xs
xsm
sm
md
lg

สาวน้อย ตอนที่ ๗ - ๘

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สาวน้อย ตอนที่ ๗
นิดเริ่มร้องเพลง เสียงใสกังวานไพเราะราวเสียงทิพย์จากสรวงสวรรค์ เพลงนั้นพรรณนาถึงโชคชะตาที่นำพาความสุข ความเศร้า ความรัก และการพลัดพรากมาสู่มนุษย์
เสียมมองดูนิดอย่างไม่เชื่อสายตา ภาพของนิดเบื้องหน้าบนเวทีดูคล้ายจะเติบโตจากเด็กสาวกลายเป็นสาวสะคราญโฉมในวันเดียว
คนในงานมองดูนิดอย่างทึ่ง ชื่นชม เชิดมองดูนิดอย่างผูกพัน เนื่องภาคภูมิใจ แก้วปลาบปลื้มเพื่อน แม้นและลูกน้องมองด้วยความหลงใหลใฝ่ฝัน ทับทิมเชิดใส่ หลวงพิจารณ์ปลาบปลื้ม
เพลงมาถึงท่อนดนตรีบรรเลง ซึ่งปรกติแล้วจะเป็นช่วงนักร้องยืนเฉยๆ หรือโยกตัวเล็กน้อยตามจังหวะเพลง แต่นิดกลับฮัมเพลงคลอออกมา
เสียงฮัมนั้นกังวานใสเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก
เสียมตกตะลึงจังงัง และจำได้ในทันที

เสียมอยู่บนเรือโป๊ะได้ยินเสียงฮัมเพลงประหลาดดังมาจากเกาะ เลือนเสียงฮัมของนิดกลายเป็นเสียงเพลงในวันนั้นซึ่งเป็นเพลงเดียวกับเทพธิดาแห่งแรงดลใจ
เสียมแหวกว่ายในน้ำไปหาเสียงเพลง
เสียมจมวูบลงใต้น้ำ นิดอยู่ตรงหน้าในอาภรณ์บริสุทธิ์เบาพลิ้วของเทพธิดา
เทพธิดาแห่งแรงดลใจจูบเสียม

เสียม ผวาเยือกสติกลับคืนมาสู่ปัจจุบัน เสียงเพลงกลับกลายเป็นเสียงที่นิดร้องบนเวทีอีกครั้ง
เสียมมองดูนิดคล้ายกับเพิ่งได้พบสิ่งที่ค้นหาโดยไม่รู้ว่ามันอยู่ใกล้ๆตัวเองมาตลอด ในวินาทีนั้นความรู้สึกที่มีต่อนิดก็เปลี่ยนไป จากพี่ชายกับน้องสาว จากผู้เป็นหนี้ชีวิตกับผู้มีพระคุณกลายเป็นความรักของชายหนุ่มต่อหญิงสาวผู้เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต
ดวงตาของเสียมเต็มไปด้วยความรักอันแรงกล้า ความหลงใหลใฝ่ฝัน
นิดร้องเพลงแล้วกวาดสายตาไปยังคนดู แล้วมองตรงมาที่เสียมก็เห็นแววตาที่เสียมมองมาด้วยดวงตาอันเชื่อมหวาน
นิดชะงักหน้าแดงวูบแล้วเบือนหลบสายตาอย่างเอียงอาย ความผูกพันที่ก่อตัวมานานก็พลันเปลี่ยนไปในวินาทีนั้นเช่นกัน
ท่าทีสะทกสะท้านหวั่นไหวของนิดยิ่งทำให้การร้องเพลงของนิดดูมีชีวิตชีวายิ่งขึ้น ทุกคนที่ไม่ทราบความในใจของทั้งคู่ก็ยิ่งชื่นชมและเอ็นดู
เชิดยิ้ม เนื่องน้ำตาคลอแล้วรู้สึกว่ามือถูกกุมไว้ เนื่องสะดุ้งหันมองดูก็เห็นแก้วกุมมือเนื่องอย่างไม่รู้ตัว เนื่องทำตาปริบๆ แก้วก็ยังไม่รู้ตัว
นิดร้องทอดเสียงดนตรีโหมขึ้นจนสูงสุดแล้วจบลง นิดย่อตัวลง
เสียมปรบมือก่อนใคร คนดูทุกคนปรบมือตาม ทับทิมตบมืออย่างเซ็งๆ แก้วเพิ่งรู้ตัว
“ว้าย พี่เนื่องมากุมมือฉันทำไม” แก้วร้องโวย
แก้วรีบดึงมือออกแล้วมองค้อนเนื่องด้วยสายตาแพรวพราวจนเนื่องเซ็ง
เสียงปรบมือดังยาวนาน มีเสียงโห่ร้องอย่างชื่นชมปนมาด้วย หลวงพิจารณ์ยืนขึ้นปรบมืออย่างภาคภูมิใจ นิดยิ้มอย่างขอบคุณ
บนเวทีไม่มีนักร้องแต่ยังกำลังบรรเลงดนตรีทอท้วงทำนองอยู่ หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์ยิ้มร่าเดินออกมากับนิด บรรดาข้าราชการ ด่านภาษี และคุณนาย กับบรรดาผู้ลากมากดีที่มาตากอากาศเข้ามารุมล้อมนิดอย่างชื่นชม นายด่านเป็นลูกครึ่งฝรั่งร่างสูงใหญ่มากับภรรยาหญิงไทยที่กินหมากปากเปรอะ
“ตัวนิดเดียว ไปเอาเสียงมาจากไหน” นายด่านว่า
“แม่คุณเอ๋ย เสียงยังกะนางฟ้านางสวรรค์” ภรรยาบอก
“ขอบพระคุณค่ะ นายด่าน คุณป้าปราง” นิดบอก
“นี่ลูกแม่นิ่มใช่ไหมนี่” ข้าราชการถาม
“อย่างนี้ไปเป็นนักร้องกรมโฆษณาการ (๑)ได้เลย” ชาวกรุงคนหนึ่งบอก
นิดยิ้มรับมีอาการเขินอายนิดหน่อย เสียม เชิด เนื่อง แก้ว เดินเข้ามา
“นิดร้องดีจริงๆ” เชิดบอก
“คนฮือฮากันทั้งงานเลย” แก้วบอก
“นิดร้องเป็นไงบ้างจ๊ะ พี่เนื่อง” นิดถาม
“ก็...พอใช้ได้”
นิดมองค้อนพี่ชายหันมาทางเสียมที่มองอย่างชื่นชม นิดยิ้มนิดๆแล้วถาม
“พี่เสียมไม่เห็นพูดอะไรเลย”
“พี่ตื้นตันจนพูดอะไรไม่ออกต่างหาก”
ทับทิมยืนหน้าหงิกอยู่ทางด้านหลัง แม้นและลูกน้องก็ทำท่าอยากเข้าไปหานิด
“ฮึ ไม่รู้จะเห่ออะไรกันก็แค่ร้องฮู่ๆ ฮ่าๆ เชอะ ฉันก็ร้องได้”
“ไหนลองร้องซิจ๊ะ” แม้นบอก
ทับทิมร้องจะให้เป็นเสียงฮ้าแต่เสียงออกมานั้นดังแหบแห้งเล่นเอาแม้นกับลูกน้องสะดุ้ง
“ว้าย ทำไมเสียงฉันเป็นยังงี้”
“เฮ้อ เอ็งโดนนมโกรก เอ๊ย ลมโกรกจนเป็นหวัดแล้วล่ะ” แม้นบอก
“หรือไม่ก็ปอดบวม” ลูกน้องคนแรกบอก
“ช่าย บวมจนทะลักออกมาข้างนอก” ลุกน้องคนที่สองซ้ำ
ทับทิมร้องกรี๊ดดังแหบแห้ง รีบตวัดผ้ามาคลุมทรวง

นิด เสียม เชิด เนื่อง แก้ว เดินมายังมุมหนึ่งของวัดซึ่งเป็นแหล่งของกิน มีหาบขนมจีน ข้าวแกง ข้าวโพดคั่ว ข้าวเกรียบว่าว อ้อยควั่น ฯลฯ ชาวบ้านที่เดินสวนมายกนิ้วโป้งชูให้นิดพลางยิ้มชมเชย นิดยิ้มรับ เสียมมองนิดอย่างภาคภูมิใจ แต่เชิดนั้นยิ้มร่า
แม้น ทับทิม และสองลูกน้องเดินสวนมา แม้นเข้ามาหานิด พูดเสียงหวาน
“นิดจะกินอะไรหรือจ๊ะ พี่แม้นเลี้ยงเองเอาไหม”
“ไม่เอาดีกว่าจ้ะ”
“โธ่ นิดคนสวย ให้พี่เลี้ยงเถอะนะจ๊ะ นะจ๊ะ”
แม้นต้อนนิดอยู่ไปมาจนเชิดก้าวไปจ้องหน้าแม้น
“ไอ้แม้นเอ็งไปเกี้ยวอีทับทิมเถอะ อย่ามายุ่งกับนิด”
“ทำไมวะ”
“ไม่ทำไม แต่เอ็งมันวอนตีนแล้ว”
“พี่เชิด” นิดร้องขึ้น
แม้นตาขวางยื่นหน้าเข้ามา
“มึงมาขวางมึงเป็นผัวนิดหรือ”
นิดสะดุ้ง เชิดขบกราม เสียมสะอึกเข้ามาอีกคน
“หุบปากนะ” เสียมบอก
ทับทิมยิ้มเยาะ
“หรือว่ามึงผลัดกันกะไอ้เสียม”

แม้นพูดยังไม่ทันขาดคำ เชิดก็ชกเปรี้ยงเข้าเต็มหน้า แม้นหงายหลังผลึ่งไปบนเจ้าข้าวโพดคั่วจน ตะแกรงคั่วกระเด็นไป แม้นล้มไปบนเตา ไฟติดหลังร้องโหยหวนกลิ้งไปตามพื้นจนดับ เชิดโผนเข้าทั้งเตะและกระทืบซ้ำ ฝ่ายลูกน้องโผนเข้าหาเชิด แต่เนื่องและเสียมเข้ามาประกบ ลูกน้องของแม้นเลยลังเล
บรรดาไทยมุงแห่กันมารุมล้อม เชิดเตะแม้นกลิ้งไปกลิ้งมาหมดลายนักเลงประจำเกาะ
นางนิ่มกับนางแสแหวกคนเข้ามา เห็นทับทิมยืนเชิดอยู่
“ว้าย อะไรกันนี่” นางนิ่มถาม
“มันต่อยกันแย่งฉันนะน้า” ทับทิมบอก
“ทุด! ข้าฟังอยู่ มันแย่งนังนิดตะหาก” นางแสว่า
นิดก้าวพรวดไป
“พี่เชิด”
เหมือนคำประกาศิต เชิดหยุดถอยมาแต่ตัวยังสั่นเพราะโทสะ เนื่องเข้าจับแขน
“พอโว้ย”
ลูกน้อง ๒ คนประคองแม้นขึ้น สารรูปยิ่งกว่าโดนหมาฟัด แม้นมองเชิดอย่างอาฆาตแค้น
เชิดชี้หน้า

“ถ้ามึงมาพูดจาโอหังกับนิดอีก กูจะเอามึงให้ตาย” เชิดบอก
“ฝากไว้ก่อนเถอะ”
“ไม่รับฝากโว้ย” แก้วว่า
หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์แหวกคนเข้ามากับลูกน้อง
“อะไร มีเรื่องอะไรกัน”
“ไม่มีอะไรจ๊ะ คุณอาหลวง ไอ้แม้นมันเดินสะดุดตีนไอ้เชิด” เนื่องว่า
หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์มองแม้นกับเชิดแล้วพูดไม่ออก

นางนิ่ม เสียม นิด เนื่อง แก้ว เชิด เดินมายังบริเวณทางเดินริมหาด แสงจันทร์เต็มดวงส่องสว่าง ชายหาดขาว คลื่นซัดสาดเป็นฟองขาวเข้าหาฝั่ง
“ปู้โธ่เอ๊ย วันพระวันเจ้าไม่น่ามีเรื่องมีราวกันเลย” นางนิ่มบอก
“พี่เชิด ทำไมโมโหร้ายนักจ๊ะ” นิดถาม
“ใครกล้ามาทำอะไรนิดพี่จะไม่เอามันไว้”
เสียมมองเชิด นิดอ่อนใจ
“พี่แม้นก็แค่ปากเปราะ เขาไม่ทำอะไรนิดหรอกจ๊ะ”
“นิดเที่ยวไปไว้ใจใครง่ายๆ อีกแล้ว”
เชิดปรายตาดูสรรค์แวบหนึ่ง
“พี่กลับก่อนล่ะ แม่นิ่มฉันแยกไปก่อนนะ”
เชิดไม่ล่ำลามากความเดินแยกไป นิดมองตาม
“ฉันก็ไปเหมือนกัน ฉันเป็นห่วงแม่”แก้วบอก
“นี่มันดึกดื่นค่อนคืนแล้วนะ แก้ว” นิดว่า
“พี่เนื่องไปส่งแก้วหน่อยนะจ๊ะ” นิดบอก
“มันเกี่ยวอะไรกับข้าด้วยวะ”
แก้วเชิดใส่เล็กน้อยแล้วบอก
“ไปก็ไปซี”
แก้วยิ้มออกทันที เนื่องแก้วเดินแยกไป เสียม นิด นิ่มเดินเลาะขึ้นตามแนวเขา นิ่ม นิด เดินนำ เสียมตามหลังแล้วหันไปดูเห็นเชิดเดินอยู่คนเดียว ห่างเชิดออกไปมีร่างสามร่างตามมาห่างๆ และสามร่างนั้นขยับมีดสะท้อนแสงจันทร์วาววับ เสียมหันบอกนิดกับนางนิ่มทำทีปรกติทุกอย่าง
“แม่นิ่มกับนิดเข้าบ้านก่อนนะจ๊ะ เดี๋ยวฉันไปดูเรือหน่อย”
นิ่มกับนิดแปลกใจนิดหน่อย แต่ไม่ว่าอะไร เสียมแยกลงเขาแล้วเดินตามเชิดและร่างทั้งสามนั้นไป

ชายหาดขาวสลับด้วยโขดหินสีดำเป็นระยะ เชิดเดินมาคนเดียวด้วยสีหน้าเครียดครุ่นคิดจนไม่ระวังตัว เชิดเดินผ่านโขดหินหนึ่ง มีร่างหนึ่งโผล่มาทางด้านหลัง ในมือมีท่อนไม้ เงื้อขึ้นฟาดลงเข้าที่ศีรษะใกล้ท้ายทอยเชิด
“โอ๊ย”
เชิดถลาไปเบื้องหน้าแล้วล้มลงอย่างมึนงงใกล้สิ้นสติ แต่ก็พยายามพลิกตัวมานั่งชันเข่า ดวงตาพร่าพรายเห็นร่างเบื้องหน้าซ้อนกันนับสิบ แล้วรวมกันเข้าเหลือเพียงสามคน แม้นยืนถือไม้ท่อนใหญ่ หน้ายังคงบวมช้ำดวงตาเจิดจ้าสมใจ ลูกน้องคนหนึ่งถือดาบ อีกคนถือมีด
“ที่กูฝากไว้ กูมาเอาคืนแล้วไอ้ลูกหมา” แม้นบอก
“มึง ไอ้พวกหมาลอบกัด”
“ทีใครทีมันโว้ย เมื่อกี้มึงหยามกูนัก ทีนี้กูจะฝากแผลไว้ให้มึงอายคนบ้าง”
แม้นโยนไม้ทิ้งไป เชิดขบกรามกระถดถอย แม้นแบมือลูกน้องส่งมีดยาวให้ แม้นก้าวเข้าหาเชิด เชิดถอยไปจนหลังชนโขดหิน แม้นกวัดแกว่งดาบใกล้หน้าเชิด เชิดพยายามเอียงหน้าหลบ แต่ความมึนงงทำให้ชักช้า
“ไอ้...”
“มึงหลบไม่พ้นหรอก”
คมดาบกรีดเข้าที่หางคิ้ว เลือดไหลปรี่ออกมา แม้นหัวเราะก๊าก ลูกน้องทั้ง ๒ คนหัวเราะตามเป็นลูกคู่ แม้นยิ้มก้าวเข้าไปอีกแล้วยื่นมีดเข้าไป
“มึงรักอีกนิดนักใช่ไหม กูอยากรู้ว่าพอมึงเป็นไอ้หน้าบากแล้วอีนิดจะเอามึงไหม”
เชิดเอียงหน้าหนี แม้นตาวาวจรดปลายมีดเตรียมกรีดที่โหนกแก้มเชิด เชิดขบกราม

ร่างหนึ่งโผนมาด้วยความเร็ว กระโดนถีบไอ้แม้นจากด้านข้าง ไอ้แม้นล้มตะแคงไป มีดกระเด็นหลุดมือ เชิดมองดูเห็นเสียมที่ยืนเด่นอยู่ตรงหน้า เสียมมองเชิดอย่างเป็นห่วง
“เชิด ไหวไหม”
“ไอ้เสียม ระวัง”
ลูกน้องที่ได้สติก่อนโผนเข้ามาฟัน เสียมทิ้งตัวกลิ้งไปตามพื้น มือดาบไล่ฟันซ้ำ เสียมหลบอย่างฉิวเฉียด ลูกน้องอีกคนประคองแม้นขึ้นนั่งเห็นรอยเท้าเต็มแก้ม
“โห... เต็มตีนเลย”
“ไอ้เวร ไป...”
ลูกน้องคนหนึ่งคว้ามีดแม้นที่หล่นอยู่แล้วลุกขึ้น อีกคนถือดาบเข้ารุมล้อมเสียมจนถอยกรูด ลูกน้องตวัดมีดและดาบขู่ขวัญเดินหาจังหวะ
“เอามันเลย” แม้นบอก
มือดาบฟัน เสียมสปริงตัวหลบ มือมีดตวัดมีดใส่จนเสียมกลิ้งไปตามพื้น มือดาบจะฟัน เสียมก้าวไปในรัศมีเชิด เชิดคว้าท่อนไม่ที่แม้นโยนทิ้ง ฟาดเลียดพื้นเต็มแรงเข้าตาตุ่มมือดาบร้องโอ๊กจนล้มคว่ำทิ้งดาบกุมข้อเท้า เชิดฟาดซ้ำเข้ากลางหัว มันร้องอีกโอ๊กก่อนจะแน่นิ่งไป แม้นคำรามผุดลุกขึ้น เตะไม้ในมือเชิดกระเด็นไป แล้วเตะซ้ำจนเชิดล้มกลิ้งตะแคงแน่นิ่งไป มือมีดโถมเข้าแทง เสียมหลบแล้วกำสองมือฟาดเข้ากลางหลังจนคว่ำลงกับพื้น เสียมตามติดเตะจนมีดหลุดกระเด็นไป เสียมขึ้นคร่อมต่อยอย่างไม่นับ มือมีดป้อแป้มันมองเลยเสียมไปข้างหลัง เสียมเห็นสายตาก็ใจหายวาบก้มหัวหลบทันที แม้นฟันดาบควับข้ามหัวเสียมไป เสียมกลิ้งหลบไปหลบมาที่อเนข้างอย่างจวนเจียน
เชิดได้สติอีกครั้งเห็นเสียมกำลังถูกแม้นรุกไล่เสียมพุ่งตัวไปคว้ามีด แล้วดันตัวขึ้นเผชิญหน้า แม้นชะงักเลิกผลีผลาม
“มึงมีดีนี่หว่า”
“มันจะดีกว่านี้ถ้าพวกแกไม่หมาหมู่”
แม้นถ่มน้ำลายแล้วยักไหล่
“งั้นพอแค่นี้”
“ก็ได้”
แม้นแยกไปดึงประคองลูกน้องขึ้น เสียมดูท่าทีนิดนึงก็เข้าไปหาเชิดคุกเข้าประคอง ทันทีที่เสียมเผลอตัว ไอ้แม้นก็หันควับมาฟันใส่เสียม เชิดแผดร้อง
“เสียม!”
เสียมพุ่งตัวหลบกลิ้งไป แม้นหมายฟันซ้ำ คมดาบฟันเข้าเต็มน่อง เลือดไหลปรี่จนเสียมแผดร้อง แม้นยิ้มร่าเข้ามายืนค้ำ เสียมกระถดถอย
“ไอ้หมาลอบกัด”
“มึงเสือกโง่เอง”
แม้นเงื้อมดาบหมายจะฟันซ้ำที่เสียม จู่ๆแม้นก็ชะงักแผดร้องเพราะเชิดคว้ามีดที่เสียมหลุดมือแทงเข้าที่สีข้าง แม้นดาบหลุดมือร้องโหยหวนล้มไป เชิดคุกเข่ากระแทกลงประคองเสียม เชิดมองดูเสียมอย่างซาบซึ้งเป็นห่วง เสียมพยักหน้า หน้าซีด หลับตาลง เชิดใจหาย
“ไอ้เสียม ไอ้เสียม”

วันรุ่งขึ้นในเวลากลางวัน
ภัตตาคารหรูแห่งหนึ่งถูกตกแต่งอย่างประณีต หน้าต่างซึ่งมีอยู่โดยรอบทำให้เห็นท้องฟ้า ทิวของยอดไม้ และเห็นยอดอาคารอื่นอยู่ไกลๆ บริเวณโต๊ะดีที่สุดริมหน้าต่าง ธนา สุวลี นพ อนงค์ รตี นั่งอยู่ ส่วนโต๊ะอื่นมีแขกนั่งอยู่ประปรายและเหลียวมองดูโต๊ะของกลุ่มธนาอย่างชื่นชม
ธนา สุวลี ทำอาการปรกติ แต่อนงค์ รตี นพเริ่มคอแข็ง วางท่ามากขึ้น
ธนาหยิบกล่องสี่เหลี่ยมขนาดกะทัดรัดห่อผูกโบว์อย่างดีส่งให้สุวลี สุวลียิ้ม
“อะไรกันคะนี่ ธนา”
“ของขวัญสำหรับคุณสุภาพสตรีครับ”

ธนาหยิบออกมาอีก2กล่องที่ห่อผูกโบว์ต่างจากกล่องแรกมาให้ อนงค์ รตี กิ๊วก๊าว
“อุ๊ย มีของเราด้วย เกรท!” อนงค์ว่า
“วันนี้ฝนตกทั่วฟ้า” รตีบอก
สุวลีบอก
“ขอบพระคุณค่ะ ธนา นี่เนื่องในโอกาสอะไรคะ”
ธนายิ้มจิบเครื่องดื่ม
“ไม่มีโอกาสอะไรพิเศษครับ แค่ผมอยากให้เท่านั้นเอง”
“โอโฮ ช่างใจกว้างอะไรเช่นนี้” นพว่า
“ขอให้มีโอกาสไม่พิเศษแบบนี้บ่อยๆนะคะ ฮิ ฮิ ฮิ” อนงค์บอก
อนงค์หัวเราะเสียงคล้ายม้า รตีทำหน้ารังเกียจ
“ครับ เพราะผมรู้ซึ้งแล้วว่า ถ้าเรามัวแต่รอโอกาสอยู่เราอาจจะพลาดโอกาสที่สำคัญที่สุดไปได้”
ธนามองดูแหวนในมือสุวลี นพอ้าปากค้าง อนงค์ รตี สะกิดถองกันวุ่น
“ต๊าย”
“จุ๊ๆ”
สุวลียิ้มปรกติสบสายตาธนา
“แต่นักธุรกิจอย่างพวกคุณ มักจะเห็นโอกาสมากกว่าคนทั่วไปอยู่เสมอไม่ใช่หรือคะ”
ธนายิ้มนิดๆ

ภายในห้องนอน สุวลีเปลี่ยนเป็นยาวกรุยกรายนั่งอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง จวนคุกเข่าอยู่ที่พื้นสวมรองเท้าแตะส้นสูงปักเลื่อมให้ ตรงหน้าสุวลีมีห่อของขวัญของธนาวางอยู่
บริเวณโซฟาภายในห้องนอนของสุวลี อนงค์ รตีฉีกห่อของขวัญของตัวเองจนกระจุยกระจาย ข้างในเป็นตลับแป้งผัดหน้าอย่างดี อนงค์ยิ้มแก้มแทบปริแต่รตีทำท่าเชิดใส่
“สุวลี นี่เธอกับคุณธนานี่มันยังไงกันแน่” อนงค์ถาม
“เธอน่ะมีคุณสรรค์อยู่ทั้งคนนะ” รตีว่า
สุวลีลุกขึ้นเดินมาที่โซฟาแล้วนั่งลงกับสองนาง จวนหอบเสื้อผ้ารองเท้าออกไป
“แล้วทำไมหรือ”
“ก็ฉันเห็นมีแต่เยื่อใยไม่รู้จักจบจักสิ้นนี่” อนงค์ว่า
“คุณธนากับฉันเป็นแค่เพื่อนกัน”
“เพื่อนที่ไหนเขาจะมีของกำนัลมาให้ไม่ขาดสายขนาดนี้”
“เขาไม่ได้ให้ฉันแค่คนเดียวสักหน่อย”
“เฮอะ ให้เราสองคนแก้เกี้ยว เท่านั้นแหละ” รตีว่า

รตีเอากล่องของขวัญของสุวลีมาเขย่าเบาๆ ด้วยหน้าตาอยากรู้อยากเห็น
“ฉันดูตาก็รู้ ว่าคุณธนาเค้าคิดยังไงกับเธอ” รตีบอก
สุวลีคิดๆ แล้วก็ดึงกล่องคืนมาขมวดคิ้วน้อยๆ เป็นเชิงปรามไม่ให้ยุ่ง

เวลาเย็น ภายในห้องทำงานของธนาที่มีความใหญ่โตหรูหราถูกตกแต่งอย่างตะวันตกทุกกระเบียดนิ้ว ที่โต๊ะทำงานใหญ่ ธนานั่งพิงเก้าอี้พนักสูงแล้วหันไปตอบนพ
“นายก็รู้ ว่าฉันคิดยังไง”
นพถือแก้วเหล้าสองใบมาจากเคาน์เตอร์บาร์เล็กๆมาส่งให้ธนาแก้วหนึ่ง
“มีผู้หญิงดีๆ อีกตั้งมากมาย ทำไมนายถึงได้ปักใจนักหนากับคุณสุ”
“เรื่องบางเรื่องมันก็ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล”
“นี่นายยังหวังให้คุณสุถอนหมั้นไอ้จิตรกรนั่นแล้วหันมาหานายจริงๆหรือ”
ธนายิ้มนิดหนึ่งทำท่าจะพูดอะไรแล้วก็ยักไหล่ไม่พูด ทว่าแววตามุ่งมั่น

ภายในห้องนอน สุวลีหยิบกล่องของขวัญขึ้นมาแกะออกดู ข้างในเป็นกล่องเครื่องประดับ ข้างในวางสร้อยข้อมือเพชรงามแพรวพราว สุวลีอึ้งแล้วขมวดคิ้ว รตีกับอนงค์ตาโต พูดไม่ออก
สุวลีแปลกใจแล้วหยิบมันมาพิศดูก่อนจะตัดสินใจลองพาดสร้อยลงที่ข้อมือ แสงเพชรแพรวพรายข่มแหวนของสรรค์ที่นิ้วให้หมดแสงไป
สุวลีมองดูแล้วถอนใจนิดๆก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟาไปที่เตียงแล้วเอนกายลงนอนตะแคง แขนที่สวมสร้อยทาบลงบนหมอน สุวลีดูมัน ดวงใจที่เคยมั่นคงเริ่มหวั่นไหวสับสนและสั่นคลอน

ภายในห้องทำงานของธนา นพหัวเราะหึๆอย่างสะใจ
“นี่ถ้าไอ้เจ้าสรรค์รู้ว่านายแอบมาเต๊าะคู่หมั่นมันหลับหลัง มันจะทำหน้ายังไงนะ”
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไง”
“เออ แล้วหมู่นี้ไอ้เจ้าสรรค์มันไปอยู่ซะที่ไหน นายถึงมีโอกาสทำคะแนนกับคุณสุได้อย่างนี้”
ธนานิ่งไปนิดหนึ่ง หน้าตามีแววสะใจแล้วหันไปทำหน้าซื่อตอบนพ
“คงไปราชการต่างจังหวัดละมั้ง”
ธนาตอบแล้วแอบยิ้มในสีหน้า

อ่านต่อหน้าที่ ๒


หมายเหตุ - ผู้เรียบเรียง

๑ วงดนตรีกรมโฆษณาการ - ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล (รัชกาลที่ ๘) ซึ่งเป็นช่วงที่บริษัทภาพยนตร์ไทยฟิล์ม จำกัดเลิกล้มกิจการ และขายโรงถ่ายภาพยนตร์ให้กับกองทัพอากาศ โดยเวลานั้น หลวงสุขุมนัยประดิษฐ์ได้ชักชวนให้นักดนตรีของวงไทยฟิล์ม ซึ่งประกอบด้วย ครูเอื้อ สุนทรสนาน ครูเวส สุนทรจามร และทีมงานย้ายไปก่อตั้งวงดนตรีวงใหม่ของกรมโฆษณาการ ซึ่งมีนายวิลาศ โอสถานนท์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมโฆษณาการ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ กรมโฆษณาการได้เปลี่ยนชื่อเป็น “กรมประชาสัมพันธ์” ในขณะนั้น พ.อ.หลวงสารานุประพันธ์ (นวล ปาจิณพยัคฆ์) ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์คนแรก จึงได้เปลี่ยนชื่อวงดนตรีใหม่ว่า “วงดนตรีกรมประชาสัมพันธ์” ตามชื่อของกรม

สาวน้อย ตอนที่ ๗ (ต่อ)
เกาะสีชัง ยามเช้า ภายในห้องนอนของเนื่อง ผ้าม่านบังตาสีขาวฉลุลวดลายปิดหน้าต่างไว้ครึ่งหนึ่งพลิ้วไหวตามแรงลม แสงยามเช้าส่องเข้ามาถึงที่นอนบาง เสียมลืมตาขึ้นช้าๆ แล้วขยับตัวจะลุกขึ้นนั่ง แต่เจ็บที่ขาซ้ายอย่างรุนแรงจนร้องออกมา เสียมดึงผ้าห่มบางออกจนเห็นขาซ้ายที่พันผ้าพันแผลไว้ ตลอดแนวน่อง
ประตูห้องเปิดออก นิดถืออ่างน้ำและผ้าเช็ดหน้าเข้ามา
“พี่เสียมเป็นอะไรจ๊ะ”
“พี่เจ็บขา”
นิดคุกเข่าวางของลง จับตัวเสียมให้เอนลง
“พี่เสียมก็อย่าเพิ่งลุกขึ้นมาซีจ๊ะ นอนลงก่อน”
“แต่พี่ไม่อยากนอนแล้วนี่”
นิดยิ้มแล้วเอาหมอนมาซ้อนๆกันให้เอนตัวกึ่งนั่งกึ่งนอน เสียมมองดูนิดใจวูบวาบขึ้น นิดขยับถอยไป เสียมรีบทำปรกติ
“แล้วพี่เสียมนอนเอนๆแบบนี้ก็แล้วกัน”
“นี่พี่เป็นอะไรไป”
“พี่เสียมอย่าบอกนะว่าพี่เสียมความจำเสื่อมซ้ำสอง”
นิดทำตาโต เสียมยิ้ม นิดเริ่มเช็ดหน้าให้เสียม
“เปล่า พี่จำได้ว่าโดนไอ้แม้นมันฟันเอาแต่ว่าหลังจากนั้นมันเกิดอะไรขึ้น”
“เฮ้อ นิดใจหายหมด พี่เสียมเลือดออกมากจนสลบไป ดีที่พี่เชิดห้ามเลือดทัน ตอนที่ตามหมอมาแผลพี่ก็อักเสบตัวร้อนจี๋เลย หมอเย็บแผลแล้วก็ฉีดยาให้พี่ตั้งหลายเข็มเมื่อวานพี่เสียมตื่นขึ้นมาหนนึงแล้วก็หลับไปอีก พี่จำไม่ได้หรือจ๊ะ”
“พี่จำไม่ได้เลย นี่พี่สลบไปเป็นวันเชียวหรือ”
“จ๊ะ หมอบอกว่าแผลลึกจนถึงกระดูกต้องนั่งๆนอนๆก่อน”
ประตูเปิดออก เชิด เนื่อง และแก้วเดินเข้ามา
“ไอ้เสียมฟื้นแล้วหรือ” เนื่องถาม
ทุกคนเข้านั่งรุมล้อม เชิดมองเสียมอย่างห่วงใย
“เอ็งเป็นยังไงบ้าง”
“ฉันไม่เป็นไร ขอบใจนะเชิดที่ช่วยฉันไว้”
เชิดสะอึกอึ้งไป มองเสียมอย่างซึ้งน้ำใจ
“ข้าต่างหากที่ต้องขอบใจเอ็ง ถ้าเอ็งไม่ไปช่วยไว้ ข้าก็คงตายไปแล้ว”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แล้วพวกไอ้แม้นเป็นยังไง”
“เจ็บใจที่ข้ามัวไปส่งนังแก้ว ไม่งั้น” เนื่องบอก
“ไม่งั้นก็ได้ไปหยอดน้ำข้าวต้มกับเขาด้วย”
แก้วพูดแทรกจนเนื่องมองค้อน

“อย่าขัด…..ไม่งั้นก็ได้ลุยกับสามต่อสาม”
“ไอ้หมาลอบกัดมันตีหัวข้าซะหมอบ แต่ไอ้เสียมมันใจถึง มันคนเดียวกล้าลุยกับพวกมันสามคน”
เชิดยกย่องไม่หยุดปากจนเสียมทำหน้าเรี่ย นิดขำเชิด แก้วทำตาปริบๆ
เชิดพูดกับเสียม
“เอ็งมันเป็นเพื่อนตายจริงๆ ข้าเป็นหนี้ชีวิตเอ็ง”
เชิดมองเสียมอย่างจริงใจ เสียมยิ้มรับรู้ในน้ำใจของเชิด นิดกับเนื่องมองทั้งสองอย่างชื่นใจ

หลายวันต่อมา เสียมนั่งอ่านหนังสือ ๒-๓ เล่มอยู่ที่ชานบ้าน ข้างตัวมีไม้เท้าพิงอยู่ ฝนหายเมื่อตอนเช้า น้ำยังหยดจากหลังคา แต่พระอาทิตย์แผดแสงจ้า กระดานพื้นเรือนเริ่มแห้งหมาด นิดโผล่ออกมาจากห้องนอนด้วยชุดทะมัดทะแมง
“พี่เสียมอ่านอะไรจ๊ะ”
“หนังสือนิทานน่ะ”
นิดนั่ลงข้างๆ
“ภาษาฝรั่งด้วย...สนุกไหม”
“ก็สนุก .. แต่ก็เบื่อ นั่งอยู่เฉยๆ มาหลายวันแล้ว .. แล้ววันนี้นิดไม่ไปขายของหรือ”
“วันนี้พี่เนื่องไปช่วยแม่ขายแทน”
นิดเดินไปในครัวหยิบตะกร้าหวายรูปสี่เหลี่ยมมีผ้าคลุมเรียบร้อยออกมา
“อ้าว แล้วนี่นิดจะไปไหน พี่คิดว่านิดจะอยู่บ้านเป็นเพื่อนพี่ซะอีก”
“อยู่ทำไมจ๊ะ บ้านน่าเบื่อจะตาย”
นิดแกล้งพูดนัยน์ตามีแววยิ้ม สรรค์งง

ทะเลราบเรียบแสงแดดสดใส เรือลำเล็กพุ่งปราดไป นิดแจวท้ายเรือ เสียมนั่งอยู่กลางลำเรือมีตะกร้าหวายและไม้เท้าพาดวางอยู่ใกล้ๆ
“นิดจะพาพี่ไปไหน ทั้งสีชังพี่ไปมาหมดแล้ว”
“แต่ที่นี่ พี่ไม่เคยไปแน่นอนจ๊ะ”
เรือลำน้อยแล่นไป ตรงเบื้องหน้ามีเกาะน้อยโผล่ขึ้นจากน้ำดูเหมือนเป็นแค่หินโสโครกสีดำไม่มีอะไรน่าสนใจ
ที่เกาะหินสีดำแห่งหนึ่งกลับมีหาดทรายเล็กๆ สีขาวสะอาดตัดกับโขดหินดำที่สลับซับซ้อน นิดลากเรือขึ้นบนหาดทราย เสียมมองดูอย่างงๆ นิดส่งไม้ค้ำให้และช่วยประคองเสียมมายืนมั่นแล้วหยิบตะกร้าขึ้น
“เกาะนี่ที่มองเห็นจากบ้านเรานี่”
“ก็ใช่น่ะซีจ๊ะ”

สรรค์ใช้เท้าเขี่ยทรายขาวละเอียด มันสะท้อนแสงแดดวาวระยิบระยับ
“ทรายละเอียดจัง ละเอียดกว่าที่หาดถ้ำพังอีก”
นิดมีแววภาคภูมิใจ ส่งแขนให้เสียมเดินลึกเข้าไปหลังแนวหิน
นิดพาเสียมเข้ามาหลังแนวหิน เสียมมองดูตรงหน้าแล้วตะลึงไป ข้างหน้านั้นมีหินซ้อนเป็นชั้นๆเหมือนเวทีธรรมชาติ มีโขดหินเป็นแท่น มีหาดทรายขาวที่กว้างกว่าด้านที่จอดเรือ ถัดไปเป็นทะเลกว้าง ท้องฟ้าสีสดจ้า และที่ไม่น่าเชื่อคือมีไม้ดอกมากมายขึ้นแซมอยู่ตรงนั้นตรงนี้ เม้จะป็นแค่ดอกไม้พื้นๆ เช่นผักบุ้งทะเล ต้อยติ่ง บานเย็น ฯลฯ ก็ตาม บ้างบานบ้างหุบอยู่

เสียมนั่งบนแท่นหินแบนที่นิดปูผ้าไว้ นิดเอาของกินจากตะกร้าออกมาวางเรียงราย
“เวลาน้ำลงทางเดินมาเกาะนี่ลึกแค่สะเอวเอง ตอนที่ย้ายมาสีชัง พี่เนื่องกับนิดมาเจอเกาะนี้เข้าแล้วใช้เป็นที่เล่น เอาเม็ดบานเย็นมาเป่าไม้ซาง พอฝนตกมันก็งอก ที่หลังนิดกับพี่เนื่องเลยเอาเม็ดดอกไม้อื่นๆมาโรยอีก มันก็งอก”
นิดกลับมานั่งลงแล้วส่งข้าวห่อใบบัวให้เสียม
“นี่เป็นที่ปิกนิกที่วิเศษที่สุดเลย”
“อะไรนะจ๊ะ”
“ปิกนิกแปลว่าที่เราทำอยู่ตอนนี้ไงจ๊ะ”
ลมทะเลพัดมา ผ้าแทบปลิวไปตามลม เสียมและนิดตะครุบคว้าของกินและหัวเราะกันสนุกสนาน ลมพัดผมยาวของนิดสยายระหน้า สรรค์มองนิ่ง เหมือนถูกสะกด แล้วเผลอหลุดออกมา
“เงือกน้อย(๒)”
“พี่เสียมพูดอะไรนะ”
“พี่บอกว่า นิดสวยเหมือนเงือกน้อย ในนิทาน”
“พี่เสียมเล่าซีจ๊ะ นิดอยากฟัง”
“แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องเศร้านะนิด”
“หรือจ๊ะ แต่นิดก็อยากฟังอยู่ดี”

เสียมเริ่มต้นเล่าเรื่อง นิดดวงตาโตสดใส ผมยาวไหวไปมาในสายลมขยับตัวนั่งฟังอย่างสนใจ
“ที่ใต้มหาสมุทรมีอาณาจักรใต้น้ำ มีราชาเงือกเป็นผู้ปกครอง พระองค์มีราชธิดา ๖ องค์ ธิดาองค์สุดท้องงดงามที่สุด ทุกคนเรียกเธอว่า….เงือกน้อย
เงือกน้อยเห็นเจ้าชายรูปงามอยู่บนเรือ ความรักครั้งแรกก็เกิดขึ้น เงือกน้อยหลงรักเจ้าชายหมดใจ”
นิดมองดูเสียมแววตาระยิบระยับ
“วันหนึ่ง เจ้าชายจมน้ำ เงือกน้อยเป็นคนช่วยชีวิตและพาเจ้าชายเข้าสู่ฝั่ง เจ้าชายสลบไปมีหญิงสาวเลอโฉมมาพบเข้า เงือกน้อยจึงซ่อนตัวหลังโขดหิน เจ้าชายฟื้นขึ้นเข้าใจว่าหญิงสาวคือคนช่วยชีวิต”

ภาพในจินตนาการ นิดเป็นเงือกน้อยนิดมองดูเสียมในชุดเจ้าชายที่เปียกโชกสลบอยู่ที่ชายหาด
“นางแม่มดทะเลมอบขาให้เงือกน้อยแลกกับเสียงไพเราะของเธอ”
นิดยกมือทาบคอของตัวเอง
“เจ้าชายคิดว่าเงือกน้อยเป็นใบ้แต่ก็ดูแลเธออย่างดี วันหนึ่งเจ้าชายก็พาหญิงสาวเลอโฉมมาแนะนำว่าคือผู้ช่วยชีวิตและจะแต่งงานกับเธอ”
นิดเม้มปาก
“เงือกน้อยนึกถึงคำของแม่มดว่า ถ้าเจ้าไม่สามารถทำให้เจ้าชายรักเจ้าได้ เจ้าจะต้องกลายเป็นฟองน้ำและจางหายไป”
นิดยกมือปิดปากน้ำตาคลอ
“เจ้าหญิงเงือกทั้ง ๕ บอกเงือกน้อยว่า มีทางแก้ที่เธอจะไม่ตาย แต่เธอต้องเอามีดนี้แทงลงที่หัวใจเจ้าชาย”
ภาพในจินตนาการ เงือกน้อยนิดกำมีดในมือแน่น มองเจ้าชายเสียมที่กำลังนอนหลับอยู่ เงือกน้อยน้ำตาคลอ เงือกน้อยมองดูใบหน้าเจ้าชายที่กำลังหลับใหล
“ให้อภัยฉันด้วยเจ้าชายสุดที่รักของฉัน”
เงือกน้อยเงื้อมือขึ้นอีกครั้งพร้อมจะจ้วงแทงลงที่หัวใจของเจ้าชาย
“ฉันทำไม่ได้ ถ้าเธอต้องตายฉันยินดีตายเองดีกว่า”
ภาพในจินตนาการ เงือกน้อยนิดคิดจะจ้วงแทงตัวเอง
“เงือกน้อยทิ้งมีดลงวิ่งไปยังกราบเรือ และโดดลงสู่น้ำ ร่างของเธอสลายกลายเป็นฟองน้ำ”
นิดนิ่งฟัง เสียมทอดสายตามองไกลไปยังท้องฟ้า เมฆเคลื่อนออก แสงส่องมาเป็นลำ
“แต่มีแสงส่องลงมาจากท้องฟ้า เทพยาดาหลายองค์ลอยมาตามแสงฉุดร่างเงือกน้อยไว้ และพาเธอลอยไปสู่ฟากฟ้าเป็นธิดาของท้องฟ้า มีความสุขอยู่บนสรวงสวรรค์ตลอดไป”
นิดกัดริมฝีปากแล้วยิ้ม เสียมเอื้อมมือมาปาดน้ำตาจากแก้มนิด
“พี่บอกมันแล้วว่า มันเศร้า”
“ไม่เศร้าหรอกจ๊ะ เพราะลงท้ายเงือกน้อยก็ทำถูกแล้ว ความรักที่แท้ต้องไม่เห็นแก่ตัวไงจ๊ะ”
“ถ้าเป็นพี่ พี่จะแทงอกเจ้าชายโง่ๆนั่น แล้วกลับไปหาเจ้าเงือกหล่อๆดีกว่า”
เสียมแกล้งพูด
“เจ้าชายไม่มีโอกาสรู้ต่างหากจ๊ะไม่ได้ทำอะไรผิดซักหน่อย”
“พี่ดีกว่าเจ้าชายตั้งเยอะ เพราะพี่รู้อย่างไม่มีวันลืมว่านิดเป็นคนช่วยชีวิตพี่ พี่เป็นหนี้ชีวิตนิด”
เสียมมองหน้านิดอย่างลึกซึ้ง

บริเวณบ้านเช่าราคาถูกเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวหลังคาปั้นหยา บริเวณโดยรอบไม่มีระเบียบ ต้นไม้และหญ้าขึ้นรก มีรั้วเป็นไม้พู่ระหงปลูกเป็นแนวรกตา

ตรอกสิงโต สิงหาคม 2481

รั้วไม้พู่ระหงถูกแหวกออก หน้าบุญมาโผล่ออกมากับนายร้อยนอกเครื่องแบบจ้องมองไปยังตัวบ้าน
“นั่นไงหมวด”
บุญมาบุ้ยบ้ายไป ผู้หมวดมองตาม เห็นรถหรูของสรรค์จอดอยู่ ทันใดประตูบ้านก็เปิดออก คงแต่งตัวแบบอยู่บ้านเปิดประตูออกมามองดูรอบๆ บุญมาและผู้หมวดรีบหดหัวหลบ คงกลับเข้าบ้านปิดประตูที่นอกรั้ว บุญมา ผู้หมวด และนายสิบตำรวจในเครื่องแบบมองหน้ากัน มีเด็กชายท่าทางเป็นเด็กส่งของ เอาห่อก๋วยเตี๋ยวใบตอง ๗-๘ ห่อผูกกับแฮนด์รถจักรยานถีบมา
ด้านในบ้านเช่าแทบไม่มีเครื่องเรือนเหมือนเป็นแค่ที่ซุกหัวนอนเท่านั้น กลางห้องปูเสื่อมีกระติกน้ำแข็ง ขวดเหล้า โซดา สินนั่งจิบเหล้าอยู่บนเสื่อ คงเดินเซมานั่งลง
“เอ็งน่าจะเอารถไปปล่อยได้แล้ว” สินบอก
“ไม่ไหวพี่ อู่รถมันกดราคาเต็มที ฉันว่าเก็บไว้แล้วทำสีใหม่จะดีกว่า”
“โกหก มึงคิดจะเก็บรถเอาไว้ขับฉุยฉายอีกน่ะซี”
มีเสียงเคาะประตู สินขมวดคิ้ว คงสะดุ้ง
“ใครวะ” คงว่า
“นี่เอ็งไม่ได้ปิดประตูรั้วหรือ”
คงลุกขึ้นแล้วบอก
“รอให้เด็กมันเอาก๋วยเตี๋ยวมาส่งน่ะพี่”
คงเดินไปที่ประตูแล้วถาม
“ใครวะ”
“ก๋วยเตี๋ยวมาส่งพี่” เสียงเด็กบอก
คงเปิดประตูออก แล้วชะงักเมื่อเห็นว่าหน้าประตู นอกจากเด็กชายส่งก๋วยเตี๋ยวแล้วยังมีบุญมา ผู้หมวดและนายสิบในเครื่องแบบ
“ตำรวจ!”
นายสิบเข้าล็อกตัวคงรุนเข้าไปในบ้าน ผู้หมวดและบุญมาตามเข้าไปด้วย เห็นแต่วงเหล้า ในบ้านไม่มีใครเลย คงหน้าซีด ผู้หมวดเข้าไปอย่างระมัดระวังและเห็นหน้าต่างเปิดแง้มอยู่
“หมู่ ตามไปดูซิ” ผู้หมวดบอก
นายสิบตำรวจปีนหน้าต่างแล้วกระโจนหายไป บุญมาและหมวดหันมาหาคง คงยิ้มแห้งแล้ง

ภายในโถงบ้าน โพธิธาราในเวลาต่อมา พระชาญชลาศัยและมารศรีนั่งอยู่ที่โซฟา บุญมานั่งอยู่ตรงข้าม ผินยืนคอยฟังอยู่ด้วย
“พวกมันมีกัน 2 คนครับ ชื่อไอ้คง กับไอ้สิน เราจับไอ้คงไว้ แต่ไอ้สินหนีไปได้”
พระชาญชลาศัยและมารศรีนิ่งฟัง
“ไอ้คงเป็นพวกลักเล็กขโมยน้อย แต่ลูกพี่มันชื่อไอ้สินที่หนีไปได้มันทำงานเป็นบ๋อยที่หยาดสวรรค์”
มารศรีสีหน้าเปลี่ยนไป บุญมาเหลือบสายตามองดู มารศรีทำหน้านิ่งไม่รู้ไม่ชี้
พระชาญชลาศัยกับมารศรี
“เธอรู้จักมันไหม”
“ฉันเป็นแค่นักร้องจะให้รู้จักบ๋อยทุกคนคงเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ”
แม่ผินจ้องมองมารศรีเขม็ง
“เชอะ”
“ไอ้คงมันสารภาพว่าพวกมันสะกดรอยตามสรรค์มาจากหยาดสวรรค์แล้วดักปล้นชิงรถ มันตีหัวสรรค์สลบแล้วโยนทิ้งไว้ข้างทางแถวๆคลองเตย”
“โธ่เอ๋ย คุณหนู” ผินว่า
พระชาญชลาศัยยิ่งเป็นห่วงลูก มารศรีครุ่นคิด แม่ผินซับน้ำตา บุญมามองดูมารศรีอีกครั้ง

ภายในห้องรับแขกเล็ก บ้านเนาวรัตน์ในเวลากลางคืน พระชาญชลาศัยนั่งอยู่บนโซฟา เสวกนั่งโอบสุวลีอยู่ฝั่งตรงข้าม สุวลีน้ำตาคลอ
“แถวคลองเตยเองหรือคะ โธ่ เลยบ้านนี้ไปนิดเดียว”
“แล้วจะทำยังไงต่อไปครับ” เสวกถาม
“เราอยู่จุดเกิดเหตุแล้ว เราก็จะสืบต่อจากตรงนั้น” บุญมาบอก
“อาให้นักสืบระดมพรรคพวกมาหลายคน เอารูปเจ้าสรรค์ไปถามคนในละแวกนั้นดูคงได้ร่องรอยคราวนี้แหละ” พระชาญชลาศัยบอก
“แต่นี่มันจะห้าเดือนแล้วนะคะ”
“พวกมันตีสรรค์ที่หัว ผมเดาว่าสรรค์คงสมองกระทบกระเทือนแล้วเดินเปะปะไป ตอนนี้น่าจะอยู่ที่ไหนซักแห่ง”
“อาจจะมีคนช่วยไว้ดูแลอย่างดีก็ได้” เสวกว่า
“แต่ก็อาจจะไปเจอคนร้ายที่ร้ายกว่าพวกโจรนี่ก็ได้” สุวลีบอก
“หนูสุ คิดในแง่ดีก่อนเถอะ” พระชาญชลาศัยบอก
“จะให้สุคิดในแง่ดีได้ยังไงคะ ถ้าสรรค์ความจำเสื่อมก็แปลว่าเขาคงจำทุกอย่างไม่ได้ จำไม่ได้….แม้แต่หน้าของสุ”

นิตยสารของบุญมาหน้าปกสุวลีวางอยู่บนพื้นภายในชานเรือนบ้านนิด รวมอยู่กับนิตยสารอีก๒-๓ ฉบับ เสียมนั่งพิงเสามองฝนที่กำลังจะตกอยู่อย่างเบื่อหน่าย นางนิ่มใส่แว่นกำลังนั่งเย็บผ้าอย่างใจจดใจจ่อ ห่างออกไปเนื่องนั่งกำลังอ่านหนังสือพิงฝาพลางหาวหวอดอยู่
นิดเดินมาจากด้านในพร้อมจานขนมวางลงบนโต๊ะ แล้วหยิบนิตยสารรูปสุวลีมาดูอย่างชื่นชม
เสียมถอนใจเฮือก นิดหันไปมอง
“พี่เสี่ยมทำไมถึงเป็นกุมภัณฑ์ทอดใจใหญ่จ๊ะ”
“พี่เบื่อ ทำอะไรก็ไม่ได้ ไปไหนก็ไม่ได้”
“ทำไมไม่อ่านหนังสือละจ๊ะ”
“ช่วงนี้เป็นอะไรไม่รู้ พี่อ่านแล้วปวดหัวปวดกระบอกตาด้วย”
นิดขยับลุกมองอย่างเป็นห่วง
“เกี่ยวกับที่พี่โดนตีหัวหรือเปล่าจ๊ะ”
“ไม่น่าจะใช่หรอกน่าจะเป็นหวัดมากกว่า ฝนตกแฉ่ๆแบบนี้ทุกวัน เฮ้อ เบื่อจะตาย”
“เบื่อก็หาอะไรทำเล่นซีจ๊ะ”
“ทำอะไรดีล่ะ”
เสียมหันไปเห็นสมุดกับดินสอ และแมกกาซีนวางไว้ เสียมหยิบแมกกาซีนรูปสุวลีมามองอย่างสนใจ
“มา นิดช่วยจ้ะ แม่”

เสียมหันมองดูนิดที่กำลังนั่งเย็บผ้าอยู่ที่ริมระเบียง ลมแรงพัดเส้นผมนิดขยับไหวเลื่อมพรายระยับราวเส้นไหม ดนตรีของเทวีแรงดลใจดังแว่วมา...
เสียมขยับตัวคว้าสมุดกับดินสอมา ดนดรีของเทวีแห่งแรงดลใจดังขึ้นเรื่อยๆ ไพเราะ เสนาะใส
ใบหน้านิดดูงดงามราวนางพรายน้ำ เสียมเหลือบดูอย่างแสนผูกพันแล้ววาดต่อ
เพียงครู่เดียวภาพในมือก็เสร็จ เป็นภาพดินสอดำแรเงางดงาม มันเป็นภาพพอร์เทรตของนิดที่งดงามทั้งคน มุมภาพ ทิศทางของแสง น้ำหนักอ่อนแก่ของเงา
เสียมเงยหน้าขึ้นดวงตาเป็นประกาย นิดเหลือบตาขึ้นมาจากการเย็บผ้ามองดูเสียมที่ยิ้มให้
เพลงของเทวีแห่งแรงดลใจดังก้องอยู่!
จบตอนที่ ๗

หมายเหตุ - ผู้เรียบเรียง
๒ เงือกน้อย - เป็นนิทานของเดนมาร์ก ของฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน(Hans Christian Andersen) ซึ่งมีชีวิตอยู่ระหว่างปีค.ศ. ๑๘๐๕-๑๘๗๕ เขาเกิดในสลัมและเป็นตัวตลกน่าสมเพชให้คนหัวเราะมาตลอดชีวิต กล่าวกันว่านิทานของเขา ‘เป็นบรรณาการยิ่งใหญ่จากเดนมาร์กแก่โลกวรรณกรรม… ด้วยการนำนิทานพื้นบ้านมาเล่าใหม่ และบางเรื่องก็แต่งขึ้นเอง โดยเติมความเศร้าหรือน่ากลัวลงไปในเรื่องนั้นๆ เสริมด้วยจินตนาการเพ้อฝันและลีลาภาษาพูดเรียบง่าย เพื่อย้อมความหวานซึ้งให้กับคติ ผลงานของเขาเช่น ต้นสน, เด็กหญิงไม้ขีดไฟ, เงือกน้อย, ราชินีหิมะ, ไนติงเกล, กล่องชุดจุดไฟ, ลูกเป็ดขี้เหร่, ชุดใหม่ของจักรพรรดิเป็นต้น ในโลกวรรณกรรมเขามีฐานะเทียมเท่าโฮเมอร์, ดันเต้, เชกสเปียร์, เซอร์บันเตส และเกอเธ่

สาวน้อย ตอนที่ ๘
เสียมเงยหน้าขึ้นจากรูปที่วาดอยู่ ดวงตาเป็นประกาย จังหวะนั้น นิดก็เงยหน้าขึ้นจากการเย็บผ้าสบตาแล้วยิ้มให้
“พี่เสียมยิ้มอะไรหรือจ๊ะ”
“นิดมาดูอะไรนี่”
นิดวางผ้าขยับตัวเข้ามาหา เสียมส่งรูปให้ นิดดึงรูปมาแล้วตกตะลึงพรึงเพริด
“พี่เสียม นี่พี่เสียมวาดจริงๆหรือ”
นิดแตะรูปอย่างทะนุถนอมแล้วเงยหน้ามองเสียมที่ส่งสายตาหวานอ่อนโยนให้
“สวยจังเลยจ้ะพี่เสียม”
“เพราะแบบงามมากว่า”
นิดเขินเล็กหน่อยแต่ความประหลาดใจมีมากกว่า นิดขยับมาจนชิดเสียม
“พี่เสียมวาดได้ยังไง พี่ไปเรียนวาดมาจากไหน”
“นิดก็รู้คำตอบอยู่แล้ว วันนี้จู่ๆเห็นนิดแล้วก็อยากวาด แล้วก็วาดได้เอง”
“ไหนพี่เสียมลองวาดอีกซิจ๊ะ”
เสียมรับคำแล้วพลิกสมุดวาดเขียนไปหน้าที่ว่าง มองดูนางนิ่ม แล้วถัดตัวหามุม ลงมือวาดอย่างรวดเร็ว นิดชะโงกดูอยู่ข้างๆ ภาพนางนิ่มกำลังปักผ้าถูกร่างอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็เป็นรายละเอียด
เสียมแน่วแน่กับการเขียน นิดอัศจรรย์ใจอย่างเหลือล้น นางนิ่มยังคงเย็บผ้าอย่างเพลิดเพลิน ราวสิบนาทีรูปนางนิ่มก็เสร็จลง นิดยกมือขึ้นปิดปาก
เสียมพลิกกระดาษ แล้วเปลี่ยนมุมนั่ง มองดูเนื่องที่หลับพิงข้างฝาคอพับคออ่อน ขาข้างหนึ่งเหยียดอีกข้างพับเข้า มือข้างหนึ่งวางบนเข่าขาที่เหยียด มืออีกข้างซุกไว้ที่ตัก หนังสือหล่นอยู่ข้างตัว เสียมอมยิ้มอย่างซุกซน ลงมือสเกตซ์ภาพเนื่องอย่างรวดเร็ว นิดมองเนื่องตัวจริงสลับกับภาพในมือเสียมอย่างแสนทึ่ง
อีกไม่ถึงสิบนาทีรูปเนื่องก็เสร็จ
เสียมถอนใจยาว วางดินสอหันมามองหน้านิด นิดมองเสียมตาโตร้องเสียงแหลมปรี๊ด
“แม่! พี่เนื่อง!”
นางนิ่มสะดุ้งเฮือก เนื่องผวาตื่นมาขยี้ตา
“อะไรลูก ร้องซะตกอกตกใจ”
“โธ่ กำลังฝันดีอยู่เลย”
“แม่ พี่เนื่องมาดูนี่ซีจ๊ะ พี่เสียมวาดรูป”
นิดคว้าสมุดวาดเขียนมาจากมือเสียม ใช้เข่าเดินไปหานางนิ่ม เนื่องหาวหวอดขยับมาดูด้วย
“โธ่เอ๋ย พ่อเสียมวาดรูป ร้องซะ .. คุณพระ คุณเจ้า”
นางนิ่มรับสมุดมาดูเห็นรูปนิด

“หา นี่นะ เจ้าเสียมวาด”
“ไม่ใช่แค่นั้นนะจ๊ะ”
นิดพลิกอีกรูปให้เห็นรูปแม่ นางนิ่มถึงกับอ้าปากค้าง
“ต๊าย นี่รูปแม่หรือ”
“ไม่เหมือน สาวกว่าตัวจริง” เนื่องบอก
นางนิ่มตาเขียว เนื่องทำคอหด เสียมอมยิ้ม นิดพลิกรูปต่อไป เนื่องอ้าปากค้างบ้าง
“นี่สิเหมือนจริงๆ .. เหมือนพวกขี้เมาหยำเป” นางนิ่มบอก
เนื่องมองดูรูปซ้ำแล้วสะดุ้ง ที่มือเนื่องในรูปไม่ใช่หนังสือ แต่เป็นขวดเหล้าตั้งอยู่ใบหนึ่ง และมีอีก๒ ขวดล้มกลิ้งอยู่
“ไอ้เสียม นี่มันอะไรกัน”
“นั่นแค่ล้อเล่นลบรูปขวดเหล้าออกก็ได้”
“ข้าไม่ได้พูดเรื่องขวดเหล้า แต่ข้าพูดเรื่องที่เอ็งวาดรูปได้ต่างหาก”
สามคนแม่ลูกมองดูเสียมตาเป๋งราวสิ่งมหัศจรรย์ เสียมทำตาปริบๆขัดเขิน

วันรุ่งขึ้น ตอนกลางวัน บริเวณแท่นหินใต้ต้นน้อยหน่า แก้วผลัดแป้งขาวทาปากแดง มีดอกไม้ช่อใหญ่เสียบผม ยืนเอียงหน้าเบี่ยงไหล่บิดสะโพก ในมือยังถือดอกไม้ช่อใหญ่อีกช่อ เสื้อที่ใส่มีทุกสีราวนกแก้ว เสียมยืนขาเขยกถือไม้ค้ำทำตาปริบๆ นิดปิดปากหัวเราะ เนื่องยืนปลงสังเวชอยู่ข้างหลัง
“เอาท่านี้ก็แล้วกัน วาดซิ นายเสียม” แก้วบอก
“เอาจริงหรือ”
“เฮ่ย ท่านี้ไม่ดี เอ็งลงนอนดีกว่า” เนื่องบอก
แก้วหลงเชื่อลดตัวบนแท่นหินแล้วเอนตัวลง
“ไม่ใช่นอนคว่ำ นอนหงายหลับตา เอามือข้างนึงพาดออกมา เดี๋ยวข้าไปหาสำลีมาอุดจมูกก่อน”
แก้วทำท่าตามอยู่ช่วงหนึ่งก็รู้ตัวร้องกรี๊ด ลุกพรวดขึ้น
“ฉันไม่ใช่ศพรอรดน้ำนะ เอ้า นายเสียมเอาท่าเดิมก็แล้วกัน”
“ถ้าจะให้วาดก็ต้องยืนนิ่งๆ ห้ามขยับตัวนะ” เสียมบอก
“วุ้ย ได้”
“ต้องยืนนิ่งๆ สักสามชั่วโมงนะถึงจะวาดเสร็จ”
แก้วหน้าเสียเลิกวางท่า
“หา สามชั่วโมงเหรอ ไหนนิดว่านายเสียมวาดแป๊ปเดียวเสร็จไง”
“ก็แก้วแต่งตัวสวยขนาดนี้มันวาดยากกว่านะซี” นิดบอก
“โธ่เอ๋ย เอ็งนะมันเกิดปีลิง อยู่นิ่งๆไม่ได้หรอก” เนื่องบอก
“เฮอะ ยุ่งยากนัก ไม่เป็นแล้วแบบเบิบ”

แก้วลงนั่งแผ่หมดแววนางแบบระดับโลก เสียมมองแก้วแล้วสว่างวาบขึ้นมา
“แก้วแต่งสีๆ อย่างนี้ วาดด้วยดินสอไม่ดีหรอกต้องวาดภาพสีน้ำมัน”
“พี่เสียมวาดภาพสีน้ำมันเป็นด้วยเหรอจ๊ะ” นิดถาม
เสียมไม่ตอบ แต่มีทีท่าเหมือนมั่นใจ
“เอ๊ะ นายเสียมนี่ชักมีอะไรแปลกๆ เคยเป็นช่างเขียนรูปมาก่อนหรือไง” แก้วถาม
“ฝีมืออย่างเอ็งไปวาดรูปขายได้สบาย” เนื่องบอก
“ใครจะมาจ้างฉัน”
“ที่นี่ไม่มีหรอกจ้ะ อย่างนี่พี่เสียมต้องไปหากินในกรุงเทพแล้วละ” นิดว่า
“โธ่เอ๊ย .. ที่แท้ก็เสือกไสไล่ส่งพี่”
เสียมร้องทุกข์ นิดจับมือเสียมอย่างปลอบใจ เสียมสบตานิด เนื่องกับแก้วมองตากัน
“เปล่าจ้ะเปล่า .. พี่อยากอยู่ที่นี่ก็ที่นี่ ต่อไปนิดจะไม่พูดให้พี่ไปกรุงเทพอีกแล้ว”
เสียมพยักหน้ามองนิดอย่างผูกพัน เชิดก้าวเข้ามาเห็นทั้งคู่กำลังกุมมือกันอยู่ สีหน้าก็เปลี่ยนไปวูบหนึ่ง
“อ้าว พี่เชิดมาตั้งแต่เมื่อไหร่” นิดทักทาย
นิดปล่อยมือเสียมแล้วหันมายิ้มแจ่มใสกับเชิด
“ก็มาเดี๋ยวนี้แหละ เดี๋ยวเย็นนี้พี่จะไปเมืองชล แล้วว่าจะเข้ากรุงเทพด้วยเลยแวะมาถามว่า ใครอยากได้อะไรไหม”
เชิดพยายามปรับสีหน้าให้ปกติ ยิ้มให้เสียมกับนิด เนื่องกับแก้วมองเชิดอย่างนับถือและเห็นใจ

พระจันทร์เกือบเต็มดวงลอยอยู่บนท้องฟ้า ทะเลสงบราบเรียบคลื่นซัดเข้าฝั่งอย่างแผ่วเบา ชายหาดยาวโค้งไปจรดแนวเขา เชิดและนิดเดินมาด้วยกัน เชิดดวงตาเป็นประกายเหลือบดูนิด นิดมีท่าทางสบายอารมณ์
“ตะกี๊พี่กับพี่เสียมงุบงิบอะไรกัน” นิดถาม
“ไม่มีอะไร เสียมมันฝากพี่ซื้อของสองสามอย่าง”
“นิดดีใจจังที่พี่เชิดกับพี่เสียมกลายเป็นเพื่อนรักกัน พี่เชิดยอมเชื่อแล้วใช่ไหมว่าพี่เสียมเป็นคนดี”
“ใช่ไอ้เสียมเป็นคนดี ดีไปหมดทุกอย่าง .. รู้ไหม เดี๋ยวนี้นิดพูดอะไรทุกคำจะต้องมีชื่อไอ้เสียมแทรกเป็นยาดำอยู่”
นิดชะงัก เชิดเสียงเริ่มขรึมขึ้น
“ไม่จริงซักหน่อย”
“พี่รักไอ้เสียม แต่ฟังแล้วมันขัดหูยังไงพิกล”
“อย่าบอกนะว่า พี่เชิดอิจฉาพี่เสียม”
“พี่อิจฉาซี เพราะมันมาที่นี่แค่ห้าเดือน แต่กลับสนิมสนมกับนิดมากกว่าพี่ที่รู้จักนิดมาเป็นสิบปีซะอีก”
“ไม่จริงนะจ๊ะ พี่เชิด”
“แล้วสายตาของนิดที่มองพี่ก็ไม่หวานเท่ากับสายตาของนิดที่มองเสียม”
นิดสะอึกอึ้งถอยไป เชิดมองนิดและหลุดปากพูดออกไป
“พี่เชิด”
“ถึงพี่จะไม่เคยบอก แต่พี่ก็คิดว่านิดน่าจะรู้อยู่แล้วว่า พี่รู้สึกยังไงกับนิด... พี่รักนิดรักมานานแสนนานแล้ว”
นิดยืนนิ่งแล้วนั่งลงช้า ๆ บนเรือที่คว่ำอยู่บนหาด เชิดนั่งห่างมานิดหนึ่ง นิดมองดูเชิด
“พี่เชิด นิดโตมากับพี่ รักพี่เหมือนกับที่รักพี่เนื่องไม่เคยคิดอะไรเกินไปจากนี้”
“แต่กับเสียมเล่า”
“พี่เชิดก็รู้ว่าพี่เสียมเขาไม่คิดอะไรกับนิดหรอก”
นิดมีแววสะทกสะท้านบางอย่าง เชิดยิ้มราวกับยิ้มเยาะตนเอง
“นั่นมันเมื่อก่อน แต่เดี๋ยวนี้สายตาของมันที่มองนิดเปลี่ยนไปแล้ว”
เชิดย้ำสิ่งที่นิดไม่แน่ใจ นิดดวงตาแวววามขึ้น มองดูเชิดและพยายามถนอมน้ำใจไว้
“ส่วนนิด พี่คงไม่รู้ใจนิด...เท่าตัวนิดเอง”
นิดหลบสายตาเบือนไปมองดูท้องทะเลเบื้องหน้า

ภายในห้องนอนของนิดเมื่อเวลากลางคืน แก้วตาเบิกโพลง ลุกผึงจากที่นอนมามองหน้านิดที่อาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว
“พี่เชิดบอกรักแก อุ๊ยตายแล้ว เสียดายที่ฉันไม่ได้ไปแอบดู”
“แอบดูอะไรกันฉันตกใจจะตาย”
“ความจริงก็ไม่น่าจะตกใจ ฉันก็รู้ ใคร ๆ ก็รู้มาตั้งนานแล้ว”
นิดมองแก้วแล้วถอนหายใจ
“แต่ฉันไม่รู้เลยจริง ๆ นะ ในสายตาฉัน ฉันเห็นพี่เชิดเป็นเหมือนกับพี่เนื่อง เป็นเหมือนพี่ชายแท้ ๆ ของฉัน”
“แล้วนายเสียมล่ะ นิดเห็นเขาเป็นเหมือนพี่ชายแท้ ๆ หรือเปล่า”
แก้วถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย นิดอึ้งมองหน้าแก้วนิ่ง

ยามกลางวันของวันใหม่ บริเวณชายหาดยาวเหยียด นางนิ่มหาบกระจาดเปล่า เนื่องถือเข่งเปล่ากลับมาจากตลาด ทั้งคู่คุยกันเรื่องเชิดกับนิด

“โธ่เอ๊ย ไอ้เชิด .. พูดแล้วก็สงสารมัน”
“ใจเนื่องยังหนักมาข้างเชิดอยู่หรือลูก”
“เชิดมันเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ ไอ้เสียมยังไงก็มาทีหลัง ใจฉันน่ะอยากจะเข้าข้างไอ้เชิด แต่ถ้าใจนิดมันเข้าข้างไอ้เจ้าเสียมเสียแล้ว ฉันคิดยังไงก็ไม่สำคัญ”
“นั่นซีนะก็สุดแต่บุญแต่วาสนาก็แล้วกันนะลูกนะ”

บริเวณท่าเรือบริษัทอีสเอเซียติก ตอนกลางวัน บรรยากาศพลุกพล่าน บุญมาและนักสืบวัยราว ๓๐ ปียืนอยู่กับจีนหัวหน้ากรรมกรของเรือกลไฟที่สรรค์เคยไปขอทำงาน หัวหน้ากรรมกรจีนพิศดูรูปสรรค์ในมือก็จำได้
“อั๊วจำล่ายแล้ว อีเคยมาขอทำงานกับอั๊ว”
“นี่เราถามถูกคนแล้ว” บุญมาบอก
“ฮ่อ ลื้อถามถูกคนเลี้ยว”
“แล้วยังไง” นักสืบถาม
“เมื่อหลายเดืองก่อง อีมาขอทำงานกับอั๊ว ไปกับเรือโป๊ะขนข้าวขึ้นเรือใหญ่ที่เกาะสีชัง”
“สีชังหรือ” บุญมาถามย้ำ
“แล้วยังไงอีก” นักสืบว่า
“ลื้อถามถูกคงเลี้ยง พอกลับจากสีชังอั๊วก็จ่ายเงินค่าแรงแล้วก็แยกย้ายกังไป”
“ไปไหน” บุญมาซัก
“อั๊วจาไปรู้หรือ ม่ายล่ายคอยตามตูมังนี่หว่า”
บุญมาเซ็งกระชากรูปคืนมา
“ปู้โธ่ ไปคุณไปถามคนอื่นดู”
“ลื้อถามถูกคนเลี้ยว”
บุญมากับนักสืบหันไปชนกับกรรมกรคนหนึ่งดังโครม บุญมาเซ กรรมกรหงายหลังผลึ่งลงไป รูปสรรค์กระเด็นตกไปที่พื้น
“ไอ้ย่า ลื้อเดิงยังไง ไม่มีตาเหลอ” อาล็อกโวย
“เฮีย ขอโทษที” บุญมาบอก
อาล็อกหยิบรูปสรรค์ขึ้นมาพลางลุกขึ้น
“นี่ของลื้อ เอ๋”
อาล็อกมองดูรูปแล้วก็จำได้ นักสืบเซ็งดึงรูปจากมืออาล็อกมา
“ไปคุณไปถามเรือลำนู้นดู” นักสืบบอก
“เดี๋ยวก่อง”

บุญมากับนักสืบชะงัก อาล็อกจะไม่ทันได้พูดอะไร หัวหน้ากรรมกรก็โผล่พรวดมา
“อาล็อก ลื้อหูแตกหรือขึ้งเรือล่ายแล้ว”
อาล็อกรีบเดินไปเข้าแถว หัวหน้ากรรมกรจีนมองบุญมากับนักสืบ บุญมาชักเซ็งบอก
“ไป”
หัวหน้ากรรมกรจีนค้อนขวับ อาล็อกมองตามบุญมาแล้วเกาหัวแกรกๆ รู้สึกคุ้นๆ
“เอ นั่นมัน .. อาเสียมล้อนี่หว่า” อาล็อกพึมพำ

บริเวณชายหาดตอนกลางวันของวันใหม่ ตรงบริเวณแท่นหินใต้ต้นน้อยหน่า เสียมนั่งอยู่บนแท่นหิน เนื่องยืนอยู่ลองพับขาตั้งที่วางกรอบผ้าใบเขียนรูปเข้า ๆ ออก ๆ นิดถือกระบุงข้าวเปลือกเดินมาหยุดดู
“นี่อะไรหรือจ๊ะพี่เสียม”
“ขาตั้งสำหรับเขียนรูปไงเนื่องเป็นคนต่อให้”
“หือ พี่เนื่องทำของแบบนี้เป็นด้วยหรือ” นิดถาม
“นี่ เธอเห็นฉันเป็นตัวอะไรยะ” เนื่องว่า
เนื่องเท้ายืนสะเอวบิด นิดหัวเราะวางกระบะเข้ากอดแขนประจบ
“ก็จริงๆ นี่นา นิดไม่เคยเห็นพี่เนื่องทำอะไรแบบนี้มาก่อนเลย”
“อย่ามาประจบเลย”
เชิดถือลังไม้ข้างในมีของหลายอย่างเดินมา มองดูนิดกับเนื่องอย่างเอ็นดู เสียมลุกขึ้นอย่างตื่นเต้นดีใจแล้วร้องเซไปเพราะแผลยังไม่หายดี
“เชิด! มาแล้วหรือ โอ๊ย”
นิดตกใจเข้าประคองสรรค์ เนื่องคว้าไม้ค้ำให้ เชิดมองดูสีหน้าเปลี่ยนไปนิดหนึ่ง
“พี่เสียม โธ่ ลุกพรวดพราดขึ้นมาทำไม”
“พี่ไม่เป็นไร เชิด ได้ของครบมั้ย”
เสียมท่าทางตื่นเต้นสุดๆ

เสียมคุ้ยของในลังดู เห็นม้วนผ้าใบสำหรับเขียนรูปสีน้ำมัน แปรง และพู่กันขนาดต่างๆ เชิดถาม
“เป็นยังไง”
“ได้มาครบเลย ขอบใจมาก เชิด ขอบใจจริงๆ”
“ทีนี้พี่ก็วาดรูปนิดอย่างที่ตั้งใจไว้ได้แล้ว นิดจะเป็นแบบให้พี่ได้ไหม”
“ได้ซีจ๊ะ”
เสียมกับนิดต่างมองกันอย่างซาบซึ้ง เชิดมองทั้งคู่แล้วหน้าสลดลงจนต้องเบือนหน้าไป เนื่องปลอบด้วยการโอบไหล่เชิด

“เฮ้ย เอ็งกับข้าไปหาเหล้ากินกันดีกว่า”
เชิดพยักหน้า ทั้งคู่เดินเลี่ยงไป เสียมกับนิดช่วยกันหยิบของในลังออกมาอย่างมีความสุข

เกาะน้อยตระหง่านเด่นอยู่ท่ามกลางน้ำทะเลสีสด เรือแจวลำหนึ่งแล่นมาพร้อมกับเสียงแหลมแปร๋นดังขึ้น
“นั่นบ้านแม่นิ่มใช่ไหมแม่”
ภายในเรือแจว ทับทิมแต่งชุดแหม่มกระโปรงบาน เสื้อคอปาดโชว์ไหล่แถมกางร่ม ผมหยิกฟูหน้าขาวปากแดงตามเคย กลางลำเรือนางแสนั่งอยู่เหมือนโอ่งใบมหึมา ท้ายเรือมีเด็กลูกจ้างชายตัวผอมแจวท้ายอย่างยากเย็น
“เออ” นางแสตอบ
“แวะเยี่ยมพี่เสียมดีไหมแม่ พี่เสียมขาเจ็บไปตลาดไม่ได้มาจะเดือนนึงแล้ว”
“ธุระไม่ใช่”
“ทำไมจะไม่ใช่ พี่เสียมตีกับไอ้แม้นแย่งฉันกันจนบาดเจ็บ”
ยายแสทำตาปริบ ๆ เด็กคัดท้ายส่ายหน้าไม่เห็นด้วย
“โถ นังหอยหอม” นางแสว่า
ทับทิมค้อนขวับ
“แวะนิดดีกว่า เดี๋ยวใครจะว่าได้ว่าฉันใจจืดใจดำ...เอ้า แก... แวะบ้านแม่นิ่ม” ทับทิมพูดแล้วสั่งเด็กท้ายเรือ
เด็กท้ายเรือคัดท้ายเรือผ่านเกาะน้อย ทับทิมมองไป เห็นเสียมถอดเสื้อยืนนุ่งกางเกงเลอยู่ตัวเดียวอยู่ที่หาดของเกาะวิมานน้อย
“ว้าย... ผู้ชายแก้ผ้า เอ๊ย แก้เสื้อ .. พี่เสียมนี่ แวะเลยแวะ”
สรรค์เอาไม้ค้ำเดินเข้าไปหลังแนวโขดหิน เรือแจวเข้าจอดบนหาดทันที ทับทิมไต่ลงเรือมาจนส้นสูงจมทราย
“อ้าว ลงมาซิแม่”
“ธุระไม่ใช่”
ทับทิมฉุด นางแสบ่นลงมาอย่างเสียไม่ได้ ทั้งคู่เดินเข้าไปทิ้งเด็กไว้เฝ้าเรือ

ทับทิมและนางแสเดินมาถึงแนวโขดหินที่กั้นเป็นกำแพงบังสายตา ทับทิมยิ้มย่องแล้วบอก
“ต๊าย เหมือนฟ้าอุ้มสมเหมือนพี่เสียมรอฉันอยู่”
เสียงเสียมพูดแว่ว ๆ เข้ามาพร้อมเสียงหัวเราะของนิด ทับทิมชะงัก นางแสหูผึ่งทันที

“ท่าทางจะรอเอ็งนานไปเลยคว้าอย่างอื่นแก้ขัดไปก่อน” นางแสว่า
ทับทิมมองนางแสตาวาวเอาเรื่อง นางแสทำท่าไม่ยี่หระ ทับทิมพยายามเข้าข้างตัวเองมองโลกในแง่ดี
“แม่น่ะอย่ามาคิดอกุศล นังนิดน่ะเด็กเมื่อวานซืน”
“เออ ยังเด็ก... ไอ้เสียมเลยชวนมาเล่นจ้ำจี้ในซอก... ในหลืบ”
ทับทิมนิ่งคิดก็ยิ่งร้อนรน แต่โลกยังสวยอยู่
“นังนิดมันหน้าซื่อไม่ทำอะไรบัดสีหรอก”
เสียงเสียมและนิดดังแว่วจากซอกหินออกมาให้ได้ยิน
“ไม่เอาถอดออกเถอะ” เสียงเสียมบอก
“แหม พี่เสียมนะ” เสียงนิดตอบ
ขาดคำนิดก็มีโสร่งสีสดพาดขวับมาบนยอดโขดหิน ทับทิมตาค้าง นางแสตาลุก
“ว้าย!” ทิมทิมร้องแต่ไม่ดังนัก
เสียงเสียมกับนิดยังดังออกจากข้างใน
“นิดยกขาขึ้นหน่อยนึง”
“ท่านี้ไม่ไหวนะพี่เสียม”
สองแม่ลูกตาโตเท่าไข่ช้าง คิดไปถึงไหนถึงไหน
“ว้าย... มียกขาด้วย อี... อีหน้าซื่อ” ทับทิมว่า
“กูว่าแล้ว” นางแสบอก
“ว้ายยย... ไม่ได้... ฉันไม่ยอม”
ทับทิมร้องวี้ดเข้าไปหลังโขดหิน นางแสตามติด

ทับทิมกับนางแสโผล่พรวดไปยังเกาะด้านใน ทับทิมร้องบอก
“หยุด! หยุดเดี๋ยวนี้นะ ฉันบอกให้หยุด”
เสียมเปลี่ยนเสื้อเป็นตัวเก่าที่มีรอยเปื้อนสียืนอยู่หน้าขาหยั่งเขียนรูป นิดสวมเสื้อขาวอมชมพู โสร่งสีสดนั่งบนโขดหิน มีดอกไม้อยู่รอบตัว เบื้องหลังเห็นต้นโกงกางที่รูปทรงงดงาม ถัดไปเป็นทะเลสีครามสด
แก้วกำลังเก็บผ้าพันคอยาวลงตะกร้า เนื่องถือคันเบ็ด ทุกคนชะงักหันมามองสองแม่ลูกเป็นตาเดียว
“ยายแส ทับทิมมาได้ยังไงกัน” นิดถาม
สองแม่ลูกสบตากันแล้วยิ้มกะเรี่ยกะราด แก้วก้าวมาเท้าสะเอว
“แล้วเอ็งมาสั่งให้ใครหยุด เอ็งเป็นเจ้ามาจากไหน” แก้วว่า
ทับทิมแหงนมองลมฟ้าอากาศแล้วคิดได้ด้วยไวปัญญา
“ก็อีนกบ้านะซี มันโฉบมาจิกหัวฉัน ฉันก็เลยไล่มัน”

อ่านต่อหน้าที่ ๔


สาวน้อย ตอนที่ ๘ (ต่อ)
บนโขดหินสูงมีนก ๒ ตัวเกาะมองตาปริบ ๆ อยู่
“อีตอแหล” นางแสเปรย ทับทิมสะดุ้ง
“นั่นอีนกตอแหล 2 ตัวนั่น ไป๊ ชู่ ชู่ ”
นก ๒ ตัวบินหนีไป แก้ว เสียม นิด เนื่องไม่ค่อยเชื่อแม่ลูกนัก
“แล้วทับทิมกับยายแสมาทำอะไรแถวนี้” เนื่องถาม
“ฉันเอาของชำไปส่งเรือญี่ปุ่น ขากลับก็เลยแวะมาเยี่ยมพี่เสียม”
ทับทิมบอกแล้วเข้าเกาะแขนเสียมทันที ทับทิมป้อต่อ
“พี่เสียมขาดีขึ้นเยอะแล้วนี่จ๊ะ นี่กำลังทำอะไรกันอยู่”
“ไม่ใช่เรื่องของเอ็ง” แก้วโพล่งขึ้น
“พวกเรามาเที่ยวเล่นกันเท่านั้นแหละ” นิดบอก
“แล้วไอ้นี่อะไร” ทับทิมถาม
เสียมอ้าปากจะตอบ แต่แก้วชิงตอบแทน
“อ๋อ เขาเรียกขาหยั่งเอาไว้ตากปลาแห้งปลาเค็มน่ะ”
“อย่ามาโกหกเลยฉันไม่เชื่อ”
“เหรอ ที่เอ็งตอแหลเมื่อกี้ฉันก็ไม่เชื่อเหมือนกัน”
“อีแก้ว”
“อีทับทิม”
ทั้งสองผวาเข้าใส่กัน เงื้อมือพร้อมตบ นางแสกับนางนิ่มคว้าคอเอาไว้ทันทั้งสองข้าง
“นังแก้ว” นางนิ่มเรียกเตือน
“อีทับทิม กลับ!” นางแสบอก
ทับทิมฮึดฮัดแล้วสะบัดพรืด นางแสกับทับทิมเดินฉับ ๆ ออกไป แก้วมองตามอย่างเข่นเขี้ยว

แก้วกับเนื่องออกมาดูที่ชายหาดเห็นทับทิมเดินหน้าหงิกงอ นางแสบ่นบ้าลูกสาว ทั้งสองอยู่ในเรือที่กำลังจะแล่นออกไป แก้วตะโกนไล่หลัง
“ไปแล้วไปลับอย่ากลับมานะโว้ย”
“อีแก้วหน้าม้า!” ทับทิมสวนแล้วหันไปหานางแสบอก
“เพราะแม่คนเดียวแหละ คิดแต่เรื่องบัดสี”
“กูจะไปรู้เรอะ มาถอดเสื้อทำลับ ๆ ล่อ ๆ กูก็นึกว่ามันมาแอบจ้ำจี้กันน่ะซี”
แก้วกับเนื่องได้ยิน
“หนอย อีทับทิม”
แก้วหันรีหันขวางแล้วคว้าก้อนหินจากชายหาดขึ้นมาปาออกไป
นางแสชี้นิ้ว

“อีทับทิม ระวัง”
ทับทิมอ้าปากค้างแหงนมอง
“ว้าย”
ทับทิมหลบวูบ ทันใดเรือก็เอียงคว่ำ ทับทิมหัวทิ่มลงในน้ำทะเล กระโปรงบานแผ่ราวดอกไม้บาน นางแสคล้ายตุ่มสามโคกที่ลอยมากับน้ำท่วม เด็กเรือฟาดพายอย่างโมโหจัด แก้วกับเนื่องหัวเราะก๊ากแล้วบอก
“คนเรา .. ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัวโว้ย”

เกาะวิมานน้อย ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นแตะโขดหินสูงสุดของเกาะ เสียมมองนิดอย่างพินิจเพ่งพิศแล้วบันทึกภาพลงในสมองและจิตวิญญาณก่อนจะลงมือเขียน
นิดนั่งเอียงตัวเผยช่วงไหล่แลเห็นเส้นโค้งของเอว สะโพก แขน ขาเรียวงาม ดวงตาเหลือบมองมาดูงดงาม อ่อนหวาน ไร้เดียงสา บริสุทธิ์ แต่กลับแฝงความเย้ายวนอยู่
เสียมร่างรูปด้วยสมาธิเปี่ยม เพียงแต่ยังยืนไม่ถนัดต้องเขย่งขาข้างที่เจ็บตลอดเวลา
นิดนั่งนานในท่าเดิมจนเป็นเหน็บพลางขยับตัวเอามือนวดข้อเท้า เสียมมองมา นิดรีบทำสวยต่ ภาพที่เสียมวาดเริ่มเป็นเค้าโครง
ดวงอาทิตย์ลอยต่ำลงเป็นเวลาราวบ่ายสามโมง
เสียมมองดูนิดด้วยดวงตาที่มีแววผูกพันหลงใหลใฝ่ฝัน นิดมองตอบแต่หน้าแดงวูบขัดเขิน เสียมจุ่มล้างพู่กัน นิดขยับตัวบิดแขนขา
“นิดรู้ไหม เสียงเพลงของนิดทำให้พี่ต้องว่ายน้ำมาที่สีชังนี่” เสียมบอก
นิดพูดล้อๆแล้วลุกขึ้น
“ไม่ใช่ซะหน่อย พี่เสียมบอกว่าเสียงนั่นเพราะเหมือนเสียงนางพรายน้ำจะเป็นเสียงนิดได้ยังไง”
เสียมทำกิริยาเกือบจะค้อน นิดหัวเราะคิก
“นิดไม่อยากเป็นตัวต้นเหตุทำให้พี่เสียมเกือบจมน้ำตาย”
“แต่ถ้านิดไม่ร้องเพลงพี่ก็คงไม่โดดน้ำมา ไม่ได้จมน้ำให้นางเงือกน้อยช่วยชีวิตพี่”
“ตกลงนิดเป็นอะไรกันแน่จ๊ะ เป็นนางพรายน้ำหรือนางเงือก”
“นิดเป็นเทวีแห่งแรงดลใจต่างหาก”
“คืออะไรจ๊ะ”
“เขาว่ากันว่าศิลปินที่แท้ทุกคน ... ไม่ว่าจะเป็นนักประพันธ์ นักดนตรีหรือนักวาดรูป จะต้องมีเทพีแห่งแรงดลใจประจำตัว ถึงจะสร้างงานดีๆ ออกมาได้”
“พี่เสียมไปฟังเรื่องนี้มาจากไหนจ๊ะ”
“มีคนเล่าให้พี่ฟัง”
“ใครจ๊ะ”

เสียมพยายามนึก แต่ทันใดก็กุมหัวร้องอุทาน นิดตกใจผวามาใกล้
“โอ๊ย”
“พี่เสียม!”
“พี่ไม่เป็นไร ... เหมือน...เหมือนกับมีคน ๆ นึงเคยบอกพี่ไว้”

ทอม แมกกินนีเปิดหมวกออกแล้วก้าวขึ้นมาบนเทอเรซบ้านโพธิธารา พระชาญชลาสัยและมารศรียืนต้อนรับอยู่ เสวกและสุวลีก้าวเข้ามาข้าง ๆ ทอม พระชาญเช็กแฮนด์กับทอม
“กูด อาฟเตอร์ นูน มิสเตอร์ แมกกินนี ฮาวดูยูดู”
“ฮาวดูยูดู”
“ดิส’ส มาย ไวฟ์ มารศรี”
มารศรียิ้มส่งมือให้ทอม มารศรีขัดเขินนิดหน่อย
“ฮาวดูยูดู”
ทางด้านหลัง แม่ผิน บัว สมพงษ์ยืนตาโตมองดูอยู่ แม่ผินยิ้มเยาะมารศรี
สุวลีมองดูมารศรีด้วยแววตาดูแคลน มารศรีมองไปเห็นเข้าพอดี สุวลีเมิน มารศรียักไหล่

พระชาญชลาศัยและมารศรีเดินนำ แมกกินนี่ เสวก สุวลี เข้ามาในห้องโถงของบ้าน แม่ผิน บัวเดินตามมา แมกกินนี่มองดูรอบ ๆ ห้อง พระชาญชลาศัยเชิญให้แมกกินนีนั่งลง
“โอ บ้านคุณพระน่าอยู่มาก”
“หา คุณพูดไทยได้”
พระชาญชลาศัย มารศรี แม่ผินกับบัวตื่นเต้น เมื่อทุกคนนั่งลง บัวแยกไปจัดแจงเรื่องน้ำดื่ม
“ฉันสอนสรรค์เขียนรูป สรรค์สอนฉันพูดภาษาไทย”
“ผมก็ช่วยสอนนะครู” เสวกบอก
“ซาเหวกไม่ได้เรื่อง มัวแต่ติดผู้หญิงไม่ค่อยสอน”
เสวกคอย่น คนอื่นหัวเราะกันเบา ๆ แมกกินนีดูรูปคุณหญิงวิไลเรขา
“นั่นฝีมือสรรค์ใช่ไหม ฉันจำได้”
“ครับ”
“รูปคุณหญิงวิไลเรขาค่ะ คุณแม่ของสรรค์”
สุวลีกล่าวยิ้ม ๆ มารศรีรู้ว่าถูกแขวะ
“โอ เมย์ ชี เรส อิน พีซ โอ คุณพระ ฉันรู้เรื่องโชคร้ายของสรรค์แล้วฉันเสียใจด้วยจริง ๆ”
“ขอบคุณครับครู แต่ทางเราเพิ่งได้ข่าวว่ามีคนเห็นสรรค์แถวบางรัก เราเลยระดมคนสืบแถวนั้นอยู่” เสวกบอก
“ไอซี”
“แต่นี่ก็หลายวันแล้วนะคะทำไมยังไม่มีข่าวมาซักที” สุวลีบอก
“ใจเย็น ๆ เถอะค่ะ ดิฉันคิดว่าวันสองวันนี้เราต้องได้ข่าวคุณสรรค์แน่” มารศรีว่า
แม่ผินร้องเฮอะสะบัดหน้าพรืด สุวลีมองหน้ามารศรี
“คุณมารศรีช่างเป็นห่วงสรรค์จังนะคะ”
“ดิฉันไม่ใช่แม่เลี้ยงใจร้ายในนิทานนะคะ”
“ถ้าสรรค์กลับมาคงดีใจที่รู้ว่าคุณมารศรีเป็นห่วงเขาถึงขนาดนี้”
มารศรีหน้าตึงแต่ฝืนยิ้ม แม่ผินเปรยเบา ๆ
“เขาจะเฉดหัวไปล่ะไม่ว่า”
มารศรีชะงัก พระชาญชลาศัยถลึงตาใส่แม่ผิน แมกกินนีมองตาเป๋งแต่ไม่รู้ความนัย

ในเวลาต่อมา พระชาญชลาศัยเดินมาส่งแมกกินนีและเสวก แล้วคุยกันไปด้วย
“แล้วนี่คุณแมกกินนีมีแผนอย่างไรบ้างครับ”
“ฉันว่าจะพักในบางกอกซักวีคแล้วค่อยเดินทางไปชนบท”
มารศรีกระแอม แล้วกระซิบบอกสุวลีที่เดินเชิดอยู่
“ฉันขอคุยกับคุณสุวลีซักครู่”
สุวลีชะงักเท้า พระชาญชลาศัย เสวกและแมกกินนีเดินล่วงหน้าไป สุวลียืนเชิดสง่ารอฟังเรื่องที่มารศรีจะพูดออกมา
“ดิฉันอยากให้คุณทราบว่า ดิฉันก็หวังดีและเป็นห่วงความปลอดภัยของคุณสรรค์ ไม่ต่างอะไรกับพวกคุณ”
“แล้วยังไงคะ”
“ดิฉันไม่อยากให้คุณคิดว่าดิฉันไม่หวังดีกับคุณสรรค์”
สุวลีเหยียดยิ้มตอบอย่างเย็นชา
“กินปูนร้อนท้อง .. อย่างนั้นหรือคะ”
มารศรีชะงัก สุวลีเมินหน้าแล้วเดินกรายจากไปสมทบกับเสวกและแมกกินนี มารศรีมองตามด้วยสาวตาชิงชังในตัวสุวลี

อีกหลายวันต่อมาในเวลากลางวันที่เกาะวิมานน้อย เสียมยืนอยู่หน้าผืนผ้าใบ ภาพสาวน้อยที่ยังวาดไม่เสร็จ ขาดรายละเอียดของใบหน้าและดวงตา
นิดยังคงนั่งเป็นแบบบนก้อนหิน เสียมมองนิดด้วยดวงตาที่ไม่ปิดบังความรู้สึก นิดหน้าแดงมองตอบ แต่พยายามทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
เสียมลดพู่กันลงแล้วเดินถอยออกมาดูรูป นิดขยับตัวเพนราะเป็นช่วงพักที่จะได้พูดคุยกัน
“พี่เสียมไม่ยอมให้นิดดูรูปมาสิบวันแล้วนะ”
“เพราะรูปมันใกล้เสร็จแล้วน่ะซี นิดอดใจไว้รอดูตอนมันเสร็จแล้วดีกว่า”
เสียมมองดูรูปแล้วเอาพู่กันแต้มรูปอีกจุด ๒ จุด
“นี่จะเดือนนึงแล้วนะจ๊ะเมื่อไรจะเสร็จเสียที”
ก็มันยากที่จะวาดหน้าและแววตาให้เหมือนนิด ทั้งอ่อนหวานและเข็มแข็ง เป็นสาวสวยแต่แฝงด้วยความไร้เดียงสา มันยากเหลือเกินที่พี่จะถ่ายทอดออกมาให้เหมือนตัวจริง .. ไหนนิดบอกจะยอมเป็นแบบให้พี่ นานแค่ไหนก็ได้ไงนี่เบื่อแล้วเหรอ”
“ก็ขอเป็นแบบรูปอื่นบ้างซีจ๊ะ”
“แปลว่านิดจะยอมเป็นแบบให้พี่ตลอดไปหรือ”
“ว่าแต่พี่เสียมเถอะ ใจคอจะวาดแบบอยู่คนเดียวหรือ”
เสียมขยับถอยจากรูปเดินมานั่งมองนิดอย่างอ่อนโยนผูกพัน
“พี่มีนิดคนเดียวก็พอแล้ว แต่ว่า...”
“แต่อะไรจ๊ะ”
“แต่ใจนึง .. พี่ก็ไม่อยากให้นิดสวยอย่างนี้เลย”
นิดขำแล้วถาม
“อะไรนะจ๊ะ”
“พี่อยากเห็นนิดเป็นผู้มีพระคุณของพี่ไปตลอดชีวิต แต่แล้วใจของพี่ก็ทรยศตัวเองจนได้”
นิดใจเต้นขยับตัวมาใกล้เสียม
“นี่พี่เสียมจะพูดอะไรกันแน่”
“นิดกับทุกคนที่บ้านให้ทุกอย่างกับพี่ ให้ลมหายใจ ให้ที่พักพิง ให้ชีวิตใหม่ แต่พี่กลับทรยศ พี่ต้องการไปมากกว่านั้น”
นิดนิ่งอั้น เสียมมองดูนิดแล้วเริ่มลังเล
“พี่เสียมต้องการอะไรหรือจ๊ะ”
นิดมองตาเสียมอย่างคาดคั้นขอคำตอบ สรรค์มองแล้วกลับเมินไป
“พี่ก็พูดเพ้อเจ้อไปอย่างนั้น นี่เย็นมากแล้วกลับกันเถอะนิด”
เสียมลุกพรวดขึ้นแล้วก้าวไต่ลงจากโขดหิน นิดกัดริมฝีปากแล้วหันไปถาม
“พี่เสียม”
เสียมชะงักหันมามอง นิดลุกขึ้นแล้วบอก
“ไม่ว่ายังไง นิดก็อยากฟังคำเพ้อเจ้อของพี่ให้จบ”
“นิด!”
เสียมอ้ำอึ้งตะลึง นิดไต่โขดหินตามมา
เท้านิดสะดุดแง่หินเซถลาไปเบื้องหน้า นิดร้องอุทาน ร่างล้มวูบลงมา

“นิด!”
เสียมถลาเข้าไปกางสองแขนออก นิดตกลงอยู่ในอ้อมแขน แต่ความแรงทำให้เสียมเสียหลักล้มหงายลงไปบนพื้นอันเต็มไปด้วยดอกไม้ นิดทาบทับอยู่เบื้องบน ใบหน้าของทั้งคู่แทบจ่อติดกัน นิดเปิดตากว้างอย่างตกใจแล้วเปลี่ยนเป็นเขินอายแสนน่ารัก ในขณะที่เสียมตะลึงตะไล ทันใดเสียมก็ขยับอ้อมแขนรั้งนิดมาแล้วจูบที่ริมฝีปากอย่างแผ่วเบา นิดสะท้านหลับตาลง เสียมขยับกายขึ้นนั่งตระกองกอดนิดไว้ในตัก
“นิด... พี่รักนิด... พี่รักนิดยิ่งกว่าอะไรในโลก”
นิดขยับกายถอยออกเอามือดันอกเสียมไว้ หน้าเผือดด้วยความอาย ริมฝีปากแดงสั่นระริก กิริยานั้นทำให้เสียมเข้าใจผิดและมีแววเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น
“ถ้าพี่ทำให้นิดตกใจยกโทษให้พี่ด้วย”
นิดพลันยกมือปิดปากเสียมไว้ ดวงตาวาววาม ริมฝีปากแย้มยิ้ม
“นิด... ไม่ได้ตกใจซักหน่อย”
เสียมยิ้มออก
“งั้นบอกพี่หน่อยว่านิดรู้สึกยังไงกับพี่”
นิดยิ้มดวงตาแพรวพราว
“พี่เสียมก็น่าจะรู้คำตอบอยู่แล้ว”
นิดแหงนเงยหน้า สรรค์จ้องไปในดวงตาแล้วก้มลงจูบนิ่งนาน แสงสีทองอาบร่างของทั้งคู่ ดูงดงามราวภาพวาด เพลงรักบรรเลงและค่อยๆ ดังกึกก้อง

ปลายพู่กันตวัดอย่างเร็วและแรงไปบนผืนผ้าใบ ดนตรียังคงทอบรรเลงต่อเนื่องให้ความรู้สึกเริงโลก ทะยานใจ เสียมยิ้มแววตาเจิดจ้าแต้มสีระบายลงบนภาพอย่างรวดเร็วจนแทบลืมหายใจ
รูปสาวน้อยเสร็จลงอย่างงดงามวิเศษ ไม่ว่าจะเป็นความงดงามของดวงหน้า ทรวดทรง ท่วงท่า มีรายละเอียดของเส้นผม ผิว เนื้อผ้าที่ใส่ ดวงตาที่สุกสกาวราวจะกระพริบได้ ปากที่ขยับแย้มยิ้ม รวมทั้งองค์ประกอบภาพและบรรยากาศที่อยู่รายรอบของเกาะวิมานน้อย ที่มุมล่างขวาของภาพมีตัวหนังสือเขียนว่า ‘สาวน้อย’
ภาพนั้นใส่กรอบเรียบร้อยและถูกแขวนเด่นอยู่ที่ข้างฝา เหนือชุดโต๊ะเก้าอี้รับแขก
“เป็นยังไงบ้าง”
“สวยเหลือเกินจ้ะ สวยอย่างบอกไม่ถูก สวยจนนิดไม่แน่ใจว่านิดจะสวยเหมือนอย่างที่พี่เสียมวาด”
“ไม่จริงหรอก นิดสวยกว่ารูปนี้อีก”
นิดแย้มยิ้มสบตาอย่างปลาบปลื้ม เสียมเอื้อมมือไปกรีดน้ำตาให้ นิดยิ้มมากขึ้น เสียมกอดนิดไว้

ในวันพระ บรรดาผู้เฒ่าผู้แก่ต่างมาทำบุญกันที่วัด บนศาลานางนิ่ม นางแส นางใบ และหญิงชาวบ้านอีก 2-3 คนนั่งอยู่ บ้างจัดแจกันดอกไม้ บ้างขัดถูเชิงเทียนแจกัน ฯลฯ
“ฉันน่ะมันคนใจบุญ มีไอ้แมวคราวตัวหนึ่งมันหลงมาจากบางกอก อุ๊ย มันช่างประจบทำงาน เอ๊ย หาหนูเก่งเป็นที่สุด” นางแสพูดแขวะขึ้น
นางนิ่มนั่งฟังและเริ่มรู้สึกแปลก ๆ
“ฉันก็เลยเลี้ยงเอาไว้ในเรือนอย่างดี”
“อ้าว แม่แส อยู่ห้องแถวไม่ใช่หรือ” นางใบว่า
“อุ๊ย ห้องแถวกับเรือนมันก็เหมือนกันแหละ... ฉันเลี้ยงมันอย่างดี ดู๊”
นางแสตบเข่าฉาด
“เผลอแผล็บเดียวมันก็เนรคุณ”
“มันขโมยปลาย่างหรือไง” ชาวบ้านคนหนึ่งถามขึ้น
“มันขี้รดบนหลังคา เหม็นโฉ่ไปหัวเกาะท้ายเกาะ”
นางนิ่มหน้าตึง
“ไฮ้ แมวอะไรจะขี้เหม็นขนาดนั้น” ชาวบ้านอีกคนว่า
“ก็แมวมาจากบางกอกไง ระวังไว้บ้างนะ แม่นิ่ม พวกแมวขโมยน่ะไว้ใจไม่ได้”
นางใบกับชาวบ้านอื่นเพิ่งถึงบางอ้อเลยซุบซิบกัน นางนิ่มตัดสินใจไม่ต่อปากต่อคำ

แก้ว เนื่องและเชิดเดินมาในร้านกาแฟ ภายในตลาดด้วยกัน พลางเข้าไปสั่งของกับอาแปะที่กำลังเทน้ำร้อนใส่ถุงกาแฟ
“แปะ เอาโอยัวะ” แก้วบอก
เสียงเจื้อยแจ้วของนางคนหนึ่งดังขึ้นมา
“อุ๊ย ฉันไม่อยากพูดเลยพี่แม้นมันเที่ยวกอดจูบกันไปทั่ว”
ทั้งสามมองเข้าไปเห็นที่โต๊ะหนึ่งในร้าน ทับทิมใส่เสื้อคอคว้านลึกนั่งอยู่กับแม้นที่ความกร่างลดลง... เพราะเพิ่งออกจากโรงพยาบาล อีกอย่างก็เพราะหลวงพิจารณ์สันติราษฎร์กับลูกน้องนั่งกินกาแฟอยู่อีกโต๊ะหนึ่ง ผู้คนในร้านอีก ๒ - ๓ โต๊ะต่างไม่สนใจเรื่องชาวบ้านจนหูผึ่งเป็นหูช้าง
“ทั้งบนเขา บนดิน บนเกาะ ในน้ำ ในเรือ ในถ้ำ” ทับทิมว่า
“หา! อย่างนี้ก็เข้าถ้ำกันเพลิน” แม้นบอก
ทับทิมหัวเราะระริกตีมือแม้น พลางเหลือบสายตามาดูเนื่อง แก้วและเชิด
“วุ้ย พี่แม้นพูดอะไร แหมฉันเห็นมันทำหน้าซื่อ ทำเป็นเบญจกัลยาณี เดี๋ยวนี้มันแต่งตัวเห็นใจน้อง ให้คนกรุงมันล้วงมันควัก ไม่อับไม่อายเจ้าพ่อเขาใหญ่”
“หา! โดนบ่อย ๆ แบบนี้ อีกหน่อยคงยานเป็นถุงกาแฟอาแป๊ะเป็นแน่”

อาแป๊ะได้ยินแว่ว ๆ ไม่รู้เรื่องหันมา
“ฮ่อ”
แก้วเดินพรวด ๆ เข้าไป เนื่องกับเชิดก้าวตาม
“อีทับทิม เอ็งว่าใครไ แก้วถาม
“ฉันก็ว่านางสาวสีชังที่ใจง่ายอยากมีผัวชาวกรุงจนเนื้อเต้น”
“อ๋อ นึกว่าใครที่แท้ก็กำลังเล่าประวัติตัวเองอยู่”
“อีแก้วแตก อย่ามาหาความฉันนะ”
“อ้าว อีนังสีชังที่คว้านนมให้คนเขาเห็นทั้งเกาะก็มีแต่เอ็งคนเดียว”
คนรอบ ๆ โต๊ะเห็นด้วย แม้กระทั่งหลวงพิจารณ์สันติราษฎร์ แม้นหลุดปาก
“เออจริง”
ทุกคนมองดูนมทับทิมเป็นตาเดียว ทับทิมกระทืบตีนแม้นแล้วเอามือมาป้องนมไว้
“ไม่จริง “
“อีกอย่างไอ้นมที่มันยานเป็นถุงกาแฟได้ มันต้องเป็นพวกนมใหญ่ ๆ เหมือนเอ็ง”
“ว้าย”
ทุกคนเห็นด้วยพยักเพยิดให้กัน
“ไม่เชื่อก็ดูนมยายแส แม่เอ็งดู... แม่ยังไง...ก็ลูกอย่างงั้นจริงไหมแป๊ะ”
อาแป๊ะหันมารับคำ
“ฮ่อ”
ทับทิมลุกพรวดขึ้น ไอ้แม้นลุกตาม
“อีแก้ว อีปากนรก”
“อีกปากส่อเสียดใส่ความเขาต่างหากต้องตกนรก”
“แก้ว กลับเถอะ” เนื่องบอก
“จะรีบกลับไปไหนวะ คุยกันก่อนซี” เชิดว่า
เชิดก้าวล้ำมา ดวงตาวาวโรจน์จนแม้นต้องถอยไปก้าวหนึ่ง
“กูต้องคุยกับมึงแน่”
หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์ลุกขึ้นแล้วบอก
“ไอ้แก้ว โอยัวะเอ็งได้แล้ว”
แก้วมองทับทิมกับแม้นอย่างฝากไว้ก่อนแล้วหันไป เนื่องกับเชิดมองแม้นทิ้งท้ายแล้วตามไป ทับทิมทำหน้าแสยะไล่หลัง

บริเวณชายหาดในเวลากลางวันต่อมา เสียมและนิดเดินเคียงกันมาท่ามกลางบรรยากาศสดใส
“เมื่อไรพี่เสียมจะเขียนรูปนิดอีกล่ะจ๊ะ”
“ก็ต้องแล้วแต่เทวีดลใจต่างหาก”
“เทวีองค์ไหนกันจ๊ะที่เป็นดาวอยู่บนฟ้า”
“องค์ที่เดินดินอยู่ข้าง ๆ พี่นี่ต่างหาก”
นิดมองค้อน เสียมมองอย่างแสนรัก ทั้งสองเลี้ยวแนวหิน ร่างหนึ่งก้าวพรวดเข้ามา นิดและเสียมชะงักแล้วยิ้มให้
“พี่เชิด” นิดเรียก
เชิดดวงตาวาวโรจน์ชกโครมเข้าเต็มหน้าจนเสียมหงายผลึ่งลงไป นิดกับแก้วหวีดร้อง เนื่องร้องอุทาน สรรค์นอนงงอยู่ที่พื้น เชิดกำหมัดหอบจนตัวโยนด้วยดวงตาอันเจ็บแค้น

จบตอนที่ ๘

กำลังโหลดความคิดเห็น