นางสิงห์สะบัดช่อ ตอนที่ 16
ที่บริเวณหน้าถ้ำรังโจรสามเศียรยามนั้น เสือพราย เสือเทพ และเสือยักษ์เล่าเรื่องเชิด ผาดำ ให้เก่งฟังระหว่างพักทานข้าว
เสือพรายเริ่มเล่าก่อน “เชิด ผาดำ เป็นขุนโจรที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องเวทย์มนต์คาถาว่ากันว่ามันสามารถถอดวิญญาณไปสิงร่างคนอื่นได้”
เสือยักษ์เสริม “ใช่ แถมยังดึงธาตุลมในร่างกายออกมาเป็นอาวุธได้อีกด้วย”
ด้านเสือเทพเอ่ยขึ้น “แต่ใจคอมันวิปริตมาก เที่ยวปล้นฆ่าผู้คนเป็นว่าเล่น ขนาดสมุนของมันยังทนไม่ไหว ต้องหักหลัง จับตัวมันส่งให้ทางการ”
เก่งถามเสือพรายด้วยความอยากรู้ “แล้วระหว่างพวกพ่อกับเชิดผาดำ ใครจะมีฝีมือเหนือกว่า”
เสือพรายนิ่งงันไป ไม่กล้าตอบ ได้แต่มองไปทางเพื่อนๆ ทั้งเสือยักษ์ กับเสือเทพแสดงท่าทีหนักใจเช่นกัน
ขณะเดียวกันหลวงพ่อชุ่มกับตาคงเดินมาส่งธัมโมได้ระยะหนึ่ง
“ส่งแค่นี้ก็พอครับหลวงพ่อ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า หลวงพ่อจะเดือดร้อน” ธัมโมเกรงใจ
“อาตมาขอให้เดินทางปลอดภัยนะโยม จะทำกิจการใดๆ ก็ขอให้ลุล่วงไปด้วยดีนะ”
ตาคงท้วง “เอ่อ หลวงพ่อครับ ในเมื่อศัตรูของผู้กองมันมีวิชาอาคมแบบนี้หลวงพ่อจะไม่ให้เครื่องรางแกไว้ติดตัวหน่อยเหรอครับ”
หลวงพ่อชุ่มเทศนา “เครื่องรางของขลัง อย่างกำนันศรนั่นใช่มั้ย มีก็ตายไม่มีก็ตายน่ะตาคง”
“โธ่ หลวงพ่อ ให้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจบ้างก็ยังดี ผู้กองจะได้มีขวัญกำลังใจ”
หลวงพ่อชุ่มทำท่าเหมือนเคลิ้มคล้อย “เอ้า…ก็ได้วะ” หันมาหาธัมโม “แบมือหน่อยสิผู้กอง อาตมามีของวิเศษจะให้”
ธัมโมแบมือรอรับ หลวงพ่อชุ่มก้มลงหยิบดินทรายที่พื้นขึ้นมากำหนึ่งแล้วเทลงบนมือของธัมโม
ธัมโมงง “ดินเหรอครับหลวงพ่อ”
“แผ่นดิน…เป็นของประชาชนชาวไทยทุกคน ถูกปกครองให้ร่มเย็นได้ด้วยพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โยมธัมโมเป็นข้าราชการ เป็นข้ารับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทจึงมีหน้าที่ถวายความภักดีจนกว่าชีวิตจะหาไม่” หลวงพ่อเทศนา
จังหวะนั้นเองบนท้องฟ้ามวลเมฆเคลื่อนไหวตามสายลมเงาเมฆพาดผ่านแผ่นดินไป
ธัมโมอึ้งไป ขณะที่หลวงพ่อชุ่มเทศนาต่อ
“จงอย่าหวั่นเกรงต่อความชั่วช้าสามานย์ใดๆ ขอให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ จนสุดความสามารถ ไม่ว่าจะยากดีมีจนแค่ไหน ไม่ว่าจะอยู่หรือตาย ก็ไม่มีความหมายเท่ากับศักดิ์ศรีในหัวใจของโยม”
คำพูดนั้นมีมนต์ขลังยิ่งกว่าคาถาศักดิ์สิทธิ์ใดๆ เมื่อหลวงพ่อกล่าวจบ ก็เหมือนมีลมเย็นๆ พัดมา
ต้องผิวกาย ธัมโมมองดินในมือ…ซึ่งเกิดจากธุลีมากมายหลายล้านมารวมกัน
ธัมโมน้ำตาซึม กำดินในมือนั้นไว้อย่างฮึกเหิม ฮึดสู้เพื่อแทนคุณแผ่นดิน
ในเวลาต่อมาบนถนนสายหนึ่งซึ่งทอดตัวยาวไกลมุ่งหน้าสู่กรุงเทพมหานคร ธัมโมบุกป่าฝ่าดงออกมาจากพงไม้ข้างทาง มองดูลาดเลาจนแน่ใจว่าไม่มีใครเห็น จึงเดินไปตามถนนสายนั้น เส้นทางอีกยาวไกลกว่าจะถึงท่ารถ หรือกว่าจะเจอรถผ่านมาให้โบกสักคัน
ส่วนเพ็ญพรเพิ่งกลับมายังที่สถานีอนามัย และเห็นวาสนากำลังขนสัมภาระขึ้นบันไดอย่างทุลักทุเล จึงหยุดมองด้วยความแปลกใจ
วาสนาเสียหลักจะตกบันได เธอหวีดร้องสุดเสียง โชคดีที่เพ็ญพรเห็นรีบเข้าไปประคองไว้
“ผู้หมวด ขอบคุณค่ะ”
“นี่อะไรกันคะคุณหมอ ทำไมถึงได้ขนของมาเยอะแยะแบบนี้” เพ็ญพรแปลกใจ
“ชั้นว่าจะย้ายมาอยู่ที่นี่สักพักค่ะ เพราะว่าที่บ้านตอนนี้…” หน้าสลดลง “ชั้นไม่เหลือใครอีกแล้ว”
คำพูดนั้นของวาสนาบาดลึกถึงอารมณ์ของเพ็ญพร
“ค่ะ ชั้นเข้าใจ”
“ไม่จริงหรอกค่ะ ผู้หมวดจะเข้าใจความรู้สึกของชั้นได้ยังไง ในเมื่อผู้หมวดไม่เคยสูญเสียทุกอย่างแบบชั้น”
เพ็ญพรได้แต่นิ่งฟัง
ไม่นานต่อมา ตรงทางเดินในวัดบ้านไม้งาม บริเวณฝังโกศผู้ใหญ่ทอง เพ็ญพรเดินมา แล้วนั่งมองอย่างเศร้าสร้อย
“พ่อ...คนที่ทำลายครอบครัวของเรา ตอนนี้ได้ชดใช้กรรมไปแล้ว ครอบครัวของมันในที่สุดก็มีสภาพเหมือนเรา ไปสู่สุขคตินะพ่อ ไม่ต้องห่วงบัว ที่เหลือบัวจะจัดการเอง”
จู่ๆ ยินเสียงใครคนหนึ่งแทรกขึ้น “จะเล่นงานใครอีกเหรอโยม”
เพ็ญพรหันกลับไปก็เจอหลวงพ่อชุ่มที่ยืนอยู่กับตาคง มาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“หลวงพ่อ”
“เรื่องของโยมอาตมารู้หมดแล้ว ขอบิณฑบาตรเถอะนะโยมตอนนี้สถานการณ์กำลังง่อนแง่น อาตมาเกรงว่าถ้ามีใครเติมเชื้อไฟเข้าไปอีกล่ะก็ เรื่องมันจะยิ่งบานปลาย”
“หลวงพ่ออยู่ข้างคุณนะครับผู้หมวด ที่ท่านว่าแบบนี้ก็เพราะเป็นห่วงชาวบ้าน” ตาคงเตือน
เพ็ญพรรีบบอก “ไม่ต้องห่วงค่ะหลวงพ่อ ชั้นยังไม่คิดจะสู้รบกับใครตอนนี้แต่อยากจะช่วยคนซะมากกว่า”
คืนนั้นยอด ย้ง และครูเพิ่มที่กำลังนั่งจับเจ่าอยู่ในห้องขัง ก่อนที่โอฬารจะหิ้วปิ่นโตเข้ามาเยี่ยม โดยเอาช้อนเคาะเหมือนเคาะกะลาเรียกหมา
“เอ้ามั่มๆๆๆ มากันเร๊ว! ได้เวลาทานของว่างแล้วลูก”
ย้งฉุน “เฮ้ย มีของว่างด้วยเหรอหมู่ แหมบริการผู้ต้องหาดีจัง”
โอฬารเยาะ “ฝันไปเหอะไอ้ย้ง นี่ของเถ้าแก่ตงพ่อเอ็ง เค้าซื้อมาฝาก”
“อ้าว แล้วไม่มาเยี่ยมชั้นหน่อยเหรอ”
“โอ้ยไม่ว่าง ตอนนี้กำลังหาปี๊บคลุมหัวอยู่ ฮ่าๆๆ ลูกสาวก็หนีออกจากบ้าน ส่วนลูกชายก็ติดคุก จุกอกไปอีกนาน” โอฬารเย้ยชุดใหญ่
ย้งชักโมโห “โหหมู่ พูดจาทับถมกันแบบนี้ ต่อยกันดีกว่ามั้ง”
“เอาน่าล้อเล่น ใจเย็นๆ สิวะไอ้ย้ง ข้ามีข่าวดีมาบอกพวกเอ็งด้วยนะโว้ย” โอฬารมองซ้ายแลขวา รีบกระซิบกระซาบบอก “ผู้กองธัมโมกำลังเข้ากรุงเทพฯ จะไปร้องเรียนกับผู้ใหญ่เรื่องสารวัตรดนัย อะฮ่า ตื่นเต้นรึเปล่า ตื่นเต้นมั้ย ฮ่าๆ” แต่เห็นเงียบกันไปหมด โอฬารก็งง “อ้าว ทำไมถึงเงียบกันแบบนี้วะ”
“ไม่ได้ผลหรอกหมู่ ผู้กองเค้ามีชนักติดหลังเรื่องที่เคยช่วยนางสิงห์เอาไว้ ไม่มีใครยอมเชื่อเค้าหรอก” ครูเพิ่มว่า
ยอดพูดลอยๆ ผสมโรง “เผลอๆ จะถูกจับสิไม่ว่า”
ที่ห้องโถงโรงพักเวลาเดียวกัน ไชโยกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะและถือไม้ตีแมลงวันไล่ตีแมลงวันตัวหนึ่ง จนโดนข้าวของหล่นแตก
“อ้าว เวรๆ โธ่เอ๊ยหาเรื่องจนได้”
“เป็นอะไรครับจ่า อยู่ๆ ทำลายของหลวงทำไมเอ่ย”
“เปล่าโว้ย ก็เอ็งดูไอ้แมลงวันตัวนี้สิวะ มันกวนประสาทเป็นบ้า บินไปบินมาอยู่ตั้งนานแล้ว ไม่ยอมไปไหนซะที” ไชโยบ่นอุบ
แมลงวันอาคมเห็นโอฬารมองมา…จึงบินหนีไปทางอื่น
“ฮื๊อ สงสัยจ่าไม่ได้อาบน้ำล่ะมั้ง แมลงวันมันถึงได้อยากคลุกขี้ เอ๊ย คลุกคลีด้วย” โอฬารว่า
ทันใดนั้นเองก็มีสาวชุดดำคนหนึ่งแต่งตัวคล้ายนางสิงห์ชุดดำกระโจนเข้ามาในห้องโถง
“เฮ้ย นางสิงห์ชุดดำ”
“ไอ้เก่ง นั่นเอ็งเหรอวะ” โอฬารทักทายอย่างหนิดหนม
โอฬารกับไชโยไม่ทันตั้งหลักก็ถูกสาวชุดดำเล่นงานจนสลบไปอย่างรวดเร็ว สาวชุดดำนางนั้นรีบดึงหน้ากากที่อำพรางโฉมหน้าออก เผยให้เห็นว่าเป็นหมวดเพ็ญพร
“ขอโทษนะหมู่ จ่า ถ้าไม่ทำแบบนี้สารวัตรดนัยต้องรู้แน่ว่ามีหนอนบ่อนไส้”
เพ็ญพรว่าก่อนจะปลดกุญแจห้องขังจากเอวของไชโย
เพ็ญพรไขกุญแจเปิดประตูลูกกรง พวกยอด ย้ง และครูเพิ่มรีบถลามาดู
ย้งตื่นเต้น “ผู้หมวด”
“ไม่ต้องพูดแล้ว รีบหนีเร็ว”
ย้งกับครูเพิ่มไม่ทันตั้งหลัก จู่ๆ ยอดก็เบียดตัวออกจากห้องขังไปเป็นคนแรกอย่างรวดเร็ว เหมือนจะรีบไปทำอะไรบางอย่าง
ครูเพิ่มแปลกใจ “นายยอด”
ยอดลงมือค้นโต๊ะทำงานสารวัตรดนัยอย่างบ้าคลั่ง จนเจอมีดเจ็ดป่าช้าที่ซ่อนอยู่
สีหน้ายอดรู้สึกสะใจมาก “คราวนี้เอ็งเสร็จข้าแน่ ไอ้ปีศาจ”
เพ็ญพร ย้ง และครูเพิ่มกำลังยืนรออยู่ที่ห้องโถงโรงพัก สักครู่หนึ่งก็เห็นยอดเดินกลับออกมาพลางใช้เศษผ้าห่อมีดเอาไว้
“มัวทำอะไรอยู่นายยอด เราต้องรีบหนีนะ”
“ไม่ คุณพาไอ้ย้งกับครูเพิ่มหนีไป ผมมีธุระ” ยอดว่า
“นายยอด นายคิดจะทำอะไร” ครูเพิ่มถาม
“ไอ้คนที่บงการฆ่ากำนันศร มันต้องตาย”
ยอดว่าแล้วก็ปลีกตัวออกไป ครูเพิ่มหันมาบอกกับเพ็ญพร
“ช่างเถอะครับคุณบัว ไอ้ยอดมันตัดสินใจมาหลายคืนแล้ว”
แมลงวันอาคมตัวเดิมยังคงเกาะติดเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ พอเห็นทุกคนเดินออกไปจากสถานีตำรวจมันก็บินตามไป
เชิดผาดำซึ่งนั่งสมาธิอยู่บนเตียงลืมตาขึ้น ทุกเหตุการณ์มันรู้ และเห็นโดยตลอด เวลานี้ได้แต่ครุ่นคิดว่าจะปิดฉากศัตรูยังไง
วาสนามองผ่านหน้าต่างเห็นลมกรรโชกแรง ฟ้าแลบแปลบปลาบเหมือนฝนตั้งเค้า จึงเดินมาดูด้วยความสังหรณ์ใจ
ไม่นานต่อมา ท่ามกลางสายฝนที่ตกไม่ลืมหูลืมตา ลมพัดโหมกระหน่ำ ยอดถือห่อผ้าใส่มีดเจ็ดป่าช้าเดินตากสายฝนมุ่งหน้าไปยังบ้านเสี่ยเล้ง แต่แล้วมันก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นเชิดผาดำยืนดักอยู่เบื้องหน้า
“เอ็งหาใครอยู่เหรอวะ ไอ้หนุ่ม”
“ไอ้ชาติชั่ว วันนี้เอ็งกับข้าต้องตายกันไปข้างนึง”
ยอดปลดผ้าที่ห่อมีดเจ็ดป่าช้าออก ก่อนจะใช้พันมีดไว้กับมือของมัน ต่อให้ตัวต้องตายก็จะไม่ยอมให้มีดหลุดจากมือเด็ดขาด
เชิดผาดำแสยะยิ้มให้กับความห้าวหาญของยอด
ยอดกระตุกปมผ้า ทุกอย่างพร้อม มันแผดร้องด้วยความแค้นก่อนจะเงื้อมีดโผเข้าหาเชิดผาดำ
“วายุธาตุ”
เชิดร่ายคาถาทันควัน พลังวายุธาตุถ่ายโถมเข้าหายอด แต่บทเรียนจากการที่เคยปะทะกับเชิดผาดำในคราวก่อนทำให้ยอดได้เรียนรู้ มันพลิกตัวหลบเข้าหาที่กำบังไปอย่างว่องไว รอจนคลื่นพลังนั้นผ่านพ้นตัวไป
จากนั้นยอดพลิกตัวออกมาจากที่กำบังแล้ววิ่งกระโจนตัวเข้าหาเชิดผาดำสุดแรง
เชิดผาดำเบี่ยงตัวหลบคมมีดของยอดไปได้สองสามครั้ง พร้อมกับคว้าตัวและข้อมือของยอดเอาไว้
“เอ็งแน่มากไอ้หลานชาย ข้าจะให้โอกาสเอ็งเป็นครั้งสุดท้ายยอมศิริโรราบให้ข้า หรือจะตายโหง”
“กูยอมตาย กูจะฆ่ามึง กูจะแก้แค้นให้พ่อกำนัน”
ยอดปลดล็อคของเชิดผาดำออก และจ้วงมีดเข้าใส่ เชิดผาดำกลิ้งตัวหลบก่อนจะทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดถึง นั่นคือชักปืนออกมายิงใส่มีดเจ็ดป่าช้าจนหักสะบั้น ยอดถึงกับตกตะลึง
“เอ็งมันโง่ คิดว่ามีมีดเจ็ดป่าช้าแล้วจะเอาชนะข้าได้หรือไง”
แววตาตื่นตะลึงของยอดสะท้อนให้เห็นภาพเชิดผาดำที่ยกปืนกระหน่ำยิงใส่มันหลายนัด
เช้าวันใหม่มาเยือนบ้านไม้งาม อีกครา วาสนาเปิดประตูออกมาก็เจอรอยเลือดนองพื้นเป็นทาง เมื่อหันมองไปก็เห็นยอดนั่งเลือดท่วมตัวอยู่ที่ระเบียงในสภาพใกล้ตายเต็มที
วาสนาสะเทือนใจรีบเข้าไปดู “นายยอด นายยอด”
“ผมจะไปหาพ่อกำนันแล้ว คุณวาสนาดูแลตัวเองให้ดีนะครับ”
วาสนาน้ำตาไหลพราก ขณะที่ยอดสำลักเลือดและทำท่าจะคอพับ วาสนารีบเข้าไปประคอง
“นายยอด นายอย่าตายนะ ชั้นไม่เหลือใครอีกแล้ว นายอย่าตายนะ”
“ฝากบอกไอ้ย้งด้วย ผมรู้ว่าใครเป็นคนหลอมมีดเจ็ดป่าช้า”
ยอดหมดแรงจะพูด มันกระซิบข้อความสุดท้ายสองสามข้อความให้วาสนารับฟัง
วาสนารับฟังอย่างไม่เชื่อหู ดวงตายอดค่อยปรือก่อนจะปิดลง และสิ้นใจไป
มือยอดยังกุมด้ามมีดเจ็ดป่าช้าเอาไว้ โดยมีผ้าพันอยู่อย่างแน่นหนา ค่อยๆ ร่วงลงข้างตัว
ท่ามกลางแสงแห่งอรุณรุ่ง วาสนากอดศพยอดแล้วร่ำไห้คร่ำครวญออกมา
เก่งนุ่งขาวห่มขาวหลับตาพริ้ม นั่งสมาธิอยู่ในเขตสายสิญจน์ โดยมีจอมโจรสามเศียรนั่งสมาธิส่งพลังจิตอยู่รายล้อม
ยินเสียงเสือพรายก้องในหัว “การจะล้างอาถรรพ์ของมีดเจ็ดป่าช้า ผู้ทำพิธีต้องถือศีล ดื่มน้ำมนต์ และสวดคาถาบูชาพระรัตนไตรวันละ 108 คาบจนกว่าจะครบหกวัน ในระหว่างนั้นห้ามสัมผัสถูกเลือดหรือศาสตราวุธเด็ดขาด มิเช่นนั้นจะถูกมนต์ดำครอบงำสติจนกลายเป็นบ้า และถึงแก่ความตายในที่สุด
เก่งนั่งสมาธิอย่างกระสับกระส่าย นึกถึงความน่ากลัวของเชิดผาดำที่เคยเผชิญ
เสือพรายเตือน “ทำใจให้สงบอย่าฟุ้งซ่าน สวดคาถาบูชาพระพุทธคุณเข้าไว้ให้ความดีเป็นเกราะป้องกันเอ็ง จากความชั่วร้าย”
เก่งเริ่มมีสติ ตั้งสมาธิ บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่ง
เสือเทพกับเสือยักษ์เดินออกมาหารือกันที่หน้าถ้ำ
“เอ็งเคยเจอไอ้เชิดผาดำมั้ยวะไอ้เทพ” เสือยักษ์เอ่ยขึ้น
“ไม่เคย แต่ได้ยินคนเค้าลือว่ามันร้ายกาจมากนี่ก็ยังคิดอยู่ว่า ถ้ามันโผล่มาที่นี่ พวกเราจะรับมือยังไง” เสือเทพว่า
“ขอให้เป็นแค่ข่าวลือเถอะวะ ไม่อย่างนั้น…”
เสือยักษ์เหม่อมองไปเบื้องหน้าอย่างหนักใจ เสือเทพพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“ตายเป็นตายเถอะวะไอ้ยักษ์ ถ้าชีวิตคนนอกกฎหมายอย่างเราจะช่วยให้แผ่นดินสูงขึ้น มันก็คุ้มที่สุดแล้ว”
เสือพรายเดินกลับออกมาพอดี เมื่อได้ยินประโยคนั้นเขาก็นิ่งงัน
โจรสามเศียร เสือพราย เสือยักษ์ และเสือเทพ ยืนหยัดรอเผชิญหน้ากับเชิดผาดำอย่างมาดหมาย และทรนง
นางสิงห์สะบัดช่อ ตอนที่ 16 (ต่อ)
ตรงทางเดินในกรมตำรวจ กรุงเทพฯ ขณะนั้น ธัมโมเนื้อตัวมอมแมมเดินตามพลตำรวจไปยังห้องผู้บังคับบัญชา ตำรวจสองนายที่เดินสวนผ่านไปเหลียวมองอย่างประหลาดใจ
ที่ห้องทำงานอธิบดีกรมตำรวจ ธัมโมนั่งนิ่งหลังจากรายงานเรื่องทั้งหมดให้อธิบดีได้รับทราบ มีพลตำรวจอยู่ด้วยอีกคนหนึ่ง
“ทั้งคุณทั้งสารวัตรดนัย ต่างก็เป็นตำรวจที่มีผลงานดีเด่นทั้งคู่พอเกิดเรื่องแบบนี้แล้ว จะให้ผมเชื่อใคร” ท่านอธิบดีเอ่ยขึ้น
“ได้โปรดเชื่อผมเถอะครับท่าน”
“คุณมีหลักฐานเหรอ คุณมีอะไรมายืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองบ้างนี่ถ้าไม่ใช่พ่อคุณ เคยเป็นเพื่อนร่วมงานกับผม ผมสั่งขังคุณไปนานแล้ว”
ธัมโมนิ่งงันไป ก่อนจะล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋า ผ้าเช็ดหน้าสีขาวผืนนั้นถูกวางลงบนโต๊ะเบื้องหน้าอธิบดี ธัมโมบรรจงแกะห่อผ้าเช็ดหน้าออก เผยให้เห็นว่าสิ่งที่อยู่ภายในก็คือดินกำมือหนึ่งที่หลวงพ่อชุ่มมอบให้นั่นเอง
“นั่นอะไร ขี้ดินงั้นเหรอ”
“แผ่นดินครับท่าน แผ่นดินไทยที่กำลังถูกคนเนรคุณชาติบ้านเมืองทำลายล้าง” ธัมโมนิ่งไปสักครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่ออย่างมุ่งมั่น “ผมขอสาบาน..ด้วยชีวิต...ด้วยศักดิ์ศรีของครอบครัวผม และด้วยเกียรติของตำรวจ…ว่าทุกอย่างที่ผมพูดคือความสัตย์จริง”
ธัมโมไม่พูดอะไรอีก แววตาอัดแน่นด้วยความมุ่งมั่น
อธิบดีมองดินในห่อผ้าสีขาวนั้น ก่อนจะมองหน้าธัมโมอย่างใคร่ครวญ
ธัมโมเดินกลับออกมายังเส้นทางเดิมด้วยสีหน้าสิ้นหวัง เสียงท่านอธิบดีก้องในหัว
“ผมจะตรวจสอบเรื่องนี้ ได้ผลยังไงแล้วจะแจ้งให้ทราบแต่ในระหว่างนี้ผมขอสั่งพักงานคุณโดยไม่มีกำหนด หรือว่าง่ายๆ ก็คือ ตอนนี้คุณไม่ใช่ตำรวจอีกแล้ว”
ธัมโมเดินหายลับไปตามทางเดิน ไม่มีใครรู้ว่าเขาจะแก้ปัญหาต่อไปยังไง
ย้งกับครูเพิ่มรอนแรมมาถึงลำธารที่ธัมโมกับเก่งเคยมาก่อนหน้านี้
ย้งเหนื่อยล้าบ่นอุบ “เรามาถูกทางแน่เหรอครู ทำไมยังไม่เจอถ้ำของโจรสามเศียรซะทีล่ะ”
“ข้าจะรู้ได้ยังไงวะ ก็ไอ้เก่งมันบอกทางข้าไว้แบบนี้นี่หว่า” ครูเพิ่มมองอย่างสำรวจนิดนึง “ไปต่อเถอะ อีกเดี๋ยวก็ถึง”
ย้งเดินตามบ่นต่อ “อีกเดี๋ยวและก็อีกเดี๋ยว ฟังมาร้อยกว่าเดี๋ยวแล้วเนี่ย”
“เดินเถอะน่า บ่นอยู่ได้”
ครูเพิ่มกับย้งเดินลับไปโดยไม่ได้สังเกตว่า แมลงวันตัวหนึ่งที่เกาะอยู่บนยอดไม้ มันมองทั้งคู่ก่อนจะบินตาม
เพลินตาพาดนัยเข้ามาในห้องรับแขกที่เสี่ยเล้งกับเชิด ผาดำกำลังหารือกันอยู่
“เสี่ย มีเรื่องอะไรเหรอครับ”
เสี่ยเล้งบุ้ยหน้าไปทางเชิด “นายเชิด มีข่าวสำคัญจะบอกสารวัตร”
“เมื่อคืนนางสิงห์บุกมาที่โรงพักเหรอครับสารวัตร” เชิดถาม
“ใช่ มันย้อนกลับมาช่วยเพื่อนของมัน”
“นังนั่นเป็นตัวปลอม” เชิดว่าท่าทีนิ่ง
“ถ้างั้น คนที่บุกมาเป็นใคร” ดนัยสนใจ
“เห็นนักโทษที่ขาเป๋ เรียกมันว่า...คุณบัว” เชิด ผาดำบอก
วันนี้เพ็ญพรไม่ได้เข้าเวร กำลังนั่งทำความสะอาดปืนตามวิสัยของเธอ แต่แล้วก็แปลกใจเมื่อได้ยินเสียงรถแล่นมาจอดอย่างรวดเร็ว ตามด้วยเสียงฝีเท้าที่เดินขึ้นมาบนสถานีอนามัย
เพ็ญพรปิดหนังสือลงด้วยความสงสัย ทำท่าจะออกจากห้องเพื่อไปดูเหตุการณ์ ทว่าดนัยกับตำรวจหลายคนก็พรวดพราดเข้ามาซะก่อน
เพ็ญพรชะงัก “สารวัตร”
ดนัยหวดหลังมือใส่เพ็ญพรจนล้มคว่ำไป
ดนัยสั่ง “ค้นให้ทั่ว”
ตำรวจระดมกำลังกันค้นห้องเพ็ญพรจนในที่สุดก็เจอชุดดำที่เธอใช้ปลอมตัวเป็นนางสิงห์ ดนัยคว้าชุดนั้นแล้วเดินมาตรงหน้าเพ็ญพร
“คิดไม่ถึงเลยสิท่า” ดนัยเน้นคำ “คุณบัว”
เพ็ญพรมองหน้าดนัยเขม็ง ความลับมิใช่ความลับอีกต่อไป ดูเหมือนโชคร้ายจะมาเยือนเรือนชีวิตเธอแล้ว
ย้งกับครูเพิ่มโผล่หน้าออกจากพุ่มไม้มาดูลาดเลามองไปยังปากถ้ำ ย้งถือกิ่งไม้และยังใช้ใบไม้พรางหัวเหมือนทหาร ทั้งคู่กระซิบกระซาบคุยกันไปมา
“ใช่ถ้ำนี้รึเปล่าอ่ะครู”
“ข้าจะรู้ได้ยังไงวะ ก็ไอ้เก่งมันบอกให้มาทางนี้นี่หว่า”
“แล้วไม่มีอะไรให้สังเกตบ้างเลยเหรอ”
“ถ้ำนะโว้ยไอ้ย้ง ไม่ใช่บ้านคน จะได้มีบ้านเลขที่” ครูเพิ่มบอกอย่างหงุดหงิด
เสือยักษ์ส่งเสียงแหลมเข้ามา “เออ...ถ้าไม่รู้ ก็ถามเจ้าของเค้าสิวะ ไอ้พวกโง่”
ขาดคำยินเสียงง้างนกปืนดังขึ้นติดๆ ครูเพิ่มกับย้งชะงักกึก ก่อนจะหันไปมองข้างหลังและเห็น 3 โจร เสือยักษ์กับเสือเทพและเสือพรายยืนถือปืนจ้องมายังพวกตนอยู่
“พวกเอ็งเป็นใครวะ”
เก่งสวมชุดขาวกำลังนั่งถือศีลอยู่ในเขตสายสิญจน์ และกำลังขมุบขมิบปากท่องคาถาบูชาพระพุทธคุณ ระหว่างนั้นเองเก่งก็ได้ยินเสียงๆ หนึ่งดังขึ้น
“ไอ้เก่งช่วยข้าด้วยโว้ย เอ็งอยู่ที่ไหนไอ้เก่ง ข้าจะตายอยู่แล้ว”
เก่งลืมตา “ไอ้ย้ง”
ย้งกับครูเพิ่มนั่งพนมมือแต้ไหว้ปลกๆ ขณะที่โจรสามเศียรถือปืนขู่
“เลิกแหกปากซะทีโว้ย! รำคาญ” เสือพรายหงุดหงิด
“นั่นสิ เห็นปืนแค่นี้ทำเป็นตกใจไปได้ ใจปลาซิวนี่หว่า” เสือเทพเยาะหยัน
ระหว่างนั้นเก่งเดินประคองตัวออกมา “ครูเพิ่ม ไอ้ย้ง”
ครูเพิ่มหันไปเห็นจึงร้องเรียก “ไอ้เก่ง”
เสือพรายหันไปถาม “นี่เพื่อนเอ็งเหรอวะ นังหนู”
เก่งเข้าไปอธิบายกับโจรสามเศียร โดยไม่ทันสังเกตว่ามีเสียงแมลงวันอาคมของเชิดผาดำบินสอดแนมอยู่หึ่งๆ ไม่ไกลนัก ทุกเหตุการณ์อยู่ในสายตาของเชิดผาดำ เช่นเดียวกัน
เวลาเดียวกันเชิดผาดำซึ่งนั่งสมาธิอยู่บนเตียงนอนในโกดัง ก่อนจะมีเสียงแมลงวันดังขึ้นหึ่งๆรอบตัว
เชิดผาดำตะปบมือคว้าแมลงวันเอาไว้ก่อนจะแบมือออก ก่อนจะเห็นว่ามันกลายเป็นแค่ก้อนกรวดเม็ดหนึ่งเท่านั้น
เชิดมองก้อนกรวด ก่อนจะมองไปเบื้องหน้า ตาวาววับ “นางโจรชุดดำ ในที่สุดข้าก็เจอเอ็งจนได้”
เพลินตาเดินเข้ามาในบ่อนพนันของพ่อ แล้วเจอลิ้นจี่ที่กำลังเล่นไพ่อย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ในกลุ่มนักพนัน ใส่เสื้อผ้าที่ลิ้นจี่ใส่คุ้นตานัก
เพลินตาเรียกจิกหัวทันที “นังลิ้นจี่”
ลิ้นจี่หันมาร้องกรี๊ด “ว๊าย เรียกนังเลยเหรอคะคุณเพลินตาขา ตอนนี้ลิ้นจี่มีศักดิ์เป็นแม่เลี้ยงของคุณนะคะ น่าจะให้เกียรติกันบ้าง
“ไม่จำเป็น แกมันก็แค่นังบำเรอ อย่าอวดดีนักเลย แล้วนี่มันอะไรแกเอาเสื้อผ้าของใครมาใส่”
ลิ้นจี่ฉอเลาะ “แหม ก็ของคุณเพลินตาไงคะ ลิ้นจี่เห็นคุณมีชุดสวยๆตั้งหลายชุดก็เลยขอยืมใส่บ้าง ไงคะ…เข้ากับลิ้นจี่รึเปล่า”
เพลินตาวี๊ดใส่ “อร๊าย หน้าด้าน แกมีสิทธิ์อะไรมายุ่งกับเสื้อผ้าของชั้น”
“ไม่รู้สิคะ แต่เสี่ยเป็นคนอนุญาตเอง ถ้าคุณเพลินตาไม่พอใจก็เชิญไปถามเสี่ยได้เลยค่ะ”
เพลินตามองลิ้นจี่อย่างเคียดแค้นชิงชัง
ในเวลาต่อมาเสี่ยเล้งพยายามอธิบายกับเพลินตาเรื่องลิ้นจี่
“โธ่นึกว่าเรื่องอะไร กะอีแค่เสื้อผ้า จะซื้อใหม่ตอนไหนก็ได้นี่ลูก”
“แล้วทำไมป๊าไม่ให้มันไปซื้อล่ะคะ เรื่องอะไรให้มันมาใช้ของเพลินตา”
“ลิ้นจี่เค้าก็อยากซื้อเหมือนกัน แต่พอดีตอนนี้ป๊ายุ่งๆอยู่ก็เลยไม่มีเวลาไปเป็นเพื่อน เอาน่า..ถ้าเพลินตาไม่ชอบ ต่อไปป๊าจะสั่งห้ามไม่ให้ลิ้นจี่ไปยุ่งกับของของเพลินตาอีก ตกลงมั้ย”
“ยังไม่พอค่ะ ป๊าต้องให้นังลิ้นจี่มันทำงานบ้าง ขืนปล่อยให้มันนั่งๆ นอนๆ เฝ้าบ่อนแบบนี้ มีหวังเราขาดทุนกันพอดี”
คำพูดของเพลินตาเป็นผลแล้ว เพราะเวลาต่อมาลิ้นจี่หิ้วปิ่นโตเดินบ่นกระปอดกระแปดเข้ามาในโกดัง
“โธ่เว้ยเซ็งเป็นบ้า นังเพลินตา เพราะแกแท้ๆ เลย ทำให้ชั้นต้องเสียเวลาเล่นไพ่ (มองหา) นายเชิด นายเชิด มากินข้าว นายเชิด ไปมุดหัวอยู่ที่ไหนโว้ย จะกินหรือไม่กิน”
จู่ๆ มือที่มีรอยสักของเชิดผาดำก็ยื่นมาสัมผัสบ่าของเธอ ลิ้นจี่ตกใจหันไป และพบว่าคนที่ยืนอยู่ด้านหลังคือเสี่ยเล้ง
“อุ๊ยเสี่ยอ่ะ มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ ลิ้นจี่ตกใจหมดเลย” ลิ้นจี่ใส่จริตดีดดิ้น
เสี่ยเล้งทำหน้ารู้สึกผิดเต็มประดา “ลิ้นจี่ ชั้นขอโทษนะเรื่องเพลินตา ชั้นรับปากว่าต่อไปจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก”
ลิ้นจี่ดี๊ด๊าเสียงระรื่น “แหมเสี่ย อุตส่าห์มาง้อลิ้นจี่ถึงนี่เลยเหรอคะ”
“ชั้นคิดถึงลิ้นจี่ด้วยน่ะ คิดถึงจนอดใจไม่อยู่ขอชั้นชื่นใจหน่อยเถอะนะ”
เสี่ยเล้งคว้าตัวลิ้นจี่มากอดจูบ ลิ้นจี่รู้สึกแปลกๆ
“อุ๊ยเสี่ย นี่มันยังหัววันอยู่เลยนะคะ แล้วที่นี่มันก็…”
“ตื่นเต้นดีออก ลิ้นจี่ว่ามั้ย”
ลิ้นจี่อึ้ง เสี่ยเล้งถือโอกาสนั้นกอดจูบลิ้นจี่ต่อจนอีกฝ่ายเริ่มเคลิ้มคล้อยตัวอ่อนระทวย ที่แท้คนที่ลิ้นจี่กอดอยู่ก็คือเชิดผาดำนั่นเอง
เวลาผ่านไป ลิ้นจี่เพิ่งกลับมาถึงที่บ่อน พลางจัดเสื้อผ้าผมเผ้าให้เข้าที่
ลิ้นจี่บ่นงึมงำ “โอ้ยเสี่ยนี่ก็จริงๆ เล๊ย ไม่รู้ไปโด๊ปอะไรมา ตะกละตะกรามทำอย่างกับไม่เคยไปได้”
เสี่ยเล้งกับมิ่งกำลังเดินตรวจดูงานในบ่อนอยู่และผ่านมาเห็นลิ้นจี่เข้าพอดี
“ลิ้นจี่”
ลิ้นจี่ตกใจ “เสี่ย นี่เสี่ยกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”
“กลับมา? ชั้นก็อยู่ที่นี่ทั้งวันไม่ได้ไปไหนซะหน่อย” เสี่ยเล้งงงวย
“อ้าว แต่ว่าลิ้นจี่เพิ่งเจอกับเสี่ยที่โกดัง แถมเสี่ยยัง..ยัง…”
เสี่ยเล้งหน้าเครียด รู้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ต่อมาไม่นานมิ่งคุยกับสมุนที่เฝ้าโกดังเสร็จ ก็เดินกลับออกมารายงานเสี่ยเล้งที่รออยู่
“มันไปแล้วครับเสี่ย มันฝากบอกเสี่ยด้วยว่าจะออกไปตามล่านางสิงห์ชุดดำ”
“เอ็งบังอาจลูบคมข้า ไอ้เชิดผาดำ เอ็งไม่ตายดีแน่”
เสี่ยเล้งคำรามอย่างคั่งแค้น
บ้านไม้งามยามนั้น มีผู้คนสัญจรไปมาจอแจเช่นเคย ธัมโมปลอมตัวกลับเข้ามาในหมู่บ้านโดยสวมหมวก และใช้ผ้าขาวม้าอำพรางโฉมหน้าพอเป็นพิธี กำลังมุ่งหน้าไปยังมุมเปลี่ยวละแวกโบสถ์วัดไม้งาม สถานที่นัดหมาย
“เรื่องมันชักจะไปกันใหญ่แล้วครับผู้กอง”
ที่แท้ไชโยกับโอฬารลอบมาพบกับธัมโม และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง
ไชโยเล่าต่อ “ไอ้เสี่ยเล้งตอนนี้ มันบ้าอำนาจยิ่งกว่ากำนันศรซะอีก ส่วนสารวัตรดนัยก็หนุนหลังมันเต็มที่”
โอฬารเสริม “แค่ตัดไม้เถื่อนยังไม่พอครับผู้กอง นี่มันเล่นเปิดโรงงานแปรรูปไม้กันเป็นล่ำเป็นสันเลยนะครับ”
“แถมตอนนี้ผู้หมวดเพ็ญพรก็หายสาบสูญไปอีกต่างหาก”
ธัมโมสะดุดหูกับคำพูดไชโย “มันเกิดขึ้นได้ยังไง”
“สารวัตรดนัยหาว่าเธอเป็นคนช่วยครูเพิ่มกับไอ้ย้งให้หลบหนีไปครับหลังจากนั้นก็ไม่เห็นเธออีกเลย”
ฟังที่โอฬารเล่าธัมโมนิ่งคิด ด้วยความเป็นห่วงเพ็ญพร
นางสิงห์สะบัดช่อ ตอนที่ 16 (ต่อ)
ขณะนั้นรถสองแถวคันใหญ่จอดอยู่หน้าร้านกาแฟเถ้าแก่ตง โดยมีเบิ้มซึ่งแปรพักตร์ไปเป็นลูกน้องเสี่ยเล้งคุมสมุน ขนข้าวสารอาหารแห้งหลายอย่างไปขึ้นรถ
“เอ้าเฮ้ย รีบขนเร็วๆหน่อย เดี๋ยวจะได้เดินทางกันซะที แดดร้อนโว้ย”
ด้านเถ้าแก่ตงกำลังหัวปั่นกับการขายกาแฟ เนื่องจากอยู่ตัวคนเดียวเลยต้องทั้งชงทั้งเสิร์ฟไปพร้อมๆ กัน และวันนี้ก็มีคนงานของเสี่ยเล้งมานั่งรอเต็มร้าน
คนงานคนหนึ่งตะโกนสั่ง “เถ้าแก่ ยกล้อสอง”
“ฮ่อๆ ล่ายๆ ลอเหลียว”
คนงานอีกคนสั่งต่อ “เถ้าแก่ โต๊ะนี้ขอขนมปังปิ้งด้วย”
“ฮ่อๆ ล่ายๆ ลอเหลียว”
“เถ้าแก่เก็บตังค์” อีกคนบอก
“ฮ่อๆ ล่ายๆ ลอเหลียว”
คนงานอีกคนเรียก “เถ้าแก่”
เถ้าแก่ตงชักโมโห “โว้ย! เรียกอยู่ล่าย มาช่วยกันบ้างสิโว้ย ก็เห็นๆ อยู่ว่าขายคนเดียว”
เบิ้มโผล่มาสั่งต่อพอดี “โอเลี้ยงถุงนึง”
เถ้าแก่ตงตวาด “เออ” แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นว่าเป็นเบิ้ม “อุ้ย! แหะๆ อาคุงเบิ้ม โอเลี้ยงเหรอค๊าบบรอเดี๋ยวนะค๊าบ พวกลื้อมากันเยอะแยะแบบนี้อั้วขายไม่ทันจริงๆ”
เบิ้มไม่สน “ช่วยไม่ได้ ตอนนี้เสี่ยเล้งเค้ากำลังขยายกิจการ ก็เลยต้องใช้คนมากหน่อย
เถ้าแก่ตงถามด้วยความสงสัย “แหม เสี่ยอีเปิดกิจการอะไร ที่ไหนเหรอครับ ถึงต้องหอบคนหอบเสบียงไปเยอะแยะแบบนี้”
เบิ้มดุ “ไม่ใช่เรื่องของเถ้าแก่” ตามด้วยการขู่ “อย่ารู้มาก ถ้าไม่อยากเจ็บตัว”
เถ้าแก่ตงสยอง “ค๊าบ อั้วไม่รู้ก็ได้ค๊าบ”
เวลาผ่านไป เบิ้มคุมคนงานขึ้นรถสองแถว ขณะที่ข้าวของเสบียงต่างๆ ก็ถูกบรรทุกไว้บนหลังคาเรียบร้อยแล้ว โดยมีธัมโมที่คลุมผ้าขาวม้าปลอมตัวเป็นชาวบ้านยืนดูลาดเลาแถวนั้น ก่อนจะลองมั่วนิ่มขึ้นรถไปกับเค้าด้วย แต่ก็ถูกเบิ้มคว้าตัวไว้
“เฮ้ย เอ็งเป็นใครวะ ลงชื่อรึยัง”
ธัมโมดัดเสียง “ยังจ้ะพี่เบิ้ม พอดีชั้นเพิ่งมาใหม่”
เบิ้มมองหัวจรดเท้าก่อนจะดึงสมุดรายชื่อส่งให้ “เซ็นชื่อซะ คนทำบัญชีเค้าจะได้จ่ายเงินถูก”
ธัมโมพยักหน้ารับสมุดบัญชีมาเซ็นชื่อปลอม
ไม้ถูกโค่นก่อนจะถูกลำเลียง นำมาแปรรูปในโรงเลื่อยของเสี่ยเล้งกลางป่าลึก
ธัมโมลงจากรถมาพร้อมกับพวกคนงาน ผู้กองตงฉินมองโรงเลื่อยและสภาพผืนป่าที่ถูกทำลายอย่างใจหาย รำพึงอย่างแค้นใจ “ไอ้พวกโกงบ้านกินเมือง ที่มันจะผลาญป่าให้เหี้ยนเลยหรือไง”
ว่าแล้วธัมโมก็แอบล้วงเอากล้องถ่ายรูปที่ซ่อนไว้ออกมาแอบถ่ายภาพบันทึกไว้เป็นหลักฐาน
ระหว่างนั้นเองก็มีเสียงแตรรถดังขึ้น ธัมโมเหลียวมองไปเห็นรถเสี่ยเล้งแล่นมาจอด เบิ้มรีบกุลีกุจอเข้าไปต้อนรับเสี่ยเล้งที่มากับไอ้มิ่ง สักครูก็เห็นดนัยเข้ามาพูดคุยกับเสี่ยเล้งและเชื้อเชิญไปในโรงเลื่อย
ธัมโมแอบถ่ายรูปเหล่านั้นเก็บเอาไว้
เสี่ยเล้ง และมิ่ง กำลังหารือกับดนัย ขณะเดินตรวจตราความเรียบร้อยภายในโรงเลื่อย
“ไม่ต้องห่วงครับเสี่ย เรื่องไอ้เชิดผาดำ ผมกับเพลินตาเคยปรึกษากันแล้วว่า จะเก็บมันทันทีที่เสร็จงาน” ดนัยประจบ
เสี่ยเล้งยังคาใจ “สารวัตรแน่ใจเหรอ ว่าจะเอามันอยู่ ในเมื่อฝีมือมันร้ายกาจขนาดนั้น”
“ถึงร้ายแค่ไหน มันก็ยังเป็นคนครับเสี่ยคนเรามีเกิด ก็ต้องมีตาย เป็นเรื่องธรรมดา”
เสี่ยเล้ง พยักหน้าพอใจ แล้วนึกขึ้นได้ “เออจริงสิ แล้วตอนนี้ผู้หมวดเพ็ญพรเป็นยังไงบ้าง”
ธัมโมหลบตาผู้คน ย่องมาที่ห้องๆ หนึ่ง แล้วแอบปีนขึ้นไปดูที่ช่องระบายลม เห็นเพ็ญพรถูกมัดไว้ในห้องพัก โดยมีเสี่ยเล้ง มิ่ง และดนัยยืนสอบปากคำ
“ก็ชั้นบอกแล้วไงว่าชั้นไม่รู้เรื่อง ชั้นไม่ใช่คุณบัว ไม่ใช่ลูกสาวผู้ใหญ่ทอง”
“ไม่เอาน่าคุณบัว คนของผมเห็นกับตานะว่าคุณช่วยเหลือครูเพิ่ม แถมครูเพิ่มยังเรียกคุณว่าคุณบัวอีกด้วย” เสี่ยเล้งว่า
เพ็ญพรหันมาทางดนัย “สารวัตร ถึงไงชั้นก็เป็นตำรวจนะ คุณไม่มีสิทธิ์มาทำแบบนี้กับชั้น”
“เสียใจด้วยนะผู้หมวด ในเมื่อคุณปล่อยพวกของนางสิงห์ไปจนหมด เราก็เลยต้องให้คุณทำหน้าที่แทนพวกมันอย่าห่วงไปเลย อีกไม่ช้านางสิงห์ต้องมาช่วยคุณแน่”
ธัมโมบรรจงถ่ายรูปเก็บหลักฐาน ระหว่างนั้นเองเบิ้มกับสมุนก็ผ่านมาเห็นเข้าพอดี
“เฮ้ย เอ็งทำอะไรอยู่วะ”
ธัมโมตกใจรีบวิ่งหนีไป เบิ้มชักปืนออกมายิงไล่ตามหลังหลายนัด กระสุนนัดหนึ่งเฉี่ยวหัวไหล่ธัมโมจนล้มลง และกล้องหลุดมือ ธัมโมแข็งใจคว้ากล้องวิ่งหนีต่อไป จนพวกเสี่ยเล้ง ดนัย และมิ่งต้องออกมาดู
“ไอ้เบิ้ม มีอะไรวะ” มิ่งซัก
“ใครก็ไม่รู้พี่มิ่ง ตะกี๊ชั้นเห็นมันถ่ายรูปพวกเสี่ยตอนอยู่ในห้อง”
เบิ้มเล่าจบ เสี่ยเล้งกับดนัยมองหน้ากันอย่างใช้ความคิด
บริเวณเส้นทางไปยังบ้านเสี่ยเล้ง ตรงจุดที่ยอดปะทะกับเชิดผาดำก่อนถูกฆ่า วาสนากำลังยืนอยู่และกวาดสายตามองไปรอบๆ ใช้ความคิดหนัก
นึกถึงเหตุการณ์ตอนที่ยอดสู้กับเชิดผาดำ
วาสนาย่อตัวลงนั่งดู และใช้นิ้วเกลี่ยๆ ที่พื้นจนเจอปลอกกระสุน วาสนามองเห็นภาพเหตุการณ์ตอนเชิดผาดำใช้ปืนยิงมีดเจ็ดป่าช้าจนหักสะบั้น
วาสนามองปลอกกระสุนก่อนจะมองไปทางใดทางหนึ่ง แล้วเดินมามองหาบริเวณนั้นต่อ และเจอใบมีดเจ็ดป่าช้าที่ถูกยิงจนหักปักคาอยู่
วาสนารำพึง “มีดเจ็ดป่าช้า”
หญิงสาวครุ่นคิดสิ่งที่ต้องทำในลำดับต่อไป
เวลานั้นที่วัดบ้านไม้งาม หลวงพ่อชุ่มกับตาคงนั่งอยู่ภายในโบสถ์ ขณะที่วาสนาวางใบมีดเจ็ดป่าช้ากับด้ามที่หักออกจากกันลงตรงหน้าแล้วก้มลงกราบหลวงพ่อ
หลวงพ่อชุ่มมองมีดเจ็ดป่าช้าสักพักจึงเอ่ยขึ้น “ใช่ อาตมานี่แหละที่เป็นคนหลอมมีดเจ็ดป่าช้า โยมวาสนารู้เรื่องนี้ได้ยังไง”
“นายยอดเป็นคนบอกค่ะหลวงพ่อ”
เหตุการร์ก่อนยอดจะสิ้นใจผุดขึ้นในความคิดของวาสนา
ตอนนั้นวาสนาน้ำตาไหลพราก ขณะที่ยอดสำลักเลือดและทำท่าจะคอพับ วาสนารีบเข้าไปประคอง
“นายยอด นายอย่าตายนะ ชั้นไม่เหลือใครอีกแล้ว นายอย่าตายนะ”
“ฝากบอกไอ้ย้งด้วย ผมรู้ว่าใครเป็นคนหลอมมีดเจ็ดป่าช้า” ยอดหมดแรงจะพูด มันกระซิบข้อความสุดท้ายสองสามข้อความให้วาสนารับฟัง
ยอดพูดเสียงแผ่ว “หลวงพ่อ...กำนันเป็นคนบอกให้หลวงพ่อชุ่มหลอมมีดเจ็ดป่าช้า”
วาสนารับฟังอย่างไม่เชื่อหู ยอดปรือตาก่อนจะปิดตาลงสิ้นใจไป
หลังฟังความจบหลวงพ่อชุ่มก็นิ่งงันก่อนอธิบาย
“สมัยยังหนุ่ม อาตมาก็เป็นแค่นักเลงหัวไม้คนนึง ที่มาบวชเรียนก็เพราะอยากร่ำเรียนวิชาอาคมจากเกจิอาจารย์ทั้งหลาย จนกระทั่งกำนันศรเกิดรู้เข้า ก็เลยไหว้วานให้อาตมาหลอมมีดเจ็ดป่าช้าให้ ด้วยความร้อนวิชาอาตมารีบรับปาก โดยไม่สนใจว่ากำนันศรจะเอามันไปเพื่ออะไร แต่แล้ว…”
ภาพความโหดเหี้ยม ความเลวร้ายของกำนันศรที่เข่นฆ่าผู้คนมากมายรวมทั้งผู้ใหญ่ทองผุดขึ้นมาในความคิดหลวงพ่อชรา
“บ้านไม้งามต้องลุกเป็นไฟ เมื่อกำนันศรขึ้นครองอำนาจกดขี่ข่มเหงพวกชาวบ้าน” หลวงพ่อพูดอย่างทำใจ “ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อาตมาก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยววิชานอกรีตอีกเลยด้วยเห็นว่าชีวิตคนนั้นเป็นทุกข์ มีเกิดแก่เจ็บตายไม่มีใครหนีพ้นตามที่พระพุทธองค์ท่านตรัสไว้ และสุดท้ายกำนันศรพ่อของโยมก็จบชีวิตลงด้วยมีดเจ็ดป่าช้า…”
วาสนาอึ้งไปสักพัก “หนูเข้าใจค่ะหลวงพ่อ แต่ตอนนี้บ้านเมืองกำลังมีภัยเราต้องใช้มีดเล่มนี้ เพื่อกำหลาบเสี้ยนหนามของแผ่นดิน”
ตาคงยกมือขึ้นพนม “หลวงพ่อครับ หลวงพ่อเคยสอนผมว่า ชีวิตคนอื่นต้องมาก่อนไม่ใช่เหรอครับ ถ้าเราทำบาป แล้วช่วยชีวิตคนอื่นได้ต่อให้ตกนรก ก็ยังถือว่าเป็นกุศลนะครับ”
หลวงพ่อชุ่มมองมีดเจ็ดป่าตรงหน้าอย่างหนักใจ
ป่าริมลำธารแห่งนั้นดูสุขสงบปราศจากสิ่งรบกวนใดๆ จังหวะนั้นเองเท้าของใครบางคนย่างกรายเข้ามาในบริเวณนั้น
ฝูงสัตว์ชะงักงัน ก่อนจะเริ่มแตกตื่น นกกาแตกรังบินหนีขึ้นท้องฟ้า เก้งกวางพากันวิ่งหนี ลมกรรโชกแรงพัดแมกไม้ทั่วทั้งป่าให้เคลื่อนไหว
คนที่มาเยือนป่าแสนสงบแห่งนี้ มันคือเชิดผาดำ
เก่ง ครูเพิ่ม และย้ง รวมกลุ่มสนทนากันอยู่หน้าถ้ำ
“ตอนที่พวกเราหนีออกมา ก็ได้ยินชาวบ้านพูดกันว่า เสี่ยเล้งยึดกิจการทุกอย่างของกำนันศรไว้จนหมด”
ครูเพิ่มเสริมที่ย้งเล่าต่อทันที “แถมยังมีข่าวว่ามันจะเปิดโรงเลื่อยไว้แปรรูปไม้เถื่อนอีกต่างหาก”
“แล้วพวกตำรวจล่ะ มัวทำอะไรอยู่” เก่งสงสัย
“โถ ก็สารวัตรดนัยเข้าข้างว่าที่พ่อตาซะขนาดนั้น จะมีตำรวจคนไหนกล้าหือ” ย้งบอก
เก่งยิ่งคิดยิ่งแค้น “ไว้รอให้แผลชั้นหายดีเมื่อไหร่ ชั้นจะกลับไปที่นั่น”
จู่ๆ มีเสียงนกกาส่งเสียงร้องแตกตื่นทำให้เก่งหยุดชะงักไป ขณะที่เสือพราย เสือเทพ เสือยักษ์พากันเดินออกมาหน้าถ้ำเพราะสาเหตุเดียวกัน
เก่งแปลกใจ “พ่อ”
เสือยักษ์เอ่ยขึ้น “ใช่มันรึเปล่าวะไอ้พราย”
เสือพรายคิดและทำใจแน่วแน่ก่อนจะเอ่ยขึ้น “นังแก้ว เอ็งพาเพื่อนหลบไปข้างใน”
เสือเทพย้ำ “แล้วจำไว้ ถ้าพวกข้าไม่ตาม ห้ามโผล่ออกมาเด็ดขาด”
ย้งกับครูเพิ่มสังหรณ์ใจเหลียวมองหน้ากัน เสือพรายจึงต้องกำชับอีกครั้งเสียงดังกว่าเก่า
“ไป”
ครูเพิ่มและย้งประคองเก่งมาตามทางเดินในถ้ำ โดยอาศัยแสงตะเกียงนำทาง
ระหว่างนั้น 3 โจรสามเศียร ช่วยกันลากลังไม้ใบหนึ่งมาเปิดฝาออก และเผยให้เห็นระเบิดมือบรรจุอยู่หลายลูก
เสือพรายถามย้ำ “พวกเอ็งจะเอาแบบนี้จริงๆ เหรอวะไอ้ยักษ์ ไอ้เทพ”
“มาถึงขั้นนี้ จะถามหาพระแสงอะไรอีกวะไอ้พราย” เสือเทพบอก
“ชีวิตลูกสาวเอ็งก็เหมือนลูกสาวข้า ต้องปกป้องให้ถึงที่สุด” เสือยักษ์ว่า
“พวกเราโจรสามเศียร ถ้าจะอยู่ก็อยู่ด้วยกัน ถ้าจะตายก็ตายพร้อมกัน” เสือเทพย้ำคำ
เสือพรายพยักหน้าด้วยความตื้นตันในน้ำใจของเพื่อนๆ
นางสิงห์สะบัดช่อ ตอนที่ 16 (ต่อ)
ต่อมาไม่นาน เชิดผาดำปรากฏตัวที่หน้าถ้ำรังเสือ ทันใดนั้นระเบิดมือหลายลูกก็ถูกโยนมาตรงหน้ามัน
เชิดตกใจรีบยกมือร่ายคาถา “วายุธาตุ”
ระเบิดทำงานเห็นฝุ่นตลบคละคลุ้งฟุ้งไปทั่วบริเวณ เชิดผาดำรอดตายมาได้เพราะใช้วายุธาตุเป็นโล่ห์กำบัง
เสือพรายตะโกนขึ้นมา “ไอ้เชิดผาดำ เอ็งรู้มั้ยว่าที่นี่เป็นถิ่นของใคร”
เชิดเหยียดยิ้ม “โจรสามเศียร ไอ้พวกเสือเฒ่า ฝีมืออย่างพวกเอ็งเทียบข้าไม่ติดหรอกโว้ย ถ้าไม่อยากตายก็หลีกไปซะ”
เสือยักษ์ไม่ชอบใจนัก “สบประมาทคนแก่แบบนี้ มันไม่สวยมั้งไอ้เชิด”
เสือเทพเอ่ยขึ้นอย่างท้าทาย “เอ็งมีดี พวกข้าก็มีครูเหมือนกัน ถ้าแน่จริงก็มาลองกันสักตั้ง”
เชิดผาดำกับโจรสามเศียรปักหลักดูเชิงกันอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่เชิดผาดำจะตัดสินใจเดินดุ่มๆ เข้าหาพวกโจรสามเศียร
โจรสามเศียรต่างชักอาวุธปืนของตนเองออกมา
“ไอ้เสือ…ฆ่ามัน” เสือพรายตะโกนก้อง
เชิดผาดำยกฝ่ามือขึ้นร่ายคาถาอีกครั้ง “วายุธาตุ”
พร้อมกับแผดเสียงร้องคำรามข่มขู่ ขณะที่โจรสามเศียรต่างกระหน่ำยิงอย่างไม่ปรานี
สามคนเดินมาตามทางในถ้ำรังเสือ ครูเพิ่ม และย้งช่วยกันประคองเก่งหนีมา จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด ก่อนจะซาไปและได้ยินนัดสุดท้ายดังขึ้นทิ้งช่วงเหมือนเป็นการปิดฉากต่อสู้
เก่งใจหาย หันหลังกลับไป “พ่อ ลุงยักษ์ อาเทพ”
เก่งรีบวิ่งย้อนกลับไป
“ไอ้เก่งอย่าไป ไอ้ย้งรีบตามไปห้ามเร็ว”
ที่หน้าถ้ำยามนั้น โจรสามเศียรต่างโดนพลังวายุธาตุเล่นงานจนสะบักสะบอมนอนกระอักเลือดคนละทิศละทาง
เสือยักษ์เจ็บปางตายแต่ยังแข็งใจยิงปืนใส่เชิดผาดำอีกนัด เชิดผาดำสะเทือนไปนิดหนึ่งก่อนจะหันมาด้วยความเจ็บแค้นแล้วโบกฝ่ามือซัดพลังวายุธาตุ จนร่างของเสือยักษ์กระเด็นไปเหมือนถูกเขวี้ยง
“ไอ้ยักษ์” เสือเทพแค้นจัด ตะโกนก้อง “ไอ้เชิดผาดำ ข้าจะขอแลกชีวิตกับเอ็ง”
เสือเทพชักมีดเดินโซเซตรงไปหาเชิดผาดำ แต่ก็ถูกเชิดผาดำใช้พลังวายุธาตุซัดไปกระแทกหน้าผาจนตายคาที่
ขณะที่เก่งวิ่งออกมา สายตาเหลือบไปมองเห็นปืนที่วางอยู่ นึกถึงคำพูดของเสือพรายขึ้นมา
“การจะล้างอาถรรพ์ของมีดเจ็ดป่าช้า ผู้ทำพิธีต้องถือศีล ดื่มน้ำมนต์ และสวดคาถาบูชาพระรัตนไตรวันละ 108 คาบ จนกว่าจะครบหกวัน ในระหว่างนั้นห้ามสัมผัสถูกเลือดหรือศาสตราวุธเด็ดขาด มิเช่นนั้นจะถูกมนต์ดำครอบงำสติจนกลายเป็นบ้า และถึงแก่ความตายในที่สุด”
“พ่อ ยกโทษให้ชั้นด้วย”
เก่งตัดสินใจคว้าปืนขึ้นมา ระหว่างนั้นย้งก็ตามมาเห็นเข้าพอดี
“ไอ้เก่ง อย่า”
“หลีกไปไอ้ย้ง”
เก่งสะบัดสุดแรงเกิดจนย้งกระเด็น และทำท่าจะออกไปหน้าถ้ำ แต่แล้วครูเพิ่มก็ตามมาคว้าของใกล้มือทุบก้านคอเก่งเต็มแรงจนสลบคาที่
ด้านเชิดผาดำเดินมาหยุดที่ตรงหน้าเสือพรายที่กำลังนั่งพิงก้อนหินอย่างอ่อนแรงด้วยลมหายใจรวยรินเฮือกสุดท้าย
“เหลือเอ็งคนสุดท้ายแล้วไอ้แก่ เรียกนางสิงห์ออกมาจากถ้ำแล้วข้าจะไว้ชีวิต”
เสือพรายพูดเสียงแผ่วๆ “ข้ากับเพื่อน ขอตายอย่างสมศักดิ์ศรี ดีกว่ายอมก้มหัวให้เอ็ง”
เชิดผาดำยิ้มมุมปากอย่างใจเย็น เสือพรายสูดลมหายใจรวบรวมเรี่ยวแรงครั้งสุดท้าย เสือพรายแผดร้องก่อนจะยกปืนขึ้น ขณะที่เชิดผาดำร้องคำรามแล้วโบกฝ่ามืออัดพลังวายุธาตุใส่เสือพรายเช่นกัน
เลือดเสือพรายกระเซ็นฟู่สาดรดพื้นดินและต้นไม้ใบหญ้าแถวนั้น คาดว่าร่างคงแหลกเพราะแรงอัดนั้น
จากนั้นเชิดเชิดผาดำก็เดินมาที่ปากถ้ำอย่างใจเย็น
“นางโจรชุดดำ เอ็งอยู่ข้างในรึเปล่า ยมบาลส่งข้ามารับตัวเอ็งแล้ว นางโจรชุดดำ”
เสียงเชิดผาดำสะท้อนก้องไปจนทั่วถ้ำ ครูเพิ่ม และย้ง แอบซุ่มอยู่กับเก่งที่นอนหมดสติอยู่
เงียบกริบ ยินแต่เพียงเสียงสะท้อนของมันเอง เชิดผาดำกวาดตามองอย่างเจ็บใจก่อนจะสะดุดตากับลังไม้ใส่ระเบิด
“ก็ได้ ในเมื่อเอ็งขี้ขลาดตาขาว ก็มุดหัวอยู่ในนี้ตลอดไปเถอะ”
ในเวลาต่อมา ระเบิดหลายถูกถอดสลักโยนเกลื่อนพื้นบริเวณปากถ้ำ
ย้งทะเล่อทะล่าคว้าระเบิดมาดู “ลูกอะไรเนี่ยครู”
ครูเพิ่มตาเหลือก “เฮ้ยระเบิด โยนทิ้งไป”
ย้งตกใจร้อง “จ๊าก” รีบปาระเบิดทิ้งไปทางอื่น
เชิดผาดำเดินจากไปอย่างผู้ชนะ เห็นเพียงด้านหลังเป็นบริเวณปากถ้ำที่ถูกระเบิดจนก้อนหินถล่มลงมาปิดขังพวกของเก่งเอาไว้ในนั้น
ในขณะที่วาสนากำลังเก็บข้าวของเตรียมเข้านอน แต่ทันทีที่มีเสียงเคาะประตู วาสนารีบคว้าปืนพกจากลิ้นชักมาถือไว้มือไม้สั่น ตะโกนขู่
“นั่นใคร ชั้นมีปืนนะ”
เสียงธัมโมลอดเข้ามา “ผมเองครับคุณหมอ”
“ผู้กองธัมโม”
วาสนารีบเปิดประตูให้ธัมโมหลบเข้ามาข้างใน ธัมโมกุมแผลโดนยิงที่บ่าเอาไว้ วาสนาเห็นเข้าก็ตกใจ
“ผู้กอง คุณบาดเจ็บ”
“ไม่ต้องสนใจผมหรอกครับ แต่คุณหมอ เอาฟิล์มม้วนนี้ไปอัดรูปให้ผมที”
“ผู้กองถ่ายอะไรมาเหรอคะ”
“หลักฐานครับ หลักฐานที่จะใช้เปิดโปงเสี่ยเล้งกับสารวัตรดนัย”
วาสนามองฟิล์มม้วนนั้นในมืออย่างตกตะลึง
ครูเพิ่ม ย้ง และเก่งซึ่งฟื้นแล้ว ติดแหงกอยู่ในถ้ำ ย้งพยายามสำรวจมองหาทางออก
“ว่าไงไอ้ย้ง เจอทางออกรึเปล่า” ครูเพิ่มถาม
ย้งส่ายหน้า “ไม่ไหวครู ขนาดรูเท่าแมวลอด ยังไม่เห็นเลย”
“ไม่มีประโยชน์หรอกไอ้ย้ง ข้าอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยเห็นมีไหนจะเข้าออกได้นอกจากปากถ้ำ”
ย้งใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม บ่นอย่างทดท้อ “นี่เราต้องตายกันในสภาพนี้จริงๆ เหรอวะเนี่ย”
“ไอ้เก่ง เอ็งบอกว่าผู้กองจะกลับมาที่นี่ใช่มั้ย”
“จ้ะครู ผู้กองเค้ารับปากชั้นแบบนั้น”
ครูเพิ่มหันไปมองตะเกียงก่อนจะหรี่ไฟให้สว่างน้อยที่สุด เก่งกับย้งต่างมองหน้ากันงงๆ
“ในนี้อากาศเหลือน้อยเต็มที เราต้องถ่วงเวลาให้นานที่สุดจนกว่าจะมีคนมาช่วย”
วันต่อมาวาสนาเดินออกมาจากร้านถ่ายรูป รีบเปิดดูภาพถ่ายที่เพิ่งอัดมาด้วยความร้อนใจก่อนจะเห็นว่าเป็นภาพโรงเลื่อย ภาพการตัดไม้ ไปจนถึงภาพเสี่ยเล้งกับดนัยที่พูดคุยกันอยู่ที่นั่น
“ไอ้พวกหนักแผ่นดิน”
วาสนามัวแต่ดูรูปจนเดินชนดนัยที่เดินสวนมา โดยไม่ทันระวัง
“อุ๊ย สารวัตร”
“มัวดูอะไรอยู่เหรอครับคุณหมอ ถึงได้เพลินขนาดนี้” ดนัยดักคอ
“รูปถ่ายของคุณพ่อค่ะ ชั้นจะเอาไปใช้ในงานศพ”
วาสนาจะเดินหนี แต่ดนัยรีบคว้าแขนไว้
“แหม บังเอิญจริงๆ เมื่อวานก็มีไอ้โม่งคนนึงแอบไปถ่ายรูปที่โรงเลื่อยของเสี่ยเล้ง ไม่ทราบว่าคุณหมอพอจะรู้เรื่องนี้บ้างรึเปล่า”
วาสนาอึกอัก “ช..ชั้นไม่รู้ พวกนายจะทำอะไรก็เรื่องของนาย ไม่เกี่ยวกับชั้น”
“ถ้างั้นขอผมดูรูปของกำนันหน่อยได้มั้ย”
วาสนาอึกอักทำเป็นโกรธตัดบท “ยุ่ง”
วาสนารีบเดินหนี ดนัยทำท่าจะตามถ้ามิ่งไม่มาเรียกซะก่อน “สารวัตร”
ดนัยหงุดหงิดที่ถูกขัดจังหวะ “มีอะไร”
“ไอ้เชิดผาดำ มันกลับมาแล้วครับ”
วันนี้ที่ร้านกาแฟเถ้าแก่ตง แขวนป้าย “หยุดขายครึ่งวัน เหนื่อยโว้ย” รูปถ่ายที่วาสนาอัดมาถูกแจกจ่ายให้ไชโย โอฬาร และเถ้าแก่ตงแบ่งกันดู
“แม่เจ้าโว้ย ตูไม่อยากจะเชื่อ พวกมันทำอย่างกับบ้านเมืองไม่มีแปมีขื่อ” โอฬารโวยวาย
ไชโยถามหารือ “จะเอาไงดีครับผู้กอง ยกพลไปช่วยหมวดเพ็ญพร แล้วจับพวกมันเลยมั้ยครับ”
เถ้าแก่ตงร้องลั่น “ไอ๊หยาอาจ่า ลื้อพูดออกมาได้ยังไงวะ บุกไปจับมัน ลื้อดูในรูปสิไหนจะคนงานของเสี่ยเล้ง ไหนจะสมุนของเสี่ยเล้ง เยอะกว่าตำรวจทั้งโรงพักซะอีก”
“นั่นสิ แล้วถ้าบุกไปเจอสารวัตรดนัย จ่าจะทำยังไง กล้าจับเค้าเหรอ”
ธัมโมเห็นไชโยจนแต้มจึงเอ่ยขึ้น “ถ้าจะโค่นเสี่ยเล้งเราต้องมีแนวร่วมที่ผมให้คุณหมอวาสนาอัดรูปถ่ายมาสองชุด ก็เพราะต้องการส่งชุดนึงไปให้เบื้องบนเห็นเป็นหลักฐาน ส่วนอีกชุด..เราจะเผยแพร่ให้ชาวบ้านทุกคนรู้ว่า มันเกิดอะไรขึ้นที่นี่”
วาสนามาส่งธัมโมที่ หลังร้านกาแฟเถ้าแก่ตง
“ถ้าเดาไม่ผิดป่านนี้เก่งคงเจอครูเพิ่มกับย้งเรียบร้อยแล้วคุณหมอมีอะไรจะฝากถึงพวกเค้ารึเปล่า”
“บอกนายย้งว่าชั้นเอาใจช่วยก็พอค่ะ”
ธัมโมพยักหน้าก่อนจะนึกขึ้นได้ “เออจริงสิ วันนี้ตอนแรกผมตั้งใจจะไปประชุมกันที่โบสถ์ แต่ติดต่อหลวงพ่อชุ่มไม่ได้ คุณพอรู้รึเปล่าว่าท่านอยู่ที่ไหน”
วาสนาคิด ก่อนจะพยักหน้าอย่างพอคาดเดาได้
ที่หลังวัดบ้านไม้งาม ตาคงขุดลงไปในหลุมที่โคนต้นไม้ก่อนจะนำกล่องใบนึงที่ถูกห่อไว้มิดชิดขึ้นมา เมื่อเปิดฝากล่องก็จะเห็นมีดเจ็ดป่าช้าอีกเล่มที่อยู่ข้างใน
ตาคงนำมีดเจ็ดป่าช้าเล่มใหม่ที่หลอมเสร็จหมาดๆ มาวางตรงหน้าพระชุ่ม
“มีดเจ็ดป่าช้าที่หลอมไว้ตอนนั้นสองเล่ม ก็มีเล่มนี้ละครับหลวงพ่อที่ยังไม่ได้ปลุกเสก”
“เจ็ดวันเจ็ดคืนนี้อาตมาจะทำพิธีปลุกเสกมีดเจ็ดป่าช้าเล่มใหม่ อย่าให้ใครรบกวนเด็ดขาด”
ตาคงพนมมือ “ครับหลวงพ่อ”
หลวงพ่อชุ่มพยักหน้า ก่อนจะหันไปมองที่มีดเจ็ดป่านึกสะท้อนใจ “ในที่สุดผลกรรมก็หวนคืนสู่ผู้ที่ก่อมันเอาไว้ เพราะมันแท้ๆ ข้าถึงต้องเดือดร้อนไม่รู้จักจบจักสิ้น
ด้านเบิ้มเดินนำทางเชิดผาดำเข้ามาในบ่อนอย่างนอบน้อม ขณะนั้นในบ่อนไม่มีลูกค้า เพราะยังไม่ถึงเวลาทำการ
“เชิญครับพี่เชิด คุณเพลินตากำลังรออยู่บนออฟฟิศครับ”
เชิดแปลกใจนิดหนึ่ง “คุณเพลินตางั้นเหรอ แล้วเสี่ยล่ะ”
“อ๋อ เสี่ยไปดูงานที่โรงไม้ครับ ก็เลยให้คุณเพลินตาคอยต้อนรับแทน”
เชิดผาดำสังหรณ์ใจลึกๆ
ที่ห้องรับรองในออฟฟิศบ่อนเสี่ยเล้ง เพลินตารินเหล้ามาสองแก้ว แล้วยื่นส่งแก้วหนึ่งให้เชิดผาดำกับมือตัวเอง
“แก้วนี้ชั้นขอดื่มให้นาย…นายเชิด ขอบใจมากที่ช่วยกำจัดนางสิงห์ชุดดำ แล้วก็ขอโทษด้วยที่เคยสบประมาท
“เรื่องเล็กน้อยครับคุณเพลินตา ผมหวังว่าต่อจากนี้ไป เราจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน”
เพลินตายกแก้วขึ้น “แด่มิตรภาพ”
เพลินตาและเชิดต่างดื่มเหล้าในแก้วจนหมด เพลินตายิ้มก่อนจะคว้าขวดมารินเพิ่ม
เวลาผ่านไปอีกสักครู่ใหญ่ๆ เพลินตากับเชิดยังดื่มอยู่ด้วยกัน เชิดดื่มจนหมดด้วยอาการครึ้มใจ ขณะที่เพลินตาเริ่มแอบชะลอ
“ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าคนเก่งแบบนาย จะเคยถูกตำรวจจับได้บอกชั้นหน่อยได้มั้ยว่าเรื่องมันเป็นมายังไง”
“อ๋อ ตอนนั้นผมมันโง่เองครับที่ไว้ใจลูกน้องมากเกินไป ก็เลยถูกพวกมันหลอกให้ดื่มของต้องห้ามบางอย่าง ที่ทำให้อาคมของผมเสื่อมไปชั่วขณะ
เพลินตาเลิกคิ้ว หน้าฉงน “ของที่ว่านั่นคืออะไรเหรอนายเชิด”
“ผมบอกไม่ได้หรอกครับคุณเพลินตา มันเป็นความลับ”
เชิดผาดำหัวเราะชอบใจ ก่อนจะดื่มเหล้าในแก้ว
เพลินตาพูดต่อให้อย่างมีเลศนัย “น้ำมนต์สิท่า” เชิดผาดำชะงัก “ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ถ้าดื่มเปล่าๆ นายจะรู้สึกปวดแสบปวดร้อน แต่ถ้าผสมในเครื่องดื่มหรืออาหารอย่างอื่นนายจะไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าดื่มเข้าไปตอนไหน
เชิดมองแก้วเหล้าในมืออย่างเอะใจแล้วปาทิ้ง ก่อนจะลุกยืนพรวดขึ้น “คุณเพลินตา”
เพลินตาชักปืนออกมาเล็งใส่เชิดผาดำ มันรีบยกฝ่ามือขึ้นร่ายคาถาทันที
“วายุธาตุ”
ทว่าพลังวายุธาตุไม่ปรากฏเช่นทุกครั้ง เชิดผาดำได้แต่ตกตะลึง
“วันตายของแกมาถึงแล้ว ไอ้ผีนรก!”
เพลินตาคำรามก่อนจะเหนี่ยวไกยิงเชิดผาดำจนหงายหลังล้มกลิ้งไป เชิดผาดำเห็นกระสุนไม่ระคายผิวก็แข็งใจวิ่งหนีไปจากห้อง
เชิดผาดำวิ่งซมซานออกมาล้มที่พื้นกลางบ่อน ก่อนจะพบว่าตรงทางเข้าออกนั้น บัดนี้ดนัยกับเบิ้มและสมุนเป็นโขยงกำลังถืออาวุธรออยู่…ทุกคนถือค้อนเป็นอาวุธ!!
เพลินตาถือปืนตามออกมาอย่างใจเย็น
“ว่าไง” ดนัยถาม
“มันดื่มน้อยเกินไป ก็เลยยังเหนียวอยู่”
เชิด ผาดำพยายามร่ายมนต์ดำอย่างร้อนรน “วายุธาตุ วายุธาตุ วายุธาตุ”
เบื้องแรกเบิ้มออกอาการผวาพลังฝ่ามือของเชิดผาดำ ก่อนจะพบว่ามันไร้ผล
“ช่วยไม่ได้นะนายเชิด ตอนแรกชั้นก็อยากให้แกไปดีแต่งานนี้สงสัยคงต้องออกแรงกันหน่อย”
ว่าพลางดนัยแบมือรับค้อนมาจากสมุนคนหนึ่งมาถือไว้
เชิดผาดำพยายามพูดดีๆ ด้วย “คุณทำแบบนี้ทำไม เราเป็นพวกเดียวกันนะสารวัตรเราเป็นพวกเดียวกัน”
“มันก็ใช่ แต่แกมันน่ากลัวเกินไป และในเมื่อไม่มีใครเอาแกอยู่ดังนั้น..แกก็อย่าอยู่เลย”
ดนัยพูดจบคำก็เหวี่ยงค้อนฟาดใส่เชิดผาดำสุดแรงจนมันกระอักเลือด
เพลินตาสั่งเสียงเหี้ยมมาดเจ้าแม่ “ฆ่ามัน”
พวกสมุนรุมทุบเชิดผาดำด้วยค้อน เชิดพยายามต่อสู้ วิ่งหนีแต่ไปทางไหนก็เจอฟาดเหมือนหมูถูกไล่ทุบในคอกไม่มีผิด เสียงค้อนสัมผัสเนื้อดังปึกๆๆๆ ระงม
สุดท้ายเชิดผาดำก็โดนค้อนสุดท้ายแสกเข้าตรงกลางกบาลอีกหนึ่งที เลือดไหลทะลักกลบหน้า มัน ก่อจะทรุดเข่าลงไปอย่างหมดสภาพ
ดนัยมองค้อนอย่างทึ่งจัด “ฮึ แตกจนได้ เอ็งมีเลือดเหมือนกันเหรอวะไอ้เชิดข้านึกว่าเอ็งเป็นผีซะอีก”
ร่างเชิดผาดำนั่งโงนเงนอยู่สักพัก ก็ถูกเบิ้มทุบซ้ำสั่งลา สุดแรงเกิดจนฟุบแน่นิ่งไป
โปรดติดตาม "นางสิงห์สะบัดช่อ" ตอนต่อไป