The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 3
สุคนธรสเดินฉุนหนีออกมาจากในบ้าน แต่แล้วก็ต้องผงะเพราะมีสาวสวยสองคนยืนขวางอยู่หน้าอกแทบชนกัน สุคนธรสเห็นหน้าอกสองสาวก่อนจะเห็นหน้าซะอีก ต่างฝ่ายต่างตะลึงมองกันและกัน
“เธอเป็นใคร”
“เอ๊ะ ถามแปลกนะ แล้วพวกคุณเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรมาถาม”
“เราเป็นเพื่อนสนิทไตรรัตน์ สนิทม้ากกกก...”
สุคนธรสมองทั่วตัวสองสาวดูที่นมแล้วมองของตัวเอง แล้วรู้สึกเซ็งปนแค้น ทำหน้ากวนใส่
“อ๋อ...เหรอ...”
“ชั้นมาหาไตรรัตน์ เธอเรียกเขาให้หน่อยซิ”
“พวกเธอเข้าไปเรียกเอง ชั้นไม่ใช่คนบ้านนี้” สุคนธรสบอกฉุนๆ บอลลูนป้องหูเพื่อน ยื่นหน้าไปกระซิบ
“ชั้นว่า...รูปร่างหน้าตาอย่างนี้ มาขายประกันให้เจ๊หญิง...รึไง”
“ช่าย...เพราะไตรรัตน์เค้าไม่มีรสนิยมเล่นกระดานโต้คลื่น จริงไหม ตะเอง...”
“ว่าใครเป็นกระดาน”
“คิดว่าใครล่ะ”
สองสาวยืดอกประชัน สุคนธรสถูกกดดัน กำลังจะเข้าไปหาเรื่อง กรรัมภากับเนตรศิตางศุ์วิ่งตามออกมาดึงไว้พอดี
“อะไรกันน่ะ มีปัญหาอะไรหรือรส”
“ไม่มีอะไรหรอก แก้ม...นอกจากยัยสองคนนี้ดูถูกเหยียดหยามชั้นเกินไปแล้ว”
“พวกเธอว่าอะไรเพื่อนชั้น” กรรัมภาเริ่มฉุนแทน เนตรศิตางศุ์จึงต้องดึงทั้งสองเอาไว้
“เค้าจะว่าอะไรเราก็ช่าง ถ้าเราไม่รับซะอย่าง มันก็จะกลับไปเข้าตัวเค้าเอง”
“เอิ่ม...แต่กรณีนี้ มันคงไม่ย้อนกลับไปเข้าตัวเค้าหรอก ในเมื่อ...เค้ายัดกันมาคนละหลายซี.ซี.ขนาดนี้ คาดว่าจะเป็นไซส์เอ็กซ์แอล”
ไตรรัตน์วิ่งออกมาจากในบ้าน ไตรรัตน์อึ้งเมื่อเห็นแตงโมกับบอลลูน
“แตงโม บอลลูน มาได้ไง”
แตงโมรีบเข้าไปกอดแขนไตรรัตน์
“ไตรรัตน์ขา...”
บอลลูนกอดแขนอีกข้าง
“เดี๋ยวนี้คุณชอบผู้หญิงประเภท สวยเรียบๆ...แล้วเหรอคะ”
“นอกจากนายจะปากเสียแล้ว ยังชื่นชมการเล่นตุ๊กตายางเป่าลมอีกด้วย ขอให้รู้ไว้นะว่าที่มาเพราะพ่อนาย”
เสี่ยจำเริญและเจ๊หญิงวิ่งตามออกมา
“เจ้าไตร แม่บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ให้พาผู้หญิง ที่แม่ไม่ได้อนุมัติเข้ามาในบ้าน” เจ๊หญิงต่อว่าไตรรัตน์
“ผมเปล่านะ เค้ามาเอง”
“พวกเธอรู้ไว้ด้วยนะ ว่าหนูรสกับเพื่อนๆ เป็นแขกที่ชั้นกับเสี่ยเชิญมาด้วยความเต็มใจ”
“ถูก...”
“ไตรรัตน์ขา...”
“ไตรรัตน์ เข้าบ้าน”
เสี่ยจำเริญล็อคคอลากไตรรัตน์เข้าย้าน แตงโมกับบอลลูนแค้น วี้ด ร้องเรียกไตรรัตน์ๆๆโหยหวน เจ๊หญิงจ้องสองสาวตาเป็นไฟ
“คนที่จะเป็นลูกสะใภ้ของตลาดหญิงจำเริญได้ ต้องผ่านการเห็นชอบจากชั้นเท่านั้น”
สองสาวเห็นหน้าเจ๊หญิงแล้วขยาด จูงกันถอยๆ ออกไป กลุ่มของสุคนธรสมองหน้ากันแล้วพูดพร้อมกัน
“เจ้าของตลาด”
ไตรรัตน์ถูกเสี่ยจำเริญและเจ๊หญิงลากแขนเข้าไปมุมนึง ไตรรัตน์กระซิบขู่ฟ่อ
“ทำไมผมต้องขอโทษยัยทอมด้วย ผมไม่ขอโทษ”
“หนูรสเป็นแขกของพ่อกับแม่ แกจะทำตัวเสียมารยาทไม่ได้”
“เค้าอุตส่าห์ให้พระรอดมาคุ้มครองแก ยังไม่สำนึกบุญคุณเค้าอีก ขอโทษหนูรสเดี๋ยวนี้”
ลับหลังเสี่ยจำเริญและเจ๊หญิง สุคนธรสแอบยักคิ้วกวนๆ ใส่ไตรรัตน์ ไตรรัตน์ตาลุก แค้นใจ
“ไม่! ยังไงผมก็ไม่พูด” ไตรรัตน์เม้มปาก สุคนธรสได้ที ทำเป็นตีหน้าเศร้า
“เสี่ยจำเริญ เจ๊หญิงคะ รสลาล่ะค่ะ...แก้ม เนตร ไป”
เจ๊หญิงดึงหูไตรรัตน์
“จะขอโทษมั้ย”
“โอ๊ย เบาๆ หม่าม้าๆๆๆ” ไตรรัตน์ทนเจ็บไม่ไหว “ก็ได้ๆๆ ขอโทษก็ได้ ปล่อยๆๆๆ” เจ๊หญิงปล่อย ไตรรัตน์จำใจต้องพูด “โทษ...”
“ถ้าไม่เต็มใจจะพูด ก็ไม่ต้องพูด” สุคนธรสทำเป็นจะไป “เสี่ยคะ เจ๊คะ หนูลา...”
“พูดให้มันเต็มใจหน่อย”
“ขอโทษ”
“ห้วนมากกกกก”
“ครับสิ ครับด้วย”
“ฮึ่ยยย ขอโทษครับ”
“ก้มหน้าทำไม...จะขอโทษก็ต้องมองตาด้วย จะได้รู้ว่าจริงใจ” สุคนธรสจ้องหน้าไตรรัตน์ แอบเยาะเย้ย ยักคิ้ว สะใจ “เอ้า พูดใหม่ ให้มันมาจากใจ ชัดๆ”
“ขอโทษ..ครับ...”
“หึๆๆ ฮ่าๆๆ โอเค เราไปกินข้าวกันเถอะค่ะ แก้ม เนตร ไปๆๆ เข้าบ้านๆ”
สุคนธรสร่าเริง เข้าบ้านไป
“แค้นนี้ต้องชำระแน่ยัยทอม”
เจ๊หญิงเขกหัวไตรรัตน์
“เรียกใครยัยทอม ห๊า”
ไตรรัตน์จ๋อย
ส่วนที่บ้านพักติณห์ ทนายสมชาติยกถ้วยกาแฟมาเสิร์ฟให้ติณห์
“ผมพร้อมแล้ว จะพรีเซ็นต์อะไร เชิญ”
กรรณาเปิดจอไอแพดพร้อมจะเอาให้ติณห์ดู แต่หันมาเห็นญาณินที่ทำหน้ามุ่ย หมั่นไส้ท่าทีของติณห์ กรรณาต้องสะกิดให้เริ่ม
“ยัยณิน เราต้องการงานนี้ ไม่งั้นบริษัทซิกธ์เซ้นซ์ของเราเจ๊งแน่...งดวีนเหวี่ยงสักวัน เข้าใจ๋”
“รู้แล้วน่ะ” ญาณินบอกแล้วหันมาพูดกับติณห์ “ นี่ บอกก่อนนะว่า...นาย...เอ่อ คุณไม่ได้บอกความต้องการอะไรกับเราเลย ซึ่งไม่มีใครในโลกเค้าทำกัน เพราะฉะนั้น สิ่งที่พวกเราทำก็คือเอาแบบรีสอร์ทอันเดิม ที่เคยมีคนทำไว้ และคุณก็โอเคกับมันแล้ว มาปรับใหม่ให้เหมาะสมตามแนวทางของเรา” ติณห์จ้องหน้าญาณิน แล้วอมยิ้ม “มองอะไร”
กรรณาจับแขนปรามเอาไว้
“ยัยณิน... ลูกค้าคือพระเจ้า...” ญาณินสูดลมหายใจลึกๆ ตั้งใจจะพรีเซ็นต์งานให้จบๆ ไป “คุณติณห์ดูภาพ3Dของรีสอร์ท ที่เราออกแบบมาก่อน” กรรณาให้ดูภาพในคอม “ยัยณิน...อธิบายสิ”
“คุณจะเห็นว่า...เราให้ความสำคัญกับการไหลเวียนของพลังงานบวก ให้ทุกอย่างลื่นไหล ผ่านถึงกันและกัน อย่างไม่มีอุปสรรค”
“ผมไม่เก็ท”
“มันคือหลักฮวงจุ้ยครับคุณติณห์ ทำให้ลื่นไหล ให้มังกรเหาะผ่านไปได้” ทนายสมชาติบอก
“มังกร ดราก้อน?”..เกี่ยวอะไรกับดราก้อน?”
“ก็...เอ่อ...”
“มังกร เป็นสัญลักษณ์ที่ชาวจีนใช้แทนพลังงานที่ดี สิ่งที่เป็นมงคล เมื่อเราออกแบบให้ทุกอย่างเชื่อมต่อกันได้ สิ่งดีๆ ก็จะไหลไปทุกพื้นที่ของรีสอร์ท”
“อ๋อ เก็ท แต่บางส่วนควรต้องมิดชิดนะ อย่างห้องน้ำ...ผมไม่อยากเปิดโอกาสให้พวกถ้ำมอง”
“ชั้นไม่ใช่...” ญาณินเผลอหลุด ต้องรีบหุบปาก กรรณากับทนายสมชาติงงๆ ติณห์อมยิ้ม
“แล้วเรือนไทยโบราณ คุณจะทำอะไรกับมัน”
ติณห์ยิ้มๆเยาะๆ ญาณินหมั่นไส้ๆ
“ยัยณิน... ลูกค้าคือพระเจ้า” กรรณากระซิบอีก ญาณินตั้งสติแล้วอธิบายต่อ
“เราจะรักษาเรือนไทยไว้ ทำให้เป็นแลนด์มาร์คของรีสอร์ท เพราะเรือนไทยตั้งอยู่ในตำแหน่งหัวใจ เป็นศูนย์กลางของพลังธรรมชาติที่หล่อหลอมรวมอยู่ในที่ดินผืนนี้ มันจะช่วยทำให้รีสอร์ทแห่งนี้เจริญรุ่ง...”
อยู่ๆ เพ็ญนภาก็เดินเข้ามา
“ที่เธอพูดมามีแต่ภูมิปัญญาโบราณคร่ำครึ ไม่มีอะไรพิสูจน์ได้สักอย่าง ติณห์เชื่อที่พวกนี้พูดด้วยเหรอ”
“ขอโทษนะคะ คุณติณห์ เป็นเจ้าของรีสอร์ท ยังไม่พูดอะไรสักคำ”
“เพนนีพูดถูก ผมต้องการคำอธิบายที่เป็นวิทยาศาสตร์” ญาณินนึกฉุน
“ที่ชั้นออกแบบให้ทุกอย่างเชื่อมต่อลื่นไหล เพราะชั้นคำนึงถึงลม น้ำ และต้นไม้เป็นหลัก ลมช่วยให้อากาศไหลเวียน ไล่กลิ่นอับ แล้วยังนำพาออกซิเจนมาให้...น้ำก็ช่วยให้ความสดชื่นร่มเย็น เห็นแล้วผ่อนคลาย...ส่วนต้นไม้ก็ให้ร่มเงา กันฝุ่นกันฝน สร้างออกซิเจนให้ลมพัดไปเข้าปอดนาย...ทุกอย่างนี้ เพื่อความกลมกลืนกับธรรมชาติและประหยัดพลังงาน ลดโลกร้อน วิทยาศาสตร์พอหรือยัง”
ติณห์มองญาณิน
“แถได้หน้าไม่อาย แค่นี้ติณห์ก็น่าจะรู้แล้วนะว่าควรจ้างพวกนี้หรือเปล่า”
“รีสอร์ทก็เหมือนคน อยากจะทำให้สวยยังไงก็ทำได้ ศัลยกรรมทีสองทีก็สวยได้ แต่...เรื่องของจิตวิญญาณ หรือจิตใจที่ดี มันสร้างกันไม่ได้”
“ว่าใคร”
“สิ่งที่พวกเราทำ ไม่ใช่แค่การออกแบบสิ่งที่สัมผัสจับต้องได้ แต่เราออกแบบไปถึงจิตวิญญาณของสถานที่ด้วย...ซึ่งถ้าคุณจะหลงแต่รูปลักษณ์ภายนอกไม่ลืมหูลืมตา สวัสดี” ญาณินฉุน เดินมาปิดฝาจอคอมฯลง “จบการพรีเซ็นต์”
ที่บ้านเสี่ยจำเริญ เจ๊หญิงเปิดฝาหม้ออาหารเป็นกระเพาะปลาน้ำแดงหม้อใหญ่ น่ากิน พวกสุคนธรสตาโตตื่นเต้น เห็นอาหารจีนหรูหราเต็มโต๊ะ
“เลี้ยงอาหารดีไปหรือเปล่า” ไตรรัตน์ถามขึ้นมา
“อาหารนี่ กับพระรอดกรุมหาวัน ที่หนูรสให้มาช่วยคุ้มครองชีวิตแก เทียบไม่ได้เลยสักนิด”
“แกคือหนี้บุญคุณอันยิ่งใหญ่ของหนูรส”
“ป๊า-ม้า เราเปลี่ยนเรื่องกันดีไหมครับ”
“เสี่ยคะ เจ๊คะ...ไม่เป็นไรค่ะ หลวงปู่สอนว่าทำบุญอย่าหวังผล ใครไม่เห็นค่าก็อย่าไปบังคับเค้า”
เสี่ยจำเริญกับเจ๊หญิงหันมากดดันไตรรัตน์พร้อมกัน
“เจ้าไตร...เห็นไหม”
ไตรรัตน์จ้องสุคนธรส แล้วอยู่ๆ ยกมือไหว้ท่วมหัว
“บุญคุณของคุณล้นฟ้าล้นดินมากๆ ผมซึ้งสุดยอด...ขอบคุณนะ ขอบคุณมาก ขอบคุณที่สุดในโลก รับรองว่าจะไม่ลืมเลย”
สาวๆ คิกคักกัน
“เอ้าๆ ทานๆๆๆ”
อยู่ๆ มีเสียงจานชามคว่ำโคล้งเคล้งๆ ดังมาจากชั้นบน ตามมาด้วยเสียงเสาวภาตะโกนลั่นบ้าน
“ถ้าไม่อยากกินก็บอกดีๆ สิ ทำไมต้องทำอย่างนี้...ชั้นไม่ไหวแล้วนะ ต่อไปก็ให้ลูกรักอาม้ามาดูแลแล้วกัน”
สามสาวในวงข้าวมึนงง
“ไม่ต้องตกใจนะ ไม่มีอะไรหรอก” เจ๊หญิงบอกกับสามสาว เสาวภาเดินปึงปังเข้ามา “เสาวภา มีอะไรกับอาม้าอีก”
“ชั้นไม่เอาแล้ว ต่อไปเจ้ดูแลอาม้าเองแล้วกัน อาม้าเกลียดชั้น อาม้าไม่ยอมพูดกับชั้น ชั้นทำดีให้ตายยังไงอาม้าก็มองไม่เห็น ใครเป็นลูกสะใภ้ก็ดูแลแม่ผัวตัวเองสิ ชั้นมันคนนอก...ไม่มีความเกี่ยวพันอะไรกันทั้งนั้น...ทำไมต้องใช้ให้ชั้นทำหน้าที่ด้วย”
เสาวภาเดินฉุนออกไป
“เดี๋ยว เสาวภา” เจ๊หญิงรีบตามเสาวภาออกไป พวกสุคนธรสอึ้ง งง เอาไงดี
“เอ่อ พวกเรา...ขอตัวกลับก่อนดีกว่ามั้ย” เนตรศิตางศุ์บอกขึ้นมา
“ชั้นขอโทษทีนะ อาตี๋...ขึ้นไปดูอาม่าหน่อย พาหนูรสกับเพื่อนๆ ไปกราบลาอาม่าด้วยก็ได้ เดี๋ยวป๊ากับม้าจะไปดูอาเสาวภาเอง ไปๆๆๆ”
เสี่ยจำเริญตามเจ๊หญิงไป ไตรรัตน์ถึงกับเซ็ง
เสาวภาเดินเข้ามาในครัว ร้องไห้พยายามตั้งสติ เจ๊หญิงกับเสี่ยจำเริญตามเข้ามา เสี่ยจำเริญมองเสาวภาแล้วหลบตา หน้าซีด เศร้า
“เสาวภา...ถ้าเธอเหนื่อย ไปเที่ยวพักผ่อนบ้างก็ได้นะ เดี๋ยวเจ้ดูแลอาม่าให้เอง”
“ทำไมคนที่ไม่มีใคร คนที่ไม่มีความสุข ต้องเป็นชั้นด้วย...คนที่ควรจะต้องมีสภาพแบบนี้ ต้องเป็นเจ้ ไม่ใช่ชั้น...เชิญไปมีความสุขกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้ขโมยชั้นไปเถอะ”
เสาวภาเดินหนีไป
“เสาวภา”
เจ๊หญิงเซ็ง เสี่ยจำเริญก้มหน้า
สามสาวเดินตามไตรรัตน์มาจะขึ้นชั้นบนของบ้าน
“เฮ้อ มาวันแรกก็แจ็กพ็อตแตกเลย” ไตรรัตน์บอก
“พูดงี้ หาว่าพวกชั้นเป็นตัวซวยเหรอ เรื่องของครอบครัวนาย เกี่ยวอะไรกับพวกชั้น” แต่แล้วสุคนธรสก็ผงะ ย่นจมูก “ฮื้ยยย”
“อะไร เป็นไร”
“ไม่ต้องยุ่ง เดินไป”
ไตรรัตน์เดินนำต่อไป กรรัมภารีบเข้ามาถามสุคนธรสทันที
“แกได้กลิ่นเหรอ”
“อื้อ”
“กลิ่นเป็นไงรส”
“เออ...กลิ่นแปลกๆ อ่ะ ผสมปนเป ข้างบนต้องมีอะไรแน่ๆ”
ไตรรัตน์ได้ยินที่สาวๆ เม้าท์กัน
“ไม่ต้องมาตลกเลย เท้าผมสะอาด ผมล้างเท้าทุกวัน ไม่มีกลิ่นอับกลิ่นเน่าแน่ๆ อย่ามาหาเรื่องกัน”
ไตรรัตน์มาหยุดที่หน้าห้องอาม่า
“ชั้นไม่ได้ว่านาย” สุคนธรสตามมาที่หน้าห้อง ได้กลิ่นแรงมากขึ้น “หื้ยยย”
“เป็นอะไรของคุณ” สุคนธรสกับกรรัมภาทำหน้าสยองๆ ไตรรัตน์ไม่สนใจ หันไปเคาะประตูห้องอาม่า “อาม่าครับ ผมเองครับ ผมพาเพื่อนมาไหว้อาม่าครับ”
ระหว่างนั้นสามสาวซุบซิบกัน
“ชั้นได้กลิ่นผสมปนเปกันระหว่างความดีกับความชั่ว ความรักกับความชัง”
“แสดงว่าห้องนี้ไม่ได้มีวิญญาณแค่ดวงเดียวใช่ไหม”
ไตรรัตน์หันมาหาสาวๆ
“ไปๆๆ เข้าไปลาคุณย่าผม แล้วก็กลับๆไปซะ”
ไตรรัตน์บอกแล้วเปิดประตูเข้าไป
ไตรรัตน์เปิดประตูเข้ามาในห้อง อาม่านอนนิ่งบนเตียง จมูกของสุคนธรสได้กลิ่นรุนแรงมากถึงกับย่นจมูก เอามือมาปิดแบบอัตโนมัติ เนตรศิตางศุ์มองเข้าไปในห้องถึงกับผงะหงายหลังดีที่สุคนธรสยืนอยู่ข้างหลังพอดีเธอจึงไม่ล้มลง
“เขากำลังจะฆ่าอาม่า”
เนตรศิตางศุ์บอก
“อะไร ใคร” ไตรรัตน์ถามอย่างแปลกใจ
“เขานั่งทับร่างของอาม่าอยู่ แต่มีวิญญาณอีกดวงคอยรั้งเขาเอาไว้” เนตรศิตางศุ์บอก
“นี่มันอะไรกัน” ไตรรัตน์โวยขึ้นด้วยสีหน้าเครียด แล้วหันกลับไปมองในห้อง อาม่านอนลืมตาอยู่ สีหน้าอึดอัด
เหมือนหายใจไม่ออก หันหน้าไปมาแต่ไม่ถึงกับดิ้น ไตรรัตน์รีบเข้าไปดูอาม่า “อาม่าครับ...อาม่าเป็นอะไรครับ...อาม่า”
อาม่าเริ่มตาเหลือก อ้าปากพะงาบๆ เหมือนจะพูด แต่ไม่มีเสียงออกมา สุคนธรสสูดจมูกรุนแรง
“ต้องมีอะไรแน่ๆ” สุคนธรสล้วงหาของในย่าม “นายไตวาย...ถอยออกมา”
“จะทำอะไร”
“ถอยออกมาก่อนเถอะน่า เชื่อพวกชั้นเถอะ”
กรรัมภาตามเข้าไปในห้องดึงไตรรัตน์ให้ออกมา แต่อยู่ๆ อาม่ายกมือขึ้นคว้าแขนกรรัมภา หมับ แล้วกรรัมภาก็เห็นร่างของผีไอ้มิ่งปรากฎขึ้นมาตรงหน้า แยกเขี้ยวจ่ออยู่ที่หน้า กรรัมภาช็อคผงะ กระเด้งถอยออก
“ว้าย”
เนตรศิตางศุ์มองอยู่ ช็อค ยืนตัวสั่นเทิ้ม เนตรศิตางศุ์เห็นผีไอ้มิ่งกำลังนั่งคร่อมอาม่าอยู่ พยายามจะบีบคอ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเลือดแห้งกรัง ทั้งยังมีรอยกระสุน 3 รอยฝังอยู่ที่ขมับด้านซ้าย เสื้อเชิ้ตเขาขาดกะรุ่งกะริ่งและมีรูพรุนเต็มไปหมด ส่วนอีกร่างเป็นผีอากงคอยดึงรั้งมือวิญญาณร้ายนั้นไม่ให้ทำร้ายอาม่าได้ง่ายๆ
“แกเห็นอะไรยัยเนตร”
“ผี...ผีกำลังนั่งทับอาม่า เค้าจะบีบคอฆ่าอาม่า แต่...แต่มี” เนตรศิตางศุ์มองไปที่ภาพอากงที่ติดข้างฝาอยู่ “ วิญญาณคนนั้นพยายามรั้งเอาไว้อยู่...ชั้นอ่านปากเขาได้ว่า ช่วยด้วย”
ร่างของอากงวูบไหวไปมาราวกับไฟฉายที่พลังงานอ่อน
“ผีอะไร พวกเธอพูดเรื่องอะไรกัน” ไตรรัตน์ถามอย่างสงสัย
“นายอยู่เฉยๆ เถอะ” สุคนธรสผลักไตรรัตน์ออก แล้วหยิบมีดหมอในย่ามออกมา ทันทีที่เห็นมีดหมอผีไอ้มิ่งก็หันมาจ้องสุคนธรส แยกเขี้ยวคำรามขู่ เนตรศิตางศุ์บรรยายสิ่งที่เห็น
“ยัยรส ระวัง มันหันมาจ้องจะเล่นงานแกแล้ว มันพูดว่า...” เนตรศิตางศุ์ชะงักนิดนึง อ่านปากผีไอ้มิ่ง “มันพูดว่า พวกมึง...อย่ายุ่ง...ไม่...งั้นกูจะ...ฆ่าพวกมึงด้วย”
พูดเสร็จเนตรศิตางศุ์ก็เข่าอ่อนหมดแรงทรุดลงไปกับพื้น มีกรรัมภาคอยช่วยพยุง
“เฮ้ย นั่นเธอจะทำอะไร”
กรรัมภารั้งไตรรัตน์เอาไว้
“พวกเรากำลังช่วยอาม่านายอยู่”
“เจอมีดหมอหลวงพ่อเดิมหน่อยเป็นไร”
สุคนธรสถือมีดเดินจะเข้าใกล้อาม่า สุคนธรสชี้ปลายมีดหมอไปที่วิญญาณไอ้มิ่ง มันรีบผละออกจากร่างอาม่าไปจนลอยติดกำแพง แต่ยังพยายามแยกเขี้ยวขู่เธอ แต่อยู่ๆ ไตรรัตน์ก็พุ่งเข้ามาขวางสุคนธรส บิดมือ แล้วแย่งมีดมาถือเอาไว้เอง
“เฮ้ย! นายทำบ้าอะไร เอามีดมา”
ทันใดผีไอ้มิ่งก็อาศัยจังหวะนั้น พุ่งพรวดมาเล่นงานสุคนธรสทันที
“ยัยรส ระวัง”
เนตรศิตางศุ์เห็นผีไอ้มิ่งพุ่งเข้ามาหาสุคนธรสบีบและกัดที่ต้นคอ หมายเอาชีวิต สุคนธรสถึงขั้นเซผวาไปกระแทกกำแพง
“อ๊ากกกก”
เกิดรอยช้ำที่ต้นคอสุคนธรสขึ้นมา ไตรรัตน์งงที่เห็นสุคนธรสกระเด็นไปติดกำแพงเอง พยายามดิ้นสู้กับอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น หน้าเชิด เหมือนถูกบีบต้นคอ
“พวกเธอเป็นบ้าอะไรกันเนี่ย”
สุคนธรสตาเหลือก หายใจไม่ออก มีเลือดไหลออกมาจากต้นคอ
“คืนมีดให้ยัยรสเดี๋ยวนี้” กรรัมภาบอก
“พวกเธอต้องเป็นบ้าแน่ๆ ไม่ก็โรคจิต พกมีดเข้ามาในบ้านชั้นทำไม คิดจะทำอะไร”
“ยัยรสกำลังจะตายอยู่แล้ว ยังจะให้อธิบายอะไรตอนนี้อีก คืนมีดให้ยัยรสเร็วๆ” สุคนธรสล้มลงไปกับพื้น ทุรนทุราย “แย่แล้ว...” เนตรศิตางศุ์หันไปที่อากง “คุณตา...คุณตาช่วยด้วยค่ะ”
ไตรรัตน์มองตามไปที่ตำแหน่งที่เนตรศิตางศุ์มอง
“คุณตา อะไร”
ไตรรัตน์ถอยไปชิดกำแพง แต่แล้วอยู่ๆ กรอบรูปอากงที่ติดอยู่บนฝาผนังหล่นใส่หัวไตรรัตน์เต็มๆ
“โอ๊ย”
ไตรรัตน์ทรุดล้ม มีดหล่น กรรัมภารีบเข้าไปหยิบมีดแล้วสไลด์มีดไปกับพื้นไปให้สุคนธรส สุคนธรสคว้ามีดเอาไว้ได้ ฮึดสุดแรงเอามีดปักลงไปที่ตำแหน่งกลางหน้าอก ผีไอ้มิ่งอ้าปากกว้าง กรีดร้องยาว สุคนธรสสวดมนต์ในใจพร้อมมือที่ยังคงถือมีดปักคาอกใส่ผีไอ้มิ่งอยู่
“สักกะสะ วชิราวุธัง ยะมัสสะ นัยนาวุธัง...” ผีไอ้มิ่งกรีดร้องโหยหวนราวกับมีเพลิงจากขุมนรกมาแผดเผา
“ขออัญเชิญอาวุธของพระอินทร์ พระยะมัสสะ อาฬะวกะยักษ์และท้าวเวสุวัณลงมาประทับอยู่ในมีดเพื่อเพิ่มอานุภาพเป็นเท่าทวีคูณ”
ทันใดร่างของผีไอ้มิ่งบิดเบี้ยวผิดรูป มีเสียงครางฮึ่มๆ อย่างน่ากลัวดังระงมก่อนจะค่อยๆ ปรากฏเงาดำ ทะมึนผุดขึ้นมาจากพื้น ก่อนที่เงาดำจะดึงร่างของมันจมลงสู่พื้นห้อง
ในห้องเก็บโกศสำนักหมอผีสมคิด โกศอันนึงแตกโพละ ฝุ่นกระจาย ควันบางอย่าง รวมตัว พุ่งหายไปทางช่องลมรวดเร็ว
สุคนธรสค่อยๆ ลุกนั่งหอบ รอดตายหวุดหวิด
“ปลอดภัยแล้ว”
“มันบ้าอะไนเนี่ย” ไตรรัตน์ถาม สุคนธรสหันมาจ้องไตรรัตน์แค้นๆ
“แกทำชั้นเกือบตายแล้วรู้มั้ย” สุคนธรสลุกจะพุ่งเข้าใส่ “ไอ้บ้าเอ๊...ย...”
สุคนธรสพูดไม่ทันจบ ก็ล้มลง โลกหมุนติ้วจนแข้งขาอ่อนแรง ไตรรัตน์รับเอาไว้ได้พอดี ทั้งคู่ใกล้ชิดกัน ไตรรัตน์มึนงง สุคนธรสอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน หลังจากปกป้องเพื่อนๆ มานานแสนนาน เธอจึงซึมซับความอบอุ่นจนผล็อยหลับไปในที่สุด
ห้องทำพิธีสำนักหมอผีสมคิด หมอผีสมคิดกำลังบริกรรมคาถาก่อนจะลืมตาแบมือให้หญิงสาวที่นั่งพนมมืออยู่ตรงหน้า ในมือหมอผีสมคิดมีเครื่องรางรูปกา
“ผมปลุกเสกให้เป็นพิเศษแล้ว...ทุกครั้ง ที่คุณไปเจรจาค้าขาย ให้สวมท่านไว้ แล้วพอคุณแตะตัวลูกค้า เค้าจะยอมซื้อทุกอย่างที่คุณเสนอ...”
“จริงเหรอคะ...ท่านหมอ”
“ลองสวมดู...ผมจะให้คุณได้สัมผัสกับพลังของท่าน”
หญิงสาวกำลังจะสวม อยู่ๆ มีคนมาทุบประตูจากด้านนอกส่งเสียงเรียก
“อาจารย์ๆๆ”
เสียงหาญกับกล้า หมอผีสมคิดท่าทางหัวเสียลุกไปเปิดประตู
“ไอ้หาญ ไอ้กล้า ข้าบอกแล้วไงว่าทำพิธีอยู่ ห้ามรบกวน”
“เรื่องสำคัญมากครับ”
หมอผีสมคิดแปลกใจ
หมอผีสมคิดมาที่ห้องเก็บโกศจึงพบสภาพโกศที่แตกยับ
“ไอ้มิ่งมันลงนรกไปแล้ว”
“ผีไอ้มิ่ง มือปืนใจเหี้ยม ไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่หรือตายเป็นผี มันไม่เคยทำงานพลาด”
“ไอ้พวกที่เมืองกาญยังไม่ได้คิดบัญชี ยังมีเรื่องไอ้พวกนี้อีก”
“ต้องเป็นฝีมือไอ้ไตรรัตน์ลูกชายเจ๊หญิงแน่...ไอ้นี่มันหัวนอก มันไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์ มันอยากลองดีกับอาจารย์มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
“มันคงจะไปได้ของดีที่ไหนมา หรือจะเป็นคนเดียวกับที่ให้พระรอดมัน”
“พระรอดเหรอ...แต่ไอ้ไตรรัตน์มันอาจไม่รอดก็ได้มันมีของดีนักใช่ไหม เดี๋ยวจะจัดของดียิ่งกว่าผีไอ้มิ่งให้สิบเท่า”
แววตาหมอผีสมคิดฉายความแค้น คิดจัดการกับไตรรัตน์
The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 3 (ต่อ)
ส่วนที่รีสอร์ทติณห์ ญาณินกับกรรณาหอบของโยนใส่รถสองแถวที่จ้างมา
“จะกลับแล้วจริงๆ เหรอ กะทันหันขนาดนี้ มันแปลว่าอะหยังก๊อ?” โกลเด้นท์ถาม
“ไม่ต้องเสียดาย ไม่ต้องกลัวอดตาย มีลูกค้างี่เง่า สู้ไม่มียังดีกว่ากะอีแค่งานตกแต่งรีสอร์ทกระจอกๆ หาเมื่อไหร่ก็หาได้”
“เออ ชั้นเข้าใจแก แต่แกเตรียมคำอธิบายไปบอกยัยพวกนั้นด้วยแล้วกัน”
ติณห์เดินเข้ามา
“จะไปไหน”
“ไปให้ใกล้จากที่ที่เต็มไปด้วยเหตุและผล และคนที่คิดว่าตัวเองรู้ทุกเรื่อง เริ่ด วิทยาศาสตร์สุดๆ แหวะ”
“ผมจ้างพวกคุณ”
“เรื่องของคุณ ชั้นไม่สน”
“ห๊า…” กรรณาตกใจคำพูดติณห์ “เจ๊…”
“อะไร”
“เขาว่าเขาจ้างพวกเราทำงาน”
“อะไรนะ” ญาณินเพิ่งนึกขึ้นได้
“คุณติณห์ ตกลงจะจ้างพวกคุณตกแต่งรีสอร์ท และถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้พวกคุณเริ่มงานทันทีตั้งแต่วันนี้เลย” ทนายสมชาติบอก
“ไม่ได้นะติณห์...ติณห์อยากให้รีสอร์ทติณห์กลายเป็นสำนักทรง เป็นศาลเจ้าเหรอ ถึงคิดจะจ้างคนพวกนี้ทำงาน บริษัทอื่นที่ดีกว่ามีอีกตั้งเยอะ” เพ็ญนภาแย้ง
“ขอบคุณนะที่คุณเป็นห่วงผม จริงๆ แล้วผมก็ไม่ได้มั่นใจกับพวกนี้หรอก แต่ผมเชื่อใจเพื่อนผม ที่เป็นคนแนะนำและการันตีบริษัทมากกว่า”
“อ๋อ สรุปที่จ้างพวกชั้น ไม่ใช่เพราะฝีมือ แต่เป็นเพราะพี่ณัฐเดชการันตีงั้นเหรอ”
“แล้วจะทำหรือไม่ทำ”
“ทำค่ะ” กรรณารีบบอก
“ยัยกรรณ”
“เราต้องการงานนี้ ไม่งั้นบริษัทเราเจ๊ง” กรรณากระซิบบอก ญาณินหมั่นไส้ โยนกระเป๋าขึ้นรถแล้วขึ้นตามไป “ผมจะจ้างพวกคุณแล้วไง จะไปไหนอีก”
“กลับกรุงเทพ...ไปเอาสัญญามาให้เซ็น เตรียมเงินก้อนแรกเอาไว้ด้วย สี่สิบเปอร์เซ็นต์ ไม่จ่ายไม่เริ่มงาน เข้าใจมั้ย อ้อ...แล้วขากลับชั้นจะซื้อหนังสือหัดพูดภาษาไทยมาฝาก นายฝรั่งขี้นก! ไปยัยกรรณ...”
ญาณินกับกรรณาออกรถไป
“หึๆๆ เพี้ยนจริงๆ”
สมชาติเห็นสายตาติณห์ที่มองญาณินแล้วอมยิ้ม กรุ่มกริ่ม ในขณะที่เพ็ญนภาขัดใจ กระฟัดกระเฟียด เดินสะบัดออกไป
ภายในรถญาณินมองตามติณห์ไม่ละสายตา กรรณากับโกลเด้นท์มองญาณินแล้วหัวเราะคิกคักพอญาณินรู้ตัวก็รีบกลบเกลื่อน ทำเมินไม่สนใจ เชอะๆๆๆ โกลเด้นท์ร้องเพลงร่าเริง
“จิงกะเบวๆ จิงก๊ะออลเดอะเวย์ โอวัทฟัน อิททิสทุไนท์ อินเดอะวันโอร์สโอเพ่นสเลย์”
“มันใช่ม้ายยย...”
ที่ห้องทำงานผู้การกองปราบ พ.ต.ท.นิมิต ชอบสัมผัส ผู้การกองปราบกำลังนั่งเพ่งกระแสจิตใส่ช้อนสเตนเลสอย่างจริงจัง ไม่ได้สนใจณัฐเดชที่ยืนรอคำตอบอยู่หน้าโต๊ะ
“ผู้การครับ...อนุมัติให้ผมไปทำคดีอื่นเถอะครับ ผมยินดีไปทำคดีอะไร ลำบากแค่ไหนก็ได้ แต่อย่าให้ผมไปทำคดีนางสาวใบหม่อนเลยนะครับ”
“ขอเหตุผลดีๆ สักข้อสิ”
นิมิตพูดไม่มองหน้าณัฐเดช สนใจแต่ช้อน
“เอ่อ...คือ ผมกับหมอนิติเวชคนนั้น เราทำงานด้วยกันไม่ได้ครับ”
“ทำไม”
“มัน...มัน...มีกลิ่นตัวแรงมากครับ”
“เรื่องแค่นี้เนี่ยนะ...ไร้สาระ...ชั้นจะออกคำสั่งไป ให้เค้าใช้โรลออน”
“แล้ว...เราก็...ก็...มีความคิดทางการเมืองไม่ตรงกัน”
“อันนี้ผมเข้าใจ แต่ตอนนี้เราควรจะปรองดองกันสิ เราคือตำรวจ เราต้องทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีของประชาชน”นิมิตหันไปสนใจช้อนต่อ
“มันมี...เรื่องยิ่งกว่านั้นครับ”
“อะไร...เกี่ยวกับ เหตุการณ์ตอนน้ำท่วมป่าว”
“เปล่าครับ...คือ สมัยเรียน...เราเคย เล่นรักบี้แข่งกัน...แล้ว...แล้ว...มันโกงครับ”
“เหลวไหล เรื่องมันกี่ชาติมาแล้ว ไม่มีเหตุผล ไม่หนักแน่น ไม่อนุมัติ”
“ผู้การครับ...”
“นางสาวใบหม่อน...นางเอกสาวละครเวทีมิวสิเคิ่ล ถูกวางยา ตายคาเวที ขณะเปิดการแสดง เห็นมั้ยว่า มันไม่ใช่คดีธรรมดาๆ มันซับซ้อน ซ่อนเงื่อน คนที่จะแก้ไขคดีนี้ได้ ต้องระดับ ซีเอสไอ เคจีบี ซีไอเอ เท่านั้น...แต่ประเทศเราไม่มีหน่วยพวกนี้ชั้นเลยไม่เห็นใครเหมาะสมเท่ากับนาย ชั้นไว้ใจและเชื่อในความสามารถของนายหวังว่านายจะเป็นมืออาชีพ ไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับงาน...เข้าใจมั้ย!”
ณัฐเดชจ๋อยหน้าสลด
“ครับ”
“ออกไปได้แล้ว ชั้นมีงานต้องทำ เอ็นทีดี”
“ห๊า?”
“เอ็นทีดี ณัฐเดชไง! ไปๆ...” นิมิตเพ่งช้อนต่อ “จงงอ...จงงอ...”
ณัฐเดชเซ็ง ทำอะไรไม่ได้ จำใจต้องตะเบ๊ะ แล้วออกไป
ณัฐเดชเดินหัวเสียมาตามทางสวนกับหมอวรวรรธที่เดินเลี้ยวมาจากมุมตึก ทั้งคู่มองกันด้วยหางตาแล้วต่างเดินต่อ หมอวรวรรธเดินไปทางห้องผู้การที่ณัฐเดชเพิ่งเดินมา ณัฐเดชหยุดเดินตัดสินใจหันไปหาหมอวรวรรธ
“นายมาทำอะไร”
ขณะเดียวกันกับที่วรวรรธหันมาหาณัฐเดช ถามคำถามเดียวกัน
“พี่มาทำอะไร”
ทั้งคู่นิ่ง มองตากัน
“ชั้นเพิ่งออกมาจากห้องผู้การ”
“ผมกำลังจะไปหาผู้การ”
“จะเข้าไปหาผู้การเพราะเหตุผลเดียวกับชั้นใช่ไหม?”
“น่าจะเป็นแบบนั้น”
“ไม่ต้องเข้าไปหรอก...เสียเวลา...คำตอบที่นายจะได้รับก็คงเหมือนชั้นนั่นแหละ”
“แสดงว่าเราต้องทำงานร่วมกันใช่ไหม?”
“โลกกลมจริงๆ แต่มันไม่น่ากลมเลย...โลกมันน่าจะแบนมากกว่า ชั้นจะได้ไม่ต้องเจอนาย”
“ที่ผ่านมาผมไม่ได้ตั้งใจ ถ้าผมรู้ว่าเธอเป็นแฟนพี่ณัฐผมคงไม่...”
“พอเหอะ! เบื่อว่ะ...เหม็นขี้ฟัน”
ทั้งคู่มองหน้ากัน มีเรื่องในใจกันมาจากอดีต ณัฐเดชหันหลังเดินจากไป หมอวรวรรธมีสีหน้ารู้สึกผิด
ส่วนที่บ้านเสี่ยจำเริญขณะนั้นเจ๊หญิงกำลังไกวยาดมให้สุคนธรส
“หนูรส...หนูรส...ได้ยินชั้นมั้ย”
สุคนธรสค่อยๆ ได้สติแล้วสะดุ้งตกใจนึกว่าผี
“เฮ้ย แก...”
เนตรศิตางศุ์รีบปราม
“ยัยรส..ไม่มีอะไรแล้ว”
สุคนธรสโล่งอก
“เห็นมั้ยครับแม่ ผมไม่ได้พูดเกินจริงเลย ยัยนี่ท่าทางแปลกๆ เหมือนคนสติไม่ดีจริงๆ มาบอกว่าบ้านเรามีผี จะปราบผี เพ้อเจ้อ” ไตรรัตน์บอก
“ชั้นไม่ได้เพ้อเจ้อ”
กรรัมภาเริ่มทนไตรรัตน์ไม่ได้
“ก่อนจะอ้าปากด่า ช่วยสำเหนียกด้วยนะว่าพระที่ห้อยอยู่น่ะ...ของใคร เดี๋ยวแม่ฟาดด้วยชาแนลใบละห้าหมื่น”
“ยัยแก้ม” สุคนธรสรีบปรามเพื่อน “เอาเป็นว่า พวกคุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ พวกเราไม่ได้มีเจตนาร้ายก็แล้วกัน สาบานได้...พวกเราขอตัวกลับก่อนล่ะค่ะ”
อยู่ๆ อาม่าก็ส่งเสียงครวญคราง
“อาหลิว...อาหลิว ลื้ออยู่ตรงนั้นใช่มั้ย อาหลิว อั๊วคิดถึงลื้อ”
เจ๊หญิงรีบเข้าไปดูแลข้างเตียงอาม่า
“อาม่า...”
สามสาวชะงัก มองอาการของอาม่า
“อาหลิว”
“เตี่ยฉันเองแหละ อากงของไตรรัตน์ คนในรูป” เสี่ยจำเริญบอก
“อาหลิว...อั๊วรู้ว่าลื้ออยู่ตรงนี้ ลื้อยังอยู่กับอั๊ว ไม่ได้ไปไหน...ลื้อมีอะไรอยากพูดกับอั๊วใช่มั้ย” อาม่ายื่นมือไขว่คว้า
“อาม่าครับ อากงมีความสุขอยู่บนสวรรค์แล้ว อาม่าไม่ต้องห่วงนะครับ” ไตรรัตน์บอก
“น่าสงสารอากงจัง...” เนตรศิตางศ์เห็นอากงพยายามจะสื่อสารอะไรบางอย่างกับอาม่า แต่สื่อสารไม่ได้เพราะอาม่าไม่เห็น อากงได้แต่เศร้าท้อใจ “อากงพยายามจะพูดอะไรไม่รู้กับอาม่า” เนตรศิตางศ์บอกกับเพื่อน
“นี่ถ้ายัยกรรณมาด้วยก็คงจะดี” กรรัมภาบอก
อากงหันมามองเนตรศิตางศ์พยายามพูดบางอย่าง
“หนูเห็นอย่างเดียว ไม่ได้ยินค่ะ หนูช่วยอะไรอากงไม่ได้” เนตรศิตางศุ์บอกอากงเศร้า
“แต่...เพื่อนหนูช่วยได้” กรรัมภาบอกสุคนธรสถึงกับสะดุ้ง
“เฮ้ย..ไม่เอานะ ตะกี้ก็สู้กับไอ้ผีนั่นจนหมดแรงเป็นลมไปแล้วทีนึง”
“แต่แกเป็นคนเดียวที่เป็นร่างทรงได้นี่นา แกไม่สงสารอาม่ากับอากงเหรอ”
“ไม่ต้องมายุเลย อย่าหวังว่าฉันจะยอมให้วิญญาณใครเข้าร่างอีก”
“พวกหนูพูดอะไรกัน พวกเธอจะช่วยอาม่าได้ยังไง” เสี่ยจำเริญถามขึ้นมา
“พวกเรา...เอ่อ พวกเรามีซิกเซ้นซ์ค่ะ เราสื่อสารกับวิญญาณได้ โดยเฉาะยัยรสมันช่วยให้อาม่ากับอากงสื่อสารกันได้ค่ะ” กรรัมภาบอก
“จริงเหรอ ถ้าพวกหนูช่วยได้จริงๆ งั้นก็ช่วยอาม่าด้วย”
“แม่...ไปเชื่ออะไรกับคำพูดคนไม่เต็ม แค่บอกว่าเห็นผีก็ประสาทแล้ว นี่ยังมาบอกว่าสื่อสารพูดคุยกับผีได้อีก”
“เออ ยัยแก้ม ยัยเนตร ไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะช่วยคนพรรค์นี้”
สุคนธรสเดินออกไปทันที กรรัมภากับเนตรศิตางศ์อึกอักรีบวิ่งตามไป
“อาหลิว...อั๊วคิดถึงลื้อ อยากคุยกับลื้อ”
ไตรรัตน์มองอาการของอาม่าที่น่าเวทนามาก รู้สึกสงสาร
สุคนธรสเดินออกมา กรรัมภากับเนตรศิตางศุ์รีบเดินตามมา
“ยัยรส แกจะไม่ช่วยอาม่าจริงๆ เหรอ”
“แกไม่ได้ยินที่อีตาไตวายมันว่าพวกเราเหรอ แกไม่เห็นสายตาที่มองเราเหมือนเป็นตัวประหลาดเหรอ...พอกันที”
“ชั้นเห็นด้วย ไป กลับบ้าน”
อยู่ๆ ไตรรัตน์ก็ตามออกมา
“เดี๋ยว” สามสาวชะงัก มอง รอว่าไตรรัตน์จะพูดอะไร ไตรรัตน์ทำหน้าตาอึกอักไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองต้องพูดเช่นนี้ แต่ก็ต้องพูด “ช่วยอาม่าผมด้วย...”
สามสาวกลับมาที่ห้องอาม่า สุคนธรสมายืนที่ข้างเตียงมองอาม่าด้วยความสงสารและเห็นใจ โดยไม่เห็นว่า จริงๆ แล้ว อากงก็นั่งมองอาม่าอยู่ตรงนั้น
“อากงคะ...หนูอนุญาตให้ใช้ร่างหนูได้ค่ะ”
สุคนธรสหลับตาลงตั้งจิตแล้วยื่นมือออกมา อากงมองสุคนธรส ยิ้ม ขอบใจแล้วเอามือประสานกับมือสุคนธรส ทันใดภาพหมุนคว้าง สุคนธรสลืมตาอีกครั้งแววตาเปลี่ยนไป น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นเสียงอากง
“อาโจโจ้”
เจ๊หญิงกับเสี่ยจำเริญอึ้งที่เสียงของสุคนธรสเป็นเสียงชายแก่
“อาป๊า...เสียงอาป๊าจริงๆ ด้วย”
เจ๊หญิงน้ำตารื้นด้วยความตื้นตัน ไตรรัตน์ยังไม่อยากจะเชื่อ สุคนธรสกุมมืออาม่าขึ้นมา มองตากัน อาม่าแวว
ตาสั่น ตื้นตัน ดีใจสุดซึ้ง เพราะภาพที่อาม่าเห็นคนที่กุมมืออยู่ตรงหน้าคืออากง
“อาหลิว”
“อาโจโจ้ อั๊วคิดถึงลื้อเหลือเกิน”
“อาหลิว อั๊วอยากไปอยู่กับลื้อ พาอั๊วไปอยู่ด้วยนะอาหลิว”
“อั๊วพาลื้อไปไม่ได้ มันยังไม่ถึงเวลาของลื้อ”
“แต่อั๊วไม่อยากอยู่ ถ้าไม่มีลื้อ”
“ลื้ออย่าร้องไห้ เวลาลื้อร้องไห้เพราะอั๊ว อั๊วทรมานมาก อั๊วอยากจะปลอบลื้อก็ทำไม่ได้...อั๊วไม่อยากให้ลื้ออ่อนแอ ลื้อจะต้องเข้มแข็ง ลื้อต้องอยู่ดูแลลูกหลานเหลนของเราต่อไป...รับปากอั๊วนะ ลื้อไม่ต้องห่วง เมื่อเวลาของลื้อมาถึง อั๊วจะรอลื้ออยู่ที่นั่น ตรงที่มีแสงสว่าง อั๊วจะรอลื้อเสมอ แล้วเราจะได้อยู่ด้วยกันอีกอั๊วสัญญา”
อากงหอมหน้าผากอาม่าอย่างรักใคร่ เจ๊หญิง เสี่ยจำเริญ กรรัมภา เนตรศิตางศุ์น้ำตาไหล มีเพียงไตรรัตน์ที่ไม่อยากเชื่อจึงสับสนและไม่เข้าใจ
เนตรศิตางศ์เห็นวิญญาณอากงออกจากร่างสุคนธรส ร่างสุคนธรสอ่อนแรงลงไป สลึมสลือ ไม่ถึงกับสลบ อากงหันมายิ้มให้สามสาว
“แท้งกิ้วพวกลื้อมาก...อารส อั๊วยกอาไตรให้ลื้อ ฝากดูแลด้วยนะ”
ไม่มีใครได้ยิน สุคนธรสก็ยังคงมึนอยู่
เหตุการณ์นี้ทำให้ไตรรัตน์นัดเจอกับณัฐเดชที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในค่ำวันเดียวกันนั้น ณัฐเดชอึ้งแทบสำลักน้ำที่กำลังดื่มกับสิ่งที่ไตรรัตน์บอก
“ยัยรสเป็นอาชญากร”
“ชั้นก็ฟันธงได้เลยว่า อาชญากรยกแก็งค์...มีเทคนิคการสะกดจิตหมู่ ชอบเล่นละครตบตาชาวบ้าน เผลอๆ จะเป็นสิบแปดมงกุฎที่ร้ายยิ่งกว่าไอ้หมอผีสมคิดซะอีก เพราะใช้ความเป็นผู้หญิงมาล่อลวงคน แกรีบไปบอกให้น้องแกเลิกคบคนพวกนี้ซะก่อนที่จะหลวมตัว ลงลึกเข้าขั้นวิกฤติกว่านี้”
“เดี๋ยวๆๆ ชั้นว่าแกนั่นแหละ กำลังเข้าใจผิดอย่างลงลึกเข้าขั้นวิกฤต”
“ชั้นเห็นกับตาว่ายัยทอม กล้าขนาดจะเอามีดแทงอาม่า แล้วน้องแกกับเพื่อนก็เห็นดีเห็นงามด้วย บอกว่ามันคือมีดหมอ นี่มันอันตรายมากนะเว้ย”
“แกไม่คิดบ้างเหรอ ว่า...มันอาจจะ...”
“เป็นเรื่องจริง...มามุขนี้ประจำ”
“สิ่งที่แกไม่เคยเห็น ไม่ได้แปลว่าไม่มี”
“สรุปว่า...แกเชื่อเรื่องมีดหมอ พระเครื่อง เครื่องรางของขลังอะไรพวกนั้น”
ณัฐเดชอยากบอกความจริง แต่ก็ไม่อยากเผยความลับของห้าสาวจึงเลี่ยงตอบ
“เอาเป็นว่าแกสบายใจได้ ชั้นมั่นใจว่าหลังจากนี้ อาม่าแกจะอาการดีขึ้นแน่...เชื่อชั้นเถอะ ยัยสุคนธรสไม่ได้คิดร้าย แต่กำลังช่วยอาม่าแกอยู่”
“ช่วย?”
“พอๆๆ” ณัฐเดชตัดบท “จบเรื่องของแก ทีนี้มาห่วงเรื่องชั้นบ้าง ชั้นต้องไปทำคดีที่พัทยากับ...ไอ้หมอวรวรรธ”
“อะไรวะ ชั้นยังไม่เคลี..ย..ร์..ห๊ะ!...กับหมอวรวรรธ....ที่ทำให้แก...กับ...” ณัฐเดชพยักหน้ารับ”เฮ้ย...แล้ว...แกไหวมั้ยวะ”
“หึๆๆๆๆ”
“หัวเราะยังงี้ แปลว่าไหว?”
“หึๆๆๆๆ หุๆๆๆๆ ไม่ไหว”
ณัฐเดชเศร้า ไตรรัตน์กังวลเป็นห่วงเพื่อน
คืนเดียวกันนั้นที่บริษัทซิกธ์เซ็นซ์เสียงระเบิดราวกับปืนกล ตามด้วยเสียงโครมครามเหมือนของหล่นกระจาย
ญาณิน สุคนธรส กรรณา กรรัมภา วิ่งกรูเข้ามาในครัว สุคนธรสที่มาถึงเป็นคนแรกเบรกเอี๊ยดหน้าห้องครัว
“เฮ้ย”
“โอ๊ย! หยุดทำไมล่ะยัยรส ฉันเจ็บนะ” ญาณินชนสุคนธรส
“พวกเธอเห็นเหมือนที่ฉันเห็นรึเปล่า”
“เห็น”
ร่างขาวโพลนซึ่งมีรอยเลือดสีแดงฉานเประทั้งตัวยืนอยู่ในครัวท่ามกลางแสงดวงจันทร์เพียงน้อยนิดที่ลอดหน้าต่างมา เสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยง ทำให้ทั้งสี่สาวสะดุ้ง
“ไหนว่าสายสิญจน์ของเธอศักดิ์สิทธิ์ไงรส ทำไมผีเข้ามาได้ล่ะ”
“ฉันท่องคาถาอย่างดีแล้วนะ แต่ผีบ้าอะไรวะเหม็นไหม้ชะมัด”
“ฉันทั้งได้กลิ่น ทั้งเห็นด้วย ทั้งๆ ที่ฉันควรจะได้ยินอย่างเดียวไม่ใช่เหรอ”
“มียายเนตรคนเดียวที่เห็นผีไม่ใช่เหรอ” ญาณินเพิ่งนึกได้ “เออ! ยายเนตร ยายเนตรหายไปไหน”
เนตรศิตางศุ์โผล่ขึ้นมาจากหลังเคาท์เตอร์หน้าตามอมแมม
“เนตร”
“ทำไมทำหน้าอย่างกับเห็นผีล่ะ” เนตรศิตางศุ์ถาม
“พวกฉันเห็นผีจริงๆ”
“ไหนๆ”
กุมาริกาและผีเจ้าที่โผล่มาด้านหลังสี่สาว
“ไม่ใช่หนูนะ”
“ไม่ใช่ชั้นด้วย”
สี่สาวหันไปตามเสียง
“ไม่ใช่ทั้งกุมารีและก็ท่านเจ้าที่แล้วเป็นผีอะไรล่ะ?”
“ไม่ใช่ผีค่า...ป้าออเอง” เสียงป้าอรวรรณยานคาง
“ป้าออ”
ทั้งกุมาริกาและผีเจ้าที่ขำก๊าก กรรณารีบเปิดสวิตช์ไฟในห้องครัวจึงเห็นว่าเป็นป้าอรวรรณ
“อยู่กันมาตั้งนาน ยังคิดว่าป้าเป็นผีซะได้”
“โถๆๆ แต่ช้าแต่ อย่าน้อยใจนะคะป้า...ใครให้อยู่กันมืดๆ ในห้องครัวละคะ แล้วนี่เล่นอะไรกันถึงเลอะเทอะแบบนี้”
เตาอบเปิดค้างไว้ ถาดอบเละเทะ เศษอาหารกระจายทั่วเตา
“ถามคุณเนตรเอาเองละกัน”
“ก็...เนตรดีใจที่บริษัทเราได้งานเป็นเรื่องเป็นราวทั้งที เลยทำ...”
“ทำอะไร”
สุคนธรส ญาณิน กรรัมภา กรรณาถามออกมาพร้อมกัน
ป้าอรวรรณเช็ดเนื้อเช็ดตัวแล้วกับเนตรศิตางศุ์เดินเข้ามา กุมาริกาลอยตัวไปรอบๆ แบบลูกโป่งมีผีเจ้าที่คอยเดินถือเชือกดึงไว้
“ลาซานญ่าปลาอบพริกแกงแดงภูเขาไฟระเบิด กับเค้กมะเขือเทศสีดาสอดไส้สารพัดถั่วน่ะจ้า”
เนตรศิตางศุ์บอก ทุกคนหน้าหุบ
“ห๊ะ”
“ลั้นลาๆๆๆๆ”
สุคนธรสเงยจากคอมพ์ฯ กรรัมภากำลังดูแมกกาซีนตกแต่งบ้านของฝรั่งต่างๆ เต็มโต๊ะพร้อมเต้นไปด้วย ญาณินนั่งขัดสมาธิ หน้าตัวอย่างแผ่นกระเบื้องดินเผาขนาดและแบบต่างๆ สำหรับปูพื้นที่เรียงเต็มตรงหน้า กรรณากำลังระบายสีน้ำ แปลนออกแบบจัดสวนและแลนสเคปในกระดาษเขียนแบบที่โต๊ะตน
กุมาริกาตกตุ้บลงมาเกาะหลังป้าอรวรรณ ป้าอรวรรณรู้สึกเหมือนมีอะไรมากระทบ มองรอบๆ หวั่นๆ โดยไม่รู้ ว่ามีเด็กเกาะคอ ระแวงๆ ทุกคนเห็นกุมาริกากับเจ้าที่ยกเว้นป้าอรวรรณ ป้าอรวรรณหันซ้ายหันขวาพึมพำเบาๆ
“หนูกุมารี ป้ารู้นะว่าหนูแกล้งป้า เมื่อกี้ก็แกล้งทำชามแป้งตกใส่ป้าจนเละไปหมดเลย”
ป้าอรวรรณไปแอบหลังญาณิน กรรัมภาจึงพูดตัดบท
“คือ เอ่อ...เนตร...โอกาสพิเศษแบบนี้ เนตรอย่าทำเองเลยจ้ะ ไม่ดีหรอก”
“ใช่ๆๆ คุณเนตรอย่าทำเลยค่ะ พวกเราพากันไปฉลองกันตามร้าน ให้สนุกสุดเหวี่ยงแบบไม่ต้องแคร์สื่อเลยดีกว่า” ป้าอรวรรณสนับสนุน กรรณา ญาณิน สุคนธรส กุมาริกาจึงแข่งกันส่งเสียงเซ็งแซ่
“เห็นด้วยที่สุด...ไปๆๆ/ที่ไหนดีล่ะ/เอาที่ใหม่ๆนะ/เอาที่อร่อยๆ/เอาที่สนุกๆ/เอาที่แปลกๆ สิ”
ผีเจ้าที่ขัดจังหวะ
“คุณเนตร พี่ชายสุดเฮี๊ยบมาครับ”
ณัฐเดชเดินเข้ามา
“เอะอะอะไรกันเป็นนกกระจอกแตกรังเชียว สาวๆ ...ยัยน้องหนู โทษที วันนี้พี่มารับช้า เพราะต้องเตรียมตัวเพื่อไปทำงานที่พัทยาวันพรุ่งนี้”
“ถ้างั้นพี่ณัฐรีบกลับไปพักผ่อนเถอะค่ะ เนตรกลับเองได้”
“ทุกวันนี้ผู้หญิงไปไหนมาไหนคนเดียวกลางค่ำกลางคืนมันอันตรายมากนะ ยัยหนูจะกลับบ้านเองได้ไง”
“เนตรกลับได้”
“เดี๋ยวนะคะๆ พรุ่งนี้พี่ณัฐ ต้องไปทำคดีที่ไหนคะ” ญาณินถาม
“พัทยา?”
ห้าสาวหันมามองหัน ตาวาวเป็นประกาย
“พัทยา...เยส...”
กุมาริกาขึ้นไปลอยรอบๆ
“พัทยาๆๆ” ผีเจ้าที่คอยจับเชือก
“ใช่ๆ พัทยาๆ”
ญาณินเงยหน้าไปดุๆ
“ใครมีหน้าที่เฝ้าออฟฟิศ ก็ไม่เกี่ยวนะ”
“โหววว เซ็งเป็ด” กุมาริกาตกลงมา ผีเจ้าที่อุ้ม
“นั่นดิ”
“คุณญาณิน...พูดกับ...ใครคะ” ป้าอรวรรณถามอย่างระแวงๆ พวกสาวๆ หัวเราะ ไม่ยอมบอก
วันต่อมาห้าสาวตามณัฐเดชมาเที่ยวพัทยา เมื่อถึงพัทยาห้าสาววิ่งกรี๊ดกร๊าดลงมาที่ริมชายหาดอย่างสนุกสนาน ร่าเริง เนตรศิตางศุ์กำลังจะวิ่งตามไปเป็นคนสุดท้าย แต่ณัฐเดชดึงตัวมากำชับ
“บานาน่าโบ๊ต,เจ็ทสกี,สปีดโบ๊ต...ห้าม ถ้าจะไปไหน ต้องโทรบอกพี่ก่อนทุกครั้ง และถ้าพี่โทรมาต้องรับสายทุกครั้ง..เข้าใจมั้ย”
“พี่ณัฐต้องรีบไปทำคดีไม่ใช่เหรอคะ รีบไปสิคะ”
“ถ้าไม่รับปากพี่จะพากลับบ้านเดี๋ยวนี้”
เนตรศิตางศุ์เซ็ง จำต้องยอมรับปาก
“ค่ะๆๆๆๆ เนตรจะเชื่อฟัง ปฏิบัติตามคำสั่งทุกอย่าง เนตรจะเขียนชื่อเบอร์โทรของผู้ปกครองใส่กระเป๋าเสื้อเอาไว้ด้วย...ดีมั้ยคะ”
“พี่ณัฐ ลงมาเดินเล่นกันก่อนนะ...นะ...” กรรัมภาตะโกนเรียก
“พี่ณัฐไม่ว่าง ต้องรีบไปทำงานใช่ไหมคะพี่ณัฐ” เนตรศิตางศุ์รับบอก ณั๙เดชหัวเราะเบาๆ
“จ๊ะๆ...”
ณัฐเดชขึ้นรถขับออกไป เนตรศิตางศุ์เซ็งมาก แต่เพื่อนๆ ทั้งสี่วิ่งกลับมารุมล้อมดึงลากเนตรศิตางศุ์ให้ลงไปเล่นด้วยกัน เนตรศิตางศุ์กลับมาเฮฮาอีกครั้ง
ห้าสาวทำกิจกรรมชายหาดอย่างสนุกสนานก่อนจะพากันไปนั่งทานอาหารที่ร้านริมหาด ระหว่างรออาหารมือถือญาณินดัง ญาณินเห็นเบอร์ติณห์ก็ตื่นเต้นปนตกใจ แยกออกจากกลุ่มเพื่อนมารับสาย
“มีธุระอะไรไม่ทราบ”
ญาณินเก็กเสียงทันที
“เมื่อไหร่คุณจะเริ่มงาน”
“ชั้นก็กำลังทำงานให้คุณอยู่นะ ทีมงานทุกคนยุ่งมือเป็นระวิงเลย”
“ผมรีบนะ...ไม่ใช่ทำเล่นสนุก รีสอร์ทนี้มันคือทุกอย่างของชีวิตผม เข้าใจหรือเปล่า”
“เข้าใจ! บริษัทชั้นก็คือทุกอย่างของชีวิตชั้นเหมือนกัน”
“เรื่องเรือนไทย...”
“อย่ารื้อนะ...”
“ยังไม่ได้บอกว่าจะรื้อเลย”
“ถามหน่อยได้ไหม...คุณปู่คุณ...ท่านเป็นใคร คนเขาว่าอะไรท่าน”
“ไม่ใช่ปู่...คุณตา แกรนด์ปาเป็นพ่อของมายมอม”
“คุณตาก็คุณตา ตอนนี้คุณว่างๆ ทำบุญไปให้ท่านบ้างนะ”
“ว้อท”
“ท่านห่วงคุณมาก และมีบางอย่าง...ที่ท่านต้องการ”
“ว้อท”
“โอ๊ย...คำก็ว้อท สองคำก็ว้อท”
“อย่าบอกนะ ว่าคุณก็เกลียดกลัวตาผมเหมือนคนอื่นๆ”
“ไม่ใช่...แต่คุณจำไว้ ว่าท่านไม่ได้ฆ่าตัวตาย แต่ถูกฆาตกรรม” ญาณินบอกเสียงจริงจัง ทันใดนั้นโทรศัพท์ญาณินก็แบตหมด ดับวูบ “เย้ย...แบตหมด”
“Hey! ยูพูดแบบนี้แล้วจะวางหูใส่ไอไม่ได้นะ”
ติณห์พยายามโทรกลับแต่มีสัญญาณว่าขณะนี้ ไม่มีสัญญาณ ติณห์ฉุนผลุนผลันออกไปพอดีกับเพ็ญนภากำลังเข้ามา ติณห์ไม่สนเดินแทบชนเพ็ญนภาแล้วรีบไป
“อ้าว ติณห์...ติณห์จะไปไหน ติณห์”
เพ็ญนภารีบตาม
The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 3 (ต่อ)
ติณห์เดินมาที่เรือนไทยยังไม่ทันได้ขึ้นไป เพ็ญนภาวิ่งตามมาดึงรั้งเอาไว้
“ติณห์...อย่าๆๆ จะเข้าไปทำไม เดี๋ยวก็ได้เลือดอีกหรอก” ติณห์ไม่ตอบจ้องไปที่เรือนไทย อย่างคิดหนัก สับสน
เพ็ญนภาเห็นสีหน้าแววตาของติณห์ “ถ้าเรือนไทยมันขัดหูขัดตาติณห์ขนาดนั้น ติณห์จะเก็บเอาไว้ทำไม รื้อทิ้งไปเลย...คือ ถ้าเป็นความทรงจำดีๆ ก็ควรเก็บไว้ แต่...”
“ผม...ผมไม่รู้ ที่จริง มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
เพ็ญนภายื่นนามบัตรให้
“นี่คะ นามบัตรผู้รับเหมา บริษัทนี้ทำงานดีและไวเริ่มงานได้ทันที”
“แต่ผมรับปากจะจ้างบริษัทซิกธ์เซ้นซ์แล้ว เค้าเห็นว่าควรเอาเรือนไทยนี้ไว้”
“ติณห์ยังไม่ได้เซ็นต์สัญญาซะหน่อย พวกนั้นฟ้องร้องอะไรไม่ได้ อย่างมากเราก็จ่ายค่าเสียเวลาไปไม่กี่ตังค์หรอก”
“สัญญาของผมไม่ได้อยู่ที่ลายเซ็นในกระดาษ แต่อยู่ที่คำพูด ผมพูดคำไหนคำนั้น”
ติณห์เดินกลับออกไป
“ติณห์ รอด้วย...”
เพ็ญนภาจะตามไป แต่ส้นรองเท้าปักลงไปในดิน เพ็ญนภาพยายามดึงออก ใช้แรงมาก พอดึงออกมาได้ก็เซ จนส้นเข็มหัก เพ็ญนภาล้มไปกับพื้น เสื้อผ้าและแข้งขาเลอะๆ
ต้นไม้ไหวๆ นกร้อง ราวกับเสียงหัวเราะเยาะ เพ็ญนภาสยองๆ รีบลุกกระเผลกไป
ส่วนที่บ้านเสี่ยจำเรญิ ขณะนั้นไตรรัตน์ขับรถเข้ามาจอดที่บ้าน เห็นเสี่ยจำเริญกับเจ๊หญิงกำลังรับรองหาญกับกล้าอยู่ที่มุมนึงของบ้าน ไตรรัตน์อึ้ง รีบเดินบุกไปหาทันที
“ป๊า แม่...ผมไม่ต้อนรับพวกหมอผีรายไหนอีกแล้วนะ”
ไตรรัตน์โวยอย่างเปิดเผยและจ้องหน้าหาญกับกล้าอย่างท้าทาย
“เฮ้ยๆๆๆ เจ้าไตร มีมารยาทหน่อย หมอสมคิดอุตส่าห์มีน้ำใจ ให้นายหาญกับนายกล้า เอายาบำรุงมาฝากอาม่า แล้วก็ฝากแกด้วย ยังไม่รู้จักขอบคุณอีก”
“ยาบำรุง อีกกี่แสนล่ะ”
“ตาไตร...ทำไมแกต้องต่อต้านทุกคนที่มีพระคุณกับแกด้วย ทั้งหมอสมคิด ทั้งหนูสุคนธรส ทุกคนเป็นผู้วิเศษที่สวรรค์ส่งมา”
“ช่าย คนนึงก็ให้พระระดับหนึ่งในเบญจภาคี”
“ถูก...คนนึงก็ช่วยบ้านเรามาตลอดๆ”
“อ้อ คนที่ให้พระรอด...ชื่ออะไรนะครับ” หาญถามอย่างสนใจ
“สุคนธรส...ทำไม รู้จักกันรึไง”
“อือ... สุคนธรสเหรอครับ”
“สุคนธรสๆๆๆ...ดีครับ เอาจารย์สมคิดท่านจะได้หมดห่วง”
หาญกับกล้าสบตากัน
หาญกับหล้านำเรื่องนี้มาบอกหมอผีสมคิด
“ผู้หญิงเหรอ”
“ชื่อ สุคนธรส ก็น่าจะต้องเป็นผู้หญิงแน่นอนครับ”
“อาจจะเป็นสาวประเภทสองก็ได้นะ เมื่อก่อนชื่อนายสุคน พอเป็นสาวเลยกลายเป็นสุคนธรส ฮะๆๆๆ”
ผมอผีสมคิดกับหาญหันมาจ้องกล้าเขม็งไม่ตลกด้วย กล้าจ๋อย รีบกลับคำพูด
“ต้องเป็นผู้หญิงแท้แน่ครับ”
“อาจารย์จะให้พวกเราไปสืบหาตัวยัยสุคนธรสคนนี้มั้ยครับ”
“ไม่ต้อง ข้า...จะหามันให้เจอด้วยวิธีของข้าเอง พระรอดแต่มันก็ไม่รอดแน่...หึๆ”
“ฮะๆๆๆๆ”
หาญกับกล้าร่วมหัวเราะด้วย หมอผีสมคิดเหล่มอง
“เป็นลูกน้อง อย่าหัวเราะดังกว่า”
สองสมุนหุบปาก เงียบกริบ
หมอผีสมคิดยืนอยู่หน้าแท่นกระถางกำยานที่ห้องทำพิธีกรรม หาญกับกล้าเข้ามา ยื่นโกศโลหะส่งให้ หมอผีสมคิดรับมา แล้วเอาโกศวางไว้กลางกระถางนั้น หมอผีสมคิดเริ่มบริกรรมคาถาโกศนั้นสั่นๆๆเหมือนมีอะไรดิ้นเร่าอยู่ภายในพร้อมจะระเบิดออกมา จนกระทั่งเกิดควันสีแดงเลือดไหลเรี่ยออกมาจนล้นกระถางกำยาน ไหลเรี่ยไปกับพื้น และเมื่อควันนั้นจางลง ปรากฏร่างซีดๆ ดำๆ ของ นายธรรม วิญญาณนักโทษที่โดนประหารชีวิตอยู่ในกระจกที่ตั้งอยู่ในห้องพิธีกรรม กำลังนั่งยองๆ เอาเล็บมือกรีดพื้น ส่งเสียงหวีด บาดลึก
“ไอ้ธรรม กูมีงานจะให้มึงทำ”
หมอผีสมคิดพูดใส่กระจกบานนั้น นายธรรมหันมาขวับเผยให้เห็นว่าเป็นผีไม่มีหน้า มีแต่ปาก ที่แยกเขี้ยว แสดงอาการว่าไม่อยากไปทำงานให้หมอสมคิด
“มึงก็รู้ ว่ามึงไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธคำสั่งกู” หมอผีสมคิดบริกรรมคาถา เกิดรอยคล้ายรอยไหม้รอบคอนายธรรม จนนายธรรมดิ้น ส่งเสียงแหลม ทรมานอย่างที่สุด
“ถ้าไม่อยากทรมาน ก็อย่าขัดคำสั่งกู...ไป” วิญญาณนายธรรมหายตัวไป “หึๆๆ”
ไตรรัตน์เดินขึ้นมาบนห้องเปิดตู้เสื้อผ้าออก ค้นหานาฬิกาหรือของประดับบางอย่าง ฝาตู้เสื้อผ้าติดกระจก ภาพผ่านกระจกเห็นวิญญาณนายธรรมนั่งอยู่ที่พื้นมุมหนึ่งของห้องหันมองไตรรัตน์
พระรอดที่ไตรรัตน์ห้อยหลุดออกนอกเสื้อที่ใส่มา แกว่งไปมา พร้อมมีแสงแห่งธรรมสว่างออกมาแสดงพลังพุทธคุณอย่างแรงกล้าคอยคุ้มครองไตรรัตน์อยู่วิญญาณนายธรรม นั่งยองๆ เล็บกรีดพื้นเพราะเข้าไปจัดการไตรรัตน์ไม่ได้ ไตรรัตน์หาของเสร็จปิดประตูตู้เสื้อ เดินออกห้องไป
ที่ “โรงละครคาสซานดร้า” บริเวณหน้าโรงละครมีป้ายบิลบอร์ดขนาดใหญ่ของการแสดงเรื่อง “ฝันรักเดือนแรม เดอะมิวสิเคิ่ล” เป็นภาพน้องออนซ์นางเอกละครคนใหม่ในชุดแต่งงานพร้อมปีกผีเสื้อจัดเต็มยืนอยู่ ณัฐเดชกำลังขับรถจะถอยเข้าที่จอด แต่อยู่ๆ มีมอเตอร์ไซค์ช็อปเปอร์แล่นมาจอดตัดหน้า
“อ้าว คุณๆ ผมกำลังจะจอดไม่เห็นเหรอครับ”
ณัฐเดชต่อว่าจึงเห็นว่าเป็นหมอวรวรรธ หมอวรวรรธหันไปเห็น สะดุ้ง รีบพนมมือไหว้
“โทษทีครับ พี่ณัฐ ผมไม่ได้มองใครเลย เสียมารยาทจริง พี่มาก่อน...เชิญพี่จอดเถอะครับ”
“มาก่อน...หรือมาหลัง...ไม่สำคัญ...ในเมื่อ...นายจังหวะดีกว่า ก็เชิญตามสบาย”
“คือ...ผมไม่เห็นพี่จริงๆ ผมไม่ทันมองว่าพี่จองก่อนแล้ว ผมไม่ตั้งใจ”
“แกหมายความถึงอะไร”
“ที่จอดรถครับพี่”
“เรื่องปาดหน้าเค้ก นายเชี่ยวชาญอยู่แล้วหนิ ดี! ถ้าแกจอดแล้ว ฉันก็ไม่ต้องการจอดซ้ำ”
ณัฐเดชปี๊ดรถหนี ไปจอดอีกทาง
“เง้อ...โดนจนได้” หมอวรวรรธเกาหัว
ณัฐเดชลงจากรถ อยู่ๆ เสียงปาณัทก็ทักทายดังมา
“สวัสดีครับ ผู้กองณัฐเดช ใช่มั้ยครับ”
ปาณัท เป็นเจ้าของโรงละครท่าทางเป็นมิตรและสุภาพ
“คุณปาณัท เจ้าของโรงละครใช่มั้ยครับ ผมเพิ่งได้รับมอบหมายให้มาทำคดีคุณใบหม่อน” ณัฐเดชหยิบรูปใบหม่อนที่สอดไว้ในสมุดบันทึกออกมาให้ดู “ยังไงผมต้องรบกวนขอสอบถามคุณปาณัทหน่อยนะครับ”
“ผมยินดีช่วยทุกอย่างที่ผมทำได้เลยครับ ผมอยากให้ใบหม่อนได้รับความยุติธรรม เธอจะได้สงบสุขซะที”
“สงบสุข?”
หมอวรวรรธโผล่หน้ามาตรงกลางแบบสอดๆ แส่ๆ ยกมือแนะนำตัว
“ผมหมอวรวรรธครับ เป็นหมอนิติเวชมือหนึ่ง เพิ่งได้รับมอบหมายให้มาทำคดีคุณใบหม่อนเช่นกันครับ”
“หมอวรวรรธ...อาชีพหลักคือหมอนิติเวช ส่วนอาชีพเสริมยามว่างคือรับจ้างแทงข้างหลัง” ณัฐเดชบอก
“อ้าว...”
“แทงข้างหลัง...ยังไงครับ...หรือว่า...” ปาณัทมองทั้งสองสลับกันแบบกึ๋ยๆ อยู่ๆ มีเสียงกรี๊ดวี้ดว้ายและเอะอะดังมา “เอาอีกแล้ว!”
ในห้องแต่งตัวของโรงละครมีโปสเตอร์แปะอยู่เป็นภาพน้องออนซ์สวยงาม แล้วอยู่ๆ น้องออนซ์เดินเซโผมาแปะกับผนังตรงนั้นในสภาพเมาปลิ้น
“ไหวโว้ย ใครว่าช้านไม่ไหว ออนซ์หวายยยยยย มาๆๆๆ ...มาแต่งหน้า ทำผมให้นางเอก เร็วๆ โว้ย ไอ้พวกชักช้า”
น้องออนซ์โวยลั่นแล้วตะเกียกตะกายไปนั่งเก้าอี้ แต่พลาดไปโดนราวแขวนเสื้อผ้า
“ว้ายยย ยัยน้องออนซ์ อย่ามาแตะต้องชุดชั้น...เกิดเป็นชะนีก็น่าขยะแขยงพอแล้วยังเป็นชะนีเมาปลิ้นอีก” ลูกข่างโวยวาย
“ฮะๆๆ ชะนีก็ยังดีกว่ากิ้งกือยักษ์แบบพี่ข่าง...อ๊วก” น้องออนซ์ก้มลงทำเสียง แต่ไม่ได้อ้วกออกมาจริงๆ
“อร๊ายๆๆๆ”
“เฮ้ย ไอ้มาริโอ้ พาออนซ์ไปห้องน้ำไป” แองเจโล่บอก
“แกสิ แองเจโล่ เราไม่ถนัดเช็ดอ้วกคนนะ แม้จะสวยระดับนางเอกก็เถอะ”
ทั้งสองหันมามองลูกข่างแล้วพูดพร้อมกัน
“พี่ลูกข่างนั่นแหละ”
ปาณัทวิ่งเข้ามา หมอวรวรรธกับณัฐเดชตามมา
“เกิดอะไรขึ้น”
น้องออนซ์หยุดอ้วก หายเมา
“โอ๊ย” น้องออนซ์รีบโซเซไปกอดปาณัท “คุณปาณัทขา...ช่วยด้วย...ออนซ์ถูกพี่ลูกข่างกลั่นแกล้ง...ฮือ” น้องออนซ์บีบน้ำตา แต่ไม่มีน้ำตา
“ต๊าย นำหญิงออสการ์ ยัยรางวัลโนเบลสาขาสตรอเบอร์รี่...ใครไปทำอะไรหล่อนยะ”
ลูกข่างเงื้อจะเข้าตบ แองเจโล่กับมาริโอ้ช่วยห้ามกลายเป็นวุ่นวาย เอะอะ เฮ้ยโว้ยโฮกฮากใส่กัน
“เฮ้ย อะไรกันเนี่ย...ละครกำลังจะแสดงแล้วยังโวยวายหาเรื่องกันเองอยู่ได้ ชั้นไม่สนว่าใครถูกใครผิด ถ้าภายในหนึ่งชั่วโมงนี้ ใครยังไม่พร้อม ไม่สแตนด์บาย...ออกไปหางานอื่นได้เลย”
ทุกคนแยกย้าย
“แล้วนางเอก สภาพยังงี้...คนดูอาจเอาอะไรเขวี้ยงขึ้นมาบนเวทีได้นะครับคุณปาณัท” แองเจโล่บอก
“ผมอยากจะแนะนำ ให้น้องตุ้ม” มาริโอ้ชี้ไปที่สาวใส่แว่นคนหนึ่ง “ผู้กำกับเวทีมาแสดงแทน”
น้องออนซ์พุ่งถลา ผลักแองเจโล่กับมาริโอ้อย่างแรง
“ชั้นเกลียดพวกแก ชั้นเกลียดทุกคน กรี๊ดๆๆ” น้องออนซ์ตวาด ข่มขู่ “ลองสิ” น้องออนซ์คล้องแขนปาณัทอย่างสนิทสนม “ลองเอาคนอื่นมาเล่นบทของออนซ์สิ คุณได้เห็นดีแน่”
น้องออนซ์คว้าชุดนางเอก แล้วเดินเซชนทุกอย่างที่ขวางไปที่ห้องเปลี่ยนชุด หมอวรวรรธกับณัฐเดชมองตามไป แล้วหันมามองหน้ากันอย่างลืมตัว แล้วต่างเมิน เชิดใส่กัน
“ตัวเองก็แย่งบทคนอื่นมา ยังมีหน้ามาหวง”
“คิดถึงใบหม่อนเนอะ”
หมอวรวรรธ และณัฐเดช มองตามออนซ์เริ่มเป็นผู้ต้องสงสัยรายแรก แล้วหันมามองหน้ากันอย่างลืมตัวอีก แล้วต่างเมิน เชิดใส่กันอีก
(ต่อจากตอนที่แล้ว)
บรรยากาศหน้าโรงละครช่วงค่ำก่อนการแสดงเริ่ม ผู้คนในชุดสวยงาม หรูหรา เดินกันขวักไขว่ จิบนั่นจิบนี่ ทักทายเฮฮากัน อีกด้านหนึ่งกลุ่มคนแหวกออกเผยให้เห็นพวกสุคนธรส ญาณิน กรรัมภา กรรณาและเนตรศิตางศุ์เดินฝ่ามา
ทั้งหมดอยู่ในชุดสวยออกงาน เดินมาเป็นแผง ดูโดดเด่นสุดๆ หนุ่มๆ ในงานมองกันเกรียว
“สวยทะลุมิติใช่มั้ยล่า”
พวกห้าสาวหัวเราะคิกคักที่พวกตนโดดเด่น มือถือกรรณาดัง
“ฮัลโหล โทรหากรรณทำไมคะพี่ณัฐ...อ๋อ พวกเรามาดูละคร...”
เนตรศิตางศุ์ตกใจ รีบแย่งมือถือมา
“พี่ณัฐๆๆๆ...อ๋อ พวกเราอยู่ที่โรงแรมค่ะ ไม่ได้ออกไปไหน กำลังดูละครอยู่ มือปราบพ่อลูกอ่อนสนุกมว้ากกกกกก...อะไรนะคะ...เสียงดัง...อ๋อ ยัยแก้มเบาเสียงทีวีหน่อย”
กรรัมภางง ทุกคนงงๆ เนตรศิตางศุ์รีบป้องมือถือแล้วรีบวิ่งหาที่สงบๆ
ณัฐเดชหลบมุมอยู่ด้านหนึ่งฟังโทรศัพท์อย่างแปลกใจ สักพักเนตรศิตางศุ์วิ่งมาหลบมุมใกล้ๆ กับณัฐเดช แต่ไม่เห็นกัน
“ยัยหนู...แน่ใจนะว่าไม่ได้แอบหนีไปเที่ยวกลางคืนที่ไหน แล้วไม่บอกพี่”
“อยู่โรงแรมจริงๆ ค่ะ...พวกเราว่าจะนอนเร็ว เพราะพรุ่งนี้จะตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้น แล้วก็ใส่บาตรตอนเช้าด้วย...ฮ้าววว...พี่ณัฐทำงานเถอะค่ะ เนตรง่วงแล้ว แค่นี้นะคะ”
เนตรศิตางศุ์รีบวางสาย โล่งอก แล้วกำลังจะเดินไปทางที่ณัฐเดชยืนอยู่ แต่อยู่ๆ มีมือมาดึงไหล่เอาไว้ก่อน เนตรศิตางศุ์หันมาเป็นพวกญาณินนั่นเอง ทุกคนจ้องเนตรศิตางศุ์อย่างตำหนิๆ
“ชั้นก็แค่...ไม่อยากเป็นยัยน้องหนูเด็กสามขวบที่พี่ณัฐต้องประคบประหงมดูแลยี่สิบสี่ชั่วโมง ชั้นไม่อยากเป็นเด็กง้องแง้งในสายตาใคร”
พวกสี่สาวยิ้มออก ไม่เคือง ร่าเริง เนตรศิตางศุ์ถอดแว่นออกมาเช็ดน้ำตาที่เอ่อมาจากตาทั้งสองข้าง
“ไป เข้าโรงละครได้แล้ว”
ญาณินบอก เนตรศิตางศุ์จ้องมองสาวงามจากโรงละครที่มาเอ็นเตอร์เทนคนดูบริเวณด้านหน้าก่อนจะเหลือบไปเห็นสตรีในชุดราตรีสวยงามยืนเด่นอยู่บนพื้นยกสูงหน้าน้ำพุ
“คนนั้นสวยดีนะ นางเอกหรือเปล่าจ๊ะ” เนตรศิตางศุ์บอก
“คนไหนเหรอ?” กรรัมภาถาม
“อ้าว! ไปไหนซะแล้วล่ะ สงสัยมีคนเรียกไปถ่ายรูปมั้ง” เนตรศิตางศุ์ใส่แว่นกลับ ทั้งหมดไม่ได้สนใจ เดินเข้าโรงละครไป
บริเวณที่นั่งคนดูแถวกลางๆ ใกล้เวที หมอวรวรรธเดินแหวกคนดูเข้ามานั่งที่ตัวเองแล้วหันไปยิ้มให้สาวใกล้ๆ ตัว
ที่นั่งไกลออกไปพวกห้าสาวนั่งเรียงรายในที่นั่งคนดูพร้อมแล้ว ตื่นเต้นที่จะได้ดูละคร อยู่ๆ มือถือญาณินดังสนั่น คนที่นั่งหน้าและหลังต่างหันมามองญาณินด้วยสายตาตำหนิ ญาณิน ตกใจ รีบลนลานหยิบมือถือออกมาดูเบอร์
“นายติณห์... มีอะไรหรือเปล่า”
เพื่อนๆ หันมามอง ญาณินฟอร์มทำเป็นเบื่อๆ รำคาญ
“โทจังเลย โทจิดอยู่นั่นแหละ ไม่รู้เวล่ำเวลาเล้ย” ญาณินกดรับสาย ทำเสียงไม่แยแสโชว์เพื่อนๆ “มีอะไร”
“ผมไม่อยากเก็บเรือนไทยเอาไว้...คุณต้องรื้อมันทิ้งไป”
“อะไรนะ” ญาณินเสียงสูงอย่างลืมตัว คนดูข้างหน้าสองคนซึ่งเป็นสามีภรรยากันหน้าตาเหวี่ยงๆ หันกลับมาใส่ญาณิน...ชู่ว์ว์ “นายไม่เข้าใจเหรอว่า เรือนไทยมันเก๋ มันจะทำให้รีสอร์ทนายมีจุดเด่น” คนดูข้างหน้าหันมาชู่ว์ใส่อีก ญาณินจึงต้องลดเสียงลง “เชื่อชั้นเถอะ ชั้นยังไม่สะดวกคุยตอนนี้ เอาไว้สะดวกจะโทรกลับไป” ญาณินวางสาย
“อีตาฝรั่งเรื่องมาก เอาแต่ใจ ฮึ่ยยยย” คนดูข้างหน้าทำท่าจะหันมา แต่ญาณินชิงทำเองก่อน “ชู่ว์ว์! ชั้นรู้แล้ว ชู่ว์ๆอยู่ได้” พวกเพื่อนๆ มองญาณินอย่างกังวลๆ กลัวอดทำ ญาณินหันมายิ้มให้เพื่อนๆทุกคน “ไม่มีไรๆ ทุกอย่างโอเค”
เพื่อนๆ ถอนใจอย่างโล่งอก
ณัฐเดชโผล่ไปดูคนข้างในโรงละคร ลูกข่างอยู่ข้างๆ ดูวุ่นๆ จัดเสื้อผ้านักแสดง
“เมื่อก่อนที่นี่คนดูเต็มใช่มั้ยครับ” ณัฐเดชถามลูกข่าง
“ถูก! ที่เป็นอย่างงี้ก็เพราะ...” ลูกข่างยกมือไหว้ท่วมหัว “ขอเถอะนะจ๊ะ...วันนี้...”
ณัฐเดชเริ่มมึนกับคดีนี้
แองเจโล่และมาริโอ้ในชุดทักสิโด้ขาวปรากฏกายขึ้นมาจากความมืดคนละมุมเวที อยู่ในบทบาทผู้เล่าเรื่องของละครเวทีมิวสิเคิ่ล
“จะตามหา ไม่ว่าเธออยู่ไหน จะตามไป ให้ได้เธอคืนมา จะตามหา ถึงแม้จะไกลสุดฟ้า จะไขว่คว้า เธอมาแนบกาย..”
แองเจโล่ปรากฏอีกจุดหนึ่งบนเวที
“เรื่องราวของชายหนุ่มแสนซื่อ ที่ออกเดินทางเข้าไปในความฝันของหญิงสาวผู้เป็นเสมือนลมหายใจ”
“ความรักของเขาจะปลดปล่อยจิตวิญญาณของเธอให้เป็นอิสระได้หรือไม่ หรือเธอจะจมอยู่ในห้วงนิมิตนิทราตลอดกาล” มาริโอ้ผายมือ เปิดตัวนางเอกละคร ทันใดทุกอย่างบนเวทีฟรีซนิ่งไปดั่งต้องมนต์
น้องออนซ์ในบทบาทนางเอก อยู่ในชุดสีขาวสะอาด โหนสลิงลอยออกมา อย่างโดดเด่น สวยงาม พร้อมกับเสียงร้องเพลงของเธอที่กังวาน หวาน ละมุน สะกดทุกคนในโรงละคร
“ลา ล้าลาลาหล่า ลา..อึ้ก(สะอึก) ลา ล้าลาลาหล่า ลา..อึ้ก(สะอึก) ลา ล้าลาลาหล่า ลา...”
พวกคนดูฮือฮา ทึ่งๆ ปรบมือชอบใจ ห้าสาวเคลิ้มไปด้วย หมอวรวรรธปลื้มมากอ้าปากค้าง น้องออนซ์ลงถึงพื้นอย่างสง่า เซนิดหน่อย
“รัก คือการค้นพ...”
พอถึงท่อนเนื้อร้อง อยู่ๆ ดนตรีก็ชะงัก และกลับไปเริ่มต้นใหม่ น้องออนซ์อึ้ง แปลกใจ แต่ก็แก้ไขสถานการณ์ไป กำลังจะร้องใหม่อีกรอบ แต่ไฟทั้งห้องกลับมืดลง ทุกอย่างมืดและเงียบสงัด มาริโอ้กับแองเจลโล่ยืนอยู่ข้างเวที หันมองหน้ากัน
“ทำไมไฟดับ”
“ขอให้เป็นเพราะการไฟฟ้าเถอะนะ”
สาวๆ เริ่มสัมผัสสิ่งแปลกๆ ได้ตามเซ้นส์ของตัวเอง ขณะเดียวกันไฟสว่างวาบและมืดลงอีกครั้ง เนตรศิตางศุ์กลั้นใจโดยไม่รู้ตัว มือเย็นเฉียบ ลมเย็นโชยมาจนหนาวยะเยือก
“มีอะไรผิดปกติใช่มั้ย?” ญาณินถามขึ้นมา
“อือ...กลิ่นความโกรธเคือง” สุคนธรสบอก
“ฉันได้ยินเสียงคนร้องไห้สะอึกสะอื้น” กรรณาบอก
“แต่เนตรยังไม่เห็นนะ”
ท่ามกลางความมืด กลับมีอีกเสียงนึงร้องเพลงเดียวกันขึ้นมา แต่น้ำเสียงฟังดูวังเวง เหงา ชวนขนหัวลุก...ไฟสว่างขึ้นทันที ไฟแทบทุกดวงฉายไปที่ร่างใบหม่อนที่ลอยอยู่กลางโรงละคร ในชุดสีขาวสวยงาม โดดเด่นยิ่งกว่าน้องออนซ์ โดยไม่มีสลิงดึงไว้แม้แต่เส้นเดียว
“คราวนี้เห็นแล้วใช่มั้ยยัยเนตร”
กรรัมภาถาม เนตรศิตางศุ์ตาค้าง รีบเอาแว่นสวมทันที คนดูบางส่วนที่มองเห็น ต่างชอบใจ ปรบมืออีก
คนดูบางส่วนที่มองไม่เห็น แปลกใจ งงๆ แต่ก็ปรบๆ มือตามๆ กันไป ลูกข่างยืนมองจากหลังเวที ปาณัทวิ่งเข้ามาสมทบพอดี
“เสียงนั่นๆ มัน...” ลูกข่างตัวสั่น
“ใบหม่อน”
ผีใบหม่อนกำลังลอยตัวร้องเพลงแบบอินมาก จัดเต็ม
“คนนี้ล่ะที่ฉันบอกว่าสวย” เนตรศิตางศุ์บอก
“ไม่เห็นมีเลยยัยเนตร” ญาณินบอก
ขณะนั้นน้องออนซ์ยืนทื่อ ขาแข็งขยับไปไหนไม่ได้ หายเมาทันที
“เดอะโชว์มัสโกออน ห้ามหนี ห้ามทิ้งการแสดง เข้าใจมั้ย...” มาริโอ้บอก
“เธอคือนางเอก ทำตัวให้สมศักดิ์ศรีหน่อย สู้ๆ” แองเจโล่ดันตัวน้องออนซ์ไปกลางเวที ว่าแล้วแองเจโล่กับมาริโอ้ก็วิ่งแจ้นออกหลังเวทีไปพร้อมกัน
“เดี๋ยว...รอด้วยยยยย” น้องออนซ์เห็นท่าไม่ดี จะกลับเข้าหลังฉากบ้าง แต่ใบหม่อนลอยโผล่มาขวางหน้า น้องออนซ์ผงะ “ว้าย”
“แก ต้อง ตาย”
ใบหม่อนบอกเสียงดุดัน อาฆาต ว่าแล้ว ใบหม่อนก็กระชากน้องออนซ์ลอยกลับมากลางเวที
“ปล่อยนะ ยัยผีบ้า”
ใบหม่อนลากน้องออนซ์ลอยขึ้นจากพื้น ยังมีเสียงเพลงร้องดังอยู่ สลิงยังติดตัวน้องออนซ์อยู่ ใบหม่อนจับน้องออนซ์หมุนๆๆๆๆ จนสลิงเป็นเกลียว แล้วปล่อยให้สลิงคลายตัว จนน้องออนซ์หมุนติ้วๆๆๆ
“กรี๊ด!!!”
คนดูบางคนปรบมือ คิดว่าเป็นโชว์ คนดูบ้างส่วนเริ่มฮือฮา อื้ออึง ว่าทำไมทำแบบนั้น ลูกข่างค่อยๆ ก้าวขาถอยหลัง ก่อนหันหลังวิ่งเต็มสปีด
“ไม่อยู่แล้ว”
“หยุดเถอะใบหม่อน”
ปาณัทตะลึงกับสิ่งที่เห็น ทีมงานสองคนดึงปาณัทออกไป
“เค้าทำอะไรนางเอกละคร...เนตร มองสิ” ญาณินดึงแว่นเนตรศิตางศุ์ออก “แล้วบอกมาว่าเธอเห็นอะไร”
เนตรศิตางศุ์เห็นภาพตรงหน้า ผงะ ตัวแข็งทื่อ พูดไม่ออก และค่อยๆ เลื่อนมือมากุมมือของกรรัมภา ที่นั่งข้างๆ โดยไม่รู้ตัว
“อย่าจับมือ...”
กรรัมภาจะห้าม แต่ไม่ทัน กรรัมภาเห็นภาพแบบเดียวกับเนตรสิตางศุ์ทันที...ตึง!
“เพื่ออรรถรสในการรับชมละคร...เอาเครื่องเสียงหน่อยนะ” กรรณาจับมือกรรัมภาอีกด้านคราวนี้ทั้งภาพและเสียงมาครบ
เป็นภาพน้องออนซ์ที่ลอยขึ้นจากพื้น โดยมีผีใบหม่อนกำลังเอาลวดสลิงพันคอน้องออนซ์อยู่กลางอากาศ
“สี่มิติเซอราวด์รอบทิศทางเลย” กรรัมภาบอก
“สรุปว่าเกิดอะไรขึ้น” สุคนธรสถาม กรรัมภามองอย่างตะลึง
“เค้า...เค้าจะฆ่าผู้หญิงคนนั้น”
“หา” ญาณินตกใจ
“อย่านะ”
เนตรศิตางศุ์ร้องห้าม ผีใบหม่อนหันขวับมาจ้องเนตรศิตางศุ์ ทุกคนหันมามองเนตรศิตางศุ์รวมทั้งหมอวรวรรธ
“แก...แกเห็นชั้นเหรอ”
ผีใบหม่อนถามและปล่อยน้องออนซ์ร่วงลงพื้น ตาจ้องเขม็งมาที่เนตรศิตางศุ์ แล้วลอยมาหาเนตรศิตางศุ์
“ว๊าย! เธอลอยมาหาชั้นแล้ว” เนตรศิตางศุ์ร้องบอกอย่างตกใจ
“ไม่ต้องช่วยชั้น ช่วยกุชชี่ของชั้นก่อน”
“ทนกลิ่นยัยนี่ไม่ไหวแล้ว ผีอะไร กลิ่นเหมือนผ้าขี้ริ้วขึ้นรา” สุคนธรสหยิบผ้ายันต์ออกมา “นี่แน่ะ”
ผีร้ายร้องกรี๊ด
“ไม่รู้จักผ้ายันต์อาคมของแม่หมอสุคนธรสซะแร้ว”
ผีใบหม่อนกรีดร้อง จากสภาพที่สวยๆ กลายสภาพเป็นผี ทุกคนที่ทีแรกไม่เห็นใบหม่อนก็ค่อยๆ เห็นร่างใบหม่อนเผยตัวออกมา พวกห้าสาวก็เห็นกันครบทุกคน
“ผะๆๆ ผี! จ๊าก!”
พวกคนดูเห็นผีใบหม่อน ต่างตกใจ แตกตื่น วิ่งหนีอลหม่าน น้องออนซ์ถูกทีมงานช่วยกันพาตัวออกไป...หมอวรวรรธหันไปเห็นพวกห้าสาว
“เฮ้ย...ยัยนั่นมัน น้องสาวคนสวยของพี่ณัฐนี่”
หมอวรวรรธจะฝ่าคนเข้าไป แต่เข้าไม่ได้ ถูกเบียดดัน จนออกนอกประตูไป
The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 3 (ต่อ)
ณัฐเดชกำลังเดินสำรวจรอบๆ โรงละครอยู่ แต่แล้วก็มีเสียงกรี๊ดและก็เกิดความอลหม่านของผู้คนที่แย่งกันออกมาจากโรงละคร
“เกิดอะไรขึ้น”
ทีมงานประคองน้องออนซ์ผ่านมา
“นังใบหม่อน นังผีชั่ว ชั้นขอให้แกไม่ได้ผุดได้เกิด”
“ผีใบหม่อนเหรอ...”
ณัฐเดชพยายามจะถามทีมงาน แต่ไม่มีใครหยุดให้คำตอบ หมอวรวรรธวิ่งเข้ามาเรียกณัฐเดช
“พี่ณัฐ ไหนพี่ทำท่าว่าห่วงน้องนักห่วงน้องหนา แล้วพี่มายืนทำอะไรตรงนี้คร้าบ...ไม่รู้หรือไงว่าน้องสาวพี่อยู่ในนั้นกับผี”
“ยัยเนตรน่ะเหรอ? ป่านนี้นอนหลับปุ๋ยไปแล้ว”
“ผมเห็นกับตา...คุณน้องหนูแอนด์เดอะแก็งอยู่ในนั้น พี่ไม่เชื่อก็ตามใจ”
ณัฐเดชอึ้ง เครียด ห่วงน้อง
“ยัยเนตร...”
ณัฐเดชรีบวิ่งไป
ผีใบหม่อนกรีดร้อง ปวดแสบปวดร้อนจากผ้ายันต์อาคม
“โอ๊ยยยย โอยยยย โอ๊ยยยยย”
พวกห้าสาวยืนมองตะลึง
“ขนาดกรีดร้อง ยังมีลูกคอ สมกับเป็นนางเอกละครมิวสิเคิ่ลจริงๆ”
“จะยืนชื่นชมอีกนานมั้ย หนีก่อนเถอะ” ทุกคนจะวิ่งไป
“จะหนีไปไหน”
ผีใบหม่อนพุ่งไปคว้าตัวเนตรสิตางศุ์เอาไว้ได้ กระชากจนตัวลอยกลับมา
“ช่วยด้วยยยย”
“ยัยเนตร”
ผีใบหม่อนเอาเนตรสิตางศุ์มาแขวนไว้กับลวดสลิง ผีใบหม่อนดุร้าย กางเล็บมือที่ยาวเฟี้ยว แต่เพ้นท์เล็บเป็นลายผีเสื้อสยายปีกสีสดใส มาจ่อที่คอเนตรสิตางศุ์
“อย่าทำอะไรยัยเนตรนะ”
ผีใบหม่อนไม่มีท่าทีกลัวสุคนธรส หันไปสะบัดมือ ทำให้ประตูโรงละครทั้งหมดปิด ปังๆๆๆๆ จนในโรงละครเหลือแค่พวกห้าสาวและผีใบหม่อน
ณัฐเดชกดมือถือไปวิ่งไป กำลังจะเข้าประตูโรงละครแต่ติดผู้คนที่สวนมา พอจะเข้าได้ประตูปิดล็อคพอดี พยายามกระชากดึงเพื่อเปิดยังไงก็เปิดไม่ออก ณัฐเดชร้อนใจ
“ไปประตูข้าง...พี่ไปข้างนั้น...เดี๋ยวผมไปข้างนี้” หมอวรวรรธบอกแล้ววิ่งไป
ณัฐเดชกำลังจะวิ่งไป แต่มีคนรับสาย
“ยัยน้องหนู!อยู่ไหน! พี่หวังว่าคำตอบจะเป็น...” ณัฐเดชฟังแล้วช็อก “โรงละคร”
เนตรสิตางศุ์ห้อยหัวพูดโทรอยู่
“เนตรขอโทษ...เนตรอยู่ที่โรงละครจริงๆ...ตอนนี้เนตรยังปลอดภัยดี” ผีใบหม่อนยื่นหน้ามาใกล้ “เอ่อ...ค่ะ ใช่ค่ะ ในนี้มีผะ..” เกือบหลุดปากว่าผี “...เอ่อ มีปลวกค่ะ”
ผีใบหม่อนกระชากมือถือของเนตรกระเด็นไปไกล หน้าตาแค้น
“ชั้นไม่ใช่ปลวก” เนตรศิตางศุ์ไม่ได้ยิน
ณัฐเดชตกใจ พยายามเรียกเนตรศิตางศุ์
“ยัยหนู...น้องหนู”
หมอวรวรรธวิ่งกลับมา
“ประตูข้างก็ล็อกหมดเลยครับพี่ครับ ไม่มีทางเข้าไปด้านในได้เลย”
“งั้นก็พังประตูเลย...ย้าก” ว่าแล้วณัฐเดชก็กระโดดกระแทกประตู แล้วก็กระเด็นตกมาเจ็บเอง “อูยยย”
ผีใบหม่อนค่อยๆ กดเล็บลงไปที่คอของเนตรสิตางศุ์ที่หลับตาปี๋
“อย่าสร้างกรรมต่อไปเลยนะ มันจะทำให้เธอไม่ได้ไปผุดไปเกิด” ญาณินบอก
“ถ้าเธอให้พวกเราออกไป เราจะยกกระเป๋ากุชชี่ใบนี้ให้” กรรณาบอก
“เฮ้ย! กระเป๋าใบละเหยียบแสน ให้ก็บ้าแล้ว” กรรัมภาโวย
“แล้วที่พวกเธอใช้ยันต์ทำให้ชั้นเจ็บปวดล่ะ มันไม่ได้สร้างเวรกรรมเหรอ” ผีใบหม่อนบอก กรรณาพูดประโยคสุดท้ายเหมือนแปลให้ทุกคนฟัง
“เราไม่ได้มีเจตนาจะทำให้เธอเจ็บ เราพยายามหยุดเธอ ไม่ให้เธอทำบาปเพิ่มขึ้น” ญาณินบอก
“ชั้นไม่เชื่อ”
สุคนธรสหันมองที่ผีใบหม่อน แต่ผีใบหม่อนหายไปแล้ว
“อ้าว เฮ้ย ไปไหนแล้ว”
ผีใบหม่อนโผล่มาด้านหลัง
“แกตาย”
ผีใบหม่อนผลักพุ่งชนจนพวกสี่สาวกระเด็นกันไปคนละทาง สุคนธรสกำลังจะโงตัวขึ้นมา แต่ผีใบหม่อนโผล่มาบีบคอสุคนธรส กดจนหงายหลังติดกับพื้น ญาณิน กรรณา กรรัมภาล้มไปด้านหนึ่ง ญาณินกับกรรณาเห็นสุคนธรสอยู่ในอันตราย
“สุคนธรส”
กรรัมภาเห็นกระเป๋ากุชชี่กระเด็นหล่นอีกทาง
“กุชชี่”
“เฮ้ย?”
“เพื่อนก็ห่วง แต่...ก็กระเป๋ามันเพิ่งซื้ออ่ะ”
กรรัมภาจะคลานไปเก็บกระเป๋า เผลอแตะมือลงไปที่พื้นโรงละคร ทันใดเกิดอาการคล้ายไฟช็อต ภาพแว่บแปล๊บขึ้นมาในหัว เป็นภาพใบหม่อนเคยเป็นดาราดาวเด่นบนเวทีนี้ ในชุดนางเอก มีเลือดไหลออกจากตา ระหว่างทำการแสดงบนเวที ก่อนฟุบไป แก้วแชมเปญในมือใบหม่อนซึ่งเป็นอุปกรณ์ในการแสดงบนเวที กระเด็นมาตกตรงที่มือกรรัมภาแตะอยู่พอดี น้ำเหล้ากระจายเต็มพื้นตรงนั้น
ฉับพลัน ภาพน้ำเหล้าแห้งหายไปเป็นภาพปัจจุบันมือของกรรัมภาคลำๆๆ กรรัมภาเงยหน้าขึ้นมา
“เธอถูกฆาตกรรม”
ผีใบหม่อนชะงัก หันมาจ้องกรรัมภาราวกับจะฆ่าแกง ผีใบหม่อนผละจากสุคนธรส
“แกรู้เหรอว่าใครฆ่าชั้น...บอกมา ใครฆ่าชั้น”
“เค้าถามว่าใครฆ่าเค้า” กรรณาบอก
“ชั้น...ชั้นไม่รู้...” กรรัมภาบอก
“มันคือใคร”
“พวกเราไม่รู้ว่าใครฆ่าเธอ แต่พวกเราช่วยหาตัวฆาตกรให้เธอได้” ญาณินบอก ผีใบหม่อนชะงัก ญาณินตัดสินใจถอดจิตออกมาคุยกับใบหม่อน “เธอก็เห็นว่าพวกเราแต่ละคนทำอะไรได้บ้าง...เรารู้ว่าที่เธอคลุ้มคลั่ง วนเวียนพยาบาทอยู่ที่นี่ ไม่จากไปไหน...ไม่ใช่เธอไม่อยากไป แต่เธอยังไปไม่ได้จนกว่าจะรู้ว่าใครทำให้เธอตายใช่มั้ย...” ผีใบหม่อนนิ่ง อารมณ์เบาลง “ปล่อยพวกเรา แล้วเราจะช่วยวิญญาณเธอให้เป็นอิสระพ้นบ่วงพันธนาการต่างๆ...เราสัญญา”
“พวกแกไว้ใจไม่ได้”
เนตรศิตางศุ์หล่นลงมาจากสลิง ลงพื้นตุ๊บ...กลิ้งๆ
“พวกเราช่วยคุณได้จริงๆ เนตรสัญญา...สาบาน...ถ้าเนตรโกหกหลอกคุณ ขอให้ถูกฟ้าผ่าตายก็ได้...นะคะ”
จิตญาณินเข้าร่าง กายหยาบญาณินลืมตาขึ้น
“เราจะพิสูจน์ให้เธอดู”
ทั้งห้าสาวยืนเรียงแถวจับมือกัน ตั้งสมาธินิ่ง ผีใบหม่อนไม่เข้าใจว่าห้าสาวทำอะไรกัน ทันใดมีแสงสีขาวออกมาจากร่างทั้งห้าสาวสว่างแล้วแผ่รังสีแห่งความเมตตาไปสู่ร่างของใบหม่อน ร่างใบหม่อนที่มีกลุ่มรังสีสีดำ(ความโกรธ)ปกคลุมอยู่ก็เริ่มสลายไป พร้อมกับหน้าใบหม่อนกลับมาสดใส สวยเหมือนเดิม ใบหม่อนแววตาอ่อนลง
หมอวรวรรธถอยไปตั้งหลักไกล ตั้งท่าจะวิ่งพุ่งกระแทกประตู
“หลบๆๆ ผมเอง...หนึ่ง...สอง...ซั่ม”
แต่พอดีประตูเปิดออก ห้าสาวยืนอยู่หมอวรวรรธที่ออกตัวมาแล้ว รีบเบรกๆๆๆ แต่ก็ถลาๆ โผไปกอดเนตรศิตางศุ์ที่อยู่ตรงหน้าพอดี ทั้งสองคนยืนแนบชิดติดกัน
สายตาหมอวรวรรธ...เนตรศิตางศุ์หน้าตาปิ๊งปั๊งมาก สายตาเนตรศิตางศุ์...หมอวรวรรธยิ้มเก๋ หล่อ ชวนหลงใหล แต่แล้วก็มีวิญญาณผีโผล่มาจากหลังคอมากมายยังกะนาคปรก แต่เป็นผีปรกแทน เนตรศิตางศุ์ผลักหมอวรวรรธออกทันที
“ว้าย”
เนตรศิตางศุ์หลับตาปี๋ รีบหยิบแว่นดำออกมาสวมแล้วภาพผีเหล่านั้นก็หายไป เนตรศิตางศุ์โล่งอกในขณะที่หมอวรวรรธแปลกใจกับท่าทีของเนตร ณัฐเดชรีบวิ่งเข้าหาน้องสาว
“ยัยหนู...เป็นอะไรหรือเปล่า ปลอดภัยใช่มั้ย”
“ค่ะ...ไม่เป็นไรค่ะ”
“พี่ณัฐ แก้มขวัญหนีดีฝ่อค่ะ ปลอบแก้มหน่อยสิคะ”
“พี่ชายเพื่อนก็ยังไม่เว้น อำมหิตมาก” กรรณาต่อว่ากรรัมภา
“ทำไมเห็นหน้าผม แล้วคุณต้องตกใจด้วย” หมอวรวรรธถามเนตรศิตางศุ์อย่างแปลกใจ
“หน้าแกคงเหมือนผีมั้ง มานี่...”
ณัฐเดชลากเนตรศิตางศุ์ออกไป
“อ้าว หน้าเหมือนผีเหรอ...ออกจะหล่อเหลาขนาดนี้...หึๆ”
สี่สาวที่เหลือยืนจ้องหมอวรวรรธ ทำหน้าเพลียใส่ แล้วเดินแยกไป
ณัฐเดชยืนสอบถามเกี่ยวกับใบหม่อนหน้าโรงละคร มีผู้คนมากมายเดินวุ่นวาย รถตำรวจ 2-3 คันจอดเปิดไซเรน ตำรวจอื่นๆ พูดคุยกับผู้เกี่ยวข้อง
“เธอคือใบหม่อน...มนต์ลดา อดีตนางเอกละครเวทีดาวเด่นของเรา เธอจากไปขณะกำลังแสดงโชว์ชุดที่เพิ่งแสดงไปนั่นแหละครับ มันเป็นวันเปิดตัวโชว์ชุดใหม่เมื่อปลายปี”
“แพทย์นิติเวชระบุว่าเธอถูกวางยาพิษครับ แต่ไม่รู้มันคือสารพิษชนิดไหน”
“ครับ...ป่านนี้ยังไม่ได้เบาะแสฆาตกรเลยครับ”
ปาณัทดูเสียใจกับการจากไปของใบหม่อนมากเกินเจ้านายลูกน้อง ณัฐเดชแอบสังเกตเห็นได้
“แล้วเหตุการณ์แปลกๆ ระหว่างการแสดงโชว์เกิดขึ้นเมื่อไหร่ครับ”
หมอวรวรรธยืนพูดคุยกับแองเจโล่และมาริโอ้อีกมุมไม่ห่างกัน
“ห้าวันหลังจากใบหม่อนจากไปครับ โดยเฉพาะทุกชุดที่ใบหม่อนถูกวางให้เป็นนางเอก”
“เราพยายามให้คนอื่นมาแสดงแทน เหมือนเธอจะไม่ยอม ทุกโชว์จะสะดุด ไฟดับ เพลงขาดหาย”
“บางครั้งก็มีคนเห็นเงาวูบวาบบนเวที” แองเจโล่พูดแทรก
“จนทีมงานกลัว” มาริโอ้พูดแทรกกลับ
“นักท่องเที่ยวหดหาย” แองเจโล่ไม่ยอมรับ เริ่มกระแทก หมอวรวรรธเริ่มมึนแทน
“ครับๆ เข้าใจแล้ว”
แองเจโล่ มาริโอ้ เริ่มผลักอกกัน
“พูดแทรกอยู่ได้”
“ก็แกรู้เรื่องอยู่คนเดียวหรือไง”
“พอแล้วครับ พอเถอะครับ”
หมอวรวรรธคิดว่าแยกทั้งคู่ไม่ได้เลยเดินแยกออกมา ตรงไปหาสาวๆ ที่นั่งรอณัฐเดชแบบจ๋อยๆ
หมอวรวรรธเดินกำลังจะถึงกลุ่มสาวๆ ณัฐเดชมาจากไหนไม่รู้ตัดหน้าหมอวรวรรธแล้วลากเนตรศิตางศุ์ลุกออกมา สาวๆ ตามไป หมอวรวรรธยืนงง
“อะไรเนี่ย...มีแต่คนอารมณ์เสีย”
ณัฐเดชลากเนตรศิตางศุ์มาที่รถ พวกสี่สาวตามมา
“พี่ไม่อยากเชื่อเลยว่าเราจะกล้าโกหกพี่ ถ้าเป็นอะไรขึ้นมาจะว่ายังไง...ตั้งแต่นี้ไป พี่จะไม่อนุญาตให้เราไปไหนมาไหนอีกแล้ว”
“ห๊า!”
“ไม่ต้องโวย โกหกพี่ แล้วจะให้พี่ไว้ใจอีกเหรอ”
“แต่เนตรก็ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย เนตรโตแล้ว ดูแลตัวเองได้”
“งั้นกลับบ้าน แล้วดูสิว่าพ่อกับแม่จะว่ายังไง”
“เนตรไม่กลับ” เนตรศิตางศุ์ดื้อ ดึงมือออก เผลอชนณัฐเดช จนสมุดบันทึกหล่น รูปใบหม่อนโผล่ออกมา “พี่ณัฐทำคดีคุณใบหม่อนเหรอ”
“ไม่ต้องยุ่ง มันเป็นหน้าที่ตำรวจ” ณัฐเดชรีบเก็บรูป ปิดสมุดจะลากน้องสาวไป
“พวกเรารับปากคุณใบหม่อนว่าจะช่วยตามหาฆาตกรให้ได้...เนตรต้องอยู่ที่นี่”
“ถึงอยู่ก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก...นี่เนตร เราน่ะเห็นอะไรก็กรี๊ด ร้องไห้ ขี้กลัว ขวัญอ่อนยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น”
“เนตรไม่ได้เป็นอย่างนั้น”
เนตรศิตางศุ์สะบัดแขน วิ่งหนี พอดีหมอวรวรรธขี่มอเตอร์ไซค์มาตามทางจะออกจากโรงละคร อยู่ๆ เนตรศิตางศุ์วิ่งมาตัดหน้า หมอวรวรรธรีบเบรกเอี๊ยด ตกใจ
“ว้าย”
เนตรศิตางศุ์ยืนหลับตาปี๋ กลัวโดนชน
“อย่างนี้เหรอ ดูแลตัวเองได้”
ณัฐเดชต่อว่าน้องสาว เนตรศิตางศุ์หันไปจ้องณัฐเดชท้าทาย จะพิสูจน์ตัวเองจึงหยิบแว่นดำมาสวม ยกมือไหว้ขอผีที่ตามหมอวรวรรธมาแล้วขึ้นซ้อนท้ายหมอวรวรรธทันที
“เฮ้ย เนตร...ลงมา”
“พี่ณัฐคอยดูแล้วกัน ว่าคนอย่างเนตรทำอะไรได้บ้าง...ออกรถสิ เร็ว”
“ไอ้วรวรรธ แกอย่านะ”
“โทษทีครับพี่ ผมเซ้นซิทีฟว์กับคำสั่งผู้หญิง”
หมอวรวรรธขี่รถออกไปทันที
“ไอ้บ้าเอ้ย!”
ณัฐเดชร้อนใจ พวกสี่สาวเข้ามายืนประกบ ปลอบ
“ใจเย็นๆ ค่ะพี่ณัฐ พวกเรารู้จักยัยเนตรดี รับรองไม่ไปไหนไกลหรอกค่ะ”
“แต่พวกเธอไม่รู้จัก...ไอ้หมอวรวรรธ ว่ามันคือ...”
หมอวรวรรธขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดหน้าโรงแรม เนตรศิตางศุ์รีบโดดลง
“ให้พาหนีกลับมาโรงแรมเนี่ยนะ ไอ้เราก็นึกว่าจะประชดพี่ชายแบบหนีไปที่ไหนก็ได้ค่ะ...ให้ไกลสุดๆ...เฮ้อ...แรงไม่จริงนี่หว่า” เนตรศิตางศุ์เดินเข้าโรงแรมทันที แต่หมอวรวรรธรีบตามมาขวาง “เดี๋ยวๆๆ ไรเนี่ย...ใช้ให้พาหนี หรือพามาส่ง? เออๆ อะไรก็ช่าง...จะขอบคุณสักคำก็ไม่มี”
“ขอบคุณ”
เนตรศิตางศุ์จะเดินฝ่าไป แต่หมอวรวรรธไม่ยอมหลบยืนขวางอย่างนั้น เนตรศิตางศุ์ขยับหลบยังไง หมอวรวรรธก็ขยับขวาง หมอวรวรรธพยายามจ้องหน้าเนตรศิตางศุ์ แต่เนตรศิตางศุ์หลบตาไม่อยากมองหน้า
“ขอทางหน่อยค่ะ” อยู่ๆ หมอวรวรรธดึงแว่นดำของเนตรศิตางศุ์ออกซะงั้น “ว้าย...” เนตรศิตางศุ์รีบเอามือปิดตา “เอาแว่นชั้นคืนมา”
“ตอบผมมาก่อน ว่าคุณเป็นอะไร...ทำไมต้องตกใจ ทุกครั้งที่เจอผม แล้วก็ชอบเอาแว่นดำมาใส่ ทำท่ากลัวๆแบบนี้ด้วย...ทำไม”
“ชั้น...ชั้นไม่อยากมองหน้าคุณ”
“ทำไม หรือคุณตาเหล่”
“เอาแว่นคืนมา”
“อ๋อ ผมรู้แล้ว คุณกลัวว่าผมจะเห็นแววตาของคุณที่แอบปิ๊งผม...ใช่มั้ยล่ะ”
“หือ...อยากจะคิดอย่างนั้นก็ตามใจ แต่ขอแว่นชั้นคืนด้วย”
หมอวรวรรธขำ ที่เนตรศิตางศุ์ไม่ยอมลืมตาเด็ดขาด
“ผมคืนให้คุณก็ได้”
“เอามาสิ”
“แต่คุณต้องลืมตาก่อน แล้วผมถึงจะคืนแว่นให้ คุณอาจจะไม่อยากเห็นหน้าผม แต่ผมอยากเห็นตาคุณ ลืมตามองแค่วินาทีเดียว ไม่เป็นไรหรอก”
“นายนิสัยแย่อย่างนี้นี่เอง พี่ณัฐถึงไม่ชอบนาย”
“จะเอาแว่นหรือไม่เอา”
“เอา”
เนตรศิตางศุ์กลั้นใจลืมตาขึ้นมา แต่กลับไม่พบหน้าใคร เนตรศิตางศุ์งุนงงแล้วอยู่ๆ ก็มีมือของหมอวรรธเอื้อมมาจากด้านหลัง สวมแว่นดำให้เนตรศิตางศุ์
“เต็มใจเมื่อไหร่ ผมรอมองดวงตาของคุณอยู่นะ”
หมอวรวรรธกระซิบบอก เนตรศิตางศุ์เขิน อาย รีบก้มหน้าเดินไปแต่ผิดทางหมอวรวรรธบอก...ทางนี้!...เนตรศิตางศุ์รีบวิ่งกลับเข้าไปทันที หมอวรวรรธอมยิ้ม ขำๆ แต่พอหันมาณัฐเดชและพวกสี่สาวเข้ามา
“ไอ้หมอ! แกพาน้องชั้นเข้าโรงแรมเหรอ แก...ชั้นจะจับแกเข้าคุก”
ณัฐเดชจะเข้าไปเล่นงานหมอวรวรรธ กรรัมภารีบดึงไว้
“ใจเย็นค่ะพี่ณัฐ นี่มันโรงแรมที่พวกเราพักค่ะ”
“น้องสาวคนสวยของคุณพี่ เข้าไปแล้ว...อ้ะๆๆ ไม่ต้องขอบใจผมหรอกครับ ผมเต็มใจมาส่ง...” หมอวรวรรธจะไปแต่ชะงัก “พี่ณัฐครับ เราต้องทำงานด้วยกันอีกนาน เราก็น่าจะลืมเรื่องเก่าๆ แล้วมาดีกันดีกว่า...นะครับพี่ครับ” หมอวรวรรธยื่นมือให้จับ “เพื่องานราบรื่นไง” ณัฐเดชจ้อง ไม่ยอมจับมือด้วย “โอเค...ไม่เป็นไร ฮิๆๆ”
หมอวรวรรธเดินยิ้มๆ หัวเราะๆ ผ่านไป
“อะไรของมันวะ”
วันต่อมาที่ริเวอร์มูนรีสอร์ท เสี่ยปิยะพันธ์นึกฉุนเมื่อรู้ว่าติณห์ยืนยันที่จะจ้างบริษัทซิกซ์เซ้นส์มาสร้างรีสอร์ท
“มันตกลงจ้างพวกนั้นแล้วเหรอ”
“พ่อจะตกใจอะไร คนที่ต้องตกใจคือเพนนี เพราะบริษัทนี้เป็นผู้หญิงล้วน พวกมันไม่ได้ตั้งใจมาตกแต่งรีสอร์ทหรอก แต่มันตั้งใจมาจับติณห์”
“โอ๊ย มีลูกแต่ละคนดีๆ ทั้งนั้น พี่ชายแกก็สำมะเลเทเมา บ้านช่องไม่กลับ ส่วนแก...ดีแต่สวยไปวันๆ แต่ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ แล้วชาตินี้ชั้นจะได้ครอบครองที่ดินผืนนั้นของไอ้ติณห์มั้ย”
“คุณพ่อว่าแรงไปแล้วนะคะ ถ้าอยากได้ที่ดินก็ช่วยให้ติณห์ยอมรับรักหนูสิ ไม่ใช่เอาแต่บ่น”
“ชั้นไม่รอแกแล้ว ชั้นจะจัดการไอ้ติณห์มันเอง” เพ็ญนภาชะงัก
“คุณพ่อจะทำอะไรติณห์”
“ก็แค่จะสั่งสอนมันนิดหน่อย”
“คุณพ่ออยากจะทำอะไร ก็ทำแต่...ห้ามติณห์เป็นอะไรเด็ดขาด...ไม่อย่างนั้น เพนนีอาละวาดรีสอร์ทพังแน่” เพ็ญนภาคาดโทษแต่เสี่ยปิยะพันธ์ยิ้มออกมาอย่างร้ายกาจ
“หึๆๆ แกจะขอบใจชั้นแหละไม่ว่า”
ขณะนั้นติณห์ถือไอแพดเดินคุยสไคป์กับแม่อยู่
“ตาแกฆ่าตัวตาย ข่าวเค้าลงกันออกครึกโครม แกจะสงสัยอะไร...ตาแก ขี้โกง ไม่กล้าเผชิญความจริง...ถึงฆ่าตัวตายทำให้คุณยายของแก แม่กับพี่น้องๆ ป้าแก น้าๆ แก...ลูกคุณตาแกทุกคน...อายผู้คน จนต้องระเห็จมาอเมริกานี่ไง”
ทนายสมชาติจะเข้ามาหาติณห์ แต่ชะงัก ฟัง
“แม่พอจะรู้จักเพื่อนคุณตา หรือใครก็ได้ ที่จะรู้เรื่องคุณตาไหมครับ”
“คนรุ่นนั้นเค้าลงหลุมไปกันหมดแล้ว พอๆๆ เลิกพูดเรื่องพ่อชั้นได้แล้ว ชั้นไม่อยากฟังให้มันปวดใจ เข้าใจไหม ติณห์”
“งั้นก็...แค่นี้นะครับแม่”
ติณห์กดตัดสายทันที เครียด เซ็ง
“คุณติณห์สงสัยว่าคุณหลวงไม่ได้ฆ่าตัวตายเหรอครับ” ทนายสมชาติถามขึ้นมา
“ทนายสมชาติ...อื้อ งี่เง่าใช่มั้ยล่ะ ผมไม่น่ามาเสียเวลาสงสัยเรื่องไร้สาระนี่เลย”
“ไม่หรอกครับ ไม่ไร้สาระ เพราะเรื่องการตายของคุณหลวงก็มีอะไรที่ไม่สมเหตุสมผลอยู่ แต่ก็ไม่มีใครคิดจะขุดคุ้ยอะไร...ส่วนคนที่ใกล้ชิดกับคุณหลวงที่ทุกวันนี้ยังมีชีวิตอยู่ก็มีคนเดียวเท่านั้น...ที่ผมรู้จัก”
“มีจริงเหรอ ใคร?”
“พ่อผมเอง”
ทันใด มือถือติณห์ดัง
“ฮัลโหล...”
ญาณินโทรกลับเข้ามาระหว่างที่กำลังยกกระเป๋าออกจากโรงแรมขนขึ้นรถจะกลับกรุงเทพ
“สรุปว่านายจะไม่เก็บเรือนไทยเอาไว้ เพราะอะไร ทำไม ชั้นไม่เห็นด้วย” ญาณินถามอย่างเอาเรื่อง
“ผมไม่ว่างคุยกับคุณตอนนี้ แค่นี้นะ” ติณห์วางสายทันที “คุณสมชาติ ไป”
ติณห์ชวนทนายสมชาติรีบร้อนออกไป ญาณินยังถือหูโทรค้างอยู่ มึนงง ที่เจอติณห์เมินใส่
“อ้าว ฮัลโหลๆ เฮ้ย...กล้าวางหูใส่ชั้นเหรอ...ไอ้ฝรั่งดอง ฮึ่ย” ญาณินกำลังจะวางสาย แต่อยู่ๆ มีเสียงคุณหลวงดังมา
“ญาณิน...” ญาณินชะงัก
“หือ...”
“ช่วยด้วย...ญาณิน...”
ญาณินได้ยินชัดเจนว่ามีคนเรียก แปลกใจ หลับตา ถือโทรศัพท์แนบหู เข้าฌาน ทันใดเกิดภาพนิมิต ภาพติณห์กระเด็นด้วยอะไรบางอย่าง ตกกระแทกกับพื้นดิน แน่นิ่ง ตาเหลือก...ภาพคนที่พยายามปั๊มหัวใจให้ติณห์ แต่ติณห์ไม่ฟื้น..ภาพเพ็ญนภาหัวเราะสะใจ...ใบหน้าติณห์ตาเหลือก
ญาณินลืมตาโพลง สะดุ้งเฮือก
“นายติณห์”
ญาณินสะดุ้งมองซ้ายมองขวา พบว่าตัวเองนั่งหลับอยู่ในรถที่สุคนธรสกำลังขับกลับกรุงเทพ พวกสาวๆ งงกับอาการญาณิน
“เจ๊เป็นอะไร ฝันร้ายเหรอ”
“ฝันดีตังหาก เรียกชื่อผู้ชายลั่นขนาดนั้น แหม๊ๆๆๆ ฝันว่าตกอยู่ในอันตรายแล้วก็รอพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยเหรอ”
“ติณห์! ช่วยด้วยคะ ติณห์ห์ห์ห์...”
พวกเพื่อนๆ หัวเราะญาณิน
“ชั้นไม่ได้ฝัน...ชั้นเห็น...นายติณห์กำลังมีอันตราย”
“แหมๆๆๆ เจอกันวันเดียว จิตผูกพันกันซะแระ ว้าว นึกไม่ออกเลยว่าถ้าเจอกันสักอาทิตย์ จะเป็นยังไง ฮะๆๆ”
“ชั้นฝันเหรอ แต่...มัน...”
“ถ้าเจ๊ไม่สบายใจ เปิดไพ่ดูสิ” กรรณาหยิบไพ่มาให้
ญาณินสับสนไม่แน่ใจว่าฝันหรือนิมิต แต่อดห่วงไม่ได้ หยิบมือถือออกมากดโทรออก
“เก็บไพ่ไปเลย...เค้าหาเรื่องโทรหาผู้ชายไม่รู้หรือไง”
กรรัมภาบอก พวกสาวๆ หัวเราะเยาะญาณิน
“เงียบ”
ติณห์รีบออกจากบ้านมา ทนายสมชาติรออยู่ที่รถ
“คุณติณห์ครับ คือ ผมต้องบอกก่อนว่า...”
“มีอะไรไปคุยกันที่รถ ขึ้นๆๆๆๆ”
ติณห์ต้อนให้ทนายสมชาติขึ้นรถไป แต่พอติณห์เปิดประตูจะขึ้นรถไปก็ต้องแปลกใจ เพราะเพ็ญนภานั่งรออยู่ในรถก่อนแล้ว
“จ๊ะเอ๋ติณห์”
“เพนนี...มาทำอะไร”
“เพนนีถามทนายสมชาติแล้ว ติณห์จะไปคุยกับพ่อเค้า เรื่องคุณตาของติณห์ เพนนีก็จะไปด้วยไง”
“เพนนี”
“นะ...เพนนีมาหาติณห์ ติณห์ไปไหน เพนนีไปด้วย...นะๆๆๆ”
“นี่แหละครับ ที่ผมกำลังจะบอกคุณติณห์”
ทนายสมชาติบอก ทันใดนั้นมือถือติณห์ดัง ติณห์หยิบมารับสาย
“ฮัลโหล...”
ญาณินอยู่ในรถ เพื่อนๆ คอยฟัง แบบพร้อมจะแซว
“นายติณห์...นายไม่เป็นอะไรใช่มั้ย...เปล่า ชั้นก็แค่โทรมาหาเพราะห่วงนาย เอาเป็นว่านายไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ชั้นคิดมากไปเอง”
“คุยกับใครอ่ะติณห์ วางได้แล้ว”
เพ็ญนภาดึงมือถือติณห์มา กดตัดสายทิ้งทันที
“ฮัลโหลๆๆ...เสียงนั่น ยัยเพนนี แย่แล้ว”
ญาณินรีบกดโทรออกอีก เพ็ญนภาถือมือถือของติณห์เอาไว้ มือถือดัง เพ็ญนภารับสายเหวี่ยงใส่ทันที
“โทรมาทำไมไม่ทราบ เบอร์นี้ไม่มีคนของเธอเข้าใจไว้ด้วย” เพ็ญนภาตัดสายทิ้ง ปิดเครื่องทันที “ไปเถอะค่ะติณห์ จะได้ไม่เสียเวลา”
ติณห์บอกให้สมชาติออกรถ ทนายสมชาติขับรถออกไป เพ็ญนภาแอบยิ้มสะใจ
โปรดติดตามตอนต่อไป