ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์- ยังคงเอกลักษณ์เฉพาะตัวคงเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง สำหรับ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ล่าสุดก็ยังคงเดินหน้าสร้างชื่อระบือไกลไปถึงต่างประเทศ ในภารกิจที่เธอพร้อมคณะรัฐบาลได้เดินทางเยือนประเทศยุโรป คือ เยอรมนี และฝรั่งเศส เพื่อหารือในระดับทวิภาคีกับภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ของยุโรป
ที่บอกว่าสร้างชื่อเสียงระบือไกลนั้น หาใช่ภารกิจอันสวยหรูที่เธอร่ายยาวอวดอ้างความสำเร็จแต่ประการใด เพราะประชาชนคนไทยคงจะซาบซึ้งดีถึงน้ำยาในตัวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่ามีกี่มากน้อย เพราะเอาแค่เรื่องแค่การบริหารประเทศไทยให้ดีสำหรับเธอแล้วยังยากเย็นแสนเข็ญ มิพักต้องไปเอ่ยถึงเรื่องระดับประเทศให้เสียเวลา หากแต่เป็นผลมาจากการที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้สัมภาษณ์ กับสื่อของประเทศฝรั่งเศส คือหนังสือพิมพ์เลอมงด์ ซึ่งได้กลายเป็นบทวิเคราะห์ที่กลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ในเมืองไทยฉับพลันทันที
บรูโน ฟิลิป ผู้สื่อข่าวของหนังสือพิพม์เลอมงด์วิเคราะห์ตัวตนของนางสาวยิ่งลักษณ์เอาไว้ในหลากหลายมิติด้วยกัน โดยเฉพาะในเรื่องการเป็นหุ่นเชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีผู้เป็นพี่ชาย รวมถึงประเด็นสำคัญในเรื่องที่เธอถูกเหยียดหยามและประณามว่า "ไร้เดียงสา โง่ ไม่รู้เรื่องการเมือง พูดผิดๆ ถูกๆ"
ที่ทีเด็ดก็คือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ตอบยอมรับต่อคำถามในเรื่องสติปัญญาที่ถูกเหยียดหยามว่า "ใช่ค่ะ ถ้อยคำเหยียดหยามเหล่านี้ทำให้ดิฉันเจ็บปวด ดิฉันก็เป็นคน แต่ดิฉันยอมรับคำวิจารณ์ ถึงที่สุดแล้ว ถ้อยคำเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการถกเถียงอย่างเป็นประชาธิปไตย"
โถ คงต้องบอกว่าช่างน่าตลก น่าหัวเราะฟันแทบร่วงออกมาจากปาก ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์บอกว่า ถ้อยคำเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการถกเถียงอย่างเป็นประชาธิปไตย เพราะในความเป็นจริงแล้วความรู้สึกของคนไทยที่มีต่อเธอก็ไม่ผิดไปจากที่สื่อประเทศฝรั่งเศสวิเคราะห์ไปเสียด้วยซ้ำ เอาแค่คำพูดของเธอก็ น่าจะเป็นหลักฐานได้อย่างดี ถึงความไร้เดียงสา โง่ ไม่รู้เรื่องการเมือง พูดผิดๆ ถูกๆ อาทิ "เรือดันน้ำ" พูดเป็น "เรือดำน้ำ""หญ้าแฝก" พูดเป็น "หญ้าแพรก" เดือน "พฤศจิกายน"พูดเป็น "พฤศจิกาคม" ช่วงน้ำท่วม..เธอดันจะเอาหินไปถม "ทะเล" ที่ "ประตูบางโฉมศรี" จังหวัดสิงห์บุรี แถม..ยังยก "อำเภอหาดใหญ่"ให้กลายเป็น "จังหวัดหาดใหญ่" ไปประเทศออสเตรเลียทั้งทีก็ดันโชว์ความเบาปัญญาบอกว่าจะผลักดัน "เมืองซิดนีย์" ให้เป็น "ประเทศซิดนีย์" เสียอีก
แล้วอย่างนี้จะเรียกว่า การถกเถียงอย่างเป็นประชาธิปไตย ตรงไหนมิทราบได้ เพราะความผิดพลาดทั้งหลายที่เธอกล่าวมา มันไม่น่าจะเป็นความผิดพลาดของคนระดับผู้นำประเทศไปได้
นอกจากนี้ เลอมงด์บรรยายด้วยว่า พรรคเพื่อไทยของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ชัยชนะในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 ก.ค.ปีที่แล้ว แต่สื่อมวลชนมองว่า นายกฯ ตัวจริงคือพี่ชายของเธอ น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นเพียงหุ่นเชิดที่ พ.ต.ท.ทักษิณคอยชักใยจากดูไบ ซึ่งเรื่องนี้ เธอบอกว่า "ฉันเป็นนายกฯ มาได้เกือบปีแล้ว ถ้าดิฉันต้องพึ่งพี่ชายทุกเรื่อง ดิฉันคงไม่ผ่านมาได้ถึงตอนนี้"
เธอปฏิเสธว่า ไม่ได้ติดต่อกับ พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ตลอดเวลา หรือท่องสคริปต์ที่เขียนขึ้นในดูไบ "ดิฉันอาศัยคุณสมบัติของตัวเองในฐานะผู้นำประเทศ ฉันต้องการการสนับสนุนจากพี่ชาย แต่ดิฉันได้ส่งสารที่ชัดเจนให้ทุกคนทราบว่า ดิฉันเป็นนายกรัฐมนตรี"
คงต้องบอกว่าไม่ว่าจะชักแม่น้ำทั้งห้า หรืออมพระมาพูดอย่างไรก็คงจะ ไม่มีใครเชื่อ เพราะความเป็นจริงพฤติกรรมของรัฐบาล ภายใต้การนำของ นายกฯปูนิ่ม คือ พิสูจน์ให้เห็นชัดเจนแล้วว่าเป็นรัฐบาลหุ่นเชิดของนช.ทักษิณ โดยนช.ทักษิณและเพื่อ นช.ทักษิณตลอด 1 ปี ที่ผ่านมาโดยพยายามทุ่มเททำทุกวิถีทางเพื่อผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญและพ.ร.บ. ที่อ้างการสร้างความปรองดองบังหน้า จนทำให้ประชาชนต้องออกมาต่อต้านกันยกใหญ่ และในที่สุดก็ต้องพับแผนเก็บไปก่อนนั่นเอง
จะบอกว่า ตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรีได้อย่างเต็มปากได้อย่างไร กะอีแค่ข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี 3 ที่จะเริ่มขึ้นอีกไม่นาน ถามว่ามีใครหน้าไหน ส.ส.เพื่อไทย หรือแกนนำคนเสื้อแดง ให้ราคากับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กันบ้าง ไม่เช่นนั้นแล้วคงจะไม่ปรากฏข่าว บรรดาลิ่วล้อต่างๆ ยกโขยงบินไปขอตำแหน่งแห่งหนกับ นช.ทักษิณ กันจ้าละหวั่น ถามว่ามีใครหน้าไหนบ้างจะเสียเวลาไปปรึกษา ขอตำแหน่งทางการเมืองกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ให้เสียเวลา
ขณะที่เมื่อถามว่า การเป็นนักการเมืองหญิงในไทยเป็นเรื่องยากหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ตอบว่า "ทั้งใช่และไม่ใช่ บางคนบอกว่าผู้หญิงไม่เข้าใจความซับซ้อนของการเมือง แต่เราใช้วิจารณญาณด้วยความถ่อมตน" และว่า นโยบายที่เธอพึงพอใจ คือ การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 40% และเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท เวลานี้ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของไทยติดอันดับสูงที่สุดในภูมิภาคประเทศหนึ่ง
ฟิลิปยังบรรยายว่า จุดเด่นที่สุดของ น.ส.ยิ่งลักษณ์คือ หลีกเลี่ยงกับดัก และไม่เผชิญหน้ากับฝ่ายที่ต่อต้านเธอ แต่นักการเมืองในกลุ่มเสื้อแดงบางส่วนในพรรคกลับมองเธอว่า ประนีประนอมมากเกินไป และได้ทอดไมตรีกับพวกที่ต่อต้านพี่ชายของเธอ
กระนั้นก็ดีไฮไลต์ทีเด็ดที่สุดของการสัมภาษณ์ครั้ง ก็คือเมื่อถามว่า หลังพบหารือกับประธานาธิบดีฟรังซัวส์ โอลลองด์, นายกรัฐมนตรี ฌอง-มาร์ก เอโรต์ และรัฐมนตรีต่างประเทศ โลรองต์ ฟาเบียส แล้ว เธอจะทำอะไร น.ส.ยิ่งลักษณ์ยิ้มกว้าง พลางตอบว่า "ไปชอปปิงค่ะ"
... พระเจ้าช่วยกล้วยทอด นี่กระมังคือความเป็นตัวตนที่แท้จริงของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่คนไทยเห็น ได้ยินกันจนชินหูชินตา พิเคราะห์แล้วก็คือออกไปทางสดๆ ใสๆ ไม่คิดอะไรมาก เพราะไม่อยากจะคิด หรือไม่ถนัดในการคิด อันที่จริงต้องถือว่าเป็นการตอบแบบตรงไป-ตรงมา ซื่อๆ ใสๆ แม้จะดูโล่งๆ อยู่บ้างนิดๆ แต่ไม่น่าจะถึงกับต้องไปถือสาหาความอะไรกันมากมาย เพราะโดยตัวตนของท่านนายกรัฐมนตรี นายกฯ ปูนิ่ม เธอก็ออกสไตล์เช่นนี้มานานแล้ว
กล่าวสำหรับเธอแล้วในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแก้บน ก็ช่างน่าสงสารไม่น้อยเช่นกัน เพราะแทนที่เธอจะได้อยู่สุขสบายในตำแหน่งซีอีโอ บริษัท เอสซี แอสเสท ที่วันๆสำหรับเธอก็คงไม่ต้องทำอะไรมาก เพราะเหมือนเกิดมาบนกองเงินกองทองของตระกูลชินวัตร แทนที่จะได้เดินไปชอปปิงตามห้างสรรพสินค้า ใช้ชีวิตตามปกติแบบคนมีอันจะเหลือกินเหลือใช้ ก็ต้องกลับมาแบกหน้าชดใช้เวรกรรมโดยไม่รู้ตัวในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่เธอไม่ได้มีความรู้อิโหน่อิเหน่อะไรเลย ซึ่งถ้าจะพิเคราะห์จากน้ำคำใสซื่อว่าอยากจะไป ชอปปิงบ้าง ก็ไม่น่า แปลกใจอันใดนัก
เพราะนั่นเป็นความคุ้นชินในแบบชีวิตของเธอ ที่ตอบแบบหน้าชื่นตาบานว่าหลัง เสร็จภารกิจในการพบปะเจรจาความเมืองกันเรียบร้อยแล้ว ก็ถือโอกาสช็อปปิ้งมันซะเลย!!! อุตส่าห์ถ่อมาถึงฝรั่งเศสทั้งที จะคว้ากุชชี่ หลุยส์ วิตตอง อีฟแซงค์ลอแรงต์ ฯลฯ ติดไม้ ติดมือ กลับบ้านไปบ้าง มันคงจะไม่เป็นอะไรกันมากมายหลอกกระมัง แต่ในอีกมุมหนึ่งการที่เธอแสดงความไร้เดียงสา ไม่ประสีประสานั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าได้สร้างความอับอายให้กับประชาชนคนไทยมากเพียงใดที่ เห็นผู้นำประเทศของตัวเองตอบได้เพียงว่าเสร็จสิ้นภารกิจแล้วจะทำสิ่งใดต่อไป
แน่นอน สิ่งที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์สื่อออกมาให้คนรู้ไปทั้งโลกถึงความเป็นตัวเธอ ก็คงไม่ต้องอธิบายให้มากความว่า เธอยังเหมาะสมกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกหรือไม่ เพราะน.ส.ยิ่งลักษณ์ คงจะไม่ได้สำเหนียกว่า ใครก็ตาม เมื่อก้าวเข้ามาเป็นผู้นำประเทศต้องสังวรตนว่า ชีวิตและการกระทำของตนไม่ใช่เพียงเป็นสิทธิส่วนตัวของตนเองอีกต่อไป เพราะโดยตำแหน่งผู้นำประเทศนั้น ได้แบกเอาเกียรติยศ ศักดิ์ศรี ความรู้สึกของประชาชน และผลประโยชน์ของประเทศชาติส่วนรวมไปด้วยตลอดเวลา
ดังนั้นแล้ว ทางออกสำหรับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปากก็คือ ควรจะโทรศัพท์ไปบอก นช.ทักษิณ ให้หาทางเอาตัวเธอออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้แล้ว ซึ่งหากเป็นจริงเช่นนั้นแล้วก็ถือได้ว่าจะเป็นกุศลของประเทศไทยในคราวเดียวเลยด้วยซ้ำไป