The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 2
ส่วนที่บ้านไตรรัตน์ เสี่ยจำเริญกำลังยกพระรอดของสุคนธรสที่นำมาใส่สร้อยทองอย่างดีขึ้นไหว้ แล้วหันมายื่นให้ไตรรัตน์ที่กำลังนั่งสวมหูฟังกระดิกเท้าฟังเพลงอาร์แอนด์บีอยู่
“อ่ะอาตี๋...ใส่สร้อยนี้ไว้ซะ”
“ห่ะ พ่อว่าไงนะ?”
เสี่ยจำเริญดึงหูฟังออกจากหูไตรรัตน์แล้วตะโกนใส่หู
“อั๊วบอกว่าให้ลื้อใส่สร้อยพระนี้ซะ”
“โอ๊ยพ่อ... ตะโกนหูแทบแตก”
“คุณก็...ชอบไปแกล้งลูก มา...ฉันใส่ให้ลูกเอง”
เจ๊หญิงคว้าสร้อยมาจากมือเสี่ยจำเรือญจะสวมให้ไตรรัตน์ แต่ไตรรัตน์ลุกหนี
“ไม่เอาอ่ะแม่...ผมไม่ชอบใส่สร้อย”
“ไม่ใส่ไม่ได้นะตี๋ หมอผีสมคิดบอกว่าลูกมีเจ้ากรรมนายเวรตามเอาชีวิต ลูกต้องแขวนพระเอาไว้ป้องกันตัวเองนะ”
“อีกแล้ว...ทำไมแม่ถึงได้ไปหลงเชื่อไอ้หมอคนนี้นักนะ มันหลอกเงินแม่อยู่รู้ไหม๊”
“จุ๊ๆๆ ไม่เอา ลูกอย่าว่าหมอสมคิดอย่างงั้นนะ หมอเป็นคนมีบุญบารมี มีเวทย์มนต์คาถานะ ถ้าหมอรู้เข้า ลูกอาจมีอันเป็นไปได้”
“หึ มีเวทย์มนต์คาถา พ่อกับแม่หลงงมงายเรื่องพวกนี้ ก็ไม่น่าส่งผม ไปเรียนด้านไอทีที่
เมืองนอกเลยนะ น่าจะส่งไปเรียนเรื่องคุณไสยที่เขมรมากกว่านี่ถ้าอาม่าไม่ป่วย ผมไม่กลับมาดีกว่า”
จังหวะนาทีเผลอ เสี่ยจำเริญคว้าสร้อยมาจากมือเจ๊หญิงคล้องสร้อยเข้าใส่คอไตรรัตน์ทันที
“ฮ่ะๆๆ อั๊วใส่สร้อยให้ลื้อสำเร็จแล้ว”
จังหวะนั้นมีมือดำของผีร้ายปรากฏขึ้นที่ไหล่ไตรรัตน์ หงิกงอด้วยอิทธิฤทธิ์ของพระรอดรีบหลุบหนีออกจากบ่าไตรรัตน์ทันที แล้วกลายเป็นควันดำๆ เลื้อยผ่านทั้งสาม ผ่านขึ้นบันไดไปยังห้องชั้นบนโดยที่ไม่มีใครเห็น ขณะที่ไตรรัตน์ทำหน้าเซ็งจะถอดสร้อยออก
“พ่อเล่นอะไรเนี่ยะ ผมบอกแล้วว่าไม่ใส่”
“อย่าถอดนะอาตี๋ ถ้าลื้อถอดสร้อยออก เราขาดพ่อขาดลูกกัน”
“ใส่สร้อยไว้เถอะนะลูก เพื่อความสบายใจของพ่อกับแม่ นะ แม่ขอร้อง”
ไตรรัตน์เลยจำต้องใส่สร้อยไว้
“เอาๆ...ใส่ก็ใส่...อยากรู้จริงๆ ใครเป็นคนให้พระเตี่ยมาเนี่ยะอยากขอบใจจริงๆ”
“ลื้ออยากขอบใจเค้าเหรอ ดีๆ ไว้อั๊วจะชวนเค้ามากินข้าวที่บ้าน แนะนำให้ลื้อรู้จัก”
“โฮ๊ยพ่อ...ผมพูดประชด”
ไตรรัตน์ลุกเดินหงุดหงิดไป เสี่ยจำเริญกับเจ๊หญิงยิ้มสบายใจขึ้น
เช้าวันรุ่งขึ้นห้าสาวกำลังรอประชุมสภากาแฟอยู่ เนตรศิตางศุ์ สุคนธรส กรรัมภา กรรณา กำลังมองกดดันไปที่ญาณิน ญาณินซดกาแฟจากแก้วเสร็จ มองเห็นเพื่อนทั้งสี่จ้องก็สำลักเล็กๆ
“อะไรยะ...พวกเธอมาจ้องหน้าฉันทำไม?”
“ก็เจ๊ว่าไงล่ะ”
“งั้น...ขอเวลานิด ฉันขอคิดดูก่อน”
ทุกคนทำหน้าเซ็ง
“หึ ไม่มีจะกิน บริษัทจะเจ๊งอยู่แล้ว ยังจะมีอารมณ์เล่นตัวอีกนะแม่คุณ”
“ไม่เอาน่าเจ๊จีจ้า พี่ณัฐเค้าอุตส่าห์ไปเคลียร์ให้เราแล้ว เธอได้โปรด...โทรไปหาเค้าหน่อยเด้ะ..ไหว้ล่ะ”
เนตรศิตางศุ์ยื่นนามบัตรติณห์ให้
“อ่ะนี่เบอร์โทรเค้า พี่ณัฐฝากมาให้ รีบโทรเลย” ญาณินรับมาดู
“หึ รีบโทรไป เค้าก็รู้หมดซีว่าเราอยากจะได้งานเค้าจนตัวสั่น”
“โอ๊ะ...ลีลาเยอะจริง ม่ะ...ฉันโทรเอง”
สุคนธรสแย่งนามบัตรไปจากมือญาณิน แล้วลุกไปที่โทรศัพท์
“เฮ้ยๆ...อย่ายุ่งนะยัยรส เอามา เดี๋ยวฉันโทรเอง”
“อะไรกันคะ อะไรกัน?”
ป้าอรวรรณส่ายหน้า เดินผ่านไป ห้าสาวสาวยื้อแย่งนามบัตรกัน อยู่ๆ โทรศัพท์ในบริษัทก็ดังขึ้น ทุกคนหยุด...หันไปมองโทรศัพท์
“หรือว่านายติณห์โทรมาง้อให้เราทำงาน ฉันรับเอง” ญาณินรีบถลาไปแย่งยกหูขึ้นรับ “ฮัลโหล....บริษัทซิกซ์เซนส์ ญาณินรับสายค่ะ...” ญาณินหน้าจ๋อย “เอ่อ...อยู่ค่ะ สักครู่นะคะ” ญาณินส่งหูให้สุคนธรส “อ่ะ...สายเธอ”
สุคนธรสรับสายมางงๆ
“ฮัลโหล...รสพูดค่ะ...ใครนะ...เสี่ย? อ๋อ...เสี่ยจำเริญเองเหรอคะ สวัสดีค่ะ”
เสี่ยจำเริญกำลังนั่งพูดมือถืออยู่ที่โต๊ะมุขขนาดใหญ่ โดยมีเจ๊หญิงนั่งจิบชาลุ้นอยู่ข้างๆ
“วันอาทิตย์นี้หนูว่างหรือเปล่า อั๊วอยากจะเชิญหนูมากินข้าวที่บ้าน เมียอั๊วเค้าอยากจะเจอหนู อยากจะขอบใจที่หนูที่มีน้ำใจให้พระมาคุ้มครองลูกชายอั๊ว”
“วันอาทิตย์เหรอคะ...ว่างค่ะ”
“หนูว่างเหรอ?” เสี่ยจำเริญหันไปยิ้มดีใจกับเจ๊หญิง “ดีๆๆ เสี่ยจะสั่งทำเป็ดย่างหมูหันไว้เลี้ยง อย่าลืมชวนเพื่อนมาด้วยนะ มากันเยอะๆ เลย อั๊วจะได้แนะนำหนูให้รู้จักกับตี๋น้อยของอั๊วด้วย ฮ่ะๆๆๆ”
“ค่ะเสี่ย...บอกอาตี๋น้อยว่าต้องเป็นเด็กดี อย่าดื้ออย่าซน แล้วพระจะคุ้มครองเด็กดีนะคะ แล้ววันอาทิตย์เจอกันค่ะ หวัดดีค่ะ” สุคนธรสกดวางสายแล้วหันมายื่นหูให้ญาณิน “อ่ะ...ถึงคิวเธอแล้ว รีบโทรไปหานายติณห์ด่วน”
ญาณินมองหน้าเพื่อนทุกคน เห็นสายตาทุกคนมองแกมบังคับ
“โทรก็โทร”
มือถือติณห์บนโต๊ะดังขึ้น ติณห์กำลังแต่งตัวอยู่ในห้องเดินพับคอเสื้อเดินออกมา ยกมือถือขึ้นดูเบอร์แต่ไม่คุ้น
“ฮัลโหล...”
ญาณินตื่นเต้นเมื่อได้ยินเสียงติณห์ดังมาตามสาย ขณะที่สี่สาวเบียดกันเข้ามาลุ้น
“เอ่อ...ฮัลโหล”
“ใครพูดครับ?”
“ฉันเองค่ะญาณิน”
พอรู้ว่าเป็นญาณิน สีหน้าติณห์ก็เปลี่ยนมาเป็นมีฟอร์มทันที
“อ่อ”
“ค่ะ ฉันเอง พี่ณัฐบอกว่าคุณให้ฉันโทรมานัดคุยเรื่องงาน ที่ไหน เมื่อไหร่ดีคะ?”
“ผมมีเวลาแค่วันนี้เท่านั้น”
“ได้ค่ะ ไม่มีปัญหา”
“แต่ไม่ใช่ที่กรุงเทพนะ ผมกำลังจะกลับเมืองกาญจน์ คุณตามไปคุยกับผมที่รีสอร์ทผมก็แล้วกัน บ่ายสองเจอกันที่นั่น แล้วให้ตรงเวลาด้วยล่ะ ถ้ามาช้า ผมไม่รอ”
ติณห์กดวางสาย สีหน้ายิ้มๆ พอใจที่ได้แก้เผ็ดญาณิน ญาณินถือสายค้าง
“ฮัลโหล...ฮัลโหล! ตาบ้าเอ้ย...วางสายไปดื้อๆ เลย”
“เค้าว่าไงญาณิน?” เนตรศิตางศุ์รีบถาม
“ตานั่นบอกว่าให้ตามไปคุยกับเค้าที่เมืองกาญจน์ ตอนบ่ายสอง พูดเหมือนว่าถ้าไปช้า เค้าจะไม่จ้างงั้นแหละ”
“อ้าว แล้วจะรออะไรอยู่ล่ะ รีบเก็บข้าวของไปเมืองกาญจน์กันเร็วๆ ซี เร็ว”
ทุกคนรีบแยกย้ายกันไปเก็บข้าวของ เหลือแต่ญาณินที่ยืนหมั่นไส้ในความยะโสเอาเรื่องของติณห์
ป้าอรวรรณมีอาการตื่นเต้นดีใจไม่แพ้ห้าสาว ขณะเดินตามสุคนธรส เนตรศิตางศุ์ กรรัมภา กรรณาที่หิ้วข้าวของออกจากบ้านมาที่รถเพื่อไปคุยงานที่เมืองกาญจน์
“สิ่งศักดิ์สิทธิ์เจ้าขา ขอให้คุณญาณินได้งานตกแต่งรีสอร์ทหญ่ายยยที่เมืองกาญจน์งานนี้ทีเท้อ....ขอให้คุณๆเธอพูดจาดีๆ ทำตัวดีๆ ไม่ทำอะไรประหลาดๆ ให้คนจ้างเค้าเผ่นหนีไป บริษัทซิกซ์เซ้นส์จะได้มีเงินจ่ายค่าน้ำค่าไฟคล่องๆ ซะที สาธุ!”
ป้าอรวรรณไหว้ศาลพระภูมิ สี่สาวหันมามองป้าอรวรรณเป็นตาเดียว สุคนธรสปิดกระโปรงท้ายปั๊ง!
“โฮ่วป้า! อธิษฐานได้น่าฟังมากเลยนะ”
“ก็ป้าเสียวนี่จ๊ะหนูรส”
“อุ้ย...เสียวไรคะป้าออ เดี๋ยวสาวสวยฉลาดและเซ็กซี่อย่างหนูจะใช้เสน่ห์ส่วนตัวทำให้การไปคุยงานครั้งนี้ได้มากกว่าเงินล้านซะอีก” กรรัมภาหมุนตัวกัดขาแว่นแฟชั่น
“โด่เอ้ย!” กรรณามองกรรัมภายืนโพสต์ “เรากำลังจะไปป่าเมืองกาญจน์นะเฮ้ย ไม่ใช่ไปเดินแบบที่มิลานอิตาลี”
“โฮ๊ย...สองสาวคู่กัดนี่ เอานี่ไปเลยจ้ะ จะได้ปากไม่ว่าง”
เนตรศิตางศุ์หยิบคุ๊กกี้รูปร่างประหลาดยัดใส่มือสาวสอง
“อะไรอ่ะ?” กรรณากับกรรัมภาถามออกมาพร้อมกัน
“คุ๊กกี้พริกสด แซ่บซี๊ดดด...เมนูใหม่ของเนตรเลยนะ”
“เฮ่ย”
ได้ผลสองสาวหยุดเถียง โดดกอดกัน ทำหน้ากลัวคุ๊กกี้ สุคนธรสขำ ป้าอรวรรณหัวเราะชอบใจจับแก้มเนตรศิตางศุ์
“หนูเนตรของป้านี่ อัจฉริยะเรื่องอาหารมาเกิดจริงจริ๊ง”
“เอ๊านี่...มัวแต่พูดๆๆๆ เดี๋ยวก็ไปไม่ทันบ่ายสองพอดี ยัยเจ๊ล่ะ...” สนุคนธรสหันมองซ้ายมองขวาหาญาณิน “อยู่ไหนแล้วนี่?” ญาณินเดินตามออกมาแบบเอื่อยๆ แต่สีหน้ากวนๆ “เจ๊! เดินซอยขาให้มันเร็วกว่านี้หน่อยดีไหม๊ เดี๋ยวก็ไปไม่ทัน”
“ไม่ทันก็ดีสิ หึ ทำเป็นมาวางเงื่อนไข ต้องบ่ายสองชิ...แกล้งกันชัดๆ”
“งาน งาน ท่องไว้ซิ เข้าใจ๋? ไม่ต้องมาถ่วงเวลาเลย ไปขึ้นรถ”
“เดี๋ยวซี ขอฉันดูไพ่ยิปซีเสี่ยงทายดูก่อนว่าไปครั้งนี้...จะรุ่งหรือว่าร่วง”
ญาณินหยิบไพ่ยิปซีออกมา แต่สุคนธรสดึงให้ไปขึ้นรถ
“จะมาดูอะไรตอนนี้ ไม่มีเวลาแล้ว ย้ายก้นขึ้นรถ ด่วน”
สุคนธรสตบตูดญาณินป๊าบ ญาณินสะดุ้ง
“อ๊าย…ยัยบ้า”
ไพ่ใบหนึ่งร่วงลงพื้นโดยที่ญาณินไม่รู้ ขณะที่ป้าอรวรรณรีบยัดกระเป๋าเสื้อผ้าใบหนึ่งที่หิ้วอยู่ใส่อกญาณินที่ทำหน้าที่ขับ
“นี่เสื้อผ้าค่ะคุณหนู เผื่อต้องค้างที่โน้น ขับรถดีๆ นะคะ ขอให้ได้งาน บ๊ายบาย”
รถแล่นออกไป ป้าอรวรรณยืนโบกมือส่งหันจะเดินเข้าบ้านแล้วชะงักเมื่อเห็นไพ่ใบหนึ่งตกคว่ำอยู่
“คุณหนู...ทำไพ่ตก...”
ป้าอรวรรณหยิบขึ้นมาหงายดูเห็นเป็นไพ่เดอะเดท! ป้าอรวรรณตกใจ
“คุณพระช่วย! อีกแล้วหรอเนี่ย”
ป้าอรวรรณมองตามรถของห้าสาวไปอย่างเป็นห่วง
ญาณินขับรถมุ่งหน้าสู่กาญจนบุรีอย่างเซ็งๆ ขณะที่เพื่อนทั้งสี่กำลังดูแผนที่ทางไปจากไอแพด ปรึกษากันพลางเถียงกัน
ติณห์เดินทางมาถึงบ้านพักที่เมืองกาญจน์ก่อนห้าสาว ติณห์ขับรถเข้ามาจอดหน้าบ้านพักแล้วลงจากรถ
เพ็ญนภาตามลงมาด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์
“ถึงชีจะเป็นน้องสาวเพื่อน ยูก็ไม่จำเป็นต้องเห็นแก่เพื่อนขนาดนี้ Don’t care for them baby!”
ติณห์ยิ้มๆ หัวเราะในคอ
“หึๆ”
“หัวเราะอะไรคะติณห์ ที่เพนนีพูดมันขำตรงไหนคะ?”
“ผมคลำยัยแม่มดต่างหาก”
“ขำค่ะติณห์ คลำนั่นมัน...ห้ามแม้แต่จะคิดนะคะ”
“ชีมาที่นี่ไม่ทันบ่ายสองชัวร์”
“แล้วถ้าเกิดยัยนั่นมาถึงเลท...หลังบ่ายสองล่ะค่ะ คุณจะทำยังไง?”
“game over”
“อุ้ย ถึงกับจะไล่กลับเลยเหรอคะ อย่าบอกนะว่า นี่เป็นการเอาคืน” เพ็ญนภาถามอย่างถูกใจ ติณห์ยิ้มแทนคำตอบ เพ็ญนภายิ้มเข้าไปโอบคอติณห์ “นี่ถ้าเพนนีเป็นแม่คนนั้น เพนนีคงอายจนแทบเอาปี๊บคลุมหัวที่ทำให้สุภาพบุรุษอย่างติณห์ชังน้ำหน้าได้ถึงขนาดนี้”
เพ็ญนภาพูดพลางมองตายื่นหน้าใกล้ติณห์ แต่เสียงมือถือดังขึ้นขัด เพ็ญนภายังคงเฉยจนติณห์เตือนยิ้มๆ
“ไม่รับโทรศัพท์เหรอครับ?”
เพ็ญนภาจำใจปล่อยมือที่โอบรอบคอติณห์ แอบอารมณ์เสีย หยิบมือถือขึ้นมาดู…ถอนใจก่อนรีบ
“มีอะไรคะพ่อ? เพนนีอยู่ที่รีสอร์ทติณห์ค่ะ...เอ่อ...” เพ็ญนภาแอบเก็บพิรุธ “ไว้เพนนีกลับไปคุยกับพ่อที่บ้านดีกว่านะคะ ค่าๆ จะไปเดี๋ยวนี้แหละ” เพ็ญนภาวางสายหันมาจับมือติณห์ “พ่อมีธุระสำคัญจะคุยด้วยนะค่ะ เพนนีกลับก่อนนะคะ แล้วเจอกัน”
“โอเค”
เพ็ญนภาส่งจูบให้ แล้วหันเดินออกไป ติณห์ยกนาฬิกาข้อมือตัวเองขึ้นดู เห็นว่าเป็นเวลาเที่ยงตรงติณห์ถอนใจคิดว่าญาณินคงมาไม่ทันแน่
ริเวอร์มูนเป็นโรงแรมหรูติดแม่น้ำแควของเสี่ยปิยะพันธ์หรือเสี่ยปิง พ่อของเพ็ญนภา เสี่ยปิยะพันธ์ยืนเท้าระเบียงมองออกไปที่แม่น้ำขณะคุยกับเพ็ญนภา
“นายติณห์จ้างคนมาตกแต่งรีสอร์ทอีกแล้วเหรอ จะจ้างทำมั้ย..จะจ้างมากี่เจ้าๆ ก็ล้มเหลวเหมือนกันหมด!หึๆๆๆๆ”
เสี่ยปิยะพันธ์หันมาถามเพ็ญนภาที่ยืนเซ็งอยู่ข้างหลัง
“คราวนี้เป็นคนกันเองด้วยค่ะ เป็นน้องสาวเพื่อน เชอะ ไอ้เพื่อนก็คงอยากให้น้องสาวมาจับติณห์ เพราะเห็นติณห์รวยนั่นแหละ จะมีอะรั้ย...”
เสี่ยปิยะพันธ์ยิ้มพอใจ เดินเข้ามาจับไหล่เพ็ญนภา
“ถ้าสวีทฮาร์ตของลูกเลิกล้มความพยายามที่จะสร้างรีสอร์ทแล้วยอมขายที่ดิน เตี่ยจะซื้อมารวมกับรีสอร์ทของเรา คราวนี้ที่ของเราก็จะเป็นที่ๆ สวยที่สุดในเมืองกาญจน์และเป็นรีสอร์ทที่ใหญ่ที่สุดของภาคตะวันตก ลูกก็จะแต่งงานใช้ชีวิตสวีทหวานสุขสบายอยู่กับติณห์..แล้วเตี่ยจะดูแลลูกๆ ทั้งสองอย่างดี”
“แต่งงานเหรอคะ หึ ทุกวันนี้ติณห์ยังไม่เคยบอกรักลูกเลย”
“ลูกของเตี่ยน่ารักออก เรื่องแค่นี้ กล้วยๆ น่า”
เพ็ญนภากัดปากสีหน้ากังวลไม่น้อย
รถของห้าสาวแล่นเอี๊ยดเลี้ยวโค้งมาตามถนนขนาบด้วยป่าสองข้างทางพร้อมเสียงเจี๊ยวจ๊าวของสาวๆเถียงกันไปมาในรถ
“เฮ้ยๆ ซอยหน้านี่แหละ เลี้ยวๆ เดะ เดี๋ยวก็เลย”
ญาณินหน้าเครียดๆ ขับจะเลี้ยวเข้า
“บ้า...ใช่ที่ไหนกันยะหล่อน ซอยหน้าตรงข้ามนั่นต่างหาก”
กรรัมภาแย้งญาณินหักพวงมาลัยกลับ รถส่ายออกมา เนตรศิตางศุ์เกาะแน่นตาเหลือกกรี๊ด
“ว้ายยยย”
ญาณินขับพุ่งจะไปที่ซอยตรงข้าม
“โฮ้ว...จะไปไหนเจ๊ ไปเชื่อยัยสองคนนั่น มั่วทั้งคู่เลย เลี้ยวซอยหน้าโน้น”
สุคนธรสบอกญาณินหักพวงมาลัยกลับมา รถส่ายเอี๊ยดออกมา เนตรศิตางศุ์เกาะแน่นกรี๊ด
“ว้ายยยย”
“ไปไหนยะ ซอยนั้นแหละถูกแล้ว”
“เลยมาแล้วต่างหาก กลับรถๆ กลับดิ”
“กลับทำไม ซอยหน้านี้เว้ย”
ญาณินเบรกรถหยุดเอี๊ยด สี่สาวหน้าคะมำกรี๊ดลั่นรถ
“อ๊าย!”
ญาณินเปิดประตูลงจากรถมายืนกอดอกพิงรถหัวเสีย สุคนธรสรีบลงจากรถตามมา
“จอดทำไมล่ะเจ๊ โธ่เอ้ย...คนยิ่งรีบๆ อยู่ ไปต่อซี เร็ว”
“ไปตกลงกันให้เสร็จแล้วค่อยมาบอกชั้นว่าจะไปทางไหน”
“โอ๊ย...มันอะไรกันนักหนาว้า...เพื่อน”
“ยังไงๆ เราก็คงไปไม่ทันหรอก ชั้นก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าถ้าเราเลทไปซักชั่วโมงนึง เค้าจะทำยังไงกะชั้น”
“อ๊าวววว...”
ส่วนที่บ้านไตรรัตน์ ขณะนั้นไตรรัตน์กำลังนั่งคุยกะหญิงสวยอึ๋มสามคน หัวเราะกันคิกคักๆ
“พี่ไตรรัตน์ว่าพวกเรา ใครสวยที่สุด”
“โอ น้อยออกสิ ใครชนะ สวยสุด”
สามสาวทำตามที่ไตรรัตน์บอก
“โอ น้อยออก ยิ้งฉุบๆ”
“โอเค...น้องเฟิร์นชนะ คืนนี้น้องเฟิร์นเลี้ยงข้าวพวกเรา”
“โหว...พี่ไตรรัตน์ขี้โกงนี่นา”
ไตรรัตน์กับสาวๆ หัวเราะคิกๆๆๆ ขณะนั้นเสี่ยจำเริญกับเจ๊หญิงแอบดูอยู่มุมหนึ่ง
“นี่เหรอวะ จบปิญญาโทมาจากนอก อั๊วละเซ็ง”
“เดี๋ยวให้ท่านหมอผูกดวงให้ดีกว่า ว่าเนื้อคู่อยู่ทางทิศไหน”
ทันใดนั้นเสียงอาอี๊ร้องกรี๊ดดังมาจากบนบ้าน ตามด้วยเสียงอาม่าแล้วทั้งสองแหกปากร้องกรี๊ดๆๆ ใส่กันไปมา
ไตรรัตน์ สาวๆ เสี่ยจำเริญกับเจ๊หญิงต่างสะดุ้งตกใจ
“อาม่า”
“ยัยเสาวภา”
“ม้า...”
เสี่ยจำเริญกะเจ๊หญิงรีบวิ่งขึ้นไป
“น้องเฟิร์น สายป่าน ข้าวฟ่าง กลับไปก่อนนะ นะจ๊ะๆๆ” ไตรรัตน์รีบวิ่งตามขึ้นบ้านไป
เสี่ยจำเรญ เจ๊หญิง ไตรรัตน์วิ่งมาถึง เสี่ยจำเริญรีบเปิดประตูเข้าไปในห้องอาม่า อาม่ากำลังยื้อยุดฉุดมืออาอี๊อยู่
“กรี๊ดๆๆ ว้ายอาม่า! ปล่อยๆๆ ลื้อมาบีบแขนอั๊วทำไม”
“แฮ่ๆๆ” อาม่าคำราม “อั๊วยังมีแรง ลื้ออย่ามาแช่งอั๊ว อั๊วจะบีบลื้อให้ตายก็ยังได้”
“ปล่อยนะอาม่า อั๊วเจ็บ ช่วยด้วยๆ อาม่าอีจะฆ่าอั๊วแล้ว”
อาอี๊ร้องเอะอะโวยวายลั่น สะบัดมือจากอาม่าไม่ได้ แววตาอาม่าดูเหมือนตาปีศาจด้วยวิญญาณผีครอบงำ
เจ๊หญิงรีบเข้าไปแยก ท่าทางเข้าข้างอาม่าและระแวงอี๊
“อะไรกัน...อะไรกั๊นเสาวภา ใครจะฆ่าใคร?”
“ก็อาม่าน่ะสิ...อั๊วบอกให้กินข้าวดีๆ อีไม่ยอมกินแล้วยังก็มาอาละวาดอั๊วอีก”
“ทำไมไม่กินข้าวล่ะครับอาม่า?”
อาม่าหันขวับมามองไตรรัตน์ สายตาปะทะกับรัศมีพุทธานุภาพของพระรอดที่ห้อยคอไตรรัตน์ที่สว่างเรืองวาบๆ ขึ้นมา มือปีศาจที่บีบแขนอาอี๊อยู่หดกลับปล่อยมือจากอาอี๊ทันที แววตาปีศาจก็หายแว๊บไป กลับมาเป็นแววตาอาม่าปรกติ
“อาตี๋น้อยของอาม่า...เมื่อไหร่อาม่าจะหายเสียที”
อาม่ายื่นมือทำท่าอ้อนไตรรัตน์ ไตรรัตน์เข้าไปจับมือนั่งลงที่เตียง
“เดี๋ยวก็หายครับอาม่า อาม่าใจเย็นๆ นะครับ อย่าคิดมาก”
“เดี๋ยวๆ น่ะเมื่อไหร่ อาม่าอยากให้อาตี๋พาไปเที่ยวเหมือนเมื่อก่อน อยู่แต่ห้องแบบนี้ อาม่าหายใจไม่ออก มันอึดอัด อาม่าเหมือนกำลังจะตาย เอิ้กๆ”
อาม่ามีอาการหายใจติดขัดเหมือนมีใครบีบคออยู่ ไตรรัตน์ตกใจรีบลูบหลังให้
“อาม่าเป็นอะไร...อาม่าครับ...อาม่า”
“แย่แล้ว อาการกำเริบอีกแล้ว ทำยังไงดีล่ะเธอ?”
“ก็รีบพาไปหาหมอซี ลูกช่วยพยุงอาม่าขึ้นเร็ว”
“ไปโรงพยาบาลเลยนะครับแม่?”
“โรงพยาบาลอะไร ไปหาหมอสมคิดซี่ เมื่อก่อนอาม่าเป็นหนักยิ่งกว่านี้ซะอีก ตั้งแต่ไปหาหมอสมคิดรักษาให้ อาม่าดีขึ้นตั้งเยอะ”
“เนี่ยนะดีขึ้นแล้ว! แม่คิดอะไรอยู่ครับเนี่ย!ผมมีเพื่อนรู้จักหมอเก่งๆ หลายคน ผมจะพาอาม่าไปรักษาเอง”
“ลูกหยุดพูดเลย นี่ไม่ใช่เวลามาเถียงกัน ถ้าไม่ช่วยก็หลีกไป”
ไตรรัตน์ไม่รู้จะขัดยังไง ได้แต่ยืนถอนใจ
ส่วนกลุ่มของห้าสาว ขณะนั้นสุคนธรสวิ่งนำเพื่อนๆ ออกมาจากดงไม้ ญาณินยืนรอดูนาฬิกาหน้ามุ่ย
“เฮ้อ...ได้แวะเก็บดอกไม้ในป่ากันแบบนี้ ก็ดีเหมือนกัน”
“ใช่ๆๆ ค่อยโล่งสบายท้องหน่อย”
“ธรรมชาติดีเนอะ อย่างน้อยก็ไม่มีเชื้อโรคแบบส้วมสาธารณะ ที่ต้องนั่งทับรอยคนอื่น”
“อี๋...พูดจาได้น่าแหวะมาก”
“ใจเย็นขึ้นมามั่งยัง ญาณินเพื่อนรัก...ปะๆๆ” สุคนธรสโอบบ่าญาณิน
“ดูสิเนี่ยะกี่โมงแล้ว” ญาณินยกนาฬิกาให้ดู “อีก 20 นาทีบ่ายสอง ไปไม่ถูกแถมไปไม่ทัน จะดันทุรังไปต่อทำไม”
“วุ้ย...ยากตรงไหนยะ ก็โทรถามคุณติณห์ซะเลยซี บอกเบอร์มา ฉันโทรเอง”
“ไม่”
กรรณาเหลือบเห็นรถคันหนึ่งกำลังขับมา
“โอ๊ว...เจ๊อย่าเครียดสิจ๊ะ มีลางดีแล้วล่ะ ว่าเราจะไปทันแน่ๆ”
ว่าแล้วกรรณาก็กระโดดไปยืนกางแขนขวางถนนไว้ ทำเอาเพื่อนๆ ทั้งตกใจทั้งงง
“เฮ้ย...จะทำอะไรยัยกรร”
รถกระบะคันนั้นจอดเอี๊ยด กำนันพงษ์กับลูกน้องโผล่หน้าออกมาจากกระจกรถ
“อ้าวๆๆ นี่รถนะน้อง...ไม่ใช่หมอนข้าง เล่นอะไรกันเหรอ สาวๆ”
“ว้าว...ชาวกรุงสวยๆ ทั้งน้าน...มันน่า...”
“โทษนะคะคุณลุง”
กำนันพงษ์สะดุ้ง
“เรียกพี่ได้ไหม?”
“คือพี่คะ...พวกน้องๆไม่เจตนาจะทำให้พี่ตกใจ แบบว่าจะถามทางน่ะค่ะ”
กรรัมภาแซงกรรณา มาแย่งคุยโปรยเสน่ห์ ทำตาหวาน
“คุณพี่หนุ่มหล่อ รู้จักคุณติณห์ไหม...รีสอร์ทเค้าไปทางไหนคะ?” กรรัมภากระพริบกระพือขนตาโปรยเสน่ห์
“ถามเค้ายังกับว่าทุกคนในเมืองกาญจน์ต้องรู้จักนายติณห์งั้นแหละ”
กำนันพงษ์ชะงักไป ลงจากรถมามองไปที่ห้าสาวที่ยืนฟังอยู่ด้วยสีหน้าสงสัย
“ทำไมจะไม่รู้จักล่ะ พี่นี่แหละ น้องซ้าววว...เป็นกำนันกว้างขวางอยู่ที่นี่”
รถกำนันพงษ์ขับนำหน้ามาตามถนนลูกรังเล็กๆ มีรถห้าสาวขับรถตามหลังมาติดๆ แต่อยู่ๆ รถกำนันพงษ์ก็เบรกจอดกระทันหัน ทำให้ญาณินเบรกตาม
“เบรกทำไมอ่ะ?”
“ไม่ทราบค๊า....ลงไปดูซิค่ะ” ญาณินตอบแบบประชดประชัน
สุคนธรสมองไปเห็นกำนันพงษ์กับลูกน้องลงจากรถเดินไปดูอะไรข้างหน้า สุคนธรสและสี่สาวเปิดประตูรถลงจากรถเดินตามมาดู
“มีอะไรเหรอลุงกำนัน?”
กำนันพงษ์หันมาพร้อมกับใช้ไม้ตะพดชี้ให้ดูทางข้างหน้าที่มีดินสไลด์จากข้างทางกองใหญ่และต้นไม้ใหญ่ขวางทางอยู่
“ไปต่อไม่ได้แล้ว เมื่อคืนฝนตกหนัก น้ำป่าคงจะทำให้ดินสไลด์ลากต้นไม้ลงมา”
“แล้วทำไมพี่กำนันพามาทางนี้ล่ะคะ ทางอื่นที่ดีกว่านี้ ไม่มีแล้วเหรอ”
“ก็เห็นพวกหนูบอกว่ารีบ ฉันก็เลยพามาทางลัด ถ้าขับผ่านทางนี้ไป แป๊บเดียวก็ถึง”
“แต่ทางปิดแบบนี้ คงไปไม่ทันนัดแล้วล่ะ”
“เดี๋ยว”
“โธ่...อะไรอีกยัยรส”
“มีทางลัดไหนอีกไหมคะกำนัน” สุคนธรสถามกำนันพงษ์แล้วดูนาฬิกา “เหลือเวลาอีก10 นาทีถ้าซิ่งไป อาจจะทัน”
“ลุยป่าไปทางนั้น”
กำนันชี้ไม้ตะพดไปที่ทางรกข้างทาง
“ลุยป่า”
“ใช่ ขับไปแค่สองกิโลก็จะทะลุไปถึงรีสอร์ทของคุณติณห์ได้เหมือนกัน”
“แล้วจะมัวยืนให้เมื่อยตุ้มทำไมล่ะกำนัน” กำนันพงษ์สะดุ้ง “รีบนำทางไปดิลุง”
“เอ่อ...ฉันมีประชุมที่อำเภอ คงไม่มีเวลานำทางพวกหนูไปแล้วล่ะ ไปกันเองได้ไหม๊”
“ไม่ได้” ญาณินบอกแต่อีกสี่สาวสวนขึ้นมา
“ได้”
“นี่! ฉันไม่ขับลุยป่าไปหรอกนะ” ญาณินบอก
“แล้วใครบอกว่าจะให้เธอขับห่ะ ไอ้รสจะขับเอง! แมนๆ อยู่แล้น”
ญาณินอ้าปากค้าง สุคนธรสเดินไปขึ้นรถ กรรัมภา กรรณา เนตรช่วยกันดึงญาณินไปขึ้นรถ
“โอ๊ย เสียแรงเรียกพี่จริงๆ”
“เจ๊ที่รักจ๋า...ยืนอยู่ทำไม...ไปขึ้นรถซี”
กำนันพงษ์ยืนมองห้าสาวขึ้นรถ แล้วสุคนธรสขับลงป่าข้างทางไป
“ขับดีๆ นะหนู โชคดีทุกคนนะค้า... แต่สงสัยจะไปไม่ทันหรอก ว่ะฮ่ะๆๆ”
“นึกยังไง...หนนี้นายฝรั่งข้างรั้วถึงจ้างสาวๆ มาทำรีสอร์ท” สน ลูกน้องกำนันบุญถามขึ้นมา
“นั่นสิ สาวๆ เนื้อนุ่มๆ ยังงี้ผีมันก็ยิ่งชอบใจใหญ่เท่านั้นเอง หึๆๆ”
กำนันพงษ์ส่ายหน้าขำๆ
สุคนธรสกำลังขับรถซิ่งลุยป่าไปอย่างเร็วปะทะกิ่งไม้ รถโคลงกระเด้งไปมาราวกับนั่งรถบั้ม สี่สาวที่นั่งมาด้วยพากันกรีดร้องไปมา
“ยัยห่ามเอ้ย...ซิ่งแบบนี้ เดี๋ยวได้ตับหลุดกันหมดหรอก”
“เสียใจนะจ๊ะ ฉันไม่ได้กลิ่นความสิ้นหวังแถวนี้ แปลว่ายังไงพวกเราก็รอด ฮ่ะๆ”
และแล้วก็เห็นถนนลูกรังเล็กอยู่ข้างหน้า กรรณาชี้ดีใจ
“เฮ้ยๆๆ เห็นถนนแล้วเว้ย เจ๋งจริงๆ ว่ะแก...ยัยรส”
สุคนธรสยักคิ้วหันมายกมือตบกับกรรณา
“อ๊าย...ระวัง...หลุมๆ”
“เฮ้ย”
สุคนธรสหันไปจะหักพวงมาลัยหลบแต่ไม่ทันซะแล้ว...โครม! ล้อหน้าปักลงไปติดหล่มในหลุมบนถนนลูกรังที่ถูกน้ำเซาะจนเป็นหลุมกว้างพร้อมกับเสียงกรี๊ดของสี่สาว
“อ๊าย”
รถจอดแน่นิ่ง พร้อมกับร่างห้าสาวหัวทิ่มหัวตำระเนระนาดกันอยู่ในรถ หน้าตาบูดเบี้ยวเคล็ดยอก
“อุ๊บ...”
The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 2 (ต่อ)
ไตรรัตน์ต้องจำใจพาอาม่ามาที่สำนักหมอผีสมคิด หมอผีสมคิดมองไปที่อาม่าที่นั่งหน้าอิดโรยหายใจเหนื่อย มือจับหน้าอก หมอผีสมคิดแอบเครียด มองหาผีที่ตนสั่งให้เล่นงานอาม่าแต่มองหาไม่เจอ
หมอผีสมคิดเดินตรงเข้ามา หยุดต่อหน้าอาม่า แล้วคุกเข่าลงแล้วเบือนมาสบตาอาม่าอย่างอ่อนโยน แสนห่วงราวกับพระมาโปรด
“อาม่า...เป็นยังไงบ้างครับ?”
อาม่าจับมือหมอผีสมคิดอ้อน
“อาหมอ...อั๊วกำลังจะตาย...ช่วยอั๊วล่วย…”
หมอผีสมคิดจับมือปลอบ
“ทำใจให้สบายอาม่า...อาจารย์อยู่นี่ทั้งคน...อาม่าต้องไม่เป็นอะไร”
“หึ...อาม่า มีเงินจ่ายซะอย่าง ใครจะปล่อยให้อาม่าเป็นอะไรไปง่ายๆ ยังเลี้ยงไข้อาม่าได้ไปอีกนาน”
สายตาคมกริบของหมอผีสมคิดมองขวับมาที่ไตรรัตน์ ขณะที่เจ๊หญิงรีบปิดปากไตรรัตน์
“ตาไตร! ทำไมปากถึงเป็นอย่างงี้นะ ถ้าไม่หยุดพูดก็กลับบ้านไปเลย”
ไตรรัตน์ดึงมือแม่ออก
“แม่มาห้ามผมพูดได้ไง ถ้าที่ผมพูดมันไม่จริง ก็ไม่ต้องมีใครกินปูนร้อนท้อง”
หมอสมคิดจ้องไตรรัตน์เขม็งแล้วก็จำได้ว่าไตรรัตน์เคยมาที่นี่และเป็นคนลุกพรวด เดินเข้ามาโวยสุคนธรสที่เดินหนีเข้ามาใกล้พอดี
“นี่ๆๆๆ...ยายบ้า”
สุคนธรสหันขวับมามอง
“นายว่าใครบ้าห่ะ?”
“ก็เธอนั่นแหละ มีอย่างที่ไหน คนอื่นเค้ารอคิวกันมาเป็นชั่วโมงๆ อยู่ๆ เธอมาทีหลังก็จะมาแซงคิวกันเฉยเลย จริงไหมพวกเรา”
หมอผีสมคิดมองไตรรัตน์อย่างไม่ไว้ใจก่อนจะปรับสีหน้าเป็นมิตรถามเสี่ยจำเริญ
“คนนี้ใช่ไหมเสี่ย ลูกชายที่บอกว่าเพิ่งกลับมาจากเมืองนอก?”
เสี่ยจำเริญพยักหน้าจะตอบแต่ไตรรัตน์หันมาตอบแทน
“ใช่...ผมนี่แหละ คนที่มีหมอบอกว่ามีผีตามเอาชีวิตไง มันจะมาเมื่อไหร่ละไหนบอกมาสิครับ” ไตรรัตน์ทำหน้ากวนๆ
หมอผีสมคิดมองไตรรัตน์ ยิ้มมุมปาก แต่แล้วต้องชะงัก เมื่อมองไปที่คอเห็นไตรรัตน์แขวนพระรอด หมอผีสมคิดเห็นแสงสว่างวาบออกมาจากพระแสดงให้เห็นพุทธานุภาพแรงกล้า
“พระรอด...มิน่า ผีไอ้มิ่งถึงหายไป”
หมอผีสมคิด คิดในใจ
“อาตี๋ ทำไมลื้อพูดกับอาจารย์แบบนี้ เอ่อ...อั๊วต้องขอโทษอาจารย์ด้วย”
หมอผีสมคิดไม่อยากจะมาแลกด้วยตอนนี้เลยตัดบทหันไปอ่อนโยนกับอาม่า
“อาม่าขึ้นไปข้างบนดีกว่านะครับ ให้อาจารย์ดูอาการหน่อย จะได้ช่วยรักษาให้”
“ดีค่ะ อาจารย์”
อาม่ามองหมอผีสมคิดอย่างหลงเลื่อมใสมาก หมอผีสมคิดหันพยักหน้าบอกหาญ กล้า ให้มาพาอาม่าไป
“อาม่า...ผมไปเป็นเพื่อน” ไตรรัตน์บอก
“อนุญาตให้เจ๊ตามไปคนเดียว” หมอผีสมคิดบอก
“จ้ะอาจารย์ ลูกไม่ต้องตามไปเลย อยู่ตรงนี้แหละ”
เจ๊หญิงเดินตามหมอผีสมคิดไป ไตรรัตน์ก้าวจะตามแต่เสี่ยจำเริญดึงแขนไว้ พยักหน้าให้พอได้แล้ว ไตรรัตน์ได้แต่ยืนมองตามอย่างหงุดหงิด
อีกด้านหนึ่งขณะนั้นติณห์กำลังยืนมองรีสอร์ทที่สร้างคาราคาซังไว้ ติณห์ดูแล้วก็ถอนใจแววตามุ่งมั่น ติณห์ก้มลงมองนาฬิกาข้อมืออีกไม่กี่วินาทีจะบ่ายสองแล้ว ติณห์นึกไปถึงญาณิน
“ไอยอมทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่เมืองนอกกลับมาเมืองไทยก็เพื่อจะสร้างอนาคตด้วยรีสอร์ทบนที่ผืนนี้ หวังว่ายัยแม่มดติงต๊องคงจะไม่ทำทุกอย่างพังนะ!”
ติณห์เซ็งและทำหน้าสบประมาทหันจะเดินไป แล้วต้องยิ้มค้างตะลึงเมื่อเห็นห้าสาวรีบเดินสะพายกระเป๋าและข้าวของทุลักทุเลเหนื่อยหอบแหวกดงหญ้ากันเข้ารีสอร์ทมาทางด้านข้าง
“ว้าย...หล่อไปป่าว...”
ญาณินมองติณห์อย่างตะลึง
“อะไรนะ” อีกสี่สาวถามขึ้นมาพร้อมกัน
“คือเอ่อ...ชั้นหมายถึง เค้าเก๊กหล่อเว่อร์ไปป่าว...เชอะ...ไม่เห็นจะเท่ตรงไหนเลย” ญาณินรีบเก๊กท่า เริ่ดเชิด เดินหยิ่งออกไปพูดทักติณห์ “ตกใจมากเหรอ ที่เห็นพวกฉันมาทันเวลาน่ะ”
ทันใดนั้นส้นรองเท้าพลิก ล้มไปกองพื้น แผละ ทุกคนมองอย่างญาณินอย่างตะลึง ติณห์หัวเราะออกมาก๊ากนึง แล้วรีบทำหน้าขรึม เดินเข้าไปยื่นมือให้
“โอเคไหมครับ”
ญาณินเสียหน้าอย่างแรง อายสุดๆ แต่ฝืนทำหยิ่ง
“ชั้นลุกเองได้ ไม่เจ็บแม้แต่นิดเดียว”
“อ้อ...ไม่เจ็บ” ติณห์หดมือกลับ เนตรศิตางศุ์รีบเข้ามาประคองญาณินขึ้นแล้วยิ้มหวานซื่อ ชี้ที่นาฬิกาให้ติณห์ดู
“บ่ายสองโมงตรงเป๊ะ พวกเรามาทันเวลาตามนัดพอดีค่ะคุณติณห์”
ญาณินมองหน้าติณห์อย่างผู้ชนะ ติณห์แอบยิ้มและทำเป็นแกล้งถอนใจอย่างเถียงไม่ออก
“ว้า...”
ญาณินค้อน ขณะที่กรรณากับกรรัมภามองมาที่ติณห์เพราะเพิ่งเคยเห็นหน้าเป็นครั้งแรก
“แม่เจ้า! นี่เหรอคุณติณห์ หล่อโคตรๆ” กรรัมภากระซิบกับกรรณา กรรณากระแทกศอกใส่กรรัมภาเตือน
ขณะที่ติณห์มองมาที่สาวๆ แต่ละคน เห็นสภาพขาเลอะโคลนของทั้งห้าตั้งแต่หัวจรดเท้า
ภายในสำนักหมอผีสมคิด หมอผีสมคิดยืนทำพิธีอยู่หน้าแท่นบูชา หลับตาพนมปากท่องบทสวดดูขลังมีวิชาอาคมน่าเลื่อมใส อาม่านั่งพนมมืออยู่บนวิลแชร์อยู่กลางห้องข้างหลัง เจ๊หญิงนั่งพนมมือรออยู่ข้างๆ หมอสมคิดลืมตาขึ้น แล้วมองไปที่มุมหนึ่งของห้องเห็นวิญญาณยืนอยู่ในสภาพผมกระเซิง ผิวดูกระดำกระด่าง ซีดๆ มีจุดดำๆ ตามขาตามเท้า
“มึงขัดคำสั่งกูเหรอ ไอ้มิ่ง”
หมอผีสมคิดพูดกับวิญญาณด้วยจิต
“กลัว...กลัว...พระ” ผีไอ้มิ่งบอก
“มึงหมายถึงพระรอด? หึๆ แต่ยังไงมึงก็ต้องฆ่ายายแก่นี่ให้ได้ ไม่อย่างนั้น...”
หมอผีสมคิดยกกริชขึ้นมา ผีไอ้มิ่งยกมือกันตัวสั่นทั้งตัวกลัวหมอผีสมคิดลงโทษ พอดีเจ๊หญิงขัดขึ้นมา หมอผีสมคิดจึงชะงัก
“อาจารย์ขา เป็นอย่างไรบ้างค่ะ”
หมอผีสมคิดหันกลับมา ยิ้มเมตตากรุณาทำพิธีต่อโดยกำผงคล้ายขี้เถ้าหันมาโยนฟุ้งใส่อาม่า...อาม่าสะดุ้งเฮือกรู้สึกเย็นวาบไปทั่วทั้งตัว
“เอิ้กกก”
“ช่วงนี้อาม่าจะนอนไม่หลับ...เอาแต่ฝันว่าเดินทางไปนรก”
“ใช่เลี้ยว เมื่อคืนอั๊วก็ฝัน...ฝันว่าไปนรก ในนรกมีแต่ไฟโลกันต์ มันร้อนมาก...โอ๊ยร้อน...เนื้อตัวอั๊วพุพองไปหมดเลี้ยว”
อาม่ามีอาการจมดิ่งลงสู่ความฝันอีกครั้ง หมอผีสมคิดแอบวาดมือใช้คุณไสย์สะกดจิตให้ฝันไปยังเรื่องราวที่หมอผีสมคิดแต่งเรื่องขึ้น...ภาพนิมิตปรากฏขึ้น เป็นเงาทะมึนรอบๆ ห้อง มีเงาเปลวไฟสะบัดพึ่บพั่บ
“นั่น! ฝูงกามันบินตามไล่อั๊ว อ๊าย...ช่วยด้วย...พวกมันรุมกัดรุมจิกทึ้งจะเอาชีวิตอั๊วแล้วอาจารย์ ช่วยอั๊วด้วย”
หมอผีสมคิดคว้ากริชไม้ยาวตีลงวางที่บ่าอาม่า...อาม่าสะดุ้งอีกครั้ง...หยุดกึก...
“ฝูงกาพวกนั้น ก็คือคนที่อาม่าเคยไปฆ่าเค้าไว้เมื่อชาติที่แล้ว”
เจ๊หญิงอ้าปากค้าง ตาเบิกโพลง
“หา!”
“ชาติที่แล้ว สมัยกุ๊บไลข่านปกครองมองโกล...อาม่าเป็นนังไส้ศึกที่แอบแฝงตัวเข้าไปวางยาพิษชาวบ้าน แล้วพาพวกเข้าฆ่าปล้นสะดมภ์ไปทุกหย่อมหญ้า...”
หมอผีสมคิดยกกริชออกจากบ่าอาม่า อาม่าหลุดจากฝันหลอกๆ ปล่อยโฮออกมา ทำให้เจ๊หญิงตกใจ รีบเข้ามาดู
“อาม่า! เป็นอะไรหรือป่าว”
“กุ๊บไลข่าน...กุ๊บไลข่าน...อั๊วฆ่าคงตาย มีแต่เลือดเต็มไปหมดฮือๆๆ”
อาม่าโผกอดเจ๊หญิงร้องไห้ เจ๊หญิงโอบปลอบ หมอผีสมคิดนึกแค้นไตรรัตน์
ทางด้านห้าสาว ขณะนั้นกำลังล้างขาอยู่หน้าบ้านติณห์ ติณห์ยืนมองงงๆ
“แล้วนี่มากันยังไงครับ ทำไมสภาพเทอะทะแบบนี้?”
“เทอะทะอะไร๊...เละเทะต่างหาก ดูดิกุชชี่ของฉัน เลอะโคลนเสียราคาหมด” กรรัมภาบอก
“ถามได้มายังไง หึ ก็เดินมาน่ะสิคุณ รถพวกเราติดหล่มอยู่กลางป่าโน่น”
“ก็ถ้าคุณไม่เต็มใจจะมา ก็ไม่เห็นต้องมาเลย ผมไม่ได้ไปบังคับขืนใจคุณ”
“ห่ะ...ว่าไงนะ...ขืนใจ!”
ญาณินขึ้นเสียง สุคนธรสรีบขัด
“เอ่อ...พวกเราไม่ได้ฝืนใจหรอก เต็มใจมาคุยงานกับคุณเต็มที่เลย จะคุยหรือยังละคะ พวกเราพร้อมแล้ว”
ทันใดนั้นมีเสียงคำรามเหมือนหมาฮื่อดังก้อง กรรณาสะดุ้ง
“เดี๋ยวยัยรส!”
“อะไรของแกอีกอ่ะ?”
กรรณาเงี่ยหูฟังไปรอบๆ แววตาหวาดกลัว เสียงฮื่อ โฮก ดังเอคโค่ กรรณากระซิบบอกสุคนธรส
“ฉันได้ยินเสียงขู่คำรามว่ะ มีวิญญาณแถวนี้ไม่อยากให้เราเหยียบเข้ามาที่นี่ แกไม่ได้กลิ่นเหรอ?”
สุคนธรสทำจมูกสูดกลิ่น
“เออว่ะ...กลิ่น...กลิ่นการขู่เข็ญ กรรโชกให้กลัว...ยัยเนตร...เห็นอะไรไหม?” สุคนธรสกระซิบถามเนตรศิตางศุ์
เนตรศิตางศุ์มองไปรอบๆ ก่อนจะส่ายหน้า
“ฮึ...ไม่นี่...ฉันยังไม่เห็นอะไร”
“อย่าบอกนะ ว่าเราจะมาเจอผีที่นี่อีก” กรรัมภากระซิบถามถาม
“ไม่ต้องห่วง ถ้ายัยกรรณได้ยินเสียงผี...ไม่เคยพลาด” ญาณินบอก
“ว้า...แย่จัง!”
กรรัมภาทำหน้าเซ็งน่ารักแบบเกาหลี ติณห์มองทั้งห้าสาวยืนกระซิบกระซาบกันอย่างสงสัย
“อะ...แฮ่ม ...มีอะไรรึปล่าวครับ?”
“มีสิ”
“มีอะไรครับ?”
“ก็มีผะ...”
ญาณินจะพูดว่าผี แต่เนตรศิตางศุ์รีบปิดปากญาณินไว้ทัน
“แฮ่...เราแค่มีปัญหาอยู่นิดเดียวค่ะ คือต้องดูพื้นที่ก่อนคุยงานทุกครั้ง”
“เออใช่! เกือบลืมไป พวกเราขอเดินสำรวจพื้นที่รอบๆ รีสอร์ทที่คุณสร้างค้างไว้ซะก่อน จะได้เก็บรายละเอียดไปคุยกับคุณทีเดียวไงคะ”
ติณห์งงว่าสำรวจอะไร แต่ก็อนุญาต
“โอเค เชิญพวกคุณสำรวจตามสบาย”
ห้าสาวขยับมาชิดกัน มองรอบๆ ติณห์มองงงๆ
ส่วนที่สำนักหมอผีสมคิดเจ๊หญิงกอดปลอบอาม่า หมอผีสมคิดแอบมองอย่างสมใจ
“ไม่เป็นไรนะอาม่า...ทำใจให้สบาย...อาจารย์สมคิดต้องช่วยอาม่าได้...จะทำยังไงคะอาจารย์ อาม่าถึงจะหาย บอกมาเลยค่ะ ชั้นยอมทำทุกอย่าง”
หมอผีสมคิดยิ้มมุมปากที่ทั้งคู่ตกหลุมตน
“ชาติที่แล้วอาม่าทำเวรกรรมเอาไว้มาก ชาตินี้กรรมเลยตามรังควาน อาม่าต้องทำพิธีสะเดาะเคราะห์ไปเรื่อยๆ เคราะห์กรรมมันไม่หมดในทีเดียวหรอก แต่จะค่อยๆ น้อยลงไป”
“เอาเลยค่ะอาจารย์ ไม่ว่าจะต้องสะเดาะเคราะห์กี่สิบครั้ง เสียเงินเสียทองเท่าไหร่ขอให้อาม่าหาย ชั้นยอมจ่ายทั้งนั้น”
หมอผีสมคิดได้ยินอย่างนี้ แววตาฉายความพอใจออกมา
“ไม่ต้องห่วงเจ๊ ถอยไปตรงนั้นก่อน ผมจะทำพิธีสะเดาะเคราะห์ให้อาม่า ระหว่างทำพิธีไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับอาม่า เจ๊ อย่าตกใจเอะอะให้เสียพิธี เข้าใจนะเจ๊”
“ค่ะๆ ค่ะอาจารย์”
เจ๊หญิงรีบกลับไปนั่งลงที่เดิม หมอผีสมคิดกำขี้เถ้าขึ้นซัดโปรย ควงกริชตัดฝุ่นขี้เถ้า แล้วปักลงที่กระถางธูปพร้อมกับท่องบทสวดขึ้น
อาม่ามีอาการนั่งตัวแข็งตาแข็งทันที เจ๊หญิงพนมมืออึ้งมองอย่างศรัทธา
ห้าสาวเดินมายืนมองไปที่บริเวณพื้นที่รีสอร์ท อยู่ๆ ลมก็พัดวืดมา พาฝุ่นใบไม้ปลิวปะทะใส่ทั้งห้าสาวจนต้องหันหน้าหลบยกแขนกันตามๆ กัน
“โอ๊ะ!”
ลมค่อยๆ สงบลง สีหน้าทั้งห้าสาวรู้สึกได้ถึงวิญญาณร้ายที่ซ่อนตัวอยู่รอบรีสอร์ท
“ฉันได้กลิ่นสาปของความเกลียดและกลัว แรงขึ้นแถวนี้” สุคนธรสบอกและชักกังวลรีบควักผ้ายันต์ออกมายื่นให้ทุกคน “ทุกคนเอาผ้ายันต์ติดตัวไว้ ไม่รู้ว่ามันจะแผลงฤทธิ์กับพวกเรายังไงมั่ง”
สี่สาวรับผ้ายันต์มาถือชูไว้ ที่ผ้ายันต์มีตัวหนังสือเรืองแสงออกมาเป็นยันต์ที่สุคนธรสเขียนไว้ด้วยหมึกล่องหน
เสียงครางคำรามของวิญญาณที่กรรณาได้ยินดังระงมออกมาจากบริเวณรีสอร์ททุกทิศทุกทาง
“แม่น้องหนูเห็นผีหรืออะไรมั่งหรือยังล่ะ?” ญาณินถามเนตรศิตางศุ์
“ยังไม่เห็นเลยอ่ะ”
“ไม่เห็นได้ยังไง ก็ฉันได้ยินเสียงพวกผีมันขู่ฝ่อๆ ใส่พวกเราอยู่เนี่ยะ” กรรณาบอก
“ผีเจ้าที่ล่ะมั๊ง เห็นสาวสวยอย่างพวกเรามาถึงถิ่น ก็เลยทักทายเพราะตะลึงในความงาม”
“แกก็...ผีเจ้าที่กลิ่นสะอาดไม่มีกลิ่นคาวเลือดแบบนี้เว้ย นี่มัน...เหมือนกลิ่นผีตายโหงชัดๆ”
“หา ผีตายโหง! มันก็เฮี้ยนมากน่ะสิ”
เนตรศิตางศุ์รีบเกาะญาณิน หลับตาปี๋ทันที แต่แอบหรี่ตามองไปรอบๆ
“มิน่าล่ะ...เพราะโดนผีหลอกนี่เอง ผู้รับเหมากี่รายๆ คงจะถูกผีหลอกจนเผ่นป่าราบไปกันหมด”
“งั้นเราก็เผ่นดิ จะอยู่ทำไร”
กรรัมภาหันจะเดินกลับ แต่ญาณินดึงแขนไว้
“นี่คุณน๊าย! ลากฉันมาถึงนี่แล้ว จะมาเผ่นง่ายๆ เนี่ยะนะ อยากได้งานนี่กันนักไม่ใช่เหรอ ไปเลย แยกย้ายกันไปตามหาวิญญาณเจ้าปัญหานั่นให้พบ ถ้าเราหาทางต่อรองวิญญาณพวกนี้ได้สำเร็จ เราก็อาจจะได้งานตกแต่งรีสอร์ทนี่ง่ายขึ้น”
สี่สาวมองหน้ากัน พยักหน้าว่าลองสักตั้ง ยกเว้นเนตรสิตางค์ที่ส่ายหน้า ทุกคนหันมองเนตรศิตางศุ์แล้วพยักหน้าให้ พร้อมทั้งดึงเนตรศิตางศุ์ไปด้วยกัน
กลับมาที่สำนักหมอผีสมคิด หมอผีสมคิดกำลังทำพิธีให้อาม่า หมอผีสมคิดหยิบเชิงเทียนขึ้นวนรอบหัวอาม่า แล้วเป่า...ไฟจากเทียนพุ่งสว่างเป็นไฟลูกใหญ่รูปหน้าวิญญาณผีที่สิงอาม่าอยู่ เจ๊หญิงที่มองอยู่ อ้าปากค้าง มือที่พนมเขย่าไหว้งันงก
“เอาล่ะ วันนี้รักษาแค่นี้ก่อน สวมสร้อยนี้ไว้ แล้วอาม่าจะดีขึ้น”
หมอผีสมคิดหยิบสร้อยมาสวมใส่คอให้อาม่า อาม่าสะดุ้งเหมือนเพิ่งตื่นขึ้นจากหลับ
“เป็นไงบ้างอาม่า”
“อั๊วรู้สึกมีแรงกระชุ่มกระชวยมากเลย ไม่แน่นหน้าอก ไม่ปวดตามเนื้อตัว”
อาม่าพยายามยันตัวลุกขึ้นยืน
“อุ้ย...ตายแล้วอาม่า อย่าลุกดิ เดี๋ยวหกล้ม”
“ปล่อยอาม่าแกเถอะเจ๊”
อาม่ายันตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ อาม่าหัวเราะดีใจ
“อั๊วยืนได้แล้ว ขอบใจมากนะอาจารย์ที่ช่วยรักษาอั๊วจนหาย”
“ยังไม่หายหรอกอาม่า ก็อย่างที่ผมบอก อาม่าต้องมาให้ผมสะเดาะห์เคราะห์อีกหลายครั้ง”
“จ๊ะๆ...ขอบคุณมากคะอาจารย์ งั้นลาเลยนะคะ”
“ไปเร็วๆ ซีอาหญิง...อั๊วอยากกลับบ้านแล้ว”
อาม่าเกาะเจ๊หญิงให้พยุงเดินออกไป ทิ้งรถวีลแชร์ไว้กลางห้อง
ญาณินเดินสำรวจมาตามพื้นที่รอบรีสอร์ท เดินผ่านต้นไม้ร่มรื่นมาเรื่อยๆ พร้อมกับสเก๊ตภาพLand Scape ลงเฟรมภาพด้วยดินสอพร้อมทั้งคอยระวังตัวอยู่ตลอดและแล้วเธอก็เดินมาเจอดงไม้ไทยเต็มไปหมด
“ว้าว...บานบุรี ยี่โถ ดาหลา พุดน้ำบุษย์ ไม้ไทยทั้งนั้นเลยเหมือนอยู่ในสวนสวรรค์”
ญาณินพูดจบก็หันไปเห็นซุ้มต้นเล็บมือนางร่มรื่นอยู่ข้างหน้ามีทางเดินนำเข้าไปด้านใน ญาณินยืนมองไปอย่างแปลกใจรู้สึกเหมือนมีอำนาจบางอย่างดึงดูดให้ญาณินเดินตรงไป
ญาณินเดินมาจนถึงซุ้มเล็บมือนางเดินลอดเข้าไปตามทางเดินก็ต้องตะลึงมองเมื่อเจอเข้ากับบ้านไทยหลังเก่าหลังหนึ่งปลูกอยู่ติดริมแม่น้ำ...บ้านดูเงียบวังเวงและร้างราวกับไม่มีคนอยู่มานานมาแล้ว ญาณินหลุดปากออกเสียงอุทาน
“ตาฝรั่งจอมกวน มีบ้านทรงไทยโบราณแบบนี้ด้วย...ไม้สักทั้งหลังเลย ทำไมปล่อยทิ้งร้างแบบนี้ ชิ! ตาฝรั่งดองเอ้ย ช่างไม่รู้จักคุณค่าศิลปวัฒนธรรมไทยเอาซะเลย”
วินาทีนั้นทุกอย่างนิ่งเงียบสนิทใบไม้ไม่ไหวติง อำนาจบางอย่างชักพาญาณินค่อยๆ หลับตาลงดิ่งลึกลงสู่สมาธิ
และแล้วร่างโปร่งใสอันเป็นจิตของญาณินก็เริ่มชัดขึ้นพร้อมๆ กับลืมตา...จิตญาณินยืนอยู่ข้างหน้ากายหยาบของเธอที่ทรุดลง นั่งพิงใต้ต้นไม้ เหมือนคนหลับอยู่ เสียงหัวเราะแผ่วๆ ของชายชราดังขึ้นน่าขนหัวลุก จิตของญาณินตกใจหันมองไปที่บ้านทรงไทย แล้วก็ได้ยินเสียงพูดลอยออกมา
“แม่หนู...แม่หนู...”
จิตญาณินมั่นใจว่าได้ยินเสียงดังมาจากบ้านทรงไทย
“อะไรนะ...เรียกชั้นเหรอ”
เสียงหัวเราะดังยาวต่อเนื่อง ติดๆ ดับๆ แบบวิทยุเอเอ็ม
“ญาณิน...ญาณิน...ฉันรอคอยหล่อนมา...นาน...แสน...นาน...”
จิตญาณินกลืนน้ำลายรวบรวมความกล้าตัดสินใจก้าวเดินไปที่บ้านทรงไทย แค่ก้าวเดินจิตเธอก็แว๊บมายืนอยู่หน้าบันไดทางขึ้นบ้านทรงไทยแล้ว ญาณินยืนลังเลก่อนก้าวขึ้นบันไดไปบนบ้านไทยช้าๆ จิตญาณินค่อยๆ จางหายไปขณะที่ร่างญาณินนั่งพิงหลับพริ้มใต้ต้นไม้
จิตของญาณินปรากฏแว๊บมาหยุดที่หน้าประตูบ้านเรือนไทยอย่างรวดเร็ว ประตูค่อยเปิดเองช้าๆ มือญาณินทาบไปที่อกตัวเองอย่างใจคอไม่ดี ก้าวเข้าบ้านไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ ทันทีที่ญาณินก้าวเข้าบ้าน ประตูด้านหลังก็ปิดปัง ญาณินสะดุ้งตกใจหันไปจับประตู ดึงพยายามเขย่าเปิดออก
“อย่ามาเล่นอย่างงี้นะ มาขังฉันไว้ทำไม เปิดประตู เปิดสิ!” แต่เปิดประตูไม่ได้ ญาณินเลยหันขวับกลับไปมองภายใน... “เป็นใครอ่ะ...ผีเหย้าผีเรือนหรือวิญญาณเร่ร่อน...ต้องการอะไร ถึงเรียกฉันเข้ามาในบ้านหลังนี้” ไม่มีเสียงตอบนอกจากเสียงของตัวเองที่สะท้อนก้องอยู่ในบ้าน “ฉันถามว่าเป็นใคร?”
เสียงใครๆๆๆๆ ดังก้อง... แต่ไม่มีเสียงใดๆ ตอบรับมา ญาณินหันมองไปรอบๆ เห็นข้าวของเครื่องใช้โบราณ และรูปถ่ายของคุณหลวงพิชัยภักดีขนาดเขื่องที่ผนังด้านหนึ่ง ญาณินเดินเข้าไปหยุดยืนมองรูป...
“หรือว่าจะเป็นท่าน ท่านใช่ไหม๊? ที่บอกว่ารอมานาน...รออะไรเหรอห่ะ?”
“หึๆๆๆ”
เสียงหัวเราะดังขึ้นน่าขนลุก ญาณินสัมผัสได้ถึงพลังของวิญญาณที่ซ่อนอยู่ในภาพทันที รู้สึกว่าภาพคุณหลวงพิชัยภักดีบวมบูดขึ้นมาจะพุ่งเข้าใส่ ญาณินตกใจผงะก้าวถอยหลังมายืนกึกอยู่กลางบ้าน แล้วต้องชะงักเพราะรู้สึกได้ว่ามีวิญญาณหนึ่งกำลังลอยเข้ามาหาเธอที่ด้านหลัง ญาณินรวบรวมความกล้าเหลือบมองไปข้างหลังตัวเอง เห็นเป็นเท้าของคนแก่ลอยเหนือพื้นค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้
ญาณินหายใจถี่อย่างกลัวมาก รวบรวมความกล้าค่อยๆ หันไปมอง แต่ก่อนที่จะเห็นว่าเป็นใคร อยู่ๆ ท้องฟ้าที่สว่างก็มีเงามืดเข้าปกคลุมเหนือเรือนไทย ลมพัดแรงพร้อมเสียงหวีดร้องโหยหวนเหมือนฝูงเปรตมาขอส่วนบุญดังขึ้นแสบแก้วหู
“โอ๊ะ!”
“พวกมัน...มาแล้ว...พวกมัน...มาแล้ว หนีไปซะ”
ญาณินยกสองมือขึ้นปิดหูแล้วอยู่ๆ จิตของเธอก็ถูกกระชากกลับอย่างแรง
“อ๊าย.....”
ขณะนั้นเพื่อนทั้งสี่กำลังยืนมุงรอบร่างญาณิน
“ห้ามใครแตะตัวเจ๊เค้านะ” เนตรศิตางศุ์บอก
“รู้แล้ว”
“จุ๊ๆ อย่าเอ็ดไป เดี๋ยวเจ๊จีจ้าจะเป็นอันตราย”
“ญาณิน...ตื่นเร็ว...ตื่น! กลิ่นเหม็นคาวมันคละคลุ้งรุนแรงเข้าขีดอันตรายแล้วนะ”
สุคนธรสบอกอย่างร้อนใจ จิตญาณินลอยกลับมา จิตญาณินเห็นทั้งสี่สาวกำลังยืนร้อนใจรอบๆ ร่างของเธอ ก่อนที่จิตญาณินจะเข้าร่างอยู่ๆ ผีรูปร่างอสูรกายตัวเล็กตนหนึ่งกระโดดโถมเข้ามาใส่
“โอ๊ะ!” จิตญาณินถลาหลบมองไปที่มันอย่างตกใจ “ห่ะ!”
มันอ้าปากกว้างคำรามใส่ด้วยเสียงเล็กแหลมเสียดแทงแก้วหู พร้อมกับเกิดลมพัดแรงราวกับมีพายุหมุนไปทั่วบริเวณผีรูปร่างต่างๆ เป็นเงาๆ รายล้อม กรรณายกสองมือปิดหู
“แก๊งผีตายโหงมันจะรุมกินโต๊ะเราแล้ว...โอ๊ย...จะกรี๊ดดังไปไหนวะ แก้วหูจะแตกอยู่แล้ว”
สุคนธรสหันไปมองเนตรศิตางศุ์ที่กำลังยืนกอดกรรัมภาแน่นหันมองไปทั่วอย่างตกใจ
“ยัยน้องหนู...เห็นพวกมันไหม๊”
“ชัดแจ๋วเลย อย่าเข้ามานะ อ๊าย!”
เนตรศิตางศุ์ดึงกรรัมภาหลบ เมื่อเห็นผีรูปร่างราวอสูรกายอ้าปากกว้างคำรามเข้ามาใส่
“แกล่ะยัยแก้ม?”
“อี๋ย์...ไม่น่าถาม ถูกแม่บาร์บี้นี่กอดอยู่อย่างนี้ ฉันเห็นชัดเต็มสองตาเลย”
“มันมากันกี่ตัว ถึงได้เหม็นเน่าสุดๆ ขนาดนี้ แหวะ”
“สอง...สาม”
“ใครบอก...ห้าต่างหาก มันโผล่มาทางนั้น ทางโน้น นั่นก็ด้วย นับไม่ถ้วน อ๊าย!”
เนตรศิตางศุ์มองเห็นผีตายโหงรูปร่างอสูรกายกระโดดมาจากทุกทิศทุกทางมาล้อมพวกเธอไว้ พร้อมกับจ้องมาที่ทั้งห้าสาวด้วยดวงตาแดงกล่ำ ขณะที่ทั่วบริเวณมืดคลึ้มและมีลมพัดแรง
“ตื่นซะทีซิ...เจ๊จีจ้า” กรรัมภาเรียกญาณิน
“พวกมันกำลังจ้องเล่นงานพวกเราแล้ว ทำอะไรสักอย่างดิยัยรส”
“ได้เลย เดี๋ยวฉันจะส่งวิญญาณพวกมันไปสู่ที่ชอบเอง” สุคนธรสล้วงถุงผ้ากำมะหยี่ใบหนึ่งออกมาจากเป้ แล้วเทผงขี้เถ้าลงในฝ่ามือสุคนธรสโปรยขี้เถ้าไปรอบๆ เป็นวงกลมใหญ่ “พวกแกอยู่ในวงขี้เถ้าปลุกเสกนี่นะ ดูแลร่างยัยญาญินด้วย อย่าออกไปเด็ดขาด”
แล้วสุคนธรสก็ดึงหวายอาคมออกมาจากเป้ หันมาหวดไปที่ก้นกรรัมภา กรรัมภาสะดุ้งโหย่ง
“อ๊าย!ยัยบ้า ฉันไม่ใช่ผีนะ”
“แกก็บอกมาดี๋ พวกมันอยู่ไหน ฉันจะหวดส่งวิญญาณ”
ติณห์เดินมาตามห้าสาว หลังจากที่เห็นว่าหายไปนานแล้วก็ต้องขมวดคิ้วแปลกใจแอบมองหลังต้นไม้ เห็นอาการทั้งห้าสาวกำลังทำอาการแปลกๆ
“what are they doing, ทำอะไร?”
สุคนธรสประกบสองมือยกขึ้นไหว้พนมท่องคาถาแล้วก้าวออกจากวงขี้เถ้า
“มา...เข้ามาไอ้พวกอสุรกาย มาชิมไม้เรียวไอ้รสหน่อย”
ฝูงผีคำรามอย่างกระหายเลือด เนตรศิตางศุ์หันไปเห็นจิตญาณิณยืนดักหน้าฝูงผี
“จิตของเจ๊กำลังประจันหน้ากับพวกผีอยู่”
“มันจะทำบ้าอะไร เดี๋ยวก็กลับเข้าร่างไม่ได้หรอก”
“เจ๊ออกมา! เดี๋ยวฉันจัดการกับมันเอง”
สุคนธรสบอก ติณห์ได้ยินสาวๆ พูดกับอากาศกันไปมา มองงงๆ เกาหัวแก๊กๆ
“are they crazy? บ้าอ๊ะป่าวเนี่ย”
จิตญาณินไม่สนใจสุคนธรส ยังคงยืนโวยใส่ฝูงผี
“อย่าทำบาปอีกเลยพวกแก ก่อกรรมทำเข็ญไป วิญญาณพวกแกจะไม่ได้ไปผุดไปเกิด ออกไปจากที่นี่ซะดีกว่า ฉันสัญญาว่าจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้”
พวกมันมองญาณินตาแดงโปนกล่ำ อสูรกายตัวนึงพุ่งจะเข้ามาทำร้ายจิตญาณิน เนตรศิตางศุ์รีบชี้บอกสุคนธรส
“มันกระโจนเข้าหาเจ๊จีจ้าแล้ว”
“อ๊าย!”
จิตญาณินตกใจยกแขนกันหน้าหลบ แต่สุคนธรสเข้ามาหวดไม้หวายอาคมตีมันได้ทัน เสียงมันกรีดร้องพร้อมล้มลงชักดิ้นชักงอเจ็บปวดมาก แต่ผีตัวอื่นๆ ก็เรียงหน้ากระโจนเข้าใส่สุคนธรส เนตรศิตางศุ์กับกรรัมภาต้องรีบตะโกนบอกตำแหน่ง
“ระวังข้างหลัง!”
สุคนธรสตวัดหวดไม้ไปข้างหลังเข้าเต็มหน้าผี กระเด็นไปกระแทกพื้นอย่างแรงแน่นิ่งไป
“ทางซ๊าย”
“ข้างหน้า”
ผีบางตัวพยายามจะเข้าไปทำร้ายสามสาว แต่เข้าไม่ได้เพราะติดขี้เถ้าปลุกเสกของสุคนธรส
“ว๊าย...”
เนตรตกใจหลับตาเกาะกรรัมภาแน่น
“พวกมันเข้ามาไม่ได้หรอกยัยเนตร”
“รู้แล้ว! แต่ฉันกลัวนี่”
“ฉันก็กลัวแต่เธอต้องช่วยยัยรสนะ อย่าเอาแต่หลับตา ลืมตาเร็ว”
“ใช่...ไม่งั้นชั้นก็ไม่เห็นด้วยนะ”
เนตรศิตางศุ์พยักหน้า แล้วค่อยๆ ลืมตามองพวกอสูรกายเพื่อช่วยสุคนธรสต่อ ติณห์ตะลึงมองอย่างแปลกใจที่เห็นสุคนธรสเหมือนกำลังไล่ตีอากาศอยู่ โดยมีสามสาวคอยวี๊ดว้าย ชี้โน่นชี้นี่ ขณะที่ญาณินกลับยืนนิ่งไม่ไหวติงอสุรกายโผล่มือขึ้นจากดินดึงขาสุคนธรสไว้ จนสุคนธรสรู้สึกว่าถูกตรึงอยู่กับที่เลยจับไม้หวายด้วยสองมือ เงื้อขึ้นแล้วทิ่มปลายลงปักใส่มันใต้ดิน
“ย๊าก!”
ตัวที่เหลือเริ่มลังเล แล้วเริ่มหนีหายไปตามแหล่งที่มาจนหายไปหมด ขณะที่จิตญาณินก็รีบกลับเข้าร่างไป...ร่างญาณินที่นั่งหลับอยู่ก็ล้มฟุบคว่ำลงทันที กรรณารับไว้ได้ทัน
“อ๊าย...ยัยเจ๊เป็นไรเนี่ยะ”
The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 2 (ต่อ)
อีกด้านหนึ่งขณะนั้นไตรรัตน์เดินดูเครื่องรางของขลังที่วางขายฆ่าเวลาที่รออาม่าปะปนอยู่กับเหล่าสาวกหมอสมคิด เจ๊คนหนึ่งหยิบหินดำติดทองเปลวก้อนหนึ่งขึ้นมา
“ไข่อีกานี่มีแล้วรวยจริงๆ เหรอ?”
“คนที่ซื้อไปปลดหนี้มีเงินล้านเก็บทุ๊กคนครับเจ๊”
ไตรรัตน์หันมามองทำหน้าแหย แล้วคว้าหินไป
“นี่น่ะเหรอไข่อีกา...มันหินชัดๆ เจ๊ ขนาดเหมาะมือพร้อมใช้พอดีเลย”
“พร้อมใช้ทำอะไร?” สมุนหมอผีสมคิดถาม
“ใช้ถูขี้ไคลไง”
ไตรรัตน์จะเอาหินถูแขน สมุนรีบแย่งไป
“เฮ้ยคุณ! กล้าหลบลู่อาจารย์เหรอ”
เหล่าสมุนทำท่าจะมีเรื่องกับไตรรัตน์ แต่เสี่ยจำเริญเดินเข้ามาเสียก่อน
“ลูกชายอั๊วล้อเล่งงง อีเป็นคนขี้เล่นอย่างงี้แหละ แหะๆๆ”
พวกสมุนหยุดเพราะความเกรงใจเสี่ยจำเริญ
“ใครจะโง่มาถือสาลูกเจ้าของตลาดล่ะ เดี๋ยวได้โดนไล่ที่ไปหากินที่อื่นหรอก”
ไตรรัตน์ยักคิ้ว สมุนได้แต่ยืนข่มอารมณ์ ขณะนั้นเจ๊หญิงพยุงพาอาม่าเดินออกมาพอดี
“อาตี๋น้อยเอ้ย...อาตี๋น้อย!”
ไตรรัตน์กับเสี่ยจำเริญหันไปมอง แล้วต้องตะลึงเมื่อเห็นอาม่าสามารถเดินเต๊าะแต๊ะออกมาได้
“ห่ะอาม่า! นี่ลุกขึ้นเดินเองได้ยังไง?”
สมุนหันมองหน้ากัน ยิ้มๆ สาวกหมอผีสมคิด ฮือฮากับสิ่งที่เกิดขึ้น เจ๊หญิงหยิบสมุดเช็คออกมาเซ็นแล้วฉีกส่งให้หาญ
“อ่ะนี่ ค่ารักษาอาม่า”
ไตรรัตน์จับเช็คมองตัวเลข
“ห่ะ...แสนนึง”
เจ๊หญิงต้องรีบปิดปากไตรรัตน์อีกครั้ง
“เงียบน่าลูก! อาจารย์ไม่ได้เรียกร้องแต่แม่ให้อาจารย์เอง ถึงให้ไปอาจารย์ก็เอาไปทำบุญสะเดาะเคราะห์ ให้อาม่านั่นแหละ”
กล้าโผล่มาแล้วรีบดึงเช็คไปจากมือไตรรัตน์ ที่ห้องข้างบนหมอผีสมคิดยืนแอบมอง แสยะยิ้มแค้นๆ แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงโลหะแตก หมอผีสมคิดเหลียวไปมองอย่างตกใจรู้ทันทีว่าเกิดผิดปรกติกับวิญญาณผีที่ส่งไปทำงานแล้ว
หาญวิ่งหน้าตาตื่น เข้ามากระซิบข้างหูหมอผีสมคิด หมอผีสมคิดหน้าเครียดทันที หมอผีสมคิดขบกรามแน่น รีบผลุนผลันตามหาญไป
หมอผีสมคิดและหาญรีบเปิดประตูเข้ามาในห้องที่เก็บโถโลหะที่ใส่วิญญาณร้ายแต่ละตัวเอาไว้แล้วหยุดตะลึงกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า โดยมีกล้าซึ่งอยู่ในห้องอยู่แล้วยืนอ้าปากค้าง...ภายในห้องเต็มไปด้วยโถโลหะและยันต์เต็มไปหมดเป็นห้องที่กักขังผีตายโหงทั้งหลาย กลางห้องมีโถโลหะเล็กๆ แตกอยู่หลายใบ ควันครุ้ง
“โถที่อาจารย์ขังผีเอาไว้ อยู่ๆ ก็แตกเองเพียบเลยครับ” กล้าบอก
หมอผีสมคิดเดินไป...หยิบเศษโกศขึ้นมามองดู...สีหน้าบอกถึงความโกรธ
“นานมากแล้วที่ไม่มีผู้มีวิชามาลองดีกับฉัน มันเป็นใครกัน? ถึงเก่งกาจขนาดบังอาจทำร้ายวิญญาณผีตายโหงที่ฉันส่งไปทำงานได้ ฮึ่ม!”
หมอผีสมคิดฉุน เขวี้ยงเศษโกศไปปักที่ผนัง
สุคนธรสทรุดนั่งปาดเหงื่ออย่างหมดแรงกว่าจะไล่วิญญาณพวกนั้นไปหมด ขณะที่อีกกรรัมภา กรรณาและเนตรศิตางศุ์เข้ามาดูอาการญาณินที่หมดสติแน่นิ่ง
“เฮ้ยเจ๊...อย่ามาเล่นกันอย่างงี้น่า...รู้สึกตัวซะทีเด เฮ้ยเจ๊ ตื่น!”
“ว้ายๆ ยัยกรร อย่าไปโดนตัวเจ๊เด็ดขาดนะ”
“ทุกคน โปรดอยู่ในความสงบ...”
“หรือว่าวิญญาณเจ๊จีจ้าถูกเธอหวดส่งไปสู่สุขคติ รวมกับไอ้ผีตายโหงพวกนั้นไปแล้วยะ”
กรรัมภาบอก เนตรศิตางศุ์ตีกรรัมภาเผี๊ยะ
“ยัยแก้ม... ปากหรือที่พูดน่ะ”
“นั่นดิ มันน่าฟาดให้ก้นลาย”
สุคนธรสเงื้อไม้ กรรัมภากรี๊ด
“อย่านะ! ฉันไม่ใช่วัวใช่ควายนะ”
“โฮ่ย...ยังจะมาเถียงกันอีก ทำไงดีๆๆ ทำไมเจ๊ไม่ฟื้น”
ติณห์เดินเข้ามา สุคนธรสรีบเก็บไม้หวาย
“เมื่อกี้พวกคุณทำอะไรกัน?” ติณห์ถามขึ้นมา
“พวกเรากำลังไล่ผี” กรรณาบอก
“What? ไล่ผี!”
สุคนธรส กรรัมภา เนตรศิตางศุ์ทำหน้าตกใจ หันมามองกรรณาตาเขียว
“โอ๋..โอ”
กำนันพงษ์กับลูกน้องกำลังเดินเข้ามาพอดี..ได้ยินอย่างนั้นก็ตะลึงค้าง ขณะที่ติณห์อ้าปากค้างด้วยความตกใจ
“ว่าไงนะ...เมื่อกี้พวกคุณไล่ผี? อย่ามาเม้คอะโจ๊กน่า ไม่ตลก”
เนตรศิตางศุ์ทำท่าคิขุ
“ค่ะ! แต่ตอนนี้คุณสบายใจได้ พวกเราไล่พวกมันไปหมดแล้ว ฟิ้ววววว...” เนตรศิตาวศุ์ทำท่าแบมือเป่าลมน่ารักๆ
“พวกคุณเพิ่งมาถึงที่นี่ ยังไม่ทันจะชั่วโมง ก็มีเรื่องผีอีกแล้วเหรอ”
กำนันพงษ์ เดินเข้ามา
“ก็เห็นไหม๊เล่าคุณติณห์ ที่นี่มีผีจริงๆ อย่างที่คนร่ำลือ ขนาดหนูๆ ห้าคนนี่เพิ่งมาเหยียบที่นี่แท้ๆ ยังเจอดีเข้าเลย เอ่อ...เมื่อกี้ที่พวกหนูบอกว่าไล่ผีกันน่ะ หนูมีของดีอะไรเหรอ ถึงได้ไล่ผีได้”
สี่สาวหยุด...นึกขึ้นได้ว่าไม่ควรพูดมากให้ใครรู้
“เอ่อ...ปล่าวค่ะ ไม่มี๊ ไล่ผีอะไรลุงกำนัน”
“อ้าว...ก็เมื่อกี้ฉันได้ยินอยู่ พวกหนูคุยว่าไล่ผีได้”
“พวกคุณรู้จักกันด้วยเหรอ?” ติณห์ถามอย่างแปลกใจ กรรณารีบขัดตัดบทช่วย
“เฮ้ยนี่พวกหล่อน...มัวแต่ฝอยกันอยู่นั่นแหละ เห็นป่ะเนี่ยะ...ญาณินเป็นลมไม่ยอมฟื้นเลย”
ติณห์มองสภาพคอพับคออ่อนของญาณินแล้วชักห่วง
“มา...ผมเอง”
ติณห์เข้ามาช้อนตัวอุ้มญาณินขึ้นทันที
“กรี๊ด...อย่าแตะตัว”
“สายซะแล้ว”
สาวๆ หน้าซีด มองกันเลิ่กลั่ก
“ทำไงดีๆ”
“หรือจะให้เค้าลองจูบยัยเจ๊ดู อาจจะเหมือนเรื่องเจ้าหญิงนิทรานะ”
“ยัยบ้า”
“อึ้บ...ตัวหนักใช่เล่น เอ่อ...ตามไปที่บ้านพักผมทางโน้นน่ะครับ”
ติณห์บอก สี่สาวอึ้งมอง แล้วพยักหน้าพร้อมกันอย่างเคลิ้มกับความแมนของติณห์ ติณห์อุ้มญาณินเดินไป สี่สาวมองตาม กรรัมภามองอย่างอิจฉา
“ว้ายๆ ดูดิ...ยัยเจ๊โชคดีเป็นบ้าเลย ได้รูปหล่อกล้ามใหญ่อุ้มไป เว?...ทำไมไม่เป็นฉันนะ...เวๆๆ?”
“โอ๊ย...รำคาญอ่ะ มาพูดเกาหลีใส่หูอยู่ได้ ตามไปดิ”
สี่สาวรีบเดินตามติณห์ไป
“อ่า...เดี๋ยวสิหนู เรื่องไล่ผีน่ะ มันยังไงกัน?”
กำนันพงษ์ถามแต่สี่สาวทำไม่ได้ยิน ต่างคนต่างรีบเดินไป
เพ็ญนภาขับรถเข้ามาในรีสอร์ทติณห์โดยมีเสี่ยปิยะพันธ์นั่งเคียงมาด้วย เพ็ญนภาแทบกรี๊ดเมื่อเห็นติณห์กำลังอุ้มญาณินเดินผ่านไปที่มุมไกล เพ็ญนภารีบเปิดประตูลงจากรถ...มอง...เห็นติณห์อุ้มญาณินเข้าบ้านพักไป โดยมีขบวนสี่สาวเดินตามไป
เพ็ญนภาแทบกรี๊ดขณะนั้นกำนันพงษ์กับลูกน้องเดินเข้ามาพอดี
“หา...นั่นเหรอ คือผู้หญิงที่มาทำงานตกแต่งรีสอร์ท”
เสี่ยปิยะพันธ์ถามลูกสาว
“กำนัน! นั่นมันอะไรกันน่ะ ยัยนั่นมันเป็นอะไร กำนัน มันต้องแกล้งทำแน่ๆ” เพ็ญนภาหันไปถามกำนันพงษ์
“อ๋อ แม่หนูคนนั้นเค้าเป็นลมไปนะ”
“เป็นลม! มารยาที่สุด เว่อร์ซะไม่มี”
“นี่...จุ๊ๆๆ อย่าบอกใครนะครับ สาวๆ พวกนั้นบอกคุณติณห์ว่ามาไล่ผีให้”
“ไล่ผีหรือ...พูดจริงหรือพูดเล่นเนี่ย”
“บ้าไปกันใหญ่แล้ว แม่พวกนั้นต้องรวมแก๊งกันมาหลอกต้มติณห์แน่ ฝรั่งของเรายิ่งซื่อๆ อยู่ด้วยสิ”
กำนันพงษ์หันมาส่ายหัวกับเสี่ยปิยะพันธ์
“เสี่ยปิง...ยัยเด็กพวกนี้ มันก็แค่ขนมขบเคี้ยว คงทนผีดุๆ ที่นี่ได้ไม่กี่น้ำร็อก”
เสี่ยปิยะพันธ์ทำหน้าไม่มั่นใจ
ติณห์อุ้มญาณินเข้ามาในบ้านแล้ววางลงที่โซฟา สี่สาวรีบตามเข้ามา
“รอเดี๋ยวนะครับ...ผมจะไปเอายามาให้”
“ขอบคุณมากค่ะคุณติณห์”
ติณห์ผละไป สี่สาวช่วยกันพัดวีญาณิน
“อยู่ใกล้หนุ่มหล่อเข้าหน่อย เลยสำออยล่ะซี๊” กรรัมภาต่อว่า
“เชอะ! ดูทำเสียงเข้า อิจฉาอ่ะเด อยากโดนอุ้มมั่ง ว่างั้น”
กรรณาจิ้มนิ้วที่หน้าผากกรรัมภา
“หรือว่าเธอไม่อยาก...”
กรรัมภาแลบลิ้นใส่ สุคนธรสเลยจับจมูกทั้งสองคนดึง
“นี่แน่ะ จะฉะกันอีกนานไหมห่ะ?”
“ไม่นานครับ มาแล้ว”
ติณห์ถือกล่องยาเข้ามา เปิดกล่องยาหยิบยาดมออกมาแล้วจัดแจงเอายาดมจ่อจมูกให้ญาณินดม ญาณินก็หายใจเฮือกขยับตัวฟื้นขึ้น...ญาณินค่อยๆ ลืมตาขึ้น เห็นหน้าติณห์ที่กำลังก้มลงมามองก่อนเป็นคนแรกก็ชี้หน้าโวยลั่น
“กรี๊ด...อย่านะ..ไม่นะ เลวที่สุด” ญาณินผลักติณห์จนเซ
“อึ๋ย! I’m bad?” ติณห์งง ชี้หน้าตัวเอง “ผมทำอะไร”
ญาณินผุดลุกขึ้นนั่ง ทำเอาเพื่อนๆ งงไปด้วย
“ตะกี๊คุณ...แอบจูบชั้นป่ะล่ะ” ญาณินหน้าแดง
“เฮ้คุณ...ท่าทางไม่สบายหนักนะนี่ ลืมกินยาระงับประสาทอะไรรึปล่าว”
ติณห์พูดพลางใช้หลังมือแตะหน้าผากญาณิน ญาณินปัดมือ
“ชั้นจะบอกอะไรให้นะ ที่คนงานตกแต่งรีสอร์ทคุณพากันทิ้งงานไปหมดก็เพราะที่นี่มีผีเยอะแยะ ชุมเป็นฝูงลิงเลย” ญาณินบอก ติณห์เกาหัวแกร๊ก
“โอ้มายก็อด! ผีไม่มีจริงๆๆๆๆ You Know?”
“โอ คุณพระช่วย! ผีมีจริงๆๆๆๆ You Know?”
ญาณินสวน ติณห์หันขวับมองหน้าญาณินอย่างโกรธ ญาณินเชิดหน้ากวนใส่ เพ็ญนภาแหวกวงเข้ามาขวาง
“หยุดสร้างเรื่องมาอ่อยเหยื่อเสียที ติณห์เค้าไม่เซ่อหลงกลหรอก”
ติณห์ตกใจที่เพ็นนภาพูดแบบนั้น
“เพนนี!”
กรรณาต่อยหมัดอย่างไม่พอใจ
“อ้าวคุณ พูดให้ดีๆ นะ เดี๋ยวปากจะแดงกว่าเดิม”
“โอ้วๆๆ เย็นไว้ยัยกรรณ คราวที่แล้วแกเพิ่งต่อยดั้งหักไปนางนึง นี่จะแปลงโฉมอีกคนแล้วเหรอ”
เพ็ญนภาปรี่เข้ามาเกาะติณห์
“ป่าเถื่อน บาบาเรี่ยน”
“คัมม่อน...เพนนี ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก...เบบี๋”
“โอ...เบบี๋ๆๆ”
ญาณินบาดใจที่เห็นภาพสนิทสนมของติณห์กับเพ็ญนภาจนไม่อยากมอง
“พวกเรา...พูดความจริงไปแล้วไม่มีใครเชื่อ..กลับ”
“แด๊ดดด...มันก็แค่เรื่องซิลลี่งี่เง่าอ่าค่ะ ยัยนี่จะมาจับติณห์ของเพนนีไปเป็นสามีตะหาก”
“โอโน้...ไม่นะยะยู” ญาณินมองติณห์หัวจรดเท้า ทำเอาติณห์ขมวดคิ้ว “แฟนยู ไม่ได้อยู่ในสายตาไอเลยแม้แต่นิดเดียว”
คำพูดนี้ทำให้ติณห์นึกอยากเอาชนะ
“Really?” ติณห์มองญาณินหัวจรดเท้าบ้าง ญาณินหน้าเสีย ชักไม่มั่นใจ Wแอนด์ยู!!ก็ไม่ใช่สเป๊กส์ของไอเลยเหมือนกัน”
ญาณินกัดปาก ติณห์ยิ้มเยาะมุมปาก มองสู้ตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร
“โอ้วอย่างงี้ เยี่ยมเลย ทำงานด้วยกันได้สบายหายห่วงเลย มั่นใจได้ล้านเปอร์เซ็นต์ว่าจะไม่มีเรื่องชู้สาวเกิดขึ้นเด็ดขาด” สุคนธรสบอก
“ใช่ค่ะ คุณเพนนีอุ่นใจได้เลย ว่าสองคนนี้ไม่มีทางคลิก คลิกกันได้เด็ดขาด”
“ใครบอกว่าติณห์จะจ้างพวกเธอทำงานห่ะ?”
“ผมจะจ้าง”
“หา”
“เย้!”
สุคนธรส กรรัมภา กรรณาและเนตรศิตางศุ์กระโดดดีใจ ตบมือกันใหญ่...ติณห์แทบไม่ได้หันมามองหน้าเพ็ญนภาเลย เอาแต่มองจ้องหน้าญาณินอย่างอยากเอาชนะ ญาณินก็ไม่สนใจคนอื่นเหมือนกัน เอาแต่จ้องหน้าติณห์
“แต่!”ทุกคนหยุดเงียบฟังติณห์ “ผมอยากจะรู้เหมือนกัน ว่าฝีมือทำงานของคุณจะเก่งเหมือนฝีปากคุณหรือเปล่า” ติณห์หันไปคว้าพวกพิมพ์เขียวแบบแปลนรีสอร์ทที่วางอยู่บนโต๊ะมายัดใส่อกญาณิน “เอาแบบแปลนของรีสอร์ทไปดู แล้วพรุ่งนี้สิบโมงเช้า คุณต้องมาพรีเซ้นท์ไอเดียคุณให้ผมฟัง ผมต้องการทราบแอตติจูด...เอ่อ...ทัศนคติ...ของคุณ”
ญาณินอ้าปากค้าง
“พรุ่งนี้สิบโมง”
“ถ้าคุณทำไม่ได้ ก็เชิญกลับไปได้”
ทุกคนอึ้งหันมองญาณินลุ้นๆ
กำนันพงษ์และเสี่ยปิยะพันธ์เดินคุยกันมามุมหนึ่ง
“ผมกว้านซื้อที่ดินแทบทุกแปลงแถวนี้ไว้หมดแล้วนะกำนัน เหลือก็แต่ที่แปลงนี้ของเจ้าติณห์”
“ผมก็พยายามเต็มที่แล้วที่จะให้เขาขาย แต่...”
“แต่ก็ยังทำไม่ได้”
“ก็...”
“ค่านายหน้าเป็นล้านเลยนะกำนัน”
“เข้าใจ”
“ถ้าเกิดมันยอมทิ้งที่ผืนนี้แล้ววิ่งหนีกลับอเมริกาไปด้วยวิธีของผม แทนความสามารถของกำนันละก็...เงินล้าน” เสี่ยปิยะพันธ์ทำมือประมาณว่าหลุดลอยไป “เข้าใจไหม กำนัน...”
เสี่ยปิยะพันธ์เดินออกไป ทิ้งกำนันพงษ์ยืนอยู่คนเดียว
“เสี่ยปิง...เงินล้านเหรอ!ผมไม่ได้หวังแค่นั้นหรอก”
กำนันพงษ์บอกออกมาเบาๆ พร้อมกับสีหน้าที่เปลี่ยนไป
ญาณินกับกรรณายืนส่งสุคนธรส เนตรสิตางศุ์ กรรัมภาขึ้นรถตู้ของรีสอร์ทติณห์
“เจ๊แน่ใจเหรอ ว่าอยู่กับยัยกรรณสองคนจะระดมไอเดียทันภายในคืนเดียว”
ญาณินส่ายหน้า
“หึ...”
“อ้าว ยังไงเนี่ยะ”
“แต่ฉันจะพยายามสุดชีพ! ไม่ใช่เพราะอะไร...แต่...เพื่อบริษัทของเราจริงจริ๊ง”
“เสียงสูงไปมั้ย”
“อยากอยู่ช่วยจังเลย แต่ไม่ได้ขอพี่ณัฐเอาไว้ว่าจะมาค้างคืน” เนตรศิตางศุ์บอก
“ฉันก็เหมือนกัน ดันไปรับนัดกินข้าวกับเสี่ยจำเริญไว้ซะด้วยสิ”
“ไม่เป็นไร...ฝากเธอสามคนดูออฟฟิศด้วยแล้วกัน ทางนี้ฉันกับยัยกรรณจะเอาชนะตาฝรั่งขี้เก๊กให้ได้”
“สู้ๆ นะ”
“อืม...สู้ๆ”
ญาณินกับกรรณากำหมัดสู้ๆ
หมอผีสมคิดนั่งอยู่ที่เก้าอี้พนักพิงสูงราวกับบัลลังก์ กำลังคุยมือถือจากสายรายงานเรื่องห้าสาวปราบผี
“ผู้หญิงเหรอ! ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย มันมีวิชาอาคมอะไร ถึงกับจัดการกับวิญญาณของฉันได้...ตอนนี้พวกมันยังอยู่ที่รีสอร์ทรึปล่าว? อยู่แค่สองเหรอ ไม่เป็นไร เว้นช่วงไปก่อนสักพัก ให้มันตายใจไปก่อน แล้วมันจะได้เจอกับของจริง”
หมอผีสมคิดคาดโทษไว้
คืนนั้นเมื่อกลับถึงบ้านเนตรสิตางศุ์ก็ถูกณัฐเดชชวนมาที่สถาบันนิติเวชของโรงพยาบาลตำรวจ
“คดีด่วนมากเหรอพี่”
เนตรศิตางศุ์ถามขณะเดินตามณัฐเดชเข้ามา
“แป๊บเดียวน่า...ผู้การให้พี่มาประสานงานเกี่ยวกับคดีการตายของนางเอกละครเวที”
“นางเอกละครเวที”
“อืม ใช่… ใครก็ไม่รู้ พี่ก็ไม่เคยดูละครเวที”
ทันทีที่ก้าวเข้ามาเนตรศิตางศุ์ก็เห็นภาพวิญญาณในสภาพเละ มีมีดดาบฟันคาที่หัว เดินผ่านหน้าเนตรศิตางศุ์ไป
“อุ้ย”
เนตรสิตางศุ์ตกใจเกาะแขนณัฐเดช
“เป็นอะไรเหรอน้องหนู?”
“ก็ที่นี่มันที่ไหนล่ะคะ?”
ณัฐเดชนึกขึ้นได้
“เออใช่! ที่ผ่าพิสูจน์ศพ คงมีวิญญาณให้เนตรเห็นเยอะเลย ไหวไหม๊” ณัฐเดชถามอย่างเป็นห่วง
“ไหวค่ะ เนตรมีแว่นตาลงอาคมที่ยัยรสให้ไว้” เนตรศิตางศุ์หยิบแว่นกันแดดอันเก๋ออกมาจากกระเป๋าสะพายขึ้นมาใส่ “แค่นี้ก็ไม่เห็นแล้วค่ะ”
ณัฐเดชยิ้ม
“พี่ว่าเนตรหาที่นั่งรอแถวๆ นี้ดีกว่า พี่จะเข้าไปคุยกับหมอนิติเวชข้างในห้องพิสูจน์ศพ อย่าเข้าไปเลย”
“อึ๋ย ถึงให้เข้าไป เนตรก็ไม่ไปหรอกค่ะ ไปทำงานเหอะพี่ณัฐ ไม่ต้องห่วง”
“เดี๋ยวพี่มาจ้ะ”
ณัฐเดชเดินเข้าห้องนิติเวชไป เนตรสิตางศุ์เดินหาที่นั่งรอ ขณะนั้นหมอวรวรรธรีบร้อนเดินมาแต่ไกลในชุดหนุ่มฮาเล่ เพราะถูกเรียกตัวมาพบณัฐเดชด่วนเหมือนกัน อารามรีบล้วงหาของในกระเป๋ากางเกงเลยทำให้เศษเหรียญร่วงลงมาเสียงดัง เนตรศิตางศุ์หันไปมองเห็นหมอวรวรรธยืนถอนใจ
“โธ่...ยิ่งรีบยิ่งช้า”
หมอวรวรรธนั่งยองลงเก็บทีละเหรียญมาเรื่อย จนมาถึงเหรียญสุดท้าย...พอยื่นมือไปหยิบก็เห็นมือเนตรศิ
ตางศุ์เก็บให้เสียก่อน เนตรศิตางศุ์ยิ้มส่งเหรียญให้
“ของคุณค่ะ”
หมอวรวรรธรับมางงๆ เห็นใส่แว่นดำเลยคิดว่าเนตรศิตางศุ์ตาบอด
“ขอบคุณครับ เอ่อ...คุณเห็นได้ไงว่ามีเหรียญตกอยู่”
“อ้าว! ทำไมล่ะคะ?”
“ก็…คุณตาบอดไม่ใช่เหรอ?”
“อะไรนะ...มาหาว่าชั้นตาบอดเหรอ เสียมารยาท!”
“เอ๊า! ในตึกแบบนี้ แถมยังเป็นกลางคืน คุณมาเดินใส่แว่นดำแบบนี้จะไม่ให้ผมคิดว่าคุณเป็นคนตาบอดได้ยังไงครับ”
เนตรศิตางศุ์ถอดแว่นตาดำออกอย่างฉุนๆ
“ตาฉันไม่ได้บอดค่ะ พูดผิด พูดใหม่ได้ค่ะ”
เห็นหน้าเนตรสิตางศุ์ชัดๆ หมอวรวรรธถึงกับตะลึงมอง ศรรักปักอกทันทีแต่เนตรศิตางศุ์กลับช็อค เมื่อมองเห็นเหล่าวิญญาณที่มีชิ้นส่วนร่างกายไม่ครบประกอบตามขอส่วนบุญอยู่ด้านหลังตัววรวรรธเต็มไปหมด
“ว้าว...นางฟ้า”
“ผี!”
“เจ้ย!” หมอวรวรรธสะดุ้ง เนตรสิตางศุ์ใส่แว่นแล้วรีบเดินหนีไปทันที “เดี๋ยวคุณ”
“อย่าตามฉันมานะ”
“มาว่าผมเป็นผีแล้วเดินหนีแบบนั้นได้ไง”
หมอวรวรรธรีบเดินตามไป
เนตรสิตางศุ์เดินหนีหมอวรวรรธ แต่ยิ่งหนีหมอวรวรรธก็ยิ่งตาม เนตรศิตางศุ์เหลียวหลังไปไล่
“แน่ะ! ยังจะตามมาอีก ไปนะ...ไปซี...อย่าตามมา”
“ก็คุณจะหนีผมเรื่องอะไรล่ะคร้าบ ผมเป็นคนดีนะ ไม่ใช่โจร”
“ฉันไม่อยาก...ไม่อยากเห็นอีกแล้ว!”
“อ้าว...ทำไมเหรอครับ เราเคยเห็นหน้ากันมาก่อนเหรอ หรือผมมีหน้าเป็นอาวุธ” หมอวรวรรธยกมือเสยผม
ทำหล่อ “ฮ่ะๆ”
“ฉันไม่ตลกกับคุณด้วยนะ ขอร้องล่ะ อย่าตามมาเลย คุณมาทางไหนก็ไปทางนั้น ฉันกลัว...อุ้ย!”
เนตรศิตางศุ์ต้องตกใจ เพราะดันหนีมาเจอทางตัน เนตรศิตางศุ์จะเดินหลบไปอีกทางแต่หมอวรวรรธตามมาทัน กางแขนดักเนตรศิตางศ์ไว้ไม่ให้หนี..พอเนตรไปซ้ายก็ดักซ้าย พอเนตรมาทางขวาก็ดักขวาไปมา
“คุณจะทำอะไร หลีกไปนะ”
“ผมจะไม่ปล่อยให้คุณไปไหนทั้งนั้น ถ้าคุณไม่ยอมบอกผมว่าคุณหนีผมทำไม”
“ฉันกลัว คุณมี...มีสิ่งที่...ไม่ ฉันไม่อยากพูดถึงมัน”
“หมายความว่ายังไง แบบนี้มันมีวาระซ่อนเร้นหนิ”
วรวรรธจับแว่นจะดึงออกจากหน้าเนตรศิตางศุ์
“อย่านะ!”
ณัฐเดชเดินตามมาเห็นเข้าพอดี
“เฮ้ย...หยุดนะ”
ณัฐเดชปรี่เข้ามาดึงไหล่หมอวรวรรธหันไป เงื้อหมัดต่อยแต่หมอวรวรรธจับหมัดเอาไว้ทัน ทั้งสองชะงักมองหน้ากัน จำกันได้ว่าเคยเป็นโจทย์จีบดาวมหาลัยคนเดียวกันมาก่อน
“ไอ้ตาหนู!”
“พี่ณัฐ”
หมอวรวรรธอึ้งสักพัก หน้าซีดลง ยกมือไหว้ณัฐเดช
“พี่ณัฐ...สบายดีนะครับ”
“ฮะ...รู้จักกันด้วย” เนตรศิตางศุ์ถามอย่างแปลกใจ
“ไอ้ตาหนูมันทำอะไรน้องหนู บอกพี่มาเดี๋ยวนี้”
“ปล่าวค่ะ”
“ก็เมื่อกี้พี่เห็น…”
“แค่เข้าใจผิดกันน่ะค่ะ พอดีเนตรเห็นเห็นวิญญาณผีรอบตัวเค้าเนตรก็เลยวิ่งหนีเค้า เค้าก็เลยสงสัย ตามมาถามว่าเนตรจะหนีเค้าทำไม”
“เดี๋ยวๆ ครับ คุณว่าเห็นวิญญาณรอบตัวผมเหรอ ฮ่ะๆๆๆ”
“หยุด! ห้ามหัวเราะเยาะน้องสาวฉัน”
หมอวรวรรธเบรกเอี๊ยด หน้าเจื่อน
“อ๋อ ขอโทษครับ...เอิ่ม...น้องสาวพี่ณัฐ สวัสดีครับ ผมเป็นรุ่นน้องของพี่ณัฐครับ...งั้น...ผมไม่รบกวนแล้ว เชิญตามสบาย” ณัฐเดชและเนตรศิตางศุ์ยืนมองหมอวรวรรธนิ่ง “เอ่อ…ถ้างั้นผมขอตัวก็แล้วกัน พอดี...ผมมีงานด่วนอ่ะครับ ขออภัย ที่ทำให้เสียเวลา”
หมอวรวรรธรีบหลบไปอีกทาง ณัฐเดชมองตามอย่างเจ็บปวด
“ไอ้จอมดอด...ไอ้ย่องตอด ไอ้แมวขโมย...”
ณัฐเดชคว้าแขนเนตรศิตางศุ์ดึงพาเดินไป เนตรศิตางศุ์มองหน้าพี่งงๆ
ณัฐเดชพาเนตรศิตางศุ์เข้ามาในห้องพิสูจน์ศพเพื่อรอพบหมอที่ทางหน่วยนัดไว้ให้
“มา...เข้ามารอกับพี่อยู่ในนี้แหละ อยู่ข้างนอกเดี๋ยวก็เจอไอ้ตัวฉกอีก”
“เค้าขี้ขโมยเหรอคะ ชอบลักของเพื่อนๆ บนตึกนอน แบบนั้นเหรอคะ”
เนตรศิตางศุ์ถามอย่างแปลกใจ
“อย่ารู้เลย พี่ไม่อยากพูดถึง แค่เห็นหน้ามันก็เซ็งแล้ว” ณัฐเดชมองนาฬิกา “จิ๊ ทำไมหมอยังไม่มาอีกนะ
ทำงานประสาอะไร ผิดเวลากันแบบนี้”
“โทษทีครับ ที่ให้รอ”
ณัฐเดชกับเนตรศิตางศุ์หันไปมอง เห็นหมอวรวรรธใส่ชุดกาวน์เดินรีบร้อนเข้ามา
“เฮ้ย! อย่าบอกนะ หมอที่ชันสูตรศพคดีนี้คือนาย?”
“ตอนแรกก็ไม่ใช่ แต่ตอนนี้ใช่แล้ว เพราะผมถูกเรียกตัวมาช่วยคดีนี้โดยเฉพาะ” ณัฐเดชถอนใจ ยืนเท้าเอวอย่างเซ็ง แต่หมอวรวรรธกลับหันไปสนใจเนตรศิตางศุ์ที่ยืนใส่แว่นดำอยู่ข้างหลัง “เอ่อ...ขอประทานโทษนะพี่ณัฐ น้องสาวพี่เป็นดาราหรือครับ...ถึงใส่แว่นดำตอนกลางคืน”
“นี่...ชั้นว่า...เรามาคุยเรื่องคดีดีกว่า”
หมอวรวรรธจ๋อย ซีด แห่ะๆ เจื่อนสุดๆ ก่อนหันไปเดินนำไปยังเตียงที่มีร่างหนึ่งคลุมผ้าขาวอยู่ หมอวรวรรธตวัดเปิดผ้าออกเห็นเป็นศพใบหม่อนที่เขียวซีดนอนอยู่บนเตียง เนตรศิตางศุ์ถึงกับเบือนหน้าหนี ณัฐเดชหันมามองเนตรศิตางศุ์
“อย่าถอดแว่นเด็ดขาดนะ” เนตรศิตางศุ์พยักหน้าหงึกๆ หมอวรวรรธหยิบแฟ้มมาเปิดดูผลผ่าชันสูตรที่เค้าเพิ่งผ่าตัดไป
“เธอชื่อใบหม่อน สาเหตุการตายที่ทีมสอบสวนเดิมสรุปสาเหตุการตายไว้คือหัวใจวายตาย แต่เมื่อวานที่ผมผ่าชันสูตรศพ...พบหลักฐานใหม่ที่ค้านกับสาเหตุการตายเดิมที่ทีมสอบสวนเก่าทำไว้”
“ถูกฆาตกรรม?”
“ใช่ครับ”
“ยังไง”
“ยาพิษ! ทำให้ระบบหายใจและการไหลเวียนหัวใจล้มเหลว”
เนตรศิตางศุ์ได้ยินแล้วคิดตาม เผลออุทาน
“ยาพิษชนิดไหนอ่ะ...น่ากลัวจัง”
หมอวรวรรธหันไปมองเนตรศิตางศุ์ ณัฐเดชเห็นรีบขยับไปยืนขวางกลางจ้องหน้าหมอวรวรรธดุๆ หมอวรวรรธหลบตากลับมามองแฟ้ม
เนตรศิตางศุ์มองไปที่ศพของใบหม่อน...เนตรศิตางศุ์เหลือบมองเห็นเส้นผมสีดำยาวของผู้หญิงจากช่องหางตาที่ข้างแว่นค่อยๆ ไล้ผ่านไหล่เธอไป เนตรศิตางศุ์หลับตาปี๋
ทางด้านญาณิน เธอเดินไปเดินมาอยู่หน้าระเบียงบ้านพักพร้อมกับรำพึงออกมา
“ที่ผืนนี้สวยมาก ภูมิประเทศก็สูงๆ ต่ำๆ มีเนิน มีหุบ ไม่แบนราบน่าเบื่อ แม่น้ำที่ไหลผ่านก็คดไปโค้งมา ทำให้มีลักษณะชายฝั่งที่หลากหลาย ไม่ใช่ตรงๆ ทื่อๆ ...ต้นไม้ที่มีอยู่ก็ครึ้มดี ควรรักษาไว้ ไม่ตัดทิ้ง”
“ถ้าเป็นรีสอร์ตของตัวเอง แกจะทำยังไง ยัยเจ๊” กรรณาถาม
“ทำเป็นโมเดิร์น...มินิมั่ลลิสซึ่มที่กลมกลืนกับภูมิประเทศ โล่ง สว่าง...ประหยัดพลังงาน แต่อีตาฝรั่งดองจะเข้าใจความคิดเรารึเปล่า ท่าทางเค้าจะเป็นพวกบริโภคนิยม ไม่สนใจปัญหาโลกร้อนหรอก”
“แต่ดูเหมือนเค้าจะสนใจเจ๊น้า..”
อยู่ๆ โกลเด้นท์ กุมารทองก็ปรากฏตัวแล้วเต้นพลางร้องเพลงแร้พไปมาในอากาศ
“คิดเอาไว้ว่าใช่ ต้องใช่แน่ๆ/ มันเป็นอะไรที่พูดยาก ต้องให้เธอแก้/รู้ก็รู้ว่าชอบ แต่ใจมันพูดไม่ได้/ แต่ถ้าเธอช่วยมันก็ง่าย อะไรก็คงไม่แย่”
“ยัยกุมาริกา...มาถึงก็ร้องเพลงแทงใจดำเลยนะ” กรรณาบอกเมื่อได้ยินเสียงโกลเด้นท์
“แทงใจใครยะ ไม่เห็นจะเคยได้ยินเลย เพลงยุคโบราณขนาดนี้...ใครจะไปเกิดทัน”
“จ๊า...พวกพี่สองคนน่ะ เกิดไม่ทันหรอก พวกพี่เพิ่งเกิดกันมาแค่ยี่กว่าปีเอง ไม่เหมือนหนู...หนูอยู่มาก่อนพวกพี่ตั้งหลายปีแล้ว”
“ลงมาเลยๆ แก่กว่าแค่ไม่กี่ปีทำมาเป็นพูด ลอยเป็นลูกโป่งไปได้ เค้าไม่ได้ให้เธอมาเที่ยวเล่นนะ ทำงานๆ”
โกลเด้นท์หายตัวแว้บ ผลุบมาเกาะหลังญาณิน
“แหมๆๆ นี่มัน ใช้แรงงานเด็กชัดๆ”
“ตกลงจะเป็นเด็ก หรือเป็นผู้ใหญ่กันแน่”
“กุมาริกาจ๋าไปแอบดูคุณติณห์สิไป...ไปวัดใจดูซิ ว่าเค้ากำลังคิดอะไรกับยัยเจ๊ของเรา”
“บ้า! ไม่ต้องนะ ชั้นให้ไปสืบดูสถานการณ์ สิ่งเหนือธรรมชาติที่นี่ตะหาก ว่ายังมีอะไรอีก ที่เราต้องระวัง”
โกลเด้นท์หายตัว แว้บไป โผให้กรรณาอุ้ม
“อะครุอะคริ หรืออยากให้หนูทำเสน่ห์ให้เค้ามาหลงรักเจ๊ญาณินก็ได้นะ พี่กรรณา”
“เอาเล้ย จัดไป!”
“หยุด...พอ หมดเวลาพูดเล่นแล้ว ทำงานๆๆๆ ใครพูดอะไรไร้สาระอีก จะตีด้วยไม้ก้านมะยมเสก”
“แน้”
ญาณินเดินหนี กรรณากับโกลเด้นท์หัวเราะคิกคักๆๆ
The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 2 (ต่อ)
ในขณะนั้นติณห์กำลังเดินคุยมือถืออยู่อยู่ที่บ้านพัก
“มอม...ลิสซึ่นทูมี...ฟังผมก่อน ผมอยากทำรีสอร์ทของผมให้สำเร็จ ความฝันของผมคือกลับมาอยู่เมืองไทย ในแผ่นดินของตัวเอง to live with nature , among the trees , the river ปลูกต้นไม้ ดอกไม้ ในที่ๆ อากาศบริสุทธิ์ นักท่องเที่ยวที่ได้มาอยู่ในที่นี้ทุกคนhappy และผมก็happy...” โกลเด้นท์นั่งฟังอยู่ที่หน้าต่าง พลางแทะผลฝรั่งในมือ
“I don’t care ใครจะว่าแกรนด์ปาโกง...ทุจริตยังไง...ผมไม่รับรู้... บอกแล้วไงครับมอม ความผิดของแกรนด์ปาทุกอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องที่แกรนด์ปามีเมียน้อยมากมาย หรือข่าวที่ทุกคนนินทากัน ผมไม่ขอรับฟัง ชีวิตของผม เป็นของผม ผมไม่แคร์คำพูดของพวกชาวบ้านทั้งนั้น ผมจะไม่กลับอเมริกา จนกว่าผมจะทำบิสสิเน็สนี้สำเร็จ ด้วยความสามารถของผมเอง หวังว่ามอมคงจะเข้าใจ ครับ...ไม่กลับครับ ผมจะอยู่เมืองไทยครับ...ขอบคุณครับ..บายครับ มอม” ติณห์วางหู แล้วกลับนิ่งงัน ทรุดนั่ง ก้มลง ซบหน้ากับฝ่ามือ “โอ...แกรนด์ปา แกรนด์ปา แกรนด์ปา”
“แกรนด์ปา...หมายถึงอะไรอะ” โกลเด้นท์หมุนฝรั่งในมือ ฝรั่งกลายเป็นอมยิ้ม โกลเด้นท์ดูดอมยิ้มต่อ มองติณห์อย่างสนใจ ติณห์ตะโกนออกมาอย่างเก็บกด
“คุณตา!... คุณตาตายไปหลายปีแล้ว...คุณตาไม่มีตัวตนแล้ว เลิกหลอกหลอนผมซะที ถึงคุณตาจะเคยทำอะไรไว้กะใคร หรือแม้กระทั่งทำร้ายชีวิตตัวเองจนตาย ไอด้อนแคร์...ยูโน้ววว”
“โอววว...แกรนด์ปา...แปลว่าคุณตานี่เอง” โกลเด้นท์หมุนอมยิ้มในมือ กลายเป็นข้าวโพด แทะข้าวโพดต่อ ทันใดนั้นก็ต้องสะดุ้ง หันกลับไป “มีคนมา!”
โกลเด้นท์กระโดดหายตัวแว้บ แต่ข้าวโพดยังลอยอยู่ ไม่แว้บไปด้วย มือโกลเด้นท์โผล่มาจากอากาศคว้าข้าวโพดหายแว้บไป
ที่หน้าเรือนติณห์ ทนายสมชาติเดินถือกระเป๋าเอกสารหนังสีน้ำตาลเก่าคร่ำ เดินหน้าเหนื่อยล้า เศร้าๆ เดินมาหยุดหน้าประตู
“คุณติณห์...คุณติณห์ครับ...คุณติณห์...อยู่ไหมครับ”
ติณห์ได้ยิน ทำหน้างงๆ สักพัก นึกได้รีบลุกแทบจะวิ่งไปเปิดประตู พอเห็นทนายสมชาติก็ดีใจ
“ทนายสมชาติ กุดอิฟนิ่ง สวัสดีตอนเย็นครับ”
ติณห์เข้ามาจับมือทักทายทนายแบบฝรั่ง
“สวัสดีตอนเย็น ผมขอโทษที่มาดึกไปหน่อย กว่าจะออกจากกรุงเทพมาได้ รถติดจริง..แต่ผมก็รวบรวมทุกอย่างที่คุณติณห์ต้องการมาให้คุณครบถ้วนแล้ว”
“จริงเหรอครับ great! Cool! how nice! ดีจังเลยครับ”
ทนายสมชาติมองหน้าติณห์อย่างไม่เข้าใจ
ทนายสมชาติเอาเอกสารออกมาวางบนโต๊ะ
“นี่ครับ รายการทรัพย์สินทั้งหมดที่คุณหลวงพิชัยภักดี คุณตาของคุณทำพินัยกรรมยกให้คุณคนเดียว...ผมรวบรวมมาทุกรายการ ตามที่คุณสั่ง คิดว่าไม่น่ามีอะไรตกหล่นแล้ว คุณติณห์ลองดูแล้วกันครับ”
ติณห์มองอย่างเหยียดหยาม
“คุณช่วยเอาทรัพย์สินทั้งหมดนี้ไปโดเนทให้ผมที”
“โดเนท?...บริจาค?”
“ให้วัด...ให้เฟาด์เดชั่น...ให้มูลกะทิการกุศลอะไรก็ได้”
“มูลนิธิครับ...มูลกะทินั่นมันข้าวเหนียวมะม่วงแล้ว”
“ผมซีเรียสนะ ไม่ใช่ตลก ผมจะไม่เอาเงินสกปรกอะไรทั้งนั้น นอกจากที่ดินดั้งเดิมของคุณยายของผม คือที่ดินผืนนี้ เพื่อสร้างรีสอร์ทเท่านั้น...นอกนั้นผมไม่ต้องการ”
“คุณติณห์ครับ ถ้าเป็นเรื่องอดีตของคุณหลวง ผมว่า...”
“คุณจะกลับเลยหรือจะพัก ที่นี่...” ติณห์ตัดบท “ตอนนี้ดึกแล้ว ห้องคุณก็มีอยู่แล้ว เอ้อ ผมบอกคุณหรือยัง ว่ามีผู้รับเหมาเจ้าใหม่จะมาตกแต่งรีสอร์ท”
ติณห์มองออกไปที่บ้านพักของญาณิน
“มาอยู่ได้กี่วันแล้วครับ”
“วันนี้วันแรก เอ้อ...เป็นผู้หญิงด้วยนะ ชื่อ...ญาณิน”
“ญาณิน...ผู้หญิงหรือครับ เฮ้อ...ชั่วโมงนี้ เก่งไม่เก่ง ไม่สำคัญเท่า ขอให้คุณญาณินมีจิตแข็งๆ ก็พอครับ”
โกลเด้นท์ที่เกาะอยู่บนเพดานเหมือนจิ้งจก ทำหน้าครุ่นคิด
“คุณฝรั่งคนนี้ มีความเจ็บปวดใจเกี่ยวกับคุณตา...คุณตา...คุณตา...คือใคร...ตายแล้วยัง...แล้วทำไม พี่ญาณินถึงต้องจิตแข็ง...เกี่ยวกะคุณตาหรือไม่...หรือจะเกี่ยว...หรือว่า...คุณตา...คุณตา...เป็น...เป็น...เป็นผี!”
จู่ๆ ลมก็พัดมาทางช่องกระจกที่แตกแล้วยังไม่มีการซ่อม หวิวๆๆวู่ๆๆ ข้าว ของปลิวคว้าง โกลเด้นปรากฏตัวหน้ารูปหลวงพิชัยภักดี ภาพหลวงพิชัยภักดีในรูปกับโกลเด้นท์ประสานสายตากัน
ขณะนั้นญาณินกำลังใช้โปรแกรมกราฟฟิคดีไซน์ในคอมแล็ปท็อป วาดภาพร่างของที่พัก
“เออ... แล้ววิญญาณคนแก่คนนั้นเป็นอะไรกับคุณติณห์ เค้าเป็นใคร...เค้ามาบอกชั้น...ว่าให้หนีไป...ตอนที่ผีพวกนั้นมันมา”
กรรณาไม่ได้ยินเพราะสวมหูฟังอยู่ และยังคงง่วนหาตัวอย่างเรฟเฟอเร้นซ์ เฟอร์นิเจอร์ พวกตู้ เตียง โต๊ะ เก้าอี้ ม่าน พรม ในคอมฯอีกเครื่อง
ญาณินมองกรรณาแล้วค้อน ชะโงกมาดึงหูฟังออก
“ยัยกรรณใส่หูฟังทำไม”
“ก็ชั้นไม่อยากได้ยินเสียงที่ไม่พึงประสงค์” ญาณินผงะ
“เสียงผีเหรอ”
“เสียงเจ๊นั่นแหละ...ทำงานไป ก็บ่นพึมพำ พูดเพ้อถึงคุณติณห์อยู่ได้ ชั้นไม่มีสมาธิ”
“ไม่จริ๊ง”
“จริ๊ง” กรรณาสวมหูฟัง หันไปทำงานตามเดิม
ญาณินทำหน้ายู่กลับไปนั่งที่มุมทำงานตัวเองต่อ ทำๆ ไปซักพัก กลับมาหมกมุ่นต่อ
“แล้วผีตายโหงพวกนั้นมันมาจากไหน แล้วคุณตาคนนั้น....ท่านเป็นใครหรือคะ...”
ทันใดนั้นญาณินเหมือนโดนไฟช้อต สะดุ้งเฮือก ดวงตาญาณินเห็นรูปคุณหลวงพิชัยภักดีพร้อมกับเสียงคุณหลวงดังมา
“เธอคือคนที่ชั้นรอคอย...ญาณิน... ญาณิน... ญาณิน.....”
ญาณินผงะ ลุกพรวด รีบมองไปรอบๆ ว่าใครเรียกแต่ไม่เห็นใครมีแต่กรรณาที่ใส่หูฟังทำงานอยู่ ไม่หันมาเหลียวแล ญาณินแปลกใจรู้สึกไม่ค่อยดีลุกเดินมองไปรอบบริเวณ ญาณินเดินออกมาที่ระเบียง
“เสียงใคร...ใครเรียกชั้น...”
อยู่ๆ โกลเด้นท์ก็โผล่เข้ามา
“เจ๊ณิน มาดูอะไรทางนี้...เร้ว”
“มีอะไร เกิดอะไรขึ้น”
“มาเร็วๆ เดี๋ยวไม่ทันนะ เร้วๆๆๆ”
โกลเด้นท์หายตัวแว่บไปโผล่อีกจุด นำทางญาณินให้ตามไป ญาณินตกใจคิดว่ามีเรื่องร้ายแน่ รีบวิ่งตามโกลเด้นท์ไป
ญาณินรีบร้อนวิ่งตามโกลเด้นท์ออกมา
“ทางนี้ๆๆ เร้ว...ด่วนที่สุด...ร้ายแรงมาก”
โกลเด้นท์วิ่งนำหายเข้าไปในบ้านพักของติณห์
“กุมาริกา! มีเรื่องอะไร” ญาณินวิ่งตามมาจนถึงหน้าบ้านพักติณห์ “นายติณห์เป็นอะไรเหรอ...เกิดอะไรขึ้น!...แย่แล้ว” ญาณินรีบวิ่งตามโกลเด้นท์เข้าไปในบ้านติณห์ทันทีโดยไม่ลังเล ญาณินวิ่งเข้ามาในบ้านแต่ไม่พบใคร ญาณินเรียกเสียงหลงเพราะความห่วงใย “นายติณห์”
ญาณินวิ่งตามหาเห็นโกลเด้นท์แว่บหายไป เข้าไปในอีกห้องด้านใน ญาณินรีบตามเข้าไป ไม่ทันฉุกคิด จนกระทั่ง ญาณินชนเข้ากับติณห์แบบเต็มๆ ติณห์อยู่ในสภาพ อาบน้ำค้างๆ คาๆอยู่ บนหัวยังมีฟองแชมพูอยู่ นุ่งผ้าขนหนูผืนเดียว
“กรี๊ดดดด...”
ญาณินเซ ติณห์คว้ามือดึงเอาไว้ ไม่ให้ญาณินล้ม ดึงเข้ามากอด
“what’s up? มีอะไรจะให้ผมช่วยเหรอ ผีหลอกเหรอ”
“มีอะไรให้คุณช่วย? เปล่า...ไม่ใช่! ชั้นจะมาช่วยคุณตะหาก คุณโอเครึเปล่า”
“ผมโอเค แต่คุณนั่นแหละ วิ่งหนีอะไรมา”
“ชั้นไม่ได้หนี ชั้นวิ่งมา...เพราะ...กลัวคุณเป็นอันตรายจากผีตายโหงพวกนั้น” ญาณินเพิ่งฉุกคิด มองสภาพติณห์ “อ๊าย...ทำไมคุณ...ไม่ใส่เสื้อผ้า”
“ผมอาบน้ำอยู่...โอว...ไอเก็ตอิท คุณเอาผีมาอ้าง เพราะคุณมาแอบดูผม”
“ห๊า”
“ถ้าอยากดูอะไรที่อะเมซิ่ง...ขอดีๆ ก็ได้ ผมให้อยู่แล้ว”
“อี๋...บ้า ทุเรศ อุบาทว์...ปล่อยชั้นๆๆๆๆ”
ญาณินดิ้น แต่ติณห์ไม่ปล่อย จนกระทั่งผ้าขนหนูที่ติณห์นุ่งอยู่หลุดกองกับพื้น เป็นจังหวะเดียวกับที่ญาณินสะบัดหลุดจากมือติณห์ เสียหลักล้มไปนั่งกับพื้น ญาณินก้นจ้ำเบ้าแต่พอเงยหน้ามองตรงไปก็ต้องช็อก ตาโต อ้าปากค้าง
“กรี๊ด ผีตองเหลือง ผีทะเล...ผีกองกอยยยยย”
ญาณินปิดตา ตกใจ เผลอคว้าผ้าขนหนูผืนนั้นมาปิดตา
“เอ้า เอาผ้าผมมาสิ...ปล่อย...”
ทีแรกญาณินยื้อผ้าขนหนูเอาไว้ไม่ทันคิด แต่พอได้สติว่ากำลังจับผ้าผืนนั้นอยู่ก็กรี๊ด ทิ้งผ้า แล้วรีบวิ่งหนียิ่งกว่าเห็นผี ติณห์รีบเอาผ้ามานุ่ง
“เฮ้ คุณ...เดี๋ยว...”
ญาณินวิ่งหนีมาอีกด้าน ติณห์วิ่งตามมาขวาง
“คุณ...หยุดก่อน”
“อย่ามาแตะต้องตัวชั้น” ญาณินผวาถอยออกห่าง “นายเป็นบ้าหรือเปล่า มาแก้ผ้าวิ่งไล่ตามคนอื่นอยู่ได้...นายจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ แต่ชั้นพูดความจริง คนอุตส่าห์เป็นห่วง ยังมาหาว่าเป็นโรคจิต อยากดูผู้ชายเปลือยอีก”
ติณห์ดึงตัวญาณินเอาไว้
“คุณเป็นห่วงผม...จนบุกขึ้นบ้านผมกลางดึก?” ติณห์ยิ่งดึงญาณินเข้ามาใกล้ “แต่ดูคุณสิ ถ้าสมมติว่ามีผีขึ้นมาจริงๆ คุณจะทำอะไรได้ แค่ผมคุณยังกลัวเลย”
“ชั้นไม่ได้กลัวนาย”
“ท่าทางยังงี้ ไม่เรียกว่ากลัว จะให้เรียกว่าอะไร...หึๆๆ...ทำไม...กลัวผมจะปล้ำคุณเหรอ” ติณห์แกล้งดึงญาณินมาใกล้อีก “กลัวก็ยอมรับมา ไม่ต้องอวดเก่งหรอก”
“ชั้นบอกว่าไม่ได้กลัว ไม่กลัวนาย ไม่กลัวผี ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น”
ญาณินพยายามเข้มแข็ง จ้องตาสู้ ติณห์ขำๆ กับท่าทางกลัวของญาณิน อยู่ๆ เพ็ญนภาก็เข้ามา
“ติณห์” เพ็ญนภาปราดเข้ามาผลักญาณิน แยกออกจากติณห์ทันที “หน็อยยย ชั้นคิดไว้ไม่มีผิด แกไม่ได้จะมาออกแบบตกแต่งอะไรหรอก แต่แกตั้งใจจะมาหาสามีรวยๆ ตังหาก”
“สามี! ผู้ชายแบบแฟนคุณเนี่ยนะ ที่ฉันอยากได้เป็นสามี เพ้อไปหรือเปล่า คุณปากแดงคะจะบอกให้นะ ว่าชั้นไม่ใช่ผู้หญิงโสดๆ นะคะ แฟนน่ะ ชั้นมีเป็นโหล ทุกวันนี้ใครอยากจะนัดกินข้าวที ต้องรับบัตรคิว ไม่งั้นก็ต้องมาต่อยกันทุกวันหน้าออฟฟิศ แล้วจะบอกให้นะ ว่าที่มาค้างที่นี่คืนนี้เนี่ย...ณเดชกับปกรณ์เค้าโกรธมาก...กลับกรุงเทพไป...ต้องเคลียร์ยาวเลย คุณสองคนโปรดรับรู้ไว้ด้วย”
ญาณินสะบัดหน้าเดินเชิดกลับออกไป เพ็ญนภาตะโกนไล่หลัง
“ชั้นไม่เชื่อแกหรอกยัยยิปซีเพ้อเจ้อ ติณห์เป็นแฟนชั้น เรารักกันมาก แล้วแล้วเราก็กำลังจะแต่งงานกันมีลูกเต็มบ้าน หลานเต็มเมืองเลย...รู้ไว้ด้วย”
เพ็ญนภาหันมาหาติณห์ ติณห์หายไปแล้วเหลือเพ็ญนภายืนคนเดียว หันมามองหาญาณินก็หายไปแล้ว เพ็ญนภาเหวอๆ งง มองรอบตัว วังเวงๆ ก่อนจะรีบวิ่งตามติณห์ไป
“ติณห์”
ติณห์เดินกลับกลับบ้านเพ็ญนภาเดินตามเข้ามา
“ติณห์...เพนนีขอห้าม ไม่ให้ติณห์ไปใกล้ชิดกับยัยยิปซีโบฮีเมียนอีก เข้าใจมั้ยคะ” ติณห์เดินไม่หยุด “ติณห์...ได้ยินมั้ย...รับปากเพนนีมา ว่าติณห์จะไม่ไปสุงสิงกับยัยนั่น”
“สุงสิง แปลว่าอะไร”
“นี่...ติณห์ ไม่ต้องมาทำไม่เข้าใจนะ”
“ผมรู้จักแต่เสือสิงห์ ไม่รู้จักสุงสิง”
“นี่ติณห์ ยูแกล้งกวนไอเหรอ...หรือว่า...ยูคิดอะไรกับมัน”
“เพนนี...ผมไม่ทะเลาะนะ ผมหนาว ฟองก็เข้าตาด้วย ไม่ต้องตามผมมา ผมจะไปอาบน้ำ”
“คืนนี้เพนนีจะนอนที่นี่”
ติณห์ชะงัก
“ยูร์ คิดดิ้ง ไรท์? ล้อเล่นหรือเปล่า ยูนอนไม่ได้หรอก พ่อยูมายิงไอตายพอดี”
“เพนนีไม่อยากเดินกลับรีสอร์ทคนเดียวมืดๆ อย่างนี้ มันอันตราย”
“แล้วตอนมา ยูมายังไง”
“ก็...” เพ็ญนภารีบแก้ตัว “เพนนีได้ยินเสียง...น่าสงสัย ดังมาแว่วๆ เลยสงสัย...ตกใจ ไม่ทันได้คิด...แต่ตอนนี้เพนนีหายตกใจแล้ว เพนนีกลับคนเดียวไม่ได้”
ทนายสมชาติออกมาทันที หน้าตาขรึม เครียด เศร้า
“ผมไปส่งให้เองครับ...เชิญครับ”
ติณห์โล่งอก
“ขอบคุณ...ฝากด้วยนะทนายสมชาติ เพนนีอยู่รีสอร์ทติดกับที่เรานี่แหละ แค่ข้ามสะพาน ข้ามลำธารไป กุดไนท์นะ เบบี่”
ติณห์เดินเข้าด้านในไปเลย
“ไม่ๆๆ ติณห์ต้องเป็นคนไปส่งคนเดียว คนอื่นไม่เกี่ยว”
“ผมเป็นทนายประจำตระกูล ไม่ใช่คนอื่นหรอกครับ...เชิญ”
“ไม่ต้องมายุ่ง”
เพ็ญนภาสะบัดหน้า เดินกระแทกเท้ากลับไป
“ระวังเจอผีนะครับ” ทนายสมชาติหน้าหม่น มองตามไปเหมือนเป็นผีซะเอง เพ็ญนภาหันมาเห็นหน้าทนายสมชาติในแสงสลัวนึกกลัวแล้วรีบวิ่งตื๋อ ทนายสมชาติหันไปมองทางที่ติณห์เดินเข้าไป “นึกว่ามีแต่เพศหญิงที่ต้องระวังตัว”
ญาณินเดินกลับเข้าบ้านพักด้วยความหงุดหงิด
“กุมาริกา อยู่ที่ไหน ออกมาเดี๋ยวนี้...ได้ยินมั้ย...ถ้าไม่ออกมา ต่อไปนี้จะไม่มีการเซ่นไหว้ขนมของเล่นอะไรไปให้อีกเด็ดขาด”
โกลเด้นท์โผล่แว่บมามุมหนึ่ง
“หนูเปล่า”
“เปล่ายังไงไม่ทราบ”
“คุณตาบอกให้หนูทำ”
“คุณตาไหนอีก...อย่ามามั่ว เป็นเด็กไม่รู้จักอยู่ส่วนเด็ก”
“ถ้าหนูยังไม่ตาย หนูจะอายุมากกว่าเจ๊ตั้งหลายปีนะขอบอก”
“ทีหลังอย่าเล่นอะไรทะลึ่งๆ แบบนี้อีก”
“ก็บอกแล้วไง..ซว่าคุณตาบอกให้ทำ ชักน้อยใจแล้วนะ” โกลเด้นท์หายตัวไป แล้วมีแต่เสียงกังวานจากมุมนั้นทีมุมนี้ที “คุณตาบอกว่า...รอพี่ญาณินมานานแล้ว...อยากให้หลานท่านได้สะใภ้แบบพี่ ไม่เชื่อก็ตามใจ ขึ้นคานแล้วอย่ามาหาว่ากุมาริกาไม่เตือน”
ญาณินยืนงงๆ
“คุณตา”
ญาณินสงสัยมากขึ้น
กลางดึกคืนนั้นขณะที่ญาณินกำลังหลับสนิทเธอก็ฝันถึงบ้านเรือนไทย ภาพในฝันเป็นภาพญาณินในชุดไทยสมัยร.7 ที่ข้างบนเป็นลูกไม้ตัวยาว ผมบ๊อบ มีที่คาดผม ข้างล่างเป็นซิ่นไหมยาวครึ่งน่อง ใส่ถุงน่องรองเท้า เดินเข้ามา งงๆ มองรอบๆ บนเรือน มีแสงไฟฟ้าจากโคม เสียงเพลงไทยเดิม “ราตรีประดับดาว” ญาณินกำลังมองหาคน แต่ในเรือนไม่มีใคร แต่เสียงเพลงดังหวานมาก และดังขึ้นเรื่อยๆ
ญาณินเดินเข้าไปข้างใน พบว่าบนโต๊ะกลางเรือนมีเครื่องเล่นแผ่นเสียงโบราณแบบมีลำโพง กำลังเล่นแผ่น
เพลงนั้นหมุนอยู่ ญาณินมองงงๆ ลมข้างหลังพัดมาแรง ม่านที่หน้าต่างบานสูงปลิวคว้างกระจัดกระจาย ญาณินหันไป แล้วรวบม่านที่ปลิวแรงมาถือไว้ เอาไปเหน็บตรงที่คล้องม่าน แล้วมองออกไปดูบนฟ้า พระจันทร์ดวงกลมโตสว่างจ้า
ร่างชายในโจงกระเบน เสื้อราชปะแตนท์ ที่เห็นหน้าเพียงเสี้ยวในเงามืด ปรากฏขึ้นจางๆ เหมือนควัน เป็นเข้มขึ้นๆ จนเห็นร่างชัด แต่เสี้ยวหน้าอยู่ในเงามืด
“เธอช่วยสร้างรีสอร์ทให้สำเร็จได้มั้ย แม่หนู”
หลวงพิชัยภักดีถาม ญาณินสะดุ้งโหยงหันมา ร่างคุณหลวงหายวับไปญาณินมองหาแล้วชะงักเมื่อเห็น
รูปคุณหลวงติดอยู่ตรงนั้น ญาณินเดินเข้าไปดูรูปใกล้ๆ คุณหลวงในรูปดูเมตตา
“ท่านคือใครคะ”
ร่างคุณหลวงปรากฏขึ้นอีกทางข้างหลัง
“อีกอย่าง ที่เธอต้องรู้ไว้...ฉันไม่ได้ฆ่าตัวตาย”
ญาณินหันขวับ
“อะไรนะคะ” ร่างนั้นหายไปอีก “ท่าน...ไม่ได้ฆ่าตัวตาย...แล้วท่านเป็นอะไร” เงียบไม่มีคำตอบ ญาณินมองหาเหลียวรอบตัวแล้วไปหยุดหน้ารูป “ท่านบอกว่ารอฉันมานาน...รอทำไมคะ”
“ลบคำครหาให้ชั้น...ชั้นถูกใส่ร้ายยยยย” ทันใดนั้นญาณินก็สะดุ้งลืมตาตื่น เหงื่อเต็ม เสียงคุณหลวงดังแบบกึกก้อง “ฉันถูกฆาตกรรม”
ญาณินผวาลุกนั่งพรวดเพ่งมองไป ไม่เจออะไร เห็นแต่กรรณานั่งหันหลังทำงานอยู่ที่โต๊ะ ญาณินหอบๆ กลัว
วันต่อมาสุคนธรส เนตรสิตางศุ์ กรรัมภา เดินเข้ามาในตลาดหญิงจำเริญ
“แกรับปากมาทานข้าว แล้วเกี่ยวอะไรกับพวกชั้นด้วย”
กรรัมภาถามสุคนธรส
“เพื่อนกันไม่ใช่เหรอ ต้องไม่ทิ้งกันสิ”
“ทีหลังก็นัดเจอที่ห้างสิ ซุปเปอร์มาเก็ตก็ยังดี...ใช่มั้ยเนตร” กรรัมภาหันไปถามเนตรศิตางศุ์เห็นเนตรศิตางศุ์กำลังกดโทรศัพท์อยู่ “ยัยเนตร โทรหาใคร”
“โทรหายัยนินกับยัยกรรณ ไม่รู้ว่าเป็นไงบ้าง”
ญาณินกับกรรณานอนหลับคาโต๊ะทำงาน ปล่อยให้ภาพกราฟฟิคในจอคอมวิ่งไปวิ่งมาจนมือถือดัง ญาณินคว้ามารับสาย
“ฮัลโหลลล...ยัยเนตร...อะไร พรีเซ็นต์งานอะไร...ฮ้า” ญาณินสะดุ้ง ตาโตรีบมองนาฬิกา “อีกสิบนาทีสิบโมง!”
ญาณินสะดุ้ง จ๊าก “ยัยกรรณๆๆๆๆ”
ญาณินถือมือถือเอาไว้แล้ววิ่งวุ่นทำนั่นทำนี่ ส่งเสียงโวยวาย สุคนธรส กรรัมภา เนตรศิตารงศุ์ทำหน้าละเหี่ยใจ “เฮ้อ...”
“สาธุ คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองให้ได้งานด้วยเถอะ”
รถเบ็นซ์หรูของเสี่ยจำเริญมาจอดตรงหน้าสามสาว
“รอนานมั้ยจ๊ะเด็กๆๆ”
เสี่ยจำเริญพาสามสาวมาบ้าน พอมาถึงเสี่ยจำเริญเดินนำลงจากรถ
“เชิญๆๆๆ เจ๊หญิง แขกมาแล้วๆๆๆ”
สามสาวลงจากรถ ตกใจกับคฤหาสน์ของเสี่ยจำเริญ
“แม่เจ้าโว้ย รวยโคตรๆ”
“ทำเป็นบ้านนอกเข้ากรุงไปได้” กรรัมภาพูดไปตรวจหน้าตาตัวเองผ่านกระจกในตลับแป้งสีชมพู
“ย่ะ ใครจะไฮโซไฮซ้อเหมือนเธอล่ะ บ้านอย่างกับวังเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”
“พอเถอะนะ” เนตรศิตางศุ์ยกมือไหว้ “ฉันขอล่ะ เถียงกันไม่ยอมหยุด”
“เขาทำอะไร บ้านถึงได้ขนาดนี้”
“นั่นดิ?”
เจ๊หญิงเดินออกมาพร้อมเสี่ยจำเริญ
“เจ๊หญิง นี่ไงๆ หนูรสกับเพื่อนๆ ที่ให้พระรอดอาตี๋”
พวกสาวๆ ยกมือไหว้สวัสดีเจ๊หญิง เจ๊หญิงมองสแกนสามสาวทีละคนๆ พิจารณาละเอียด จนพวกสาวๆ งงๆ
จนกระทั่งเจ๊หญิงมาจบที่สุคนธรส เจ๊หญิงยิ้มกว้างให้สุคนธรส
“ขอบใจมากนะหนู...ขอบใจที่สุด...เชิญจ้ะๆ ทุกคน”
เจ๊หญิงควงแขนสุคนธรสทันที กรรัมภากับเนตรศิตางศุ์งง
ญาณินหัวกระเซิงมาที่เรือนพักติณห์ แต่งตัวก็ไม่เนี้ยบเพราะรีบร้อนมาให้ทันเวลากรรณาก็เช่นกัน แต่ทั้งคู่ก็ต้องประหลาดใจทำหน้าข้องใจสุดฤทธิ์ ญาณินพยายามสะกดอารมณ์
“นี่ หมายความว่ายังไง”
ติณห์อยู่ในชุดนอน เพิ่งตื่น มีทนายสมชาติตามออกมา
“หมายความอะไร?”
“ชั้นอุตส่าห์รีบแทบตายเพื่อมาให้ทันเวลา แต่นายยังใส่ชุดนอนเนี่ยนะ”
“แล้ว...”
“นี่นายแกล้...ง...พวกชั้นใช่ไหม”
“ยัยนิน พอๆ...ไม่เป็นไรค่ะ คุณติณห์ ตามสบายเลยนะคะ พวกเราไม่รีบ...แล้วแต่ความสะดวกของคุณเลยค่ะ”
“คุณนี่ พูดจารู้เรื่องดี ไม่เหมือนเพื่อนคุณเลย” ติณห์หยิบผ้าขนหนูผืนเดิมออกมา “ผมขอตัวไปทำธุระด่วนก่อนนะ” ติณห์ชูผ้าขนหนูเย้ยญาณิน ญาณินหน้าแดง ค้อนขวับ
ติณห์เดินผิวปากลั้นลาเข้าห้องน้ำไป
“ไอ้ฝรั่งบ้า”
“เก่งนะ ผู้หญิงสองคนแต่อยู่ได้ข้ามคืน” ญาณินกับกรรณามองหน้าทนายสมชาติ “อ้อ...ผมสมชาติครับ เป็นทนายประจำตระกูลคุณติณห์” สองสาวสวัสดีทนายสมชาติ “เอ่อ ระหว่างรอ...คุณก็ดูแลความเรียบร้อย...ตัวเองนิดนึงก็ดี”
ญาณินแค้นๆๆ กรรณาช่วยถักผมเปียให้ญาณิน พลางปลอบให้ใจเย็นๆ
ส่วนที่บ้านเสี่ยจำเริญ เจ๊หญิงเดินนำสามสาวเข้ามาในบ้าน สุคนธรสเดินตามพลางมองเครื่องประดับ รูปภาพ เฟอร์นิเจอร์เก่าที่ตกแต่งภายในบ้าน ตัวบ้านและเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นล้วนวางถูกตามหลักฮวงจุ้ยทุกอย่าง กรรัมภากับเนตรศิตางศุ์ตามหลังมา
“เนตร...แกว่า เจ๊แกถูกชะตากับยัยรสมากไปป่ะ”
กรรัมภาแอบเม้าท์
“อ้าว ก็ยัยรสให้พระรอดกับลูกชายเค้าเชียวนะ องค์หนึ่งตั้งกี่แสน ก็ต้องเอาใจกันบ้างถูกแล้ว”
เจ๊หญิงเห็นสุคนธรสหยุดมองอ่างกระเบื้องโบราณ
“หนูรสชอบของเก่าเหรอจ้ะ”
“อ๋อ ค่ะ รสว่ามันมีเสน่ห์ดี คุณพ่อคุณแม่รสก็ชอบของเก่าๆ เหมือนกัน แต่ไม่ค่อยมีของเก่าที่ออกแนวจีนๆอย่างนี้...นั่นรูปใครเหรอคะ”
สุคนธรสชี้ไปที่รูปอากงกับอาม่าที่ติดผนังเอาไว้คู่กัน
“อ๋อ อากงกับอาม่า”
“ท่านเสียแล้วเหรอคะ”
“อาม่ายังอยู่”
“อุ๊บ...แก้มขอโทษค่ะ”
“ไม่เป็นไรๆ ก็พวกเธอไม่รู้นี่ อากงเพิ่งเสียไปไม่นาน ส่วนอาม่าก็ไม่ค่อยแข็งแรง นอนพักอยู่แต่ในห้องข้างบน”
“งั้นพวกเราควรจะไปกราบท่านหน่อยหรือเปล่าคะ”
“เอาไว้ทานอาหารให้เรียบร้อยก่อนก็ได้ หนูรส...นั่งๆ แล้วหนูเป็นลูกเต้าเหล่าใครจ้ะ พ่อแม่ทำอะไรอยู่ที่ไหน”
“หือ เอ่อ พ่อแม่รส ทำโรงสีข้าวอยู่ที่สำเภาล่มอยุธยาค่ะ” สุคนธรสบอก
“โรงสี...ก็รวยน่ะสิ”
“อ๋อ...จนหรือรวยไม่ทราบนะคะ ทราบแต่ว่าพวกเราพอเพียง ไม่มีอะไรขาด ไม่มีอะไรเกินค่ะ”
“โอ๊ววว” เจ๊หญิงมองสุคนธรสแบบหมั่นไส้ แต่ก็เอ็นดู
“เป็นคนกรุงเก่าเหรอ คนเมืองนี้เค้าว่าดุใช่มั้ย”
“ดุมากกกกกกก”
เนตรศิตางศุ์กับกรรัมภาบอกออกมาพร้อมกัน สุคนธรสหันมาถลึงตาใส่เพื่อน
“รสดุแบบมีเหตุมีผลค่ะ ใครควรดุก็ต้องดุ ใครไม่ควรดุรสก็ดีด้วย”
“ดีๆ แถวนี้มีคนที่ควรดุมากๆ อยู่คน”
“ใครคะ? ตี๋น้อยเหรอคะ...เดี๋ยวรสช่วยกำราบให้เองค่ะ เรื่องจัดการพวกเด็กๆ ตัวแสบๆ รสถนัด ไอ้พวกเด็กวัดรุ่นใหม่ๆ ดื้อๆ ซนๆ รสปราบมาซะนักต่อนักแล้ว แล้วนี่ตี๋น้อยอยู่ไหนคะ”
ไตรรัตน์เดินเข้ามาที่ด้านหลังสุคนธรส
“เจ้าตัวแสบ พูดถึงก็มาพอดี”
สุคนธรสหันกลับไปมองคิดว่าเป็นเด็ก เลยมองต่ำแต่ต้องแปลกใจ
“มองเป้าผมทำไมครับ” ไตรรัตน์ถาม สุคนธรสเงยหน้ามองเจอหน้าไตรรัตน์
“เฮ้ย! นาย”
“ยัยทอม”
“ไม่ใช่นะ”
กรรัมภากับเนตรศิตางศุ์มองหน้ากัน กังวล ประมาณเอาแล้ว...มีเรื่องแน่
“อ้าว รู้จักกันแล้วเหรอ...หนูรสนี่ไง อาตี๋น้อยของพวกเรา...อาตี๋ หนูรสคนนี้แหละที่ยกพระรอดกรุมหาวันให้เอ็ง”
“ห๊า...ยัยนี่เหรอ”
“ขอบคุณหนูรสสิ”
“ถ้าผมรู้ก่อนว่าเป็นพระจากยัยทอมนี่ ให้ตายก็ไม่สวมหรอก”
“ถ้าชั้นรู้ว่าอาตี๋น้อยคือนาย ชั้นก็ไม่มีวันยกพระรอดของชั้นให้หรอก ไอ้ปากเสีย...แล้วก็อย่ามาเรียกชั้นว่าทอม เพราะชั้นไม่ใช่”
“ทอม แล้วเทปูนปิดทับ(นม)ไว้ทำไม”
“ชั้นไม่ได้ปิด แต่มันแบนเอง”
สุคนธรสเผลอหลุดปาก ไตรรัตน์หัวเราะขำ ก๊ากๆๆๆๆ สุคนธรสอายทำหน้าไม่ถูก ตัดสินใจเดินหนีกลับออกไปทันที
“หนูรส...เดี๋ยวก่อน...” เจ๊หญิงหันมาจ้องไตรรัตน์เขม็ง “ไม่เป็นสุภาพบุรุษเลย ถ้าเขาหาว่าพ่อแม่ไม่สั่งสอน แล้วจะว่าไง”
ไตรรัตน์หุบปากทันควัน
โปรดติดตามตอนต่อไป