคร่อมร่างไตรรัตน์มือข้างหนึ่งกระชากคอเสื้อไตรรัตน์ อีกข้างกำหมัดเงื้อพร้อมจะต่อย
“นี่นายคงจะไปคุยโขมงให้พี่ณัฐฟังว่าได้ฉันเป็นเมียแล้วสิ ฉันจะฆ่านาย...ฉันจะฆ่านาย”
สุคนธรสโวยลั่นพร้อมสาวหมัดใส่ไตรรัตน์ไม่ยั้ง ขณะที่ไตรรัตน์ก็ยกแขนป้องตัวเอง
“เฮ้ย...ยัยนี่บ้าเลือดไปแล้ว...ผมเจ็บนะ...หยุด...ผมบอกให้หยุด”
ไตรรัตน์พูดพลางใช้สองมือจับแขนทั้งสองข้างของสุคนธรสไว้
“ไม่หยุด...ผมปล้ำคุณตรงนี้จริงๆ ซะดีมั้ย”
ไตรรัตน์ใช้พลังกำลังที่เหนือกว่าพลิกขึ้นคร่อม
“อ๊าย...ไอ้บ้ากาม...เมื่อคืนยังไม่พออีกเหรอ”
ณัฐเดชรีบวิ่งเข้ามาห้าม
“หยุด...พอที...ไอ้ไตร...ยัยรส พี่บอกให้หยุด!”
ทั้งสองเอะอะโวยวายกัดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่กลางตลาด เสียงผู้คนฮือฮา เปลี่ยนมาสนใจทั้งคู่แทนไฟที่กำลังไหม้
“ว้ายคุณพระช่วย...”
“ไม่ไหวแล้ว...อาตี๋ของเรานี่มันน่าอายจริงๆ แบบนี้พ่อแม่จะเอาหน้าไปไว้ไหนกันล่ะเว้ย”
ทั้งสองหยุด...เงยหน้าขึ้นมอง เห็นทุกคนรวมทั้งไทยมุงมายืนดูอยู่เต็มก็ตกใจ สุคนธรสช็อคมองไปที่หน้าทุกคน รีบผลักไตรรัตน์ผงะออกจากตัวไป ลุกขึ้นเข้ามาหาพวกเนตรสิตางศุ์
“นี่...พวกแก...มีใครได้ยินเรื่องที่ฉันคุยกับนายไตรไหม?”
“เค้ารู้กันทั้งตลาดแล้วย่ะ”
“ว่าแก...กะนายไตร”
“เมื่อคืน...ก็ยังไม่พอ”
“แปลว่าอะไร...อะไรไม่พอเหรอ...”
“หา!”
สุคนธรสอ้าปากค้าง
“ไม่หาล่ะ...บอกให้หยุดไม่หยุดไง...นี่ล่ะผลลัพธ์ของการใช้อารมณ์มากกว่าสมอง”
สุคนธรสจ๋อยสนิท”””เผี๊ยะ! เสี่ยจำเริญเบิร์ดกะบาลไตรรัตน์
“โอ๊ย!”
“ลื้อรังแกผู้หญิงเหรอ ไอ้ลูกพ่อแม่ไม่สั่งสอน”
เจ๊หญิงฟาดพัดใส่สามีจนสะดุ้ง
“เธอว่าชั้นเหรอ”
“ปล่าวๆ ปากมันพาไป”
“อ๋อ...นี่ลูกไม่กลับบ้านเมื่อคืนเพราะอย่างนี้เหรอ” เจ๊หญิงพูดกับไตรรัตน์
“โว้ย...โดนทั้งขึ้นทั้งล่องเลย ซวยเพราะยัยนี่แท้ๆ เชียว”
ไตรรัตน์พึมพำมองไปที่สุคนธรสที่ยืนพึมพำอย่างสยดสยองๆ
“ฮือ...ชื่อเสียงฉันป่นปี้หมดแล้ว”
สุคนธรสดึงหน้ากากปิดปากขึ้นมาใส่เพื่ออำพรางใบหน้าของตนเอง
เย็นวันเดียวกันนั้นที่รีสอร์ทติณห์ อาหารเต็มสำรับวางอยู่ตรงหน้า ทว่าญาณินนั่งกอดอกไม่แล ทนายสมชาติสบตาป้าอรวรรณอย่างไม่สบายใจ
“คุณหนูไม่รับข้าวเย็นสักนิดเหรอคะ”
“ไม่...”
“คุณญาณิน ไปพักเถอะครับ...ผมจะบอกคุณติณห์ให้...คุยกันพรุ่งนี้ดีกว่า จะได้ใจเย็นๆ กันทั้งสองฝ่าย”
ติณห์เดินเข้ามา ถือแก้วกาแฟจิบมาด้วย
“ว่าไง...ญาณิน ผมให้เวลาคุณทบทวนความผิดหลายชั่วโมงแล้วนะ จะสารรูปได้หรือยัง”
“สารภาพครับ”
“นั่นแหละ สารภาพ...คุณหาอะไรกันแน่ คิดว่าแกรนด์ปาซ่อนอะไรไว้ เงิน ทอง ลายแทง แผนที่...”
“ไม่ใช่ๆๆ ชั้นจะไปอยากได้ของพวกนั้นทำไม”
ติณห์มองทนายสมชาติ ป้าอรวรรณ แล้วกระแอมเบาๆ
“เชิญคุณป้าออและคุณทนายออกไปก่อนครับ ผมอยากอยู่กะญาณิน...ตามลำพัง”
ญาณินลุกพรวด
“ไม่ ชั้นไม่อยู่ ป้าออ...ทนายสมชาติ อย่าไปคะ อย่าไป๊”
เพ็ญนภาเข้ามาอีกคน
“อะไรคะ เอะอะอะไรกันอีก ติณห์ ส่งตัวชีให้กำนันพงษ์เถอะ”
“เฮ้อ ทุกคนครับ ผมขอร้อง ผมต้องการสอบสวนญาณิน...ตามลำพัง ทุกคน ออกไป”
“คุณไล่เพนนีเหรอ ติณห์”
“เพนนี คุณกลับไปก่อน”
“ไม่คะ เพนนีไม่ไป”
“คุณไม่ไป...ทุกคนไม่ไป...ผมไปเอง...ยู Come on!”
ติณห์คว้าแขนญาณินดึงเธอออกไป ทำเอาญาณินตกใจเหว๋อ
“อุ้ย!”
“ว้ายๆ...จะพาคุณหนูของฉันไปไหนน่ะ”
“ติณห์”
ติณห์หันขวับมา
“ห้ามใครตามมาเด็ดขาด ไม่งั้นเรื่องมี”
ทุกคนหยุดกึก
“...มีเรื่องต่างหาก”
“นั้นแหละ”
“อึ๋ย”
ว่าแล้วติณห์ก็ดึงมือญาณินเดินออกไป เพ็ญนภายืนกำมือแทบกรี๊ด
ที่ใต้ต้นไม้ว่างๆ มีเสียงหัวเราะคิกคักของเด็กๆ ดังก้อง วิญญาณกุมาริกาค่อยๆ ปรากฏขึ้นกำลังกระโดดเชือกเล่นสนุกสนาน โดยที่ปลายเชือกทั้งสองด้านเหวี่ยงไกวเอง ไม่มีใครเหวี่ยงให้ ติณห์จูงมือญาณินผ่านมา ญาณินแทบละลายกับมืออุ่นๆ ที่จับข้อมือเธอออยู่
“เอ่อ...ฉะ...ฉันเดินเองได้ คุณไม่ต้องลากจูงฉันหรอก ฉันไม่ใช่หมาพุดเดิ้น ปล่อย”
“หื๊อ? มีเรื่องแว้ว”
กุมาริกาหยุดกระโดด ยืนมอง เชือกก็หยุดเหวี่ยง ร่วงตกลงกับพื้นทันที
“ผมจะให้โอกาสคุณอีกครั้ง Tell me the truth!คุณจะเอาสมุดบัญชีของแกรนด์ปาผมไปทำอะไร?”
“ฉันก็จะให้โอกาสคุณฟังอีกครั้งเหมือนกัน ฉันอยากหาพยานบุคคลมายืนยันความบริสุทธิ์ของคุณหลวงว่าไม่ได้โกงแผ่นดินจนฆ่าตัวตายหนีความผิด”
“พยานที่ไหน...Who? what? Where? When? Why? how?”
“ฉันเจอชื่อนายสังข์กับนายเกิดในสมุดบัญชี ทนายสมชาติบอกว่าเป็นมือขวากับมือซ้ายของคุณตาคุณตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ เราน่าจะเริ่มสืบสาเหตุการตายจากคนสนิทสองคนนี้.....หรือคนที่ยังมีชีวิตอยู่นอกจากตาพุ่ม”
ขณะที่ญาณินกำลังอธิบาย ทันใดนั้นร่างจางๆ ของหลวงพิชัยภักดีก็ปรากฏขึ้นข้างๆ กุมาริกา
“ไอ้สังข์...ไอ้เกิด...ทาสที่ซื่อสัตย์ของฉัน ฉันลืมมันไปเสียสนิท”
กุมาริกาหันมามอง
“แก่แล้ว ความจำเลอะเลือน มิน่าตัวเองตายยังไง ถึงไม่รู้”
“แล้วเธอรู้เหรอ ว่าเธอตายยังไง”
“แฮ่...ไม่รู้เหมือนกันอ่ะ”
หลวงพิชัยภักดีจิ้มหัวกุมาริกา
“หึ ยัยเด็กความจำเสื่อม”
สิ้นคำหลวงพิชัยภักดี ก็มีอีกาบินผ่านมาบริเวณนั้นหลายตัว หลวงพิชัยภักดีเงยมองเริ่มรู้สึกได้ถึงสิ่งผิดปกติ
แล้วเสียงโวยวายของติณห์ก็ดังขัดขึ้น
“นายสังข์ทองนายเกิดอะไรของคุณ คุณมีหน้าที่สร้างรีสอร์ทผมก็ทำไป อย่ามายุ่งเรื่องแกรนปาผม เข้าใจไหม”
“ฉันก็ไม่อยากจะยุ่งเรื่องคุณหรอก แต่คุณหลวงขอร้องฉัน”
“stop เรื่องพูดกับแกรนด์ปาซะที คุณบ้า...คุณเครซี่...ผมชักจะทนคุณไม่ไหวแล้วนะ เดี๋ยวก็อดใจไม่ไหว”
ติณห์ทำท่าเดินเข้าหาญาณิน ญาณินใจหายวาบ ก้าวถอยหลัง
“คะๆๆคุณจะทำอะไรฉัน อย่าเข้ามานะ ช่วยด้วย”
“คุณจะตะโกนทำไม...เดี๋ยวทุกคนก็เข้าใจผิดว่าผมปล้ำคุณหรอก ผมบอกให้หยุด”
ติณห์เข้าไปจับตัวญาณิณ มืออุดปาก ญาณินแทบละลาย ออกแรงดันอกติณห์ผงะออก แล้ววิ่งหนีไป
“คูณจะวิ่งไปไหน...เราต้องคุยกันให้รู้เรื่องnow! เฮ้...ยู Come back!”
ติณห์ฉุน รีบวิ่งตามไป ไม่ได้สังเกตว่าบริเวณโดยรอบมีอีกาเกาะเต็มไปหมด
“ฮิๆๆ เค้าวิ่งไล่จับกันแล้ว หนุกจังเลย ไปคุณตา...เราตามไปวิ่งเล่นกับเค้าเร็ว”
กุมาริกาจูงมือหลวงพิชัยภักดี ดึงจะพาไป แต่หลวงพิชัยภักดียืนสีหน้าตระหนกตกใจรู้สึกถึงสิ่งผิดปรกติ
“อย่าเพิ่งนังหนู! เธอได้ยินเสียงนั่นไหม๊?”
กุมาริกานิ่งฟังเสียงเหมือนกองทัพม้ากำลังควบมาเป็นกองทัพมาแต่ไกล พร้อมบรรยากาศรอบตัวที่สดใสเปลี่ยนเป็นไปมืดทึบลง เกิดลมม้วนตัวพัดแรงไปทั่ว กุมาริกาตกใจ
“แย่แล้วคุณตา”
“หนูไปบอกแม่ญาณินให้พาไอ้ติณห์กลับมาเดี๋ยวนี้”
“ค่ะ”
กุมาริกาหายวับไปทันตา
ที่สำนักหมอผีสมคิดเวลานั้น หมอผีสมคิดกำลังนั่งพนมมือปากท่องคาถาพะงึมพะงำทำพิธีไสยศาสตร์ใหญ่ มีหีบโลหะขนาดเล็กที่ใส่ควายธนูเหล็กวางอยู่บนถาดโลหะตรงหน้า...เปลวเทียนกลุ่มใหญ่หลายสิบเล่มโบกวูบไปมาราวกับในห้องมีวิญญาณร้ายเคลื่อนไหวไปมา
หมอผีสมคิดหยิบโถเงินเทของเหลวสีแดงข้นเหมือนเลือดลงไปบนหีบ เพียงชั่วครู่...ควายธนูภายในถูกเร่งเร้าให้กระหายเลือดมากขึ้น เสียงมันพุ่งชนกล่องโลหะขลุกขลักๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ อยู่ภายใน หมอผีสมคิดลืมตาขึ้น ปากออกคำสั่ง
“ไปฆ่ามัน ไอ้หน้าบาก”
ญาณินวิ่งหนีติณห์เยาะๆ มาตามป่า หันไปมองข้างหลังไม่เห็นติณห์ตามมา เลยหยุดยืนยกมือทาบหน้าอกหอบพิงต้นไม้
“คนบ้า... ไม่รู้หรือไงว่าตัวเองเป็นผู้ชาย แล้วเค้าเป็นผู้หญิง มาถูกเนื้อต้องตัวโดยพละการได้ไง”
ญาณินยกสองมือจับแก้มที่แดงกล่ำของตัวเอง แล้วอยู่ๆ ก็สะดุ้งเพราะกุมาริกาโผล่มาไม่ทันตั้งตัว
“ว๊าย...เธออีกแล้วนะกุมาริกา”
“เจ๊จีจ้า รีบกลับกันดีกว่า หนูรู้สึกไม่ค่อยดีเลย”
“มีอะไร”
“หนูได้ยินเสียงเหมือนพวกผีตายโหง”
“ติณห์...”
ทันใดจิตญาณินก็ดำดิ่งลงสู่สมาธิเพราะเสียงของหลวงพิชัยภักดี
หลวงพิชัยภักดียืนจูงมือกับกุมาริกาอยู่ต่อหน้าจิตของญาณิน
“ไปตามหลานชั้นมาเร็วแม่ญาณิน...เดรัจฉาน...ฉันได้ยินเสียงมันกำลังมุ่งมาทางนี้”
“ห่ะ...เดรัจฉาน! หมายถึงตัวอะไรเหรอ?”
“หนูเองก็ไม่รู้ ได้ยินแต่เสียงมันกำลังใกล้เข้ามาแล้ว มันมีพลังมหาศาล พี่รีบหนีไปซี”
“มันจะมาเอาชีวิตเธอ”
“เฮ้คุณ!”
เสียงติณห์ดังขึ้นขัดเสียก่อน ติณห์กำลังใช้สองมือจับไหล่ญาณินที่ยืนหลับตาสองมือจับแก้มอยู่
“เป็นอะไรไป? ทำไมมายืนหลับอยู่นี่...คู้ณณณ เป็นอะไร?”
ญาณินลืมตาผึงขึ้น
“ปละ...ปล่าว! ฉันไม่ได้เป็นอะไร เรารีบไปจากที่นี่กันก่อนเถอะ คุณหลวงมาเตือนฉันว่ากำลังจะมีอันตราย”
“แกรนด์ปาผมอีกแล้วเหรอ! คุณเอาแต่พูดถึงแกรนด์ปาผมagain and again…and again…and again”
“นี่คุณ...นี่ไม่ใช่เวลามาเถียงกันนะ รีบไปเร็ว”
ญาณินดึงมือติณห์ฉุดให้ไป ติณห์ฝืนไม่ยอมไป
“ผมไม่ไป จนกว่า...”
ติณห์ชะงักเมื่อสายตามองไปเห็นเงาสีดำลอยวนเวียนอย่างรวดเร็วในป่าข้างหน้า ที่สำคัญเขามองเห็นดวงตาสีแดงก่ำคู่หนึ่งกำลังมองมา สัตว์ชนิดหนึ่งแน่นอน มีเขาโง้งน่ากลัว สีแดงของตาข้างหนึ่งมีรอยเส้นบากกลางผ่าลงมา
ญาณินเห็นสายตาเขาแล้ว ความกลัวก็หล่นปราดไปทั่วตัว เธอค่อยๆ หันกลับไปมอง
“อย่าขยับ! ชิ้ววว... มีตัวอะไรไม่รู้ มันกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในป่านั่น”
“หา!”
เจ้าสัตว์สี่เท้าเริ่มตะกุยขาหน้าและพ่นลมออกจากจมูกฟืดฟ่าด
สิ้นเสียงถามของติณห์ ร่างกุมาริกาก็ปรากฏขึ้นข้างหลังญาณิน พร้อมกับส่งเสียงกรี๊ดลั่นโหยหวน วิญญาณหลวงพิชัยภักดีโผล่ขึ้นอีกด้านหนึ่งตะโกนบอกติณห์
“ไอ้ติณ์หนีเร็ว!”
“วิ่ง”
ติณห์เหมือนกับได้ยิน กระตุกข้อมือญาณินพาออกวิ่งไปทันทีพร้อมกับตะโกนลั่น
“runnnnnn…”
เดรัจฉานตัวนั้นก็พุ่งเขาโง้วทะยานออกมาจากป่าพร้อมๆ กับอีกานับสิบที่บินออกมา สองขาหน้าเล็บแหลมราวปีศาจของมันจิกลงกับพื้น มันมีสองหัว หน้าผากตรงกลางถูกตะปูอาคมตอกสะกดไว้แผลปริบากเป็นทางยาว...มันพ่นลมออกจากจมูกฟึดฟัด ริมฝีปากมันเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด ดวงตามันแดงกล่ำ มีแต่ช่วงตัวครึ่งนึงเป็นเหล็กดำเหมือนเหล็กไหล ช่วงหลังเป็นกลุ่มควันของวิญญาณหางยาวเฟื้อย หลวงพิชัยภักดีเห็นตัวมันชัดๆ ถึงกับอ้าปากค้าง
“ห่ะ...ควายธนู!”
ตาแดงกล่ำ ของมันหันมองตามหลังติณห์กับญาณินที่วิ่งอยู่ข้างหน้า ตะกุยสองขาหน้าแล้วออกวิ่งห้อตามไป กุมาริกากรีดร้องอีกครั้ง
“วิ่งเร็วเจ๊จีจ้า”
ติณห์จูงมือญาณินพาวิ่งหนีมา ด้านหลังเห็นร่างทะมึนมหึมาของควายธนูวิ่งตะกุยขาหน้าไล่กวดมาอย่างเร็ว ญาณินเหลียวไปมอง
“อ๊าย...มันตามเรามาแล้ว”
“วิ่งเร็วขึ้นอีกสิคุณ ควิกลี่”
“นี่ฉันก็วิ่งเร็วที่สุดแล้วนะ”
“เร็วขึ้นอีก...เร็วๆ...” ญาณินกัดฟันสปีดขาเต็มที่ แต่แล้วมันก็ไล่มาทันข้างหลัง มันพุ่งเข้าจะขวิดญาณิน “โดด”
ติณห์ดึงญาณินกระโดดข้ามต้นไม้ล้มที่ขวางทางอยู่ ทั้งคู่กระโดดข้ามลำไม้ใหญ่พร้อมๆ กับที่ความธนูขวิดโดนต้นไม้นั้นอย่างจัง ต้นไม้แตกกระจาย ติณห์กับญาณินลงพื้นล้มกลิ้งไปด้วยกันทั้งคู่ มันขวิดพลาดเป้าญาณินและติณห์ลุกขึ้นวิ่งต่อแบบไม่คิดชีวิตได้ ส่วนตัวมันมีเศษไม้เสียบคาเขาอยู่ข้างหนึ่ง เสียงมันคำรามอย่างโกรธก่อนมันจะสะบัดเศษไม้หลุดออกจากเขา มันยืนพ่นลมออกจากจมูกจะวิ่งตามญาณินไปอีกครั้ง ร่างหลวงพิชัยภักดีโผล่ไปขวางหน้ามันไว้ ทำให้มันชะงัก
“ใครส่งให้แกมาทำร้ายหลานชั้นกะหนูญาณิน...กลับไปหาไอ้คนชั่วซะ...อย่ามาทำร้ายคนดี”
ควายธนูไม่ฟัง มันคำราม กระโดดเข้าขวิดหลวงพิชัยภักดีพร้อมกับพ่นไฟนรกออกจากสองรูจมูกมันเข้าเผาผลาญหลวงิชัยภักดี ทำให้วิญญาณหลวงพิชัยภักดีร้อนราวกับถูกไฟโลกันต์
“อ๊าก.....”
วิญญาณหลวงพิชัยภักดีต้องหายตัวหลบทางให้มันวิ่งผ่านไป
วิญญาณหลวงพิชัยภักดีมาโผล่นั่งฟุบอยู่ที่ใต้ต้นไม้ ขณะที่วิญญาณกุมาริกาโผล่มาจับแขนหลวงพิชัยภักดีหมับ
“เป็นอะไรไหมคุณตา?”
“ไอ้ควายนั่นมันพ่นไฟได้ ราวกับไฟจากนรกโลกันต์ หนูญาณินกับหลานฉันอาจจะไม่รอด”
“ได้ไง! หนูถูกส่งมาพิทักษ์พี่ญาณิน หนูไม่ยอมให้มันทำอะไรพี่ญาณินหรอก คุณตาไม่ต้องห่วง วันนี้กุมาริกาจะขี่ควายธนูให้ดู อึ๊บ”
ว่าแล้วกุมาริกาก็กลั้นหายใจ ร่างแตกกระจายระยิบระยับราวกับพลุ ก่อนจะรวมด้วยกันเป็นลูกดอกธนู พุ่งตามควายธนูไป
ติณห์ที่จูงมือญาณินวิ่งหนีกระหืดกระหอบอยู่แค่เอื้อม อยู่ๆ รองเท้าสานของญาณินก็พาเธอลื่นไถลพาร่างติณห์กลิ้งลงเนินไปทั้งคู่
“อ๊ายยย…”
“อ๊ากกก…”
ร่างทั้งสองกลิ้งหลุนๆ ลงเนินมานอนแผ่หลาอยู่ใกล้กัน ติณห์ยันตัวขึ้นดูญาณิน
“คุณเป็นอะไรไหม?”
ญาณินยันตัวลุกจะตอบ แต่ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นควายธนูยืนอยู่บนเนินที่ทั้งคู่ตกลงมา
“มะ...มันมาแล้ว!”
ติณห์หันไปมอง ตาค้าง
“มันตัวอะไรน่ะ?”
สองขาหน้าควายธนูตะบปพื้นพาตัวกระโจนเหินหาว ก้มพุ่งเขาแหลมโง้วเข้าใส่ หมายจะขวิดญาณินให้ขาดเป็นสองท่อน วินาทีนั้นติณห์เอาตัวเข้าคร่อมป้องกันญาณิน ฟุบกอดเธอไว้แน่นตามสัญชาติญาณ
จังหวะที่ควายธนูจะพุ่งหลาวถึงตัวทั้งคู่ วิญญาณกุมาริกาก็โผล่มาเปลี่ยนจากธนูมาเป็นกุมาริกากระโดดขี่คอมันพร้อมกับดึงสองเขารั้งมันไว้
“หยุดนะไอ้ควายบ้า”
ควายธนูหน้าหงายตามแรงดึงของกุมาริกา สองขาหน้าของมันลงสู่พื้นอย่างผิดเป้า โครม!! ดังสนั่น พื้นดินแตกกระจาย หน้ามันจมไปกับพื้นดิน กุมาริกากระเด็นกลิ้งหลุนๆ มันพยายามสะบัดหัวพร้อมกับคำรามลั่น ขณะที่ติณห์หันไปมองอย่างงงๆ เห็นร่างควายธนูดิ้นสะบัดเหวี่ยงไปมาแต่ไม่เห็นกุมาริกา ขณะที่กุมาริกาตะโกนบอกญาณิน
“เจ๊จี้จ้าหนีไป หนูจะต้านมันไว้ก่อน ย้ากซ์!”
กุมาริกาพุ่งไปดึงหนังตามัน จิ้มนิ้วไปที่ตาสองข้าง มันส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด สะบัดเหวี่ยงคอเต็มแรง ร่างกุมาริกาแทบหลุดลอย
“เหว๋ออออ”
ดีที่มือข้างหนึ่งของกุมาริกาคว้าเขามันไว้เหนียวแน่น กุมาริกาลอยไปมาตามแรงเหวี่ยงของมัน
“กุมาริกา”
วิญญาณหลวงพิชัยภักดีปรากฏขึ้นหลังญาณินกับติณห์ ตะโกนบอกกุมาริกาด้วยความเป็นห่วง
“ระวังนังหนู!”
“มัวแต่ห่วงหนูอยู่ได้ รีบพาพี่จี้จ้าหนีไปดิคุณตา...เร็ว...ก่อนที่หนูจะเอามันไม่อยู่”
หลวงพิชัยภักดีหันรีหันขวางหาทางให้ติณห์หนี แล้วก็นึกขึ้นได้ว่ามีกระท่อมต้นแบบก่อสร้างอยู่ที่มุมไกล
“ใช่แล้ว...กระท่อม พาหนูญาณินหนีไปที่นั่นเร็วไอ้ติณห์”
ติณห์เหมือนจะได้ยิน...นึกขึ้นได้
“เออใช่...กระท่อมที่สร้างเกือบเสร็จ! Go! Go! Go!”
ติณห์พยุงญาณินที่เจ็บหัวเข่าวิ่งกระเผลกไป หลวงพิชัยภักดีหายตัวตามไป
ที่หีบเหล็กตรงหน้าหมอผีสมคิดมีควันดำพวยพุ่งออกมา มีเสียงดิ้นขลุกขลักอยู่ภายใน
“ห่ะ! เกิดอะไรขึ้นกับไอ้หน้าบาก”
หมอผีสมคิดตั้งสมาธิ ทำพิธีต่อ เร่งพลังให้ไอ้หน้าบาก ควันดำที่พุ่งออกมากลับเข้าไปในหีบเหล็กเหมือนเดิม
ขณะนั้นควายธนูเหวี่ยงร่างกุมาริกาถูกสะบัดลอยไปมาอย่างน่าหวาดเสียว กุมาริกาเหวี่ยงตัวลงมายืนอยู่หน้ามัน เสกเรียกของเล่นเป็นดาบสตาร์วอร์มาฟันสู้กับเขาของมันดังราวกับเสียงดาบฟันกันในหนังจีนกำลังภายใน แต่ดาบของกุมาริกาถูกมันพ่นไฟจากจมูกใส่จนละลาย กุมาริกาตกใจมองดาบในมือที่หดหาย
“อุ้ย...ดาบหายไปไหนแล้วอ่ะ” มัวแต่ตกใจกุมาริกาเลยเผลอให้ควายธนูขวิดเข้าที่แขน เหวี่ยงร่างเล็กๆ ปลิวไปกระแทกกับต้นไม้ “โอ๊ย!”
ญาณินที่กำลังวิ่งตามติณห์ไปยังกระท่อมรับรู้ได้ หันไปมอง
“กุมาริกา!”
แต่กลับเห็นเจ้าเขาโง้ววิ่งตะกุยตามมาอย่างรวดเร็ว
“กระท่อม!! วิ่ง! วิ่ง!”
ติณห์เร่งญาณินไปยังกระท่อมที่เห็นอยู่ข้างหน้าอีกไม่ไกล แต่เห็นญาณินกระเผลกวิ่งไม่เร็วได้ดั่งใจ ติณห์จึงคว้าเอวญาณินพาตัวเธอขึ้นพาดไหล่พาวิ่งไปซะเอง
“มานี่!”
“เหว๋อ!”
ติณห์กัดฟันหอบญาณินวิ่งสุดฝีเท้า ขณะที่ไอ้เข้าโง้วก็ควบไล่จี้เข้ามาติดๆ...หลวงพิชัยภักดียืนกำหมัดเชียร์หลานตัวเองราวกับกำลังเชียร์แข่งขันอะไรสักอย่าง
“เร็วเข้าไอ้ติณห์ อย่าให้เสียชื่อหลานหลวงพิชัยภักดี เร็วซีโว้ย...เร็ว!”
ติณห์กัดฟันกรอดสาวเท้าแบกญาณินวิ่ง
“อ๊ากกก”
“เร็วเข้าคุณ...เร็ว...มันจะขวิดแล้ว”
“เร็ว! เร็วอีก...ไอ้ติณห์...จะถึงแล้ว”
ติณห์วิ่งมาถึงกระท่อม ไม่มีเวลาเปิดประตู ติณห์กะวิ่งชนประตูเข้าไป หลวงพิชัยภักดีใช้พลังเท่าที่มี
“ย๊ากกกก...”
ประตูกระท่อมเปิดผ่างออก ติณห์และญาณินร้องเสียงหลง
“ว๊าย...อ๊าก...”
ทั้งคู่หลุดเข้าไปในกระท่อม กลิ้งไม่เป็นท่า
“โอ๊ย...ลุ้นจนจะเป็นลมแล้ว...” หลวงพิชัยภักดีบอกอย่างเหนื่อยหอบ
ติณห์ ญาณินเห็นไอ้เขาโง้วพุ่งจะตามเข้ามา แต่วินาทีนั้นญาณินคว้ายันต์ที่สุคนธรสให้ไว้ติดตัวออกมาจากกระเป๋าเล็กที่สะพายติดตัวออยู่ออกมาแปะไปที่ประตูทันควัน แล้วปิดประตูทันที โครม! เสียงเขามันกระแทกชนประตูดังสนั่น แต่ยันต์แผ่อาคมเป็นรัศมีสีทองรอบประตู ทำให้มันเข้ามาไม่ได้ และถูกอาคมทิ่มแทงกลับทุกครั้งที่มันชนประตู มันคำรามร้องลั่นอย่างโกรธและเจ็บปวด
ติณห์ยืนหอบตัวโยนมองประตูที่ถูกกระแทก อย่างแทบไม่เชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น จนกระทั่งเสียงกระแทกหยุดไป ได้ยินแต่เสียง ฝีเท้ามันวิ่งตะกุยวนเวียนอยู่รอบบ้านอย่างไม่ยอมเลิกรา
ติณห์แหวกผ้าม่านที่หน้าต่างมองออกไป เห็นมันเคลื่อนไหวอยู่ข้างนอก หน้าผากมันแตก ตาสองข้างบาดเจ็บเพราะฝีมือกุมาริกา เขาโง้วข้างหนึ่งหัก
“มันยังไม่ยอมไป!”
“แต่มันเข้ามาทำอะไรเราไม่ได้หรอกค่ะ ยันต์นั่นป้องกันเราไว้”
“หา!”
ติณห์มองไปที่ยันต์ตรงประตู ยิ่งมึนตึ๊บเข้าไปใหญ่
“ไอ้ตัวประหลาดนั่น กับยันต์ มันอะไรกันเนี่ยะ What the heck?”
The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 6 (ต่อ)
ฝาพับหีบเหล็กเปิดกระเด้งออกเห็นควันพวยฟุ้งออกมา พร้อมควายธนูเหล็กกระเด็นตกลงที่พื้น เขาข้างหนึ่งหักหมอผีสมคิดตะลึงมอง มือสั่นเทายื่นไปหยิบตุ๊กตาควายธนูขึ้นมาดู
“เป็นไปไม่ได้ ไม่เคยมีใครต้านทานอิทธิฤทธิ์ของไอ้หน้าบากได้” หมอผีสมคิดลุกขึ้นโกรธ เขวี้ยงของแตกกระจาย “ใครวะ...ใครมันเป็นจอมขมังเวทย์วะ กูถึงทำอะไรมันไม่ได้”
ติณห์แหวกผ้าม่านที่หน้าต่างมองออกไปข้างนอก ยังคงได้ยินเสียงควายธนูวิ่งวนเวียนทำเสียงฟึดฟัดอยู่ข้างนอกแต่ไม่เห็นตัว
“มันยังเฝ้าเราอยู่ ผมได้ยินเสียงแต่ไม่เห็นตัว”
ติณห์พูดบอกญาณินที่นั่งพักเหนื่อยอยู่ในห้อง แต่ญาณินไม่ได้สนใจฟังเขาเพราะกำลังคุยอยู่กับกุมาริกา
“เป็นไงบ้างกุมาริกา เจ็บมากไหมยัยหนู?”
ญาณินเห็นร่างกุมาริกาสะบักสะบอม เนื้อตัวเปื้อนดินมอมแมม นั่งกอดเข่าอยู่ตรงหน้า
“เจ็บสิพี่ ไอ้ควายธนูมันแข็งแรงมาก มันสร้างมาจากเหล็กของตะปูตอกโลงศพเจ็ดป่าช้า กับเหล็กขนันพรายใช้รัดศพ หนูสู้มันไม่ได้เลย”
“แค่นี้ก็เก่งมากแล้ว ถ้าไม่มีหนู พี่กับคุณติณห์คงถูกมันขวิดตายไปแล้ว”
ติณห์ได้ยินเสียงญาณินพูด เลยถามออกไป แต่ตายังจ้องมองออกไปที่หน้าต่าง
“ห่ะ คุณพูดอะไรกับใครนะ?”
“ตอนนี้หนูบาดเจ็บ หนูรีบกลับไปหาพี่รสนะ ให้พี่รสช่วยรักษาหนู ไม่ต้องห่วงพี่เดี๋ยวทางนี้พี่จัดการเอง”
กุมาริกาพยักหน้า
“อืม... ดูแลตัวเองดีๆ นะเจ๊จี้จ้า แล้วหนูจะรีบกลับมาช่วยพี่ หนูไปนะ”
แล้วร่างกุมาริกาก็หายวับไป
“เราคงต้องหลบอยู่ในนี้สักพัก มือถือก็ไม่ได้เอามา ติดต่อให้ใครช่วยก็ไม่ได้ รอจนกว่าไอ้ควายธนูนั่นจะไป”
“What? เมื่อกี้คุณเรียกไอ้ตัวที่อยู่ข้างนอกว่าอะไรนะ?”
“ควายธนูค่ะ”
“ควายธนู บัฟฟาโล่แอโร่วเหรอ ฮ่ะๆๆๆ”
“หึ ไม่เชื่ออีกตามเคยล่ะสิ ถ้างั้น ไหนคุณบอกมาสิว่ามันเป็นตัวอะไร?”
“I don’t know…มันอาจจะเป็นสัตว์ร้ายอะไรสักอย่างในป่าเมืองกาญจน์เป็นสัตว์พิสดารที่สุดในโลก เท่าที่ผมเคยเห็นกับตามา บางทีมันอาจจะเป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์สมัยเดียวกับช้างแมมมอธที่ยังหลงเหลืออยู่ในโลกก็ได้”
ญาณินถอนใจ
“คุณจะคิดว่ามันเป็นตัวอะไรก็ช่างคุณเถอะ แต่สำหรับฉัน มันคือควายธนู”
ติณห์สะอึกที่ถูกเบรก แล้วตาก็เหลือบไปเห็นหัวเข่าของญาณินมีแผลถลอกเลือดไหล
“นั่นหัวเข่า...คุณเลือดออกนี่” ญาณินก้มลงดูแผลตัวเอง “รอเดี๋ยวนะ”
ติณห์เดินหายเข้าห้องไป ญาณินแปลใจว่าเขาจะไปไหน?
ติณห์เดินเข้ามาในห้องด้านใน ที่มีเตียงนอนหมอน ผ้าห่มอยู่ชุดหนึ่ง เขาเปิดตู้หายาหรือสำลีทำใส่แผลให้ญาณิน แต่ไม่พบอะไรเลย
“สำลงสำลีอะไรก็ไม่มี”
ติณห์ยืนคิด ก่อนจะก้มลงมองเสื้อเชิ้ตตัวเอง
ญาณินกำลังก้มลงมองแผลตัวเอง จะใช้มือตัวเองเช็ดเลือดที่ไหลซิบ แต่ติณห์ออกมาห้าม
“Stop! มือคุณไม่สะอาด เอาไปเช็ดแผลได้ไง”
“ก็ไม่มีอะไรเช็ดนี่ ไม่เป็นไรหรอกน่า ดีกว่าปล่อยให้เลือดมันแห้งอยู่อย่างนี้” ญาณินก้มลงจะใช้มือเช็ดแผลอีก แต่ติณห์เอามาจับมือหยุดญาณินเอาไว้ ว่าแล้วติณห์ก็แกะกระดุมเสื้อเชิ้ต ญาณินช็อค “นั่นคะ...คุณจะทำอะไร...ทำไมต้องถอดเสื้อ?”
“ไม่ถอดเสื้อ ผมจะทำได้ไง”
“หา...”
ญาณินมองติณห์ถอดเสื้อเชิ้ตออกเหลือแต่เสื้อกล้าม เห็นกล้ามเป็นมัดๆ ทำเอาญาณินเหงื่อแตกซิก
เริ่มหายใจไม่ออก ติณห์ถอดเสื้อเสร็จก็ฉีกเสื้อออกเป็นชิ้นๆ
“ฉีกเสื้อทำไม คุณจะเอาไว้มัดอะไร?”
“มัดอะไรกันคุณ ผมจะซับเลือดให้ ในบ้านนี้ มีเสื้อผมที่สะอาดสุด”
“เฮ่อ...โล่งอก”
“หื๊อ...คุณโล่งอกอะไร?”
“ปล๊าว! ซี๊ด...เจ็บๆ เบาๆ สิคุณ คนนะไม่ใช่คอนกรีต”
“อ๋อ...ซอรี่...ผมลืมไปว่าคุณเป็นคนเซ้นซิทีฟ”
ติณห์กัดยิ้มๆ ญาณินค้อนขวับ แต่ก็แอบยิ้มประทับใจที่ติณห์ทำแผลให้ วิญญาณหลวงพิชัยภักดีกำลังยืนมองติณห์พันแผลที่เข่าให้ญาณิณอย่างพอใจ
“น่าขอบใจไอ้ควายธนูตัวนั้น ที่ทำให้สองคนนี้ได้ใกล้ชิดกัน หึๆๆๆ”
ทางด้านไตรรัตน์กับสุคนธรส ทุกคนมาตกลงกันที่บ้านเสี่ยจำเริญ ไตรรัตน์นั่งเครียด เสี่ยจำเริญกับเจ๊หญิงมีสีหน้ารู้สึกผิดแทนลูกชาย ผิดกับเนตรศิตางศุ์ กรรัมภา กรรณา ก๊อง ที่นั่งกินอาหารกันอย่างอร่อย สลับกับเงยมาฟัง มองทางนั้นที ทางนี้ที เหมือนดูแข่งเทนนิส
“ในฐานะที่ฉันเป็นแม่ ฉันต้องขอโทษหนูรสแล้วก็เพื่อนๆ ของหนูด้วย ที่ฉันเลี้ยงลูกไม่ดีมันถึงได้เจ้าชู้ชอบชิงสุกก่อนห่ามแบบนี้”
“แม่!”
“เงียบนะ! แกนั่งเฉยๆ ไปเลยอาไตร ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น”
ไตรรัตน์จำต้องเงียบ
“เฮ่ย”
“เพื่อแสดงความรับผิดชอบ อั๊วจะให้อาไตรแต่งงานกับหนูรส”
“หา! ว่าไงนะ”
สุคนธรสกับไตรรัตน์ถามออกมาอย่างตกใจ เจ๊หญิงหันไปใช้พัดฟาดไตรรัตน์ผัวะ เพื่อนๆ สำลักอาหารกันเป็นแถว ณัฐเดชกุมขมับ
“แกไม่ต้องมาหาอาไตร ลูกผู้ชายทำอะไรก็ต้องรับผิดชอบ ไม่งั้นหนูรสจะเสียหายได้พ่อแม่เค้าจะว่ายังไง ถ้าแกไปทำลูกสาวเค้าท้องแล้วไม่รับผิดชอบ”
“ตะๆๆ แต่ว่า หนูยังไม่ได้ท้องนะคะเจ๊”
“แล้วจะรอให้มันท้องก่อนแต่งหรือไงหนู ไม่ได้ๆ ฉันยอมไม่ได้ ต้องรีบแต่งงานกันก่อน”
เจ๊หญิงดึงหูไตรรัตน์
“โอ๊ย...”
“ดูสิ...หนูรสเขาดีแค่ไหน ถ้าเป็นแม่เมื่อก่อนนะ รับรองว่าแกเละไปแล้ว”
“เออจริง...ป๊าเคยเละมาแล้ว”
ไตรรัตน์กุมหัว เซ็งสุดขีด
“แต่หนู...เอ่อ...คือหนูไม่ได้รักลูกชายเจ๊นะ”
“ผมก็ไม่ได้รักยัยทอมเหมือนกัน”
“ฉันไม่ใช่ทอม”
“เอาล่ะๆ ไม่ต้องเถียงกัน เดี๋ยวอยู่กันไปก็รักกันเองแหละ แล้วถ้าลูกชายอั๊วเกเรไม่ยอมไปขอขมาพ่อแม่ของหนู ฉันจะตัดมันออกจากกองมรดก” เสี่ยจำเริญหันไปทางณัฐเดช “คุณตำรวจ...ช่วยลงบันทึกเป็นพยานไว้ด้วยนะว่าทางอั๊วยินดีรับผิดชอบทุกอย่าง”
“เอ่อ...ได้ครับ ผมจะเป็นพยานให้” ณัฐเดชสวมรอยดัดนิสัยทั้งคู่
“พี่ณัฐ! รสไม่นะ”
ณัฐเดชเข้ามากระซิบกับสุคนธรส
“เอาเถอะรส...เค้าเสนอมาก็เก็บไปคิดดู แล้วค่อยมาตกลงกันอีกที”
“ไอ้ณัฐ ชั้นไม่...”
ณัฐเดชเข้าไปกอดคอไตรรัตน์กระซิบ
“เอาน่าไอ้ไตร...เออออห่อหมกไปก่อน ถ้าไม่อยากถูกตัดออกจากมรดก แล้วแกกับยัยรสคอยมาพูดจาตกลงกันดีๆ”
“ก็ได้...ก็ได้! ฮึ๋ย”
กลางดึกคืนนั้นที่บริษัทซิกซ์เซ้นส์ ผีเจ้าที่กำลังร่ายรำไปรอบๆ ตัวกุมาริกา
“ผีฟ้าเอย..พวกเราเต้นรำ ผีฟ้าเอย พวกเราเต้นรำ”
“พอเหอะ น้า..ตัวเองเป็นผีแล้วยังมาเรียกผีที่ไหนอีก”
“ก็ผีฟ้าเค้าเป็นหมอ ฉันน่ะ รักษาไม่เป็น ก็ต้องเรียกพวกมืออาชีพมารักษาหล่อนสิยะ”
“น้าไม่มีเวทย์มนตร์อะไรดีๆ เหรอ” ผีเจ้าที่ส่ายหัว
“กุมาริกา...บาดแผลของเจ้าน่ะ มาจากอาวุธร้ายของผู้ทรงเวทย์ ต้องใช้คาถาระดับบัตรพลาตินั่มเท่านั้น ถึงจะแก้ได้ คาถาของน้าน่ะ มันแค่ระดับบัตรเงิน”
“เมื่อไหร่พี่รสจะมาซะที ฉันเจ็บ...เจ็บมาก...เจ็บจะตายอยู่แล้ว...โอย...น้าเจ้าที่ ทำไมมันมืด มืดเหลือเกิน หนูหนาว...หนู...หรือว่า...หนูกำลังจะตาย”
“ม่าย...ไม่นะ ไม่จริง ชั้นไม่เชื่อ กุมาริกาต้องไม่ตายๆๆ”
สุคนธรสเดินบ่นโวยวายกลับเข้ามา
“ไม่มีทาง เป็นตายยังไง ฉันก็ไม่แต่ง”
“ไม่แต่งได้ไงยัยรส ในเมื่อเธอกับเค้ามีอะไรกันแล้ว”
“มีอะไรกันเหรอค้า...” ก๊องล้อเนตรศิตางศุ์
“ชริ” เนตรศิตางศุ์ผลักก๊อง
“ก็ผมไร้เดียงสานินา”
“โธ่เว้ย” สุคนธรสนั่งลง กุมหัว
“ถ้าแกไม่อยากแต่งก็ไม่ต้องแต่ง ผู้หญิงต้องเข้มแข็งไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอย่าได้แคร์ ถ้าแกท้อง พวกเราจะช่วยกันเลี้ยงลูกแกเอง เจ้าหนูน้อยๆ จะมีแม่ห้าคน ให้ความอบอุ่นแก่เค้า”
“แล้วแกจะยอมให้นายไตร ได้ยัยรสไปฟรีๆ งั้นเหรอ”
“ของฟรีไม่มีในโลกเฟ้ย ฉันจะเอามันเข้าคุก”
ก๊องเดินไป เอาแว่นดำ เอาหมวกแก๊ปมาใส่ให้สุคนธรส
“เอ้า ใส่ซะพี่ เวลาทีวีมาทำข่าวที่โรงพัก จะได้ไม่มีคนจำได้ อย่าลืมซ้อมท่านี้นะ” ก๊องจับสุคนธรส ทำท่าชี้มือ “สมมุติ ผมเป็นนายไตร พี่ต้องชี้มาแบบนี้”
“ไอ้ก๊อง”
สุคนธรสหันไป กระชากหมวก แว่น โยนไป แล้วเหวี่ยงหมัดใส่ก๊อง ก๊องหลบวูบ
“เหว๋อออ”
สุคนธรสมองไปเห็นกุมาริกานั่งฟุบอยู่ ร่างกายบอบช้ำ
“กุมาริกา! ไปโดนอะไรมา”
“หนูกับเจ๊จี้จ้าถูกควายธนูตัวเบ้อเร่อไล่ขวิด” ทุกคนตกใจ
“อะไรนะ...ควายธนูเหรอ?”
“แล้วเจ๊จี้จ้าเป็นยังไงบ้าง ได้รับอันตรายไหม๊ บอกมาซี”
ก๊องหันมองงง
“ควายธนูอะไร พวกเจ๊กำลังพูดกับใครอ่ะ?”
“เงียบน่าเจ้าก๊อง”
“โชคดีที่เจ๊อยู่กับนายฝรั่งคนนั้น เค้าพาวิ่งหนีหลบเข้าเรือนทันแล้วเจ๊ก็เลยแปะยันต์ของพี่รสกันมันไว้ที่ประตู”
สี่สาวถอนใจเฮือกใหญ่
“โธ่...ยัยน้องหนูของพี่ ขอบใจที่ช่วยพี่ญาณินไว้นะ มามะหนูมาพักผ่อนได้แล้วเหนื่อยมาทั้งวัน”
สุคนธรสยื่นมือแบไป ร่างกุมาริกาวูบเป็นกลุ่มควันกลายมาเป็นตุ๊กตาเด็กผมจุกอยู่บนมือสุคนธรส
“เฮ้ย” ก๊องขยี้ตา “มาได้ไง ฉันตาฝาดไปป่ะเนี่ยะ”
“เออ...แกตาฝาด”
ทุกคนเป็นห่วงญาณิน
สุคนธรสจัดอาหารและขนมอย่างดีใส่พาน พร้อมยาใส่แผล ผ้าก๊อซ ถวายต่อหน้าตุ๊กตากุมาริกาที่นำมาวางไว้บนหิ้ง แล้วพนมมือ บริกรรมคาถางึมงำๆ พักใหญ่
“กุมาริกา...พี่เอาขนมนมเนยที่หนูชอบมาให้แล้วนะ มากินซะ แล้วอย่าลืมทำแผล กินยาด้วยล่ะ จะได้หายเร็วๆ” สุคนธรสลูบเบาๆ ที่ตุ๊กตา
สุคนธรสถวายของเสร็จ เดินออกมาจากห้อง เนตรสิตางศุ์ กรรณา กรรัมภานั่งกลุ้มกันอยู่
“รส...ฉันห่วงเจ๊จี้จ้าจังเลยอ่ะ ติดอยู่ในกระท่อมกับนายติณห์กลางดึก ไม่รู้จะเป็นยังไงบ้าง”
“มียันต์ฉันแปะอยู่...ยังไงความธนูก็เข้าบ้านไม่ได้ ตอนนี้ก็ดึกแล้ว กว่าเราจะขับรถไปถึงก็อีกนาน รอจนกว่าจะสว่าง พอพระอาทิตย์ขึ้น ไอ้ควายธนูก็หมดฤทธิ์เอง”
“ห่ะ แปลว่าจะให้ยัยญาณินค้างอยู่กับนายติณห์ในกระท่อมทั้งคืนเหรอแกไม่กลัวว่าจะเกิดเหตุซ้ำรอยเหมือนแกกับนายไตวายนั่นเหรอยัยรส”
สุคนธรสอึ้งไปเลย
“แกก็...ผู้ชายมันคงไม่ตกมันพร้อมกันหรอกย่ะ”
“ควายธนู....ฉันอยากรู้นักหมอผีซาตานคนไหนมันปล่อยของแบบนี้มาไล่ฆ่าเพื่อนเรา”
สุคนธรสนึกแค้น
ติณห์เดินไปเดินมาในกระท่อมในชุดเสื้อกล้าม ขณะที่ญาณินนั่งอยู่ หัวเข่าพันแผลด้วยเสื้อของติณห์ แอบมองติณห์อย่างพิจารณา พอติณห์หันมาญาณินก็จะทำเป็นหันไปอีกทาง
หลวงพิชัยภักดีโผล่มาตรงกลางแต่ไม่มีใครเห็น มองญาณิน เห็นอาการญาณินที่แอบมองติณห์
“หลานข้าพเจ้า ก็ต้องเสน่ห์แรงเหมือนข้าพเจ้าสิ” หลวงพิชัยภักดีแว่บไปโผล่ข้างๆ ติณห์ “เฮ้ย ไอ้ติณห์เอ๊ย ได้อยู่กะสาวสวยสองต่อสองในกระท่อมเปลี่ยวแบบนี้ ชายฉกรรจ์อย่างหลาน ควรทำอะไร...”
แต่แล้วอยู่ๆ ติณห์ก็หันมามองญาณิน ญาณินเขินๆ รีบหลบตา มองไปทางอื่น แต่พอหันกลับมามองติณห์ทีไร ติณห์ก็ยังคงจ้องเธออยู่อย่างนั้นไม่วางตาจนญาณินแปลกใจ
“มองทำไม คิดอะไร”
“ผมกำลังคิดว่า...จะทำอะไรดี”
“ฮ้า” ญาณินถอยออก ปิดหน้าอก “นายคิดจะทำอะไรชั้น อย่านะ”
“ตกใจทำไม...ผมกำลังคิดว่าจะจัดการกับไอ้ตัวข้างนอกยังไง...คุณเป็นอะไร...เข้าใจว่าอะไร” ติณห์ถามอย่างคาดคั้น ญาณินเกือบหลุดปากพูด
“ชั้นก็คิดว่า...”
“ว่า...” ติณห์รอฟัง
“ช่างมันเถอะๆ แต่นายไม่ต้องอวดเก่ง คิดทำอะไรเด็ดขาด...อยู่ในนี้ รอจนฟ้าสาง แล้วมนต์ที่ปลุกเสกไอ้ควายธนูมันก็จะเสื่อมไปเอง” ญาณินกำชับ
“ผมต้องติดแหง็กอยู่ในนี้ทั้งคืน กับคุณน่ะเหรอ”
“ทำไมยะ...ชั้นสิต้องกังวล” ญาณินถามอย่างโมโห ติณห์ทำท่าจะเดินออกไป “นั่นนายจะไปไหน”
“ผมจะไม่ทนหลบอยู่ในนี้ทั้งคืน เพราะสัตว์ป่าตัวเดียวหรอก คุณขาเจ็บรออยู่ในนี้ ผมจะออกไปดู ว่ามันไปหรือยัง”
ญาณินดึงติณห์ไม่ให้ออก แล้วยืนขวางประตูไว้
“ไม่ได้นะ ห้ามออกไป”
“ผมไม่เป็นอะไรหรอกน่ะ”
“มันไม่ใช่สัตว์ป่า มันคือควายธนู เป็นควายผี ที่ถูกหมอผีชั่วร้ายส่งมา มันอันตรายมากและมันจะไม่หยุด จนกว่าพระอาทิตย์จะขึ้น หรือไม่ก็จนกว่านายจะตาย...หัวเด็ดตีนขาดยังไงชั้นก็ไม่ให้นายออกไป”
“เดี๋ยวผีคน เดี๋ยวผีควาย มันอะไรกันเนี่ย”
“คุณติณห์...เชื่อชั้นเถอะนะ ชั้นขอร้อง”
ญาณินจริงจังจนติณห์ใจอ่อน ต้องยอมอย่างเสียไม่ได้
“ไม่ต้องออกไปน่ะดีที่สุดแล้ว ข้างนอกมันนรก แต่ข้างในนี่สิ...สวรรค์รำไรๆ” หลวงพิชัยภักดีบอกแต่ติณห์ไม่ได้ยิน
ขณะนั้นเพ็ญนภาอยู่ที่รีสอร์ทและกำลังวีนใส่ป้าอรวรรณ
“อะไรกันยะ ติณห์อยู่ที่ไหน พวกแกต้องรู้สิ จะไม่รู้ได้ไง”
ป้าอรวรรณอยู่กับทนายสมชาติ กำลังรอญาณินกับติณห์กลับมา
“คุณสมชาติ ชั้นกลัว ชั้นรู้สึกไม่ค่อยดี ถ้าคุณติณห์จับคุณหนูไปขังไว้ จะทำยังไง”
“ขัง? ทำไมต้องเอาคุณญาณินไปขังด้วย” ทนายสมชาติถามอย่างแปลกใจ
“คุณติณห์อาจจะมีความแค้นอะไรคุณหนูอยู่ หรือไม่ก็อาจจะแค้นคนอื่น แต่จับผิดตัว... ดันมาจับคุณหนู เอาไปขังที่เกาะร้าง ห่างไกลผู้คน ให้อยู่กับลิงชิมแปนซี...คุณหนูจะถูกกลั่นแกล้ง ทำร้าย ทารุณ ป่าเถื่อน เป็นที่ระบายความแค้น ให้เขาลงทัณฑ์ บัญชา ให้สมอุราให้สาแก่ใจ”
“โว้ย... หยุดเพ้อเจ้อซะที ติณห์สิน่าห่วง ไม่รู้ว่าเสียท่าให้ยัยแม่มดไปแค่ไหนแล้ว ถ้านังยิปซีมันทำอะไรติณห์ ติณห์คงไม่ขัดขืน...กรี๊ด”
ทันใดมือถือป้าอรวรรณดัง ป้าอรวรรณดูเบอร์แล้วรีบรับสาย
“คุณรส...ตายแล้วๆๆ ค่ะ คุณญาณินแย่แล้ว...”
ที่บริษัทซิกซ์เซ้นส์สุคนธรสกำลังคุยโทรศัพท์กับป้าอรวรรณ
“ป้าออคะ...หยุดก่อนค่ะ ฟังรสพูดก่อน...” สุคนธรสทำเสียงเฉียบขาดมั่นใจจนป้าอรวรรณต้องหยุดพูด “ยัยนิน ปลอดภัยดีค่ะ”
ป้าอรวรรณโล่งอก
“ฮ้า เฮ้อ คุณพระคุณเจ้าช่วย...เอ๊ะ แล้วคุณรสรู้ได้ไงคะ”
“กุมาริกามาบอกหนูค่ะ มีคนส่งควายธนูมาทำร้ายยัยนินกับคุณติณห์ค่ะ” สุคนธรสรีบพูดก่อนป้าอรวรรณจะโวยวายอีก “แต่...ยัยนินมียันต์ของหนู เลยปลอดภัยดี แต่ตอนนี้ทั้งสองคนต้องหลบอยู่ภายในสถานที่ปิดที่มีผ้ายันต์คุ้มกันค่ะ ยังออกมาไม่ได้...ป้าออไม่ต้องห่วงนะคะ แล้วก็ไม่ต้องออกตามหาด้วย เดี๋ยวจะเป็นอันตราย เข้าใจมั้ยคะ”
เพ็ญนภากับทนายสมชาติเดินเข้ามาอีกด้าน
“ค่ะ...แล้วคุณญาณินต้องหลบอยู่ในนั้นนานแค่ไหนล่ะคะ”
“ก็จนกว่าพระอาทิตย์จะขึ้นค่ะ”
“เช้าเลยเหรอคะ...แล้วคุณหนูนินจะรอดเหรอคะ”
“รอดสิคะ ต่อให้ควายธนูมาเป็นฝูง ยันต์ยี่ห้อสุคนธรสก็เอาอยู่ค่ะ”
“ป้าไม่ได้ห่วงเรื่องควายค่ะ ป้าห่วงเรื่องคน”
“คน?”
“หนุ่มสาววัยเจริญพันธุ์ ไปแอบหลบในที่ลับตา...สองต่อสอง...ป้ารู้ดีว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น มันจะหวิวๆ ใจสั่น เหงื่อแตก ร้อนๆ รุ่มๆ มันหักห้ามใจตัวเองไม่ได้ แล้วสุดท้ายก็...ป้ารู้ ป้าเคยมาเยอะ”
สุคนธรสวางสาย เป็นห่วงญาณิน
“ไอ้รีสอร์ทนั่นมันสนามรบชัดๆ”
เนตรศิตางศุ์ กรรัมภา กรรณายืนล้อมฟังอยู่
“แล้วเจ๊ของเราจะเอาอยู่ไหมอ่ะ เราตามไปช่วยไหม”
“ไม่ต้องหรอกยัยแก้ม ควายธนูมันจะหมดฤทธิ์ในไม่กี่ชั่วโมงนี้แล้ว”
“ใช่...เจ๊ญาณินเก่งที่สุดในพวกเรา แล้วผ้ายันต์หลวงปู่ก็แกร่งที่สุด จริงไหมรส...”
ป้าอรวรรณวางสาย แต่พอหันมาก็เจอเพ็ญนภายืนอยู่
“ติณห์อยู่กับนังปีศาจเหรอ ในรีสอร์ทนี้มันจะมีที่ให้คนไปหลบแอบอะไรซักกี่ที่กัน อย่านึกนะว่าชั้นจะตามไม่เจอ”
เพ็ญนภาของขึ้นทันที รีบหันเดินออกไป ฉับๆๆๆ ป้าอรวรรณกระวนกระวายไม่รู้จะห้ามยังไง พอดีหันไปเห็นทนายสมชาติ
“คุณสมชาติ ไปห้ามคุณเพนนีที อย่าให้แกไปตามคุณติณห์” ทนายสมชาตินิ่ง “คุณสมชาติ”
“คุณออเคยติดเกาะกับผู้ชายสองต่อสองด้วยเหรอครับ” ป้าอรวรรณอึ้งๆ พูดไม่ออก “แถมมีลิงด้วย”
ทนายสมชาติมีท่าทางผิดหวังมากๆ
ส่วนที่กระท่อมติณห์นั่งครุ่นคิดที่เตียง หลวงพิชัยภักดีนอนกระเด้งๆ อยู่ที่เตียง
“มีเตียงด้วย หนานุ่มมากเลยไอ้หลานชาย ไปพาแม่ญาณินมาพักผ่อนกันก่อน...เร็วๆ”
ติณห์เหลือบมองไปเห็นกองพวกอุปกรณ์ช่าง เช่น ท่อนเหล็ก ประแจ เสียม จอบ เกรียง ฯลฯ ติณห์คิดอะไรบางอย่างได้ เดินเข้าไปหยิบเสียมขึ้นมาแล้วโยนออกไปนอกหน้าต่าง เสียมปักไปกับดินที่พื้นด้านนอก หลวงพิชัยภักดีมองติณห์อย่างงงๆ แปลกๆ
“ทำอะไรของมัน”
ติณห์หันเดินไปที่ประตู ซึ่งญาณินนั่งเฝ้าขวางประตูอยู่
“ถอยไปเลย ชั้นไม่ให้นายออกไปแน่”
“คุณ...เชื่อใจกันบ้าง ผมบอกว่าไม่ออกไปก็คือไม่ออกไป เพราะถ้าผมคิดจะออกไปจริงๆ ผมปีนหน้าต่างก็ได้”
“หน้าต่างก็ห้ามปีน”
ติณห์มีแววตาดื้อดึง ท้าทาย หันเดินกลับไปที่หน้าต่าง ญาณินรีบตามห้าม
“อย่าๆๆ” ญาณินจะเข้าไปห้าม แต่อยู่ๆ ติณห์ชะงักเสียก่อน มองออกไปนอกหน้าต่าง ตาโต เหมือนเห็นอะไรบางอย่างที่น่ากลัว “อะไร?”
“อ๊ะๆๆ มุขหลอกหญิงเข้ามาในห้องนอน มุขแบบนี้เคยใช้เหมือนกัล ก๊ากๆๆ” หลวงพิชัยภักดีเด้งออกจากเตียง “นึกว่ามันจะโฉดเขลา...ที่แท้ก็ร้ายกาจ...”
“เกิดป๊อดขึ้นมากะทันหันเหรอ”
“คุณนิน เมื่อกี้ผมเห็น ตัวอะไรไม่รู้ เต็มไปหมดเลย อยู่หลังดงไม้ตรงโน้น”
“ฮ้า จริงเหรอ อยู่ไหน” ญาณินรีบมองตามไป แต่ไม่เห็นอะไร “อยู่ไหนล่ะ คุณติณห์ ไม่เห็นมีเลย”
พอญาณินหันกลับมาอีกทีก็พบว่าติณห์กำลังออกไปจากประตูบ้านแล้ว หลวงพิชัยภักดีก็เช่นกัน ทั้งคู่ตกใจ ร้องห้ามพร้อมกัน
“เฮ้ย อย่าออกไป”
แต่ติณห์ผลุบออกไปทันที ด้านนอกติณห์รีบปิดประตูแล้วเอาประแจหรือท่อนเหล็กสักอย่างมาขัดประตูไว้
ญาณินมาถึงประตูเปิดออกไปไม่ได้ ได้แต่กระชากประตูแต่เปิดไม่ได้ ในขณะที่หลวงพิชัยภักดีพุ่งทะลุประตูออกไปเลย
หลวงพิชัยภักดีพุ่งออกมาเจอติณห์พอดี
“กลับเข้าไปข้างในเดี๋ยวนี้”
“ผมจะไล่มันไปให้ เราจะได้กลับบ้าน ไม่ต้องมานอนตากน้ำค้างที่นี่”
ติณห์ตะโกนบอกญาณินแล้วเดินไปจากกระท่อม
หมอผีสมคิดลืมตา ปึ่ง! ยิ้มมุมปาก
“หึๆๆ ไอ้หน้าบาก คราวนี้ แกอย่าทำให้ข้าผิดหวัง”
หมอผีสมคิดยกมือขึ้นมีอีกาตัวนึงบินมาเกาะที่มือ หมอผีสมคิดจับตัวอีกานั้นไว้ด้วยสองมือ ในท่าที่ดูเหมือนจะหักคอ แล้วชูอีกาไปเหนือตุ๊กตาควายธนู จากนั้นปากก็พึมพำบริกรรมคาถา เลือดกาไหลลงมาหยดลงไปที่หุ่นควายธนู
ควายธนูมีปฏิกิริยา ตาแดง ดุดันมากขึ้น เขาที่หัก ก็งอกขึ้นมาใหม่ หายใจฟื้ดฟ้าดเป็นไฟแรงยิ่งกว่าเดิมทันที
ติณห์เดินมาหยิบเสียมอันที่โยนออกมาก่อนนั้น ถือไว้ต่างอาวุธ โดยไม่รู้ถึงอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้นหลวงพิชัยภักดีตามห้าม
“ไอ้ติณห์ ไอ้หลานซื่อบื้อ ถ้าแกอยากแสดงความเป็นลูกผู้ชาย ทำไมไม่ไปดูแลแม่หนู ญาณินข้างใน ออกมาแมนกับควายธนู มันได้ประโยชน์อะไร...ไอ้บัฟฟาโล่” ติณห์ไม่ได้ยินหลวงพิชัยภักดีพูดเดินออกไป “เอาไงดีๆ นังหนู ช่วยด้วยๆๆ”
ภายในกระท่อมญาณินพยายามดึงกระชากประตู แต่กระชากไม่หลุด
“ไอ้คนดื้อด้าน คุณติณห์ คุณจะฆ่าตัวตายรึไง”
หลวงพิชัยภักดีพุ่งทะลุประตูกลับเข้ามา
“นังหนู...รีบออกไปห้ามเจ้าติณห์เร็วๆ ก่อนที่มันจะโดนขวิดตาย”
ญาณินไม่เห็นและไม่ได้ยินหลวงพิชัยภักดีและไม่รู้ตัวว่าพูดเหมือนหลวงพิชัยภักดี
“คุณหลวง อยู่ไหน...ช่วยไปห้ามหลานชายคุณหลวงด้วย ก่อนที่เค้าจะถูกควายธนูขวิดตาย”
“ถ้าชั้นห้ามได้ ก็ทำไปแล้ว...เธอคนเดียวที่จะห้ามมันได้”
“คุณหลวงคนเดียวที่จะห้ามเค้าได้”
“โอ๊ย ชั้นห้ามไม่ได้ หนูห้ามไม่ได้ แล้วใครจะห้ามได้”
ญาณินกระชากๆๆๆ จนกระทั่งผ้ายันต์ที่ติดเอาไว้ร่วงลงมาตรงหน้า ญาณินถือผ้ายันต์เอาไว้มองที่ผ้ายันต์
ติณห์เดินมาตามทาง ระแวดระวัง โดยไม่รู้ว่ามีดวงตาแดงแอบจ้องมาจากในดงป่าด้านหนึ่ง ดวงตาแดงนั้นจ้องอย่างอาฆาต
The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 6 (ต่อ)
ขณะนั้นที่ริเวอร์มูนรีสอร์ท เพ็ญนภาและคนงานกำลังจะออกไปตามหาติณห์ แต่ป้าอรวรรณกับสมชาติเข้ามาขวางก่อน
“คุณเพนนี คุณไม่ต้องไปตามคุณติณห์หรอ มันไม่ปลอดภัย”
“คุณไม่ต้องยุ่ง...ชั้นรู้ทันพวกแก ทั้งหมดนี่ เป็นแผนการที่พวกแกวางเอาไว้” เพ็ญนภาบอกแล้วหันมาทางป้าอรวรรณ “แกกับนังยิปซีสมรู้ร่วมคิดกัน จะรวบหัวรวบหางติณห์คืนนี้ให้ได้ ใช่มั้ย”
“มันไม่ใช่...”
“คุณเพนนี คุณใจเย็นๆ ก่อน”
“ชั้นไม่มีทางยอมให้แผนของพวกแกสำเร็จแน่ ใครที่คิดจะกินติณห์มันต้องข้ามศพชั้นไปก่อน...หลบไป” เพ็ญนภาผลักป้าอรวรรณออก “นังแม่มด วันนี้แกไม่ได้ตายดีแน่”
เพ็ญนภาออกไป พวกคนงานตามไป
“ถ้าเป็นอะไรขึ้นมา อย่าหาว่าชั้นไม่เตือนนะ”
ทนายสมชาติเข้ามาด้านหลังป้าอรวรรณ
“เค้าคือใครครับ...คนที่เคยติดเกาะกับคุณออ...บอกผมได้มั้ยครับ”
ติณห์ถือเสียมต่างอาวุธเดินมาตามทางในป่าอย่างระแวดระวัง พร้อมรับการจู่โจม แต่ทุกอย่างสงบ ไม่มีอะไรไหวติง ติณห์หยิบก้อนหินแถวนั้นเขวี้ยงล่อเข้าไปในดงป่า ด้านต่างๆ แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ไอ้สัตว์ร้าย ถ้าไม่อยากตาย ก็เข้าป่าไปซะ ไป” ติณห์ตะโกนขู่ทุกอย่างนิ่ง ไม่มีอะไรไหวติง ติณห์เริ่มคลายกังวล “หรือมันจะไปแล้ว ก็ดี จะได้กลับ”
แต่พอติณห์หันหน้ากลับมาก็ต้องผงะ เพราะควายธนูยืนอยู่ตรงหน้า ติณห์ตกใจสุดขีด ผงะถอยหลัง สะดุดล้มไป ติณห์ล้มอยู่แทบเท้าของควายธนูที่ตัวใหญ่โตมาก จนติณห์ตัวเล็กไปถนัดตา มันดวงตาแดง อาฆาต หายใจแรงเป็นไฟ พร้อมจะทำร้ายติณห์
“Oh…My God”
ญาณินกระโดดออกมาจากทางหน้าต่าง มองซ้ายมองขวา หลวงพิชัยภักดียืนอยู่ข้างๆ
“นายติณห์”
ญาณินตะโกนเรียกเมื่อได้ยินเสียงติณห์ หลวงพิชัยภักดีหันขวับ
“ทางโน้น... เร็ว แม่หนู...ช่วยหลานชั้นด้วย...” ญาณินรีบวิ่งไปทันที “โอ๊ย...ต้องลุ้นอีกนานมั้ยคืนนี้...จะเป็นลมแล้วฉัน”
ติณห์ยกเสียมขึ้นมาชูปกป้องตัวเอง แต่ควายธนูยืนจ้อง ฟืดฟาด ติณห์ค่อยๆ ไสตัวถอยและยันตัวเองยืนขึ้นมา มือยังคงชูเสียมขู่เอาไว้ ทันทีที่ติณห์ยืนขึ้นมาควายธนูก็ตะกุยเท้าแล้ววิ่งพุ่งเข้าใส่ ติณห์ถอยๆๆ แต่รู้ว่าไม่พ้นแน่ จังหวะที่ควายธนูพุ่งถึงตัว ติณห์เอาเสียมทิ่มควายธนูกันไว้ ไม่ถูกเขาแทง เสียมแทงไม่เข้าความธนูแต่กลับกระเด้งมากระแทกติณห์จนลอยไป ติณห์หล่นตุ้บอีกด้าน
ที่บริษัทซิกซ์เซ้นส์แก้วน้ำตกแตกกระจาย เพล้ง! กรรัมภายืนช็อกต่อหน้าก๊อง
“เธอพูดเล่นใช่มั้ยก๊อง...ไม่จริงๆๆๆๆ”
กรรัมภากำลังจะออกไปส่องกระจก แต่เพื่อนๆ สวนเข้ามาก่อน
“ยัยแก้ม มีอะไร เกิดอะไรขึ้น”
“ผมไม่ได้ทำอะไรผิดนะ ผมก็แค่บอกพี่แก้มว่า พี่แก้มเริ่มมีร่องแก้มแล้ว แค่เนี้ยเอง พี่แก้มก็มืออ่อน ทำแก้วแตก” ก๊องบอก สุคนธรสเห็นเศษแก้ว
“ฮ้า แก้วแตก”
“ไม่จริงๆๆ ชั้นจะไปเกาหลี”
“เฮ้ยๆๆ อย่าไปเชื่อไอ้ก๊องเด็กปากมอมเลย ยังไงหน้าเธอก็ใสปิ๊งที่สุดในกลุ่มอยู่แล้ว”
“ยัยรส...เธอเป็นอะไร” เนตรศิตางศุ์ถามเมื่อเห็นท่าทีสุคนธรส
“ชั้น...ชั้นคิดว่า นี่มันต้องเป็น...ลางร้าย”
พวกสาวๆ อึ้ง
“ยัยนิน...”
เนตรศิตางศุ์ กรรัมภา กรรณานึกถึงญาณินทันที
ควายธนูวิ่งพุ่งเข้าใส่ติณห์ ติณห์รีบยันตัวเองวิ่งหนี ญาณินวิ่งมาแต่ไกล
“คุณติณห์”
ติณห์หันไปเห็นญาณินวิ่งมา ติณห์รีบวิ่งเข้าไปหา ควายธนูไล่ตามมาติดๆ ติณห์วิ่งมาถึง ญาณินโดดกอดติณห์เอาไว้แนบแน่น ต่างคนต่างปกป้องกันและกัน เป็นจังหวะเดียวกับที่ควายธนูพุ่งจะเอาเขาแทง ญาณินชูยันต์ขึ้นมา ยื่นไปทางความธนู ติณห์ยกมือขึ้นมาประมาณห้ามควายธนูแต่หลับตาปี๋กะว่าโดนขวิดแน่ๆ แต่สัญชาติญาณบอกให้ยกมือห้ามความ มืออีกข้างของทั้งคู่ยังคงกอดกัน ควายธนูกระเด็นไปด้วยรัศมีของยันต์ พอได้สติ ญาณินรีบเก็บผ้ายันต์ของสุคนธรส ติณห์งง มองมือตัวเองงงๆ ไม่รู้อะไรเกิดขึ้น
“หนี”
ติณห์จะดึงญาณินไปด้วย แต่ญาณินรั้งติณห์ไว้ ไม่ให้ปล่อย
“อย่า! ตราบใดที่เราไม่ผละออกจากกัน มันก็ทำอะไรเราไม่ได้”
“ห๊า! What?”
“เชื่อฉันสิ” มือที่ถือยันต์แอบยื่นออกไปให้ความธนูเห็นจะได้ไม่กล้าเข้ามา ติณห์งงแต่เห็นด้วย โอบญาณินแน่นกว่าเดิม
“โอเค...ใช่ๆ...” ควายธนูจะพุ่งเข้าใส่อีก แต่ก็เข้าไม่ได้ ญาณินกอดกับติณห์อยู่อย่างนั้น “อยู่กับผม...อย่าห่างผมนะ”
ญาณินยังคงชูผ้ายันต์ หันไปรอบๆ แล้วสักพักก็รู้สึกตัวแอบยิ้มกิ๊กกั๊กในใจ
ญาณินยิ้มพลางลอบมองติณห์ที่ยังคงเป็นคนจิตใจดี แม้จะอยู่ในสถานการณ์คับขัน ติณห์ไม่ได้สังเกต มัวแต่มองหาความธนู
ญาณินกับติณห์กอดกันกลับเข้ามาในกระท่อม ญาณินฉวยจังหวะเอายันต์ไปติดไว้ที่ประตูตามเดิม แล้วทั้งคู่ก็นอนแผ่หมดแรงหัวชนกัน
“อกอีแป้นจะแตก! หลานชายชั้นปลอดภัย เธอเก่งมากแม่ญาณิน เธอมันสุดยอด”
หลวงพิชัยภักดีบอกออกมา
“คุณ ไอ้ตัวข้างนอก...มันคือตัวอะไร” ติณห์ถามญาณิน
“ควาย...ควายธนูไง จะให้บอกกี่ครั้ง ไม่มีสมองเหรอ”
“แต่ตัวมันใหญ่เกินควายนะคุณ”
“อย่า...อย่าเพิ่งถาม ขอพักก่อน”
ญาณินนอนหอบเหนื่อย
“My God…I Don’t Believe it!! What’s the…”
ติณห์ยังช็อคจากการเผชิญหน้ากับควายธนูไม่หาย
หมอผีสมคิดผงะลุกพรวด เตะเครื่องบูชากระจาย
“ใครวะ! ไอ้หมอผีหน้าไหนที่มันกล้ามาต่อกรประลองอาคมกับหมอสมคิด...อวดดีเกินไปแล้ว อย่าให้รู้นะว่าแกคือใคร”
หมอผีสมคิดแค้นมาก
ส่วนที่บริษัทซิกซ์เซ้นส์เนตรศิตางศุ์เดินถือมือถือที่กระพริบวาบๆ แบบมีคนโทรเข้าแยกออกมามุมนึง ไม่มีใครเห็นเนตรศิตางศุ์รีบรับสาย
“ค่ะ พี่ลูกข่าง...”
ลูกข่างด่าเนตรศิตางศุ์ไฟแล่บที่ห้องคอสตูม โรงละคร
“ยัยชะนีไร้ระเบียบ ชะนีไร้ความรับผิดชอบ...เธอทำชีวิตชั้นวิบัติอัปยศมาก รู้มั้ย” ระหว่างที่ลูกข่างบ่น ใบหม่อนยืนฟังลูกข่างคุยอยู่ สีหน้าไม่พอใจที่ถูกเนตรศิตางศุ์เบี้ยวนัด “เก้งน้อยๆ อย่างชั้น ควรจะได้เดินเชิ่ดๆ สวยๆ ให้หนุ่มๆ ชื่นชม ไม่ใช่ต้องมาวิ่งวุ่น ทำงานเป็นลิงเป็นค่างแบบนี้”
ใบหม่อนยื่นหน้ามาพูดร่วมโทรศัพท์กับลูกข่างด้วย
“ยัยเนตร เธอหลอกชั้น”
“พี่ลูกข่างคะ เนตรติดธุระจริงๆ เนตรขอโทษ”
ใบหม่อนทำเสียงขู่ดุดัน
“ยัยเด็กโกหก เธอไม่คิดจะช่วยชั้นจริงจังแต่แรก”
“เธอยังอยากจะฝึกงานที่นี่หรือเปล่า ถ้าจะฝึกก็ต้องจริงจังถ้าทำไม่ได้ ก็ไปไกลๆ ไม่ต้องกลับมา”
“จริงจังค่ะ เนตรจริงจังค่ะ พรุ่งนี้เนตรไปแน่ๆ ค่ะ”
“หยุด อย่ามารับปากส่งๆ เธอไม่รู้หรอกว่าคนที่เชื่อน้ำคำของเธอ เขาเสียใจแค่ไหน เวลาเธอทำไม่ได้อย่างที่พูด...ชั้นคลั่งจนอยากจะฆ่าคนเลย รู้หรือเปล่า...” ลูกข่าวสูดหายใจลึกๆ คุมสติ) “คนสวยอย่างชั้น จะให้โอกาสเธออีกหน...พรุ่งนี้...ก่อนเที่ยง...ถ้าเธอไม่โผล่หัวมา ก็กลับเข้าป่าไปซะ นังชะนีเด็ก”
ลูกข่างวางสาย อารมณ์เสีย รีบดึงๆ นวดๆ ใบหน้า กลัวหน้ายับ แล้วหันไปรีดเสื้อผ้าต่อ ใบหม่อนอาฆาต แค้น
“ถ้าพรุ่งนี้ เธอผิดคำพูดอีก ชั้นจะจัดการเอง”
แล้วใบหม่อนก็ลอยวูบหายไป ลูกข่างรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างวูบผ่านหลังไป รีบหันขวับไปมอง แต่ไม่เจออะไร ลูกข่างเริ่มขนลุกๆ กลัวๆ แล้วก็หันมาอีกด้าน เจอเงาตัวเองในกระจก
“ว้าย! ผี”
เนตรศิตางศุ์วางสาย หน้าเครียด
“แล้วพรุ่งนี้เราจะอ้างพี่ณัฐว่าไงดีอ่ะ เฮ้อ...”
อยู่ๆ ก๊องโผล่เข้ามา
“อ๊ะๆๆ มาแอบคุยกะกิ๊กเหรอ แน่ะๆๆๆๆ”
“ทำไมชอบยุ่งเรื่องของชั้นนักนะ” เนตรศิตางศุ์เดินหนีไป
“หึๆๆ ปกปิดสายตาอันกว้างไกลของก๊องไม่ได้หรอกครับ ก๊องจะขุดความจริงออกมาตีแผ่”
ติณห์นั่งอยู่มุมนึงของกระท่อม ขณะที่ญาณินอยู่อีกมุม หลวงพิชัยภักดีมองซ้ายที ขวาที ขัดใจๆ
“ทำอะไรกันสักอย่างสิ เดี๋ยวก็เช้าพอดีหรอก”
“เราจะต้องอยู่ในนี้กันจนเช้าจริงๆ เหรอ”
“นายยังไม่เข็ด ยังคิดจะออกไปอีกเหรอ คราวนี้ชั้นไม่ช่วยนายแล้วนะ”
“ผมยังไม่ได้บอกว่าจะออกไปซะหน่อย ผมก็แค่ถามว่าถ้าต้องอยู่จนเช้า เราก็น่าจะหาอะไรสนุกๆ ทำกันนะ”
หลวงพิชัยภักดีตบเข่าฉาดใหญ่
“ถูกแล้ว...ไอ้หลานรัก”
“นายจะทำอะไร...หยุดเลย...นายอยู่มุมนาย ชั้นอยู่มุมชั้น รอจนกว่าจะเช้า”
“โอเค๊”
ติณห์กับญาณินนิ่งไปอีก
“อ้าว โอเค๊...จบ...แค่เนี้ย”
หลวงพิชัยภักดีขัดใจ แต่แล้วติณห์ก็เป็นฝ่ายเริ่มขึ้นมาก่อน
“ที่คุณบอกว่า...จะสืบเรื่องการตายของแกรนด์ปา คุณจะสืบยังไง”
“หือ” ญาณินแปลกใจ
“หืออะไร”
“นายเชื่อเรื่องที่ชั้นพูดแล้วเหรอ”
“ก็ไม่เชิง... แต่ในเมื่อคุณบอกว่ามันมีโอกาสที่จะพิสูจน์ความจริงว่าแกรนด์ปาไม่ได้ฆ่าตัวตาย ก็แปลว่ามันเป็นอาชญากรรม”
“ฉันก็ยังจะย้ำว่า เราน่าจะลองสืบจากรายชื่อของคนที่คุณหลวงติดต่อทำธุรกิจด้วยในช่วงนั้น ทั้งลูกจ้าง คนสนิท หรือคู่ค้าทางธุรกิจ อาจจะยังมีใครที่ยังมีชีวิตอยู่ และเราอาจได้เบาะแสอะไรเพิ่มเติม”
“แล้วจะรู้ได้ยังว่าใครยังมีชีวิตอยู่” ติณห์บอกอย่างกังวล
ติณห์กับญาณินเริ่มเข้าใจกัน และท่าทางจะคุยกันแต่เรื่องหลวงพิชัยภักดี
“เฮ้ยๆๆ หยุดๆ หยุดสนใจเรื่องชั้นสักคืน สนใจแค่คนที่อยู่ตรงหน้าก็พอ...อุตส่าห์มีโอกาสดีๆ แล้ว ชั้นจะไม่ยอมพลาดโอกาสมีหลานสะใภ้เด็ดขาด...ชั้นต้องทำอะไรสักอย่าง อืม...ฮ้า มันต้องสร้างบรรยากาศให้หน่อย”
หลวงพิชัยภักดีคิดช่วย ยกมือขึ้น ดีดนิ้ว ทันใดตุ๊กแกตัวเขื่องที่เกาะอยู่บนคานบ้านก็หล่นลงมาข้างญาณิน
“เฮ้ย!”
ญาณินเผลอเข้าใกล้ติณห์โดยไม่รู้ตัว ติณห์ประคองไว้แบบเบาๆ
“อะไรคู๊ณ ตุ๊กแกตัวนิดเดียวเอง ไม่ต้องกลัว อยู่เฉยๆ เดี๋ยวมันก็ไปเองแหละ”
“ชั้นไม่ได้กลัวซะหน่อย แค่นี้ซอฟท์ๆ เบาๆ”
“แค่นี้ยังไม่พอ ต้องจัดเต็ม”
หลวงพิชัยภักดีดีดนิ้ว จิ้งจกตัวนิดเดียวหล่นลงมาบนเท้าติณห์
“เฮ้ย”
ติณห์ตกใจสุดขีด กระโดดพรวดเดียวถึงตัวญาณิน ญาณินขำก๊าก เอามือตบไหล่ติณห์เบาๆ
“อยู่เฉยๆ...จิ้งจกตัวเท่ามด เดี๋ยวมันก็ไปเองแหละ”
ติณห์เสียฟอร์ม ผละออกจากญาณิน แยกไปอีกมุม ญาณินขำปลิ้น
“เออ...Funny...หัวเราะเข้าไป เฮ้ย...ตุ๊กแกมันวิ่งเข้าหาคุณแล้ว”
“ว๊าย” ญาณินรีบวิ่งขึ้นเตียง ติณห์หัวเราะน้ำตาไหล “ไอ้บ้า”
ติณห์หัวเราะเพลิน หลวงพิชัยภักดีได้ทีกระดิกนิ้ว...ด้ามเสียมที่วางพิงผนังบ้านอยู่ล้มมาโดนหัวติณห์โป๊ก
“อ้าว...”
ติณห์กุมหัวเซไปทางเตียง หลวงพิชัยภักดีกระพริบตาทีเดียว อุปกรณ์ก่อสร้างที่วางตามพื้นไถลมาขัดขาติณห์ทีเดียว ติณห์สะดุดล้มไปบนเตียง โครม...
“ขึ้นเตียงแล้ว ทีนี้ก็ได้เวลาสำคัญ เมื่อไหร่ที่เนื้อต้องเนื้อ ถูไถกันไปมา ไฟต้องสปาร์คแน่ๆ” หลวงพิชัยภักดีบอกอย่างมั่นใจ
“เป็นอะไรหรือเปล่า” ญาณินถามอย่างเป็นห่วง
“อะไรกันเนี่ย”
หลวงพิชัยภักดีเป่าลมออกไป ลมหนาวพัด
“ทำไมอยู่ๆ ก็หนาว”
“นั่นน่ะสิ”
หลวงพิชัยภักดีเป่าๆๆๆ ญาณินกับติณห์ขยับมาใกล้กัน จนกระทั่งเนื้อช่วงต้นแขนชนกันโดยบังเอิญ จึ๋ง! ทั้งคู่ผงะ หันมามองหน้ากันแบบสปาร์คๆ
เนตรสิตางศุ์นั่งคิดไม่ตกอยู่ในกลาสเฮ้าส์ ก๊องโผล่มาจากด้านหลัง
“พี่แอบนัดแนะจะหนีเที่ยวกับหมอวรวรรธ ใช่หรือไม่”
“นายไม่ต้องมายุ่งเรื่องของชั้น”
“พี่อยากให้ผมปรึกษาเรื่องนี้กะคุณพี่ตำรวจหรือไม่”
“กรี๊ด”
กรรัมภา สุคนธรส กรรณาเดินมาหาเนตรศิตางศุ์พอดี
“ก๊อง แกไปแกล้งอะไรยัยเนตร นิสัย”
ก๊องรีบฟ้องทันที
“คุณหนูตุ๊กตากระเบื้องผู้บอบบางกำลังนัดแนะจะหนีเที่ยวกับหมอวรวรรธอีกแล้วครับ”
“รู้ได้ยังไงว่าเป็นหมอวรวรรธ” เนตรศิตางศุ์ถาม
“พี่คงไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วผมก็มีเซ้นซ์เหมือนกัน”
“ถ้าเธอคิดจะไปพัทยา เธอไปไม่ได้นะเนตร พรุ่งนี้พวกเราว่าจะไปเยี่ยมเจ๊ป้าแก่ญาณินกัน เธอก็ต้องไปด้วยห้ามเบี้ยว เข้าใจมั้ย”
“เย้...พรุ่งนี้จะได้ไปเที่ยวเมืองกาญจน์” ก๊องดีใจ กรรัมภา กรรณา สุคนธรสจึงบอกออกมาพร้อมกัน
“นายอยู่เฝ้าบริษัท”
ก๊องคอหด เนตรศิตางศุ์แอบเครียดจะไปพัทยายังไงดี
ญาณินกับติณห์ขยับนั่งห่างกันคนละมุมเตียง ทั้งคู่หนาว
“หนาวเหรอ”
“เปล่า ไม่หนาว นายล่ะใส่แต่เสื้อกล้าม ต้องหนาวแน่ๆ”
“ไม่ ผมไม่หนาว แค่เย็นๆ”
“หนาวทั้งคู่นั่นแหละ อยากกอดกัน อยากซุกไออุ่นกันและกันก็ทำเลย ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น คืนนี้จะมีแค่เพียงสองเรา” หลวงพิชัยภักดีบอกแต่ไม่มีใครได้ยิน
“คุณง่วงมั้ย” ติณห์ถาม
“นั่น มันชวนนอนแล้วเว้ย”
“ไม่...ชั้นไม่ง่วง ชั้นว่าจะไม่นอนจนกว่าจะเช้า ชั้นกลัวว่าควายธนูมันอาจจะกลับมาอีก แต่ถ้านายง่วง จะนอนก็ได้นะ”
“ไม่ๆ เดี๋ยวผมนั่งเป็นเพื่อนคุณ จนกว่าจะเช้าแล้วกัน”
“ตามใจ...”
แล้วทั้งสองคนก็นั่งนิ่ง ไม่ทำอะไรกัน หลวงพิชัยภักดีมองอย่างขัดใจ
“ลูกไก่อยู่ในกำมือแท้ๆ ยังไม่ทำอะไรอีก ไม่รู้เหรอว่าเค้ามีใจให้แก ไอ้ติณห์ เร็วเข้า ทำอะไรก็ทำ...”
ญาณินพยายามชวนคุย
“คุณติณห์ เอาไว้พรุ่งนี้เช้า เราเอาสมุดบัญชีมาดู แล้วเราก็แวะไปสอบถามกับตาพุ่มอีกทีดีมั้ย เพื่อเราจะรู้อะไรเพิ่มบ้าง...ดีมั้ย?” ติณห์เงียบ “คุณติณห์...” อยู่ๆ ติณห์เอียงคอมาซบบ่าญาณิน “อ้าว”
ติณห์หลับไปแล้ว หลวงพิชัยภักดีโผล่แว่บมาตรงหน้าติณห์
“เฮ้ย... หลับ? หลานชายชั้นหลับ ทั้งๆ ที่นั่งเบียดเสียดกับหญิงสาวบนเตียง ในกระท่อมร้าง ท่ามกลางบรรยากาศเป็นใจขนาดนี้ มันยังหลับได้อีกเหรอวะ..ว๊าก!ชั้นยอมแพ้ก็ได้”
ญาณินนั่งยิ้ม แอบมองหน้าติณห์ที่ดูเป็นเด็ก ไร้พิษสง ค่อยๆ ประคองติณห์มานอนบนตักตนเอง จากนั้นก็ช่วยเสยผมจัดไรผมให้ดูเรียบร้อย แล้วพิจารณาใบหน้า เผลอยิ้มและหน้าแดง
“คงจะระบมทั้งตัวแน่”
ญาณินมองหน้าติณห์ หลวงพิชัยภักดียอมแพ้ ตัดใจ
“ไอ้หลานนอกคอก แกมันไม่ได้เชื้อชั้นไปเลยจริงๆ”
วันต่อมาหมอผีสมคิดนั่งเพ่งจิตอยู่ จู่ๆ ก็ลืมตาขึ้นมา
“ไฟไหม้ตลาดที่เกิดเมื่อคืน มันเป็นเพราะวิญญาณเจ้ากรรมนายเวรที่อาฆาตเสี่ยจำเริญกับลูกชาย และเนื่องจากเวลานี้คุณไตรรัตน์มีพระรอดคุ้มครอง มันทำคนไม่ได้ ก็ไปลงกับตลาดแทน แต่ที่ชั้นห่วงก็คือมันจะไม่จบลงแค่นี้...”
“หา...ยังจะมีอะไรอีกหรือคะ อาจารย์” เจ๊หญิงถามอย่างตกใจ
“มีสิ แล้วจะยิ่งร้ายแรงหนักหนาสาหัสมากขึ้นๆๆๆ”
“ไหงงั้นล่ะครับ อาจารย์ แล้วมันไม่มีทางแก้เลยเหรอครับ”
“หรืออย่างน้อย พอจะผ่อนหนักเป็นเบาได้บ้างก็ยังดีค่ะ”
“เสี่ยกับเจ๊เป็นคนดี อาจารย์ต้องช่วยแกนะครับ”
“อย่าปล่อยให้ครอบครัวแกต้องถึงกับหายนะวายป่วงไปนะครับอาจารย์”
“ทางช่วยมันก็พอมี..ในเบื้องต้น อาจารย์อยากให้เชิญวัตถุมงคลของอาจารย์ไปบูชาที่ตลาดก่อน”
“ค่ะ ด้วยความยินดีค่ะ”
“ต้องบูชาสี่องค์ สี่มุม คุ้มครองรอบด้าน ใช่มั้ยครับอาจารย์” กล้าบอก
“สี่องค์” เจ๊หญิงรีบสะกิดเสี่ยจำเริญให้เฉยๆ
“สี่องค์ก็สี่องค์ค่ะ ไม่มีปัญหา”
“ส่วนทางแก้ในระยะยาว อย่างที่ฉันเคยบอกลูกชายของเสี่ยจะต้องแต่งงาน”
“มันช่วยยังไงอาจารย์?”
“ผู้หญิงคนที่ให้พระรอดมาน่ะ...ชื่อสุคนธรสใช่มั้ย เค้าสองคนเสริมบารมีให้กันและกัน ถึงจะส่งผลช่วยให้ตลาดและที่บ้านพวกเจ๊ แคล้วคลาดจากเวรภัยได้ เสี่ยกับเจ๊ช่วยไปเอาวันเดือนปีเกิดของลูกชายกับผู้หญิงที่ชื่อสุคนธรส มาให้ชั้นได้มั้ย...แค่วันเดือนปีเกิด แล้วทุกอย่างจะเรียบร้อย”
“ใช่ๆ...ฉันลืมเลย เดี๋ยวฉันจะเอาวันเดือนปีเกิดของหนูสุคนธรสมาให้นะคะ”
แววตาหมอผีสมคิดร้ายกาจ คิดไม่ดี
ส่วนที่กระท่อมติณห์ค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมา รู้สึกสดชื่นกับอากาศ แต่พอโงหัวขึ้นมาก็พบว่าตัวเองนอนตักญาณินอยู่ ในขณะที่ญาณินนั่งหลับพิงหัวเตียง
“เราหลับท่านี้ทั้งคืนเลยเหรอ...แล้วคุณนิน ทนไหวได้ไง ขาไม่เป็นตะคริวเหรอ” อยู่ๆ ญาณินก็ไหลจากท่านั่งไปเป็นท่านอน “เช้าแล้ว กลับ...” ติณห์ทำท่าจะปลุกญาณิน แต่ชะงักไว้ เผลอมองหน้าญาณินที่นอนหลับอยู่ “พอหุบปาก หลับตา ก็น่ารักไปอีกแบบนะ” ญาณินหลับๆ อยู่ก็เอานิ้วมือตัวเองมาขบกัด ติณห์อมยิ้ม “นอนขบนิ้วตัวเองด้วย ฮะๆๆ”
ติณห์มองญาณิน ยิ้ม แล้วก็ถูกแรงดึงดูดบางอย่าง ติณห์ค่อยๆ ลดระดับลงไปจนใกล้จะหอมญาณิน แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง ติณห์กลับติดอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น พยายามจะก้มไปจูบญาณินให้ได้ แต่ก็เข้าใกล้ไม่ได้ ไม่รู้ว่าติดอะไร โกลด้นท์นอนขวางตรงนั้นอยู่ทำให้ติณห์เข้าใกล้ไม่ได้
“คิดจะฉวยโอกาสเจ๊จีจ้าเหรอ ไม่มีทางซะหรอก อิๆๆ”
ติณห์ถอยออกมา งงๆ
“ติดอะไรเนี่ย?”
ติณห์จะลองก้มลงไปอีกครั้ง แต่อยู่ๆ ญาณินลืมตาตื่นขึ้นมาก่อน
“คุณติณห์ จะทำอะไร”
“ผม...ผมจะ เอ่อ...” อยู่ๆ มีเสียงเคาะประตูโครมครามๆๆๆ “เฮ้ย คุณระวัง” ติณห์เอาตัวเองมาปกป้องญาณินไว้ “ไหนว่า พอสว่างแล้ว มนต์ของควายธนูจะเสื่อมลงไปไง แล้วนี่อะไร”
“ชั้นก็ไม่รู้” ญาณินรีบชูผ้ายันต์ขึ้น “เข้ามาเลย ไอ้ควาย”
ทันใดประตูถูกถีบเปิดออก ผลัวะ
“ติณห์”
เพ็ญนภาเห็นสภาพติณห์กับญาณินที่อยู่ร่วมกัน ใกล้ชิดกัน เธอถึงกับช็อก
อีกด้านหนึ่งที่บ้านเสี่ยจำเริญ พวกสาวๆ ที่มาไตรรัตน์ต่างเกาะรั้วบ้าน กรี๊ดกร๊าด ขัดใจ ยอมไม่ได้ เสี่ยจำเริญ เจ๊หญิง และอาม่ายืนอยู่ที่รั้ว
“อาม่า สมัยอาม่าสาวๆ ผู้หญิงชอบกรี๊ดแบบนี้มั้ย”
“สมัยอาม่า ผู้หญิงที่เสียงดังแบบนี้ มีแต่พวกผู้หญิงโคมเขียวเท่านั้น”
“โหว อาม่าแรง”
“เอ้าๆๆ ถ้ากรี๊ดกันสะใจแล้ว ก็แยกย้ายกลับบ้านใครบ้านมัน แล้วก็ไม่ต้องมาที่นี่อีก เพราะพวกเธอหมดสิทธิ์ในตัวเจ้าไตรแล้ว ไปๆๆ”
“ไม่จริง! กรี๊ดๆๆๆๆ”
ไตรรัตน์ออกมาจากในบ้าน เห็นเสี่ยจำเริญกับเจ๊หญิงกำลังอยู่ที่รั้วกับพวกสาวๆ รีบเข้าไปทันที
“คุณพ่อ คุณแม่...อะไรกันครับ...แตงโม บอลลูน มิ้ลล์ ส้มโอ ลูกโป่ง ทำไมมาพร้อมกันอย่างนี้”
“คุณทำยังงี้กับพวกเราได้ยังไงคะไตร คุณมันเลวมาก”
“เลวที่สุด”
“ผมทำอะไรครับ”
“นังนั่นมันดีกว่าพวกเราตรงไหน มันใหญ่สู้พวกเราได้เหรอ”
“ผู้ชายเห็นแก่ตัว แตงโมไม่แปลกใจเลยที่คุณถูกแฟนเก่าทิ้ง ยัยเคที่คาที่อะไรนั่น ฉลาดแล้วที่ทิ้งคุณไปมีแฟนใหม่”
“หยุดพูดถึงเคธี่”
“จะพูด! เคธี่ๆๆๆๆ”
“พวกเราขอให้คุณไม่มีใครรักจริง ถูกทิ้งซ้ำแล้วซ้ำอีก เหมือนที่คุณเคยเจอยัยเคธี่ทิ้ง”
“ถูกทิ้ง ถูกทิ้ง”
พวกสาวๆ สะบัดหน้าเดินออกไปกันหมด ไตรรัตน์เครียด
ไตรรัตน์เดินหลบมาอีกด้าน เจ็บปวดใจที่ถูกย้ำปมเรื่องเคธี่ ออกอาการเสียศูนย์ เดินกลับไปกลับมา เหมือนเครื่องรวน อาม่าตามมาด้วยความเป็นห่วง
“ลื้อยังไม่ลืมอีอีกเหรออาตี๋...”
ไตรรัตน์หลบหน้า
“อะไรอาม่า”
“ลื้อยังไม่เคยลืมแม่ฝรั่งคนนั้นใช่มั้ย...เรื่องมันก็ผ่านไปนานแล้วไม่ใช่เหรออาตี๋”
“อาม่าไปกันใหญ่แล้ว ผมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”
อาม่าเข้ามาจับหน้าไตรรัตน์อย่างอ่อนโยน
“อาตี๋ อาม่าเป็นห่วงอาตี๋นะ...ถ้าอาตี๋ไม่ลืมอดีต อาตี๋จะเดินหน้าต่อไปได้ยังไง...ลืมนะ แล้วเริ่มต้นใหม่ เชื่ออาม่า”
ไตรรัตน์อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขอบคุณ ซาบซึ้งอาม่า แต่อยู่ๆ เสี่ยจำเริญกับเจ๊หญิงเข้ามา
“แต่ถ้าแกลืมแม่เคที่ไม่ได้ แกก็ต้องใช้ตัวช่วย”
“ตัวช่วยอะไรครับ”
เสี่ยจำเริญกับเจ๊หญิงยิ้มๆ มีเลศนัย ไตรรัตน์เครียด
The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 6 (ต่อ)
สุคนธรสกำลังพูดโทรศัพท์กับป้าอรวรรณเพื่อถามข่าวญาณิน
“เจ๊จีจ้าปลอดภัยแล้วใช่มั้ยคะป้าออ” สุคนธรสฟัง แล้วพยักหน้าบอกเพื่อนๆ เนตรศิตางศ์ กรรณา ก๊องดีใจ “เห็นมั้ยคะว่าถ้าแม่หมอรสบอกว่าเอาอยู่ก็แปลว่าเอาอยู่จริงๆ ไม่มีมั่ว”
ป้าอรวรรณคุยโทรศัพท์อยู่นอกระท่อมด้วยท่าทางหนักใจ
“ค่ะ เอาผีอยู่ แต่ท่าทางจะเอาคนไม่อยู่มั้งคะ”
“คน? ป้าออหมายถึงอะไร”
ป้าอรวรรณทำหน้าหนักใจ
ขณะนั้นเพ็ญนภาพุ่งเข้าไปตบหน้าญาณิน...เพี๊ยะ
“สำหรับนังคนหน้าด้าน ที่ฉวยโอกาสเอาแฟนชาวบ้านไปนอนกก”
ทุกคนอึ้ง หลวงพิชัยภักดีกับกุมาริกาสังเกตการณ์อยู่ด้านหนึ่ง
“เพนนี...”
ทนายสมชาติรีบเข้าไปดึงเพ็ญนภาออกมา
“เกินไปแล้วคุณเพนนี”
“แกไม่ต้องห้าม...นังนี่ มันวางแผน จัดฉาก หลอกฟันติณห์ ยังไม่รู้ตัวอีก”
“หลอกฟันคุณติณห์ ต๊าย พูดออกมาได้ยังไง”
“ไม่ต้องมาแอ๊บเลยป้า...คุณทนายสมชาติ” เพ็ญนภาสสะบัดหลุดจากทนายสมชาติ “ชั้นจะฟ้องร้องนังนี่ ข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยวข่มขืนกระทำชำเราคนที่ไม่มีทางสู้”
“คนไม่มีทางสู้ หมายถึงคุณติณห์”
“ใช่น่ะสิ ถึงติณห์จะตัวโตและดูแข็งแรง แต่...ถ้าเป็นเรื่องเล่ห์เหลี่ยม มารยาของผู้หญิง ติณห์ไม่เคยทันใครทั้งนั้น นังนี่มันรู้จักจุดอ่อนของติณห์ มันเลยเข้ามายั่วยวน ตีกระหน่ำที่จุดนี้ ทำให้ติณห์ไม่มีทางสู้”
“มารยาผู้หญิง? หมายถึงคุณญาณินหรือคุณ?” ทนายสมชาติย้อนถาม
“พอเลยคุณทนาย...”
“คุณจะกล่าวหาเลอะเทอะมากไปแล้วนะคุณเพนนี คุณหนูกับคุณติณห์ มีเหตุผลจำเป็นที่ต้องอยู่ในกระท่อมด้วยกันทั้งคืน...”
“เหตุผลอะไร”
“คุณไม่จำเป็นต้องรู้...แต่ชั้นขอยืนยันด้วยเกียรติลูกผู้หญิง ว่าเราสองคนไม่มีอะไรเกินเลยกัน เราไม่ทำอะไรต่ำๆ อย่างที่คุณคิดแน่”
“สตอเบอรี่”
เพ็ญนภาปราดเข้าตบญาณินอีก เพี๊ยะ ทนายสมชาติเข้าไปดึงเพ็ญนภาอีกหน คราวนี้แน่นกว่าเดิมไม่ยอมปล่อย
“คุณหนู”
ป้าอรวรรณทนไม่ไหวถกประโปรงจะเข้าไปเตะเพ็ญนภา
“มาเจอชั้นก่อน มา”
ทนายสมชาติมือหนึ่งจับเพ็ญนภา อีกมือกันป้าอรวรรณเอาไว้
“ถ้าแกยังหน้าด้านพูดว่าไม่มีอะไรอีก ชั้นก็จะตบแกอีก”
“ทนไม่ไหวแล้ว” กุมาริกาบอก
“เดี๋ยว” หลวงพิชัยภักดีรีบห้าม กุมาริกาหยุดกึก “ใจเย็นหนู...ฉันว่าเดี๋ยวมีอะไรดีๆ”
กุมาริกางง ญาณินมองหน้าเพ็ญนภา
“มองหน้าชั้นทำไม” เพ็ญนภาถามเสียงห้วน ติณห์ยืนกันญาณิน
“พอได้แล้วเพนนี”
“ยูไม่ต้องพูด ยูโกหก ยูทำให้เพนนีผิดหวังมาก รู้ตัวมั้ย”
“ผมไม่เคยโกหก”
“ไม่เคย ไม่ได้ทำ ไม่มีอะไร...ทั้งคุณทั้งมัน เตี๊ยมกันมาหรือไง ก็ชั้นบอกแล้วไงว่าไม่เชื่อๆๆๆ...คุณคิดว่าเพนนีโง่เหรอติณห์ เพนนีเป็นแฟนคุณ นิสัยคุณเป็นยังไงเพนนีรู้จักดี”
“ไม่ว่าจะยังไง คุณก็มั่นใจว่าผมกับคุณณินมีอะไรกัน ใช่มั้ย”
“ใช่”
ติณห์เดินเข้าไปคว้าญาณินมาจูบ เพ็ญนภาช็อก ป้าอรวรรณกับทนายสมชาติก็ช็อก กุมาริกาตะลึง
“ช่วยมันทั้งคืน มันดันหลับ แล้วอยู่ๆ มันอยากจะทำ มันก็ล่อในที่สาธารณะเลยวุ้ย หลานชั้น ฮ่าๆๆ” หลวงพิชัยภักดีหัวเราะอย่างชอบใจ
“โหววว พี่ฝรั่งทำอะไรเจ๊จีจ้าอ่ะ กินตับเหรอ”
“เฮ้ย” หลวงพิชัยภักดีรีบปิดตากุมาริกา “ เด็กห้ามดู”
“หนูโตแล้ว หนูดูได้ๆๆๆ”
ติณห์ผละออกจากญาณินแล้วบอกเพ็ญนภา
“อย่างนี้เป็นไง...พอใจยัง”
ญาณินอึ้ง งง ตัวชายิ่งกว่าโดนตบอีก ติณห์คว้ามือญาณินแล้วเดินออกไป
“ติณห์ หยุดนะ” เพ็ญนภาฝืนแรงทนายสมชาติเอาไว้ จะไปให้ได้ ทนายสมชาติปล่อยมือ “ว้าย! ติณห์ อร๊ายๆๆๆๆๆๆ” เพ็ญนภาเสียหลักล้มลงไป ป้าอรวรรณกับทนายสมชาติมองเพ็ญนภา
“คุณออครับ ถ้ามีลูกสอนลูก ถ้ามีหลานสอนหลาน ให้รู้ว่าการทำตัวแบบนี้น่ะ มันเสื่อม”
ป้าอรวรรณโทร.บอกสุคนธรสถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
“หา นายติณห์กล้าขนาดนั้นเลยเหรอคะ ป้าออ พวกผู้ชายนี่..แปลกที่สุด เกลียดที่สุดเกลียดทุกคนเลย” สุคนธรสพูดๆ อยู่ ก็ต้องชะงัก เพราะเสี่ยจำเริญกับเจ๊หญิงยืนรออยู่ “เสี่ยจำเริญ เจ๊หญิง”
สุคนธรสรีบกดตัดโทรศัพท์ แล้วไหว้ทั้งสองแบบตกใจๆ
“หนูรส...สบายดีหรือยัง...ลูก...”
“คืองี้นะจ๊ะ...คือเราก็ไม่อยากมารบกวนหนูหรอก แต่มีคนๆ นึง เค้ารบเร้า...ให้พวกเรามา...เพราะเขามีเรื่องสำคัญบางอย่าง...อยากจะมาบอกกับหนูจ้ะ”
เจ๊หญิง เสี่ยจำเริญ เผยตัวเหมือนเปิดฉากออก ไตรรัตน์เดินเข้ามา ท่าทางถูกบังคับ
“นายไตวาย!”
ไตรรัตน์เข้ามายืนทำท่าเซ็งเป็ด สุคนธรสมอง ตาแทบถลน แค้นมาก เจ๊หญิงกับเสี่ยถลึงตาใส่ไตรรัตน์ ไตรรัตน์ทำท่ากระบิดกระบวน เสี่ยจำเริญจึงตบกบาลไปทีหนึ่ง เจ๊หญิงผลักไตรรัตน์ทรุดลงนั่งคุกเข่าตรงหน้าสุคนธรส
ไตรรัตน์จ้องสุคนธรส หน้าเมื่อยๆ
“ขอมือหน่อย...”
“ขอมือทำไม ชั้นไม่ใช่หมา”
“พูดสิ”
“เร็ว”
เจ๊หญิงกับเสี่ยจำเริญเร่ง ไตรรัตน์จึงคว้ากระชากมือสุคนธรสมา พูดแบบท่องมาอย่างไร้อินเน่อร์เหมือนท่องส่งครู
“คุณสุคนธรสครับหลังจากผมไปคิดทบทวนการกระทำอันเลวร้ายของผม...ผมสำนึกแล้ว เอ...อะไรอีกหว่า...อ้อๆๆ ผมผิดไปแล้ว ผมจะรับผิดชอบทุกอย่าง อภัยให้ผมด้วย...แต่งงานกับผมนะ”
“หา...”
“จะแต่งไม่แต่ง”
สุคนธรสดึงมือออก แล้วตบๆๆ
“ใครจะแต่งกะคุณ คนเลว คนทุเรศ บ้ากาม วิตถาร เนรคุณ อกตัญญู เสือผู้หญิง มารสังคม ไปตายซะไป”
กรรัมภา กรรณา เนตรศิตางศุ์ ก๊องได้ยิน วิ่งออกมา ภาพที่เห็นคือไตรรัตน์โดนสุคนธรสซ้อมโดยไม่สู้ เสี่ยจำเริญกับเจ๊หญิงยืนตะลึง
เจ๊หญิง เสี่ยจำเริญ ไตรรัตน์ นั่งสุมหัวปรึกษากันมุมนึงแบบหงอๆ เจียมตัว สุคนธรสนั่งขรึม กอดอก เมินๆ มีเพื่อนๆ รุมสุมหัว มุมนึง
“เพราะแกแสดงออกว่าแกไม่จริงใจ ไม่อยากแต่งงานกะเค้าจริง”
“ช่างไร้ความเป็นลูกผู้ชาย ไม่เป็นสุภาพบุรุษ”
ฝั่งสุคนธรส ทุกคนมองหน้ากัน
“แต่จะว่าไป...การแต่งงาน...มันก็อาจจะเป็นทางออกที่ดี สำหรับผู้หญิงที่ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว”
เนตริศิตางศุ์กระซิบกับเพื่อนๆ ฝั่งไตรรัตน์ พ่อแม่อารมณ์ปรี๊ดขึ้น
“แกไม่ต้องมาเรียกแม่ว่าแม่อีก”
“แล้วก็เชิญออกจากบ้านไปให้พ้น ไปหางานทำเอง ไม่ต้องมาช่วยพวกเราทำตลาดอีกต่อไป”
ฝั่งสุคนธรส ทุกคนเครียด
“เอางี้...เราจะต้องเรียกค่าเสียหายให้คุ้ม ต้องเขกค่าสินสอดทองหมั้นให้หลายๆ ล้าน เอาให้มันหมดตัวเลย”
ฝั่งไตรรัตน์ พ่อแม่เริ่มเศร้า
“พวกเราจะทำตลาดไปตามลำพังประสาพ่อแม่แก่ๆ เหนื่อยก็เหนื่อย ล้าก็ล้า...ปัญหาก็มากมาย...แต่พวกเราก็จะกัดฟันทน”
“เพราะลูกมันเนรคุณ มันไม่ยอมช่วย...ไม่ยอม...มาช่วยพ่อแม่และครอบครัวให้พ้นภัย สมควรตัดมันออกไปจากกองมรดก”
ไตรรัตน์กุมหัว...ฝั่งสุคนธรส ทุกคนเริ่มบรรเจิด
“ใช่! แล้วพิธีแต่งงานก็ต้องยิ่งใหญ่อลังการด้วย...อย่างน้อย...ต้องแต่งที่...ที่...”
“อิมแพ็คอารีน่า เมืองทองธานี”
ไตรรัตน์ทนพ่อแม่ไม่ได้ โดดเด้งออกมา
“โอเคๆๆๆ ผมยอมแล้วครับ...ผมยอม”
สุคนธรสก็สุดทน เด้งออกมาจากเพื่อนๆ
“แต่พ่อแม่ของชั้นไม่มีวันยอม คนที่เห็นชั้นเป็นของเล่น จะต้องถูกพ่อแม่ชั้นอัดให้จมดิน”
สุคนธรสกับไตรรัตน์เด้งมาชนกันกลางห้อง แล้วต่างหันมาเผชิญหน้ากัน สุคนธรสสะบัดหน้าใส่ไตรรัตน์เศร้าๆ
ไตรรัตน์กะสุคนธรสต่างยืนอยู่กันคนละมุมห้อง คนที่เหลือรวมตัวกันแอบดูห่างๆ
“นึกได้แล้ว”
ไตรรัตน์กับสุคนธรสพูดออกมาพร้อมกัน
“อะไร”
“คุณก่อน...”
“เราต่างก็ไม่อยากแต่งงานใช่ไหม ฉันจะบอกทุกคนว่าเรื่องที่ทุกคนคิด หรือบังเอิญได้ยิน...มันไม่จริง มันไม่เคยเกิดขึ้น เราไม่มีอะไรกัน ทุกคนเข้าใจผิดไปเอง”
“ก็เราไม่ได้มีอะไรจริงๆอยู่แล้วนี่...”
“นี่...เอายังไง...” สุคนธรสฉุน ไตรรัตน์อึ้งไปนิด
“แล้วทุกคนเค้าจะเชื่อเหรอ”
แก๊งค์ที่แอบฟัง ต่างเงี่ยหูกัน
“เชื่อสิ ...ชั้นจะบอกใครๆ ว่าชั้นแกล้งหลอกอำทุกคนเล่นสนุกๆ คุณก็พูดให้ตรงกันละกัน ว่าทั้งหมดมันเป็นแค่...การเล่นละคร...ลองใจ...แบบ...แบบรายการตีท้ายครัวไง”
“แต่...มันทำให้คุณเป็นฝ่ายเสียหายนะ”
“ไม่เป็นไร เสียหายแค่นี้ ยังพอใส่ตะกร้าล้างน้ำได้ แต่ถ้าถึงกับต้องแต่งงานกัน ชั้นคงจะเสียหายกว่านี้อีกมาก”
“อ๋อ...ที่แท้ คุณเป็นผู้หญิงแบบนี้เอง วันไนท์สแตนด์...สามารถไปอะไรๆ กะผู้ชายแค่คืนเดียวก็ได้ เพื่อความสนุกสนาน”
“อีตาบ้า...ใครบอกยะ ยังกะนอนกะคุณแล้วสนุกสนานตายล่ะ”
สุคนธรสบอกเสียงดัง ทุกคนที่แอบฟังได้ยินเต็มๆ
“อา...มิน่าล่ะ ไอ้ตี๋เล็กมันไม่เอาไหนนี่เอง”
“โธ่...เสียหน้าสุดๆ”
“งั้นพี่รสไม่แต่งงานด้วยก็ถูกแล้วล่ะ”
“หมายความว่ายังไงคะ”
“ปิดหูไปเลย ยัยเนตร”
“ชู่ววว...เงียบ...”
“เอาล่ะ งั้นมาฟังแผนผมมั่ง” ไตรรัตน์ขยับมาใกล้ ลดเสียงกระซิบ “ตะกี๊คุณพูดถึงพ่อแม่คุณ...ใช่ไหม ทำไมเราไม่ไปหาพ่อแม่คุณกัน แล้วเราก็บอกทุกคน ว่าผมพาคุณไปกราบขอขมาแล้วเราก็ไปถ่ายรูปหมู่ ส่งมาให้ทุกคนดู แต่ความจริง...เราไม่ต้องบอกอะไรท่าน แล้วเราก็มาบอกพ่อแม่ผม และเพื่อนๆ คุณว่าพ่อแม่คุณไม่ยอมยกให้...เพราะผมมันเลว...แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง พ่อแม่ผมก็ไม่โกรธผม แล้วคุณก็ดูดี สูงส่ง”
“แล้ว...ชั้นก็...เสียฟรี ไม่ได้อะไรเลยสิ”
“ผมจะชดใช้ค่าเสียหายให้ตามที่คุณจะเรียกเลย...จะเอากี่ล้านก็ว่ามา ผมยินดีเอาเงินแลก แทนการแต่งงานกะคุณ”
“อะไรนะ...นายจะเอาเงินมาซื้อพรหมจรรย์ชั้นเหรอ งั้นก็ไปโรงพักกันดีกว่า ชั้นว่า ชั้นอาจจะสบายใจขึ้น ถ้าเห็นคุณติดคุกรับกรรมมากกว่าอย่างอื่น”
ไตรรัตน์น้อยใจขึ้นมา
“คุณอยากให้ผมรับกรรมงั้นเหรอ...ด๊าย...งั้นไม่ต้องไปถึงโรงพักหรอก...แค่เอาสร้อยนี่ออกให้ผีมาเอาชีวิตผมไปเลยไง ง่ายนิดเดียว” ไตรรัตน์ถอดสร้อย ส่งคืนสุคนธรส
“โธ่ ลูกแม่ แค่โดนผู้หญิงว่าไม่เอาไหน ถึงกับจะฆ่าตัวตายเลยเหรอ”
สุคนธรสรีบถอยหนี
“สวมกลับไป” สุคนธรสมองรอบๆ กลัวๆ “สวมสร้อยพระคืนกลับไปเดี๋ยวนี้นะ...คุณต้องเอาพระไว้กับตัวคุณตลอดๆ เพราะต่อไปนี้ ชั้นจะไม่ไปยุ่งกะคุณอีกแล้ว เราสิ้นสุดกัน”
“ไม่...จนกว่าคุณจะยอมทำตามแผนของผมซึ่งแน่นอนว่าดีกว่าแผนคุณแน่ รับรองบัวไม่ช้ำ น้ำไม่ขุ่น”
“นี่...คุณขู่ชั้น...เอาชีวิตตัวคุณเองเป็นประกันเหรอ”
“ช่าย...” ไตรรัตน์วางสร้อยลงบนโต๊ะ “นี่ไง...ผีจ๋า ผี...ผีอยู่ไหน มาเอาชีวิตผมไปเลย...”
ทุกคนตกใจ ลมพัดมา แรงๆๆผิดปกติ ทุกคนทำหน้าเลิ่กลั่ก
“ไม่ได้นะ” สุคนธรสรีบวิ่งมา คว้าสร้อยแล้วโดดมาใส่ให้ไตรรัตน์ตามเดิม “คุณจะมาตายเพราะเหตุผลนี้ไม่ได้ ไม่งั้น นายหมอผีสมคิดก็จะชนะชั้นน่ะสิ...”
ทันใดลมสงบลงทันตาเห็น ไตรรัตน์มองรอบๆ
“ตกลง...คุณกะหมอผีสมคิด ไม่ได้ฮั้วกันแน่นะ”
“ก็ไม่น่ะสิ”
“เออ...ผมมีอะไรจะบอก”
“อะไร”
“หมอผีสมคิดคือคนที่บอกพ่อแม่ ว่าเราต้องแต่งงานกันถึงจะดี แล้วก็บอกให้เอาดวงคุณไปให้ เพราะเค้าจะทำพิธีเสริมชะตาให้เราสองคน...หรืออะไรประมาณเนี้ยแหละ”
สุคนธรสตาลุก ไตรรัตน์พยักเพยิด มีความอยากจะหาความจริงเกี่ยวกะหมอสมคิดเหมือนกัน พวกหมู่มวลลุ้น สงสัย
เจ๊หญิงเอากระดาษจดวันเดือนปีเกิดของไตรรัตน์กับสุคนธรสให้หมอผีสมคิด
“นี่ค่ะอาจารย์ แผ่นนี้วันเดือนปีเกิดของเจ้าไตร ส่วนแผ่นนี้ของหนูสุคนธรส อาจารย์ช่วยทำพิธีเดี๋ยวนี้เลยได้มั้ยคะ ฉันจะได้สบายใจ”
“อาจารย์เตรียมพิธีไว้เรียบร้อยแล้ว”
“เสี่ยกับเจ๊สบายใจได้ งานนี้ อาจารย์จัดหนักแน่”
หมอผีสมคิดหัวเราะ หาญ กล้าหัวเราะด้วย เสี่ยจำเริญมองหมอผีสมคิดอย่างไม่ค่อยแน่ใจในตัวเท่าไหร่
ภายในห้องทำพิธี ที่ถาดวางของขลังที่หมอผีสมคิดจะทำพิธีถูกนำมาวางโดยหาญและกล้า
“มาแล้วอาจารย์ตะปูคอกโลงศพ”
“เหล็กยอดเจดีย์ แล้วก็...”
“พอๆ...ไม่ต้องสาธยายมาก”
หมอผีสมคิดวางกระดาษจดวันเดือนปีเกิดของสุคนธรสลงบนพานที่มีขนอีกาวางรองพื้นเอาไว้ จากนั้นหมอผีสมคิดก็ยื่นมือออกไปเหนือกระดาษนั้น ปากพึมพำคาถาขนอีกาขยับกลายเป็นควันดำห่อคลุมกระดาษแผ่นนั้นเอาไว้
หมอผีสมคิดพึมพำคาถามากขึ้น แต่ในที่สุดขนอีกาก็คลายตัวออก ทุกอย่างกลับมาอยู่ในสภาพปกติ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทุกคนงง
“อ้าว ทำไม...คาถาอาจารย์เสื่อมเหรอครับ”
“ทะลึ่งแล้ว! นี่...ไม่ใช่วันเดือนปีเกิดของอีนังนั่น”
“แล้วเป็นของใครครับ”
“กูจะรู้มั้ย...มันให้วันเดือนปีเกิดปลอมมา หน็อย อีนังสุคนธรส”
หมอผีสมคิดแค้นจัด
ที่บริษัทซิกซ์เซ้นส์ สุคนธรสกำลังหัวเราะร่า
“ไอ้หมอผี อย่าหวังเลย ว่าจะได้ดวงชั้นไปทำมิดีมิร้าย ชั้นเป็นแม่หมอ เป็นจอมขมังเวทย์ผู้ศึกษาไสยขาว...คนเล่นของใครเค้าบอกวันเดือนปีเกิดจริงๆ กัน...ไม่มี...หลวงลุงกำชับชั้นมาตลอดว่าห้ามให้คนแปลกหน้ารู้วันเดือนปีเกิดจริงๆ เด็ดขาด มันอันตรายถึงชีวิต”
“แต่พวกชั้นรู้ นี่แกก็ปกปิดพวกชั้นด้วยเหรอ เฮ้ยยยยย แกมันแสบมาก”
ทุกคนหัวเราะร่า
“พี่แก้มๆ ระวังๆๆ ร่องแก้มลึกแล้วๆ”
“ว้าย! ไม่ๆๆๆ” กรรัมภาพยายามไม่ขยับหน้า “แกไม่ต้องหัวเราะชั้นเลยนายก๊อง เดี๋ยวเย็นนี้ชั้นจะกลับมาสวยหน้าตึงเปรี๊ยะตามเดิม นายคอยดู๊”
กรรัมภารีบร้อนออกไปทันที
“พี่แก้มนี่สวย เริ่ด เชิ่ด ตลกดีเนอะ”
“แกล้งเพื่อนชั้น สนุกมากมั้ย...แน่จริงแกแกล้งยัยรสสิ อย่าเอาแต่แกล้งยัยแก้มหรือยัยเนตรที่ไม่กล้าสู้แก”
“เอ๊ะ เดี๋ยวๆ แล้วยัยเนตรล่ะ อยู่ไหน”
แล้วทุกคนก็ตาโต หันมองหน้ากัน ต่างตกใจ เข้าใจทันทีว่าเนตรศิตางศุ์หายไปไหน
“พัทยา”
ขณะนั้นเนตรศิตางศุ์นั่งซ้อนท้ายหมอวรวรรธอยู่บนมอเตอร์ไซค์ที่กำลังมุ่งหน้าไปพัทยา เนตรศิตางศุ์ร้อนใจ พยายามเซ้าซี้ให้หมอวรวรรธเร่งเครื่องอีกๆ
“ชั้นต้องไปให้ถึงโรงละครก่อนเที่ยงนะ เร็วกว่านี้อีกได้มั้ยหมอ รถคันอื่นแซงเราหมดแล้ว”
“ก็นั่นมันรถเก๋ง เรามันรถเครื่อง แล้วผมก็ไม่ใช่เด็กแว้นด้วย”
“ขี่เร็วๆๆๆๆ”
เนตรศิตางศุ์ตีๆๆๆๆ
“โอ๊ย อย่าตี เดี๋ยวก็คว่ำหรอก...เร็วแล้วๆๆๆๆ”
หมอวรวรรธรีบขี่รถไป เนตรศิตางศุ์ร้อนใจมาก
ที่สถานเสริมความงามรุทคลินิค กรรัมภาเดินเข้ามาภายในร้านเห็นลูกค้านั่งรอคิวเพียบ มีลูกค้าที่มีผ้าปิดหน้า ปิดตา จมูก เพิ่งผ่านการทำศัลยกรรม
“ไม่เวิร์คจริง ลูกค้าไม่เยอะขนาดนี้แน่” กรรัมภาไปที่เคาน์เตอร์ “สวัสดีค่ะ กรรัมภาที่โทรมานัดคิวเอาไว้แล้วค่ะ”
“อ๋อ ค่ะ นั่งรอสักครู่นะคะ คุณหมอกำลังมา”
“ค่ะ”
ภายในคลินิคตกแต่งอย่างหรู เรียบ เนี้ยบ และสะอาดสะอ้าน แล้วก็กรรัมภาก็ตื่นตากับตู้ปลาทะเลที่ตั้งเด่นเป็นเครื่องประดับเอกของห้อง กรรัมภาเข้าไปดูตู้ปลานั้นอย่างตื่นเต้น อยู่ๆ มีเงาผู้ชายมายืนฝั่งตรงข้าม และกำลังก้มมองปลาจุดๆ เดียวกับกรรัมภาพอดี เมื่อปลาว่ายผ่านไป ทั้งคู่ก็บังเอิญสบตากัน กรรัมภารู้ว่าถูกผู้ชายเหล่ รีบไว้ตัว
แต่ชายคนนั้นเดินอ้อมตู้ปลามามองหน้ากรรัมภาด้วยความสนใจมาก กรรัมภาเห็นหน้าเขาเต็มๆ คือ หมอรุท
“มองอะไรคะ”
“ขอโทษครับๆ คือ ผม...ผมมองคุณมากไปใช่มั้ยครับ ขอโทษนะครับ”
อยู่ๆ ลาภ ผู้ช่วยหมอเดินออกมาเรียก
“หมอรุทครับ เชิญครับ คนไข้รออยู่ครับ”
กรรัมภาจำได้ขึ้นมาทันทีว่าคือคนเดียวกะบนป้ายโฆษณาหน้าคลีนิค
“ฮ้า หมอรุท”
“แล้วเจอกันในห้องตรวจนะครับ”
หมอรุทยิ้มเก๋ แล้วเดินไป กรรัมภามองตามไปอย่างประทับใจ
“หมอรุท หล่อ ตี๋ เกาหลีโดนใจ ว้าว..ไม่ๆๆ เราต้องซื่อสัตย์ต่อปาร์คจุนจีของเราคนเดียว”
ลาภกำลังจะตามหมอรุทไป แล้วชะงักหันมามองกรรัมภา ขำๆ
หมอรุทกำลังส่งคนไข้คนนึงออกไปจากห้อง จากนั้นก็ถอดถุงมือที่สวมอยู่ทิ้งแล้วไปล้างมือเพื่อเตรียมตรวจคนไข้รายต่อไป กรรัมภาเข้ามายังไม่เห็นหมอเดินไปนั่งรอ ใกล้ๆ โต๊ะหมอ มีตู้ปลาทะเลเล็กตู้นึงตั้งประดับอยู่ ภายในตู้ตกแต่งสวยงาม หมอรุทเดินเข้ามาเจอกรรัมภา
“อ้าว คุณ...เอ่อ?”
“กรรัมภาค่ะ แปลว่า มือนางฟ้า”
“ครับ...ผมหมอรุทครับ...เอ่อ...คำแปล...ไม่มี”
กรรัมภายิ้มๆ ขำๆ
“ลาภครับ...แปลว่าโชคที่มาโดยบังเอิญ ไม่ใช่อาหารอีสานที่เอาไว้กินกับข้าวเหนียวนะครับ...ฮะๆๆ” ลาภพูดเองขำเอง หมอรุทหันมามองลาภแบบตำหนิๆ ลาภรู้ตัวว่าผิดจังหวะ รีบเปลี่ยนเรื่อง “คุณกรระรัมภา มีปัญหาอะไร บอกคุณหมอได้เลยครับ”
“กรค่ะ กรรัมภา...หรือแก้มค่ะ”
“ฮ่าๆ ครับๆ”
“แก้ม อยากให้คุณหมอช่วยดูร่องแก้มหน่อยค่ะ” กรรัมภายื่นหน้า เอียงหน้าให้ดู “มีคนทักว่ามันเริ่มลึกแล้ว”
“อ๋อ ฉีดฟิลเลอร์นิดเดียวก็เรียบร้อยครับ” ลาภบอก
“เหรอคะหมอ”
แต่หมอรุทมองใบหน้ากรรัมภาเพลิน ลาภเรียกให้รู้ตัว
“หมอรุทครับ” หมอรุทได้สติ
“หา...ใช่ๆ”
“หน้าแก้มมีอะไรไม่ดีใช่มั้ยคะหมอ บอกแก้มมาเลยค่ะ มันคือริ้วรอยเจ็ดประการ ตีนกา หน้าผากย่น หนังตาตก เหนียงยาน ใช่มั้ยคะ...หมอต้องรักษาให้แก้มนะคะ”
“หน้าคุณแก้มไม่ได้มีอะไรผิดปกติหรอกครับ ออกจะลงตัว สมส่วนด้วยซ้ำไปครับ”
“อะไรนะคะ”
“คือ ผม...ขออนุญาตพูดตรงๆ นะครับ...ผมชอบรูปหน้าของคุณแก้มมาก เห็นแล้วอยากเอามีดกรีด”
“อะไรนะคะ”
“หมอรุทหมายถึง...รูปหน้าอย่างคุณแก้ม ถ้าให้หมอรุทเจาะตรงนี้นิด เสริมตรงนั้นหน่อย รับรองว่าสวยระดับนางเอกได้สบายๆ เลยครับ” ลาภบอกห
“จริงครับ”
“ไม่ต้องสวยขนาดนางเอกหรอกค่ะ ขอแค่สวยซอฟท์ๆ แบบหนุ่มเกาหลีรัก เกาหลีหลง ก็โอแล้วค่ะ”
กรรัมภายิ้มหวาน ส่งสายตาคิกๆ คักๆ กับหมอรุทไปมา ลาภมองทั้งคู่แล้วยิ้มๆ
โปรดติดตามตอนต่อไป