นางสิงห์สะบัดช่อ ตอนที่ 9
เก่งตรงดิ่งกลับบ้านครูเพิ่มเปิดประตูห้องพรวด เข้าไปรื้อหาชุดนางสิงห์เร็วรี่ แต่ต้องประหลาดใจเมื่อชุดไม่อยู่แล้ว
“อ้าว เฮ้ย ชุด ชุดหายไปไหนวะ”
ครูเพิ่มเดินแอ่น ถือเหล้าผ่านมาพอดี จึงถาม “หาอะไรวะไอ้เก่ง”
“ชุดนางสิงห์อยู่ไหนแล้วครู” เก่งถามอย่างร้อนใจ
“อ้าว ก็เห็นเอ็งหมกไว้ตั้งหลายวัน ข้าเลยเอาไปซัก
“ตากอยู่หลังบ้านใช่มั้ย”
“เออ” ครูเพิ่มพยักหน้าหงึก เห็นเก่งวิ่งไปก็ร้องบอก “เฮ้ย ยังไม่แห้งนะไอ้เก่ง”
เก่งเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว กำลังเกล้าผมกับสวมหน้ากากเป็นพัลวัน ครูเพิ่มตามมา
“นี่มันเรื่องอะไรวะ เอ็งจะรีบร้อนไปไหน”
เก่งบอกเร็วๆ “ตำรวจกำลังล้อมจับนางสิงห์ที่บ้านเสี่ยเล้ง”
“ห๊ะ! ก็เอ็งอยู่ที่นี่ แล้วใคร…” ครูเพิ่มฉงน
“จะมีใครซะอีกล่ะครู”
ครูเพิ่มอึ้ง จนนึกขึ้นได้ “ไอ้ย้ง”
ส่วนเหตุการณ์ที่ห้องรับแขกบ้านเสี่ยเล้งกำลังวิกฤต มิ่งและสมุนช่วยกันประคองจำเริญที่อยู่ในอาการมึนงงลงมาจากข้างบน
“ว่าไงไอ้มิ่ง เจอคนร้ายรึเปล่า” เสี่ยเล้งถาม
“ไม่ครับเสี่ย คิดว่าคงหลบอยู่ห้องไหนสักห้อง” มิ่งบอก
จำเริญบอกทั้งที่งงๆ อยู่ “มันซัดผมซะน่วมเลยป๊า ป๊าต้องจัดการมันให้ได้นะ”
เพลินตาถามดนัย “เอาไงดีคะสารวัตร จะขึ้นไปจับมันเลยรึเปล่า”
“ไม่จำเป็นหรอกครับ ถึงไงคนร้ายก็หนีไม่รอดอยู่ดี ผมว่างานขี้ผงแบบนี้ ปล่อยให้ตำรวจชั้นผู้น้อยจัดการดีกว่า” ดนัยอวดเก่ง
“แหม สารวัตรนี่รอบคอบจริงๆ ไม่ยอมเอาพิมเสนไปแลกเกลือฉลาดมาก” เสี่ยเล้งชม
ดนัยภูมิใจ ขณะที่เพ็ญพรชักหมดศรัทธาเจ้านาย
ที่ถนนละแวกบ้านเสี่ยเล้งเวลานั้น ลูกตุ้มโซ่ถูกตวัดพันกิ่งไม้ เห็นเก่งในคราบนางสิงห์โหนตัวขึ้นบนต้นไม้และหยุดซุ่มดูเหตุการณ์ นางสิงห์เห็นชัดว่าขณะนั้นรถตำรวจสองคัน รถนำขบวนและรถขนกำลัง กำลังมุ่งหน้าไปยังบ้านเสี่ยเล้ง
“บ้าจริง มาสายจนได้” นางสิงห์สบถ มองไปที่บ้านเสี่ยเล้งอย่างเจ็บใจ
ด้านย้งพอได้ยินเสียงไซเรนส์ เสียงรถตำรวจเปิดพรึ่บพรับก็โผไปดูที่หน้าต่างพอเห็นรถตำรวจแล่นมาจอด และมีตำรวจขนกำลังลงจากรถกันพรึ่บพรับ ก็หน้าถอดสี
“เว้ย ตำรวจแห่มาหมดโรงพักเลยเหรอวะเนี่ย” ทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรง “ตายแน่ไอ้ย้ง หนีไม่รอดแน่งานนี้”
ทันใดนั้นเองที่เก่งกระโจนเข้ามาทางหน้าต่างอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย ไอ้เก่ง”
เก่งตั้งหลักหันมาหา “ไอ้ย้ง อ…” พอเก่งเห็นสภาพย้งที่ยามนี้แต่งชุดนางสิงห์แบบเยินยับ ก็ครางออกมา “ไอ้ทุเรศ”
ย้งสะบัดวิกหมวยใหญ่เถียงคอเป็นเอ็น “ทุเรศตรงไหนวะ”
“ตรงไหนก็ทุเรศ! ไอ้บ้า! นี่เอ็งแต่งชุดอะไรของเอ็ง”
ย้งบอกก็…ชุดนางสิงห์ไง”
เก่งสุดจะทนกระชากคอ “ฮึ่ย กลับไปข้าคิดบัญชีเอ็งแน่”
ย้งยิ้มขมๆ “ได้ แต่ตอนนี้ รีบหาทางหนีก่อนเถอะ”
เก่งระงับโทสะ ผละจากย้งไปที่หน้าต่างแล้วมองสำรวจหาทางหนีทีไล่
มิ่งกับสมุนยืนรออยู่ ก่อนที่เสี่ยเล้งจะพาดนัย เพ็ญพร เพลินตาและจำเริญออกมาจากบ้าน ขณะที่ธัมโม ไชโย และโอฬารกำลังดูแลความพร้อมของทีมตำรวจ
“ผู้กอง ขอบคุณที่รีบมา”
“ด้วยความยินดีครับ” หันมาทางดนัย “สารวัตร คนร้ายอยู่ที่ไหนครับ”
“ชั้นบน ไม่แน่ใจว่ามีอาวุธรึเปล่า ยังไงก็ระวังด้วย”
ธัมโมเหลือบไปเห็นเพลินตาเข้าพอดี เพลินตาแกล้งจงใจคว้าแขนดนัยเพื่อกวนประสาทธัมโมเล่น
ธัมโมระงับโทสะ หันไปสั่งงาน “หมู่ จ่า ให้คนของเราล้อมบ้านนี้เอาไว้อย่าให้ใครเข้าออกเด็ดขาด เดี๋ยวผมจะจัดการกับคนร้ายเอง”
ธัมโมปลดปืนจะเดินเข้าบ้าน ดนัยเรียกไว้
“เดี๋ยว ให้จ่ากับหมู่ไปแทนดีกว่า ส่วนคุณอยู่ทางนี้” ดนัยหันมาจ่ายงาน
เพ็ญพรเองก็งง “อ้าวทำไมล่ะคะ สารวัตร”
“ผมไม่ไว้ใจเค้า เพราะเค้าเป็นเพื่อนกับนางสิงห์” ดนัยว่า
มิ่งกับจำเริญมองหน้ากันอย่างตกตะลึง ขณะที่เสี่ยเล้งมองธัมโมอย่างไม่พอใจ ทำเอาธัมโมกระอักกระอ่วน ส่วนดนัยก็สะใจที่ฉีกหน้าธัมโมได้สำเร็จต่อหน้าเพลินตา
จากห้องนอนจำเริญเก่งมองเขม้นไปยังหน้าบ้าน เห็นทั้งตำรวจทั้งสมุนของเสี่ยเล้งล้อมอยู่เต็มบ้าน ที่สำคัญก็คือมีธัมโมอยู่ด้วย
“จะหนียังไงวะเนี่ย” เก่งครุ่นคิด
ย้งอวดเก่ง “ยากตรงไหนวะ โหนมาได้ก็โหนไปได้สิ”
เก่งหมั่นไส้ “พูดง่ายนี่หว่า สองคนจะโหนยังไง มีหวังโดนสอยร่วงพอดี” เก่งหนักใจ เหลือบไปมองเห็นตู้เสื้อผ้าของจำเริญแล้วชะงัก “ไอ้ย้ง”
“ว่า…” ย้งหันมารอฟัง
เก่งยิ้มออก “ข้ามีแผนแล้ว”
ย้งมองตามสายตาเก่งไปที่ตู้เสื้อผ้า
ตรงทางเดินบนบ้านเสี่ยเล้งเวลานั้น ไชโยถือปืนย่องมาดูต้นทาง แล้วบุ้ยหน้าให้โอฬารซึ่งตามมาอย่างกลัวๆ กล้าๆ
โอฬารสงสัย “อะไร”
“ปฏิบัติงานโว๊ย”
“ผมเหรอ” โอฬารย้อนถาม
ไชโยหงุดหงิด “อ้าว ก็หมู่สิ ผมเป็นผู้บังคับบัญชานี่รีบไปค้นห้อง เร็ว”
โอฬารรวบรวมความกล้าสักพักก่อนจะย่องไปแง้มประตูดูทีละห้อง ก่อนจะหันมาบอกเบามาก
“ ห้องนี้ไม่มีคนอยู่” ดูอีกห้องแล้วหันมาบอกอีก “ห้องนี้ก็ไม่มี”
ไชโยหงุดหงิด “จะเบาไปไหนวะ ดังหน่อยก็ได้”
โอฬารจุ๊ปาก รีบเข้ามาบอกใกล้ “ชูว์ เดี๋ยวคนร้ายมันรู้ตัว”
ไชโยรู้ทัน “กลัวจับไม่ได้”
โอฬารต่อคำ “กลัวเราจะหนีไม่ทัน”
ไชโยกระตุกหนวดโอฬาร
“อู๊ย ทำเค้าทำไมอ่ะจ่า”
“เป็นตำรวจพูดแบบนี้ได้ยังไง ฮึดสู้หน่อยสิวะ”
“จ่าก็นำสิ”
“ฮึย…เออ! ที่เหลือข้าค้นเองก็ได้”
ทุกคนรอฟังข่าวอย่างกระวนกระวาย
“หมู่จ่าหายไปตั้งนาน ไม่รู้จะคว้าน้ำเหลวรึเปล่า” ดนัยตั้งข้อสังเกต
“คงไม่หรอกครับ เงียบกริบแบบนี้ บางทีนางสิงห์อาจจะหนีไปแล้ว” ธัมโมว่า
“รู้สึกจะเอาใจช่วยนางสิงห์เหลือเกินนะผู้กอง” ดนัยเยาะ
“เปล่าครับ ผมก็แค่สันนิษฐานไปตามเหตุการณ์”
เพลินตาแค่นหัวเราะ “ฮึ มิน่า นางสิงห์ถึงลอยนวลอยู่ได้ตั้งนาน ที่แท้ก็มีตำรวจคอยให้ท้ายนี่เอง”
ธัมโมรู้สึกอึดอัดใจและไม่พอใจที่ดนัยเอาความลับของตนมาแฉ ขณะที่ดนัยแอบสะใจ
ระหว่างนั้นเองเพ็ญพรเห็นไม่มีใครสนใจตน จึงค่อยปลีกตัวไปจากบริเวณนั้นอย่างระแวดระวัง
ไชโยกับโอฬารย่องมาหน้าห้องจำเริญ
“ห้องสุดท้ายแล้วนะจ่า”
“เออรู้ ชี้ชะตากันห้องนี้แหละ”
โอฬารคว้าลูกบิดประตู “พร้อมนะ”
ไชโยกระชับปืน “เออพร้อม”
โอฬารโอ้เอ้ “จะเปิดแล้วนะ”
ไชโยรำคาญ “เออเปิดเลย”
“เอาจริงนะ”
“ไอ้นี่ก็เปิดซะทีเหอะ คนเค้าเกร็งจนมือจะเป็นตะคริวแล้ว”
“โอเค ถ้างั้นหนึ่ง สอง สาม”
โอฬารผลักประตูเข้าไปแล้วเจอนางสิงห์ยืนเก๊กมาดเข้มอยู่เพียงลำพังโดยปราศจากวี่แววย้ง
“นางสิงห์ชุดดำ” ไชโยเล็งปืนใส่ “วางอาวุธ แล้วมอบตัวเดี๋ยวนี้”
แทนคำตอบนางสิงห์ชุดซัดลูกตุ้มโซ่ตีปืนจนหลุดจากมือของไชโย
“แน่จริงก็ตามมาเลยคุณตำรวจ”
คู่หูหมู่กะจ่าร้อง “เฮ้ย” พร้อมกัน อย่างตกใจ
ไชโยกับโอฬารถึงกับตะลึงเมื่อเห็นนางสิงห์ชุดดำพุ่งตัวออกไปนอกหน้าต่าง ทั้งคู่รีบตามไปดู
นางสิงห์ตีลังกาลงมายืนจังก้าต่อหน้าธัมโม ดนัย และพวกของเสี่ยเล้ง
“นางสิงห์” ธัมโมอุทาน
นางสิงห์สะบัดโซ่กวัดแกว่งไปมา “ใครอยากจับชั้นก็เข้ามา”
ดนัยสั่งเข้ม “ไม่ต้องสนใจ ถ้าคนร้ายขัดขืนยิงได้เลย”
ธัมโมตกใจ “สารวัตร”
จังหวะนั้นเองนางสิงห์ก็สะบัดตุ้มโซ่เหวี่ยงไปรอบตัวอย่างรวดเร็ว ขณะที่ตำรวจเริ่มกระหน่ำยิง แต่ก็ถูกนางสิงห์ฟาดจนปืนหลุดจากมือ เห็นกระสุนปลิวผ่านร่างนางสิงห์ไปบ้าง บางนัดก็ยิงโดนแต่ไม่ระคายผิวแม้แต่น้อย เสื้อขาด ผิวแค่เป็นรอย
ด้านไชโยกับโอฬารมัวตื่นตะลึงกับลีลาการต่อสู้ของนางสิงห์อยู่ที่หน้าต่าง จนไม่ได้สังเกตเลยว่าย้งซึ่งซ่อนอยู่ในตู้เสื้อผ้าได้แอบย่องออกมา โดยเปลี่ยนเสื้อผ้าและสวมหมวกของจำเริญเอาไว้ พอตั้งหลักได้ย้งก็รีบเผ่นไปจากห้องทันที
“โอ้โหสู้กันมันหยดติ๋งเลยจ่า” โอฬารทึ่งสุดๆ
“ไม่น่าเชื่อ ผู้หญิงอะไรจะเก่งขนาดนี้” ไชโยก็ด้วย
ทุกคนยังคงลุ้นระทึก ขณะที่นางสิงห์กำลังอาละวาดอยู่นั้น ดนัยก็ชักปืนออกมาเล็งที่ด้านหลัง
“สารวัตร อย่านะครับ” ธัมโมร้องห้าม
จังหวะนั้นเองที่นางสิงห์ไหวตัวหันมาซัดลูกตุ้มโซ่สอยปืนดนัยจนหลุดไป ก่อนจะตวัดซ้ำลากตัวดนัยให้มาถลาล้มตรงหน้า แล้วชักปืนจ่อเอาไว้
ธัมโมตะโกน “นางสิงห์ ถ้าเธอทำร้ายเค้า ชั้นจะไม่ยกโทษให้เด็ดขาด”
เก่งลังเล ก่อนจะรับคำ “ก็ได้ค่ะผู้กอง แต่ว่าก่อนอื่น” กระชากตัวดนัยขึ้นมา “เค้าต้องไปกับชั้น”
เจอไม้นี้เข้าไป ทุกคนก็ได้แต่เงียบกริบไปตามกันๆ
เวลาผ่านไป ดนัยทำหน้าที่ขับรถ โดยมีนางสิงห์คอยถือปืนขู่ เมื่อรถแล่นจากไปก็เห็นไชโยกับโอฬารตามออกมาดู
ไชโยถามหารือ “ผู้กอง จะเอายังไงดีครับ”
“นางสิงห์รับปากแล้ว ถ้าเราไม่ตามไป เค้าจะปล่อยตัวสารวัตร” ธัมโมว่า
“แล้วถ้ามันไม่ปล่อยหรือทำร้ายสารวัตรขึ้นมา คุณจะทำยังไง” เสี่ยเล้งขัดใจ
ธัมโมพูดเสียงเข้ม “ผมจะรับผิดชอบเองครับ”
“เชอะ นี่คุณออกหน้าแทนคนร้ายอยู่นะผู้กอง คอยดูเถอะผมจะร้องเรียนเรื่องของคุณ”
คำพูดจำเริญ ทำเอาธัมโมเครียด
ย้งซึ่งสวมหมวกและเสื้อผ้าของจำเริญเดินก้มหน้าก้มตาผ่านมา สมุนยามรีบทักทาย
“คุณจำเริญจะไปไหนเหรอครับ”
ย้งแกล้งทำเป็นไอไม่ยอมตอบ แล้วชี้ไปที่ประตูทางออกด้านหลังซึ่งปิดอยู่
“อ๋อ เชิญครับ เดี๋ยวผมเปิดให้” สมุนทั้งสองกุลีกุจอเปิดประตูให้ย้ง
ย้งพอเดินพ้นจากบ้านเสี่ยเล้งมาได้ ก็รีบหลบหาที่ซุ่มหลบสังเกตการณ์ทันที
“โฮ่ย พ่อแก้วแม่แก้วเข็ดจนตาย ชาตินี้ไม่เป็นโจรอีกแล้วสาธุ” แล้วนึกขึ้นได้ “แล้วนี่ไอ้เก่งมันจะหนีพ้นรึเปล่าวะ”
รถแล่นมาจอดที่ข้างทางตรงป่าละเมาะ ดนัยซึ่งทำหน้าที่ขับรถมองไปยังนางสิงห์ที่ถือปืนคุมเชิงอยู่เบื้องหลังด้วยความระแวง
“โทษชั้นไม่ได้นะคะสารวัตร ความจริงเราน่าจะเป็นเพื่อนกันแทนที่จะเป็นศัตรู” นางสิงห์เสียงแข็ง
“ฮึ ชั้นไม่มีทางมีเป็นเพื่อนกับโจรเหมือนเหมือนไอ้ธัมโมเด็ดขาด ระวังให้ดีเถอะนางสิงห์ ชั้นต้องตามจับเธอแน่”
“ก็ลองสิสารวัตร ถ้าคิดว่าทำได้” นางสิงห์ท้าทาย
นางสิงห์ปลีกตัวลงจากรถเดินไป ดนัยฉวยโอกาสนั้นแอบค่อยๆ ล้วงเอาปืนสำรองที่ข้อเท้าออกมา
ดนัยรำพึง “เดี๋ยวก็รู้ ว่าหนังเหนียวจริงรึเปล่า”
ขณะที่นิ้วดนัยง้างนกปืน จังหวะนั้นเองนางสิงห์หันมาอย่างรวดเร็วก่อนจะสะบัดลูกตุ้มโซ่ซัดเอาปืนหลุดไปจากมือของดนัยอีกครั้ง แล้วสะบัดซ้ำอีกครั้งเพื่อตวัดคอดนัยกระชากลงมาที่พื้น นางสิงห์ชักปืนออกมาว่องไว
“อย่านางสิงห์ อย่าฆ่าชั้น ชั้นยอมแล้ว”
“สารเลว ลอบกัดได้กระทั่งผู้หญิง แกอย่าอยู่เลย” นางสิงห์โกรธจัด
“เดี๋ยวๆ ฟังชั้นพูดก่อน ชั้นเป็นรุ่นพี่ของธัมโมนะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับชั้น ธัมโมต้องไม่ยอมแน่”
นางสิงห์ชะงักไป จังหวะนั้นเองที่ดนัยเหลือบมองไปที่พื้น ก่อนจะขยุ้มทรายทั้งกำปาใส่หน้านางสิงห์
“เสร็จชั้นจนได้ นังตัวแสบ” ดนัยคว้าท่อนไม้ที่หล่นอยู่แถวนั้น “หนังเหนียวใช่มั้ยอย่างแก มันต้องเจอแบบนี้”
ดนัยฟาดไม้ใส่นางสิงห์จนล้มลง นางสิงห์พยายามเหวี่ยงอาวุธตอบโต้แต่ก็พลาดเป้าหมาย ดนัยเตะอาวุธของนางสิงห์จนหลุดมือ ก่อนจะเงื้อไม้ขึ้น
“โทษฐานที่แกบังอาจฉีกหน้าชั้น ตายซะเถอะ”
ดนัยไม่ทันได้หวดไม้ เพราะมีใครบางคนใช้ด้ามปืนทุบท้ายทอยเขาจนหมดสติไปซะก่อน ร่างดนัยทรุดฮวบลงพื้น ท่ามกลางความงุนงงของนางสิงห์ ที่มีคนมาช่วยเธอ? แต่ว่าเขาคือใคร
ธัมโม ไชโย โอฬาร และพลขับ
ธัมโม ไชโย และโอฬารกำลังนั่งรถตระเวนหาดนัยตามเส้นทางที่นางสิงห์นัดแนะเอาไว้ โดยโอฬารได้ใช้กล้องส่องทางไกลไปมาระหว่างทาง
“ไม่รู้ป่านนี้สารวัตรจะเป็นยังไงบ้าง งานนี้ถ้าเกิดอะไรขึ้นผมว่าผู้กอง…คงเดือดร้อนแน่เลยครับ” ไชโยว่า
“ชั้นรู้แต่ชั้นเชื่อว่านางสิงห์ชุดดำ คงไม่ทำร้ายสารวัตรหรอก” ธัมโมมั่นใจ
โอฬารลดกล้องส่องทางไกลลง รีบบอก “ผู้กองเจอแล้วครับ รถของสารวัตรจอดอยู่ทางโน้น”
โอฬารชี้ลงไปในป่าละเมาะข้างทาง
รถของทีมธัมโมแล่นมาจอดใกล้ร่างของดนัยที่นอนสลบเหมือดอยู่ ทุกคนรีบลงจากรถไปดูอาการของดนัย
“สารวัตร สารวัตร”
โอฬารมองเห็นเลือดเปื้อนมือ “สารวัตรเลือดออก นี่ตกลงนางสิงห์มันทำร้ายสารวัตรเหรอครับผู้กอง”
“ท่าจะไม่ดีแล้วครับผู้กอง รีบพาไปหาหมอเถอะครับ”
ธัมโมหนักใจ ที่เรื่องลุกลามบานปลาย
สมุนเสี่ยเล้งกำลังอธิบายให้ฟัง ขณะที่จำเริญตรวจเสื้อผ้าในตู้
“ตอนแรกผมก็ไม่ได้เอะใจหรอกครับเสี่ย แต่มานึกได้ทีหลังว่าเสี่ยน้อยจะสวมหมวก เดินออกทางหลังบ้านทำไม”
“ก็ดีที่ยังอุตส่าห์นึกได้ แต่คราวหลังน่าจะใช้สมองให้เร็วกว่านี้” มิ่งด่าเอา
“ครับลูกพี่”
เสี่ยเล้งถามลูกชาย “ว่าไงจำเริญ ใช่รึเปล่า”
จำเริญพยักหน้า “เสื้อผ้าผมหายไปจริงๆ ด้วยป๊า”
สมุนอีกคนถือกระเป๋าของย้งเข้ามา “เสี่ยน้อยครับ ผมเจอกระเป๋าใบนี้ที่พุ่มไม้หน้าบ้านครับ”
เสี่ยเล้งถามทันควัน “ข้างในมีอะไร”
แทนคำตอบสมุนคนนั้น แหวกกระเป๋าแล้วหยิบเอาเสื้อผ้าของย้งมาชูให้ดู
จำเริญรีบคว้าเสื้อมาดู นิ่งคิดสักครู่
“ไอ้ย้ง”
ที่ร้านกาแฟเถ้าแก่ตง มีลูกค้าสองรายกำลังกินกาแฟพูดคุยกันอยู่ แต่แล้วทั้งคู่ก็ต้องชะงัก เพราะเสียงร้องไห้ของหมวยใหญ่ ที่แผดจ้าขึ้นมาก่อนจะค่อยๆ หรี่ลงเป็นเสียงกระซิกๆ ลูกค้าหันมาคุยกันต่อ แต่ไม่นานนักหมวยใหญ่ก็แผดร้องออกมาอีก และไม่มีทีท่าจะหยุด ลูกค้าจึงวางเงินแล้วเผ่นออกจากร้านด้วยความรำคาญ เถ้าแก่ตงเดินมาดูอาการลูกสาวด้วยความระอา
“อาหมวย ลื้อจะร้องไห้อะไรนักหนา แค่ผู้ชายอันเดียว เอ้ย คนเดียว ลื้อลืมมันไปน่อ”
“ลืมได้ไงล่ะป๊า ลื้อนึกว่าหาง่ายเหรอ ผู้ชายดีๆ แบบนี้ เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่ดูด ผู้หญิงไม่เที่ยว เสียอย่างเดียวดันเป็นตุ๊ดอ่ะ”
หมวยใหญ่ปล่อยโฮ ขณะที่ย้งเพิ่งกลับมาถึงโดยสวมเสื้อผ้าจำเริญมาด้วย
“ป๊า เจ๊เค้าเป็นอะไรเหรอ”
“เรื่องของมัน ไม่เกี่ยวกับมึง เอ้ย เรื่องของมัน ไม่เกี่ยวกับลื้อว่าแต่ลื้อเหอะอาย้ง ลื้อหายไปไหนมาทั้งคืน”
“อ๋อคืออั๊วมีธุระน่ะ”
หมวยใหญ่หงุดหงิดใส่ “ธุระอะไรของลื้อ ไม่ยอมกลับบ้าน นี่ลื้ออย่าบอกนะว่าลื้อก็เป็น
..เป็น….เป็นเหมือนอาเก่งเพื่อนลื้อ”
ว่าแล้วหมวยใหญ่ก็ร้องไห้กระซิกๆ ต่อ เล่นเอาย้งงง ขณะที่เถ้าแก่ตงมองย้งอย่างนึกวิตก
เวลาต่อมาสารวัตรดนัยฟื้นขึ้นมาในห้องตรวจโรคบนสถานีอนามัย ดนัยค่อยลืมตาตื่นขึ้นมา และเห็นวาสนาหันไปรายงานธัมโม โอฬารและไชโย
“ผู้กอง สารวัตรฟื้นแล้วค่ะ”
ธัมโมนำไชโยกับโอฬารเข้ามาที่เตียง “สารวัตร”
จู่ๆ ดนัยกระชากเสื้อธัมโมเพื่อรั้งตัวเองลุกขึ้น ที่หัวมีผ้าพันแผลอยู่
“สะใจรึยังผุ้กอง เพื่อนของคุณเกือบจะฆ่าผมไหนคุณบอกว่าเธออยู่ข้างเดียวกับเรา”
ธัมโมหน้าเสีย “ผมขอโทษครับ”
“ผมไม่อยากฟัง! สิ่งที่คุณควรทำก็คือ พาคนของเราไปค้นให้ทั่วหมู่บ้านไม้งาม ค้นให้ทั่วทุกตารางนิ้ว แล้วลากคอผู้ต้องสงสัยออกมาให้หมดเดี๋ยวนี้” ดนัยสั่งการอย่างฉุนเฉียว
ไชโยอึ้ง “หา เอาขนาดนั้นเลยเหรอครับสารวัตร”
“นี่เป็นคำสั่ง” ดนัยเสียงแข็ง
“แต่หมู่บ้านไม้งามไมใช่เล็กๆ นะครับสารวัตร คนของเรามีไม่พอหรอกครับ” โอฬารทักท้วง
ดนัยมองธัมโม “ไปตามคนมาช่วย บอกเค้าว่าเราต้องการกำลังเสริมด่วน!”
ในห้องรับแขกบ้านกำนันศรเวลานั้น ยอดกับเบิ้ม หลีกทางให้กำนันศรเดินมาจ้องไชโยกับโอฬารที่ยืนหน้าจ๋อยอยู่
“สารวัตรเอาจริงรึเปล่า”
“ครับกำนัน”
กำนันศรมองมาที่ยอดกับเบิ้มเป็นเชิงขอความเห็น ก่อนจะเดินไปสุมหัวกัน
“จะช่วยดีมั้ยวะ” กำนันศรหารือ
เบิ้มไม่เอาด้วย “ไม่จำเป็นหรอกพ่อกำนัน ตำรวจไม่ใช่พวกเราซะหน่อย”
ยอดแย้ง “แต่ชั้นว่าจำเป็น” พลางอธิบาย “งานนี้เป็นโอกาสดีที่เราจะกำจัดนางสิงห์นางโจรนี่ต่างหากที่คือศัตรูหมายเลขหนึ่งของเรา”
กำนันศรเหลือบมองยอดอย่างเห็นด้วย
ไม่นานต่อมา บรรดาสมุนของกำนันศรซึ่งมีผ้าผูกแขนเหมือนตำรวจบ้าน ออกตรวจค้นบ้านของชาวบ้านไม้งามทุกหลังคาเรือน แล้วจับผู้ต้องสงสัยที่เป็นผู้หญิงไปจนหมด
เริ่มจากคนแรกเป็นผู้หญิงที่กำลังยืนกวาดหน้าบ้านอยู่
“นังนี่หุ่นดีโว้ย เหมือนนางสิงห์เลย เฮ้ย จับตัวไป” ลูกน้องเบิ้มกรูกันจับตัวผู้หญิง
หญิงชาวบ้านร้องกรี๊ด “อร๊าย ปล่อยชั้น มาจับชั้นทำไม ปล่อยนะ บอกให้ปล่อย อย่าทำอะไรชั้นเลย ชั้นมีผัวแล้ว อร๊ายย”
ยายคนหนึ่งกำลังตะบันสากกระแทกครกตำน้ำพริกอยู่ แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นพวกเบิ้มเดินมารุมล้อม
“มีอะไรเรอะพ่อหนุ่ม”
“ใช้สากคล่องนี่ยาย เหมือนพลองของนางสิงห์เลย” เบิ้มสั่ง “เฮ้ยจับตัวไป”
ยายร้องลั่น “ปล่อยชั้น มาจับชั้นทำไม ปล่อยนะ บอกให้ปล่อย อย่าทำอะไรชั้นเลย ชั้นมีผัวแล้ว อร๊ายย”
เด็กผู้หญิงพวกเบิ้มก็ไม่เว้น มีเด็กหญิงคนหนึ่งกำลังเล่นกระโดดเชือกอยู่ พวกเบิ้มเดินเข้ามารุมล้อม
“กระโดดเชือกเก่งนี่น้องสาว” เบิ้มว่า
“เหมือนนางสิงห์เลย เฮ้ย จับตัว…” สมุนสอพลอ
เบิ้มตบกบาลสมุนโป๊ก “จะบ้าเหรอ นี่เด็กโว้ย อย่ามั่ว”
สมุนยืนจ๋อย จังหวะนั้นเองผู้ชายผมยาวมากคนหนึ่ง ก็เดินสวนไป เบิ้มกับพวกรีบขวางทาง
“เฮ้ย ผมยาวนี่หว่า ยาวเหมือนนางสิงห์เลย”
ชายคนนั้นสยายผม “หยึย ผมเป็นผู้ชายนะครับพี่”
“ไม่รู้โว้ย สงสัยไว้ก่อน” เบิ้มสั่งสมุน “เฮ้ย จับตัวไป”
ผู้ชายคนนั้นตกใจจนแต๋วแตก “อร๊าย ปล่อยชั้น มาจับชั้นทำไม ปล่อยนะ บอกให้ปล่อย อย่าทำอะไรชั้นเลย ชั้นมีผัวแล้ว อร๊ายยย”
แว่วเสียงตามสาย ผ่านลำโพงที่แขวนอยู่บนเสาแถวนั้น เป็นเสียงคุ้นหูของกำนันศร
“ชาวบ้านไม้งามทุกคนฟังให้ดี...”
กำนันศรอยู่ในห้องรับแขก กำลังประกาศข่าวผ่านเครื่องกระจายเสียง
“ขณะนี้หน่วยอาสาของเราได้ประสานกำลังกับเจ้าหน้าที่ ตรวจค้นทุกบ้านที่ต้องสงสัยว่าจะมีส่วนพัวพันกับนางสิงห์ชุดดำ ดังนั้นขอให้ชาวบ้านทุกคนให้ความร่วมมือด้วย ถ้าใครขัดขืน…หรือปิดบังเบาะแสของคนร้ายละก็ มันผู้นั้นจะได้รู้ว่า “ซวย” สะกดยังไง”
ว่าแล้ว กำนันศรก็เปิดเพลงมาร์ชปลุกใจกระหึ่มไปทั่วหมู่บ้าน
ลำโพงหน้าสถานีอนามัยกำลังส่งเสียงเพลงมาร์ชอยู่อย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกันกับที่อื่นๆ วาสนาเดินออกมาดูที่ระเบียงด้วยความหนักใจ
“พ่อ…เมื่อไหร่จะเลิกบ้าอำนาจซะทีนะ”
นางสิงห์สะบัดช่อ ตอนที่ 9 (ต่อ)
ยอดกับเบิ้มกำลังยืนดูเหล่าสมุนคุมตัวผู้ต้องสงสัยผ่านไปทางหนึ่ง คาดว่าจะไปขึ้นรถ เห็นผู้ต้องสงสัยบางคนพยายามหลบหนีก็เลยมีการวิ่งจับกันวุ่นวายพอประมาณ ระหว่างนั้นเองที่มิ่งกับจำเริญก็เข้ามาสมทบ
ยอดหันไปเห็นก็ชะงัก “คุณจำเริญ ไอ้มิ่ง”
“เสี่ยน้อยมีเบาะแสจะมาบอกเอ็ง” มิ่งบอกขึงขัง
ยอดฉงน “เบาะแส”
จำเริญบอกอย่างมาดมั่น “ข้ารู้ว่าใครเป็นพวกของนางสิงห์”
ด้านย้งเพิ่งผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ แล้วเอาชุดของจำเริญทิ้งลงตระกร้าขยะ แต่แล้วก็ได้ยินเสียงเถ้าแก่ตงโหวกเหวกดังขึ้น
“เฮ้ยอะไรกันวะ บ้านเมืองมีขื่อมีแปนะโว้ย พวกลื้อมีสิทธิ์อะไรมาค้นบ้านอั๊ว”
ย้งเอะใจ “เวรแล้ว”
ย้งรีบผลุนผลันไปดูที่หน้าต่าง ชะเง้อชะแง้พร้อมกับเงี่ยหูฟังเหตุการณ์
เถ้าแก่ตงกับ หมวยใหญ่กำลังโวยวายลั่น เมื่อยอดนำกำลังคนมาขอตรวจค้น
“คอยดูสิ ถ้าพวกลื้อไม่ถอยไปนะ อั๊วจะแจ้งตำรวจจะฟ้องหมาต๋า” เถ้าแก่หน้าตาเอาเรื่อง
“ฟ้องเลยเถ้าแก่ เพราะตำรวจเป็นคนบอกให้พวกอั๊วมาค้น” ยอดเยาะ
เบิ้มคุยฟุ้ง “พวกอั๊วไม่ได้มาในฐานะเด็กกำนันศรนะเถ้าแก่ เพราะวันนี้พวกอั๊วทุกคนคือ….เจ้าหน้าที่อาสา”
สมุนสาระแนผสมโรง “หรือเรียกย่อๆว่า..ออ..สอ”
มิ่งสำทับ “อย่าหาเรื่องเลยเถ้าแก่ ค้นแป๊บเดียว ไม่มีปัญหาหรอกน่า”
จำเริญแขวะ “นั่นสิ ยกเว้นแต่ว่า ลื้อจะซ่อนอะไรเอาไว้”
หมวยใหญ่ตัดบท “ยอมๆ มันเหอะอาป๊า พวกมันจะได้รีบไป”
เถ้าแก่ตงได้แต่คับแค้นใจ ก่อนจะสะบัดหน้า
“ไอ้เบิ้ม เอ็งรอตรงนี้ ข้าจะขึ้นไปกับคุณจำเริญ” ยอดบอก
“ข้าไปด้วย” มิ่งว่า
ยอดพยักหน้า
ย้งใจหายวาบ มันมองชุดที่ตัวเองใส่อยู่ และ เสื้อผ้าจำเริญที่อยู่ในตระกร้าถังขยะ แล้วตัดสินใจเตะออกไปนอกหน้าต่างโดยไม่ต้องคิด
โชคซวยของย้งไม่จบไม่สิ้น เพราะตระกร้าร่วงไปแต่เสื้อผ้าของจำเริญคาอยู่กับกิ่งไม้ ข้างหน้าต่างห้องนอนของมัน
สักครู่หนึ่ง ประตูห้องเปิดออก เถ้าแก่ตง หมวยใหญ่ ยอด จำเริญ และมิ่ง กรูเข้ามาในห้องและพบย้งนอนคลุมโปงอยู่ ยอดเดินไปกระชากผ้าห่มออกแล้วเจอย้งนอนอุตุอยู่ในชุดนอน
ย้งคราง “เฮ้ยอะไรว๊าา คนจะหลับจะนอน”
ยอดปลุก “สายโด่แล้วไอ้ย้ง แหกขี้ตาได้แล้ว”
ย้งทำเป็นตื่นตกใจ “เฮ้ยพวกเอ็ง เข้ามาทำไมวะ”
จำเริญสั่ง “มิ่ง”
มิ่งรีบลงมือค้นห้องของย้งเพื่อหาหลักฐาน
“เมื่อเช้าเอ็งอยู่ที่ไหนไอ้ย้ง”
“เมื่อเช้า.. โอ้ยจะไหน ข้าไม่สบาย ข้านอนอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว” หันไปหาตัวช่วย...เถ้าแก่ตง “จริงมั้ยป๊า”
“ไม่จริง” เถ้าแก่ตงบอก
ทุกคนหันขวับไปมองเป็นตาเดียว หมวยใหญ่แอบหยิกขาเถ้าแก่ตง
เถ้าแก่ตงเจ็บจริง รีบร้องเสียงดัง กลบเกลื่อน “โอ้วว… อั๊วพูดผิด จริงๆๆ อาย้งอีไม่สบาย
อีเป็นทั้งลมพิษทั้งร้อนใน อั๊วก็เลยให้เก็บตัวอยู่ในห้อง”
หมวยใหญ่ผสมโรง “ใช่ๆๆ น้องอั๊วเป็นลมพิษ โดนลมไม่ได้ อั๊วก็เลยให้อีอยู่บ้าน”
ยอดเดินมาคว้าคางย้งพิศดูซ้ายขวา ก็ไม่พบวี่แววว่าจะป่วยตรงไหน เลยจ้องหน้าจับพิรุธ ย้งหลบตามองโน่นนี่ไปเรื่อย ขณะเดียวกันจำเริญก็มองไปที่มิ่งเพื่อรอฟังผล เห็นมิ่งส่ายหน้าบุ้ยใบ้ว่าไม่พบหลักฐานใดๆ
“คราวนี้เอ็งรอดตัวไปไอ้ย้ง อย่าให้ข้าจับได้ก็แล้วกันเอ็งตายแน่” จำเริญคาดโทษ
ย้งทำไม่รู้ไม่ชี้ ขณะที่เถ้าแก่ตงกับหมวยใหญ่มองหน้ากันอย่างโล่งอก
ย้ง เถ้าแก่ตง และหมวยใหญ่ เดินออกมาส่งยอด จำเริญ กะมิ่ง ที่หน้าร้าน ขณะที่เบิ้มและสมุนกำลังยืนรออยู่หน้าบ้าน จังหวะนั้นเองทุกคนก็ได้ยินเสียงตาคงร้องเพลงลั่นมาแต่ไกล
ย้งตกใจเมื่อเห็นตาคงมีเสื้อของจำเริญพาดบ่ามาด้วย
“ลงเรือน้อยลอยวน ในสายชลห้วยละหาน มีทั้งบัวตูมบัวบาน ดอกใบไหวก้านงามตา เมื่อลมพัดมาชื่นใจ” ตาคงครวญเพลงบัวตูมบัวบานหงิงๆ
ย้งพยายามส่งซิกให้ตาคงอย่าเดินมาทางนี้ แต่ก็สายเกินไป
“อยู่นี่เอง ไอ้ตัวแสบ” จำเริญตะโกน
มิ่งเห็นอาการจำเริญมั่นใจ ก็ปราดออกไปคว้าแขนตาคง
“ไอ้แก่ เอ็งใช่มั้ย ที่เป็นพวกนางสิงห์ชุดดำ” มิ่งคาดคั้น
“เฮ้ย พูดอะไรหมาๆ ข้าเมาของข้าทั้งวัน นางสิงห์ชุดดำอะไรที่ไหน ข้าไม่รู้เรื่อง”
จำเริญถามเร็ว “แล้วเอ็งได้เสื้อมาจากไหน”
ตาคงหัวเราะร่า “ฮ่าๆๆ เก็บได้ มันหล่นมาจากท้องฟ้าโว้ย ฮ่าๆๆ”
ตาคงลอยหน้าลอยตาด้วยความเมา เลยโดนจำเริญต่อยจนคว่ำ
ย้งตกใจ “เฮ้ย”
ย้งจะเข้าไปช่วยตาคงแต่ก็โดนไอ้ยอดตะปบบ่าเอาไว้หมับ
“อย่าแส่ ไอ้ย้ง ไม่ใช่เรื่องของเอ็ง”
ย้งได้แต่ยืนอึ้งกระสับกระส่าย จำเริญสังเกตเห็นท่าทางลุกลี้ลุกลนของย้งก็ได้ใจ หันไปสั่งไอ้มิ่ง
“ลากตัวมันขึ้นมา” จ้องหน้าตาคง “ใครคือนางสิงห์ชุดดำ”
“ไม่รู้ ข้าไม่รู้” ตาคงยืนกราน
จำเริญชกตาคงจนเลือดกบปาก
เถ้าแก่ตงคราง “ไอ๋หยา อาคงเพื่อนอั๊ว”
จำเริญตะคอก “อย่าโกหก บอกมาเดี๋ยวนี้ นางสิงห์ชุดดำอยู่ที่ไหน”
“ฮื๊อ ข้าไม่รู้จริงๆ”
จำเริญเงื้อหมัดจะชกอีก แต่แล้วธัมโม ไชโย โอฬารก็ปรากฏตัวขึ้น
“พอได้แล้วคุณจำเริญ” ธัมโมเสียงแข็ง
จำเริญขัดใจ “ผู้กอง นี่ผมช่วยทางการอยู่นะครับ”
“ไอ้แก่นี่ มันเป็นพวกของนางสิงห์” มิ่งว่าพร้อมกับคว้าเสื้อขึ้นมา “หลักฐานก็เห็นอยู่ตำตา เสื้อตัวนี้มันขโมยมาจากบ้านคุณจำเริญ”
มิ่งชูเสื้อขึ้นทำให้หมวยใหญ่กับเถ้าแก่ตงเห็นถนัดว่าเป็นเสื้อที่ย้งใส่มาเมื่อเช้า ทั้งสองหันไปมองหน้าย้ง เห็นย้งรีบหลบตาหน้าเจื่อนๆ
ธัมโมปราม “มีอะไรก็น่าไปคุยกันที่โรงพัก ไม่ใช่มาซ้อมกันกลางถนนแบบนี้”
“เอผู้กอง เท่าที่จำได้ งานนี้สารวัตรเป็นคนออกคำสั่งนะ ไม่ใช่ผู้กองซะหน่อย” ยอดเย้ย
“นั่นสิ ผมว่าผู้กองไปที่อื่นดีกว่ามั้ง ทางนี้พวกผมจัดการเอง” เบิ้มผสมโรง
ไชโยกระซิบบอกธัมโม “ดูเหมือนพวกมันจะพูดถูกนะครับผู้กอง งานนี้เราไปบอกสารวัตรดีกว่าครับ”
โอฬารเห็นด้วย “นั่นสิครับผู้กอง เดี๋ยวสารวัตรจะดุเอานะครับ”
ธัมโมไม่ยอม “หมู่จ่าไม่เกี่ยว ผมรับผิดชอบเอง”
ธัมโมตรงไปกระชากตัวตาคงมาจากจำเริญ มิ่งฉุนที่เจ้านายเสียหน้าก็ตะปบข้อมือธัมโมยื้อไว้
“เดี๋ยว”
เท่านั้นแหละ ธัมโมก็เปิดฉากเล่นงานมิ่งก่อนทันที ครั้นจำเริญเข้าช่วยลูกน้องก็ทำให้เกิดมวยหมู่สองต่อหนึ่งขึ้น ฝ่ายตาคงก็รีบหนีหัวซุกหัวซุนไปหาเถ้าแก่ตงกับหมวยใหญ่ทันที
“ไอ้คงหลบมาทางนี้”
“เถ้าแก่ช่วยอั๊วด้วย” ตาคงร้องขอ
ย้งเห็นตาคงเจ็บตัวก็แค้นใจทำท่าฮึดฮัดจะช่วยธัมโม
หมวยใหญ่รีบห้าม “อาย้งลื้อยังก่อเรื่องไม่พออีกเหรอ อย่านะ”
ย้งไม่ยอม “อั๊วทนไม่ไหวแล้วเจ๊”
ย้งปรี่เข้าไปร่วมวง เบิ้มรีบกระชากตัวไว้
“อย่าสอดโว้ย”
ย้งไม่สน เหวี่ยงหมัดอัดเบิ้มจนหงายเงิบ แต่แล้วตัวมันเองก็โดนยอดยันจนเซไปชนหลังกับธัมโม
ย้งกับธัมโมหลังชนกัน โดยถูกพวก จำเริญ มิ่ง ยอด และเบิ้มล้อมกรอบเอาไว้ พวกสมุนที่เหลือทำท่าจะร่วมวง แต่ไชโยรีบชักปืนออกมาขู่
“อย่านะโว้ย แค่สี่ต่อสองก็เอาเปรียบจะตายชักแล้วห้ามหมาหมู่เด็ดขาด”
พวกสมุนชะงัก จากนั้นเองการต่อสู้ก็เปิดฉากขึ้น ตอนแรกธัมโมก็สู้กับมิ่งและจำเริญ ส่วนย้งสู้กับยอดและเบิ้ม แต่ไม่ทันไรย้งก็โดนยอดเล่นงานจนคว่ำ ธัมโมเห็นยอดจะเข้าซ้ำก็รีบปราดมาสะกัดไว้ ยอดเห็นว่าสู้ธัมโมไม่ได้ก็เลยชักมีดพกออกทุ่นแรง ทำเอาคนอื่นพากันหยุดสู้ด้วยความแตกตื่น
ย้ง “ผู้กองระวัง”
ธัมโมหลบคมมีดของยอดไปได้ฉิวเฉียด ก่อนจะจัดการล็อคแขนยอดแล้วปลดมีดทิ้งไป จากนั้นก็ระดมกำปั้นอัดยอดไม่ยั้ง หมัดสุดท้ายของผู้กองธัมโมซัดออกไปเต็มแรงปิดฉากทุกอย่างลงในวินาทีนั้น
เก่งฟื้นคืนสติอีกครั้ง กวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนจะพบว่าตนเองกำลังนอนอยู่ในบ้านผู้ใหญ่ทอง ซึ่งบัดนี้กลายเป็นบ้านร้าง
เก่งผุดลุกขึ้นนั่ง และเจอเพ็ญพรกำลังเต๊ะจุ๊ยมองอยู่ก่อน
“นี่เธอ.. เธอพาชั้นมาที่นี่ทำไม”
“ไม่ต้องกลัว ชั้นบอกแล้วไงว่าเราเป็นพวกเดียวกัน”
เก่งมองเพ็ญพร เห็นในมือของเพ็ญพรกำลังถือหน้ากากนางสิงห์อยู่ เก่งรีบคลำหน้าตัวเองและพบว่าหน้ากากถูกถอดไปแล้วก็ยิ่งตกใจ รีบทะยานไปคว้าอาวุธที่วางกองอยู่ใกล้ๆ ขึ้นมาเล็งใส่เพ็ญพร
“ถ้าชั้นคิดร้ายกับเธอ คงไม่รอจนป่านนี้หรอก” เพ็ญพรเอ่ยขึ้น
“เธอมีแผนอะไร” เก่งสงสัย
“ใจเย็นๆ ก็ได้ อัศวินหน้ากากดำ”
เก่งนึกสะดุดหู ชะงักกึก ภาพการ์ตูนอัศวินหน้ากากดำ ที่แก้วและบัวเคยอ่านด้วยกันตอนเด็กๆ ผุดขึ้นมาในหัว
เพ็ญพรส่งยิ้มให้ก่อนจะหยิบหน้ากากของนางสิงห์มาทาบที่หน้าของตัวเอง
“จำชั้นไม่ได้จริงๆ เหรอ นังแก้ว”
เก่งปากคอสั่น “ค..คุณ….คุณ…”
อาวุธหลุดร่วงจากมือโดยไม่รู้ตัว เพ็ญพรเดินมาตรงหน้า
“แปลกใจเหรอที่คุณบัว ลูกสาวของผู้ใหญ่ทอง ยังไม่ตาย”
เก่งร้องไห้ออกมาอย่างดีใจ “คุณบัว คุณบัวของแก้ว คุณบัวของแก้ว”
แล้วโผกอดเพ็ญพรด้วยความตื้นตัน ขณะที่เพ็ญพรยิ้มออกมาทั้งน้ำตาเมื่อนึกถึงความหลังที่น้ำตกเมื่อ 13 ปีก่อน
“อย่าปล่อยนะแก้ว อย่าปล่อย”
เหตุหารณ์ที่น้ำตกผุดขึ้นมาในความคิดของทั้งสองสาว
ในขณะที่เด็กหญิงแก้วกับเด็กหญิงบัวกำลังพลัดพรากกันกลางกระแสน้ำ เบื้องหน้าเป็นน้ำตกเชี่ยวกราก…พร้อมกลืนกินทุกชีวิตให้หายไปในพริบตา แก้วกัดฟันพยายามยึดมือบัวไว้ แต่แผลถูกยิงที่หัวไหล่ก็มีเลือดทะลักไม่หยุด
“คุณบัว แก้วไม่ไหวแล้ว”
“ไม่นะแก้ว อย่าปล่อยมือนะ ห้ามปล่อยเด็ดขาด”
กิ่งไม้ซึ่งบัวยึดอยู่เริ่มหักเพราะทานน้ำหนักไม่ไหว แก้วเห็นท่าไม่ดีแน่จึงตัดสินใจ
“สัญญานะคุณบัว คุณบัวจะต้องไม่ตาย คุณบัวจะต้องแก้แค้นให้พ่อผู้ใหญ่ เราสองคนจะต้องกลับมาที่นี่ มาล้างแค้นพวกไอ้ศร”
ด.ญ.บัวตะโกนก้อง “อย่าทำอะไรบ้าๆ นะแก้ว อย่าปล่อยมือชั้น”
แก้วยิ้มอย่างเด็ดเดี่ยว ก่อนจะชักมือออก ปล่อยร่างตัวเองให้ถูกซัดไปที่น้ำตก
ด.ญ.บัวร้องสุดเสียง “แก้ว! แก้ว”
อีกเหตุการณ์ผุดขึ้นมาในความคิดของเพ็ญพร ตรงถนนตัดผ่านภูเขาเมื่อ 13 ปี ก่อน ด.ญ.บัวในสภาพหน้าตามอมแมมเปื้อนโคลน กำลังเดินเท้าเปล่าไปตามถนน สีหน้าดูนิ่งเย็นราวกับเพิ่งผ่านสงครามมาหมาดๆ
เพ็ญพรเล่าเรื่องราวให้แก้วหรือเก่งฟัง “แก้ว… เพราะคำพูดของเธอ ชั้นถึงได้มีชีวิตอยู่มาจนป่านนี้อยู่เพื่อรอวันที่จะได้ล้างแค้น”
แต่แล้วก็มีรถขนพืชผักของชาวบ้านขับผ่านมาพอดี รถคันนั้นค่อยๆ จอดเทียบเพื่อสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น
“หนู..เกิดอะไรขึ้นเนี่ย บ้านอยู่ที่ไหน”
ด.ญ.บัวนิ่งคิดสักครู่จึงเอ่ยออกไป “บ้านหนูถูกไฟไหม้ค่ะ พ่อแม่หนูตายหมดแล้ว”
จังหวะนั้น ด.ญ.บัวเหลือบเห็นเข่งผักมีชื่อกำกับว่า “เพ็ญ” เขียนไว้เป็นเครื่องหมาย ก็โกหกไปดื้อๆ
“หนูชื่อเพ็ญพรค่ะคุณอา”
ชาวบ้านพยักหน้าพลางมองสารรูปของ ด.ญ.บัวด้วยความเวทนา
เพ็ญพรเล่าต่อ “ชั้นเปลี่ยนชื่อแซ่ ก่อนจะถูกส่งไปที่บ้านเด็กกำพร้า”
สองสาวดึงตัวเองกลับมา ก่อนที่เพ็ญพรจะเดินออกมานอกตัวบ้าน โดยมีเก่งเดินตามออกมา กุมแผลที่แขนหรือท้องเพราะบาดเจ็บจากฝีมือดนัย
เพ็ญพรเหม่อมองเล่าให้เก่งฟังต่อ “ที่นั่น ชั้นวางแผน ชั้นทำทุกอย่างเพื่อจะได้กลับมา
ที่บ้านไม้งาม เพราะชั้นรู้ว่าจะได้เจอกับเธออีกครั้ง”
เก่งฉงน “แล้วคุณบัว จำแก้วได้ยังไงคะ”
เพ็ญพรหันมาหา “วันที่เธอไปถ่ายรูปกับผู้กองธัมโม”
ภาพเหตุการณ์ในห้องเก็บของใกล้ๆ ห้องถ่ายรูป ผุดขึ้นมาในความคิดของเพ็ญพรอีกคราครั้ง
ในขณะที่เก่งกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องถ่ายรูป เพ็ญพรก็ได้แอบถ้ำมองจากห้องเก็บของ สิ่งแรกที่เธอเห็นคือ เก่งเป็นผู้หญิง และสิ่งที่เห็นต่อมาก็คือ รอยแผลเป็นจากการถูกยิงที่หัวไหล่
เพ็ญพรเล่าต่อ “ผู้กองต้องการให้ชั้นพิสูจน์ว่าเธอเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงกันแน่ แต่สิ่งที่ชั้นได้เห็นก็คือ รอยแผลเป็นบนบ่าของเธอ มันทำให้ชั้นรู้ว่าเธอเป็นใคร และปลอมตัวมาเพื่ออะไร”
เพ็ญพรเอื้อมมือมาลูบหน้าของเก่งอย่างอ่อนโยน
“ถ้าดวงวิญญาณของพ่อชั้นยังอยู่ที่นี่ พ่อคงดีใจที่เราสองคนได้กลับบ้าน”
เก่งพยักหน้าอย่างตื้นตัน
สองสาวจับมือกันก่อนจะมองไปที่ฟากฟ้า เหมือนจะส่งความรู้สึกไปถึงผู้ใหญ่ทองที่อยู่เบื้องบน
ขณะเดียวกันดนัยกับธัมโมกำลังโต้เถียงกันลั่นโรงพัก ดนัยมีผ้าพันแผลที่ศรีษะจากการถูกเพ็ญพรตีเพื่อช่วยเก่งหรือนางสิงห์
“คุณมีสิทธิ์อะไรมาทำแบบนี้ผู้กอง กำนันศรอุตส่าห์ช่วยเราปฏิบัติหน้าที่ แต่คุณกลับไปทำร้ายคนของเค้า แถมปล่อยตัวผู้ต้องสงสัย”
“คนของกำนันศรข่มเหงชาวบ้าน” ธัมโมว่า
“แค่กระทบกระทั่งกันต่างหาก อย่างน้อยเค้าก็ทำเพื่อปกป้องส่วนรวม ไม่ใช่ปกป้องคนร้ายเหมือนคุณ”
“สารวัตรครับ ผมชี้แจงไปแล้วว่านางสิงห์ชุดดำไม่ใช่โจรธรรมดา”
ดนัยสวนคำ “ผมไม่สน เค้าเป็นคนร้าย ส่วนคุณเป็นตำรวจ ภายในเจ็ดวันคุณต้องจับตัวนางสิงห์มาลงโทษให้ได้ ไม่อย่างนั้น ผมจะสั่งพักงานคุณ”
ธัมโมอึ้ง “สารวัตร”
ระหว่างนั้นไชโย โอฬาร และบรรดาตำรวจที่กำลังแอบฟังเหตุการณ์อยู่ต่างแยกย้ายสลายโต๋กันไปนั่งที่ เมื่อธัมโมผลุนผลันออกมาจากห้องของดนัย แล้วเดินลงไปจากโรงพักอย่างรวดเร็ว ขณะที่ดนัยเดินออกมามองตามด้วยความหมั่นไส้ แล้วหันไปถามคนอื่นๆ
“มีใครเห็นผู้หมวดเพ็ญพรบ้าง”
ไชโย โอฬารและตำรวจคนอื่นๆมองหน้ากันอย่างแปลกใจ ไม่มีใครเห็นสักราย ดนัยนึกสงสัยว่าเพ็ญพรหายไปไหน
ธัมโมกำลังขับรถกลับบ้านพัก ในใจนึกถึงแต่เรื่องราวที่ขัดแย้งกัน
“ผมไม่สน เค้าเป็นคนร้าย ส่วนคุณเป็นตำรวจ ภายในเจ็ดวันคุณต้องจับตัวนางสิงห์มาลงโทษให้ได้ ไม่อย่างนั้น ผมจะสั่งพักงานคุณ”
เวลาต่อมา ธัมโมนึกถึงคำสัญญาของนางสิงห์ “ถ้าอุดมการณ์ของผู้ใหญ่ทองเป็นจริงเมื่อไหร่ ถึงตายชั้นก็ไม่เสียดายชีวิต คุณจับตัวชั้น ชั้นจะไม่หนี”
สีหน้าธัมโมเต็มไปด้วยความสับสน ผู้กองตงฉินกัดฟันกระชากเกียร์แล้วเร่งเครื่องไปอย่างรวดเร็ว เหมือนอยากหนีให้พ้นจากทางเลือกระหว่างหน้าที่กับคุณธรรม
ความมืดคืบคลานเข้ามาห่อคลุมบ้านไม้งามอีกค่ำคืนแล้ว เถ้าแก่ตง หมวยใหญ่ และย้งกำลังกินข้าว ย้งใช้ตะเกียบคีบอาหารแต่พอหันไปทางซ้ายก็เจอสายตาเพ่งเล็งของพ่อ ทางขวาก็เจอสายตาพิฆาตของพี่สาว ย้งไม่รู้จะมองไปทางไหนก็เลยก้มหน้าก้มตาพุ้ยข้าวเพื่อกินให้เร็วที่สุด จะได้หนีไปที่อื่น
เถ้าแก่ตงวางตะเกียบชามและตะเกียบอย่างหมดความอดทน “อาย้ง”
ย้งหันไปหา “อาป๊า”
หมวยใหญ่วางตะเกียบชามและตะเกียบอย่างหมดความอดทน “อาย้ง”
ย้งหันไปมองหน้า “อาเจ้”
เถ้าแก่ตงยิงคำถามเรื่องคาใจตลอดวันนี้ “ลื้อบอกมาเดี๋ยวนี้นะ ว่าลื้อไปปล้นเค้ามารึเปล่า”
หมวยใหญ่คาดคั้น “ลื้ออย่าโกหกนะอาตี๋ อั๊วดูออก”
“ดูออกแล้วจะถามทำไมอ่ะ” ย้งหงุดหงิด
“ลูกผู้ชายกล้าทำ มันต้องกล้ารับโว้ย ลื้อว่ามา..ปล้นรึเปล่า” เถ้าแก่คาดคั้น
“ม..มัน..เป็นเรื่องเข้าใจผิดน่ะอาป๊า อั๊วเป็นลูกอาป๊านะ อั๊วจะเป็นโจรได้ยังไง”
“แต่ท่าทางลื้อน่าสงสัย รู้มั้ยขนาดหมอวาสนาวันนี้เค้ายังมาถามหาลื้อ เค้าถามว่าลื้อหายไปไหน ทำไมถึงไม่ไปรับเค้า” หมวยใหญ่บอก
ย้งยิ้มยิงฟังด้วยความดีใจ “หมอวาสนา…หมอวาสนาถามถึงอั๊วเหรอ”
ธัมโมนอนไม่หลับ จึงเดินออกมาที่ชานเรือนและใช้ความคิดด้วยท่าทีหนักใจ แต่แล้วเขาก็รู้สึกว่ามีคนกระพริบไฟฉายใส่เขา เมื่อมองไปที่สถานีอนามัยก็เห็นวาสนาโบกมือทักทาย
ครู่ต่อมาวาสนากับธัมโมนั่งดื่มนมร้อนๆ อยู่ด้วยกัน
“ทำไมคืนนี้คุณหมอถึงอยู่ค้างที่นี่ล่ะครับ”
“เกิดเหตุวุ่นวายไปทั้งหมู่บ้านแบบนี้ ชั้นใจคอไม่ค่อยดีค่ะอยู่ทางนี้เผื่อมีอะไรฉุกเฉินจะได้ช่วยทัน” วาสนาหน้าหมอง
“ผมต้องขอโทษแทนสารวัตรด้วยนะครับ ที่ทำให้เรื่องเล็กต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่”
“ชั้นก็ต้องขอโทษแทนคุณพ่อเหมือนกันค่ะ ที่ทำให้ผู้กองต้องเดือดร้อน” วาสนาพูดพลางมองหน้าผู้กองอย่างเห็นใจ “แล้วนี่ผู้กองจะจับนางสิงห์จริงๆ เหรอคะ”
“ถึงนางสิงห์จะต่อสู้เพื่อชาวบ้าน แต่เค้าก็เป็นคนร้าย ผมไม่มีทางเลือกครับ”
“แย่จังเลยนะคะ เป็นเพื่อนกันแท้ๆ” สีหน้าครุ่นคิด “ถ้าชั้นเป็นคุณ ชั้นคงจะบอกเค้าล่วงหน้า”
ธัมโมฉงน “บอกให้เค้ารู้ตัวเหรอครับ”
“เพื่อความยุติธรรมไงคะ แล้วก็…แสดงน้ำใจครั้งสุดท้ายในฐานะเพื่อน”
ธัมโมครุ่นคิดตามอย่างลังเล กำมือแน่นอย่างกระสับกระส่าย วาสนามองเอื้อมมือมากุมมือผู้กองเพื่อปลอบใจเพื่อเตือนสติ
“เชื่อชั้นเถอะค่ะผู้กอง ทำสิ่งที่คุณต้องทำ”
ธัมโมพยักหน้าให้วาสนา สองคนไม่รู้เลยว่าขณะนั้นย้งมาเห็นเข้าพอดี
ย้งมองมาอย่างไม่เชื่อสายตา “ผู้กอง วาสนา อะไรกันวะเนี่ย”
นางสิงห์สะบัดช่อ ตอนที่ 9 (ต่อ)
เช้าวันต่อมา เก่งตื่นนอนแล้ว แต่กำลังครุ่นคิดถึงคำพูดของเพ็ญพรเมื่อวาน
เวลานั้นสองสาวคุยกันอยู่ที่หน้าบ้านผู้ใหญ่ทอง เพ็ญพรกำชับกับเก่ง
“จำไว้นะแก้ว อย่าให้ใครรู้เรื่องของชั้นเป็นอันขาด”
“แม้แต่ครูเพิ่มเหรอคะคุณบัว”
“ถูกต้อง ยิ่งรู้น้อยคนเท่าไหร่ ก็ยิ่งปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น”
เก่งนอนก่ายหน้าผากคิดไปมา จนถึงตรงนี้ก็ต้องชะงัก เมื่อได้ยินเสียงขลุ่ยดังขึ้น จึงรีบลุกไปฟังที่หน้าต่าง เสียงขลุ่ยเป่าสั้นๆยาวๆเป็นรหัสมอส
เก่งยิ้มแป้น “ผู้กอง” รีบคว้าขลุ่ยมาเป่าตอบรับ
ธัมโมเพิ่งมาถึงหน้าบ้านผู้ใหญ่ทอง กวาดสายตามองหาสักครู่จึงได้ยินเสียง
“ผู้กอง ชั้นอยู่ทางนี้”
ธัมโมหันไปทางเสียง “นางสิงห์”
เก่งในคราบนางสิงห์ยิ้มให้ธัมโมอย่างเป็นมิตร และยืนอยู่ตำแหน่งที่สูงกว่าธัมโม
“นัดชั้นออกมา มีธุระอะไร”
“ชั้นต้องการยกเลิกข้อตกลง”
เก่งตกใจระคนสงสัย “อะไรนะ”
“เรื่องที่จะช่วยกันปราบอิทธิพลเถื่อนในบ้านไม้งามชั้นคงร่วมมือกับเธอไม่ได้”
เก่งอึ้งไป “นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆผู้กองถึงได้เปลี่ยนใจ”
“ชั้นได้รับคำสั่งให้จับเธอ…” ธัมโมเน้นคำ “โดยด่วน แค่นี้…เธอเข้าใจรึยัง”
นางสิงห์ได้ฟังก็หงุดหงิด “ฮึ ทีพวกคนโกงกินเต็มบ้านเต็มเมือง ตำรวจไม่จับ
แต่มาจับโจรกระจอกอย่างชั้น แบบนี้มันยุติธรรมงั้นเหรอ พวกมันอยู่ที่นี่มาเป็นปีเป็นชาติ แต่กฏหมายไม่เคยบังคับใช้แต่ชั้น..ชั้นกลับต้องโดนพิพากษาก่อนมัน”
“ชั้นเข้าใจความรู้สึกของเธอนางสิงห์ แต่เจ้าหน้าที่อย่างชั้นจำเป็นต้องว่าทุกอย่างไปตามหลักฐาน ไม่ใช่ความรู้สึก”
“ถ้างั้น เราก็เป็นศัตรูกัน” เก่งบอกเสียงขื่นๆ
ธัมโมพยักหน้าเศร้าๆ “ถึงไงวันนี้ก็ต้องมาถึงอยู่ดี”
นางสิงห์และธัมโมสบตากันด้วยความปวดร้าวลึกๆในใจ
ขณะที่ดนัยกำลังยืนใช้ความคิดอยู่ที่หน้าต่างห้องทำงาน ยินเสียงเคาะประตูจะดังขึ้น
“เข้ามา”
เพ็ญพรเข้ามาแล้วปิดประตู “สารวัตรหาชั้นเหรอคะ”
ดนัยถามเอาเรื่อง “เมื่อวาน คุณหายไปไหนมา”
“ชั้นไปดักนางสิงห์ค่ะ คิดว่ามันจะหลบออกทางด้านหลัง”
ดนัยคาดคั้น “แล้วทำไมไม่บอกผม”
“ก็เห็นสารวัตรกำลังวุ่นอยู่นี่คะ แล้วชั้นกลัวว่าสารวัตรจะไม่อนุญาต” เพ็ญพรแต่งเรื่อง
“เพ็ญพร ผมรู้ว่าคุณอยากสร้างผลงาน ตอนที่คุณขอร้องว่าจะตามผมมาที่นี่ ผมก็อนุญาต เพราะเห็นว่าคุณตั้งใจจริง” ดนัยขยับมาประจันหน้า “แต่จำไว้ อย่านอกลู่นอกทางเด็ดขาด ไม่งั้น ผมจะส่งคุณกลับกรุงเทพฯ”
เพ็ญพรยิ้มรับ ขณะที่ดนัยยังรู้สึกว่าเพ็ญพรมีอะไรปิดบังตนอยู่
ด้านย้งกำลังเดินมาที่ถนนมุ่งตรงไปยังบ้านครูเพิ่ม ด้วยอาการฮึดฮัดขัดใจ กับภาพที่เห็นเมื่อคืนต่อหน้าต่อตา
“ผู้กองนะผู้กอง ทำแบบนี้มันเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดกันนี่หว่าหนอย ทีต่อหน้าคนอื่นทำเป็นสุภาพบุรุษ พอลับหลังดันจีบหมอวาสนา คอยดูเหอะ ถ้าไม่ย้งหาเงินได้เมื่อไหร่ หมอวาสนาต้องเป็นของไอ้ย้งแน่
ย้งชะงักเมื่อเห็นเก่งกำลังเดินสวนมาด้วยสีหน้าซังกะตาย เพราะเพิ่งมีปัญหากับธัมโม
“เฮ้ยเจอพอดีเลยไอ้เก่ง ข้ามีเรื่องจะพูดเอ็ง”
เก่งตาวาว “ไอ้ย้ง ข้าก็มีเหมือนกัน”
ย้งดีใจคิดว่าจะได้เพื่อนปรับทุกข์
พอลับตาคน ย้งโดนเก่งเหวี่ยงจนแทบล้มตรงมุมหนึ่งที่หลังบ้านครูเพิ่ม
“เฮ้ยอะไรกันวะไอ้เก่ง นี่เอ็งเหวี่ยงข้าทำไม” ย้งโวยลั่น
“ยังมีหน้ามาถามอีกเหรอวะ ที่ทุกอย่างมันวุ่นวายแบบนี้ ก็เพราะเอ็งนั่นแหละที่เป็นต้นเหตุ” เก่งฉุนขาด
“ก็ข้าบอกแล้วไงว่าข้าอยากเป็นโจร เอ็งดันไม่ยอมรับข้าเองนี่หว่า” ย้งแถต่อ
“นี่เอ็งยังเถียงอีกเหรอ”
ย้งเห็นเก่งจะกระทืบตนซ้ำ ก็รีบชูมือห้าม “เฮ้ยเดี๋ยว ที่ข้ามาเนี่ยข้ามีข้อเสนอนะโว้ย”
“อะไร”
“ข้ารู้ความลับของไอ้เสี่ยเล้ง ถ้าเอ็งยอมให้ข้าร่วมทีม ข้าจะบอกเอ็ง”
“ไม่” เก่งปฎิเสธเสียงแข็ง
“แค่งานเดียวเองเพื่อน งานช้างนะโว้ย ถึงไงเอ็งก็ต้องการผู้ช่วยอยู่ดี”
เก่งลดหมัดลงด้วยท่าทีดูจะสนใจ
ย้งยิ้มอย่างพอใจ เมื่อรู้ว่าทุกอย่างกำลังจะเป็นไปตามแผนของมัน
เย็นนั้น ครูเพิ่มออกอาการหนักใจเมื่อทราบข้อมูลจากเก่งที่ย้งคาบข่าวมาบอก แต่ไม่ยอมบอกเงื่อนไข
“เอ็งแน่ใจนะว่าไอ้ย้งหูไม่ฝาด”
“ไอ้ย้งมันสาบานว่าได้ยินมาแบบนั้น เสาร์นี้เสี่ยเล้งจะขนไม้ไปขาย โดยไม่จ่ายส่วนแบ่งให้กำนันศร”
ครูเพิ่มออกไอเดีย “ถ้างั้นเราก็ใช้แผนเดิมสิ ให้ตำรวจเป็นตัวช่วย”
เก่งชะงักบอกเสียงเศร้าหน้าหมอง “คงไม่ได้แล้วล่ะครู เพราะผู้กองธัมโมเค้าขอถอนตัว” พูดขึ้นมาก็ยิ่งหนักใจ “เค้าไม่ใช่พวกเราอีกแล้ว”
แม้ครูเพิ่มจะประหลาดใจแต่ก็ไม่ถามมากเพราะเห็นเก่งตีหน้าเศร้าอยู่
ตกกลางคืนเก่งเอาแต่นอนคิดถึงเหตุการณ์ที่เธอกับเขา ต้องแตกหักกันเมื่อตอนบ่าย
“ชั้นเข้าใจความรู้สึกของเธอนางสิงห์ แต่เจ้าหน้าที่อย่างชั้นจำเป็นต้องว่าทุกอย่างไปตามหลักฐาน ไม่ใช่ความรู้สึก”
“ถ้างั้น เราก็เป็นศัตรูกัน”
ธัมโมพยักหน้าเศร้าๆ “ถึงไงวันนี้ก็ต้องมาถึงอยู่ดี”
ทั้งคู่สบตากันด้วยความปวดร้าว
ความรู้สึกนั้นช่างแตกต่างกับช่วงเวลาดีๆ ที่เธออยู่กับเขาในฐานะของเก่ง ในวันที่ได้เจอกันบนรถบัส ได้เมาด้วยกัน และไปถ่ายรูปด้วยกัน
เก่งดึงตัวเองกลับมา หยิบขลุ่ยอันเล็กๆ ที่เธอกับธัมโมใช้สื่อสารกันขึ้นมาดู ก่อนจะเป่าด้วยเสียงอันเบาหวิวได้ยินเพียงลำพัง มันเป็นรหัสมอสที่แทนคำว่า “ชั้นเหงา ชั้นคิดถึงเธอ”
เสียงแหลมเล็กๆ โหยหวนนั้นบาดลึกในอารมณ์นัก
ธัมโมเดินมายืนที่หน้าต่าง ราวกับได้ยินเสียงขลุ่ยของอีกฝ่าย แต่ก็ทำได้เพียงทอดถอนใจออกมา และตัดใจให้คิดถึงแต่เรื่องตรงหน้าตามอุดมการณ์
“ไม่ได้ จะเอาความรู้สึกส่วนตัวมาปนกับหน้าที่ได้ยังไงเราต้องคิดแต่เรื่องงาน เรื่องงานต้องมาก่อน”
เช้าวันต่อมา ขณะที่โอฬารเดินหิ้วถุงขนมกับกาแฟ ขึ้นมาบนโรงพัก และทักทายกับเพื่อนร่วมงานอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นจ่าไชโยยืนกอดอกหน้านิ่วคิ้วเข้มที่ห้องโถงเพียงลำพัง
“เกิดอะไรขึ้นเหรอจ่า”
“มีตาก็แหกดูเองสิหมู่ โน่น”
ไชโยบุ้ยใบ้ ไปที่พื้นซึ่งปรากฏเป็นรอยทางยาว…มันเลื่อมเป็นสาย
โอฬารสาวแตก “อร๊ายยย รอยพญานาค พญานาคเลื้อยขึ้นโรงพักเดี๋ยวผมไปเอาแป้งมาโรยก่อนนะจ่า จะได้หาเลขเด็ดกัน”
ไชโยหมั่นไส้ “จะบ้าเหรอหมู่ ไม่ใช่ซะหน่อย ดูดีๆ”
โอฬารเขม้นมองมองไปใหม่ สักพักก็เห็นธัมโมเดินเอามือไขว้หลังไปมาอย่างใช้ความคิด เขาเดินมาหยุดมองหมู่โอฬารกับจ่าไชโยก่อนจะถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วเดินกลับไปอีก
โอฬารสงสัย “ผู้กองเค้ากลุ้มเรื่องอะไร”
ไชโยส่ายหน้า “จะไปรู้เหรอ หมู่ลองไปถามดูสิ”
โอฬารหนักใจ...ไม่รู้ว่าจะเข้าไปถามดีหรือไม่
เวลาต่อมา ธัมโมหย่อนตัวลงนั่งเครียดที่โต๊ะทำงาน โดยเปิดประตูห้องทิ้งไว้ เดี๋ยวต้องไปเดินต่ออีกหลายรอบ ระหว่างนั้นไชโย โอฬารก็โผล่หน้ามาทักทาย เปิดนำร่อง
“จ๊ะเอ๋ อรุณสวัสดิ์ครับผู้กอง เช้านี้อารมณ์บ่จอยเหรอครับ”
ไชโยตาม “คือพวกผมไม่ใช่จะสอดรู้สอดเห็นหรอกครับผู้กอง แต่ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา ก็เลยจะมาเรียนถามด้วยความเป็นห่วง”
ธัมโมยิ้มแห้งๆ “ขอบใจนะทั้งสองคน ชั้นแค่กลุ้มเรื่องงานเท่านั้นเอง”
“เรื่องที่สารวัตรจะให้จับนางสิงห์ภายในเจ็ดวันน่ะเหรอครับ” โอฬารเดา
ธัมโมพยักหน้า “ฮืม”
โอฬารกับไชโยมองหน้ากันอย่างเห็นใจ ก่อนที่ไชโยจะเสนอแนะ
“เอางี้ดีกว่าครับผู้กอง ถ้าคิดไม่ออกก็หยุดพักสักแว๊บเถอะครับสมองมันจะได้ผ่อนคลาย”
“นั่นสิครับ ไปหาอะไรเย็นๆทาน ร่างกายจะได้สดชื่น” พลางโอฬารชูถุงกาแฟในมือ “กาแฟเย็นก็ได้ครับ”
ธัมโมนึกขึ้นได้ “กาแฟ…วันนี้นายเก่งมาขายแล้วเหรอ”
เก่งกำลังขายกาแฟให้ลูกค้าหน้าโรงพัก แต่พอเห็นธัมโมเดินมาก็แกล้งทำเป็นไม่มอง
“รับอะไรดีครับ”
“หมู่นี้ทำไมไม่มาขาย” ธัมโมทักทาย
“ขี้เกียจครับ อยากอยู่บ้านเฉยๆ” เก่งประชด เริ่มพาล
“แล้วไป นึกว่าไม่สบายซะอีก”
“ตกลงผู้กองจะทานอะไรครับ”
“แหม มายืนหน้าร้านกาแฟจะให้สั่งก๊วยเตี๋ยวหรือไง” ธัมโมยิงมุก
เก่งมองหน้าไม่ขำ
ธัมโมจ๋อย “เอ่อ วันนี้มันไม่ค่อยสดชื่นยังไงชอบกลเนอะ ไม่ทานกาแฟดีกว่า เอาเป็นชามะนาวละกัน”
เก่งลงมือทำชามะนาวปึงปัง โครมคราม หงุดหงิดจนธัมโมรู้สึกได้
เก่งฝานมะนาวพาลๆ “โอ้ย มีดบ้าอะไรวะ ทื่อชะมัด” พอคว้านมก็ร้องโวยอีก “โอ้ย นมมาหมดอะไรตอนนี้วะ เพิ่งเปิดตะกี้เองนี่หว่า”
ธัมโมท้วง “นี่ ชามะนาวเค้าไม่ใส่นม”
เก่งสวนคำ พาลเต็มองค์แล้ว “ผมรู้น่า”
ธัมโมงง “อะไรของนายเนี่ยนายเก่ง ชั้นมาซื้อของนะ ทำไมนายต้องหงุดหงิดใส่ชั้นด้วย”
“ก็คนมันอารมณ์เสียนี่ครับ จะให้ผมทำยังไง”
เก่งงอนตุ๊บป่อง ทิ้งของทิ้งร้านเดินหนีไปดื้อๆ ธัมโมเสียหน้าที่ถูกคนแถวนั้นมอง
“นายเก่ง ชั้นจะกินชามะนาว กลับมาชงเดี๋ยวนี้”
“ไม่”
“กลับมา”
“อยากกินก็ชงเองเดะ”
เก่งเดินจ้ำหนีไป ธัมโมอึ้ง สักพักก็ตัดสินใจเดินตาม เห็นไชโยกับโอฬารตามออกมาดูเพราะได้ยินเสียงเอะอะ
“เอ จ่าครับ จ่าจำเรื่องที่เราเคยสงสัยได้รึเปล่าครับ”
“จำได้”
“ผมว่ามันชัดขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะจ่า ผู้กองกับไอ้น้องเก่งนี่ท่าทางมัน ยังไงๆ อยู่นะ”
ไชโยพยักหน้าเห็นด้วย ข้าวเหนียวถั่วดำลอยมาตรงหน้าคู่หูหมู่กะจ่า
นางสิงห์สะบัดช่อ ตอนที่ 9 (ต่อ)
สองคนอยู่ตรงถนนละแวกโรงพัก ดูเผินๆ คล้ายคู่รักตามง้อกันไม่มีผิด เก่งเดินหนีจ้ำพรวดๆ มา โดยมีธัมโมเดินไล่หลังมาแต่ไกล
“นี่นายเก่ง มันชักจะมากไปแล้วนะ นายจะหนีชั้นไปไหน”
“ผมเปล่า ผมปวดฉี่”
“ห้องน้ำบนโรงพักก็มี”
“ก็ผมไม่ชอบนี่ มันอึดอัด ผมอยากปล่อยกลางทุ่งมีอะไรรึเปล่า”
ธัมโมทนไม่ไหว ก้าวยาวพรวดเดียวถึงปราดมาขวางหน้า “ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น นายปวดท้อง
เมนหรือไง”
เก่งตกใจ รีบแอ๊บแมน “ผมเป็นผู้ชายนะครับผู้กอง”
“ถ้างั้นก็ทำตัวให้สมเป็นลูกผู้ชายหน่อยสิ มีอะไรก็ว่ามาเลย”
“ผมไม่อยากพูดอะไรตอนนี้ เอาไว้วันหลัง”
ธัมโมคว้าข้อมือหมับ “นายเก่ง เราสาบานเป็นพี่น้องกันแล้วนะระหว่างพี่กับน้อง ต้องรักษาคำพูด”
เก่งลืมตัว สะเทือนใจ จนเผลอหลุดปาก นึกว่าตัวเองกำลังเป็นนางสิงห์
“แล้วใครกันแน่ครับที่ผิดคำพูด ใครกันแน่”
พูดจบเก่งสะบัดข้อมือเดินหนีไป ธัมโมงงต๊ก คิดในใจกรูไปผิดคำพูดกับมันเรื่องอะไรตอนไหนวะ?
เวลาเดียวกันไชโยกับโอฬารมานั่งทานของว่างแกล้มโอเลี้ยงกันที่ ร้านกาแฟเถ้าแก่ตง แน่นอนมีเรื่องธัมโมกะเก่งมาสาทก
โอฬารจิบโอเลี้ยง “ฮ่าย ไม่ยากเชื่อเลยจริงๆ ไอ้เก่งน่ะผมว่าไม่เท่าไหร่หรอกจ่า เพราะหน้าตามันหวานแหววออกแนวซะขนาดนั้นแต่ผู้กองมาดเข้มของเรานี่สิ ทำไมถึงเป็นไปได้”
“ได้ไม่ได้ มันก็เป็นไปแล้วหมู่ ของแบบนี้ลางเนื้อชอบลางยาขนาดบางคนแต่งงานมีลูกไปแล้ว ยังมากลายเป็นตุ๊ดตอนแก่ก็มี” ไชโยแขวะ
“ไม่น่าเชื่อ ไม่อยากจะเชื่อ” โอฬารไม่รู้ตัว
เถ้าแก่ตงบังเอิญได้ยินขณะเอาขนมมาเสิร์ฟ “ลื้อเชื่อเหอะอาหมู่ เพราะเรื่องนี้อั้วยืนยันได้”
“หา! เถ้าแก่ อย่าบอกนะว่าลื้อก็ชอบผู้ชาย”
“มีบ้าง อร๊าย ไม่ใช่ว๊อยย อั้วหมายถึงเรื่องอาผู้กองธัมโมต่างหากเพราะลูกสาวอั้วเห็นมากับตาว่าอีกับอาเก้งเอ้ย อาเก่งเนี่ย นอนด้วยกัน แถมยังจูบกันอีกต่างหาก” เถ้าแก่ตงใส่ทุกเม็ดที่ได้ยินมาจากลูกสาว
ไชโยกะโอฬารหูผึ่ง พูดประสานเสียง “หา จูบกัน”
“เออสิ เอาปากจุ๊บแก้ม เอาแก้มถูปาก เห็นชัดๆ แล้วนี่พวกลื้ออย่าไปบอกใครนะว่าอั้วเป็นคนพูดเพราะเรื่องแบบเนี้ย มันต้องปิดเป็นความลับ”
ไม่นานหลังจากนั้น ตรงมุมโน้นมุมนี้บนโรงพัก ไชโยกะโอฬารเอาเรื่องที่ฟังจากเถ้าแก่ตงมาเล่าให้ทุกคนฟัง
“เฮ้ย แล้วอย่าไปบอกใครนะเว้ย เพราะว่าเรื่องเนี้ยมันเป็นความลับ” โอฬารกำชับ
ไชโยเล่าบ้าง “ใช่ ห้ามบอกใครเด็ดขาด เพราะเดี๋ยวมันจะกลายเป็นข่าวใหญ่”
โอฬารเล่าอีก “พวกเอ็งคิดดูสิ ผู้กองหนุ่มรูปงามของเรา ดันมาจับคู่กับเด็กหนุ่มขายกาแฟหน้าโรงพัก”
ไชโยเล่าต่อ “บัดสีบัดเถลิง รู้ถึงไหนอายไปถึงนั่น”
โอฬารเล่าบ้าง “ดังนั้นเราจึงต้องปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ”
ไชโยกำชับอีก “ขอย้ำนะว่าความลับ ห้ามบอกใครเด็ดขาด
บรรดาตำรวจทุกคนต่างพยักหน้าให้กัน ขณะที่ดนัยโผล่มายืนข้างหลัง
“มีความลับอะไรกัน”
ธัมโมเดินก้มหน้าก้มตากลับมาถึงโรงพัก แต่พอเงยหน้าขึ้นมาก็ต้องชะงักเมื่อชาวบ้านที่มาติดต่อราชการพากันมองเขาด้วยแววตาแปลกๆ บางคนซุบซิบอะไรกันอยู่
ธัมโมเริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไปจากเดิม ยิ่งเมื่อเหลียวขวับกลับไปก็เห็นชาวบ้านทั้งหลายพากันพร้อมใจหันหน้าหนีพรึบพรับทันที
ธัมโมนึกหวั่นใจ รีบเลี่ยงเข้าไปในห้องโถงโรงพัก
ธัมโมก้าวเดินขึ้นมาบนโรงพักที่กำลังอยู่ในสภาพจอแจเซ็งแซ่ แต่แล้วสรรพสำเนียงทั้งหลายก็เงียบกริบโดยฉับพลัน เมื่อทุกคนหันมาเห็นผู้กองตงฉิน ไม่ว่าธัมโมมองไปทางไหนทุกคนก็หลบตาเขากันหมด รวมทั้งไชโยกับโอฬาร
ธัมโมเห็นท่าไม่ดีก็เลยฝืนยิ้มแก้เขิน ก่อนจะเลียบๆ เคียงๆ ไปหาไชโยกะโอฬาร
“หมู่จ่า นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
“เอ่อ มีข่าวลือครับผู้กอง” โชโยบอก
ธัมโมรอฟัง “ข่าวอะไร”
“เค้าลือว่าผู้กอง…เป็น… เป็นพวกเบี่ยงเบนทางเพศครับ” โอฬารว่า
“หา แล้วใครเป็นคนปล่อยข่าว” ธัมโมตาค้าง
ไชโยกะโอฬารสันหลังหวะ ต่างแย่งกันพูดไปมา ฟังไม่ได้ศัพท์ ที่แน่ๆ ปัดไปให้พ้นตัวเองพัลวัน
“ไม่รู้ครับไม่ทราบ” / “ใคร..ใครปล่อยเนอะ” / “นั่นสิ” / “ใครมันปากโป้ง แล้วใครมันปากสว่างแบบนี้”
ดนัยเข้ามาหา “ธัมโม”
“สารวัตร คือผม..”
ดนัยชูมือห้ามให้ฟังเค้าก่อน “เรื่องส่วนตัวของคุณ ผมจะไม่ก้าวก่ายแต่คราวหลัง อย่าให้มันประเจิดประเจ้อแบบนี้”
ธัมโมจะอธิบาย “ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับสารวัตร สารวัตร”
ดนัยไม่สนใจฟังเดินออกไปจากโรงพักทันที ธัมโมได้แต่สับสนทำตัวไม่ถูก ขณะที่ไชโยกะโอฬารมองหน้ากันอย่างวัวสันหลังหวะ ไม่คิดว่าการเม้าท์มอยของตนจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตไปขนาดนี้
บริเวณถนนคนเดินบ้านไม้งาม ตอนกลางวัน เพลินตาที่เดินเล่นอยู่กับดนัย ถึงกับงุนงงเมื่อทราบข่าวธัมโม
“หา จริงเหรอคะเนี่ย”
“ครับผม ผมเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน ว่าเค้าจะกลายเป็นแบบนี้ไปได้
“โธ่ธัมโม คงเป็นเพราะตาแน่ๆ เลยค่ะ ธัมโมเค้าหลงตามากพอผิดหวังจากตา เค้าก็เลยเป็น…เอ่อ...” เพลินตาค้างคำ
ดนัยต่อให้ “เป็นตุ๊ด”
“ค่ะ”
เพลินตาทำหน้าทำตาเหมือนคิดมาก ดนัยฉวยโอกาสคว้ามือเธอมากุมไว้ เล่นเอาเพลินตาตกใจ
“อย่าคิดมากไปเลยครับคุณเพลินตา มันไม่ใช่ความผิดของคุณผู้หญิงที่ทั้งสวยทั้งมีเสน่ห์อย่างคุณ ผู้ชายคนไหนก็ต้องหลงไหลเป็นธรรมดา”
“แหม…รวมสารวัตรด้วยรึเปล่าคะ”
ดนัยทำตาเจ้าชู้ใส่ เพลินตาทำทีเป็นเขินอาย แต่ลึกๆ แอบยิ้มอย่างพอใจที่ดนัยตกหลุมพรางของตน
ทั้งคู่ไม่รู้เลยว่ายอดที่อยู่ในบริเวณนั้นกับเบิ้มกำลังยืนจ้องอยู่ตาเขม็ง
“เหมาะสมกันดีนะพี่ยอด” เบิ้มบอก
ยอดข่มความรู้สึกอย่างอดกลั้น สูดหายใจเข้าปอดลึกๆ…
เบิ้มพ่นต่อ “เข้ากันเหมือนกิ่งทองใบหยก”
ยอดอดทน หลับตานับหนึ่งถึงสิบ
เบิ้มหันมาถาม “ชั้นพูดถูกใช่รึเปล่าพี่ ชั้นว่าสองคนนี่เค้าเป็นเนื้อคู่กันแน่ๆเลย”
ยอดทนไม่ไหว หันขวับ “ไอ้เบิ้ม”
“จ้ะพี่”
ยอดตบบ่าดังป้าบ “เอ็งไม่พูด จะดีกว่านะ” ขยุ้มบ่า เสียงดังกร๊อบ “เข้าใจมั้ยย”
เบิ้มหน้าเหยเก “อูย... เข้าใจแล้วพี่ เข้าใจชัดจ้ะ ชัดๆๆ”
ยอดคลายมือออกแล้วสะบัดหน้าเดินหนีไป ทิ้งให้เบิ้มมองตามงงๆ
“โอ๊ย เล่นซะไหล่แทบหลุด ตกลงเราพูดอะไรผิดวะเนี่ย งง”
สองคนแว่วยินเสียงหัวเราะร่าของเสี่ยเล้งดังเข้ามา
เสี่ยเล้งหัวเราะชอบอกชอบใจเมื่อทราบผลจากเพลินตา สองพ่อลูกเดินเล่นด้วยกันที่สวนในบ้าน
“เก่งมากเพลินตาลูกรัก ทีนี้ก็เท่ากับว่าสารวัตรดนัยกลายเป็นพวกเดียวกับเรา”
เพลินตายังไม่วายเป็นกังวล “ยังไม่แน่หรอกค่ะป๊า ถึงสารวัตรจะชอบตา แต่เค้าอาจไม่ยอมร่วมมือกับเราก็ได้นะคะ”
“เดี๋ยวก็รู้ เอาไว้เสร็จธุระเรื่องค้าไม้เมื่อไหร่ พ่อจะลองยื่นข้อเสนอให้เค้า ถ้าเค้าสนใจจล่ะก็ ฮึๆๆๆ ไอ้กำนันศร มันต้องแพ้เราแน่”
เพลินตายิ้มรับเมื่อเห็นว่าทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี เพราะฝีมือของตน
ยอดอยู่หน้าเรือนบ้านกำนันศร เอารูปถ่ายของเพลินตาที่ขโมยมาจากบ้านเสี่ยเล้งออกมาดู
“คุณเพลินตาคนสวยของไอ้ยอด ไอ้ยอดมันบุญน้อย ชาตินี้คงไม่มีโอกาสได้เชยชม”
วาสนาย่องมาข้างหลังชะเง้อดู “อุ๊ย รูปคุณเพลินตานี่”
“ฮึย ค..คุณวาสนา” ยอดสะดุ้ง เปลี่ยนเป็นเขินๆ
“ฮั่นแน่ ที่แท้ก็…” วาสนาแซวขึ้น
“เปล่านะครับ ผมไม่ได้คิดอะไร” ย้งอาย ทำตัวไม่ถูก
“ชั้นไม่เชื่อหรอก ชั้นจะฟ้องพ่อ”
“ย..อย่านะครับคุณวาสนา อย่าบอกพ่อกำนัน”
“ถ้างั้นก็ยอมรับความจริงมาซะสิ ว่านายชอบคุณเพลินตา”
สีหน้ายอดสลดลงอย่างเห็นได้ชัด “ชอบก็เหมือนไม่ชอบครับ เพราะว่าผมไม่คู่ควรกับเธอ”
“นายเอาอะไรมาวัด ว่านายไม่คู่ควร”
“ก็คนมันต่างชั้นกันนี่ครับ เหมือนดอกฟ้ากับหมาวัด เหมือน…เหมือนคุณกับไอ้ย้ง” ยอดว่า
วาสนาฉุนนิดๆ “อ้าว ไปเกี่ยวอะไรด้วยเนี่ย ประชดชั้นเหรอ”
ยอดส่ายหน้า “ไม่นะครับ ผมพูดความจริง คนเราถ้ามันต่างฐานะ ต่างกำพืดกัน ต่อให้รักกันแค่ไหน ก็ไปกันไม่รอดหรอกครับ ผมเห็นมาหลายคู่แล้ว”
วาสนาอยากเถียงยอด แต่อีกใจก็อดไม่ได้ที่จะหวั่นไหวตาม
ตกกลางคืนวาสนานอนไม่หลับ เก็บเอาคำพูดของยอดมาคิด
“แรกๆ ก็รักกันดี แต่อยู่ไปนานๆความแตกต่างก็จะชัดเจนขึ้น คิดไม่เหมือนกัน กินอยู่ไม่เหมือนกันแถมเวลาพูด ยังไม่เข้าใจกันซะอีก เพราะแบบนี้ผมถึงเคยบอกว่าคุณวาสนาไม่เหมาะสมกับไอ้ย้ง”
ภาพหลายๆ เหตุการณ์ ที่ย้งเหมือนตัวตลก ไปไหนก็โดนคนแกล้ง มีแต่เรื่องผิดพลาดน่าอับอายซ้อนเข้ามา
วาสนายิ่งคิดหนัก นึกลังเลใจ เพราะความแตกต่างระหว่างย้งกับเธอมากมายเหลือเกิน
เก่งในคราบนางสิงห์ชุดดำกำลังควบมอเตอร์ไซค์ไปตามถนนสายเล็กๆ โดยมีเพ็ญพรแต่งชุดทะมัดทะแมงซ้อนท้ายมาด้วย เพ็ญพรยามนี้สวมหมวกกันน็อคของผู้หญิง แบบมีแว่นคาดตา ตามแบบนิยมในสมัยนั้น ทั้งสองกำลังมุ่งหน้าไปทำภารกิจบางอย่าง
เพ็ญพรกับเก่งย่องบ้าง สลับคลานต่ำอยู่บนเนินสูง ก่อนจะผลัดกันใช้กล้องส่องทางไกลส่องลงไปและเห็นสมุนเสี่ยเล้งที่กำลังเร่งตัดไม้เพื่อให้ทันส่งลูกค้า
“ไอ้พวกสารเลว นี่มันจะโค่นให้หมดป่าเลยหรือไง”
“เวรยามของพวกมันแน่นหนากว่าคราวก่อน แค่เราสองคนคงจัดการไม่ไหวแน่ แต่ถ้าร่วมมือกับพวกตำรวจ…”
เก่งพูดไม่ทันจบ เพ็ญพรก็สวนคำออกมา “ไม่มีทาง สารวัตรดนัยคงไม่ยอมร่วมมือกับนางสิงห์เด็ดขาด และที่สำคัญ ถ้าเกิดการปะทะกันเมื่อไหร่ ก็ต้องมีคนตายเป็นเบือแน่” เพ็ญพรครุ่นคิดอยู่สักครู่ “ชั้นมีวิธีอื่น”
คืนนั้น ยินเสียงครูเพิ่มแว่วดังมาจากในบ้าน
“หา ปล้นเงินเสี่ยเล้ง”
ครูเพิ่มอึ้งไปกับแผนการณ์ของเก่ง
“ใช่ เงินค้าไม้ของมัน เราจะปล้นให้หมดถ้าไม่มีเงิน มันก็ลงเล่นการเมืองไม่ได้ แล้วที่สำคัญ ไอ้เสี่ยเล้ง มันห่วงแต่เรื่องไม้ คงไม่ทันคิดแน่ ว่าเราจะเปลี่ยนเป้าหมาย”
“นี่แกไปเอาแผนนี้มาจากใคร ไอ้ย้งเหรอ”
“เปล่า แต่เป็นแนวร่วมคนใหม่ของเรา” เก่งบอกเท่านั้น
“ใคร” ครูเพิ่มซัก
“เค้าสั่งไม่ให้ชั้นบอกครูตอนนี้ เอาไว้พร้อมเมื่อไหร่เดี๋ยวก็รู้เอง”
ครูเพิ่มรู้สึกสงสัยและไม่สบายใจที่เก่งมีความลับกับตน
วันต่อมา ย้งโฉบไปโฉบมาที่ประตูบ้านกำนันศร ชะเง้อคอยืดคอยาวมองหาวาสนา มัวแต่โฉบอยู่จนกระทั่งไม่รู้ว่ากำนันศรกับสมุนที่เพิ่งกลับจากธุระมาเห็นเข้าสักพักนึงแล้ว
“ไอ้ย้ง”
ย้งตกใจสะดุ้งโหยง “เย้ย พ่อกำนัน ค….ค..คือชั้นม..ม..มา..มา…”
กำนันศรตัดบท “ลูกสาวข้าไปทำงานแล้ว นี่เอ็งคงไม่ได้นัดไว้สิท่า”
ย้งบ่นอุบอิบตามประสา “แหม ก็พ่อกำนันเล่นให้หมาเอ้ย ให้คนไปคอยเฝ้ากันท่าชั้น แล้วชั้นจะนัดได้ยังไงล่ะ”
ย้งชายตาแขวะไปทางยอด ที่ขยับมามองย้งแบบคันตีนเต็มที่
“ถ้าเอ็งอยากเจอลูกสาวข้า ก็เอาเงินมาสู่ขอสิวะ ไหนล่ะเงินที่เอ็งเคยรับปาก ที่มันจวนจะเลยกำหนดแล้วนะโว้ย”
“ไม่ต้องห่วง ชั้นต้องหาทันแน่ คอยดูก็แล้วกัน” ย้งบอกเสียงหนักแน่น
กำนันศรแค่นหัวเราะใส่ย้งด้วยสีหน้าเย้ยหยัน
พอวาสนาจะปั่นจักรยานไปที่อนามัย กำลังจะผ่านบ้านพักผู้กอง เห็นธัมโมนั่งจับเจ่าอยู่ที่ชานเรือน
“อ้าวผู้กอง วันนี้ไม่ไปทำงานเหรอคะ”
ธัมโมมีสีหน้าหนักใจ “ไปไม่ได้ครับคุณหมอ คงต้องรอให้ข่าวซาก่อนแล้วค่อยไป”
วาสนางวยงง “ข่าว? ข่าวอะไรคะ”
พอรู้เรื่องจากปากธัมโมในเวลาต่อมา วาสนาก็หัวเราะในคอเบาๆ
“ไม่น่าเชื่อเลยนะคะ ว่าชาวบ้านเค้าจะเชื่อเรื่องพวกนี้ผู้กองธัมโมเป็นคู่ขากับนายเก่ง ไร้สาระจริงๆ”
ธัมโมยิ้มแหยๆ “ไอ้ชาวบ้านน่ะไม่เท่าไหร่หรอกครับ แต่พวกตำรวจดันเฮไปกับเค้าด้วย ผมก็เลยวางตัวลำบาก แถมนายเก่งยังพาลมาโกรธผมอีก”
วาสนาอึ้ง “ถึงกับโกรธเลยเหรอคะ”
“ผมเองก็ไม่แน่ใจครับว่าเป็นเพราะเรื่องนี้รึเปล่าแต่ที่แน่ๆ เค้าไม่ยอมพูดกับผม”
วาสนาเห็นใจ “ไม่ต้องห่วงค่ะผู้กอง ถ้ามีโอกาสเมื่อไหร่ชั้นจะลองถามให้”
ธัมโมยิ้มรับในไมตรีของวาสนา
เวลาต่อมา ย้งขับรถมอเตอร์ไซค์มาจอดที่หน้าอนามัย
“เอ ทำไมมันเงียบแบบนี้วะ หรือว่าคุณวาสนาจะไม่อยู่” มองไปแล้วชะงักกึก “ชะอ้าว…”
เมื่อย้งมองไปเห็นธัมโมเดินลงมาส่งวาสนาที่หน้าบ้านพัก
“ชั้นว่าผู้กองกับนายเก่ง คงต้องรีบหาแฟนแล้วล่ะค่ะ ไม่งั้นชาวบ้านคงลือกันไม่จบแน่” วาสนาว่า
“ให้นายเก่งเค้าเป็นฝ่ายหาเถอะครับ งานผมรัดตัวแบบนี้ ขอโสดไปเรื่อยๆ ก่อนดีกว่า”
จังหวะนั้นเองวาสนาก็ดันเหยียบบันไดพลาดจนหวิดร่วง
“ระวังครับ”
ธัมโมรีบเข้าประคองวาสนาเอาไว้ แต่ในมุมที่สายตาของย้งจ้องมองจากระยะไกล กลับเห็นเป็นธัมโมโผเข้ากอดวาสนา
ย้งอึ้งตะลึงงัน “เฮ้ย อะไรกันวะเนี่ย”
“ไม่เป็นไรนะครับคุณหมอ”
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่ข้อเท้าพลิกนิดเดียว เดี๋ยวก็คงหาย”
“ถ้างั้นผมช่วยประคองนะครับ”
ธัมโมขยับจะประคองวาสนาให้นั่งถนัดขึ้น แต่แล้วย้งก็ปราดมาถึงเสียก่อน มันกระชากธัมโมออกจากวาสนาทันที
“แก ไอ้กะล่อน”
ขาดคำย้งเหวี่ยงหมัดต่อยธัมโมสุดแรงเกิด จนธัมโมเซไปพิงหัวบันได
วาสนาอึ้งคาดไม่ถึง “ย้ง”
“นายย้ง นี่มันเรื่องอะไรกัน” ธัมโมงงเป็นไก่ตาแตก
“ไม่ต้องมาทำไก๋ ไอ้คนหน้าไหว้หลังหลอก เสียแรงที่ชั้นอุตส่าห์นับถือแก นึกว่าเป็นคนดี ที่แท้แกมันก็พวกฉวยโอกาส รู้ทั้งรู้ว่าคุณวาสนาเป็นของชั้น แต่แก แกก็ยัง…”
วาสนาทนฟังไม่ไหวแทรกขึ้นด้วยเสียงดัง “พอได้แล้วนายย้ง”
“ไม่ ผมต้องพูดให้หมด ผมไม่ยอมให้ใครมาแย่งคุณไปจากผมเด็ดขาด”
“ไม่มีใครแย่งเธอได้หรอกย้ง เพราะชั้นไม่ได้เป็นคนของเธอ ชั้นไม่ได้รักเธอ”
ย้งอึ้งหน้าเสีย “คุณวาสนา”
วาสนาย้ำชัด “ชั้นเป็นเพื่อนเธอนะย้ง เพื่อนที่เธอเคยสัญญาว่าจะไม่เรียกร้องอะไร ที่ผ่านมาชั้นยอมรับว่าความดีของเธอมันชนะใจชั้น ชั้นเคยคิดว่าจะให้โอกาสเธอ แต่ดูตอนนี้สิ เธอรู้มั้ยว่าเธอเปลี่ยนไปแค่ไหน”
“ผม…ผมทำเพื่อคุณนะครับคุณวาสนา”
“เปล่า นายกำลังทำเพื่อตัวเอง นายทำทุกอย่างเพื่อจะได้ครอบครองชั้น เหมือนนายจำเริญ เหมือนผู้ชายคนอื่น” วาสนาสะเทือนใจมาก “ชั้นผิดหวังในตัวนาย ชั้นผิดหวังจริงๆ”
วาสนาน้ำตาซึม รีบเดินหนีกลับไปที่อนามัย
“คุณวาสนา คุณวาสนา”
ย้งได้แต่ชะเง้อตาม ก่อนจะหันมามองธัมโมด้วยความเจ็บใจ เล่นเอาธัมโมได้แต่ยืนอึ้งไม่คิดว่าตัวเองจะซวยซ้ำซ้อนได้ขนาดนี้
ในขณะที่เถ้าแก่ตงกำลังทำงานอยู่ เห็นตี๋เล็กย้งเดินอารมณ์เสียกลับเข้ามานั่ง ก่อนจะตบโต๊ะเปรี้ยง
“ไอ่หย่าอาย้ง! โต๊ะมันอยู่ของมันดีๆ ลื้อไปตบมันทำไมลื้อกลุ้มใจทำไมไม่ตบหัวตัวเองวะ”
ย้งฮัดฮัด “ถ้าตบได้อั้วตบไปแล้วป๊า แต่ว่าตอนนี้ อั้วต้องใช้ความคิด”
“หา คิดอะไร ลื้อคิดทีไรอั้วเดือดร้อนทุกที หม่ายน่ออาย้งถ้าคราวนี้ลื้อไปพัวพันกับเรื่องผิดกฏหมายอีกนะอั้วตัดหางลื้อปล่อยวัดจริงๆ ด้วย”
“เป็นไงเป็นกัน เพื่อคุณวาสนา ไอ้ย้งทำได้ทุกอย่าง”
ย้งรำพึงกับตัวเองอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
อนิจฉา…ความรักบดบังดวงตาไอ้ย้งจนมืดมิดบอดสนิท มันลืมสิ้นแล้วว่ามันเคยเสียสละเพื่อวาสนามากเพียงใด
โปรดติดตาม "นางสิงห์สะบัดช่อ" ตอนต่อไป