The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 4
ญาณินกดโทร.ออกอีกแต่ไม่ติด
“ปิดเครื่อง...หน็อย ต้องเป็นฝีมือยัยปากแดงแน่ๆ” ญาณินคิดว่าจะทำยังไงดี สุดท้ายก็แหกปากออกมา “หยุดรถ...หยุดๆๆๆๆ”
สุคนธรสตกใจเหยียบเบรกกะทันหัน ทุกคนหัวทิ่มไปตามๆ กัน
“เจ๊จะแหกปากทำไม เดี๋ยวก็แหกโค้งตายกันยกคันหรอก”
“นายติณห์กำลังมีอันตราย”
“นายติณไม่ได้เป็นอะไร เจ๊แค่ฝันไป อย่าจริงจังกับความฝันได้มั้ย”
“ชั้นเห็นภาพนายติณห์ตาย แล้วยัยเพนนีก็อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย แล้วตอนนี้ยัยเพนนีก็อยู่กับนายติณห์...มันไม่ใช่ฝัน...มันไม่ใช่” ญาณินชะงัก เพราะเห็นบางอย่างที่หน้ารถ “นั่นมัน...” ที่คอนโซลรถไพ่ยิปซีปลิวกระจาย ทุกใบคว่ำหมด แต่มีไพ่เดอะเด๊ดหงายเปิดขึ้นมาอย่างโดดเด่นเหมือนเป็นลางสังหรณ์บางอย่าง “ไพ่เดอะเด๊ด...ความตาย...มันไม่ใช่ฝัน ยัยรส หลบไปๆๆๆๆ”
ญาณินผลักไสสุคนธรสออกให้สลับตำแหน่งกับตัวเอง ญาณินไปนั่งตำแหน่งคนขับแทน
“เจ๊...เจ๊จะไปไหน”
“ชั้นจะไปกาญฯ”
“ห๊ะ”
ญาณินกระชากรถออกไป พวกเพื่อนๆ มึนงงกับอาการของญาณิน ญาณินขับรถเร็วมากด้วยความร้อนใจเพราะเป็นห่วงติณห์
ติณห์กำลังเดินทางไปพบกับพ่อของทนายสมชาติ ติณห์นั่งมองออกไปนอกหน้าต่างรถสีหน้าครุ่นคิดเครียดเรื่องคุณหลวงตลอดเวลา เพ็ญนภาที่นั่งคู่มาด้วยหันมาเกาะแขนแอบอิงไหล่ ยิ้ม แววตามีเสศนัยบางอย่าง ติณห์กลับนั่งจมอยู่กับความคิดไม่มีอารมณ์จะหวานด้วย ทนายสมชาติที่ทำหน้าที่ขับรถไปมองไปทางข้างหน้าเห็นอะไรบางอย่าง
“เอ๊ะ...นั่นมันพวกคนงานชุดที่แล้วนี่ครับคุณติณห์!”
“กล้าเนอะ ทิ้งงานไป ยังจะมาโผล่มาให้เห็นหน้าอีกเหรอเนี่ยะ หึ”
ติณห์ละสายตามองไปหน้ารถ เห็นกำนันพงษ์กำลังจอดรถคุยอยู่กับกลุ่มชายฉกรรจ์สามคน
ทนายสมชาติขับเข้ามาจอดรถใกล้กำนันพงษ์และกลุ่มคนงานที่กำลังคุยหน้าดำคร่ำเครียดกันอยู่ติณห์รีโมทกระจกลงถาม
“มีอะไรรึปล่าวครับกำนัน?”
พวกคนงานพอเห็นติณห์ก็หันขวับมามองอย่างไม่พอใจทันที
“อ้าคุณติณห์! มาพอดี ผมกำลังเคลียร์กับไอ้คนงานพวกนี้ให้คุณ อยู่ๆ มันก็โผล่มาจะไปทวงค่าแรงจากคุณ”
ติณห์เปิดประตูลงจากรถ เพ็ญนภาจะคว้าไว้
“อย่าลงไปค่ะติณห์ เดี๋ยว...โธ่เอ้ย!ลงไปทำไม”
“ค่าแรงอะไรครับ ผู้รับเหมาทิ้งงานผมไป ผมต้องจ่ายด้วยเหรอห่ะ” ติณห์ลงมาถาม
“อ้าว พูดงี้ไม่สวยนะคู๊ณ พวกเราลงมือทำงานไปแล้วตั้งอาทิตย์นึง แบกดินแบกปูนเสียเหงื่อไปตั้งเท่าไหร่ คุณก็ต้องจ่ายค่าแรงมาตามจริงเซ่”
“Noๆๆ หัวหน้าของพวกคุณเบิกค่าจ้างล่วงหน้าผมไปแล้วงวดนึง ได้เงินไปเป็นแสน ในนั้นมีค่าแรงของพวกคุณด้วย อยู่ๆ ก็ทิ้งงานไปดื้อๆ เอาเรื่องผีหลอกมาอ้าง หึ งี่เง่าแอนด์สติ้วปิ๊ด ผมเป็นฝ่ายที่เสียตัวนะคุ๊ณ”
“เสียตัวอะไรจ๊ะน้อง ฮ่ะๆๆๆ”
กลุ่มคนงานหัวเราะก๊าก ทนายสมชาติต้องรีบกระซิบ
“แฮ่ม...เสียหายครับคุณติณห์ ไม่ใช่เสียตัว”
“หัวเราะอะไร Shut up!” ติณห์ตวาดคนงาน “ผมเป็นฝ่ายที่เสียหาย พวกคุณจะมาเรียกร้องอะไรอีก no way!”
“เยส! อยากได้เงิน พวกแกก็ไปตามทวงจากหัวหน้าพวกแกสิไป...ชิ้วๆ get out!”
“เฮ้ย...คนนะเว้ยไม่ใช่หมูใช่หมา...มาไล่กันแบบนี้...จะจ่ายหรือไม่จ่าย”
“ไม่จ่าย ฟังภาษาคนออกใช่ไหม๊! ไม่จ่ายๆ”
“ปากดีนักนังนี่”
คนงานสองโกรธจัดเดินเข้าหาเพ็ญนภา
“อ๊าย…help me ติณห์”
ติณห์ถลาเข้าช่วย ผลักอกคนงาน
“เฮ้ยู...รังแกผู้หญิง ไม่แมนเลยยู”
“แมนยูกูไม่สนเว้ย กูแฟนคลับทีมกิเลนผยองโว้ย เอามันนี่กูมา”
คนงานผลักอกติณห์คืน เพื่อนสองคนเห็นอย่างนั้นเลยกรูเข้ามาจะรุมติณห์ทนายสมชาติปรี่เข้า
มายกมือขวาง
“หยุดนะ คุยกันดีๆ ทำไมต้องใช้กำลังด้วย ทำร้ายร่างกาย เป็นคดีอาญา”
คนงานยิ้มสมเพชก่อนต่อยทนายสมชาติเข้าเต็มเป้าตา ตูม!
“โอ๊ย...”
“เฮ้ย...ยูทำทนายผ๊มทำมาย เอส”
ติณห์ชกคนงานโครม...คะมำไป คนงานที่เหลือจะเข้ามารุมติณห์
“อ๊าย!ติณห์...ช่วยติณห์ด้วย”
คนงานจะรุมติณห์ทางด้านหลังแต่กำนันพงษ์ใช้ไม้ตะพดหวดคนงานเจ็บ เซไปหาสน สนเหวี่ยงคนงานลงไปกองกับพื้น กำนันพงษ์หันไปหวดคนงานแล้วใช้ไม้ตะพดงัดคอล็อคไว้
“ต่อหน้ากำนันพงษ์ พวกมึงกล้าทำร้ายคุณติณห์เหรอห่ะกูจะเอามึงเข้าตะราง”
เพ็ญนภาปรี่เข้ามาหาติณห์
“ใช่ๆ ให้ติดคุกหัวโตเลย”
“เฮ้ๆ เทค อิท อีซี่...ใจเย็นก่อนกำนัน อย่าให้ถึงตำรวจเลย ผมไม่อยากมีปัญหา”
“คุณติณห์ไม่เอามันติดคุกก็ได้ แต่เรื่องเงิน ต้องไปตกลงที่โรงพัก ไม่งั้นไม่จบ”
ติณห์ชะงักคิด
“ทนายสมชาติ คุณว่าไง?”
ติณห์หันไปถามทนายสมชาติ
“ผม...ผมไม่เอาเรื่องทำร้ายร่างกายก็ได้ครับ...ซี้ด”
ทนายสมชาติจับเบ้าตาที่เขียวช้ำเป็นหมีแพนด้าของตัวเอง
ที่บริษัทซิกซ์เซ้นส์ ป้าอรวรรณยืนรอพร้อมกระเป๋าอยู่หน้าอาคาร รถญาณินขับเข้ามาจอดเอี๊ยดที่บริเวณด้านหน้าบริษัท ป้าอรวรรณรีบถือกระเป๋าวิ่งมาที่รถ พวกสาวๆ ลงไปกันหมด
“คุณญาณินมาเร็วยังกะขี่จรวด ตอนโทรมาหาป้ายังอยู่ชลบุรีอยู่เลยนี่คะ”
“ไม่เร็วได้ไงป้า เจ๊ใหญ่ของเราเหยียบมา160”
“ว้าย ตายแล้ว”
“เสื้อผ้าข้าวของของหนูล่ะคะ”
“เรียบร้อย” ป้าอรวรรณชูกระเป๋า “ทุกสิ่งครบครันได้ดั่งใจ ด้วยมือของป้าออค่ะ ฮิๆ”
“งั้นฉันไปล่ะ”
“ฉันขอถามหน่อยดิ เจ๊มองเห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นกะคุณติณห์ที่เมืองกาญจน์ ตอบมา”
“ม่ะ...ฉันตอบเอง ว่าเจ๊ค้นพบใจตัวเองแล้ว...ว่าเลิฟเค้า”
กรรณาชี้หน้าถามคาดคั้นญาณิน ญาณินหักนิ้วกรรณา กรรณาเจ็บอ้าปากค้าง
“ฉันไม่ใช่ผู้หญิงใจง่ายนะเชอะ ฉันลาล่ะย่ะ” ญาณินเดินจะไปที่รถ
“เดี๋ยว! เป็นผู้หญิงยิงเรือ จะไปอยู่ทำงานใกล้ชิดกับผู้ชาย โดยไม่มีสายตาญาติผู้ใหญ่คอยดูแลม่ายด้ายค่ะ...เดี๋ยวป้าจะไปทำหน้าที่เป็นญาติผู้ใหญ่เองค่ะ” ป้าอรวรรณหยิบแว่นกันแดดสุดเดิ้นขึ้นมาใส่ “เชิญขึ้นรถค่ะคุณหนู เดี๋ยวป้าจะพาไปเองอย่างปลอดภัย” ป้าอรวรรณดันญาณินขึ้นรถ แล้วโบกมือให้ทั้งสี่สาว “บ๊ายบายนะค้าสาวๆ”
ป้าอรวรรณเข้าเกียร์ซิ่งออกไป ...โคตรตีนผีเลย สี่สาวมองตาม ทึ่งๆ แล้วหันมา หัวเราะขำกัน
ทนายสมชาติขับรถมาส่งติณห์ที่หน้าบ้าน ติณห์ลงจากรถอย่างเหนื่อยๆ ทนายสมชาติกุมเป้าตาถือถุงยาจากคลีนิคลงมา
“มัวแต่ยุ่งที่โรงพัก กับไปหาหมอ คุณติณห์เลยอดไปหาพ่อผมเลยครับ”
“ไว้ไปวันหลังก็ได้ครับ...ตาคุณ...รู้สึกดีขึ้นหรือยัง?”
“โชคดีที่เป็นตา ไม่เป็นยาย ไม่งั้นคงเจ็บหนักกว่านี้”
ติณห์ยิ้มๆ ขำออกมา แต่เพ็ญนภาเซ็ง
“ไปพักตาเถอะค่ะ ไป เดี๋ยวยายเป็นห่วง”
“นั้นสิครับ ตาแย่แล้ว...งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
ทนายสมชาติเดินแยกไป ติณห์หันเดินเข้าบ้าน เพ็ญนภารีบเข้าเกาะแขนติณห์
“เหนื่อยก็พักเถอะค่ะติณห์ รีสอร์ทนี่คงไม่ถูกโฉลกกับดวงของคุณแน่ๆ You see?จะทำอะไรก็ติดๆ ขัดๆ เกิดเรื่องเกิดราวเต็มไปหมด ประกาศขายที่ดินไปซะก็สิ้นเรื่อง เพนนีห่วงคุณมากนะคะ ไม่อยากเห็นคุณซีเรียสอย่างงี้เลย”
เพ็ญนภาใช้สองมือจับหน้าติณห์ ติณห์ฝืนยิ้ม
“ขอบคุณที่เป็นห่วงผม แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ผมเครียด ก็อย่าพูดเรื่องขายที่ดินอีกแค่รีสอร์ทอันเดียว ผมสร้างให้มันสำเร็จไม่ได้...ก็ให้มันรู้ไป”
“รีสอร์ทเรียกเป็นอันๆ...เห้อ...”
ติณห์เดินตรงไปที่บ้านพัก แต่แล้วติณห์ต้องชะงักแปลกใจที่เห็นบ้านปิดไฟมืด
“เอ๊ะ ตั้งระบบเปิดไฟอัตโนมัติเอาไว้นี่ ทำไมไฟไม่ติด ประตูก็เปิดอยู่”
ติณห์จะก้าวเข้าบ้าน ทันใดนั้นวิญญาณหลวงพิชัยภักดีออกมายืนยกมือห้าม
“อย่าเข้าไป”
แต่ติณห์มองไม่เห็น เดินผ่านหลวงพิชัยภักดีไป หลวงพิชัยภักดีหันไปมองตกใจ ยื่นมือไปคลื่นพลังที่มีอยู่ผลักกระถางต้นไม้ให้ล้มลงขวางหน้าติณห์ เพ็ญนภาสะดุ้งตกใจ
“ว้าย!”
ติณห์แค่ชะงักหันมองแปลกใจว่าต้นไม้ล้มลงได้ยังไง แล้วยกกระถางขึ้นก่อนจะเดินต่อไปถึงประตู ตัวหลวงพิชัยภักดีเริ่มจางลง
“โอ้ย...จะหมดแรงแล้ว”
หลวงพิชัยภักดีใช้พลังที่มีอยู่ปิดประตูปัง! แต่ติณห์ไม่เอะใจอะไร กลับหงุดหงิด
“วันนี้มันวันแบ๊ดเดย์ อันลักกี้ โชคร้ายที่สุด แม้แต่ประตูยังปิดใส่หน้าเลย เฮ่อ...”
ติณห์เปิดประตูเข้าบ้านไป ปล่อยให้เพ็ญนภายกมือทาบอก กลอกตามองกลัวๆ ไปรอบๆ
“ติณห์คะ เข้าบ้านไม่ชวนกันเลยอ่ะ ทำไมที่นี่มันถึงวิเวกวังเวงอย่างงี้นะ บรื๋ออ”
หลวงพิชัยภักดีตัวจางลงจนหายไปในที่สุด
“พระคุ้มครองนะ...”
ติณห์ก้าวเข้าบ้านมาในบ้านที่สลัว เดินไปจะไปกดเปิดสวิตช์ไฟ แต่เห็นเงาคนวิ่งแว้บผ่านหลังไป ติณห์หันขวับไปมอง...ไม่มีเสียงตอบ ติณห์หันไปคว้าไม้กอล์ฟจากที่เดินผ่านแต่เห็นหลังคนวิ่งแว้บไปที่ระเบียง
“เฮ้ยยู...Stop!” ติณห์วิ่งไล่ตาม แต่คนๆ นั้นวิ่งหนีออกจากบ้านไปทางระเบียงกระโดดหายไปกับป่าข้างล่าง ติณห์วิ่งมายืนมองที่ระเบียง แต่ไม่เห็นแล้ว “ใครวะ? แอบเข้ามาในบ้าน ต้องการอะไร” ติณห์ตบระเบียงอย่างฉุน หันเดินกลับเข้าบ้าน ควักโทรศัพท์ออกมากดโทรหาทนายสมชาติ “ทนายสมชาติครับ เข้ามาหาผมในบ้านหน่อยครับ” ระหว่างนั้นก็วางไม้กอล์ฟ ยื่นมือไปกดสวิตช์โคมไฟใหญ่ “มีคนเข้า...” ทันทีที่มือติณห์กดเปิดสวิทซ์ไฟ ไฟรั่ว ช็อตติณห์เกิดประกายไฟ ตัวติณห์สั่นเทิม ตาตั้ง “อ๊ากกก”
มือถือตกพื้น ติณห์พยายามสะบัดมือออกเต็มแรงจนหลุด ทำให้ตัวติณห์กระเด็นหงายหลังไปชนผนังล้มลงตึง
ป้าอรวรรณขับรถมาจอดหน้าบ้านติณห์พอดี
“เนี่ยะนะเหรอรีสอร์ทของคุณตีนอะไรนั่น”
“ติณห์...ค่ะป้า”
ญาณินเปิดประตู ยังไม่ทันลงจากรถก็ได้ยินเสียงเพ็ญนภาร้องกรี๊ดดังมาจากในบ้าน
“ช่วยด้วย...ติณห์เป็นอะไรไปค่ะ...ติณห์...ใครอยู่ข้างนอก ช่วยด้วย”
“ห่ะ...นายฝรั่งดอง!”
ญาณินตกใจรีบลงจากรถวิ่งเข้าบ้านติณห์ไปทันที ขณะที่ป้าอรวรรณกำลังจะหยิบกระเป๋าลงจากรถ
“คุณหนู มีอะไรคะ รอป้าด้วยสิ”
ป้าอรวรรณเปิดประตูรถออกไป ทนายสมชาติได้ยินเสียงวิ่งมาพอดี ปั๊ง!ประตูอัดเข้ากับทนายสมชาติ
อย่างจัง
“เจ้ย!” โดนตาอีกข้างทนายสมชาติเต็มๆ
“อุ้ยตายตาเถร”
“ผมสมชาติครับ ไม่ใช่ตาเถร อ๋อย”
ญาณินวิ่งเข้ามาในบ้าน เห็นติณห์หมดสติอยู่ ความรู้สึกห่วงเขามากอย่างไม่รู้ตัว ขณะที่เพ็ญนภายืนโวยวายอยู่ทำอะไรไม่ถูก
“คุณติณห์!”
ญาณินถลาคุกเข่าไปประคองหัวติณห์ขึ้น ขณะที่เพ็นนภาเอาแต่ยืนตกใจหน้าซีดทำอะไรไม่ถูก
“คุณติณห์ๆ...ได้ยินฉันไหม ตอบฉันซี คุณติณห์” ติณห์นิ่ง “เค้าเป็นอะไรไปเนี่ยะ?”
“ฉันไม่รู้...ฉันไม่ได้ทำนะ”
ญาณินฟังที่หัวใจ พบว่าหัวใจเต้นอ่อน รีบยื่นนิ้วไปที่จมูกติณห์พบว่าติณห์ไม่ได้หายใจแล้ว
“ห่ะ เค้าไม่หายใจแล้ว”
“ว่าไงนะ!” เพ็นนภาปล่อยโฮ เอาแต่ฟูมฟาย “โธ่...ติณห์”
ญาณินรีบวางติณห์ลง แล้วประสานมือปั้มหัวใจให้เขา
“1...2...3...”
แล้วญาณินก็ก้มลงบีบปากติณห์ผายปอดให้เค้า...เพ็ญนภาอ้าปากค้าง ตรงเข้ามากระชากญาณิน
ไม่ให้ผายปอดติณห์
“หยุดนะ! เธอทำบ้าอะไรของเธอ”
“อี่ย์! ถ้าไม่ช่วยก็ไปให้พ้น”
ญาณินผลักเพ็ญนภากระเด็นไปนั่งก้นจ้ำเบ้า
“ว้าย!”
ญาณินปั้มหัวใจอีก1ชุด แล้วก้มผายปอดติณห์อย่างตั้งใจ ญานินเป่า 1-2-3 ปั๊มๆๆๆๆ พอญาณินเป่าอีกที ติณห์เริ่มสำลัก ไอๆๆ แต่ตายังหลับอยู่ เพ็ญนภาตาลุกเข้ากระชากญาณิน เหวี่ยงกระเด็นไปบ้าง
“ยัยบ้า นี่หล่อน แอบดูดปากแฟนชั้นอยู่นะยะ” เพ็ญนภาหันมาเขย่าๆ ติณห์ “ดาร์หลิงคะ ดาร์หลิงๆๆ”
เพ็ญนภาก้มไปจ้องหน้าใกล้ๆ ติณห์รู้สึกตัวฟื้น ลืมตาขึ้นมา เห็นเพ็ญนภาคร่อมตนอยู่ ติณห์ตะลึงมองเพ็ญนภา
“เพนนี...ยูทำC.P.R.ช่วยชีวิตผม”
“เยส...ใช่คะ เพนนีเคยเรียนทำเม้าท์ทูเม้าท์และปั๊มหัวใจ ตอนเป็นเกิร์ลสเก๊าท์”
“หา...ช่างกล้าพูด...ตอแหล...”
ติณห์สะบัดหัว รู้สึกมึนชาไปหมดทั้งตัว พยายามจะยันตัวลุกขึ้น ทนายสมชาติเดินกุมตาเข้ามาพร้อมป้าอรวรรณ ทนายสมชาติช่วยประคองติณห์ขึ้น
“คุณติณห์ครับ เป็นอะไรไปครับ”
ติณห์ยกมือตัวเองที่รู้สึกแสบร้อนขึ้นมาดู เห็นนิ้วตัวเองเป็นแผลไหม้พุพองเพราะถูกไฟช็อต
“ผมถูกไฟช็อต”
“คุณพระช่วย! ยังกะกุนเชียงทอด”
“ต้องตัดนิ้วทิ้งเลยนะนั่น”
“What!”
ญาณินมองหน้าติณห์แล้วค้อน หันไปมองเพ็ญนภา เพ็ญนภามองท้าทาย ญาณินสะบัดหน้าเดินออก ทนายสมชาติ ป้าอรวรรณ ติณห์ งงๆ เพ็ญนภายิ้มเยาะ
เสี่ยปิยะพันธ์เดินเข้ามาเจอกำนันพงษ์และสนที่ยืนรออยู่
“เก่งนี่...กำนัน”
“กำนันขวางไม่ให้คุณติณห์ไปเจอพวกคนเก่าคนแก่ได้นะเสี่ย”
“แต่ก็แค่วันนี้ วันต่อไปก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าจะเอาไงต่อ”
“นึกถึงค่านายหน้าที่กำนันจะได้เข้าไว้ซี ถ้านายติณห์ยอมขายที่ดินตรงนั้นให้ผม กำนันจะมีเงินเพิ่มในบัญชีอีกกี่ล้าน”
“ถ้ามันได้มาง่ายๆ ก็ดีสิเสี่ย แต่นี่เห็นชัดๆ ว่างานนี้คุณติณห์ยังไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจ ยิ่งโดยเฉพาะตอนนี้บริษัทตกแต่งเจ้าใหม่ก็คงจะเริ่มทำงานแล้วด้วย”
“หึ นังเด็กๆ พวกนั้น...อีกไม่นานก็เผ่นกระโปรงเปิด ไม่มีทางสร้างรีสอร์ทสำเร็จหรอก หึๆๆๆ ชื่ออะไรไม่ชื่อ ชื่อบริษัทซิกซ์เซ้นส์”
“ซิกซ์เซ้นส์...ซิกซ์เซ้นส์”
กำนันพงษ์ทวนคำ เหมือนพยายามท่องจำ
คืนนั้นที่บริษัทซิกซ์เซ้นส์มีเสียงกดกริ่งดังขึ้นที่หน้าประตูรั้ว
“ใครมามืดๆค่ำๆ” สุคนธรสเดินออกมามอง แล้วต้องตกใจเมื่อเห็นไตรรัตน์ยืนพิงรถสปอร์ต ควงกุญแจรถกวนๆ อยู่ “เฮ้ย! มาทำไม บริษัทปิดแล้วคุณ”
สุคนธรสได้กลิ่นผีนายธรรมโชยเข้าจมูก มองซ้ายมองขวาหาที่มา กรรณา กรรัมภา เนตรศิตางศุ์ได้ยิน รีบกรูกันออกมาเมียงมอง
“ใครมา ใครๆๆๆ”
“ผมเองคร้าบ สวัสดีเด็กๆ”
ไตรรัตน์ตะเบ๊ะให้อย่างเท่ๆ เนตรศิตางศุ์มองเงากระจกหน้าต่างที่เงาวับเห็นเงาผีนายธรรมสะท้อนอยู่ ตรงจุดที่
ควรเป็นเงาไตรรัตน์ เนตรศิตางศุ์ตาค้างหันมองไตรรัตน์ก็ไม่เห็นผีนายธรรม เนตรศิตางศุ์หันมองในกระจกอีกทีก็เห็นผีนายธรรมอยู่
“อ๊าย!”
เนตรศิตางศุ์ร้องลั่นหันหน้าหนีไปเกาะไหล่กรรณา ทำเอาไตรรัตน์ยิ้มค้าง…งงๆ
“เป็นอะไรยัยเนตร เห็นผู้ชายถึงกับร้องลั่นเลยเหรอ?”
“เค้า...เค้า...เค้าไม่ได้มาคนเดียว”
สามสาวชะงักทันที กรรณาเงี่ยหูฟังได้ยินเสียงหายใจฟืดฟาดของวิญญาณ สุคนธรสหันมาที่มาของกลิ่นซึ่งเหมือนจะมาจากไตรรัตน์ กรรณาค่อยๆ หันไปมองทางไตรรัตน์
“มีวิญญาณที่ทุกข์ทรมาน...ตามเค้ามาจริงๆด้วย”
กรรณาบอกเบาๆ สุคนธรสสูดกลิ่น
“ไม่ใช่เฮี้ยนธรรมดา แต่สองมือมันมีกลิ่นความตายเหม็นคาวคลุ้ง คงฆ่าคนมานับไม่ถ้วน”
“ไหน...ขอฉันดูหน้ามันหน่อยสิ ว่าจะเฮี้ยนขนาดไหน”
กรรัมภาจับแขนเนตรศิตางศุ์ พอหันมองไปทางไตรรัตน์ก็เห็นผีไอ้ธรรมในเงากระจก
“แฮ่...” ผีไอ้ธรรมแสยะ
“ย๊าย”
กรรัมภาตกใจหงายหลัง สามสาวรับไว้แทบไม่ทัน ไตรรัตน์ยิ้มขำ...หลงเข้าใจผิด
“หึๆๆๆ ความหล่อไม่เข้าใครออกใคร พอสาวๆ ทุกรายมาสบตา ปฎิกิริยาทางเคมีก็เริ่มทำงานทันที เกิดอาการ มือไม้อ่อน ใจสั่น วิงเวียนคล้ายจะเป็นลมฮ่ะๆๆ”
สุคนธรสหันขวับมา
“ยังจะหลงตัวเองอยู่ได้ ความหล่อมันไม่ช่วยให้นายตายช้ากว่าคนอื่นหรอกจะบอกให้”
ไตรรัตน์หน้าเสีย
“นี่...คุณแช่งผม”
“นายอาจจะตายเร็ว เพราะหลงตัวจนสัมภเวสีมันเอือมระอา อยากจะฆ่านายให้ตายพ้นๆ ไปจากโลกนี้”
“นี่คุณ! พล่ามเรื่องผีหลอกเด็กของคุณเสร็จหรือยัง ผมมานี่เพื่อจะคืนสร้อยพระเชยๆ ของคุณไปให้พ้นๆ จากคอเท่ๆ ทันสมัย มีสไตล์ของผมซะที”
ไตรรัตน์จับสร้อยทำท่าจะเอาออกจากคอ ผีไอ้ธรรมในเงาสะท้อนตั้งท่าจะเข้าโจมตี สี่สาวรีบตะโกนห้ามเสียงหลงพร้อมกัน
“อย่าถอด”
ไตรรัตน์ชะงัก
“ไม่เอาน่าเด็กๆๆ ผมไม่มีรสนิยมชื่นชอบผู้หญิงที่งมงายเรื่องผีๆ สางๆ หรอก แค่หมอผีสมคิดคนเดียว ผมก็เอียนจะอ้วกแล้ว เอาสร้อยของคุณคืนไป”
ไตรรัตน์จะถอดอีก
“บอกว่าอย่าถอด!”
สี่สาวบอกพร้อมกัน ไตรรัตน์ชะงัก
“อะไรของพวกคุณเนี่ยะ ผมจะถอดสร้อยพระนะ ไม่ใช่ถอดเสื้อผ้า”
“ถ้านายถอดสร้อยเส้นนี้ออกจากคอนายเมื่อไหร่ นายตาย รู้จักไหม๊ ตายน่ะ! สังวรณ์เอาไว้ด้วยว่าตอนนี้ผีเฮี้ยนตัวนึงกำลังตามเอาชีวิตนายอยู่” สุคนธรสบอก
“ฮ่ะๆๆๆคุณนี่เป็นเอามากจริงๆ ไหน ผีมีที่ไหน ไม่เห็นมีเลยสักตัว”
ไตรรัตน์หันมองรอบตัว
“ขืนยืนคุยแบบนี้ทั้งคืนก็คุยไม่รู้เรื่อง เห็นทีต้องคุยกันยาว เข้าไปคุยกันข้างในมาเพ่”
กรรณากระชากแขนไตรรัตน์เข้าประตูรั้วไป
“โอ้วๆๆ ขอร้องให้เข้าดีๆ ก็ได้ครับ ทำไมต้องกระชากลากถูกันด้วย ใจร้อนจริงๆ เด็กๆ ฮ่ะๆๆ”
สุคนธรส กรรัมภารีบตามเข้าบ้านไป เนตรศิตางศุ์เหลียวไปมองข้างหลัง ระแวงๆ ก่อนรีบวิ่งตื๋อตามไป
“รอด้วย”
ผีไอ้ธรรมโกรธจะตามเข้าประตูรั้วมาแต่แล้วกลับเด้งกระเด็นจ้ำเบ้า
“โฮก...ฮืดฮาดๆ ฟืดฟาดๆ”
ผีไอ้ธรรมลุกมาเขม้นมองสังเกตเห็นสายสิญจน์ของสุคนธรสที่พันอยู่รอบบ้าน จึงทำให้มันเข้าไม่ได้ ผีเจ้าที่โผล่ออกมาขวาง ทำท่าเท่ๆ
“ทรัพย์สินส่วนบุคคล...ห้ามผีภายนอกที่ไม่ได้รับอนุญาตล่วงล้ำเด็ดขาด”
“มึง...หลีก...ไป”
ผีไอ้ธรรมลอยเข้ามากางกรงเล็บเหมือนจะกระซวกอกผีเจ้าที่ แต่ผีเจ้าที่หายตัวแว๊บมาอยู่ข้างหลังมัน ยื่นมือเบิ๊ดกระโหลกแบบชิลด์ๆ
“ไอ้ฆาตกรในกมลสันดาน...โหดนักใช่ไหมๆ”
ผีเจ้าที่หายแว๊บไปโผล่หน้าประตูรั้วเหมือนเดิม ผีไอ้ธรรมคอย่นจมลงไปในตัว หมุนร่าง หันกลับมา แล้วค่อยๆยืดๆๆคอ โผล่หัวขึ้นมาใหม่ อ้าปากคำรามอ๊ากกกกก...อย่างโกรธ
โกลเด้นท์ปรากฏตัวขึ้น ยืนบีบจมูกตัวเอง ทำหน้าขยะแขยง อยู่บนกำแพง
“อี๋ย...ปากเหม็นจังเลย น้านี่คงทำบาปไว้มาก ถึงไม่ได้ไปผุดไปเกิดซะที นี่เตือนไว้ซะก่อนนะ ถ้ายังไม่รีบไป จะโดนไม่ใช่น้อยยยย” โกลเด้นท์ทำท่าเบ่งพลัง รัศมีสีรุ้งอ่อนๆ เรืองรองวิ๊งๆ รอบตัว
“นี่ขนาดกุมาริกาเป็นแค่เด็กๆ นะ อายุไม่เท่าไหร่ ยังแผ่รังสีบารมีแจ่มจรัสขนาดนี้ ไอ้ผีข้างถนนจากท่อน้ำทิ้งกลิ่นเหมือนขยะเปียกอย่างเจ้า...จะมาสู้อะไรกะเค้า ว่ะฮ่ะๆๆๆ” ผีเจ้าที่หัวเราะ ผีไอ้ธรรมโกรธ คำรามเสียงดังเอคโค่ ก้องไปทั่วบริเวณ
กรรณาเดินเอาน้ำมาให้ไตรรัตน์ เสียงผีไอ้ธรรมดังเข้ามาจนแสบแก้วหู ไตรรัตน์นั่งเอนพิงพนักโซฟามองไปรอบๆ อย่างกวนๆ
“แฮ้ม...คอแห้งจังเลย นี่น้ำแร่เอเวียงหรือเปล่าครับ”
“ที่นี่ไม่มีน้ำแร่ยี่ห้ออีเวียง มีแต่ยี่ห้อแกรนด์ปราปร้า จะเอาไหม๊?”
“หา? ยี่ห้ออะไร ผมไม่เคยได้ยินชื่อเลย”
“แกรนด์ปราปร้า ก็การประปาไง กินใช้กันทั่วประเทศ ยอดขายดีกว่าอีวังอะไรของคุณอีก”
สามสาวหัวเราะก๊าก ไตรรัตน์หน้าเสียลุกขึ้นถอดสร้อยพระออกจากคอ
“มุกฝืดมาก...แล้วไหนล่ะผีของคุณ ผมถอดสร้อยแล้ว มาเซ่ มาฆ่าฉัน มาบีบคอฉันเลย” ไตรรัตน์โวยวาย หันมองรอบๆ ท้าทาย สุคนธรสส่ายหน้า
“คุณเห็นว่านี่เป็นแค่เรื่องสนุกๆ ขำๆ เหรอ...คุณไตรรัตน์”
แล้วไตรรัตน์ก็ทำตาตั้ง มือข้างหนึ่งจับไปที่คอตัวเอง มีอาการหายใจไม่ออกเหมือนถูกบีบคอ
“โอ๊ย...ช่วยด้วย...ผีมันบีบคอผม…หายใจไม่ออก...อ็อก...ช่วย...ผม...ด้วย”
สี่สาวตกใจ
“เฮ้ย...ผีมันฝ่าด่านเจ้าที่มาได้ไงเนี่ยะ”
“นั่นดิ..สายสิญจ์ลงอาคมของยัยรสก็ยังอยู่”
“มันเฮี้ยนขนาดนี้เชียวเหรอ...พวกเรา...ลุย”
สุคนธรสคว้าย่ามออกมา สามสาวเข้าจกอาวุธแต่ละอย่างจากย่ามสุคนธรส รวมตัว ตั้งการ์ด เหมือนจะประสานพลังจะเข้าโจมตีศัตรู เนตรศิตางศุ์เดินเข้ามาขวางสามสาวแบบชิวๆ
“เค้าฟอร์ม” เนตรศิตางศุ์ชี้ไปที่ไตรรัตน์ที่ชักดิ้นชักงออยู่บนโซฟา “ผีไม่ได้ตามเขา เข้ามาในนี้”
ไตรรัตน์มองสามสาวแล้วหลุดออกจากแอ็คติ้ง
“ฮ่ะๆๆ ฮาจังครับ จี้สุดๆ”
ไตรรัตน์ปล่อยก๊ากออกมา พลางชี้หน้าสุคนธรส หัวเราะเยาะเธอท้องคัดท้องแข็ง
“ห่ะ...นี่...นี่ ..นายมัน... ไอ้บ้าเอ้ย”
สุคนธรสเตะหน้าแข้งไตรรัตน์
“อ๊ากกก...”
“ฉันจะฆ่านายด้วย นายไตวาย”
สุคนธรสเข้าไปกระชากคอเสื้อไตรรัตน์ สามสาวต้องรีบเข้าไปห้าม
“อย่ายัยรส ผู้ชายมีน้อย ใช้สอยอย่างประหยัดนะหล่อน”
“งมงาย ติงต๊อง...ไร้สาระ เฮอะ ขอบคุณนะ ที่หวังดี แต่...เก็บไว้บูชาเองเถอะ พระแบบนี้ แพงมากนะ เด็กๆอย่างคุณคงไม่รู้ค่าเที่ยวเอาไปแจกชาวบ้าน แต่ขอโทษที คนอย่างผม ไม่ฉวยโอกาสเอาของคนอื่นหรอก”
ไตรรัตน์วางพระไว้บนโต๊ะ แล้วเดินเชิดๆ ออกไป สาวๆ พูดไม่ออกมองหน้ากันไปมา
ไตรรัตน์เดินออกมาขึ้นรถที่จอดอยู่นอกบ้านแล้วขับออกไป บนกำแพงผีเจ้าที่กับโกลเด้นท์เบบี๋ยืนกอดคอกัน
“ป๋าๆ ป๋าตามไปช่วยเค้าสิ ไอ้ผีขี้คุกตัวนั้นมันดุมากนะ”
“กุมาริกา ชีวิตของไอ้หนุ่มสมองกลวงคนนั้น หาใช่กิจของเจ้าที่เจ้าทางหัวใจประชาธิปไตยที่เข้าใจเรื่องสิทธิและหน้าที่ของตัวเองดีอย่างข้าไม่”
“ของหนู ถ้าพวกสาวๆ เค้าไม่สั่ง หนูก็หมดสิทธิ์เหมือนกัน”
สามสาววิ่งตามออกมาหน้าบ้าน
“จบกัน ชะตาเค้าคงถึงฆาตแล้วล่ะ”
“อมิตตพุทธ...พวกเราทำดีที่สุดแล้วล่ะ”
“ยัยรส...ทำใจเถอะนะ” เนตรศิตางศุ์หันมามองหน้าเพื่อนๆ แล้วสะดุ้ง “อ้าว...แล้วยัยสุคนธรสหายไปไหน”
ทันใดมีเสียงบีบแตรปิ๊นนๆๆ มาจากข้างหลัง สามสาวหันไปมอง สุคนธรสกำลังขับรถพุ่งออกมาสามสาวรีบโดดหลบข้างทาง สุคนธรสรีบซิ่งตามไตรรัตน์ไป
“เฮ้ย...ยัยรสเอารถชั้นไปไหน”
“อ้าว...พี่รส เดือดร้อนอีกแล้ว”
“เตรียมสวดมนต์ช่วยไว้ได้เลย”
โปรดติดตามตอนต่อไป
The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 4 (ต่อ)
ขณะนั้นที่รีสอร์ทของติณห์ ป้าอรวรรณพันแผลไฟไหม้ที่นิ้วให้ติณห์
“คุณหน้าฝรั่ง แน่ใจว่าจะไม่ไปหาหมอนะคะ”
ทนายสมชาติหันมาพยักเพยิดกับป้าอรวรรณขรึมๆ
“แปลกนะครับ สายไฟ สวิทช์ ไฟทุกดวงในบ้านนี้ เพิ่งเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด มันไม่น่าเกิดไฟรั่วได้เลย”
“โฮ่ย...แปลกตรงไหนทนายสมชาติ Accident มันก็เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาแหละดีนะ ที่ไออยู่ข้างกายยูตลอดๆ ไอคือนางฟ้า...ผู้คุ้มครองชีวิตยู”
ติณห์จับมือเพ็ญนภามากุม
“thank you, you are my angel...”
“แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับดาร์ลิ่งค์ของคุณแองเจล...มันไม่ใช่อุบัติเหตุ” ทุกคนสะดุ้ง หันมามองญาณิน ญาณินเข้ามายืนอยู่ข้างหลังป้าอรวรรณแล้วพูดเสียงจริงจัง “มีคนจงใจทำให้คุณบาดเจ็บ”
“พวกมองโลกในแง่ร้าย ประสาทเสีย สมควรไล่ออกไปซะ”
“คนหน้าไม่อาย คนหลอกลวง ลิงหลอกเจ้า ยัยสตรอเบอรี่เน่า”
“ยัยเบ๊อะ ยัยบ๊อง ยัยฮิปปี้หลงยุค”
“คนเค้ามีคาแรคเตอร์เว้ย ไม่ใช่พวกแต่งตัวตามเทรนตามชาวบ้าน”
“Quiet!”
ติณห์ยกมือห้าม เพ็ญนภากับญาณินหยุดกึก
“อุ้ย...แค่นี้ต้องด่าว่าควายเลยเหรอคะ!” ป้าอรวรรณถาม ทนายสมชาติทำหน้าอ่อนใจ กระซิบ
“ไคว-เอ็ท...แปลว่าให้เงียบครับ”
“อ๋อ...เหรอคะ พอดีเก่งฝรั่งเศสน่ะค่ะ ไม่เก่งอังกฤษ”
ติณห์จับขมับนึกย้อนไปก่อนถูกไฟดูด
“ตอนที่ผมเข้าบ้านมา ตรงนั้น!...ผมเห็นซัมวันอยู่ตรงนั้น”
ภาพเหตุการณ์แว่บๆๆ เข้ามาในหัวติณห์กุมหัว ยังมึนๆ
“คุณต้องระวังตัวให้มากกว่าเดิม เพราะ...คนที่ทำซีพีอาร์ให้คุณตัวจริง อาจจะไม่สามารถคอยปกป้องคุณได้ตลอดเวลา”
“ตัวจริง...หมายความว่าไง”
“คนที่ไว้ใจที่สุด คือคนที่มีพิษที่สุด”
เพ็ญนภารีบเข้าไปกอดติณห์ มองมาทางญาณินขู่ๆ
“คนที่อันตรายที่สุด คือคนแปลกหน้าตังหาก”
สองหญิงจ้องกัน เหมือนประดาบชิ้งๆๆ ทนายสมชาติ ป้าอรวรรณมองสลับไปมาแล้วหันมาสบตากันโดยบังเอิญ แล้วต่างเขินๆ กันไป
ทางด้านไตรรัตน์ ระหว่างขับรถมาตามถนน เงาผีไอ้ธรรมในกระจกเอื้อมมือกำลังจะทำอะไรบางอย่าง ทันใด มีไฟหน้ารถคันหลังสาดไฟสูงใส่เต็มกระจก จนผีไอ้ธรรมชะงักหันไปมอง ไตรรัตน์โดนส่องไฟสูงใส่เต็มๆ รู้ตัว และเหล่มองข้างหลัง เห็นไฟรถสุคนธรสกระพริบๆ ไฟสูงพร้อมกดแตรลั่นๆๆ
“เย้ย...ตามมาอีกทำไม?” สุคนธรสเร่งความเร็ว แซงปาดแล้วปาดรถไตรรัตน์เข้าข้างทาง ไตรรัตน์เบรกเอี๊ยด “อะไรมันจะขนาดนี้ ยัยบ้าเอ๊ย เดี๋ยวได้ตายกันหมดหรอก”
สุคนธรสลงจากรถ วิ่งมากระชากประตูข้างเปิดชูสร้อยพระขึ้น
“เอาไป นายบ้า”
พระส่องแสงวาบใส่ผีไอ้ธรรม ผีไอ้ธรรมยกแขนป้องแสงจากพระที่บาดตามาก
“คุณแหละบ้า จะเอายังไง หา...คุณต้องการอะไรจากผม”
“ฉันจะมาช่วยชีวิตคุณตะหาก” สุคนธรสโดดเข้ามานั่งจะเอาสร้อยสวมหัวให้
“ว่าไงนะ?”
ไตรรัตน์อ้าปากค้าง ไม่อยากจะเชื่อ สุคนธรสย่นจมูกซืดกลิ่นฟุดฟิด
“ตอนนี้...มันอยู่ในรถคันนี้” สุคนธรสกลอกตามองไปทั่วรถ “มันอาจจะกำลังนั่งคร่อมคุณอยู่ก็ได้”
ไตรรัตน์หัวเราะใส่หน้า
“ดี...อยากไปด้วยกันนักใช่ไหม ได้...เดี๋ยวจัดแจ่มๆ 1ดอก”
ไตรรัตน์เอื้อมมือผ่านสุคนธรสมาดึงประตูปัง กระชากเซฟตี้เบลท์ของคนนั่งข้างมาใส่ให้สุคนธรสแคล็กๆ
“นายจะทำอะไร”
“นั่งชิงช้าสวรรค์กันมั้ง”
ไตรรัตน์ออกรถไปแบบกระชากๆ
ไตรรัตน์ขับรถเหยียบคันเร่งจนมิดแบบคึกคะนอง
“จอด...ชั้นบอกให้จอด” สุคนธรสบอก
“ไม่”
“คุณนี่ โง่แล้วอวดฉลาด มันเอาคุณตายนะ ไม่ใช่แค่ล้อเล่น”
“ก็เอาซี้ มาเลย ไอ้ผี ฆ่าชั้นเลย ฆ่าเลยๆๆๆ”
ทันใดผีไอ้ธรรมโผล่ปึ้งมาในกระจกมองหลัง แต่ไตรรัตน์กับสุคนธรสไม่เห็น มือมันดึงพวงมาลัยทำให้รถเฉจะไปชนข้างทาง ติณห์ต้องดึงพวงมาลัยฝืนไว้ให้ขับไปตรงๆ ทำให้รถขับเบี้ยวไปเบี้ยวมาอยู่บนถนน
“เฮ้ย!”
“อ๊าย...ขับรถยังไงของนาย เดี๋ยวก็ชนหรอก”
“พวงมาลัยมันดึงซ้ายจะลงข้างทางให้ได้ สงสัยยางจะแตก อ๊าก” ไตรรัตน์ออกแรงฝืน “เบรกก็ไม่หยุด มันไม่ทำงาน”
“ไอ้ผีบ้า หยุดนะ” สุคนธรสตะโกน
“ปัดโธ่! หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ ยังจะพูดเรื่องผีอีก มาช่วยกันดึงหน่อยเซ่”
“รอเดี๋ยว! นายบังคับพวงมาลัยเอาไว้ก่อน”
สุคนธรสล้วงกระเป๋า หยิบบ่วงสายสิญจน์ที่ร้อยด้วยลูกปัดอาคมออกถือพนมมือท่องคาถา
“ทำบ้าอะไรของคุณอยู่ ผมจะไม่ไหวแล้วนะ อ๊ากก”
สุคนธรสท่องคาเสร็จก็เหวี่ยงบ่วงสายสิญจน์ไปที่พวงมาลัยรถทันทีบ่วงสายสิญจน์ลอยไปรัดที่ข้อมือผีไอ้ธรรม มันร้องลั่นด้วยความปวดแสบปวดร้อน
“อ๊ากกกก”
แล้วมันก็กระเด็นออกไปจากรถ หน้าต่างด้านคนขับแตกกระจาย พวงมาลัยฟรี ไตรรัตน์กำลังดึงพวงมาลัยไปอีกด้านเต็มที่ เลยทำให้รถเฉไปจะชนเกาะกลางถนน
“เฮ้ย!”
“เฮ้ย!” สุคนธรสรีบถลาข้ามเบาะไปช่วยดึงพวงมาลัยกลับมาอีกทางพร้อมตะโกน “เหยียบเบรกสิ...เบรก!”
ไตรรัตน์กระทืบเบรกเต็มแรง เสียงล้อรถบดกับถนนดังเอี๊ยดลั่น ทำให้หน้าอกไตรรัตน์กระแทกเข้ากับพวงมาลัยเต็มแรง
“อั่ก”
“อุ๊บ”
หน้าสุคนธรสจิ้มอยู่ที่หลังไตรรัตน์...รถเหวี่ยงหยุดนิ่งขวางถนนพร้อมเสียงแตรดังลั่นถนน…แปร๊นนน
เพ็ญนภาเดินกระแทกเท้าเข้ามาในบ้านอย่างหัวเสีย
“เตี่ยค่ะ...เตี่ยอยู่ไหน...เตี่ย”
เสี่ยปิยะพันธ์รีบเดินออกมา
“นายติณห์ถูกไฟช็อตตายไปแล้วเหรอลูก?”
เพ็ญนภาได้ยินอย่างนั้นก็ชะงักทันที
“เอ๊ะ...เตี่ยรู้ได้ไงคะว่าติณห์ถูกไฟช็อต”
“เอ่อ...” เสี่ยปิยะพันธ์ยิ้ม
“เตี่ยส่งคนไปทำร้ายติณห์งั้นเหรอ”
“ตกใจอา...ไร ก็เตี่ยบอกแล้วไงว่าจะสั่งสอนมัน”
“เตี่ยเล่นแรงไปแล้ว ติณห์เค้าหัวใจหยุดเต้นไปด้วยนะ”
“แล้วตายหรือเปล่าล่ะ?”
“ทำไมพ่อถึง...”
“แฟนแกมันหายซ่า หมดใจจะทำรีสอร์ทต่อหรือยัง”
“หมดใจอะไร เค้ายิ่งระแวงน่ะไม่ว่า เตี่ยหยุดไปเลยนะ ไอ้ความรุนแรงแบบเตี่ยๆ เนี่ย...หนูจะใช้ความรักเปลี่ยนเค้าเอง อ่อนนุ่ม ย่อมชนะแข็งกร้าว น้ำเซาะหิน หินมันยังกร่อน นับประสาอะไรกับใจคน” เพ็ญนภาบอกแล้วเดินหนีไป
“อ่อนนุ่มมันจะชนะแข็งได้ไงว่ะ ไร้สาระว่ะ อีหนูเอ๊ย”
เสี่ยปิยะพันธ์ฉุนตะโกนตามหลัง
ทนายสมชาติช่วยหิ้วกระเป๋าข้าวของมาส่งญาณินกับป้าอรวรรณที่เรือนรับรอง
“ผมส่งหน้าเรือนแค่นี้นะครับ ถ้าคุณญาณินกับคุณแม่ต้องการอะไร โทรไปที่...”
“ต๊าย...แม่อะไรกันคุณ ฉันยังโสด เป็นแค่พี่เลี้ยงคุณญาณิน ไม่ใช่แม่”
“โอ๊ะ...ขอโทษครับ ถึงว่าทำไมคุณแม่ยังสาวยังสวยจัง” ทนายสมชาติพูดแล้วปิดปาก ก้มหน้าอายๆ “เอ่อ ขอประทานโทษครับ”
“คุณพ่อ คุณแม่ของคุณญาณินเค้าอยู่เชียงใหม่ ฉันเป็นคนสนิทพ่อแม่เขา เขาเลยให้ฉันมาดูแลคุณญาณินย่ะ”
ญาณินขำ ทนายสมชาติทนฟังไม่ไหวขอลากลับบ้าน ขณะที่ป้าอรวรรณยังต่อว่าอยู่
“ผมไปก่อนนะครับ”
ทนายสมชาติทำหน้าแสบหู ก้มหน้า เดินผละไป ป้าอรวรรณหันมาจับไหล่ญาณินถาม
“บอกป้ามาตรงๆ ที่คุณหนูรีบบึ่งมากาญจน์เนี่ยะ ที่แท้...เพราะห่วงคุณติณห์ส่วนตัวและหัวใจ ไม่ใช่เรื่องงาน”
“เขามีแฟนแล้ว ป้าออก็เห็น...อย่าพูดแบบนี้อีกนะคะ”
ป้าอรวรรณทำหน้าเห็นใจ ญาณินเซ็ง หิ้วกระเป๋าเข้าบ้านไป
“ปากแข็ง...”
ที่มุมมืดใต้ต้นไม้ วิญญาณหลวงพิชัยภักดีมองญาณินด้วยท่าทางกระวนกระวายอยากคุยด้วย
สุคนธรสทำหน้าที่สารถีขับรถมาจอดที่หน้าบ้านไตรรัตน์ หันไปมองไตรรัตน์ที่นั่งจับหน้าอก
“นายเจ็บมากเลยเหรอ ไปโรงพยาบาลไหม...กระดูกอาจจะหักก็ได้นะ”
“ไม่ต้องมายุ่ง”
“นี่...ที่ผีมันฆ่านายไม่สำเร็จ เพราะใครช่วยนายไว้ ถ้าไม่ใช่ฉันน่ะห่ะ?”
“ผีๆๆ หยุดพูดเรื่องผีเสียทีได้ไหม๊ พวงมาลัยรถมันเจ๊ง ไม่เกี่ยวกับผีทำหรอกน่า”
“พวงมาลัยเจ๊งเหรอ...หึ ถ้าเจ๊งฉันจะขับมาส่งนายถึงบ้านได้ไง ผีมันดึงพวงมาลัย นายต่างหากตาสว่างเสียที”
“เอ๊ะ พูดไม่รู้เรื่อง บอกว่าไม่ใช่ผี”
“ผี”
“ไม่ใช่”
“ผี”
“ไม่ใช่”
ทั้งสองเถียงกันไปมาอยู่ในรถ อยู่ๆ เสี่ยจำเริญกับเจ๊หญิงก็ส่องไฟฉายโผล่ขึ้นมามองอยู่ที่นอกหน้าต่างรถ…ทำเอาทั้งสองตกใจโผเข้ากอดกัน
“เฮ้ย...ผี!”
“ไม่ใช่ผี เตี่ยเอง แหะๆๆๆ”
“ดูสิเฮีย กอดกันกลมเชียว มีอะไรในกอไผ่หรือปล่าว”
“เฮ้ย”
ไตรรัตน์กับสุคนธรสหันมามองหน้ากันแล้วตกใจ ผละออกจากกัน...ต่างคนต่างลงจากรถ
“ไปไหนมาอาหนูรส ทำไมถึงมากับอาตี๋น้อยของอั๊วได้”
“นายไตรถูกผีตามล่าค่ะ แต่ตอนนี้เค้าใส่พระรอดเหมือนเดิมแล้ว น่าจะพออุ่นใจได้ ฝากคุณจำเริญกับคุณหญิงเฝ้าเอาไว้ให้ดีนะคะ อย่าให้คลาดสายตา อย่าดื้อ อย่าซน อย่าประมาท จะทำให้คนอื่นเค้าเหนื่อยค่ะ...ขอบคุณค่ะ” สุคนธรสยกมือไหว้เสี่ยจำเริญกับเจ๊หญิง “กลับก่อนนะคะ”
“อ้าว...เดี๋ยวซีหนูรส มาถึงบ้านแล้ว ไม่เข้าไปในบ้านก่อนเหรอหนู”
“หนูจะกลับยังไง เดี๋ยวเราให้รถไปส่ง”
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูเป็นหญิงแกร่ง เข้มแข็ง ดูแลตัวเองได้ ไม่ชอบรบกวนทำให้คนอื่นลำบากหรอกค่ะ”
สุคนธรสรีบสาวเท้าเดินลิ่วๆ ไปรวดเร็ว ทุกคนงงๆ ไตรรัตน์กุมอก จุก
ไตรรัตน์เดินเข้าบ้านมานั่งลงเจ็บหน้าอก
“ลูกเป็นอะไรมากไหมเนี่ย ผีมันทำไรลูก”
ไตรรัตน์เบ้ปาก
“ผีเผออะไร ไม่มีหรอก ยัยบ๊องยัดเยียดพระรอดคืนผมมาอีกแล้ว แปลกคนน่าดู...นึกไม่ออกเลยว่าเค้าต้องการอะไร เงินทองก็ไม่เอา”
“หนูสุคนธรสเค้าไม่ต้องการเงินหรอก”
“มีเหรอ คนไม่ต้องการเงิน ถ้าไม่ต้องการเงินเค้าก็อาจจะต้องการอย่างอื่น ป๊ากะม้าก็ชอบไว้ใจคนมากเกินไป”
“ลื้อมันขี้หวาดระแวง ไม่ไว้ใจใคร...ตั้งแต่ที่...โดนยัยผู้หญิงคนนั้นหลอก...”
“ม้า!”
“จุ๊ๆๆๆ อย่ารื้อฟื้นๆๆ”
“หยุดพูดเรื่องที่มันจบลงไปนานแล้วซะที ผมลืมไปหมดแล้ว ผมเหนื่อย ขอตัว”
ไตรรัตน์รีบเดินขึ้นบ้านไปแบบจุกๆ เจ๊หญิงคลี่พัดครุ่นคิด
“นี่เฮีย หรือว่า...หนูรสคือเนื้อคู่ของตาไตร ที่ฉันเคยฝันถึง เฮียคิดว่าใช่ไหม”
“อืม...ดูจากลักษณะของหนูรสแล้ว โหง้วเฮ้งดุดันเป็นผู้นำ เป็นพญาหงส์ที่จะปราบอาตี๋น้อยของเราได้อยู่หมัด และทำให้มันลืมอดีต ที่ทำให้มันผิดหวัง จนต้องมาทำตัวเป็นเพลย์บอยกลบเกลื่อนรอยแผลในใจอย่างทุกวันนี้”
“จริง”
เจ๊หญิงกับเสี่ยจำเริญจับมือกัน หมายหมั้นปั้นมือจะเอาสุคนธรสมาเป็นลูกสะใภ้จริงๆ ให้ได้
คืนนั้นขณะที่ป้าอรวรรณหลับไปแล้ว ญาณินยังนั่งทำแบบรีสอร์ทของติณห์ต่อ ญาณินหาวแต่พยายามฝืนนวดคอตัวเองทำให้ตื่น
“ทำไมมันถึงง่วงอย่างงี้” ญาณินเท้าคางมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นพระจันทร์เต็มดวง “พระจันทร์เต็มๆ ดวงอย่างงี้ ตัวดีเลยล่ะ พลังของพวกเราสาวสาวแกร่งกล้านัก”
ญาณินพูดไม่ทันขาดคำ ตาของเธอที่มองจ้องไปยังพระจันทร์ก็เกิดปฏิกิริยาของพลังที่ส่งมาให้ รอบตัวญาณินเกิดแสงออร่าขาวใส ใบหน้าญาณินผ่องผุดผาด
อีกด้านหนึ่งขณะนั้นสุคนธรสรีบขับรถเข้ามาจอดในบริษัท สุคนธรสรีบลงจากรถมองดูนาฬิกา
“เกือบไม่ทัน”
สุคนธรสปิดประตูรถเบาสุดฤทธิ์ แล้วเดินย่องไปทางกลาสเฮ้าส์ เมื่อมาถึงกลาสเฮ้าส์ เห็นกรรณา กรรัมภา เนตรศิตางศุ์นั่งสมาธิ อยู่กลางห้องรับแสงจากพระจันทร์เต็มดวง สุคนธรสรีบเข้ามานั่งสมทบ ขณะที่ทุกคนยังคงนั่งนิ่งสงบ
ญาณินยังนั่งอยู่ที่เรือนพักทันใดนั้นก็มีลมพัดผ่านหน้าต่างเข้ามาปะทะหน้าญาณิน...ภาพผ่านหน้าต่างญาณินผมสยายงดงามราวเทพธิดา มีเสียงเรียกลอยตามสายลมมา
“ญาณิน...ญาณิน...”
ญาณินค่อยๆ หลับตาลง…มีแสงจากเบื้องบนส่องลงมายังเรือนรับรอง จิตญาณินลุกออกจากร่าง
จิตญาณินพบตัวเองยืนอยู่ในเรือนไทย มีเสียงเพลงเพราะ ญาณินรับรู้ได้ว่ามีวิญญาณหนึ่งกำลังเคลื่อนไหวอยู่ ร่างหลวงพิชัยภักดีค่อยๆ ปรากฏยืนหันหลังอยู่พร้อมกับเสียงพูดซ่าๆ เหมือนคลื่นวิทยุไม่ชัด
“มาแล้วหรือแม่หนู?”
ญาณินมองหารอบๆ
“ท่านมีอะไรจะบอกหนูคะ” ร่างหลวงพิชัยภักดีค่อยๆ หันหน้ามา...ภาพค่อยๆ ชัดขึ้นเหมือนสัญญาณจอภาพดีขึ้น แต่วืบมาโผล่ข้างญาณิน “อุ้ย”
ญาณินสะดุ้งตกใจ สงบสติ แทบไม่ทัน แล้วรีบยกมือไหว้
“เอาล่ะ เรามารู้จักกันเป็นเรื่องเป็นราวซักที ฉันชื่อหลวงพิชัยภักดี ที่นี่เป็นบ้านของฉัน ฉันเป็นตาของมัน ไอ้เด็กลูกครึ่ง แต่มันเอาแต่เรียกฉันว่าแกนปลาๆ ฉันไม่ชอบเลย”
“แกรนด์ปา แปลว่าคุณตา”
“ฉันอยากให้หนูช่วยไอ้หลานหัวดื้อของฉัน สร้างกิจการที่มันฝันอยากจะทำให้สำเร็จ”
“อืม...อันนี้มันก็ขึ้นอยู่กับหลานชายคุณหลวงค่ะ ว่าจะเซ็นสัญญาจ้างพวกหนูอ่ะป่าว”
“ยังมีอีก? อย่าให้มันรื้อเรือนนี้เด็ดขาด เรือนนี้คือชีวิตของฉัน เรือนนี้มีอดีต มีความลับ มีทุกสิ่งทุกอย่างฝังอยู่ เรือนนี้เป็นที่ตายของชั้นนนนน ใครจะมาทำลายไม่ได้”
สีหน้าหลวงพิชัยภักดีมีอารมณ์โกรธ ทำให้เนื้อหนังใบหน้าค่อยหดหายเห็นเป็นกะโหลกโผล่
“อึ๋ย ใจเย็นๆ ค่ะท่าน ตาโบ๋วแล้ว”
“ฉันเคยพยายามเข้าฝันเจ้าติณห์หลายรอบแล้ว แต่ไม่สำเร็จ มันรับสัญญาณของชั้นไม่ได้เลย”
“คนไม่มีกรรม...เอ๊ย ไม่มีบุญค่ะ”
“เออ...เกือบเลยเรื่องคอขาดบาดตาด้วย หนูช่วยบอกมันแทนฉันที”
“อะไรคะ”
“อย่าแต่งงานกับนังปากแดงนั่นเด็ดขาด แล้วไอ้กำนันพงษ์ก็อย่าไปให้มันช่วยเหลืออะไรมีอะไรก็ให้ทนายสมชาติจัดการ ฉันต้องไปแล้ว ฉัน...เหนื่อย...เหนื่อย...”
ร่างของหลวงพิชัยภักดีค่อยๆ จางเหมือนกับเสียงที่ขาดๆ หายๆ เหมือนสัญญาณภาพไม่ดี
“ดะ...เดี๋ยวสิคุณหลวง ว้า มีแบ๊ตหมดด้วยแฮะ”
“วันนี้ใช้แรงเยอะ...ฉันฝากด้วยนะ”
ร่างหลวงพิชัยภักดีหายไป
“เดี๋ยวก่อนคุณหลวง!”
จิตญาณินกลับเข้าร่าง ร่างญาณินกระตุกนิดๆ ลืมตาขึ้น ขณะที่ป้าอรวรรณได้ยินเสียงรู้สึกตัวตื่นงัวเงียขึ้น
“อะไรคะคุณหนู ตะโกนเสียงดังเชียว ดึกป่านนี้ทำไมยังไม่นอนอีก”
“ก็ชั้นเป็นห่วงคุณติณห์ มีทั้งคนทั้งผีคอยรวมทำร้ายเขา เท่าที่ดูก็มีทนายสมชาติเท่านั้นแหล่ะที่ดูเป็นคนจิตใจดี”
“แล้วเมื่อกี้ไปไหนมา”
“คุณหลวงนะคุณหลวงฝากซะหลายเรื่องเชียว แล้วแต่ละเรื่อง...เข้าข่ายแส่เรื่องของชาวบ้านทั้งนั้น ตาฝรั่งนั่น จะยอมฟังเราเหรอเนี่ยะ”
ญาณินกลุ้มพลิกไปแล้วหลับต่อ
“คุณญาณิน...ฝันหรือจริงเนี่ย..คุณหลงคุณหลวงอะไรที่ไหน หมายถึงผีหรือเปล่า...บรื๊วว คุณหนูๆๆ”
ญาณินหลับง่ายดาย ป้าอรวรรณนอนไม่หลับลุกมาสวดมนต์ปากคอสั่น
ที่สำนักหมอผีสมคิด หมอผีสมคิดกำลังนั่งหลับตาบริกรรมคาถาอยู่หน้าโต๊ะหมู่บูชาอบอวลด้วยควันกำยาน
คิ้วหมอผีสมคิดขมวดเครียด รับรู้ถึงเหตุที่เกิดขึ้นกับผีร้ายของตัวเอง วิญญาณผีไอ้ธรรมโผล่ร้องลั่นเข้าผนังมา มันจับมือข้างที่ถูกบ่วงสายสิญจน์จนลุกเป็นไฟ
“อ๊ากกกก…”
หมอผีสมคิดลืมตาผึง หันไปมอง
“ใครทำมึง ไอ้ธรรม?”
“ผู้หญิง ผู้หญิง...จอมขมังเวทย์”
“อีกแล้วเหรอ...มีคนบังอาจท้าทายกูมากเกินไปแล้ว”
“เจ็บ...ปวด...ร้อนเหลือเกิน...อ๊ากก...ปล่อยข้าไปเถอะ ปล่อยข้าไป...”
“ถ้ามึงพูดอีก มึงจะโดนหนักกว่านี้” ผีไอ้ธรรมเจ็บแค้น มองหน้าหมอผีสมคิดอย่างอาฆาต “มันเป็นใคร...มันเป็นใคร...กูต้องรู้ให้ได้”
วันต่อมาณัฐเดชเดินลงบันไดมาที่โต๊ะอาหารเช้าด้วยท่าทางเพลียๆ เพราะกรำงานจนกลับดึก เนตรสิตางศุ์กำลังเตรียมเมนูอาหารเช้าให้ณัฐเดชอยู่ที่โต๊ะ ณัฐเดชทรุดนั่งลงที่โต๊ะพร้อมผ่อนลมหายใจแห่งความเหนื่อยล้าออกมา
“เหนื่อยไหมคะพี่ณัฐ ช่วงนี้งานหนักเชียว กลับตี 3 ตี 4 ทุกคืน เนตรนวดไหล่ให้นะคะ”
“ไม่ต้อง! นั่งให้กำลังใจพี่ตรงนั้นแหละดีแล้ว เอาใจพี่จนเคยตัวจะแย่แล้ว นี่ถ้าใครดูแลพี่ไม่ดีเท่าเนตร พี่จะไม่มีแฟนจริงๆ ด้วย”
“อย่ามาอ้างเนตรหน่อยเลย พี่ณัฐน่ะมาตราฐานสูง เลือกมากเองนั่นแหละเลยไม่มีใครเป็นตัวเป็นตนซะที”
ณัฐเดชได้แต่ยิ้มเก้อๆ ยกแก้วน้ำผลไม้ตรงหน้าขึ้นมาดื่ม แล้วต้องทำหน้าแหย
“อึ๋ย...น้ำอะไรเนี่ยะ?”
“น้ำ...เอ่อ...น้ำมะระ มะเฟือง มะม่วง มะพร้าวเอาปั่นรวมกับน้ำแข็งค่ะ ดื่มแล้วสดชื่นไหม๊คะ?”
“เอือม...สดชื่นมาก ตาสว่างเลยล่ะ” ณัฐเดชวางแก้ว หยิบแซนวิชตรงหน้า “พี่ทานนะ”
“เชิญค่ะ แซนวิชปลาสลิดไข่กุ้งใส่วิปครีมกับวาซาบิ”
“อ้า...” ณัฐเดชกัดคาเข้าปาก เลยจำต้องเคี้ยว “อืม...รสชาติแปลกๆ แต่อร่อยดี”
“จริงเหรอคะ ดีใจจังเลยที่พี่ณัฐชอบ อืม...ในเมื่อเนตรทำของอร่อยๆ ถูกใจให้ทานแล้วเนตรขออะไรพี่ณัฐอย่างหนึ่งได้ไหมค่ะ?”
“อะไรจ๊ะ?”
“เรื่องคุณใบหม่อนน่ะคะ...”
“อ๊ะๆ อ้า...ไม่มีทาง พี่ไม่ยอมให้เราทำคดีนี้แน่ๆ”
“แต่เนตรอยากช่วย...”
ณัฐเดชสวนขึ้นทันที
“งานของตำรวจไม่เกี่ยวกับเนตร”
“ก็เนตรรับปากกับใบหม่อนเค้าไว้นี่คะ ว่าจะช่วยหาตัวฆาตกรที่ฆ่าเธอให้ได้ จะได้หาวิธีส่งเธอไปผุดไปเกิดอย่างหมดห่วงเสียที”
“พี่ไม่อนุญาต แล้วถ้าพ่อกับแม่รู้ก็คงไม่อนุญาตให้เนตรมายุ่งเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมแบบนี้ มันอันตรายเกินไป”
“เนตรไม่ใช่เด็กแล้ว เนตรเรียนจบทำงานแล้ว เมื่อไหร่พี่กับพ่อแม่จะเลิกเห็นเนตรเป็นเบบี๋เสียที”
เนตรสิตางศุ์งอน ลุกเดินหนีไป
“โธ่เนตร!” ณัฐเดชถอนใจ เตือนตัวเอง “ใจแข็งไว้ไอ้ณัฐ ยังไงก็ยอมอนุญาตไม่ได้เด็ดขาด เดี๋ยวน้องเป็นอะไรไป...มันไม่คุ้มกัน”
เนตรศิตางศุ์เข้าบริษัทแล้วนั่งหน้าเศร้าอยู่ต่อหน้าสุคนธรส กรรณา กรรัมภา
“ฉันอยากเป็นเจ้าของเคสคลี่คลายเรื่องวิญญาณสักเคสบ้าง ทำไมพี่ณัฐไม่ให้โอกาสน้องเลย”
“ไม่ใช่ไม่ให้โอกาส แต่พี่ณัฐห่วงเธอต่างหากยัยเนตร เธอมีดีตรงที่มองเห็นผีแต่อย่าลืมว่าในพวกเราห้าคน เธอน่ะขวัญอ่อนกลัวผีมากที่สุด”
“แล้วผียัยใบหม่อนน่ะธรรมดาซะที่ไหน ผีนางละคร หลากหลายทุกบทบาท วันไหนโกรธเกรี้ยวอินจัดขึ้นมา อาจจะหันมาบีบคอเธอลิ้นจุกปากก็ได้นะยะ”
“มันก็จริง แต่ฉันอยากจะทำอะไรสำเร็จด้วยตัวเองสักครั้งหนึ่งในชีวิต ถ้าครั้งนี้ฉันหาฆาตกรที่ฆ่าคุณใบหม่อนสำเร็จ ทั้งพี่ณัฐทั้งพวกชาวบ้านที่เห็นฉันหน่อมแน้มก็จะได้เลิกสบประมาทฉันเสียที”
สามสาวสะอึกมองหน้ากัน
“เฮ้ยปล่าวนะ ฉันไม่เคยว่าเธอหน่อมแน้ม ก็แค่บอบบางไปหน่อย แต่ถ้าเธออยากจะทำจริงๆ ก็ทำไปเลย แต่ทำแล้วต้องให้สำเร็จล่ะ ลุยให้มันสุดลิ่มทิ่มประตูไปเลย” กรรณารีบบอก
“นี่...แกก็ไปยุมัน เกิดพี่ณัฐรู้ขึ้นมา พาลมาโกรธฉัน ฉันก็เสียคะแนนน่ะดิ” กรรัมภาบอก
“หึ...พี่ณัฐเค้าจะรู้ก็เพราะปากแจ๋นๆ ของแกนั่นแหละ” กรรณาคว้าเป้ ลุกขึ้น “ฉันไปดีกว่า มีนัดกะผู้รับเหมา ว่าจะเอาพี่เคี้ยง หรือเฮียเอดี สู้ๆ นะเนตร” กรรณาหันมากำหมัดให้เนตรศุตางศุ์แล้วเดินออกไป
“อืม...สู้ๆ จ้ะ” สุคนธรสกับกรรัมภามองสบตากันอย่างอ่อนใจ “ให้เนตรทำคดีนี้นะ”
“ไม่”
สุคนธรสกับกรรัมภาบอกออกมาพร้อมกัน
ส่วนที่สำหนักหมอผีสมคิด ขณะนั้นหมอผีสมคิดกำลังรินน้ำชาส่งให้เจ๊หญิง
“ตาไตรลูกชายเจ๊ ตอนนี้ดูเหมือนว่าเค้าจะเจอเนื้อคู่เหมือนที่อาจารย์เคยบอกไว้เลยค่ะ”
“อ๋อ...เหรอครับ” หมอผีสมคิดยิ้มๆ ภูมิใจ “มีอะไรมาทำให้เจ๊เชื่อมั่นขึ้นละ”
“อ่า...พอดีเมื่อคืน...ฉันฝัน..ฝันว่า...มีเทวดาเอาตุ๊กตาเด็กผู้หญิงมาให้ ฉันอ่านในหนังสือ เค้าบอกว่าฝันแบบนี้...”
“...จะได้ลูกสาว หรือไม่ก็ลูกสะใภ้”
“เป๊ะเลยอาจารย์ แล้วหนูคนที่ฉันเจอนี่ เขาก็เป็นคนเอาพระรอดมาให้เสี่ยจำเริญไง”
“อา...ผู้หญิงที่เอาพระรอดมาให้นี่เอง แล้วเค้าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร บ้านช่องอยู่ไหนล่ะ”
หมอผีสมคิดจ้องเจ๊หญิง นัยน์ตาลึกล้ำ เย็นซ่าน เจ๊หญิงชะงักเพราะยังไม่รู้จักสุคนธรสลึกซึ้งถึงครอบครัว
“เขาบอกว่าเป็นคนอยุธยา พ่อเป็นเจ้าของโรงสี ชื่อหนูสุคนธรส”
หมอผีสมคิดได้ยินสุคนธรสก็หูผึ่ง
“อืม...สุคนธรส...สุคนธรส... ก็คงเป็นลูกศิษย์ลูกหาเกจิอาจารย์ที่ไหนสักคน แต่ถ้าอยากจะรู้ ว่าใช่เนื้อคู่แน่หรือเปล่า เจ๊ต้องเอาวันเดือนปีเกิดของเด็กสาวคนนั้นมาให้อาจารย์ลองผูกดวงกับลูกชายเจ๊ ถ้าใช่เนื้อคู่กัน อาจารย์จะได้ช่วยทำพิธีให้ลูกชายเจ๊สมหวังเร็วๆ”
“ได้ค่ะอาจารย์”
“นอกจากวันเดือนปีเกิดแล้ว อาจารย์อยากได้รูปถ่ายแล้วก็ข้าวของเครื่องใช้ของหนูคนนั้นมาสักอย่าง เกิดเค้ามีดวงกาลกิณี อาจารย์จะได้ทำพิธีสะเดาะห์เคราะห์ให้เลยแต่เจ๊ต้องเอามา โดยไม่ให้เค้ารู้ตัวนะ”
“อย่างงั้นเหรอ ได้ๆ เจ๊จะลองดู”
หมอผีสมคิดแอบยิ้ม ได้วิธีจัดการสุคนธรสแล้ว
The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 4 (ต่อ)
เนตรสิตางศุ์เดินง้อสุคนธรสกับกรรัมภาออกมาจากกลาสเฮาส์
“เนตรสงสารคุณใบหม่อนน่ะ ให้เนตรทำนะ”
“แต่เนตรทำคนเดียวไม่ดีหรอก มันอันตรายนะ”
“เนตรขอนะๆๆๆ...”
แล้วอยู่ๆ สุคนธรสก็สะอึกกาแฟที่กินอยู่
“ว้าย...ใครนินทายัยจอมขมังเวทย์แหงๆ เลยเนี่ย”
สุคนธรสทำตาโต ชี้ไปข้างหลัง
“กรี๊ดๆๆ ผีมาตาโบ๋”
เนตรสิตางศุ์ ตกใจ หันไป
“ไหนๆๆ มันอยู่ตรงไหน?”
“เป็นไปไม่ได้ แล้วเจ้าที่เจ้าทางปล่อยเข้ามาได้ไง แล้วทำไมชั้นไม่ได้กลิ่น” สุคนธรสสะอึกต่อ “อึ้ก...อึ้ก...”
“ว้าย...อยู่ไหน”
เนตรศิตางศุ์รีบเอามือปิดตา กรรัมภาแกล้งต่อ คราวนี้อำสุคนธรสด้วย
“อ๊าย...นายไตรรัตน์...มาทำไมทุกวันๆ”
“นี่นายจะเอาพระมาคืนอีกหรือไง”
สุคนธรสหันไปจึงเห็นว่าไม่มีใคร
“ฮ่าๆๆๆ โกหก โดนหลอกไปอีกคน”
“เฮ้อ...อย่าเล่นแบบนี้อีกนะ เพื่อน! ขออธิษฐานต่อหน้าพระเลย ว่าฉันไม่เอาอีกแล้ว ต้องไปช่วยคนที่เค้าไม่อยากให้เราช่วย ไม่เชื่อเรา แถมดูถูกเราขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ถ้าไม่มีเรา เค้าต้องโดนผีเอาชีวิตไปแล้วด้วยซ้ำ”
“แล้วรสรู้ยัง ว่าผีมันมาจากไหน เป็นเจ้ากรรมนายเวรของตัวนายไตรรัตน์เองป่าว”
“นั่นสิ เพราะถ้าเป็นเจ้ากรรมนานเวรของตัวเค้าเองมาทวงหนี้อ่ะนะ รสก็ไม่สามารถจะช่วยอะไรเค้าได้หรอก เพราะมันคือวิบากกรรมของเค้าเอง”
“ไม่ใช่สิ ไม่น่าจะใช่นะ เพราะ...”
สองสาวเข้ารุมแล้วถามออกมาพร้อมกัน
“เพราะอะไร”
“ชั้นได้กลิ่นของความทุกข์ทรมาน ความเจ็บปวดของวิญญาณตนนั้นอย่างแรง ถ้าเป็นเจ้ากรรมนายเวรมาตามทวงอะไรใคร กลิ่นมันจะเต็มไปด้วยความโกรธแค้นอาฆาต ความกระหายที่จะแก้แค้นเอาคืน...”
“หรือว่า...มีใครส่งผีมา โดนวิธีบีบบังคับ”
“ก็ต้องเป็นหมอผีที่มีอาคมเก่งๆ น่ะสิ ถึงส่งผีให้ไปฆ่าคนได้”
“หมอผี...ใช่ไอ้หมอผีสมคิด ที่เราไปวันนั้นหรือเปล่า”
“จริงด้วย แต่มันจะทำทำไม ทั้งๆ ที่เจ๊หญิงก็นับถือมันมากนี่นา”
“เค้าอาจหวังจะได้เงินมากกว่านั้น...เพราะเค้าก็กะจะขายเครื่องรางอะไรให้ครอบครัวนายไตวายแบบแพงๆ อยู่ก่อนแล้วนี่นา แต่เธอนั่นแหละ ชิงเอาพระไปให้เค้าฟรีๆ ก่อน ตาหมอผีมันขายของไม่ได้ เลยพยายามจะส่งผีมาทำร้ายนายไตวาย ให้เห็นว่าพระอะไรก็คุ้มครองเขาไม่ได้ เจ๊หญิงกะเสี่ยจำเริญต้องกลับมาซื้อของๆ มันอย่างเดียวเท่านั้น”
“โอ...เป็นไปได้มาก ที่จะเป็นเหตุผลนี้นะ”
“แล้วเรื่องเนตรละ?” สุคนธรสกับกรรัมภาวงแตกเดินหนี “อืม...ทำเองก็ได้”
เนตรศิตางศุ์บอกอย่างฉุนๆ
ต่างจังหวัดที่ร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง ก๊อง ที่มีหมวกกันน็อคหนีบแขน กำลังจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ พลางยกบะหมี่ในถ้วยกระดาษร้อนๆ ขึ้นซด แต่พอเหลือบตามองไปหน้าร้านก็ผงะ เมื่อเห็นแก๊งทวงหนี้สามคน หน้าโหดๆ มาเดินวนเวียนอยู่หน้าร้าน ก๊องถอยๆ แอบตามชั้นขายของ แล้วแว่บไปออกประตูหลัง
ก๊องเดินซดบะหมี่แบบรีบร้อนพลางเดินมาในซอกข้างตึก ไปโผล่หาที่จอดรถ แล้วสะดุ้งเมื่อเห็นที่จอดรถมอเตอร์ไซค์มีแก๊งพวกทวงหนี้มาดักรอบๆ รถมอเตอร์ไซค์ก๊อง
“เอ๋า...รถข้อย...ไงดีเนี่ย” ก๊องมองรอบๆ หาทางหนีทีไล่แล้วซดบะหมี่คำสุดท้าย ทิ้งถ้วยลงขยะ โผล่หน้าออกไป “จุ๊กกรู๊ ยิปปี้...วักก้าๆ”
พวกแก๊งทวงหนี้หันมาเห็นก๊อง ก๊องทำลิงใส่แล้วหันหลังวิ่งกลับไปทางเดิม
“ไอ้ก๊อง”
พวกแก๊งทวงหนี้วิ่งตามเข้าไปในซอกตึก
“ไอ้ก๊อง...แมนยูแพ้ คนไม่แพ้เหรอวะ”
“แพ้นะแพ้ แต่ยังไม่มีจ่ายเว้ย”
“ลื้อเบี้ยวมาสามรอบแล้วนะ”
“ติดไว้ก่อน มีมะไหร่ ใช้แน่นอน”
ผู้คนแตกตื่น ก๊องวิ่งวนมาจนถึงที่จอดรถมอเตอร์ไซค์ วิ่งไป ใส่หมวกกันน็อคพลางอย่างเร็ว โดดขี่รถ เสียบกุญแจ สตาร์ทอย่างหวุดหวิด พวกแก๊งทวงหนี้วิ่งมาเกือบแตะตัวแต่ก๊องออกรถไปซะก่อน พวกแก๊งทวงหนี้วิ่งตามสุดตีน แต่ไม่ทัน
ก๊องซิ่งสุดชีวิต ขี่รถพุ่งเข้ากรุงเทพฯ
ก๊องขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดหน้าบริษัทซิกซ์เซ้นส์แล้วลงจากรถ ก๊องถอดหมวกกันน็อคชะเง้อมองเข้าไป เห็นบริษัทเงียบ ก๊องยิ้มเจ้าเล่ห์เปลี่ยนท่าทีมาเป็นตีนแมวทันที มองซ้ายมองขวาแล้วปีนเข้ากำแพงรั้วไป
ก๊องเดินลับๆ ล่อๆ มาถึงตัวบ้านมาด้อมๆ มองๆ เอาหน้าแนบกระจกมองเข้าไปในบ้าน ก๊องมาที่ประตู พยายามจะบิดลูกบิดประตูแต่ไม่สำเร็จ ก๊องเดินไปด้านข้างตรงหน้าต่างควักมีดพกออกมาพยายามแงะ ทันใดมีเสียงกระแอมๆ ก๊องหันมา ผีเจ้าที่แต่แต่งชุดแบบ รปภ.แต่เว่อร์ๆ
“ทำไรอ่ะ น้อง”
ก๊องยิ้ม ยกมือไหว้
“อ๋อ...งัดบ้านฮะ”
“งัดทำไมอะ”
“จะเข้าไปข้างในฮะ แต่ไม่มีกุญแจ”
“จะเข้าไปทำไมล่ะ จะเข้าไปเอาอะไร”
“ป่าวครับพี่ อ้าว ถามแบบนี้พี่นึกว่าผมเป็นโจรเหรอ”
“แล้วถ้าไม่ใช่โจร น้องเป็นอะไร”
“แล้วพี่ล่ะ เป็นใคร พี่มีกุญแจที่นี่เหรอ”
“อ้าว...ถามแบบนี้ นึกว่าเป็นยามล่ะสิ”
“แล้วถ้าไม่ใช่ยาม พี่เป็นอะไร”
“เป็นเจ้าที่เจ้าทาง” ก๊องหัวเราะ
“แหมๆๆ” ก๊องตีแขนผีเจ้าที่อย่างหยอกล้อ “จะบอกว่าเป็นขาใหญ่บริษัทนี้...ว่างั้น” ก๊องยกมือไหว้อีกที ก้มต่ำกว่าเดิม “ไขกุญแจให้ผมเข้าไปหน่อยพี่...ปวดฉี่...อยากเข้าห้องน้ำ”
“อ๋อ...ไม่ต้องใช้กุญแจ...”
“อ้าว...แต่มันล็อคนะครับ”
“ไม่ได้ล็อค”
“ล๊อค”
“ไม่ได้ล็อค ลองเปิดสิ”
“เปิดไม่ออก...นี่ไง” ก๊องลองหมุนลูกบิดประตูอีกที ประตูเปิดผาง “อ้าว...เย้ย...ไม่ได้ล็อกจริงด้วย ขอบคุณครับพี่” ก๊องหันมา แต่ผีเจ้าที่หายไปแล้ว “เอ๋า...ไปไหนแล้ว ไวกว่าเราอีกแฮะ พี่รปภ.สุดหล่อ...ยังไมได้ถามเลย ว่าชื่อไร”
ก๊องเดินเข้ามาในบ้าน ถอดหมวกกันน็อควาง พอเงยขึ้นก็เห็นกุมาริกาที่แต่งตัวธรรมดา อุ้มตุ๊กตานางรำนั่งที่โซฟาข้างๆ ก๊องถึงกับตกใจ
“เฮ้ย! มานั่งตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ยะ ทำไมเมื่อกี้ไม่เห็น แหม...มีเด็กอยู่ในบ้านนี่เอง มิน่า..ประตูไม่ได้ล็อค” ก๊องตบหัวกุมาริกาเบาๆ “หน้าตาน่ารักนะเนี่ย”
กุมาริกาเบี่ยงหัวหลบ
“อย่าลามปามผู้หลักผู้ใหญ่”
“ชื่อไรนะเรา ลูกใครล่ะ”
“ชื่อกุมาริกา ลูกเจ้าแม่ไทรทอง”
“ฮ่าๆๆๆ ตลก เป็นนักมวยเหรอ”
“เป็นเด็กที่ไม่มีวันโต...นี่พี่เหมยฟ้า เป็นนางรำ”
ทันใดนั้นตุ๊กตานางรำก็เหมือนมีชีวิต คอหันได้ หันมาทางก๊อง แล้วเริ่มร่ายรำเองโดยที่กุมารีไม่ได้จับไว้ ก๊องอ้าปากค้าง
“เฮ้ย...ตุ๊กตารุ่นนี้เจ๋งอ่ะ ใช้ใส่ถ่านหรอ แป๊บนะ เดี๋ยวมาคุยด้วยนะ กุมาริกา พี่ไปชิ้งฉ่องก่อน ห้องน้ำอยู่ไหน”
“ทางโน้น...ห้องทางขวา”
“ขอบใจๆๆ ว่าง่ายๆ โตเร็วๆ” ก๊องตบหัวอีกแล้วรีบไปเข้าห้องน้ำ
“คนบ้า ชอบตบหัวอยู่ได้...คอยดู...เดี๋ยวจะหลอกให้ฉี่ราดเลย”
พอดีกรรณาเดินเข้ามา
“เย้ย..ทำไมประตูเปิด...หรือว่า...อ๊า...หมวกกันน็อค ไอ้มอไซค์ที่จอดอยู่นั่น มันคือขโมยงั้นเหรอ”
กุมาริกาเข้ามากระซิบกรอกหูกรรณ
“เล่นมันเลย เจ๊กรรณา มันไปเข้าห้องน้ำ”
“ฮ้า...มันเลวขนาดต้องเที่ยวฉี่ประกาศอาณาเขต ว่ามาขโมยบ้านนี้แล้ว...แบบนั้นใช่ไหม”
“ใช่ๆๆ”
กรรณาหันไปคว้าไม้กวาดที่พิงอยู่ใกล้ๆ มาถือไว้
“แบบนี้ก็สวยเด่ะ”
กรรณาย่องไปแอบดักรอข้างประตูห้องน้ำ
ก๊องยืนฉี่อยู่อยู่ในห้องน้ำ ผีเจ้าที่โผล่มาด้านหลังก๊องแบบเงียบๆ ผีเจ้าที่หมั่นไส้ ขยับนิ้วปุ๊บ ฝาโถส้วมก็ปิดลงมาทันที ฝาโถส้วมปิดลงมาโดนน้องชายของก๊องอย่างจัง
“อ๊ากกกกก....” ก๊องรีบออกมาจากห้องน้ำ “โอ้ยๆๆ”
“ไอ้ตีนแมว! โดน”
กรรณาตีไปที่หน้าผาก ก๊องล้มหงายตึงลงไปนอนโอดครวญ
“โอ๊ย”
“ยังมีหน้ามาร้อง ตายซะดีไหม” กรรณาเงื้อไม้ตีซ้ำ แต่ก๊องจับไม้ไว้ได้ “ห่ะ...ไอ้ก๊อง”
ก๊องกำลังนั่งใช้กระเป๋าน้ำร้อนรูปหัวใจประคบที่หน้าผาก ที่รูจมูกมีกระดาษทิชชู่อุดอยู่เพราะเลือดกำเดาไหล ขณะที่กรรณากำลังยกกระป๋องน้ำอัดลมซดอย่างหัวเสีย
“ก๊องมาหาด้วยความคิดถึง แล้วดูพี่ทำกับก๊องดิ”
กรรณาใช้หลังมือเช็ดปาก
“ไม่ต้องมาแหล”
“อึ๋ย แถมยังด่าฉอดๆๆ”
กุมาริกานั่งฟังตาแป๋ว แต่คราวนี้ก๊องไม่เห็น
“โอ๊ววว...ที่แท้ นายเบื๊อกนี่คือน้องชายเจ๊กรรณา”
“ก็ฉันรู้จักนายดี ถ้าไม่เดือดร้อน ไม่มีวันโผล่ร่างมาให้เห็นหรอก จะเอาเท่าไหร่ล่ะ”
“โฮ้ว...เราสายเลือดเดียวกัน...”
“เลือดทางพ่อน่ะใช่ แต่เลือดทางแม่ไม่ใช่เฟ้ย! เฮ่ย...พูดแล้วเจ็บใจ”
“โอวว...พ่อเจ๊กรรณมีภรรยาหลายคนนี่เอง ผู้ชายนี่น้า..ไว้ใจไม่ได้หรอก” กรรณาบีบกระป๋องน้ำอัดลมบี้คามือ ก๊องกลืนน้ำลายเฮือก “พี่ค้าบ..แต่คราวนี้ ก๊องไม่ได้มาขอตังค์น้า”
กรรณาโยนกระป๋องลงถังขยะอย่างฉุน ก๊องสะดุ้ง
“งั้นจะมาขอให้ช่วยอะไรล่ะห่ะ? แว๊นชนคน...ตีกับเด็กช่างกล...กินแล้วชักดาบ...หรือว่าไปพรากผู้เยาว์?”
“ก๊องเลิกพฤติกรรมพวกนั้นหมดแล้วนะครับ เดี๋ยวนี้ก๊องเป็นคนใหม่ เลิกคบกับอบายมุข ขยันทำงาน...แต่ว่า...”
“นายยังไม่มีงานทำ”
“โอ้ว้าว...พี่เดาถูกเผงเลย”
“จะมาทำงานที่นี่เหรอ...ไม่เอานะ กุมาริกาไม่เอา ที่นี่ต้องมีแต่ผู้หญิงสิ กุมาริกาไม่ชอบผู้ชายย”
กรรณาหันไป ระบายใส่กุมาริกา
“แล้วใครว่าชั้นชอบล่ะ ไว้ใจได้รึเปล่าก็ไม่รู้ หรือจะเอาเรื่องเดือดร้อนมาให้เรา...เธอก็ช่วยๆ เป็นหูเป็นตาด้วยละกัน”
“เจ๊พูดกะใครน่ะ?” ก๊องถามอย่างแปลกใจ
“พูดกะผีไง”
“ฮ้า...” ก๊องกระเด้งอย่างหวาดๆ “ที่นี่มีผีด้วยหรอ”
ที่รีสอร์ทติณห์ ขณะนั้นญาณินอยู่ในในชุดนอน สวยบางเบา กำลังเดินตามหาป้าอรวรรณอยู่
“ป้าออคะ..ป้าออ ไปไหนของเขานะ โน้ตก็ไม่ยอมทิ้งไว้” ญาณินเดินออกมามองหาที่ระเบียงบ้านพัก “หรือแอบหนีไปเล่นน้ำ”
ญาณินมองออกไป อยู่ๆ ติณห์ในชุดออกกำลังกายสวมเสื้อกล้าม กำลังวิ่งเหยาะๆ ผ่านมา เหงื่อโชก ญาณินมองตะลึงอย่างไม่วางตา ติณห์หันมาเห็นญาณินพอดี
“Good morning.”
“เอ่อ...อรุณสวัสดิ์ค่ะ”
“ป้าออละครับ?”
ญาณินส่ายหน้ารัวๆ แอบอายที่ถูกติณห์ทักก่อน ทำเอาเสียหน้าจนพูดไม่ออก
“งั้นก็ไปกันดีไหม?”
“ไปไหน?”
ติณห์ชวนโดยไม่ต้องคิดให้เสียเวลา และส่งยิ้มละลายหัวใจไปให้ญาณินก่อน
“ร้านเข้าต้มเจ้าอร่อย อยู่ใกล้ๆ ที่ผมนี่เอง เดินไปด้วยกันนะ”
“แต่ว่า...ป้าออน่ะ ป้าออ...”
ติณห์ไม่รอช้าเข้ามาคว้ามือญาณินหมับ! แล้วออกเดิน ญาณินรีบสาวเท้าตามไปอย่างเร็ว กว่าจะรู้ตัวอีกที มือของญาณินก็อยู่บนแขนของติณห์นานแล้ว...
อีกมุมของบ้านพักแขกป้าอรวรรณเดินถือตะกร้าใส่พวกผักบุ้ง กระถิน ตำลึง มะระขี้นก โสน เข้ามา
“รีสอร์ทที่นี่ดีจริงๆ มีผักธรรมชาติให้เก็บกินเยอะแยะเลย ไม่ต้องซื้อ ไม่ต้องใช้เงิน ทุกอย่างมีอยู่สองข้างทาง”
ป้าอรวรรณเดินมาถึงหน้าบ้านพัก ก็ตะโกนเรียกญาณิน “คุณหนู คุณหนูคะ...”
เพ็ญนภาเดินเข้ามาจากทางหน้าบ้านแทนที่จะเป็นญาณิน เพ็ญนภาปราดเข้ามา ป้าอรวรรณถึงกับผงะ
“ป้า...ติณห์อยู่ไหน?” ป้าอรวรรณกำลังจะอ้าปากตอบ แต่เพ็ญนภาขัดขึ้นอีก “ติณห์ไม่อยู่ที่บ้าน ที่นี่ก็ไม่มี แล้วนี่ยัยยิปซีมันหายไปไหน มันเอาติณห์ไปกกที่ไหน...บอกมา”
“พูดกับป้าเหรอคะ?”
“ก็มีแต่ป้ายืนอยู่ จะให้พูดกับแมลงที่ไหนล่ะ”
“ป้าไม่ทราบค่ะ ถึงทราบก็ไม่บอก”
“ป้า”
“เป็นผู้หญิง มาเดินเร่ร่อนตามป่าเขาร้องเรียกผะ...ผู้ชายแบบนี้ ไม่กุลสตรีเลยนะคะ มันดูเหมือนชะนีมากกว่ากลับบ้านไปเถอะค่ะ” ป้าอรวรรณมองการแต่งตัวเพ็ญนภาแล้วยิ้มเยาะ “หึๆ อุตส่าห์เอาเลือดไก่ทาปากมาซะแดง หุๆๆ”
เพ็ญนภาคว้ามือป้าอรวรรณมา
“จะบอกมาดีๆ หรือให้ใช้กำลัง”
ทนายสมชาติรีบเข้ามา
“คุณเพนนี! ถ้าคุณติณห์ทราบว่าคุณทำตัวอย่างนี้ คงจะไม่ปลื้มแน่ๆ”
เพ็ญนภาผลักป้าอรวรรณอย่างแรง
“ไม่ต้องมาสาระแน อีแก่ ฝากไว้ก่อนเถอะ”
เพ็ญนภาเดินสะบัดออกไป
“เป็นอะไรมั้ยครับคุณอรวรรณ” ทนายสมชาติหันมาถามป้าอรวรรณ
“สะเทือนใจนิดหน่อยค่ะ...ไม่นึกว่าจะมาเจอแบบนี้”
ทนายสมชาติทำหน้าอ่อนไหว สะเทือนใจไปด้วย สงสารมากๆ
ส่วนที่หน้าสถาบันนิติเวช หมอวรวรรธขี่ช็อปเปอร์มาทำงาน...จอดรถถอดหมวกกันน็อคออก หันจะเดินเข้าในตึกต้องตกใจเมื่อเจอเนตรสิตางศุ์ยืนใส่แว่นดำอยู่ข้างหลังเขา
“ชะเฮ้ย! โผล่มาไม่ให้สุ้มให้เสียงแบบนี้” หมอวรวรรธจับที่อกซ้าย “คุณรังแกหัวใจผมนะเนี่ยะ”
“หื๊อ...ฉันไปรังแกอะไรหัวใจคุณ”
“ก็คุณทำให้หัวใจผมเต้นผิดจังหวะเพราะเห็นหน้าสวยๆ ของคุณ”
เนตรสิตางศุ์ถอนใจ
“ฉันคิดผิดรึปล่าวนี่”
เนตรศิตางศุ์มองผ่านไหล่วรวรรธน์ไป เห็นณัฐเดชขับรถเข้ามาจอดที่ลานจอดรถ กำลังลงจากรถ เนตรสิตางศุ์ทำหน้าตกใจ
“อุ้ย! แย่แล้ว”
“ไม่แย่หรอกครับ การที่คุณมาเซอร์ไพร้สผมแบบนี้ ผมว่ามันเป็นเรื่องที่น่าประทับใจจริงๆ”
“รีบเข้าไปข้างในกันเถอะค่ะ”
เนตรสิตางศุ์รีบดึงหมอวรวรรธเดินหลบเข้าตึกไป
“เบาๆ ครับ อยู่กับผมไม่ต้องใจร้อนก็ได้ ผมมีเวลาให้คุณทั้งวัน”
ขณะที่ณัฐเดชเดินถือแฟ้มมา มองเห็นหลังเนตรศิตางศุ์แว้บๆ
“เหมือนยัยเนตรเลย”
ด้วยความระแวงอยู่แล้ว ณัฐเดชเลยรีบตามไป
เนตรสิตางศุ์ดึงแขนหมอวรวรรธรีบเดินเข้ามา ณัฐเดชรีบเดินเข้าตึกมองหา
“นี่คุณจะฉุดผมหนีใครเหรอครับ?”
เนตรสิตางศุ์ดึงหมอวรวรรธเข้าหลบคุยหลังเสา
“คุณฟังฉันให้ดีนะหมอ ที่ฉันมาหาคุณเนี่ยะ พี่ณัฐเค้าไม่รู้”
“ก็แหง๋ล่ะ ถ้าคุณพี่เค้ารู้ก็คงไม่ให้คุณมาหาผมแน่”
“เพราะฉะนั้นคุณรับปากกับฉันได้ไหม...ว่าจะปิดเรื่องนี้เป็นความลับ”
“อืม...มันจะดีเหรอคุณ พี่ชายคุณยิ่งมองผมเสียๆ หายๆ เรื่องผู้หญิงอยู่ด้วย”
“ฉันไหว้ล่ะ” เนตรศิตางศุ์ยกมือไหว้
“แหม...ผมใจแข็งกับผู้หญิงไม่เป็นซะด้วย” คุยๆ กันอยู่หมอวรวรรธก็เห็นณัฐเดชเดินมา “ตายยากจริงๆ มานี่”
หมอวรวรรธรีบคว้าข้อมือเนตรสิตางศุ์ดึงเข้าห้องชันสูตรศพที่อยู่ๆ ข้างทันที แรงดึงทำให้แว่นดำของเนตรหลุดกระเด็นไป
“แว่นฉัน”
ณัฐเดชกำลังเดินผ่านห้อง
ในห้องชันสูตรศพที่มีเตียงเรียงราย มีศพที่รอการผ่าพิสูจน์นอนอยู่บนเตียงเหล่านั้น เนตรสิตางศุ์ยืนช็อค เพราะเห็นวิญญาณไม่สมประกอบยืนอยู่รอบตัวหมอวรวรรธ
“กรี๊ดดด...”
หมอวรวรรธรีบพุ่งเข้าไปเอามือปิดปากเนตรสิตางศุ์เอาไว้
“หลบในนี้ พี่ชายคุณไม่กล้าเข้ามาแน่ แล้วก็บอกมา ว่าคุณมีธุระอะ...”
เนตรสิตางศุ์รีบปิดตา
“พามาห้องนี้ทำไม...แว่น...ไปเอาแว่นชั้นมา”
“ดูคุณจะพะวงห่วงแว่นอันนั้นเหลือเกิน มันสำคัญมากเลยเหรอ...จะเอาแว่นหรือจะให้พี่ชายคุณจับได้ว่าแอบมาที่นี่”
เนตรสิตางศุ์จะร้องไห้
“ฮือๆ ชั้นจะเอาแว่น”
“แค่นี้ต้องร้องเลยเหรอ...โอเคๆๆๆ เดี๋ยวออกไปเอามาให้”
หมอวรวรรธกำลังจะออกจากห้องไป แต่พอเปิดประตูแล้วก็ต้องผงะ ณัฐเดชยืนอยู่หน้าประตูประจัญหน้ากับหมอวรวรรธพอดี
“พี่ณัฐ! มาหาผมถึงที่นี่เลยเหรอครับ?”
ณัฐเดชเหล่มองไปรอบๆ
“ผู้หญิงที่อยู่กับแกเมื่อกี้ไปไหนแล้ว”
“ผู้หญิงอะไร”
“ผู้หญิงที่ดูเหมือนยัยเนตรน้องสาวชั้น...ที่เดินเข้ามากับแกเมื่อกี้ อยู่ไหน?”
หมอวรวรรธหันกลับมามองในห้อง เนตรสิตางศุ์หายไปแล้ว หมอวรวรรธเป่าปาก ฟิ้ววว...เนตรนอนอยู่บนเตียงมีผ้าคลุมอยู่ พยายามเกร็งนิ่ง
“พี่เห็นผมเข้ามากับผู้หญิงน่ะ ผมไม่เถียง แต่พี่คิดว่าเป็นน้องสาวพี่เนี่ยนะ?..”น้องสาวพี่จะมาทำอะไรที่นี่”
“อย่าให้ประวัติศาสตร์มันซ้ำรอยอีกก็แล้วกัน”
“พี่ณัฐ!”
เนตรสิตางศุ์นอนฟังใต้ผ้า ตาโต อยากรู้
“ที่สนามรักบี้...ของสมาคม...4 ปีที่แล้ว...”
“ผม...ผมไม่รู้...ผมไม่ตั้งใจจริงๆ”
“นายไม่รู้เหรอ ว่าฉันกับพีชกำลังจะหมั้นกัน”
ณัฐเดชสี่ปีก่อนในชุดรักบี้กำลังวิ่งออกกำลัง แล้วชะงัก เมื่อเห็นหลังไวๆ ของวรวรรธที่หิ้วกระเป๋ากีฬาเดินควงสาวผมยาว กางเกงขาสั้นเข้าไปในอาคารสมาคม ณัฐเดชหยุดวิ่งรีบตามไป ณัฐเดชเดินรีบร้อนเข้ามาเข้ามาในอาคารแล้วเดินตามหา เลี้ยวไปทางห้องยิม พอดีวรวรรธเดินออกมา จ๊ะเอ๋ สะดุ้งโหยง
“ไอ้วรรธ ตะกี๊ใคร...”
“ใคร...อะไรเหรอครับ”
“นายพาใครมาเข้าห้องยิม”
“เปล๊า!”
วรวรรธปฏิเสธเสียงสูง
“ห้องยิมเราห้ามผู้หญิงเข้า หรือนายลืมกฎข้อนี้ไปแล้ว” ณัฐเดชเดินไป เปิดประตูห้องยิม แล้วผงะ หญิงสาวที่กำลังเดินเลือกอุปกรณ์อย่างสบายใจหันมา แล้วต่างคนต่างตะลึง “พีช!”
“พี่ณัฐ!”
“ทำไม...พีชถึงมากับไอ้วรรธ”
“ไหนพี่ณัฐบอกว่า พี่ณัฐไปสิงคโปร์...” สุพิชชาถามอย่างตกใจ
วรวรรธเดินตามมา แล้วยืนหน้าซีด
“หมายความว่าไง?”
“เอ่อ...พี่ณัฐอย่าบอกใครนะครับ ว่าผมพาแฟนมา เช้าไก่โห่แบบนี้ปกติยังไม่มีใครมาหรอกครับ”
สุพิชชาพยายามบอกให้วรวรรหยุดพูด
“แฟนนายเหรอ...พีชเป็นแฟนนายตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ณัฐถามอย่างตกใจและคาดไม่ถึง
ณัฐเดชหน้าเครียดกับเรื่องราวในอดีต
“พีชบอกผมว่าเค้าเพิ่งอกหัก..”ไม่มีใคร...แล้วผมก็เชื่อ มันเป็นความผิดของผมเหรอครับ”
หมอวรวรรธย้อนถาม เนตรสิตางศุ์ที่นอนใต้ผ้าห่ม หน้าตื่นกับข้อมูลใหม่ โดยที่ไม่เห็นว่ามีผมยาวๆ สีดำๆ ดูสกปรกค่อยๆ เลื้อยเข้ามาใต้ผ้าคลุม
“ที่จริง...คุณสุพิชชา ทิ้งพี่ณัฐไปกะอีตาหมอนี่เหรอเนี่ย...” เนตรศิตางศุ์รำพึงออกมาเบาๆ
“เออๆๆ พอๆๆ ชั้นไม่อยากฟังอีกแล้ว มาพูดเรื่องคดีดีกว่า...ความคืบหน้าคดีใบหม่อน”
“ยังไม่มีครับ ถ้ามี แล้วจะเรียนนำเสนอครับผม”
ณัฐเดชอึกอัก ทำท่าจะออกไป ที่ใต้ผ้าเนตรสิตางศุ์ค่อยๆ หันมาข้างๆ ลืมตามองออกไปว่าณัฐเดชออกไปจากห้องหรือยัง แต่กลับพบผมค่อยๆ เลื้อยมาปิดหน้าเธอ เนตรสิตางศุ์ผงะ แทบวี้ด รีบอุดปากได้ทัน
“เสียงอะไร”
ณัฐเดชชักงัก
“ฮ้าววววว ผมหาวเอง ไม่ใช่เสียงอะไรหรอกครับผม...พี่อย่าพูดอะไรชวนขนหัวลุกในห้องทำงานผมสิครับผม”
ณัฐเดชลังเลๆ ไม่ค่อยอยากออกไป หมอวรวรรธไล่ ณัฐเดชจำใจออกไป หมอวรวรรธโล่งอกสุดขีด
“โห้ยยยย ฉันอยากตาย”
The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 4 (ต่อ)
หมอวรวรรธทำหน้าตกใจเมื่อรู้ว่าเนตรศิตางศุ์ขอให้ช่วยอะไร
“จะให้พาไปพัทยา”
“คดีนี้ มีแค่พี่ณัฐกับหมอเท่านั้นที่รับผิดชอบโดยตรง...ให้เนตรไปด้วย จะได้ช่วยหมอไขปริศนาคดีฆาตกรรมคุณใบหม่อนไงคะ”
“ผมไปทำงาน ไม่ได้ไปเล่น” หมอวรวรรธจะกลับไปทำงานต่อ
“เนตรรู้ค่ะ เนตรถึงอยากไปด้วย นะคะ รับรองว่าพี่ณัฐจะไม่รู้เรื่องนี้เด็ดขาด” เนตรศิตางศุ์ตามตื้อ
“ผมยังต้องร่วมงานกับพี่ชายคุณอีกนาน ผมไม่อยากมีปัญหา และที่สำคัญ ถ้าผมพาคุณหนูอย่างคุณไปพัทยา...มีหวังปวดหัวตาย... ไป กลับไปได้แล้ว”
“งั้นเนตรจะฟ้องพี่ณัฐว่าเมื่อกี้หมอช่วยเนตรโกหก”
หมอวรวรรธหันขวับมา
“ไม่ต้องขู่” หมอวรวรรธหยิบมือถือขึ้นมา “ผมจะโทรเรียกพี่ณัฐมารับคุณด้วยตัวเอง”
“อย่าๆๆ พาเนตรไปด้วยนะ เนตรสัญญากับคุณใบหม่อนไว้ว่าจะกลับไปช่วยเค้าหาตัวฆาตกร...เนตรต้องไป”
“สัญญากับใบหม่อน ที่ตายไปแล้วเนี่ยนะ...เฮ้อ...” หมอวรวรรธเดินกลับไป เนตรสิตางศุ์คอตก ก้มหน้า น้ำตาเริ่มเปาะแปะๆ “อ้าว จะร้องไห้ทำไม?”
“เนตรอยากไปพัทยา”
“อย่าคิดว่าวิธีนี้จะบังคับผมได้ ผมไม่ใจอ่อนเด็ดขาด...” หมอวรวรรธอึกอัก ลังเล “ผมจะไปทำงานแล้ว”
หมอวรวรรธตัดใจเดินเข้าไป เนตรสิตางศุ์ยืนร้องไห้ที่เดิม กระซิกๆ
“คนใจดำ...แย่งแฟนพี่ชาย แล้วยังมาใจร้ายกะน้องสาวอีก...”
หมอวรวรรธเดินกลับออกมา หน้าตาอยากตาย อยู่ข้างๆ เนตรสิตางศุ์
“ผมทนน้ำตาผู้หญิง...กับคำตัดพ้อต่อว่าแบบนั้นไม่ได้...”
ญาณินกำลังนั่งกินอาหารอยู่กับติณห์ที่ตลาดเมืองกาญจน์
“อาหร่อยมั้ย”
ญาณินชะงัก วางช้อน ดันชามออก
“ชั้นอิ่มแล้ว”
“อ้าว...กินน้อยแบบนี้ คนไทยถึงได้ไม่ใหญ่”
“อะไรนะ”
“ตัวไง...คนไทยไม่สูง ตัวไม่ใหญ่”
“เฮ้อ...” ญาณินซับเหงื่อ “จะบ้าตาย”
“หึๆ ผมรู้คุณชอบอิเมจิ้น คิดมากไปได้...” ติณห์ตักไข่เยี่ยวม้าจากชามญาณิน “ผมขอนะ...เซ็นจูรี่เอ๊ก ไข่ร้อยปี...อร่อยดี...คนไทยเรียก...เอิ่ม...อะไรนะ ไข่ม้าเหรอ”
“ไข่เยี่ยวม้า”
“ใช่ๆ...อาหารไทยชอบตั้งชื่อตลกๆ หึๆๆ”
ญาณินมองติณห์ที่ท่าทางสบายๆ ไม่ได้เต๊ะจุ๊ยเหมือนทุกที รู้สึกดี ญาณินอยากจะสื่อสารเรื่องที่หลวงพิชัยภักดีมาฝากไว้
“คุณไม่มีญาติพี่น้องที่นี่บ้างเหรอ?”
“มีนะ แต่ไม่รู้อยู่ไหน...มีก็แต่ กามนานพงษ์ ที่แม่ผมบอกว่าเขาเป็นหลานชายของเลขาฯ แกรนด์ปา แล้วก็ทนายสมชาติที่คอยดูแลเรื่องบ้านแล้วก็ที่ดินให้ผม”
“คุณติณห์...เรื่องรื้อเรือนไทยของคุณหลวง ชั้นว่าคุณ...”
“โน...นี่ไม่ใช่เวลาทำงาน ผมไม่คุย”
“แต่...”
“อิ่มแล้ว...กลับกันเถอะ”
ติณห์ลุกจากโต๊ะ เดินออกไปทันที ญาณินรีบตาม
“ไม่คุยงานก็ไม่คุย แล้วเรื่องเมื่อคืนที่มีคนคิดร้ายคุณ รู้ยังว่าฝีมือใคร”
“ไม่รู้สิ...อาจจะเป็นพวกผู้รับเหมาที่เบี้ยวงานผม แล้วผมไม่ยอมจ่ายค่าตัว...”
“ค่าแรงมั้งคะ”
“อือ...ค่าแรงๆๆ นั่นแหละ พวกนั้นแหละ...เฮ้อ แล้วคุณล่ะ ผีแกรนด์ปาผมไม่มาไล่พวกคุณบ้างเหรอ”
“คุณตาคุณไม่ได้ขัดขวางการสร้างรีสอร์ทนะ! ท่านบอกว่าอยากให้ฉันช่วยคุณทำรีสอร์ทให้สำเร็จด้วยซ้ำ”
ติณห์เหล่มองญาณิน
“แกรนด์ปาบอก...บอกยังไง โทรมาบอกหรือไง...ไม่ต้องสร้างเรื่องมาซัพพอร์ท...เอ่อ สนับสนุนตัวเองหรอก ไงๆ ผมก็จ้างคุณทำงานแล้ว คุณก็ช่วยทำให้ดีๆ หน่อยก็แล้วกัน”
ติณห์เดินนำลิ่วไป
“ชั้นไม่ได้สร้างเรื่องนะ ชั้นพูดจริงๆ” ญาณินจะตามแต่ทันใด มือถือของญาณินดังซะก่อน ญาณินรับสาย
“ว่ายังไง?”
สุคนธรส กรรัมภา กรรณากำลังรุมพูดโทรกับญาณินด้วยสปีกเกอร์
“เมื่อคืนเป็นไงบ้างงงงง?”
สามสาวถามเสียงแจ๋ว ญาณินเดินคุยโทรศัพท์แยกออกมาอีกด้าน
“เมื่อคืน...อะไร?”
“เอ้า ก็คืนแรกของแกกับนายจ้างฝรั่งหล่อไง...เป็นยังไงบ้าง?”
“พวกแกคิดอะไรให้มันดีๆ หน่อยนะ ชั้นมาทำงาน ไม่ได้จะมาหาแฟน”
“ไม่เชื่ออออออ”
ก๊องแอบฟังอยู่มุมหนึ่ง ทันใดนั้นญาณินเหลือบไปเห็นกำนันพงษ์รีบร้อนเดินผ่านไป ญาณินมองตาม เห็นกำนันพงษ์เดินเข้าไปที่ร้านกาแฟ ที่มีเสี่ยปิยะพันธ์นั่งอยู่
“อุ๊ย...สองคนนี่มีอะไรกันน่ะ...แค่นี้ก่อนนะ”
ญาณินรีบวางสาย
“อะไรนะ ใครมีอะไรกัน ว้ายๆๆ อ้าว ตัดสายทิ้งกะทันหัน สงสัยจะมีเหตุร้ายเหตุรัก”
สามสาวคิกคักกัน แยกย้าย ไปทำงานโต๊ะใครโต๊ะมัน
ญาณินรีบเดินเข้าไปฟังกำนันพงษ์กับเสี่ยปิยะพันธ์คุยกัน
“ผมก็คาดไม่ถึงครับเสี่ย เด็กผู้หญิงนักออกแบบตกแต่งพวกนี้ดื้อด้านมากกว่าที่คิดจริงๆ”
“เดี๋ยวพ่อก็จับมาปล้ำเรียงตัว แล้วส่งไปขายชายแดนซะให้หมดเลยหนิ”
“เสี่ยอย่าพูดเล่นแบบนั้นสิครับ ใครมาได้ยินเข้า จะว่าเราเป็นผู้ร้าย”
“ไม่รู้ล่ะ กำนันต้องหาทางกำจัดพวกมันไปให้ได้ ให้เหมือนพวกผู้รับเหมาและช่างทีมก่อนๆ ถ้าเรื่องแค่นี้กำนันทำไม่สำเร็จ ก็เป็นอันว่า...กำนันอดค่านายหน้าทั้งหมด แล้วกำนันก็ไม่ต้องโผล่หน้ามาให้ผมเห็นด้วย”
เสี่ยปิยะพันธ์ลุกเดินออกไปทันที พวกลูกน้องตามไปหมด
“เฮ้อ...” กำนันพงษ์ถอนใจอย่างหนักใจ ญาณินได้ยินเรื่องราวทั้งหมด
“มิน่า คุณหลวงถึงไม่อยากให้นายติณห์ไปยุ่งกับกำนันพงษ์ เป็นนายหน้าขายที่นี่เอง...เฮ้อ อีตาฝรั่งดองเอ๊ย เจอทั้งผีทั้งคนรุมกระซวกไส้อยู่ ยังไม่รู้ตัวอีก”
ติณห์กลับมาหาญาณิน
“มาเดินหลงอะไรแถวนี้ เรายังมีธุระกันอีกนะ ไป”
“ไปไหน”
ติณห์ไม่ตอบ ลากญาณินไป
กรรัมภามาหาหนังสือที่ชั้นหนังสือ ก๊องเข้ามามองๆ วนเวียน
“ที่รีสอร์ตที่พวกพี่กำลังทำโปรเจ็คอยู่นี่ มีอะไรให้ผมช่วยป่าวคับ?”
กรรัมภามองก๊องแบบไม่ไว้ใจ
“ก็ให้ถ่ายเอกสารที่พวกผู้รับเหมาส่งมาให้ไง เสร็จยังล่ะ”
“ไม่มีงานพวก...ใช้สมองบ้างเหรอครับ สำหรับพวก...คนฉลาดๆ ทำอ่ะฮะ”
กรรัมภายิ้มหวาน ลากเสียงหวาน
“อ้อ ได้เลย...ก๊อง ไฟตรงประตูหน้าน่ะ มันติดๆ ดับๆ นะ ก๊องไปซ่อมทีสิ เสร็จแล้วก็ช่วยดูก๊อกน้ำฉีดชำระในห้องน้ำด้วย มันมีน้ำหยดๆ ตลอดๆ”
“โห...งานพวกนี้ ไม่จบปริญญาโท ทำไม่ได้นะเนี่ย” ก๊องเดินเซ็งๆ ไป
ก๊องถอนใจ แล้วเดินออกมา มองๆ เห็นสุคนธรสนั่งเหลาดินสออยู่
“ให้ผมช่วยนะครับฎ ก๊องคว้าดินสอมาช่วยเหลาให้ แล้วร้องเพลงแบบประจบประแจง “โถ...ใครจะเชื่อ...ว่าแม่บุญเหลือ อายุมากแล้วววว...สามสิบ...ยังแจ๋ว...แจ๋ว...เสียจนน่า...จีบบบบ...”
สุคนธรสเอาม้วนกระดาษฟาดหลังก๊อง
“อีตาก๊อง...ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้นะ ชั้นยังไม่สามสิบง่ายๆ เข้าใจไหม? เดี๋ยวแม่เสกตะปูเข้าท้องซะเลย”
“อุ่ย...ผมก็แค่อยากให้พี่ดีใจ ว่าพี่สวยเร้าใจกะเค้ามั่ง...” ก๊องรีบถอยออกมา กรรณามาดึงหูก๊องหมับ “อ๊ากๆๆ”
สาวๆหัวเราะ
“นี่...ชั้นให้แกไปรับเอกสารจากบริษัทผู้รับเหมาตั้งนานแล้ว ป่านนี้ยังไม่ขยับ เดี๋ยวปั้ด!”
ก๊องโดดหนี คว้าหมวกกันน็อค เผ่นออกมาเกือบชนกับผีเจ้าที่เจ้าทาง
“เอ๊า...เดินน่ะ ดูตาม้าตาเรือบ้างสิน้อง”
“อ้าว นึกว่าใคร” ก๊องจับแขนผีเจ้าที่ “พี่...พวกเจ้านายพี่นี่แปลกเนอะ มีตังค์จ้างรปภ.อย่างพี่ แต่ไม่ยักจ้างเด็กส่งเอกสาร”
“อ๋อ เพราะแต่ก่อนเค้าไม่ค่อยมีงานออกแบบตกแต่งอะไรให้ทำกันไง คนที่มาจ้าง มีแต่มาจ้างไปไล่ผีมั่ง ไปติดต่อวิญญาณญาติพี่น้องที่ตายไปแล้วบ้าง จะมีเอกสารอะไรให้ไปส่ง”
“ก๊ากๆๆ พี่สาวผมก็แค่ต้มตุ๋นพวกโง่ๆ หลอกเอาตังค์อ่ะดิ อย่าไปเชื่อเลยนะพี่ เรื่องที่หูเค้าได้ยินเสียงผีอะไรน่ะ ผีมันไม่มีจริงหรอก”
“เฮ้ย มีจริงสิ ผีสางเทวดา นรกสวรรค์ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มีจริงทั้งนั้น”
“พี่รู้ได้ไง พี่เคยเจอเหรอ”
“เออ...ก็...”
“เห็นอ๊ะเปล่า ทุกคนไม่มีใครตอบได้หรอกว่าตัวเองเคยเจอผีจังๆ มีแต่เคยฟังเค้าเล่ามา อย่างมากก็ผีอำ ฝัน...ไม่ก็เมายา...”
“เฮ้อ...ไอ้ก๊อง...แกอยากเห็นผีไหมล่ะ”
“เห็นผี...แบบพี่เนตรอ่าเหรอ พวกเพื่อนๆ พี่กรรณทุกคน ไม่มีปกติซักคน พี่สังเกตไหมล่ะ แต่ละคนบ๊องๆ ติงต๊องๆ ผมว่า พี่เนตรแกก็ไม่เห็นผีจริงๆ หรอก...แกหลอน”
“แกเป็นใคร กล้าดียังไงมาหาว่าน้องชั้นหลอน”
ก๊องหันมาแล้วสะดุ้ง เมื่อเห็นณัฐเดชเข้ามาในชุดตำรวจนอกเครื่องแบบ แขวนตราตำรวจที่คอ
“ตำรวจ?...” ณัฐเดชเท้าเอว ให้เห็นปืนที่พกอยู่ ก๊องเซ็ง “จบ...ชีวิตก๊องจบแล้วววววว”
“แกเป็นใคร ทำไมถึงกลัวตำรวจ”
“เปล่าๆๆครับ ผมไม่ได้กลัว แล้วคุณตำรวจมาหาใคร...ที่นี่ไม่มีอะไรผิดกฎหมาย และไม่มีใครต้องการเจอตำรวจทั้งนั้น...จริงไหม พี่”
ก๊องหันไป ไม่มีใคร
“พี่อะไรที่ไหน แล้วทำไมอยู่ๆ มาเพ้อรำพันถึงน้องสาวชั้น เสพสารเสพติดอะไรหรือเปล่า ชั้นเห็นนายพูดคนเดียวอยู่ตั้งนาน”
“ใครพูดคนเดียว...ผมไม่ได้พูดคนเดียว...”
ขณะนั้นหมอวรวรรธขี่ช็อปเปอร์มาตามถนน มุ่งหน้าสู่พัทยาโดยมีเนตรศิตางศุ์นั่งหลับตาปี๋ซ้อนท้าย กอดเอวหมอวรวรรธด้วยความกลัว รถคันอื่นๆ แซงหน้าไป
“ฮือๆๆ กลัวแล้วๆๆ”
“ก่อนจะกลัว ช่วยลืมตาดูหน่อยได้มั้ย นี่มันช้ามากกกก”
“เนตรไม่ได้กลัวความเร็ว”
เนตรศิตางศุ์หันไปมองหลังตัวเอง เห็นผีอีกสามตัวหน้าตาแปลกประหลาด นั่งแบบขี่คอกัน ซ้อนๆ กันขึ้นไป แล้วกอดเอวเนตรศิตางศุ์อีกที
“งั้นกลัวอะไร” อยู่ๆ หมอวรวรรธก็จอดรถข้างทางซะงั้น “ลงๆๆๆ กลัวอะไร มาพูดกันให้รู้เรื่อง”
เนตรสิตางศุ์ลงจากรถ
“หมอ” เนตรศิตางศุ์มองอย่างระแวง แล้วถอยหนี “อย่านะ...ออกไป...ถ้าเข้ามาอีกก้าวเดียวเนตรจะร้อง”
“อะไร เป็นอะไรของเธอ?”
ตอนนี้ผีพวกนั้นขึ้นไปขี่ซ้อนๆ กันบนหลังหมอวรวรรธ แล้วแลบลิ้นปลิ้นตาต่อเขาให้หมอวรวรรธกันอย่างคึกครื้น
“หมอต้องสัญญาก่อน ว่ากลับไป หมอต้องไปทำบุญ...ทำสังฆทาน...”
“อะไรนะ”
“หมอสัญญาก่อนซิ”
เนตรสิตางศุ์พูดไม่ทันจบก็ต้องรีบปิดตาหันหน้าหนี เพราะผีตัวนึงแลบลิ้นยาวมาเลียหัวหมอวรวรรธ ผีอีกตัว ควักลูกตาตัวเองออกมาเล่น ผีอีกตัว หมุนคอไปรอบๆ เนตรศิตางศุ์ปิดตากลัวจนร้องไห้
“อะไร ถึงกับร้องไห้ กลัวอะไร ได้ๆๆ ฉันสัญญา ว่าจะกลับไปทำสังฆทาน ตกลงเธอเป็นอะไรแน่ เป็นโรคประสาทหรือเปล่า”
เนตรสิตางศุ์พนมมือ พูดกับผี
“ทุกๆ ท่านคะ คุณหมอวรวรรธจะไปทำสังฆทาน ทำบุญกรวดน้ำไปให้ทุกท่านพรุ่งนี้ค่ะ ช่วยสลายการชุมนุมทีเถอะนะคะ...หนูกลัวค่ะ”
“อะไรของเธอ” หมอวรวรรธหันมองรอบๆ “พูดกะผีรึไง?”
“ใช่...ท่านคะ...ขอร้องล่ะ”
พวกผียกนิ้วโป้งให้เนตรสิตางศุ์ แล้วค่อยๆ หายไป
ส่วนที่บริษัทซิกซ์เซ้นส์ ณัฐเดชกำลังโวยพวกสามสาว
“พวกเธอทำงานกันยังไง คนหายไป ไม่มีใครรู้เรื่อง”
“พี่ณัฐคะ ยัยเนตรเรียนจบแล้ว บรรลุนิติภาวะแล้ว จะให้พวกเรามานั่งเฝเหมือนเด็กสิบขวบ มันใช่เรื่องเหรอคะ”
“ยัยเนตรอาจจะออกไปเดินช็อปปิ้งแถวๆ นี้ เดี๋ยวคงกลับมา พี่ณัฐใจเย็นๆ ก่อนนะคะ”
ก๊องเข้ามาเอาไฟฉายส่องหน้าทำตัวเป็นตำรวจ
“พวกคุณจะยอมรับสารภาพดีๆ หรือจะให้ผมใช้กำลัง หา” ก๊องหันมาหาณัฐเดช “ผลการสอบปากคำ ผู้ต้องหาทุกคนบริสุทธิ์ครับ” ก๊องเลิกแสดง เปลี่ยนเป็นประจบประแจง “เห็นไหมครับ...คุณพี่ผู้กำกับ...งานสายสืบตำรวจ ผมก็ทำได้”
“ไม่ตลก...แล้วชั้นก็ยังไม่ได้เป็นผู้กำกับฯ” ณัฐเดชกดโทร สั่งงาน “จ่า...แจ้งพี่น้องตำรวจจราจรทุกจุด ช่วยตามหาตัวน้องสาวผมให้ที เดี๋ยวผมส่งรูปยัยเนตรไปให้...สั่งให้ทุกด่านตรวจค้นรถยนต์ต้องสงสัยทุกคัน ถ้าเห็นน้องผมซุกซ่อนอยู่ ให้ยึดตัวเอาไว้ แล้วผมจะรีบไป”
สุคนธรส กรรัมภา กรรณาเหนื่อยใจกับณัฐเดช
“น้องสาวเค้าหาย หรือน้องสาวเค้าค้ายาไอ๊ซ์กันแน่อ่ะพี่”
ติณห์ขับรถมาจอดที่บ้านทนายสมชาติ ทนายสมชาติกับป้าอรวรรณยืนรออยู่ก่อนแล้ว
“ผมนึกว่าคุณติณห์จะหลงทางซะแล้ว”
“มีเนวิเกเตอร์จะหลงทางได้ไง”
“คุณญานินคะ” ป้าอรวรรณดึงญาณินแยกมา “แอบออกไปไหนกับผู้ชายคนเดียวคะ ทีหลังอย่าทำอย่างนี้นะคะ มันไม่งาม เข้าใจมั้ยคะ”
“ค่ะๆ แล้วป้าออ มากับคุณทนายเค้าเนี่ย...ไม่เป็นไร ใช่ไหมคะ”
“แหม...แก่แล้ว ทำอะไรก็ไม่เป็นไรค่ะ ไม่มีใครเค้าคิดอะไรกันหรอก”
“เหรอคะ”
“คงงั้น...มั้ง...”
“ไปเถอะครับ คุณพ่อรออยู่แล้ว ทางนี้ครับ”
“ค่า”
ป้าอรวรรณพูดหวานกับทนายสมชาติ ทนายสมชาติเดินนำทุกคนเข้ามาในบริเวณบ้าน
“คุณพ่อผมเคยเป็นเด็กรับใช้ในบ้านคุณหลวงครับ คุณหลวงชอบเรียกพ่อไปทำบัญชีให้บ่อยๆ แต่ช่วงหลัง คุณพ่อไปช่วยงานคุณมะลิ ภรรยาคนเล็กสุดของคุณหลวง ช่วยดูแลเรื่องมรดกและที่ดินทั้งหมด จนตำแหน่งหน้าที่ของท่านตกทอดมาถึงผมนี่แหละครับ...วันที่คุณหลวงเสีย คุณพ่อผมก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย”
“อย่างนี้ท่านจะต้องทราบความจริงของแกรนด์ปาทุกเรื่องแน่ๆ”
“นั่นไงครับ คุณพ่อผม” ที่ศาลาริมน้ำ ตาพุ่ม นั่งอยู่ มองวิวตรงหน้า แววตาเลื่อนลอย งึมงำอะไรในลำคอเบาๆ “คุณพ่อครับ...คุณติณห์มาเยี่ยมครับ”
ตาพุ่มหันมามองหน้าทนายสมชาติ แววตาเลื่อนลอย ว่างเปล่า ตาพุ่มร้องเพลงต่อจากที่งึมงำมาตลอด
“งามแสงเดือนมาเยือนส่องหล้า งามใบหน้า เมื่ออยู่วงรำ งามแสงเดือนมาเยือนส่องหล้า งามใบหน้า เมื่ออยู่วงรำ เราเล่นเพื่อสนุก เปลื้องทุกข์ วายระกำ ขอให้เล่นฟ้อนรำ เพื่อสามัคคีเอย...”
ทุกคนอึ้ง
หมอวรรธจอดมอเตอร์ไซค์ที่หน้าโรงละคร เนตรสิตางศุ์รีบโดดลง
“ขอบคุณนะคะ คุณหมอ จะไม่ลืมพระคุณเลย แต่กลับไปแล้ว อย่าลืมไปทำสังฆทานให้วิญญาณของคนที่คุณหมอเคยชัณสูตรศพให้ในห้องนั้น...บ้างนะคะ”
“เย้ย...หมายความว่ายังไง”
เนตรสิตางศุ์ถอนใจ แล้วสารภาพ
“หมายความว่า...คุณหมอ...มีพวกพี่ๆ...ผีๆ...ตามไปไหนมาไหนตลอดๆ”
“ผมว่าพี่ณัฐแกออกจะบ๊องๆ นิดๆแล้วนะ...แต่คุณนี่ บ๊องกว่าพี่ชายอีก”
“เฮ้อ ก็เพราะทุกคนเป็นแบบนี้ไงคะ พูดไปก็ไม่มีใครเชื่อ...เนตรถึงไม่อยากจะบอก”
“เนตร..คุณจะบอกว่า...คุณเห็นผีเหรอ...I see dead people ไอซีเด้ดพี่เพิ่ลลลลล...”
หมอวรวรรธทำเสียงผีๆ หลอก เนตรสิตางศุ์ระอาแต่แล้วแววตาก็เปลี่ยนไป เพราะเนตรศิตางศุ์มองข้ามไหล่หมอวรวรรธไป เห็นใบหม่อนยืนตายซากอยู่ไกลๆ
“คุณใบหม่อน”
หมอวรวรรธงงๆ หันไปมองตาม แต่ไม่เห็นอะไร
“ใบหม่อน”””ตลกอีกแล้วนะสาวน้อย” หมอวรวรรธหันกลับมา ใบหม่อนโผล่มายืนตรงหน้าหมอวรวรรธทันที..ตึง! แต่หมอวรวรรธไม่เห็นอะไร “ฮะๆๆ”
ใบหม่อนจ้องหน้าหมอวรวรรธอยู่ เนตรศิตางศุ์เฝื่อน พูดไม่ออก
หมอวรวรรธเดินนำเนตรสิตางศุ์มาภายในโรงละคร
“มาถึงที่นี่ผมก็ต้องทำงานแล้ว จะให้มาส่งเฉยๆ เนี่ยนะ แล้วระหว่างที่ผมทำงาน ห้ามทำอะไรวุ่นวายเด็ดขาด...คุณทำได้แค่สังเกตการณ์เฉยๆ เข้าใจมั้ย...มาพบคุณปาณัทครับ”
หมอวรวรรธบอกพนักงานที่เดินผ่านมา
“เชิญในห้องเลยค่ะ”
หมอวรวรรธเดินเข้าไป เนตรสิตางศุ์กำลังจะเดินตาม แต่อยู่ๆ ใบหม่อนโผล่มาขวางหน้า
“คุณใบหม่อน...” ใบหม่อนจ้องเขม็ง “เนตรมาช่วยสืบคดีของคุณ ตามสัญญาแล้ว ใจเย็นๆ นะคะ”
นตรสิตางศุ์กำลังจะตามหมอวรวรรธเข้าไป แต่อยู่ๆ ลูกข่างวิ่งหน้าตั้งออกมาจากห้องคอสตูม
“ตายๆๆๆ มีใครเห็นบรรดาลูกสาวทีมเสื้อผ้าของชั้นบ้าง หายหัวไปไหนกันหมด ทำไมยังไม่มาจัดชุดเตรียมไว้ให้นักแสดงอีก” ลูกข่างกำลังจะกลับเข้าไป เหลือบมาเห็นเนตรศิตางศุ์พอดี “อ๊ะๆ เธอ”
“คะ”
“เธอนั่นแหละ เป็นเด็กฝึกงานแล้วจะมาอู้อีก...เดี๋ยวแม่ตีตายชักเลย กำลังยุ่งเลยนะจ๊ะ... มาๆๆๆๆ”
ลูกข่างเข้ามาคว้ามือลากเนตรศิตางศุ์ไปเลย
ที่บ้านทนายสมชาติ ตาพุ่มร้องเพลงไม่เลิก
“มาๆ รำร้องเพลงรำนำร่ายรำเฮฮา ถึงดาวพระศุกร์ สนุกนักหนา เย้ายวนวิญญา...อารมณ์ พริ้งเพราพวกดาวพระศุกร์...”
อยู่ๆ ตาพุ่มก็นิ่งกึก เหมือนไฟดับกะทันหัน แล้วนั่งค้างแข็งนิ่งไป ทุกคนมองหน้ากัน ป้าอรวรรณรีบพยักหน้าให้คิวทนายสมชาติ ทนายสมชาติรีบเข้าไป จับมือพ่อมาบีบๆ เหมือนปลุกให้ตื่น
“คุณพ่อครับ...นี่ คุณติณห์ หลานชายคุณหลวงพิชัยภักดีครับ...คุณติณห์แกกลับมาอยู่ที่นี่แล้ว”
ตาพุ่มหันมามองหน้าติณห์
“คุณติณห์...หลานคุณท่าน ฮ้า สวัสดีครับๆ”
ตาพุ่มยกมือไหว้ ติณห์รีบรับไหว้
“ไม่ต้องไหว้ผมหรอกครับคุณลุง”
“คุณหนู...หน้าตาหล่อเหลาไม่แพ้คุณตาเลยจริงๆ”
“คนนี้คุณญาณิน เป็นคนตกแต่งรีสอร์ทคนใหม่ของคุณติณห์ แล้วนี่ก็คุณอรวรรณ เป็น...คนดูแลคุณญาณิน”
“คุณลุงขา คุณลุงพอจะจำเหตุการณ์ในวันที่คุณหลวงท่านเสียได้มั้ยคะ ช่วยเล่าให้พวกเราฟังทีได้มั้ยคะ” ญาณินถาม
“วันที่คุณหลวงเสียเหรอ”
“ใช่ครับ ผมอยากรู้ว่าแกรด์ปาตายยังไง”
“ตอนนั้น ลุงยังเด็กมาก...แต่ลุงจำได้ว่า ลุงนั่งทำบัญชีอยู่ ตอนที่พี่มะลิ พี่สาวของลุง ภรรยาคนสุดท้ายของคุณหลวง กำลังจะไปทำบุญที่วัด...”
ภาพอดีตตาพุ่มในวัย15-16 กำลังนั่งทำบัญชีอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นท้องฟ้าที่มืดครึ้มขมุกขมัว สักพัก พี่มะลิเดินเข้ามา
“ไอ้พุ่ม...คุณหลวงท่านไม่ค่อยสบาย คลื่นไส้วิงเวียนตั้งแต่เช้าแล้ว พี่สั่งเด็กต้มยาหม้อไว้ พี่ฝากเอ็งช่วยยกไปให้ท่านที พอท่านตื่นมาจะได้กินทันที...พี่ต้องรีบไปที่วัดแล้ว พี่เป็นประธานของวันนี้ ไม่อยากไปสาย”
“ลุงยกถาดเข้าไปในห้องคุณหลวง วางเสร็จลุงก็รีบออกมาจากห้องคุณท่าน”
ไอ้พุ่มยกถาดยาหม้อเข้ามาวางให้คุณหลวงที่ยังหลับสนิทอยู่ หน้าตาซูบแบบคนป่วย แต่ยังหายใจได้สะดวก ไอ้พุ่มวางลงเบาๆ ที่โต๊ะหัวเตียงข้างกาน้ำชาแล้วรีบออกไป
กลับมาปัจจุบันพวกติณห์ฟังอย่างสนใจ
“ลุงกลับมานั่งทำงานต่อ แต่แล้ว...”
ไอ้พุ่มกลับมานั่งทำงานที่เดิม ขณะที่ไอ้พุ่มกำลังยกแก้วน้ำขึ้นมาจิบ แต่อยู่ๆ มีเสียงตึงตังโครมครามดังมาจากห้องคุณหลวง ไอ้พุ่มรีบวิ่งออกไปทันที”
“คุณท่าน...”
ไอ้พุ่มวิ่งเข้ามาที่ห้องคุณหลวง แล้วต้องช็อคเพราะคุณหลวงกำลังชักกระตุกอยู่ที่พื้น ขากรรไกรค้าง ตาเหลือกลาน พูดไม่เป็นคำ มีอาเจียนที่พื้น ไอ้พุ่มยืนตาค้างทำอะไรไม่ถูกในทีแรกแต่พอได้สติจึงรีบเข้าประคองคุณหลวง
“คุณท่าน...คุณท่านเป็นอะไร...ใครอยู่แถวนี้บ้าง เรียกหมอที...ช่วยด้วย...คุณท่านครับ คุ...ณ...”
คุณหลวงสิ้นใจไปคาตักไอ้พุ่ม ไอ้พุ่มพยายามเขย่าตัว ร้องเรียกคุณหลวง แต่คุณหลวงสิ้นใจแล้ว
“คุณหลวงสิ้นใจคามือสองข้างของลุงนี่เอง”
“ทำไมอยู่ๆ แกรนด์ปาถึงตาย..ก่อนหน้านี้ แกรนด์ปามีอาการอะไรหรือเปล่าครับ?”
“คุณหลวงท่านเป็นคนแข็งแรง”
“น่าจะจริง ไม่งั้นคงไม่มีเมียเป็นสิบคนหรอก” ป้าอรวรรณกระซิบกับญาณิน
“แต่พอย้ายมาอยู่เรือนไทยริมน้ำ คุณหลวงก็เริ่มป่วยกระเสาะกระแสะ มีหมอญี่ปุ่นมาดูก็บอกว่าท่านความดันต่ำ...พี่มะลิเลยไปให้หมอไทยจัดยาหม้อมาให้ดื่มบำรุง แต่ก็ไม่ดีขึ้น...แล้วท่านก็...ไปดี”
“อย่างนี้คุณหลวงก็ไม่ได้ฆ่าตัวตายน่ะสิพ่อ แต่ป่วยตาย”
“ฆ่าตัวตายสิ”
“อ้าว ก็คุณลุงบอกว่า คุณหลวงท่านป่วย”
“จริงๆ แล้ว ท่านเครียด เรื่องที่ถูกจับได้ว่าโกงสมบัติชาติ ความดันเลยตก เวียนหัว อาเจียน อารมณ์แปรปรวน ท่านเลยป่วย แล้วก็ฆ่าตัวตาย”
“ไม่จริง คุณลุงลองคิดใหม่ให้ดีๆ อาจจะมีอะไรบางอย่างที่คุณลุงมองข้ามไปก็ได้ แต่คุณหลวงไม่ได้ฆ่าตัวตาย”
“คุณหลวงฆ่าตัวตาย” ตาพุ่มยืนยัน ญาณินจึงปรี๊ดแตก
“ไม่จริง ก็ที่คุณหลวงบอกมาไม่ใช่อย่างนี้”
“พอได้แล้ว”
ติณห์ฉุนญาณิน เดินออกไปทันที
ทนายสมชาติขับรถเข้ามาจอดที่รีสอร์ทติณห์ ติณห์เดินเครียดออกจากรถทันที ญาณินรีบลงตาม
“คุณติณห์...เรื่องมันนานมากแล้ว ลุงพุ่มอาจจำได้บ้างไม่ได้บ้าง เราให้เวลาลุงพุ่มสักหน่อย อีกสองสามวัน เราค่อยไปใหม่ เผื่อท่านจะนึกอะไรได้”
“ผมไม่ไปอีกแล้ว”
“คุณติณห์”
“ลุงพุ่มยืนยันว่าแกรนด์ปาฆ่าตัวตาย คุณจะเถียงอะไรอีก คุณหยุดปั่นหัวผมซะที ผมไม่เชื่อคุณแล้ว”
“ถ้าไม่เชื่อ งั้นคุณไปหาลุงพุ่มทำไม?”
“ผมแค่อยากแน่ใจ ว่าที่ผมรู้สึกกับแกรนด์ปา มันถูกต้อง...แล้วมันก็เป็นจริงอย่างที่ใครๆ พูดกัน แกรนด์ปาเป็นคนไม่ดีโกงชาติ จนครอบครัวเราพัง ต้องย้ายไปอยู่ต่างประเทศกันหมด...คุณไม่ต้องพูดให้ผมสับสนอีก ผมไม่เชื่อคุณแล้ว” ติณห์หน้าตาเสียใจ สะเทือนใจสุดๆ
“ลึกๆ แล้ว คุณเชื่อชั้น คุณรักคุณตาของคุณ และคุณก็ข้องใจมาตลอดว่าคุณตาของคุณตายเพราะอะไรกันแน่ คุณอยากให้คุณหลวงบริสุทธิ์...ไม่อย่างนั้นคุณไม่กลับมาเมืองไทย มาสร้างรีสอร์ทบนที่ดินของคุณตาคุณเพื่อพิศูจน์ความจริงหรอก”
“ไม่จริง ผมเกลียดแกรนด์ปา”
“คุณไม่ได้เกลียด”
ติณห์คว้าแขนญาณินมาบีบ
“ผมจะรื้อเรือนไทย จะเอารูปแกรนด์ปาออกไป ผมไม่ต้องการได้ยินเรื่องของแกรนด์ปาอีก ถ้าคุณพูดอีกครั้ง ผมจะไล่คุณออก”
ติณห์ปล่อยญาณิน จ้องหน้า
“คุณหนูขา...อย่าทำให้เสียงานเลยนะคะ...สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ตั้งสติๆ”
ป้าอรวรรณบอก ญาณินผละออกจากป้าอรวรรณ
“ป้าออไม่ต้องห่วงค่ะ ตอนนี้นินมีสติที่สุดแล้ว รับรองว่านินจะไม่ทำให้เสียงาน”
ญาณินเดินพุ่งตามติณห์ไป
“ไม่ต้องห่วงนะครับ คุณติณห์แค่ขู่ ไม่ไล่ออกจริงๆ หรอกครับ”
เพ็ญนภานั่งหง่าวรอติณห์อยู่ที่บ้านพัก สักพักเพ็ญนภาเห็นติณห์เดินจ้ำมาแต่ไกลรีบลุกจะไปต้อนรับ แต่แล้วต้องชะงัก เพราะเห็นญาณินวิ่งตามติณห์มาอีกที
“ชั้นไม่ให้คุณรื้อเรือนไทย รีสอร์ทของคุณจะต้องมีเรือนไทยหลังนั้นเหมือนเดิมทุกอย่าง”
“ผมเป็นเจ้าของที่ดิน ผมพูดคำไหนคำนั้น”
“เจ้าของตัวจริงคือคุณหลวงพิชัยภักดี และคุณหลวงก็ต้องการให้คุณสร้างรีสอร์ท โดยเก็บเรือนไทยของท่านเอาไว้ อีกอย่างท่านบอกว่าไม่อยากให้คุณสนิทสนมกับกำนันพงษ์ ถ้าคุณมีเรื่องอะไรก็ให้ปรึกษาทนายสมชาติคนเดียวเท่านั้น แล้วเรื่องที่สำคัญที่สุด...คุณหลวงห้ามคุณแต่งงานกับยัยปากแดง ท่านไม่ชอบ”
เพ็ญนภาหูผึ่งทันที
“หล่อนหมายถึงใคร”
เพ็ญนภากำลังจะเข้าไปเอาเรื่อง แต่ติณห์ปริ๊ดยิ่งกว่า
“คุณกล้าดียังไงถึงพูดแบบนี้ ผมจะคบกับปากแดงหรือปากส้มแล้วใครจะทำไม ไม่ว่าแกรนด์ปาหรือใครก็ไม่มีสิทธิ์มาห้ามผมได้”
เพ็ญนภาแอบยิ้ม ที่ติณห์ปกป้องตัวเอง
“คุณหลวงขอให้ชั้นมาบอกคุณอย่างนี้”
“งั้นคุณก็เป็นตัวประหลาด พูดกะผีก็ได้”
“ใช่ ชั้นมันตัวประหลาด แต่ชั้นไม่เคยคิดร้ายกับคุณ ชั้นแค่ทำทุกอย่างที่คิดว่ามันถูกต้อง และต้องทำ...ถ้าไม่เชื่อ ก็ขอให้คุณอยู่กับคนดีของคุณเถอะ ชั้นจะกลับกรุงเทพฯแล้ว”
ญาณินเดินไปอย่างฉุนๆ
“เชิญเลย! แล้วไม่ต้องกลับมาอีก”
เพ็ญนภารีบเข้าไปปลอบติณห์
“ติณห์เก่งมาก...ติณห์ทำถูกแล้วค่ะ คนดีของเพนนี...”
โปรดติดตามตอนต่อไป