สาวน้อย ตอนที่ ๑
ท้องฟ้ารุ่งสาง เมฆขาวหมู่ใหญ่กำลังเคลื่อนไป บริเวณพงหญ้ารก สรรค์นอนหงายดวงตาจ้องมองขึ้นไปมีความว่างเปล่าเลื่อนลอยอยู่ เมฆขาวนั้นแปรเปลี่ยนรูปเปลี่ยนไป สรรค์กระพริบตาแล้วยันกายขึ้นนั่งมองดูรอบๆ ตัวที่ถูกรายล้อมด้วยพงหญ้ารกและที่ดินว่างเปล่าดูเวิ้งว้าง แล้วทันใด สรรค์ก็รู้สึกปวดอย่างรุนแรงที่ท้ายทอยจนต้องร้องออกมา
“โอ๊ย”
สรรค์เอามือแตะท้ายทอย แผลที่ปรินั้นแห้งแล้ว สรรค์เอามือมาดูเห็นเพียงคราบเลือดแห้งกรังและเมื่อก้มมองตัวเองก็พบว่า ตนเองใส่เพียงกางเกงชั้นในขาสั้น สรรค์ลุกขึ้นจะก้าวเดินไป เท้าก็เตะเข้ากับกองผ้าจึงก้มหยิบเสื้อเชิ้ตกับกางเกงขาสั้นสีกากี รองเท้าผ้าใบขึ้นมาดูอย่างงุนงง พยายามคิดแต่สมองก็ยังมึนชาอยู่
สรรค์สวมเสื้อผ้านั้นเดินไปเรื่อยๆบนถนนสายเปลี่ยวนั้นอย่างเลื่อนลอย ผ่านบ้านคน แม่บ้าน ลูกสาว คนใช้ออกมาตักบาตรพระสงฆ์ สาวใช้มองสรรค์แล้วซุบซิบกัน
สรรค์เดินผ่านไปยังห้องแถวไม้ของคนจีน บ้างก็กำลังต้อนรับลูกค้า บ้างเพิ่งเปิดร้าน แม่บ้านออกมาซื้อของ ย่านนั้นมีคนแก่มอร์นิ่งวอล์กอยู่ เมื่อผ่านบรรดาร้านรวงและผู้คน คนจีนออกมาต้อนรับเพราะคิดว่าสรรค์เป็นลูกค้า แต่พอเห็นสภาพแล้วก็โบกมือไล่ แม่บ้านเดินเลี่ยงหลีกทาง คนแก่พูดว่า “พวกขี้เหล้า”
กรรมกรจีน ๓ - ๔ คนโผล่มาจากซอยเดินนำหน้าสรรค์ สรรค์มองดูแล้วเดินตาม กรรมกรจีนมองสรรค์อย่างสงสัย เมื่อกรรมกรจีนหมู่นั้นเดินเลี้ยวเข้าซอย สรรค์ยังคงเดินตาม และเห็นกรรมกรจีนเลี้ยวมาสมทบกันมากขึ้น
ท่าเรือริมแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นท่าเรือนานาชาติขนาดใหญ่ มีเรือกลไฟหลายลำจอดอยู่
ท่าเรือบริษัท อีสต์ เอเชียติก ถ.เจริญกรุง บางรัก
ด้านหนึ่งมีเรือโป๊ะขนข้าวสารจอดติดกับท่า คนจีนหมู่นั้นก็เดินเรียงแถวขึ้นไปบนเรือโป๊ะ สรรค์เดินตามขึ้นไปด้วย
บนเรือโป๊ะมีกระสอบข้าวสารวางซ้อนกันหลายแถว บรรดากรรมกรจีน บ้างหาที่นั่ง บ้างหาที่เอนหลัง หัวหน้ากรรมกรจีนวัยราว ๓๕ ปีก้าวมาบนเรือกวาดสายตามองจากบนเรือเห็นบรรดากรรมกรจีน บ้างก็ตัวขาวซีด บ้างล่ำสัน บ้างผอมแห้งแรงน้อย บ้างยังหนุ่ม บ้างก็เข้าวัยกลางคน ส่วนใหญ่ใส่เสื้อสีมอๆ กางเกงจีนบ้าง กางเกงขาสั้นบ้าง จนถึงสรรค์ซึ่งมีผิวขาวแต่ไม่ซีด ท่วงท่าดูผึ่งผายกว่าทุกคน หัวหน้ากรรมกรจีนมองผ่านไปยังกรรมกรคนอื่นๆ แล้วก็ชะงักหันกลับมามองดูสรรค์ที่เอ้อระเหยมองดูแม่น้ำอยู่ หัวหน้ากรรมกรเขม้นมองแล้วงุนงงเกาหัว
“ลื้อจาไปไหน” หัวหน้ากรรมกรจีนถาม
สรรค์นิ่งไปนิดแล้วบอก
“อั๊วไปกับลื้อ ไปไหนก็ได้”
“นี่มิช่ายเรือเที่ยวเล่น นี่ทุกคนไปทำงาง ไปขงข้าวสางลงเรือใหญ่ที่โกะสีชัง ลื้อไปล่วยทำไล”
“ให้อั๊วไปช่วยขนด้วยคนนะ เถ้าแก่”
หัวหน้ากรรมกรยิ้มออกเมื่อได้ยินคำเถ้าแก่
“ลื้อจาทำไหวเหลอ”
“ไหวซี อั๊วทำไหว อั๊วรับรอง”
หัวหน้ากรรมกรมาจับๆ บีบๆ แถวอกและแขน สรรค์ยกแขนขึ้นกล้ามที่ต้นแขนเป็นลูก หัวหน้ากรรมกรบีบดู
“เออ ลื้อแข็งแรงจริงๆ ล่วย ก้ามของลื้อโตกว่าลูกน้องอั๊วบางคนซะอีก”
กรรมกรจีนหนุ่ม ท่าทางกระตือรือร้นจิตใจดีโผล่มาเมียงมอง
“ไม่เหมือนลื้อ อาล็อก . . . ผอมยังกาแย้”
อาล็อกค้อนขวับ
“เอ้า ลื้อจาทำงานก็ล่าย อั๊วรับลื้อ”
หัวหน้ากรรมกรเดินไป อาล็อกยิ้มให้สรรค์แล้วนั่งลงข้างๆ สรรค์ยิ้มตอบแล้วเหม่อมองทอดสายตาไปข้างหน้า
เรือกลไฟลากเรือโป๊ะขนข้าว ๓ ลำแล่นไปสู่ปากน้ำ ท้องฟ้าสว่างขึ้น มีเมฆขาวที่ปลายฟ้า
บังกาโลว์เป็นเรือนไม้ชั้นเดียวทาสีขาวสะอาดตั้งอยู่ห่างจากทะเลและบังกาโลว์หลังอื่นๆ อีก ๔ หลังราว ๑๐๐ เมตร ที่หน้าบ้านมีเก้าอี้ผ้าใบสีขาวมอๆ มีต้นไม้พุ่มปลูกต่อกันเป็นแนวรั้วเตี้ยๆ ถัดไปเป็นสันทรายก่อนจะทอดลงหาดที่ทรายไม่ขาวสะอาดนัก ในบังกา โลว์เปิดประตูหน้าต่างไว้ มีเสียงเพลงโอเปร่าเปิดดัง ม่านที่บังไว้ทำให้เห็นเงาคนเดินว่อบแว่บไปมาในบ้าน แต่เห็นไม่ชัดนัก
บังกาโลว์ เกาะสีชัง สมุทรปราการ (๑)
บริเวณสันทรายมีผักบุ้งทะเลออกดอกพราว แล้วดอกผักบุ้งและใบก็เคลื่อนไหว แก้วเด็กสาววัย ๑๗ ปี ผมบ็อบแค่คอ หน้าตาแก่นแก้ว จมูกรั้น แววตาเอาเรื่อง สวมมงกุฎที่ร้อยจากดอกและผักบุ้งทะเลอยู่บนศีรษะ แก้วหันไปกระซิบข้างๆ
“นั่นไง นิด”
ข้างกายแก้ว ดอกและใบผักบุ้งทะเลโผล่ขึ้นอีก มันสวมอยู่บนศีรษะเด็กสาววัยเดียวกัน แต่ผมยาวสยาย หน้าตาสวยใสบริสุทธิ์ ตาโต ขนตาเป็นแพหนา และในเวลาต่อเนื่อง มีหัวเด็กชายสองคนโผล่ขึ้น คนหนึ่งผมเปีย คนหนึ่งผมแกละ อยู่ระหว่างนิดกับแก้ว
“ออกมาแล้ว” นิดบอก
นิดเขม้นมองไป ยกมือ ๒ ข้างขึ้นมาตรงหน้า แก้วกับเปียและแกละก็จ้องเป๋งไปยังบังกาโลว์ ร่างๆ หนึ่งก้าวออกมาจากบังกาโลว์เป็นฝรั่งแก่วัยราว ๕๐ ปี ตัวผอมสวมเสื้อคลุมอาบน้ำผูกผ้าพันเอวไว้หลวมๆ เดินออกมาที่ระเบียงเป็นจังหวะเดียวกับที่จานเสียงหมดช่วงเพลงบรรเลง เข้าส่วนเนื้อร้องของเพลงโอเปร่า
“โอว....”
ฮิปปี้ก่อนยุคพลันแผดร้องเพลงโอเปร่า ผายมือกรายมือออกท่าทางราวอยู่บนเวทีหรูหรา เสียงร้องนั้นก้องกังวานกลบเสียงร้องในแผ่นเสียง
นิดฟังอย่างซาบซึ้งกึ่งทึ่ง แต่แก้วทำหน้าเหย เด็กทั้งสองก็เอานิ้วอุดหู
ฝรั่งร้องเพลงไปแล้วก็เคลื่อนตัวจากระเบียงลงบันได ๓ ขั้นมาที่เก้าอี้ผ้าใบโดยที่ยังคงท่วงท่าลีลาแสดงอยู่ เพลงเข้าสู่ช่วงไคลแมกซ์
นิดยังคงฟังอย่างพิศวง มือ ๒ ข้างยกรออยู่ แก้วหน้าเบ้ เด็กสองคนทำหน้าบิดเบี้ยว
ฝรั่งฮิปปี้ร้องโหยหวน พร้อมกับกางเสื้อคลุมพรึ่บ เสื้อลงไปกองแทบเท้า
นิดยกมือปิดตา แต่แก้วตาโตเท่าไข่ฝรั่ง เด็กเปียและแกละตาเหลือก
ฝรั่งยืนค้างกางสองแขนร้องจบลง แล้วเชิดหน้า นอนลงบนเก้าอี้ผ้าใบให้แสงแดดอาบร่างกาย ทำให้ภาพอุจาดลดลง
นิดยังคงปิดตา
“นอนลงหรือยัง” นิดถาม
“นอนแล้ว” แก้วบอก
นิดเอามือลงแล้วถอนใจ แก้วหัวเราะคิกคัก เด็กเปียและแกละเอามือปิดปากหัวเราะขลุกๆ นิดมองหน้าแล้วหัวเราะกิ๊กอย่างอดรนทนไม่ไหว
ทันใดก็มีร่างมาบังแสงแดด เงาทาบลงบนตัวของนิดกับแก้ว ทั้งคู่ชะงักแหงนดู เห็นชายสองคน คนแรกหน้าตามีเค้านิด เป็นผู้ชายหน้าสวยดูอ่อนโยนใจดี กับอีกคนที่บึกบึน คมเข้ม จนดูดุกำลังมองสองสาวอย่างเอาเรื่อง
“นิด แก้ว นี่มาทำอะไร” เนื่องถาม
“จะทำอะไรก็มาแอบดูฝรั่งแก้ผ้าอีกน่ะซี” เชิดบอก
นิดทำหน้าเรี่ย แต่แก้วอมยิ้มเชิดหน้า เด็ก ๒ คนหัวเราะกันคิกคัก
“กลับเดี๋ยวนี้นะ อะไร ไม่รู้จักอาย” เนื่องบอก
“ฉันเปล่านะพี่เนื่อง” นิดบอก
“อายเหรอ อายทำไม ฉันไม่ได้แก้ผ้าซักหน่อย” แก้วว่า
แก้วพูดไม่ทันขาดคำเนื่องก็เอานิ้วดึงหู แก้วร้องอุทาน เชิดส่งมือมาให้นิดแล้วดึงให้ลุกขึ้น
“กลับกันเถอะนิด” เชิดบอก
“จ้ะ พี่เชิด”
เชิดหันไปหาเด็กเปียและแกละแล้วตวาด
“ไอ้สองตัวนี้ด้วย ไป๊”
ฝรั่งฮิปปี้ได้ยินแว่วๆ จึงคว้าผ้ามาปิดจุดสำคัญแล้วลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ผ้าใบเบิกตาโพลง
“มาอีกแล้ว ไอ้พวกทาหลึง”
แก้ว นิด เชิด เนื่อง เด็กเปียและแกละสะดุ้งเฮือกหันมาเห็นฝรั่งเต้นอยู่
“พวกเด็กเปรต” ฮิปปี้บอก
“แกนั่นแหละ เปรต เปรตแก้ผ้าโทงๆ” แก้วพูดตอบโต้
แก้วพูดไม่ทันขาดคำก็มีดินเหลวๆปาเผละเข้ามาเต็มหน้า ฝรั่งระดมขว้างดินจากกระถางต้นไม้มาโดนนิดบ้าง เชิดบ้าง โดนเด็กเปียกับแกละบ้าง แก้วก้มลงคว้าทรายเปียกปากลับ นิดปาด้วย สองเด็กก็คว้าทรายรุมกันปาใส่ฝรั่ง
“เฮ้ย หยุด อย่าทำเขา” เนื่องบอก
ยังไม่ทันขาดคำดินก็ปามาเต็มหน้าเนื่อง เนื่องร้องอุทานแล้วระดมปาบ้าง ครู่เดียวน้ำน้อยก็แพ้ไฟ ฝรั่งก็ผ้าหลุดมือ แก้ว นิดร้องวี้ดแล้ววิ่งหนี เนื่อง เชิดกับเด็กสองคนวิ่งตาม ฝรั่งยืนเย้ยฟ้าท้าทะเล
“เสียอารมณ์อาบแดดหมด”
บ้านนิดเป็นบ้านแบบชนบท ตัวบ้านยกพื้นสูงจากดินราวสองวา มีห้องด้านใน ๓ ห้อง แล้วมีส่วนระเบียงและชานเรือน ทางด้านหลังเป็นครัว ใต้ถุนเรือนเป็นที่เลี้ยงไก่ หลังคามุงจากทางหลังบ้านเป็นเชิงเขา มีพื้นที่สำหรับเพาะปลูก มีโอ่งน้ำฝนมากมายและมีบ่อน้ำที่ขุดไว้กักน้ำฝนราวบึงขนาดใหญ่
ทางด้านหน้าบ้านเป็นหาดทรายแคบๆ สีคล้ำกับโขดหิน ถัดไปเป็นท้องทะเลสีคราม มีเรือกลไฟและเรือใบแล่นอยู่ในทะเล
นางนิ่มวัยราว ๔๕ ปีมีเค้าสะสวยยืนอยู่บนชานเรือน เนื่องอยู่ที่เชิงบันได แก้วและนิดอยู่ที่พื้นดินด้านล่าง เชิดยืนคุมอยู่ข้างหลังแก้วกับนิดอยู่ นิดมอมแมมนิดหน่อย แต่แก้วนั้นหน้าดำไปครึ่งหนึ่ง
“ลูกหนอลูก ทำไมเป็นคนอย่างนี้ฮะลูก นิด”
นางนิ่มพูดอย่างอ่อนอกอ่อนใจ นิดก้มหน้าอย่างกริ่งเกรงเล็กน้อย แต่แก้วทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“แก้วก็อีกคน”
แก้วสะดุ้งเฮือก เนื่องทำหน้าสะใจแก้วตาเขียวใส่
“หนูไม่ได้ไปทำอะไรไม่ดี หนูแค่ไปฟังฝรั่งร้องเพลง” นิดบอก
“ไม่เหมือนฉัน ฉันไปดูฝรั่งแก้ผ้า” แก้วบอก
“ดู๊ แม่คุณ ยังมีหน้ามาบอก” นางนิ่มว่า
“จริงๆ นะแม่ เขาร้องเพลงแปลกจังเลย วันก่อนนายด่านบอกนิดว่า เขาเรียกว่าเพลงโอเปร่า”
“จะเพลงอะไรก็ช่างมันเถอะ ทีหลังอย่าไปดูมันอีกนะมันไม่ดี เราเป็นสาวเป็นนางนะลูก”
“จ้ะ” นิดตอบเสียงอ่อย
“เป็นสาวน่ะฉันเข้าใจ แต่เป็นนางน่ะมันต้องมีผัวก่อนไม่ใช่หรือน้า” แก้วว่า
นางนิ่มตบอกผาง เนื่องเหนื่อยหน่าย แต่เชิดหัวเราะเบาๆ
“นี่แม่แก้ว ปากหนอปาก”
นิ่มเดินลงบันไดมาพิศดูลูกสาว
“แล้วทำไมถึงได้มอมอย่างงี้ล่ะ”
“จะอะไรล่ะแม่ ก็โดนไอ้ชีเปลือยนั่นเอาดินปาน่ะซี” เนื่องบอก
“ไม่ไหว แม่จะจับหนูอาบน้ำ”
“ไม่เอา” นิดบอก
นิดทำท่าจะเผ่นหนีนิ่มคว้าข้อมือไว้
“แม่แก้วด้วย อาบซะด้วยกัน” นางนิ่มบอก
แก้วตาเหลือกขยับจะวิ่ง แต่เนื่องจับคว้าตัวไว้ก่อน แก้วพอโดนเนื่องจับไว้ก็หน้าแดงไม่ขัดขืนเท่าที่ควร
“หนูไม่เกี่ยวนะน้า” แก้วบอก
“ไม่เกี่ยวอะไรแกน่ะตัวดี ดูรึ หน้าดำอย่างกะนังชั่นบ้อเหมา (๒)
“ฮ่ะ ฮ่ะ จริง” เนื่องบอก
แก้วมองค้อน
“แล้วทำไมแม่ไม่จับพี่เนื่องกับพี่เชิดอาบบ้างล่ะ” นิดว่า
“พี่ไม่เกี่ยวซักหน่อย เดี๋ยววิ่งลงทะเลก็พอแล้ว” เชิดบอก
“พี่เขาเป็นผู้ชายจะมอมแมมบ้างก็ช่างเถอะ แต่หนูสองคนน่ะเป็นสาวเป็นแส้” นางนิ่มว่า
“เป็นยังไงจ๊ะ เป็นแส้เนี่ย” แก้วถามกวน
“ฉันกะแล้วว่าเธอต้องถาม” เนื่องบอก
“ก็ถ้าหนูไม่ยอมอาบน้ำดีๆ ก็จะโดนแส้เฆี่ยนน่ะซีจ๊ะ” นางนิ่มพูด
นิดกับแก้วคอหดไปทันที
บริเวณลานซักล้างที่หลังบ้านมีโอ่งน้ำฝนเรียงรายราว ๒๐ ใบที่มุมหนึ่งปูด้วยหินและกรวดอัดแน่น วางแคร่ไม้ไผ่ มีตุ่มน้ำขนาดเล็กอยู่ข้างๆ นิ่มใช้กระบวยตักน้ำราดหัวลูกสาวและแก้วที่นั่งอยู่บนแคร่ นางนิ่มหันไปคว้ามะขามเปียกจากชามกระเบื้องถูหลังให้นิด นิดเองก็เอามะขามเปียกถูหลังให้แก้ว นิดหน้าเหยเกแต่แก้วแหกปากร้องลั่น
“โอ๊ย แสบ แสบ แสบโว้ย”
“โอ๊ย ตายแล้วปากคอ ตบปากเสียทีดีไหมเนี่ย” นางนิ่มว่า
“ไม่ดีจ้ะ โอ๊ย แสบ”
แก้วดิ้นบิดตัวไปมา
“นี่นั่งดีๆ ซี เดี๋ยวผ้าถุงก็หลุดหรอก” นิดบอก
ขาดคำ ผ้าถุงที่แก้วนุ่งอยู่ก็ปมหลุดผ้าเลื่อนจากอก เนื่องเดินถือชามใส่ขมิ้นผงเดินมาพอดี เลยร้องเฮ้ยแล้วรีบหลับตา แก้วหน้าแดงดึงหูเนื่องแล้วรีบตะครุบผ้าไว้
“ไอ้พี่เนื่อง เข้ามาทำไม”
“ปิดดีหรือยัง ไม่อยากเห็นของเอ็ง”
เนื่องหรี่ตาดูเห็นว่าแก้วไม่ได้โป๊แล้วก็เข้ามา แก้วสะบัดหน้าพรืด
“เชอะ”
“พี่เนื่อง เอาชามขมิ้นมาแล้วไปได้แล้ว”
นิดดึงชามขมิ้นมา เนื่องบ่นอุบอิบ แก้วเอามือปิดนมไว้แน่น
“เฮ้อ ทำคุณบูชาโทษ” เนื่องว่า
เนื่องเดินออกไป นิดกับแก้วเอามะขามเปียกถูแขนต่อ
นิดและแก้วนั่งอยู่ตัวเหลืองอมส้มไปตั้งแต่หัวจรดเท้า นิ่มเอามือขัดวน นิดขัดถูตัวเอง แต่แก้วทิ้งมือทิ้งเท้าอย่างหมดอาลัยตายอยาก นิดเลยต้องขัดให้แก้วต่อ แก้วตัวสั่นหัวคลอนไปตามแรงมือ
“นี่นั่งดีๆ ซี เดี๋ยวผ้าก็หลุดอีกหรอก” นิดบอก
“ช่างมัน”
ขาดคำผ้าก็หลุดอีก พอดีกับเชิดเดินเข้ามา เชิดร้องลั่น หันหลังให้ แก้วร้องวี้ด ดึงผ้ามาปิดจนถึงคาง
“ว้าย ตายแล้ว เชิดเข้ามาทำไม” นางนิ่มถาม
เชิดยืนหันหลังในมือมีชามใส่มะกรูดฝานอยู่หลายชิ้น
“ไอ้เนื่องมันให้ฉันเอามะกรูดมาให้น้าน่ะจ้ะ” เชิดบอก
นางนิ่มเดินมาคว้ามชามมะกรูดไปแล้วรุนหลังเชิดบอก
“ไปไป๊ ทีหลังห้ามเข้ามานะ น้องมันเป็นสาวแล้ว”
“ฉันเห็นแล้ว เอ๊ย ฉันรู้แล้วจ้ะ”
เชิดเดินไป นางนิ่มถือชามมานั่งบนแคร่อย่างอ่อนใจ นิดอมยิ้ม แก้วลดผ้าถุงลง สีหน้าแดงทะลุขมิ้น นิดหัวเราะ
“ดีไหมล่ะเห็นกันทั่วทุกคนให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว” นิดว่า
“ฮือ แล้วทีนี้ใครจะเอาฉันไปเป็นเมียละน้า” แก้วถาม
“ปากหนอปาก” นางนิ่มร้องอุทาน
แก้วยังคงทำหน้าเบ้ แต่นิดหัวเราะจนตัวงอ
บริเวณชานบ้านในเวลาต่อมา นิดขาวผุดผ่องไปหมดทั้งตัว ส่วนแก้วที่คล้ำกว่าก็ดูเหลืองอมเลือดอมฝาด นางนิ่มกำลังเอาหวีสางผมให้นิดที่ยังชื้นอยู่ ส่วนแก้วซึ่งผมแห้งแล้วดูฟูไปทั้งหัวกำลังหยิบกระจกมาส่องดูที่นอกชานบ้าน ฝ่ายเชิดและเนื่องกำลังซ่อมแซมอวนกันอยู่
“ค่อยดูได้ขึ้นมาหน่อย” นางนิ่มพูดขึ้น
“ฉันไม่ใช่ชาววังนะน้า จะได้มาขัดสีฉวีวรรณแบบนี้” แก้วบอก
“จะชาวบ้านชาววัง มันก็ของมีอยู่ในครัวเหมือนกัน” นางนิ่มว่า
เชิดมองดูนิดด้วยสายตาชื่นชม เนื่องมองดูสายตาเชิดที่จ้องมองนิดอยู่ เชิดรีบกลบเกลื่อนทันที
“อะไรวะ มองไม่วางตาเลย” เนื่องว่า
“ฉันก็แค่แปลกใจที่นิดตากแดดตากลมทุกวันแต่ก็ขาวกว่าใครหมด”
“นิดน่ะได้ผิวพ่อมา” นางนิ่มพูดขึ้น
“แต่สวยเหมือนแม่ใช่ไหมจ๊ะ” นิดประจบ
นางนิ่มหัวเราะ แก้วมองดูเนื่องแล้วถาม
“แล้วฉันล่ะพี่เนื่องสวยไหม”
“สวย สวยเหมือนไก่ย่างทาขมิ้นที่ตลาด” เนื่องบอก
แก้วค้อนขวับทันที
“เอ้อ เย็นนี้พี่จะติดเรือพี่เกื้อไปเมืองจันท์” เชิดบอก
“ไปนานไหมจ๊ะ” นิดถาม
“คงสักสี่ซ้าห้าวันมั้ง”
“ยังไงก็กลับมาให้ทันเล่นสงกรานต์บ้านเราก็แล้วกัน”
“ฮื่อ นิดอยากได้อะไรไหม พี่จะได้ซื้อมาให้”
“ไม่รู้ซีจ๊ะ ไม่เห็นอยากได้อะไร”
“แต่ฉันอยากได้แป้งผัดหน้าฝรั่งที่เป็นอับๆ น่ะ แล้วก็สีทาปากที่เป็นแท่ง” แก้วบอก
แก้วไม่ได้อยากได้จริงๆ เพียงแต่แกล้งสอด้วยความหมั่นไส้ เชิดมองเป็นเชิงว่า “ฉันจะซื้อให้ทำไม” แก้วลุกขึ้น
“เอ็งจะเอาไปแต่งเล่นละครลิงเหรอ” เนื่องถาม
“ฮึ ถ้าฉันแต่งขึ้นมาละก็อาจจะสวยกว่าสาวๆ ชาวกรุงที่ตลาดหน้าด่านก็ได้ หลวงพ่อที่วัดยังบอกเลยว่าฉันน่ะมีวาสนา” แก้วบอก
“เอ็งอย่ามาอ้างหลวงพ่อ ข้าไม่เชื่อ”
“จริงๆ นะ หลวงพ่อพูดจริงๆ ถ้าไม่จริงให้ฟ้าผ่าหัวซีเอ้า”
ขาดคำก็มีก้อนหินปลิวมาโดนหัวแก้วดังป๊อก แก้วร้องกรี๊ดกุมหัว ทุกคนหันไปดูเห็นหญิงรูปร่างดำผอมเกร็งเท้าสะเอวอยู่ นิ่มหัวเราะ
“เอ้า ยังไง พี่ใบขึ้นมาก่อนซี” นางนิ่มพูดอยู่บนชานบ้าน
นางใบก้าวขึ้นมา แก้วหน้าม่อยไปทันทีพลางเอามือคลึงหัว
“นายด่านบอกฉันว่า แกไปแอบดูฝรั่งแก้ผ้าอีกแล้วหรือ แหม นังคนนี้สัปดี้สีประดน กลับไปบ้านเดี๋ยวนี้นะ” นางใบบอก
แก้วเชิดหน้าเดินลงบันไดโครมๆ ไป นางใบลงเรือนตามแก้วไป นางนิ่มที่อยู่บนชานบ้านมองตาม
“น่าสงสารแก้ว ไม่ถูกกับพ่อเลี้ยงก็เลยมายึดบ้านเราเป็นที่พึ่ง” นางนิ่มว่า
“ไม่ใช่แค่นั้นหรอกจ้ะ” นิดบอก
นิดมองดูแก้วที่เดินไป เนื่องยังคงทำงานต่อไม่ใส่ใจ
ริมทะเลในเวลาเย็น เรือหาปลาถูกเข็นขึ้นมาอยู่บนฝั่ง หาดทราย ทะเลสีครามสะท้อนแสงอาทิตย์ที่คล้อยต่ำแลระยิบระยับ เนื่องเอาอวนมาพาดไว้ โดยมีนิดยืนอยู่ข้างๆ
“คืนนี้ นิดต้องออกหาปลากับพี่” เนื่องบอก
นิดทำหน้าเบ้
“วะ เป็นชาวประมงแต่ไม่ชอบจับปลา” เนื่องพูดต่อ
“ก็นิดสงสารปลามันนี่ ตอนมันพะงาบๆ น่าสงสารจะตาย” นิดบอก
“เออ ดี สงสารมัน ไม่อยากจับ ไม่อยากฆ่า แต่ตอนกินน่ะเห็นกินได้กินดี”
“พี่เนื่องอย่ามาพูดมาก เดี๋ยวคืนนี้ไม่ไปด้วยเลย”
นิดแกล้งงอน เนื่องยิ้มอย่างอ่อนใจแล้วจัดอวนต่อ นิดมองไปยังทะเลเบื้องหน้า เห็นเรือสินค้าและเรือกลไฟใหญ่ลอยลำอยู่ มีเรือเล็ก เรือใบแล่นกำลังแล่นเข้าฝั่ง ท้องฟ้ามีเมฆขาวมหึมาลอยไป
สรรค์นอนหลับบนกองกระสอบข้าวสารบนเรือโป๊ะ ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงมาก สรรค์ค่อยๆ ลืมตาขึ้นเห็นเมฆใหญ่กำลังเคลื่อนตัวไปบนเวิ้งฟ้า ทันใด..อาล็อกก็โผล่หน้ามายิ้มเผล่
“อาเสียมล้อ (๓) ลื้อตึ่งแล้วเหลอ”
สรรค์ขยับลุกขึ้นนั่งแล้วบิดตัวเหยียดมือ อาล็อกมานั่งข้างๆ
“ลื้อนองเก่งจิงๆ”
“มันง่วงอย่างบอกไม่ถูก นี่มาถึงไหนแล้ว” สรรค์ถาม
“อีกปะเหลียวก็ถึงโกะสีชังแล้ว อาเสียมล้อ ลื้อชื่อลาย”
“ชื่อ .. ไม่รู้สิ”
“หา! ลื้อมิลู้จักชื่อตัวเอง แล้วจาเรียกกังยังไง” ล็อกถาม
“เมื่อกี้ลื้อเรียกอั๊วว่าอะไรล่ะ”
“เลียกเสียมล้อ แปลว่าคงไท”
“งั้นลื้อเรียกอั๊วว่า เสียม คำเดียวก็พอ”
“ฮ่อ อั๊วชื่อล็อก เจ้านายเลียกว่า อาล็อก ส่วนไอ้นี่”
เพื่อนคนจีนของล็อกคนนี้มีหน้าซีดเดินโผเผ
“เจ้านายเลียก อาเจียน”
“ชื่อเจียนเหรอ” สรรค์ถาม
“ม่ายช่าย เจ้านายเลียกอาเจียน เพราะมังชอบเมาเลือแล้วอ้วกแตกทั้งวัง”
ขาดคำอาเจียนก็ชะโงกหน้าไปอ้วกลงทะเล สรรค์ทำตาปริบๆ
“ลื้อเป็นคงกุงเทพหรือ แต่ก่องลื้อทำงางอาไล”
สรรค์นึก นึกแล้วก็ปวดหัวจนต้องกุมหัวไว้ อาล็อกเห็นแล้วก็ตกใจ
“ไอ้หยา ลื้อม่ายลู้ก็ม่ายเป็งไล อย่านึกเลย”
สรรค์ลดมือลงแล้วถอนใจ อาล็อกชี้มือไปเบื้องหน้า สรรค์มองตาม
“โน่งไง โกะสีชัง”
บนเรือโป๊ะกลางทะเลสีคราม สรรค์มองไปยังเกาะใหญ่ซึ่งตั้งอยู่เบื้องหน้า เห็นแนวเขาหินสูงทะมึน ด้านหนึ่งเป็นหน้าผาหินสีแดง ต่ำลงมาเป็นแนวต้นไม้หนาแน่นเขียวขจี สุดเกาะด้านหนึ่งมีประภาคารสูง รูปทรงแปลกตา ตรงพื้นราบเป็นท่าเรือ อาคารด่านภาษีและส่วนของตลาดหน้าด่านที่สรรค์เห็นอยู่รางๆ
คลื่นใหญ่เป็นระยะซัดเข้าปะทะแนวหินโสโครกของเกาะเป็นฟองขาว ภาพนั้นดูงดงามอย่างประหลาด เพลงที่สรรค์เคยได้ยินในฝันประหลาดดังมาวูบหนึ่ง ราวเป็นยาทิพย์ทำให้ลืมความเจ็บปวดในศีรษะให้คลายไป สรรค์มองดูเกาะอย่างหลงใหลพลางว่า
“สวย น่าอยู่เหลือเกิน”
สรรค์มองดูเกาะสีชังเหมือนดั่งต้องมนต์สะกด
เวลาผ่านไป ยามเย็นค่อยๆเลือนไปสู่ยามค่ำ เมื่อความืดแห่งรัตติกาลเข้าห่อคลุมเกาะสีชัง พื้นทะเลยังระยิบระยับ ริมเกาะบางส่วนมีคลื่นซัดโขดหินใหญ่แตกกระจายเป็นละอองสีขาว มีแสงวอมแวมจากตะเกียงตามบ้านและอาคารบนเกาะ รวมทั้งแสงจากเรือหาปลา ประภาคารส่งแสงสว่างเป็นลำยาว ดูคล้ายฟ้าแลบแปลบปลาบตลอดเวลา
เรือโป๊ะจอดเทียบแนบกับเรือกลไฟใหญ่ มีตาข่ายเชือกเส้นใหญ่หย่อนจากเรือกลไฟลงมาในเรือโป๊ะ กรรมกรจีนเดินเรียงแถวแบกกระสอบข้าวสารบนหลังไปวางเรียงในตาข่ายเชือกจนครบแปดกระสอบ ตาข่ายเชือกก็จะถูกยกขึ้น สรรค์แบกข้าวสารตามหลังอาล็อกอย่างแข็งขัน
ตรงบริเวณกระสอบข้าวสารในมุมหนึ่งของปากเรือโป๊ะ สรรค์เหงื่อโทรมกาย ทิ้งตัวลงนอนอย่างหมดแรงบนกองกระสอบ อาล็อกมานั่งด้วย แสงไฟบนเรือยังสว่าง สรรค์หันมองดูเกาะสีชังอีกครั้งอย่างหลงใหล
“ลื้อมองอาลาย”
“เสร็จงานแล้ว เราจะได้ขึ้นไปเที่ยวบนเกาะไหม”
“เรือจอดห่างขึ้งไปโกะไม่ล่ายหลอก”
“ทำไมจะไม่ได้ก็ว่ายน้ำไปซี”
“ลื้อก็โดนฉลามเจี๊ยะน่ะซี ไป...ไปทำงางต่อ”
อาล็อกลุกขึ้น สรรค์ลุกตาม ลมแรงพัดมาวูบหนึ่ง หอบเสียงเพลงดังกังวานไพเราะมาตามมา สรรค์ชะงักกึกไปเงี่ยหูฟัง เสียงเพลงดังมาอีก มันเป็นเพลงเดียวกับความฝันประหลาดของสรรค์ที่ได้พบกับเทวีแห่งแรงบันดาลใจ
ภาพของสรรค์ที่ก้าวไปยังหาดทรายและเทพธิดาก้าวมาบนผิวน้ำแวบเข้ามา
สรรค์หลับตานิ่งราวจะนึกให้ออกว่าเคยได้ยินเพลงนี้จากไหน
ภาพเทพธิดายั่วเย้าและจุมพิตสรรค์
สรรค์สะบัดหน้านึกเท่าไรก็นึกไม่ออก แล้วก้าวมาที่กราบเรือทีละก้าว เพื่อเงี่ยหูฟังเพลงนั้นอีก เสียงฮัมเพลงประหลาดวิเวกหวานดังมาอีก มันกังวานใส หวานกึ่งเศร้าสร้อย กึ่งเร้นลับ เสียงนั้นราวเสียงนางพรายที่แทรกมากับเสียงลม แผ่วเบา แต่คราวนี้ดังต่อเนื่องไม่ขาดหาย สรรค์มองดูไปที่เกาะสีชังยามราตรียิ่งดูงดงามแลเร้นลับ แสงไฟจากประภาคารราวกระพริบเรียกให้สรรค์ไป เสียงเพลงดังขึ้นอีก สรรค์ก้าวไปราวถูกมนต์สะกด มือแกะกระดุมเสื้อออกช้าๆ แล้วปลดจากตัว ก้าวหายไป
อาล็อกเดินมาจะเรียกสรรค์แต่กลับไม่พบเห็นใคร อาล็อกมองหาแล้วเท้าก็สะดุดกับรองเท้าผ้าใบกับเสื้อสีกากีที่สรรค์ใส่วางกองอยู่ที่ริมกราบเรือ อาล็อกมองไปเห็นแต่ท้องทะเลกว้างมืดมิด
สรรค์ว่ายน้ำตรงไปเบื้องหน้าด้วยดวงตาอันมุ่งมั่น เสียงฮัมเพลงยังคงดังอยู่ เกาะสีชังดูทะมึนอยู่เบื้องหน้า แสงจากประภาคารวูบวับ แสงนั้นทาบลงมายังร่างสรรค์
เรือหาปลาลำเล็กแล่นอยู่ เนื่องเป็นคนยืนแจวท้ายเรือ แต่นิดกลับนั่งสบายอารมณ์ ส่งเสียงฮัมเพลง เสียงนั้นกังวานหวานสะท้อนสะท้านไปในความมืด แสงจากประภาคารส่องวูบวาบมาทางด้านหลัง บนเรือจุดตะเกียงรั้วไว้ดวงหนึ่ง
สรรค์ยังคงว่ายน้ำตรงไปด้วยแววตาอันมุ่งมั่น ทว่ามือเท้าเริ่มช้าและอ่อนลงทุกขณะ เสียงฮัมเพลงยังดัง สรรค์ก็ยังคงว่ายต่อไป
บนเรือหาปลา เนื่องมองน้องสาวอย่างหมั่นไส้นิดๆ
“ส่งเสียงอย่างนี้ พอดีปลาหนีหมด” เนื่องบอก
นิดหันมาค้อน แต่ยังฮัมเพลงต่ออย่างไม่สนใจ
“ไม่เอาแล้ว พี่เหนื่อย เธอมาแจวแทน”
นิดเลิกฮัมเพลงลุกขึ้นมาหา เนื่องปล่อยแจวเรือลง นอนเอนตัว เอาหัวหนุนอวน นิดแจวแทนอย่างชำนาญ เรือพุ่งไปเบื้องหน้า
เสียงเพลงหายไป พร้อมกับสรรค์หมดแรงเฮือกสุดท้าย เขาพยายามชูคอราวกับจะเงี่ยหูฟังแต่ไม่มีเสียงเพลง สรรค์ลอยตัวในทะเลอย่างหลงทาง หูเงี่ย ตาส่ายมองหาต้นเสียงสวรรค์ที่ตามมาแต่ไม่เจอ
นิดแจวเรือต่อ สรรค์ลอยคออยู่ในทะเลจนเริ่มหมดแรง ปล่อยตัวไปตามคลื่น ส่ายสายตามองหาความช่วยเหลือ แต่ก็ไม่เห็นอะไร ร่างผลุบโผล่อยู่ในน้ำพยายามให้จมูกอยู่บนผืนน้ำ แต่ดวงตาก็พร่าพรายมากขึ้นทุกที
นิดแจวเรือ เนื่องฮัมเพลงขึ้นมาบ้าง นิดอมยิ้ม ทอดสายตาไปข้างหน้า แล้วชะงัก เขม้นมอง
“เดี๋ยว พี่เนื่อง หยุดก่อน”
“อะไรกัน นิด ทีตัวเองร้อง” เนื่องบอก
“ไม่ใช่ พี่ ฉันเห็นเหมือนมีคนลอยคออยู่ทางโน้น” นิดบอก
อ่านต่อหน้าที่ ๒
หมายเหตุ - ผู้เรียบเรียง
๑. เกาะสีชัง สมุทรปราการ - ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 พระองค์ได้เสด็จประพาสเกาะสีชังโดยเรือกลไฟที่ต่อในประเทศไทย ชื่อ “สยามอรสุมพล” และได้มีการยกเกาะสีชังขึ้นเป็นอำเภอเกาะสีชัง ขึ้นอยู่กับจังหวัดสมุทรปราการ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ได้มีการยุบอำเภอเกาะสีชังเป็นกิ่งอำเภอเกาะสีชัง ขึ้นกับอำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ ต่อมาเมื่อวันที่ ๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๖ กระทรวงมหาดไทยได้โอนกิ่งอำเภอเกาะสีชังจากอำเภอเมืองสมุทรปราการไปขึ้นกับอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี
๒. ชั่นบ้อเหมา - เป็นนิยายจีนที่แต่งโดยคนไทย โดยใช้นามปากกาว่า ป.ร. ชื่อจริงคือ ประกอบ (ชื่อเดิม – ฮ่วนเลียง) โชประการ ฉบับปี ๒๔๘๐ โดยสำนักพิมพ์ วัฒนานุกูล ตัวเอกเป็นหญิงชื่อ “ชั่นบ้อเหมา” มีหน้าตาอัปลักษณ์ นิสัยมุทะลุดุดันออกศึกสู้กับหลวงจีนทุศีล และกิ๊กของพระสวามีเป็นสิบปี มีลูก ๕ คน ๔ คนหน้าลาย ๑ คนเป็นใบ้ มีชะตากรรมยิ่งกว่าแม่คือพระนางเจงฮองเฮา (เจ็งบ่อเอี่ยม - นางพญาหน้าด่าง) เสียอีก
๓. เสียมล้อ - เป็นคำแผลงจากภาษาจีนแต้จิ๋ว ใช้เรียก “สยาม” คนจีนใช้คำนี้เรียก “คนไทย”
สาวน้อย ตอนที่ ๓ (ต่อ)
ท้องทะเลเบื้องหน้า ท่ามกลางคลื่นที่กระเพื่อมเป็นระลอก มีศีรษะคนผลุบโผล่อยู่
เนื่องลุกขึ้นดูแต่ไม่เห็นอะไรดังที่นิดว่า
“ไม่เห็นมีอะไรซักหน่อย ใครจะมาลอยคออยู่ในทะเลป่านนี้”
“แต่ฉันเห็นว่าเป็นคน” นิดบอก
นิดเบนหัวเรือแล้วทุ่มแรงทั้งหมดลงไป เรือพุ่งปราดไปยังทิศนั้นทันที
สรรค์ลอยคออยู่นานเท่าไรไม่รู้ได้ ดวงตาพร่าพราย หูอื้อ หน้าแหงนเงย แม้พยายามจะประคองตัว แต่ก็มีน้ำเข้าปากเข้าจมูกเป็นระยะ
นิดทุ่มเทแจวเรือ ดวงตาจ้องเขม็งไปเบื้องหน้า เนื่องเมื่อเห็นน้องสาวจริงจังก็พยายามช่วยดู
สรรค์ดวงตาปิดลง แขนขาหมดแรง สติดับวับร่างจมวูบลง
ร่างสรรค์จมลงใต้น้ำอย่างช้าๆ ร่างดิ่งลึกลงไปเรื่อยๆ ผมพลิ้วไปในน้ำ มือแขนและเท้ากางออก ร่างจมลงอย่างไร้การควบคุมโดยสิ้นเชิง
ด้วยอะไรบางอย่าง สรรค์คล้ายได้สติ ดวงตาลืมขึ้น แต่ก็หมดหนทางช่วยตัวเอง สรรค์มองไปเห็นร่างๆ หนึ่งพุ่งปราดมาทางเขา ว่ายแหวกปราดเปรียวเหมือนปลา ผมยาวแผ่สยายไปในน้ำราวสาหร่ายแสนสวย
สรรค์มองอย่างไม่เชื่อสายตา ร่างนั้นเข้ามาถึงตัว
ร่างนั้นไม่ใช่นิดแต่กลายเป็นเทพธิดาแห่งแรงดลใจที่งดงามเรืองรองไปด้วยรังสีเหนือมนุษย์ เทพธิดาแย้มยิ้มกับสรรค์ แล้วภาพทุกอย่างดับวูบ
ภายในบ้านเนาวรัตน์เมื่อยามเช้า บุญมากำลังเตรียมกล้องบนขาตั้ง และมีลูกมือชื่อเสริมกำลังจัดไฟอยู่ เพื่อเตรียมจะถ่ายรูปของสุวลีที่สรรค์วาดไว้ บริเวณนั้นมีคนรับใช้ชาย ๒ คนและเดือนกับวาดยืนคอยดูแล เสริมเหลือบดูแล้วกระซิบถามบุญมา
“บอกอ”
“หือม์ อะไร”
“นี่บ้านคนแน่หรือบอกอ ผมคิดว่าวังเจ้า” เสริมถาม
“เออ คนเหมือนเรานี่แหละ”
ประตูเปิดออก แม่บ้านเฟื่องก้าวเข้ามาและตามด้วยสุวลีและจวน สุวลีแต่งชุดอยู่บ้านยาวกรอมเท้าราวกับเจ้าหญิงเดินก้าวมาหาบุญมา บุญมายกมือไหว้เฟื่องและยิ้มทักสุวลี
“ตื่นบรรทมแล้วหรือ เจ้าหญิง”
เสริมยกมือไหว้เฟื่องและสุวลี แล้วไหว้เรื่อยไปถึงจวน จวนยิ้มแห้งๆ รับไหว้แล้วหลบหลังสุวลี สุวลีขบขันเสริม
“มาแต่เช้าเชียวบุญมา นี่รับประทานอะไรมาหรือยังคะ” สุวลีถาม
“ผมรองท้องมาบ้างแล้ว แต่ถ้าคุณสุจะให้ผมไปทานเป็นเพื่อนก็ยินดี”
สุวลีมองค้อน
“สุนึกอยู่แล้วว่าคุณต้องตอบแบบนี้ งั้นเดี๋ยวเชิญที่เทอเรสข้างดีกว่าค่ะ คุณเฟื่องคะ”
“คะ คุณน้อง”
“คุณเฟื่องช่วยหาอะไรให้...เด็กของคุณบุญมารองท้องด้วยนะคะ เชิญค่ะ บุญมา”
สุวลีควงแขนบุญมาเดินไป จวนเดินตาม เสริมมองสุวลีราวมองพระราชวงศ์องค์จริง คุณแม่บ้านเฟื่องมองเสริมด้วยหางตา หน้าเชิดเล็กน้อย เสริมยิ่งตัวลีบมากขึ้น
บุญมาควงแขนสุวลีมาที่เทอเรสข้างด้วยใบหน้ายิ้มระรื่น ทันใดร่างหนึ่งโผมาถึงตัวคล้องแขนอีกข้างฉับทันที
“คุณบุญมาขา กู้ด มอร์นิ่งค่ะ” อนงค์ทักทาย
อนงค์แย้มยิ้มอยู่ใกล้ บุญมาหลับตาปี๋ สุวลีปล่อยแขน บุญมาพึมพำ
“ไม่น่าเห็นแก่กินเลยกู”
“ขา...ว่าอะไรนะคะ” อนงค์ถาม
“ผมว่าของน่ากินทั้งนั้นครับ”
อนงค์ดึงบุญมามาที่โต๊ะสนามที่รตีนั่งเชิดอยู่ก่อนแล้ว ทั้งสามนั่งลง จวนเข้ามายืนรับใช้อยู่ห่างๆ บนโต๊ะมีอาหารเช้าราวเลี้ยงคนได้เป็นสิบมีทั้งอาหารฝรั่งและข้าวต้มเครื่อง
“อรุณสวัสดิ์ คุณบุญมา” รตีทักทาย
“ครับผม นี่คุณสองคนก็แวะมาฝากท้องที่นี่เหมือนกันหรือครับ”
“วุ้ย คุณบุญมา พูดจาขันจริง” อนงค์ว่า
“ตอนเที่ยงเราต้องไปงานวันเกิดภริยาท่านรัฐมนตรีต่างหากค่ะ” รตีบอก
“อือ”
“เชิญค่ะ คุณบุญมา” สุวลีบอก
ทั้งสี่คนลงมือรับประทานอาหาร บุญมากินตามสบาย รตีก็ปรกติ สุวลีแตะโน่นนิดนี่หน่อย แต่อนงค์บรรจงกินราวนางชาววัง
“นี่เจ้าสรรค์ติดต่อมาหรือยังครับ”
สุวลีมีสีหน้าไม่พอใจนิดๆแล้วตอบ
“ตั้งแต่วันงานก็หายไปเลยค่ะ”
บุญมาคิดถึงเรื่องมารศรีเลยบอกว่า
“คงมีเรื่องวุ่นๆ นิดหน่อยน่ะครับ”
“วุ่นเรื่องอะไรคะ” สุวลีถาม
บุญมารีบกลบเกลื่อนทันที
“ก็...เรื่องราชการที่เชียงใหม่ไงครับ”
“วุ่นยังไงก็น่าจะโทรศัพท์มาล่ำลากันบ้างนะคะ”
“ฮึ หรือว่าพอตีตราจองแล้วก็เลยคิดว่าจะทำยังไงกับสุก็ได้” อนงค์บอก
“ต๊าย นังเสี้ยม” รตีว่า
สุวลีหน้าตึง ยิ้มเหยียด อนงค์กับรตีรู้ท่าทีดี จวนเองก็ดูกลัวเกรง
“ฉันไม่ใช่ลูกไก่ในกำมือใครหรอกนะ” สุวลีบอก
“เจ้าสรรค์ไปถึงเชียงใหม่แล้ว อีกวันสองวันคงทิ้งจดหมายมาแน่ๆ ไม่ต้องห่วงครับ” บุญมาบอก
สุวลียิ้มนิดๆแต่ดวงตายังมีแววดุอยู่
ในเวลาเดียวกัน บนโต๊ะอาหารในโถงบ้านโพธิธารา พระชาญชลาศัยนั่งอยู่ บนโต๊ะมีอาหารเช้าพวกกาแฟ ไส้กรอก ไข่ดาว ผินรินกาแฟจากกาให้ ส่วนบัวก็กำลังเตรียมผลไม้อยู่บริเวณแพนทรี พระชาญชลาศัยพลิกหนังสือพิมพ์ไปเรื่อยๆ
“พอคุณหนูกลับมา คุณพระจะคิดอ่านประการใดคะ” ผินถาม
พระชาญชลาศัยลดหนังสือพิมพ์ลงแล้วพูดเสียงเรียบๆ
“คิดอ่านอะไร”
“ก็ที่คุณหนูยื่นคำขาดไว้”
มารศรีก้าวลงมาจากบันไดพอดี ราตรีกำลังหอบตะกร้าเสื้อผ้า จงกลถือไม้กวาดขนไก่ตามมาเป็นนางบริวาร
“ว่าไม่ขออยู่ร่วมบ้านกับ...คุณนาย เอ้อ คนใหม่ไงคะ” ผินว่า
มารศรีชะงักเท้า ยกมือส่งสัญญาณให้ราตรีกับจงกลเงียบไว้
“มันยื่นคำขาดอย่างงั้นหรือ แล้วถ้าฉันไม่ยอมทำตามแล้วมันจะทำอะไร ตัดขาดฉันจากความเป็นพ่อหรือ”
พระชาญชลาศัยพูดประชด แม่ผินค้อน
“ฮึ คุณพระก็พูดเข้า ยังไงคุณหนูก็เป็นลูกนะคะ ลูกชายคนเดียวของคุณพระ”
พระชาญชลาศัยอ่อนลงแล้วถอนหายใจ แม่ผินรีบสำทับ
“ยังไงๆ คุณพระก็น่าจะทราบว่า เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ”
“ดูท่า ฉันจะเป็นน้ำซีนะ” เสียงมารศรีโพล่งขึ้น
มารศรีก้าวมาพูดยิ้มๆ แม่ผินชูคอตั้งตรง ราตรีกับจงกลวางหน้าไม่ถูก บัวขยับมาข้างผิน
“วุ้ย ไม่เหมือนกันหรอกค่ะ คุณน่ะเหมือนไฟมากกว่า เข้าที่ไหนก็...ร้อนที่นั่น” ผินว่า
แม่ผินชะงักคำว่า วอดวายไว้ มารศรียิ้ม ก้าวมาเผชิญหน้าผิน
“งั้นแม่ผินก็คงต้องอยู่ห่างๆ ฉันให้มากแล้วล่ะ”
พระชาญชลาศัยโบกมือ ท่าทางเหนื่อยใจ
“มารศรีมานั่งนี่เถอะ”
มารศรีเดินมานั่งลง แม่ผินเชิดหน้า
“ส่วนเรื่องเจ้าสรรค์ รอให้มันกลับมาก่อน แล้วฉันจะพูดกับมันเอง” พระชาญชลาศัยบอก
เกาะสีชัง เมื่อยามสาย ทะเลสะท้อนแสงแดดระยิบระยับ
ภายในห้องนอน นิดค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เห็นแสงสว่างจากหน้าต่างก็รู้ว่าสายแล้วจึงรีบเปิดมุ้งออกมา
“ตายแล้ว”
ห้องนอนของนิดดูโปร่งโล่ง มุมหนึ่งวางที่นอนกางมุ้งขาวสะอาด มีตู้ใส่เสื้อผ้า โต๊ะเครื่องแป้งเล็กๆ และที่โต๊ะเตี้ยเขียนหนังสือ วางกระดาษ สมุด นิตยสารไว้ บริเวณฝาบ้านด้านหนึ่งติดรูปวาดฝีมือแบบเด็ก นิดลุกเดินไปที่ประตู เห็นกระดาษที่สอดมาใต้ประตู จึงหยิบออกมาดู
เนื่องเขียนหนังสือบอกว่า
“นิด พี่กับแม่ไปตลาด เจ้าหนุ่มน้อยตกน้ำยังไม่ฟื้น ยังไงก็ระวังตัวด้วย”
นิดทำจมูกย่น
นิดก้าวออกมาที่ระเบียงชานเรือน สรรค์นอนอยู่บนเสื่อ ข้างเสื่อมีแผ่นสังกะสีที่ใช้ก่อไฟให้สรรค์ตั้งแต่เมื่อคืนตอนนี้เหลือเพียงขี้เถ้า สรรค์สวมเสื้อผ้าของเนื่อง ที่ลูกกรงระเบียงมีเสื้อกล้ามและกางเกงที่สรรค์ใส่มาตากผึ่งอยู่ นาฬิกาแขวนอยู่บอกเวลา ๘.๑๕ น. นิดคุกเข่าลงมองดูสรรค์อย่างสนใจใคร่รู้แบบเด็กๆ ไม่มีเรื่องใดๆ มาปะปน สรรค์นอนหลับและหายใจแผ่วเบา ขี้เถ้าจากกองไฟเมื่อคืนปลิวมาเกาะผมสรรค์ นิดขยับตัวปัดออก ผมไประแก้มสรรค์ เมื่อนิดขยับมาที่เดิมก็เห็นสรรค์ลืมตามองดูอยู่
นิดสวมเสื้อสีขาวตัวเล็กกับโสร่งสีสดใส ผมยาวเส้นละเอียดเป็นมัน ดวงหน้าเปล่งปลั่ง ดวงตาโต สรรค์มองดูนิดอย่างซาบซึ้ง แล้วขยับลุกนั่ง นิดถอยไปนิดหนึ่ง
“ตื่นแล้ว”
สรรค์พยักหน้ารับมองดูรอบๆ เสียงคลื่นดังแว่วๆ มาแต่ไกล ลมแรงพัด
“ที่นี่เกาะสีชังใช่ไหม” สรรค์ถาม
“ใช่ ตรงนี้เป็นหลังเกาะ เดี๋ยวฉันจะเอาน้ำมาให้”
นิดถือขันใบใหญ่กับผ้าขนหนูผืนเล็กมาเห็นสรรค์เดินเซๆ นิดก้าวมาดูอย่างห่วงใย
“เป็นอะไรไป” นิดถาม
“ฉันอยากเดินดูอะไร แต่ว่าใจมันหวิวๆ”
“ตอนนี้อย่าเพิ่งยืนหรือเดิน นั่งลงก่อนเถอะ”
สรรค์พยักหน้านั่งลงอย่างว่าง่าย นิดคุกเข่าลง
“ล้างหน้า ล้างตาซะก่อน แล้วก็น่าจะนอนพักเยอะๆ”
“ฉันนอนเต็มอิ่มแล้ว” สรรค์บอก
นิดคว้าสังกะสีเอาขี้เถ้าไปเซแล้วเดินกลับมา
“เธอใช่ไหมที่เป็นคนช่วยชีวิตฉันไว้”
“อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย...เช้าๆ เธอชอบกินอะไร ข้าวต้มหรือข้าวสวย... เอาข้าวต้มก็แล้วกันเพราะเธอเป็นคนป่วย”
“แต่ฉันไม่ได้เจ็บป่วยซักหน่อย”
“เอาเถอะ ล้างหน้าล้างตาซะ เดี๋ยวฉันจะเอาข้าวมาให้กิน”
บริเวณหน้าบ้านนิดใกล้ชายหาด มีโขดหินและต้นน้อยหน่าให้ร่มเงาอยู่ สรรค์ยืนมองทะเลเบื้องหน้าอย่างตื่นตาตื่นใจ ทะเลสีคราม เมฆขาวมหึมาบนท้องฟ้า นกทะเลบินร่อนอยู่เป็นคู่ เรือใบในทะเล ๒ ลำแล่นไล่กัน
นิดถือถาดวางจานสังกะสีใส่อาหารเดินมาวางให้สรรค์ สรรค์มองดูอาหารในถาดสังกะสีเคลือบ มีจานเคลือบดูสะอาดสะอ้าน ใส่ข้าวต้ม ปลาทอดเหลืองอร่าม ไข่ทอดฟู และผัดผัก
“น่ากินจัง”
“น่ากินก็กินสิ ไม่ต้องห่วงฉัน ฉันจะรอกินพร้อมแม่กับพี่เนื่อง”
“เธออยู่กับแม่กับพี่ชื่อเนื่อง”
“จ้ะ”
“แล้วเธอล่ะ ชื่ออะไร”
“ฉันชื่อนิด”
“นิด”
“แล้วเธอล่ะ ชื่ออะไร” นิดถาม
สรรค์นิ่งไปนิดหนึ่งแล้วบอก
“ฉันชื่อเสียมจ้ะ เสียม”
“เสียม...ชื่อแปลกจัง”
นิดยิ้มขำ สรรค์ยิ้มตอบแล้วตักข้าวกินอย่างเรียบร้อย นิดพิศดูอย่างสนใจ
หลังเสียมกินข้าวอิ่มแล้วก็เดินมาหยุดที่ชายหาดแล้วมองออกไป ดวงอาทิตย์สะท้อนผิวน้ำงามระยิบระยับ เสียมหยีตามองดูแล้วเห็นร่างน้อยเพรียวบางนั้นอยู่กลางแสง เสียมตะลึงไป นิดก้าวเดินลุยน้ำมาหาสรรค์ เสียมยังคงตะลึงตะไล
ภาพของเทพธิดาในความฝันเดินมาบนผิวน้ำแวบเข้ามา
นิดก้าวมาหยุดตรงหน้ามองเสียมอย่างแปลกใจ
ภาพเทพธิดามาแหงนเงยตรงหน้าสรรค์ ยิ้มยวนยั่ว
“นายเสียม! เป็นอะไรไป” นิดถาม
เสียมกระพริบตาเห็นนิดยืนอยู่ตรงหน้าก็ยิ้มเก้อๆ นิดมองอย่างสงสัย
“เปล่าหรอก...ฉันแค่ดูอะไรเพลินๆ แค่นั้นเอง ทุกอย่างที่นี่ ทะเล ท้องฟ้า ก้อนเมฆ ดูสวยไปหมด”
นิดหันไปมองดูบ้างแล้วอมยิ้ม ย่นจมูก
“เธอช่างพูดจริง นี่เธอมาจากไหน สำเนียงบอกชัดว่าเป็นคนกรุงเทพ เธอเป็นคนกรุงเทพใช่ไหม”
“ก็ คงใช่มั๊ง”
“แล้วทำไมถึงไปลอยคอในทะเลได้”
“ฉันทำงานขนข้าวสารที่เรือโป๊ะ พอเห็นที่นี่ มันเหมือนมีมนต์สะกด มีเสียงเพลงเรียกให้ฉันมาที่นี่ ฉันก็เลยหลบเถ้าแก่ว่ายน้ำมา”
เสียมมีแววรำลึกถึงเสียงเพลงประหลาดและดูเพ้อฝันเลื่อนลอยบางอย่าง นิดมองดูท่าที เสียมพูดต่อ
“จนหมดแรงจมน้ำแล้วเธอช่วยฉันไว้”
เสียมมองนิดอย่างลึกซึ้งจนนิดรู้สึกเขิน
“ฉัน .. ฉันเปล่า พี่เนื่องต่างหาก”
“ฉันเป็นหนี้บุญคุณเธอกับพี่เนื่องของเธอ สักวันหนึ่งฉันคงได้ตอบแทนบ้าง”
“คนเราเห็นใครตกทุกข์ได้ยากก็ต้องช่วยกันซี อย่ามาถือเป็นบุญคุณนักเลย” นิดบอก
มีคลื่นลูกใหญ่ซัดมาโดนร่างของทั้งสอง จนนิดเซแทบล้มลง...เสียมประคองไว้ นิดไม่ได้หน้าแดงหรือขัดเขิน แต่กลับขยับตัวออกแล้วบ่น
“ว้า เปียกหมดเลย...แต่ก็ยังน้อยกว่านายเสียม”
เสียมเปียกโชกไปหมดตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้า นิดหัวเราะคิก เสียมยิ้มตาม
นางนิ่มกับเนื่องเดินมาตามทางเลียบชายทะเล นางนิ่มเดินตัวเปล่าด้วยท่าทางร้อนใจ แต่เนื่องเอากระจาดเปล่า ๒ ใบซ้อนถือเทินหัวมา นิ่มผลักเนื่องให้เดินเร็วๆ
“นี่เดินเร็วๆ เข้าเจ้าเนื่อง มีอย่างหรือไปเที่ยวเอาใครไม่รู้มาไว้ในบ้าน หัวนอนปลายตีนเป็นยังไงก็ไม่รู้ เดี๋ยวมันทำอะไรนิดเข้าแล้วจะทำยังไง” นางเนื่องว่า
“ปู้โธ่ แม่ คนจมน้ำเกือบตายยังไม่มีแรงหรอก”
เนื่องหัวเราะกับท่าทางของแม่ นางนิ่มมองค้อน
“แม่ไม่กลัวยายนิดไป...ทำอะไร...มันบ้างหรือ” เนื่องถาม
นางนิ่มตีลูกชายเผียะๆ เนื่องปัดป้อง
“นี่ พูดอะไร น้องน่ะยังเด็ก ยังเล็ก”
“จริงๆ นะแม่ มันหล่อยังกะพระเอกหนัง ขนาดฉันเป็นผู้ชาย ยังชอบมันเลย”
นางนิ่มอ้าปากค้าง
นางนิ่มเดินขึ้นบันไดมายังนอกชานแล้วถามลอยๆ
“นิดเอ๊ย หุงข้าวหุงปลาหรือยัง ว้าย”
ที่นอกชาน มีโสร่งของนิดกองอยู่เป็นวง เสื้อขาวอยู่ใกล้ๆ นางนิ่มตบอกผาง เนื่องขึ้นมาเห็นกางเกงและเสื้อของตนที่สละให้เสียมใส่กองอยู่อีกทาง
“อ้าว เฮ้ย ทำคุณบูชาโทษแล้ว” เนื่องว่า
นิดเปิดประตูห้องออกมาเมื่อได้ยินเสียงแม่ นิดถือตะกร้าผ้าออกมา นางนิ่มกับเนื่องถลาไปจับดูเนื้อตัว นิดงงกับท่าที
“ลูกแม่ โธ่ ลูก”
“ไหน มันอยู่ไหน” เนื่องถาม
“ใคร อ๋อ นายเสียมน่ะหรือ เมื่อกี๊ฉันกับนายเสียมโดนคลื่นเปียกไปทั้งตัว ฉันเลยเอาชุดใหม่ให้เปลี่ยน”
นิดเดินผละจากพี่และแม่ไปเก็บผ้ากลางชานบ้านมาบิด นางนิ่มกับเนื่องถอนใจเฮือก
“แม่กับพี่เนื่องตกใจอะไรหรือจ๊ะ” นิดถาม
นางนิ่มกับเนื่องทำหน้าปูเลี่ยนยังไม่ทันตอบ ประตูห้องเนื่องก็เปิดออก สรรค์เปลี่ยนชุดใหม่ก้าวออกมา
“นายเสียม แม่กับพี่เนื่องกลับมาแล้ว” นิดบอก
เสียมดีใจยกมือไหว้ทั้งคู่อย่างสวยงาม นางนิ่มรับไหว้แบบขัดๆ เขินๆ เนื่องไม่สนใจ
“จ้ะ ไหว้พระเถอะ”
“คนอะไรวะชื่อเสียม...ชื่อพิกล” เนื่องบอก
ข้าวมื้อสายถูกวางเรียงที่ชานเรือนพร้อมๆกับควันกรุ่นจากข้าวและกับที่กำลังร้อนๆ นิด นางนิ่มและเนื่องนั่งล้อมวงกินบนยกพื้น นิดเล่าเรื่องเสียมให้ทุกคนฟังหมด เสียมนั่งอยู่ที่ชานเรียบร้อยราวเข้าเฝ้า เนื่องหัวเราะขำกับเรื่องที่นิดเล่า
“ปู้โธ่ คิดว่าเกิดเรื่องอะไร ที่แท้ก็ว่ายน้ำหนีมาจากเรือโป๊ะ”
“ฉันกะด้วยสายตาคิดว่าเกาะอยู่ใกล้ ที่ไหนได้มาแค่ครึ่งทางก็หมดแรงแล้ว” เสียมบอก
นางเนื่องหันมาทางนิด
“ยายนิดจ่ายมา” เนื่องบอก
นิดมองค้อนพี่ชาย
“จ่ายอะไรกันฮึลูก” นางนิ่มถาม
“ยายนิดบอกว่า นายน่ะต้องเป็นชาวกรุงทำงานนั่งโต๊ะเพราะผิวบางมือไม้ไม่ด้าน แต่ฉันว่านายต้องเป็นคนงานเรือโป๊ะ นายแต่งตัวเหมือนกุลี แถมตัวใหญ่เหมือนวัว”
เสียมทำตาปริบๆ ไม่รู้ว่าชมหรือด่า
“ฉันกับพี่เนื่องก็เลยพนันกัน” นิดบอก
“นี่ฉันกลายเป็นของเล่นพนันไปแล้วหรือนี่” เสียมถาม
“แล้วนี่จะทำยังไงต่อไปละพ่อคุณจะกลับไปกรุงเทพหรือ” นางนิ่มถาม
เสียมส่ายหน้าแล้วบอก
“ไม่ล่ะจ้ะ ฉันไม่รู้จักใครแล้ว ฉันชอบที่นี่ ฉันว่าฉันจะหางานทำบนเกาะนี้แหละ ไม่ว่างานอะไรฉันยอมทำหมด”
นิดมองหน้าแม่กับพี่ชายด้วยแววตาขอร้อง
ภายในบ้านเมื่อเวลาต่อมา นางนิ่มปฏิเสธ
“ไม่ได้หรอก ลูก เราไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าเขา เขาเป็นคนดี คนเลวยังไงเราก็ไม่รู้”
“แต่เท่าที่ดู ฉันก็ว่าเขาเรียบร้อยดีนะแม่ ก็แค่ดูพินอบพิเทาเราเกินเหตุไปหน่อยเท่านั้น” เนื่องว่า
“ยังไงก็เป็นผู้ชายพายเรือ หนูก็โตแล้วเอาผู้ชายมาอยู่ร่วมบ้านแบบนี้ มันจะไม่งามนะลูก ถึงจะเป็นลูกจ้างก็เถอะ ชาวบ้านเขาจะพูดกันยังไง”
“โธ่ แม่ นิดว่าเขาดูแปลกๆ เหมือนคนที่ยังจำอะไรไม่ได้ แววตาก็ดูเลื่อนลอยยังไงชอบกล ถ้าเราปล่อยเขาไปเขาไปเจอคนไม่ดีเข้าก็จะลำบาก จ้างเขาไว้เขาจะได้ช่วยพี่เนื่องทำงานไง” นิดพูดแล้วหันไปประจบเนื่อง
“ฉันรู้หรอกน่า เธอขี้เกียจออกไปหาปลาใช่ไหมเล่า” เนื่องบอก
นิดทำท่าอ้อนวอนและหันไปประจบแม่
“แหม พี่เนื่องก็...นะ นะ นะแม่นะ”
“แม่คุณ แม่ทูนหัว แม่ช่างร่ำรวยเหลือเกิ๊น ถึงขั้นจะจ้างลูกจ้าง” นางนิ่มบอก
“แปลว่าแม่ตกลงแล้วใช่ไหมจ๊ะ ไชโย้”
นิดกอดแม่ นางนิ่มค้อนขวับ
เล้าไก่อยู่ทางใต้ถุนบ้านกั้นด้วยไม้ไผ่ง่ายๆ ไม่มีระเบียบ เสียมหยิบข้าวเปลือกจากถังโปรย ฝูงไก่ทั้งแม่ลูก ตัวผู้ ตัวเมีย ไล่จิกกันวุ่นวาย เสียมมองอย่างสุขใจ หน้าต่างหลังบ้านเปิดออก เสียมแหงนดู นิดโผล่หน้ามาร้องบอกเสียงใส
“นายเสียม นายได้งานทำแล้วล่ะ”
ในทะเลเสียมแจวเรือด้วยท่าทางเก้ๆกังๆ เนื่องนั่งกลางเรือมองดูด้วยสายตาเซ็ง นิดอมยิ้มอยู่หัวเรือ เนื่องทนไม่ไหวลุกไปยืนเคียเสียมจับมือแจวให้ถูกวิธี
ลานข้างบ้านนิดนางนิ่มกับนิดกำลังตากปลาทำปลาเค็ม เสียมช่วยอยู่
บริเวณชายหาดเนื่องกับเสียมยืนเคียงกัน ในมือมีแหคนละปาก เนื่องเหวี่ยงแหเป็นตัวอย่าง เสียมทำตามได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน
ในทะเลเนื่องอยู่ท้ายเรือ นิดอยู่หัวเรือ เสียมถือแหอยู่กลางเรือ เหวี่ยงแหอย่างทะมัดทะแมงลงในน้ำแล้วหัวทิ่มตกทะเลไป เนื่องเซ็ง นิดเอามือปิดปาก เสียมโผล่ขึ้นมากลางน้ำทะเล ผมเปียกลู่ นิดหัวเราะเต็มเสียง
ตรงชานเรือน นางนิ่มกับนิดกำลังเอากระจาดใส่ผักมาตากแห้งเพื่อทำพวกตั้งโล่ ทางด้านหลังเห็นเสียมถูเรือนก้นโด่ง นางนิ่มทำหน้าพิกล
ภายในครัว นางนิ่มกำลังคนแกงบนเตา นิดกำลังหั่นผักที่เขียง เสียมนั่งบนกระต่ายขูดมะพร้าวด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ นางนิ่มส่ายหน้า นิดอมยิ้ม
ที่สวนครัว เสียมตักน้ำจากบึงขุดมารดน้ำผักอย่างแข็งขัน
บริเวณเล้าไก่ เสียมเก็บไข่ไก่ลงในตะกร้า
ในเวลากลางวัน บริเวณหลังบ้านนิดเป็นพื้นที่ดินร่วนซุยบริเวณเชิงเขาจึงใช้เป็นที่สำหรับปลูกผักสวนครัว ใกล้ๆมีบึงใหญ่ที่ขดไว้เก็บกักน้ำ สวนผักมีขนาดไม่ใหญ่นัก มีผักอยู่ไม่กี่ชนิด และไม่เป็นระเบียบ เสียมยืนมองอย่างครุ่นคิด
ภาพสวนผักที่เป็นระเบียบ สวยงาม ทันสมัยของบ้านโพธิธาราแว่บเข้ามา เสียมหลับตามีอาการปวดหัวทันทีจึงนั่งลงใกล้ค้างผัก ทันใดมีมือเล็กมาปิดตา
“ทายซิ ใครเอ่ย”
“หือม์”
“แหม พี่เนื่องน่ะ รู้ก็รู้ว่าฉันเองยังจะมาทำไขสืออีก”
แก้วลดมือลงและจับมือเสียมแล้วขยับมาด้านหน้า ทันทีที่แก้วเห็นหน้าเสียมก็ตาเบิกกว้าง
“ว้าย แกเป็นใครปล่อยมือฉันนะ”
“เธอต่างหากที่จับมือฉัน” เสียมบอก
แก้วปล่อยมือลุกพรวดขึ้น เสียมลุกตาม
“แกเอาเสื้อผ้าพี่เนื่องมาใส่ทำไม หรือว่าแกเป็นขโมย ใช่แน่ๆ แกต้องเป็นขโมยแน่ๆ ไอ้หัวขโมย ไอ้หัวขโมย”
แก้วตีเสียมอย่างไม่นับ เสียมปัดป้อง นิดวิ่งเข้ามาอย่างตกใจรีบเดินมาข้างๆแก้ว
“แก้ว หยุดๆ พี่เสียมมีอะไรกัน”
เสียมยังไม่ทันตอบ แก้วมองหน้านิดอย่างงง
“พี่เสียม!? พี่เสียมคือใคร”
เสียมอมยิ้ม แก้วจ้องมองตาเป๋ง
ในเวลาต่อมา นิดกับแก้วนั่งอยู่บนแท่นหินใต้ต้นน้อยหน่า ส่วนเสียมกำลังลากอวนอยู่ไม่ไกลนัก นิดเด็ดผักไปด้วย
“เผลอแผล็บเดียวเธอกลายเป็นคุณนายไปแล้ว มีบ่าวด้วย” แก้วว่า
“นี่พี่เสียมไม่ใช่บ่าวนะ ฉันนับถือเขาเป็นพี่เหมือนพี่เนื่อง” นิดบอก
แก้วพิศดูแผ่นหลังกว้างของเสียมพลางตั้งตัวเป็นกรรมการ
“ล่ำสันใช้ได้ แต่ว่าหล่อสู้พี่เนื่องไม่ได้”
เสียมได้ยินเต็มสองหูเลยวางหน้าไม่ถูก
“นี่นายเสียมจ๋ามาทางนี้หน่อย”
เสียมเดินมายืนตรงหน้า แก้วแกล้งวางท่าเป็นนาย
“เธอชื่อเสียมแปลว่าเธอต้องชอบขุดใช่ไหม”
เช้าวันรุ่งขึ้นที่หน้าบังกาโลว์ เสียงเพลงโอเปร่ายังทอเสียงล่องลอยอยู่
ที่บังกาโลว ฝรั่งฮิปปี้ทะลึ่งพรวดจากเก้าอี้ผ้าใบ พลางตวัดเสื้อคลุมมาปิดร่างเปลือย แก้วกับเด็กทะโมน ๒ คน แกละกับเปียทำหน้าหลอกแลบลิ้นปลิ้นตาอยู่ที่บริเวณชายหาด ฝรั่งคว้าไม้ออกวิ่งไล่
แก้วและเด็ก ๒ คนวิ่งหนีไม่คิดชีวิต ฝรั่งฮิปปี้วิ่งไล่ตามมาติดๆ
เสียมกับนิดโผล่มาดูตรงบริเวณสันทราย เสียมงงๆและไม่เข้าใจ นิดก็ไม่รู้เรื่องเท่าใดนัก
แก้วและเด็กทะโมนทั้ง ๒ คนวิ่งอ้อมจุดๆ หนึ่ง ฝรั่งวิ่งตามมาหยุดหอบ แก้วกับเด็กก็หยุดฝีเท้า มองหน้ากันแล้วทำแลบลิ้นปลิ้นตาอีก ฝรั่งฮิปปี้โกรธจัดวิ่งตาม แล้วตกผลุบลงในหลุมที่ขุดดักไว้
เสียมกับนิดอ้าปากค้าง เสียมหัวเราะงอหาย นิดปิดปากหัวเราะ
แก้วและเด็ก ๒ คนย่องมาเห็นเสื้อคลุมตกอยู่ปากหลุมจึงหยิบมาโบก ฝรั่งตะโกนด่าอยู่ก้นหลุมเอามือกุมของสงวนไว้แน่น
บริเวณชายหาดในเวลาต่อมา แก้วเอาเสื้อคลุมฝรั่งมาคลุมไหล่แล้ววิ่งไล่จับนิดกับเสียมและเด็กทะโมน ๒ คน ทุกคนร้องวี้ดหัวเราะหลบไปหลบมา แก้วจับเสียมได้
“จับได้แล้ว ตานายเสียมเป็นชีเปลือยแทน”
แก้วเอาแขนผ้าคลุมผูกคล้องคอเป็นผ้าคลุมให้เสียม ทุกคนวิ่งหนีร้องกรี๊ด สรรค์วิ่งไล่แก้วกับนิดที่วิ่งหลบไปหลังโขดหินแล้วแยกกันไปคนละทาง สรรค์วิ่งไล่นิด นิดร้องวี้ดๆ พลางวิ่งหนี สรรค์ร้องวิ่งไล่ตามจนใกล้ถึงตัวนิด นิดร้องวี้ด ทันใดร่างสูงใหญ่ถลันมาชกสรรค์เข้าเต็มแรงจนหน้าหงายหลังผลึ่งลงบนพื้นทราย
นิดร้องลั่นด้วยความตกใจ
“พี่เสียม!”
สรรค์นอนปากแตกก้นจ้ำเบ้าอยู่ เชิดหน้าถมึงทึงยืนค้ำอยู่แล้วเตรียมโผนจะซ้ำ
จบตอนที่ ๓
อ่านต่อหน้าที่ ๓
สาวน้อย ตอนที่ ๔
เสียมปากแตกนอนก้นจ้ำเบ้าอยู่ เชิดหน้าถมึงทึงยืนค้ำหัวแล้วโผนเข้าจะซ้ำ นิดเข้าคว้าแขนเชิดไว้
“มึงเป็นใคร” เชิดถาม
“พี่เชิดอย่าจ้ะ”
“ตอบกูมา” เชิดคาดคั้น
“พี่เชิด!”
เสียมยันตัวขึ้นนั่ง เชิดขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน นิดยังดึงแขนไว้ เนื่องวิ่งหน้าเลิ่กลั่กเข้ามา
“ไอ้ห่าเชิด หยุดโว้ย นี่คนกันเอง” เนื่องบอก
เชิดมองหน้าเนื่องและนิดอย่างงๆก่อนจะหันไปมองหน้าเสียม เนื่องดึงเสียมให้ลุกขึ้นยืน
“คนกันเอง! ยังไง” เชิดสงสัย
นิดปล่อยแขนเชิด แก้วกับเด็กทะโมน ๒ คนวิ่งมาดูเหตุการณ์ เสียมเอาหลังมือเช็ดเลือดจากปาก
“นี่พี่เสียม เขาอยู่ที่บ้านนิดแม่จ้างเขาไว้” นิดบอก
“อยู่ที่บ้านอย่างงั้นหรือ”
เสียมมองเชิดแล้วฝืนยิ้ม เชิดยังคงตาขวาง
นิดเอาผ้าผืนเล็กมาเช็ดเลือดที่ปากเสียมอาการเหมือนแม่ดูแลลูกน้อยไม่มีความรู้สึกพิเศษแต่อย่างไร นิดหันไปมองค้อนเชิด
“พี่เชิดนะ พี่เชิด ไม่ดูตาม้าตาเรือบ้างเลย”
“โธ่เอ๊ย นายเสียม ตายอย่างงี้คงกินน้ำพริกไม่ได้ไปหลายวันเลยล่ะ” แก้วว่า
“แล้วทำไมมาวิ่งไล่กันแบบนี้” เชิดถาม
“เราเล่นกันน่ะซี” นิดบอก
“เล่นอะไรกันวะ โตเป็นวัวเป็นควายแล้ว” เนื่องถาม
“ก็นิดกับแก้วบังคับให้ฉันเล่น” เสียมบอก
“เอ็งนะ ไอ้เสียม สองคนนี้สั่งอะไรเป็นทำตามหมด ยิ่งเอ็งนะนังแก้ว เชอะ มาทำตัวเป็นคุณนาย” เนื่องว่า
“ก็บอกแล้วว่าฉันมันมีวาสนา”
เชิดมองหน้า เสียมพยักหน้าให้
“ฉันขอโทษก็แล้วกัน” เชิดบอก
“ไม่เป็นไร ฉันไม่ถือยินดีที่ได้รู้จัก”
เสียมยิ้มอย่างไม่ติดใจ เชิดมองอย่างจับพิรุธ แก้วเปรย
“ต๊าย ขนาดยินดีนะนี่”
บริเวณชานบ้านนิดในเวลาต่อมา เชิดยื่นห่อกระดาษสีน้ำตาลผูกเชือกให้นิด นิดยิ้มแล้วดึงเชือกแกะห่อออก นิดกับแม่นั่งอยู่ที่ยกพื้นเชิดอยู่ตรงหน้า นิดหยิบเสื้อสีชมพูอ่อนตัวเล็กกะทัดรัดออกจากห่อขึ้นมาคลี่ดู
“เสื้อนี่ให้นิด ผ้าซิ่นนี่ของน้า แล้วก็เสื้อแขนยาวของไอ้เนื่องมัน เสื้ออีกตัวฝากให้นังแก้วด้วย”
นิดเอาเสื้อทาบตัว นางนิ่มคลี่ผ้ามาดูอย่างพอใจ ในห่อยังมีขวดน้ำหอมกับน้ำมันใส่ผม
“แล้วนี่น้ำอบกับน้ำมันใส่ผม” เชิดบอก
“ขอบใจนะจ๊ะพี่เชิด พี่เข้าใจเลือกสีจริง ฉันจะประเดิมใส่วันสงกรานต์ก็แล้วกัน” นิดบอก
“ไม่ต้องขอบใจพี่บ่อยนักหรอก แค่หนเดียวก็ปลื้มใจจะแย่แล้ว”
“นี่ไปลับปากมาจากเมืองจันท์หรือไงจ๊ะ ถึงได้สำบัดสำนวนนัก”
“ลับปากมาจากเมืองจันท์ก็คงไม่เท่าลับปากมาจากเมืองกรุงกระมัง”
เชิดปรายตามองไปทางหน้าบ้าน เนื่องกับเสียมกำลังตากอวนอยู่ นิดขมวดคิ้ว
“พี่เชิดพูดอะไรหมายถึงพี่เสียมเหรอ”
“พี่ไม่เข้าใจเลย ทำไมถึงได้ไว้อกไว้ใจถึงกับให้อยู่บนเรือนขนาดนี้ นี่ไม่กลัวบ้างหรือ”
นิดอมยิ้มแล้วบอก
“เขาไม่ใช่เสือไม่ใช่ฉลามนี่จ๊ะ ถึงจะได้กลัว”
นางนิ่มมองค้อนลูกสาวแล้วพยักเพยิดกับเชิด
“แต่คนบางคนน่ะร้ายกว่าเสือกว่าฉลามเสียอีกนะ”
“ไม่รู้ซีจ๊ะ สำหรับฉันพี่เสียมน่ะไว้ใจได้” นิดบอก
“ที่พ่อเชิดพูดมา น้าก็เกรงอยู่ไม่ได้วางใจไปซะหมดหรอก” นางนิ่มบอก
“อ้าว แม่ ทีวันก่อนแม่ยังชมอยู่เลยว่าพี่เสียมทำงานดี ขยัน แล้วก็เรียบร้อย” นิดแย้ง
นางนิ่มนั่งทำตาปริบๆ
“ก็จริง แต่ยังไงก็ไม่เชื่อใจเท่าเชิด”
“ไม่เอาแล้ว หนูไปทำกับข้าวดีกว่า” นิดบอก
นิดลุกเดินไปครัวด้วยอาการเหมือนไม่พอใจนัก เพียงเท่านั้นเชิดก็มีอาการร้อนใจมองตามนิดหายเข้าครัวไป แต่นิดกลับโผล่หน้ามาอีกครั้งแล้วถาม
“พี่เชิดอยากกินอะไรล่ะจะทำให้เป็นพิเศษเลย”
เชิดยิ้มตาเป็นประกาย นางนิ่มมองดูอย่างสังเกต
นางนิ่ม เนื่อง นิดและเสียมล้อมวงกันกินข้าวเย็นที่บริเวณชานเรือนโดยตั้งสำรับไว้บนยกพื้น แสงตะเกียงสว่างวอมแวม นางนิ่มวางช้อนลงแล้วยกขันน้ำขึ้นดื่ม เมื่อลดขันลงก็เห็นเสียมมองตาเป๋งอยู่
“แม่นิ่มครับ ฉันมีเรื่องจะปรึกษา”
“อะไรหรือพ่อเสียม”
นิดกับเนื่องมองตากันอย่างงงๆ
“ที่ของแม่นิ่มที่จริงยาวไปถึงเชิงเขา แต่ทิ้งไว้เฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรฉันว่าเราน่าจะขยายสวนผักออกไป”
“จะไหวหรือน้ำท่าเรามีน้อย” นางยิ้มว่า
“น้ำในบ่อเรายังมีพอจ้ะ แล้วนี่ก็ใกล้จะฝนแล้วยิ่งกว่าพออีก” เสียมบอก
“ไอ้เสียมเอ๊ยหาเหาใส่หัวอีกแล้ว” เนื่องบอก
นิดหยิกเนื่องแล้วยิ้มให้เสียมอย่างสนับสนุน
“ลองดูซิ พ่อเสียม”
วันรุ่งขึ้นเวลากลางวันที่บริเวณไร่ผักเชิงเขา
ที่บริเวณเชิงเขามีไม้เล็ก ไม้พุ่มและวัชพืชรกเรื้อ เสียมถือจอบขุดตอไม้ขึ้นมา รอบกายมีวัชพืชที่ถูกถางมากองรวมกัน เนื่องลากกิ่งไม้ใหญ่มือละกิ่งเดินเซซังไป นิดเดินถือขันน้ำมาให้ เนื่องทิ้งกิ่งไม้ลงรอกินน้ำ แต่นิดแกล้งเดินเลยเอาไปให้เสียมกินก่อน เนื่องเท้าสะเอวตาคว่ำ แก้วโผล่มาส่งขันลอยกลีบกุหลาบ เนื่องมองหน้าแก้วทำนองว่า เอ็งบ้าหรือเปล่า แก้วยิ้มหวาน
เชิงเขาเตียนโล่งมีร่มไม้พวกทับทิมเป็นระยะ สรรค์ขุดดินยกแปลงผักอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย เนื่องขุดดินอยู่อีกทาง จนที่เชิงเขากลายเป็นแปลงผัก ร่องผักมากมายหลายแปลง เสียมกับนิดหยอดเมล็ดพันธุ์ลง แปลงผัก เนื่องยืนมองแล้วหันไปนินทากับแก้ว
“ไอ้เสียมนี่ ก่อนมาเป็นกุลีคงเคยอยู่กับเจ็กสวนผักมาก่อนเป็นแน่”
อีกหลายคืนต่อมา นางนิ่มบิน้อยหน่ากินแล้วคายเมล็ดใส่มือ เสียมมองตาเป๋งจ้องอยู่
“แม่นิ่มครับ”
“ว่าไงจ๊ะ พ่อมหาจำเริญ”
“อีกหน่อยผักก็จะเริ่มงอก ฉันกลัวว่าพวกไก่จะมาเที่ยวคุ้ยเขี่ย เล้าไก่เรามันแค่เอาไม้มาปักๆ กั้นๆ กันอะไรไม่ค่อยได้ ฉันอยากทำเล้าไก่ใหม่ให้เป็นเรื่องเป็นราว”
เนื่องกับนิดนั่งฟังทำตาปริบๆ เนื่องถอนใจเฮือก
“ไอ้เสียม เอ็งจะหาเรื่องเหนื่อยไปถึงไหน” เนื่องถาม
“ฉันอยากได้ไม้กับลวดตาข่ายมาทำกรงให้ถูกแบบ” เสียมบอก
“มันต้องใช้เงินเยอะนะเสียม รอไว้ให้มีเงินก่อนดีกว่า” นางนิ่มบอก
“งั้นฉันจะหาไม้ไผ่มาซ่อมเล้าให้มันแน่นหนากว่าเดิม”
นางนิ่มพยักหน้า นิดมองดูเสียมอย่างเชื่อมั่น
วันรุ่งขึ้น เล้าไก่ใต้ถุนบ้านถูกทำความสะอาดจนหมดจด แล้วกั้นเล้าใหม่ดูแน่นหนาแข็งแรง ไก่ที่เสียมคัดไว้มีแต่ตัวที่งดงามแข็งแรง สรรค์แยกไก่กลุ่มหนึ่งออกมาเอาสุ่มครอบไว้ ห่างออกมา เนื่องยืนดูอยู่กับนิด
“พี่ว่าไอ้เจ้าเสียม...ก่อนมาอยู่กับเจ็กสวนผัก คงอยู่กับพวกเลี้ยงไก่มาก่อน”
นิดอมยิ้ม มองเสียมด้วยแววตาชื่นชม
ยามค่ำคืน ภัตตาคารหยาดสวรรค์มีนักท่องเที่ยวเพียบตามเคย บนเวทีบรรดานักเต้นแต่งตัววับแวม เต้นกันอย่างเร้าใจ บรรดานักเที่ยวทั้งหนุ่มและเฒ่าเป่าปากร้องเชียร์กัน
บุญมาดื่มมาแล้วพอสมควรและกำลังอยู่ในอาการมึนๆและมองดูเวทีอย่างเซ็งๆ บุญมาจะเดินไปห้องน้ำก็เห็นร่างหนึ่งเดินอยู่ตรงหน้า สวมเสื้อนอก กางเกง รองเท้า ชุดเดียวกับสรรค์ใส่ในวันที่เจอกันครั้งสุดท้ายจนดูละม้ายคล้ายสรรค์มาก
“ไอ้สรรค์” บุญมาเรียก
บุญมาเร่งฝีเท้าไปจนทันแล้วจับไหล่
“เฮ้ย กลับมาจากเวียงพิงค์แล้วหรือวะ”
ร่างนั้นยืนตัวแข็งทื่อ บุญมาแปลกใจจึงดึงให้หันมาปรากฏว่าเป็นคงซึ่งใส่เสื้อเชิ้ตตัวอื่นที่ไม่ใช่เสื้อสรรค์ คงอึกอักเล็กน้อยแล้วยิ้มกลบเกลื่อน
“มีอะไรหรือคุณ” คงถาม
“ขอโทษด้วย ผมเข้าใจผิดคิดว่าคุณเป็นเพื่อนผม คุณแต่งตัวเหมือนเพื่อนผมมาก”
คงมีพิรุธแวบหนึ่ง บุญมามองดูคงหัวจรดเท้าอีกทีแล้วก้มหัวให้ก่อนจะเดินจากไป คงถอนใจเฮือก ทันใดนั้น มีมือหนึ่งดึงคงหัวทิ่มไปในมุมมืดของภัตตาคาร คงร้องอุทานมองดูเห็นสินจับคอเสื้ออยู่และมองอย่างเอาเรื่อง
“พี่สิน”
“กูบอกมึงแล้วใช่ไหมให้ระวัง แล้วก็อย่าเสือกโผล่หัวมาที่นี่อีก”
คงพยักหน้ารับคำ
บริเวณหน้าบ้านนิดในเวลากลางวัน แก้วแต่งตัวสวยกว่าทุกวันเดินมาเห็นเนื่องกับเสียม ถือไม้กวาดทางมะพร้าวยืนอยู่หน้าบ้านก็วางท่าเดินเข้าไป
“พี่เนื่อง นายเสียม”
เนื่องหันมาทางแก้วแล้วยิ้มร่าจนแก้วไม่เชื่อสายตา
“ดีจังเลยที่เอ็งมา” เนื่องบอก
“พี่เนื่องดีใจที่ฉันมา ฉันหูฝาดไปหรือเปล่า”
“เออว่ะ มะรืนนี้ก็วันตรุษแล้ว ข้าว่าจะล้างบ้านเอาฤกษ์เอาชัยซะหน่อย เอ็งมาก็ดีแล้วจะได้ช่วยกัน เอ้า”
เนื่องส่งไม้กวาดให้ แก้วรับมาอย่างงงๆ แล้วถึงนึกออก
“อ้อ ดีใจเพราะอยากได้คนช่วยกวาดถูบ้านเหรอ”
“ก็เออน่ะซี”
นางนิ่มกับนิดโผล่มาที่ระเบียง เอาไม้ตีที่นอนไล่ฝุ่น
“อ้าว แก้ว เร็วมาช่วยกัน” นางนิ่มบอก
“โฮ้ย น้านิ่ม ปีใหม่น่ะมันผ่านมาเป็นสิบวันแล้ว จะมาเอาฤกษ์อะไรตอนนี้”
“ช่างปะไรก็บ้านนี้ถือแบบเก่านี่” นิดบอก
แก้วสะบัดหน้าพรืด เสียมดึงไม้กวาดมา
“เอาไม้กวาดมานี่เถอะ เดี๋ยวพี่ทำเอง” เสียมบอก
“ต๊าย พี่เสียม พี่ใจดี”
เสียมยื่นถังกับกระดวง (๑) ให้แก้ว
“แก้วเป็นผู้หญิงเอากระดวงไปล้างครัวเถอะ”
แก้วหน้าหงิกมองเนื่องและเสียมอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ นางนิ่มกับนิดหัวเราะชอบใจ
บ้านสะอาดเอี่ยมตั้งแต่บ่ายสองโมง นางนิ่ม นิด เสียม เนื่องและแก้วนั่งล้อมวงกินข้าวกลางวันกัน แก้วนั้นมีหยากไย่บนหัว หน้ากับเสื้อตัวสวยเปื้อนดินหม้อ แก้วกินข้าวอย่างกระปลกกระเปลี้ย นางนิ่มกินน้ำแล้วเงยหน้าเห็นเสียมมองจ้องตาเป๋งก็สะดุ้งแทบสำลัก
“ว่าไงจ๊ะ พ่อคุณ”
“เอ่อ คือฉัน...”
เนื่องรีบดักคอ
“ไอ้เสียม นี่เอ็งจะหางานอะไรมาทำอีก”
นิดอมยิ้มแล้วบอก
“อย่าไปฟังพี่เนื่องเลย พี่อยากทำอะไรหรือจ๊ะ”
“ฉันอยากขอจัดบ้านใหม่”
“หา! อะไรนะ” นางนิ่มร้องขึ้น
“จัดบ้านใหม่!” นิดกับแก้วพูดขึ้นพร้อมกัน
เสียมจัดมุมหนึ่งเป็นมุมกึ่งนั่งเล่นกึ่งรับแขก เอาเก้าอี้รับแขกวางแล้วปูเสื่อผืนใหญ่ วางหมอนอิง ปูผ้าปูโต๊ะ เนื่อง นิด แก้วช่วยกันวุ่น
เสียมทำมุมหนึ่งเป็นมุมหนังสือ เอาชั้นต่อใหม่วาง ขนหนังสือเล่มหนาที่กระจัดกระจายตามห้องต่างๆ มารวมกัน เนื่องดันหนังสือตกใส่หัวแก้ว
เสียมจัดมุมหนึ่งเป็นมุมกินข้าว เอาโตกที่มีอยู่มาวาง เอาพวกน้ำ ถ้วยชามมาจัดไว้ทางด้านนี้ นางนิ่มยืนตาลายอยู่
เสียมยกกระถางไม้ดอกไม้หลายใบมาแต่งนอกชานเรือน เนื่อง นิด แก้วช่วยออกความเห็นว่าจะวางตรงไหน จนเสียมแทบโยนกระถางทิ้ง ฯลฯ
เสียมเอาโหลแก้วปักดอกไม้พื้นบ้านจนแน่นและวางลงบนโต๊ะรับแขก แล้วถอยออกมาดูทางด้านหลัง นางนิ่ม เนื่อง นิด แก้วมองดูอย่างไม่เชื่อสายตา ที่เบื้องหน้า...บ้านราวถูกเมกโอเวอร์ด้วยฝีมือมัณฑนากร
“ต๊าย ยังกะบ้านคนกรุง” แก้วบอก
“สวยกว่าบ้านนายด่านอีก” นิดว่า
เนื่องเกาหัวแกรกแล้วแกล้งพูด
“เฮ่ย ข้าว่าโล่งๆ เหมือนแต่ก่อนดีกว่า”
“พี่เนื่องนี่แหละ ของดีว่าเน่าขี้เต่าว่าหอม” แก้วว่า
“พี่เสียมเก่งจัง”
“นี่พ่อเสียม วันสองวันนี่อย่าเพิ่งลุกขึ้นทำอะไรอีกเลยนะ ฉันเหนื่อยแทน” นางนิ่มว่า
เสียมยิ้มภูมิใจ นิดหันไปหาเนื่อง
“ว่าไงจ๊ะ พี่เนื่อง”
“ก่อนเอ็งไปอยู่กับพวกเลี้ยงไก่ เอ็งคงเคยทำงานบ้านฝรั่งมาก่อนใช่ไหมวะ เสียม”
นิดมองยิ้มๆ เป็นเชิงถามแต่เสียมโคลงศีรษะ...ไม่รู้เหมือนกัน
ยามค่ำคืน แสงตะเกียงส่องสว่างไปทั่วเรือนที่จัดใหม่ เสียมพลิกหนังสือดูอยู่ที่หน้าชั้นวางหนังสือ นิดอยู่ใกล้ๆ
“เออ ที่นี่มีหนังสือดีๆ เยอะแยะเลย” เสียมบอก
เสียมเอาหนังสือเข้าชั้นแล้วไล่นิ้วไป มันเป็นหนังสือพวกวรรณคดีเล่มหนาหลายเล่ม เสียมหยิบอีกเล่มมาดู
“มีหนังสือภาษาอังกฤษด้วยตั้งหลายเล่ม”
“ของพ่อน่ะจ้ะ พ่อนิดเคยรับราชการ แต่โดนดุล (๒) ตั้งแต่ก่อนเปลี่ยนการปกครอง พ่อถึงพาพวกเรามาทำไร่หาปลาที่สีชังนี่ ว่าแต่ว่า...”
นิดหยิบหนังสือนิทานภาษาอังกฤษมา ๑ เล่ม
“พี่เสียมอ่านออกใช่ไหม”
เสียมมองหน้าปกแล้วอ่านอย่างคล่องแคล่ว
“สำเนียงอย่างกับฝรั่ง พี่เสียมคงเรียนสูงน่าดู แล้วทำไมถึงได้มาเป็นกุลีเรือโป๊ะ” นิดถาม
“พี่...พี่ เอ่อ...”
เสียมอึกอักไม่อยากโกหก แต่ก็ไม่อยากบอกว่าจำอะไรไม่ได้ นางนิ่มเข้ามาพอดี
“พ่อเสียม”
เสียมดีใจที่นางนิ่มเข้ามาขัดจังหวะ
“อะไรจ๊ะ”
นางนิ่มส่งธนบัตรราว ๕ บาทให้เสียม
“ค่าแรง ที่พ่อเสียมช่วยทำอะไรต่ออะไรตั้งมากมาย”
“ฉันรับไมได้หรอกจ้ะแม่นิ่ม แค่ให้อยู่ให้กินก็เกรงใจแย่แล้ว”
นิดคว้าเงินมายัดใส่มือให้
“ถ้าพี่ไม่ยอมรับเงิน ฉันก็จะให้แม่เลิกจ้างพี่”
นิดเชิดหน้ายื่นคำขาด เสียมถอนใจ
มีเสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้นที่บ้านชูวงศ์ในเวลาสาย บุญมายืนอยู่ที่ไชต์บอร์ดวางโทรศัพท์ แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
“ฮัลโหล…..อ้าว คุณอา ... หรือครับ…..ครับ ได้ครับ”
บ้านโพธิธาราในเวลากลางคืน รถของบุญมาแล่นมาจอดลงตรงหน้าเทอเรซ
“อะไรนะครับ เจ้าสรรค์ไม่ได้ขึ้นไปเชียงใหม่”
ที่สวนนั่งเล่น พระชาญชลาศัยนั่งอยู่ที่โซฟาเดี่ยว บุญมานั่งอยู่บนโซฟายาวกับแม่ผิน พระชาญชลาศัยมีสีหน้ากังวล แต่แม่ผินถึงขั้นซับน้ำตาเป็นระยะ
“ทางเชียงใหม่แจ้งมาที่กระทรวงตั้งแต่สัปดาห์ก่อน แล้วไม่รู้ทำอะไรอยู่ เพิ่งจะมาถามอาเมื่อวานนี้เอง”
“มื่อวันที่สอง เจ้าสรรค์กินข้าวกับผมบอกว่าจะเดินทางวันรุ่งขึ้น” บุญมาบอก
“นั่นแหละค่ะ คุณหนูกลับมาบ้านแล้วเกิดเรื่องกับ...”
ผินชะงักคำแล้วมองค้อนไปทางบันได เห็นมารศรีเดินลงมาพอดี ผินสะบัดหน้าใส่ มารศรีชะงักเท้าทันที
“กับคุณนายหยาดสวรรค์ เธอก็เลยขนของออกจากบ้านไปเลยว่าจะไปค้างกับคุณคืนนึง”
“ไม่นะครับ…..เจ้าสรรค์ไม่ได้ไป” บุญมายืนยัน
“งั้นเกิดอะไรขึ้น”
ผินน้ำตาไหลพร่างพรู
“หรือว่าคุณหนูน้อยอกน้อยใจคุณพระก็เลยหนีไปเลยคะ”
มารศรีเม้มปากครุ่นคิด
พระชาญชลาศัยอ้ำอึ้ง แต่บุญมาส่ายหัวดิก
“โธ่ แม่ผิน นี่ไม่ใช่เรื่องประโลมโลกย์นะครับ เจ้าสรรค์น่ะมันบ้างานจะตาย มันไม่มีวันทิ้งงานหายตัวไปเฉยๆเป็นแน่”
“โธ่ แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ละคะ”
“ผมว่าคุณอาควรจะแจ้งความแล้วละครับ” บุญมาแนะนำ
“อาไม่แน่ใจ”
“ยังจะรออะไรอีกละคะ คุณพระ” ผินว่า
“นั่นน่ะซีครับ”
“อาว่า...เจ้าคุณกีรติกับหนูสุ คงไม่อยากให้มีข่าวอื้อฉาว”
มารศรีหน้าตามีกังวลแล้วเดินกลับขึ้นไปชั้นบน พระชาญชลาศัยมองตามด้วยสีหน้าที่มีแววรู้สึกผิด
ในเวลาเช้า
ตลาดหน้าด่านเป็นห้องแถวไม้ราว ๑๐ ห้องตั้งประจันหน้ากันอยู่ ๒ ฝั่งบนถนนแคบๆ มีร้านข้าวสาร ร้านของชำ ร้านกาแฟ ร้านขายเสื้อผ้าที่นอนหมอนมุ้ง ฯลฯ ถ้าเป็นเวลาเช้าก็จะมีชาวบ้านมาตั้งหาบขายพวกผัก ปลาสด และของทะเลอื่นๆ บนถนน
บรรดาลูกค้าจะได้แก่พวกข้าราชการที่ด่านภาษี ตำรวจ ทหารที่ประจำการ พวกฝรั่งและจีนที่มากับเรือสินค้า รวมทั้งพวกชาวกรุงที่มาพักฟื้นหรือมาเที่ยวตากอากาศ แต่ก็มีชาวเกาะสีชังเองบ้างประปราย
ที่ร้านของชำของยายแส ขายบรรดาของชำ ของแห้ง ของเค็ม กะปิ น้ำปลา ไข่ไก่ ไข่เป็ด ฯลฯ ที่มุมหนึ่งถูกกันเป็นแผงขายของสวยๆ งามๆ เช่น แป้งฝรั่ง ลิปสติก น้ำหอม เข็มขัด เข็มกลัด กำไล ริบบิ้นผูกผม เป็นต้น เจ้าของแผงยืนหันหลังอยู่ แล้วหันขวับมาเห็นผมดัดหยิกฟูทั้งหัว หน้าขาว คิ้วโก่ง ทาปากแดงฉาดฉาน แถมใส่เสื้อคอลึก โสร่งสีแสบตา ดูสะสวยแบบร้อนๆ ร้องขายของเสียงหวาน
“มาเร้ว มาเร็ว ของใหม่ๆ ล่าสุดจากเมืองกรุง แป้งฝรั่ง สีทาปาก น้ำอบตุ๊กตาเงิน เข็มขัดวิทยาศาสตร์ไม่ลอกไม่ดำจ้า”
ข้างอ่างกะปิที่พูนสูง ๒ - ๓ อ่างมีร่างอ้วนใหญ่นั่งอยู่ ใบหน้ามีเค้าทับทิม แถมยังแต่งตัวคล้ายกัน แต่ขยายขนาดขึ้นราว ๕เท่ากำลังมองค้อนลูกสาวจนตากลับ
“อีทับทิม นะ อีทับทิม แทนที่จะช่วยข้าขายของ ดันมาขายของแต่งตัว คนกรุงที่เขามาเที่ยวน่ะ เขาไม่ชายตาแลหรอกของแบบนี้ ส่วนไอ้คนสีชังน่ะ จะมีปัญญาซื้อของเอ็งหรือ” นางแสว่า
“น้อยไปซิแม่ นังพวกคนกรุงน่ะ ขอให้มีของขายเถอะมันซื้อทั้งนั้นแหละ ส่วนนังพวกสีชังน่ะ มันยอมอดข้าวสิบวันเอาเงินมาซื้อแป้งฉันมาแล้ว อีกหน่อยพอฉันมีเงินมีทอง ฉันจะย้ายเข้ากรุงเทพหาผัวชาวกรุงเทพมาให้แม่กราบ เอ๊ย มากราบแม่”
“วุ้ย นังกระต่ายหมายจันทร์ เอาเข้าจริง ข้าก็เห็นเอ็งเที่ยวให้ท่าให้ทางเขาไปหมดทั้งเกาะ”
“แหม ฉันก็แค่หว่านเสน่ห์เล่นๆ ผู้ชายบนเกาะนี่มีแต่พวกหาปลาตัวดำเป็นเหนี่ยง ฉันกระเดือกไม่ลงหรอกแ...”
ทับทิมมองเลยไปแล้วพูดไม่ออก นางแสสะดุ้ง
“นี่เอ็งเป็นอะไร” นางแสถาม
นางแสมองตามสายตา เห็นเสียมเดินมากับนิดก็ถึงบางอ้อ นิดพาเสียมมาหยุดดูของ ทับทิมใจเต้นแย้มยิ้ม พูดหวานกว่าปรกติเท่าหนึ่งตัว
“นิด มาเลือกดูเลยจ้ะ เชิญค่ะ คุณ...คุณนี่ใครกันจ๊ะ ดูแปลกหน้า ไม่เคยเห็นมาก่อน” ทับทิมถาม
“นี่พี่เสียม พักอยู่บ้านฉัน”
นิดเลือกดูโบว์ กิ๊บติดผม ไม่ได้สังเกตทับทิมที่ยิ้มหยาดเยิ้ม ยายแสก็ทำท่าต้อนรับ
“ต๊าย ชื่อแปลก หน้าตาท่าทางดี เป็นชาวกรุงสิท่า” ทับทิมถาม
“จ้ะ”
“ญาติฝ่ายพ่อเอ็งล่ะซี” นางแสว่า
แก้วโผล่ตามมารู้เช่นเห็นชาติสองแม่ลูก
“ต๊ายป้าแส่ ป้านี่แส่สมชื่อจริง”
“กูชื่อแส ไม่ใช่แส่อีแก้ว...ไงจ๊ะพ่อ เป็นข้าราชการจากกรุงเทพมาเที่ยวตากอากาศล่ะซี”
เสียมยังไม่ทันตอบ แก้วก็ยิ้มหยาดเยิ้มตอบแทน
“เปล่าจ้ะ เขาเป็นกุลีขนข้าวสารน่ะป้า”
ทับทิมสีหน้าเปลี่ยนไป ความชื่นชมลดลงไปกว่าครึ่ง แต่ยายแสคว้ากระป๋องนมมาบ้วนน้ำหมากปริ๊ด
“กุลี! ถุย”
“ฉันเบื่อขนข้าวลงเรือก็เลยว่ายน้ำมาสีชัง บ้านนิดเลยจ้างฉันไว้ช่วยงาน”
“จ้ะ ดีจ้ะ” ทับทิมบอก
แก้วทำเป็นเพิ่งเห็นแล้วทัก
“ต๊าย นังทับทิม หัวเอ็งเป็นอะไร”
“ต๊ายนังหลังเขา เขาเรียกคลื่นถาวรย่ะ ข้าไปดัดมาจากเมืองชล ค่าดัดหัวละตั้งสิบห้าบาท ดู ดู มักกะสิน (๓) นี่ มยุรี นางสาวสยามปีก่อนก็ดัด”
ทับทิมหยิบนิตยสารหน้าปก มยุรี วิชัยวัฒนะ (๔) มาเทียบกับหน้าตัวเอง แก้วทำท่าแหยะ
ที่ร้านขายผ้า แก้วกับนิดเข้าไปเลือกอยู่นานสองนาน เสียมแอบย่องกลับมาแผงทับทิมอีก ทับทิมตาวาวนึกเข้าข้างตัวเอง
“อุ๊ย มาอีกแล้ว ติดใจอะไรหรือจ๊ะเสียม ของหรือว่าคน”
“ของจ้ะ”
ทับทิมเกือบด่า แต่พอมองหน้าสรรค์ก็ด่าไม่ลง สรรค์หยิบกิ๊บติดผมที่นิดลูบคลำอยู่นานสองนานขึ้นมา
“ต๊าย พี่นี่ตาถึง ราคากันเองไม่แพงหรอกจ้ะ”
นิดเลือกเสื้อให้เสียม ส่วนแก้วก็ดูนั่นนี่ นิดเงยหน้าขึ้นเพิ่งรู้ว่าเสียมหายไป
“อ้าว พี่เสียมหายไปไหน”
มีนายตำรวจ ยศพันตำรวจตรีเดินมาท่าทางใจดีอายุราว ๔๕ ปี เดินมากับพลตำรวจคนสนิท คือหลวงพิจารณ์สันติราษฎร์ สารวัตรตำรวจประจำเกาะสีชังกับเจ้าอ้นลูกน้อง
“กลางวันนี้กินอะไรดีวะ” หลวงพิจารณ์ถาม
หลวงพิจารณ์เมื่อเห็นนิดก็หยุดทัก
“อ้าว หนูนิด”
“คุณอาหลวง”
ทับทิมส่งห่อกระดาษให้ เสียมยื่นมือไปรับ ทับทิมยิ้มยวนยั่ว
“นี่จ้ะ ของ”
ทับทิมกุมมือสรรค์ เสียมมีอาการงงๆ ทับทิมทำสะเทิ้นอาย ยายแสมองส่งสายตามองลูกสาวมาอย่างเซ็งๆ
“เฮ่ย นี่อะไรกัน” แม้นโพล่งขึ้น
ทับทิมสะดุ้งเฮือก เห็นไอ้แม้นหนุ่มนักเลงชาวเกาะยืนจังก้าอยู่ จึงรีบดึงมือกลับมาทันที
“แหม พี่แม้นทำเอาฉันตกอกตกใจ”
เสียมเก็บห่อกระดาษ แม้นมองสรรค์ตาขวาง
“แล้วไอ้นี่เป็นใคร ทำไมถึงมาจับมือถือแขนเอ็ง” แม้นถาม
“ฉันเปล่า” เสียมบอก
นิดกับแก้วเดินกลับมาดู
“ฉันว่าคงเป็นนังทับทิมมากกว่าที่ไปจับมือถือแขนนายเสียม” แก้วบอก
“เออ ข้าก็ว่างั้น” แสว่า
ทับทิมค้อนขวับ ทำเป็นโกรธกลบเกลื่อน
“พี่แม้น อย่ามาเรื่องมากนะ” ทับทิมบอก
“ไอ้นี่มันเป็นใคร ผิวบางท่าทางสำรวยเป็นพวกชาวกรุง ทำไมถึงข้ามถิ่นมาแถวนี้” แม้นถาม
เสียมมองหน้าแม้น แม้นขยับไปใกล้
“ฉันเป็นคนแปลกถิ่นมา ไม่อยากมีเรื่องมีราวกับใคร” เสียมบอก
“พี่แม้น พี่เสียมเป็นคนบ้านฉัน ไม่ใช่คนอื่นคนไกลอะไรที่ไหน อย่ามาหาเรื่องเลย พี่เสียมกลับเถอะ”
เสียมมองแม้นอย่างไม่เกรงแต่ก็อ่อนลง
“จ้ะ”
เสียมหันไป แม้นกระแทกจนเสียมเซไป นิดร้องอุทาน ทับทิม นางแสร้อง เสียมหันขวับมา ผลักอกแม้นอย่างแรง แม้นเซไป แก้วพลันยื่นขามาขัด แม้นร้องอุทานหัวทิ่มไปทางร้าน ทุกคนตะลึง ยายแสร้องสุดเสียง
“แหก!”
เสียมกับนิดยืนอึ้ง แก้วหน้าเบ้ขยับมารวมกลุ่ม ชาวบ้าน แม่ค้าเริ่มมามุงดูชี้ชมกัน นางแสตบอกผาง
แม้นหัวทิ่มไปติดตรึงในอ่างกะปิ ทับทิมรีบมาดึงแขนช่วย ไอ้แม้นหลุดออกมาได้ หัวหูหน้าอกเสื้อเปื้อนกะปิ โกรธจนตัวสั่น ไทยมุงหัวเราะกันคิกคัก ชี้ชวนกันดู
“ไอ้คนกรุง มึง”
แม้นโผเข้าหา เสียมตั้งท่ารับ ทันใดแม้นก็หน้าเปลี่ยนท่าทีชะงักกึกกลายเป็นยิ้มแห้งๆเมื่อหลวงพิจารณ์สันติราษฎร์ก้าวมากับพลตำรวจเพื่อมองดูเหตุการณ์ เสียมขยับถอยไปหานิดและแก้ว
“มีอะไรกัน” หลวงพิจารณ์ถาม
“เปล่าจ้า สารวัตร” แม้นบอก
“นี่เอ็งกำลังจะชกกันใช่ไหมนี่”
“โธ่ เปล่าจ้า คนกันเองล้อกันเล่นเท่านั้น”
แม้นเดินเข้าไปโอบไหล่เสียมที่ฝืนยิ้มให้ หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์ทำเป็นเชื่อ
“เออ รู้เอาไว้ บนเกาะนี้ใครมีเรื่องมีราวกัน ข้าจะจับนอนมุ้งสายบัวให้เข็ด”
เสียมขยับออกจากแม้น นิดเกาะแขนไว้ แก้วทำท่าเหม็นกะปิ แม้นตาเขียวแต่ก็ยังทำพินอบพิเทา ทับทิมยิ้มหวาน ยายแสลงมาดูอ่างกะปิพลางบ่น “บ้า”
“เออ ข้านึกออกแล้ว กลางวันนี้กินข้าวคลุกกะปิก็แล้วกัน” หลวงพิจารณ์บอก
ติดตามอ่านสาวน้อย ตอนที่ ๔ (จบตอน) เวลา ๑๗.oo น.
หมายเหตุ - ผู้เรียบเรียง
๑. กระดวง - เพี้ยนมาจาก กราดวง คือ มะพร้าวทุยผ่าครึ่งลูกเป็นอุปกรณ์พื้นบ้านสำหรับขัดถูพื้นให้สะอาด
๒. โดนดุล - ในสมัยรัชกาลที่ ๗ เกิดปัญหาเรื่องงบประมาณแผ่นดินขึ้นในประเทศไทย ทำให้เกิดศัพท์ใหม่ คือ "โดนดุล" กล่าวคือ มีการปลดข้าราชการออกเพื่อให้งบประมาณแผ่นดินได้ดุลงบประมาณ
๓. มักกะสิน หมายถึง แมกกาซีน
๔. มยุรี วิชัยวัฒนะ (นางสาวสยามคนที่ ๔ – พ.ศ. ๒๔๘๐) การจัดประกวดเฉลิมฉลองงานรัฐธรรมนูญในปีนั้นไม่มีตำแหน่งรอง และเนื่องจากยังไม่มีข้อกำหนดไว้ว่า ผู้ที่ได้รับตำแหน่งแล้วจะไม่สามารถเข้าประกวดได้อีก และในปีนี้การจัดงานค่อนข้างกระชั้นชิด มีผู้สนใจสมัครประกวดกันน้อย คณะราษฎร์จึงได้ขอให้ “วณี เลาหเกียรติ" นางสาวสยาม พ.ศ. 2478 และ “วงเดือน ภูมิรัตน์" นางสาวสยาม พ.ศ. 2479 เข้าร่วมประกวดด้วยอีกครั้ง ด้วยคำขอของคณะราษฎร์ที่ว่า เพื่อเป็นการช่วยชาติ แต่เป็นการร่วมประกวดเพื่อสร้างความบันเทิงให้กับงานเท่านั้นจะไม่ได้รับตำแหน่งอีก
สาวน้อย ตอนที่ ๔ (ต่อ)
บริเวณชายทะเล ใต้ต้นน้อยหน่าในเวลาต่อมา ผม หน้า แขนและตามเสื้อของเสียมมีรอยเปียกเพราะเพิ่งไปล้างทำความสะอาดมา นิดทำท่าสูดกลิ่นอยู่ใกล้ๆแล้วทำหน้าเบ้
“ยังไม่หมดกลิ่นกะปิเลย” นิดบอก
“โชคดี ที่ไอ้นี่ไม่เหม็นไปด้วย” เสียมบอก
เสียมหยิบห่อกระดาษมาส่งให้นิด
“อะไรน่ะ พี่เสียม”
นิดแกะห่อกระดาษดูเห็นกิ๊บติดผมสองอัน
“ที่ติดผม พี่ซื้อให้นิดกับแก้ว นิดเลือกก่อนก็แล้วกัน” เสียมบอก
“ตาย เงินน่ะแม่ให้พี่เอาไปซื้อเสื้อใหม่ พี่เอามาซื้อของนี่ทำไม นังทับทิมมันโก่งราคาจะตายไป”
“ก็พี่เห็นนิดชอบ”
“ถึงชอบก็ไม่ได้แปลว่าอยากได้นี่จ๊ะ พี่เสียมสมัยอยู่กรุงเทพใช้เงินไม่คิดหน้าคิดหลังแบบนี้บ่อยๆ หรือจ๊ะ”
เสียมนิ่งอึ้งไปจนนิดผิดสังเกต นิดมองราวกับมีคำถาม เสียมตัดสินใจพูด
“นิด พี่มีเรื่องอยากจะสารภาพ”
“อะไรกันจ๊ะ พี่เสียม”
“พี่จำความที่ผ่านมาไม่ได้เลยว่าเป็นใครอยู่ที่ไหน จำไม่ได้แม้แต่ชื่อตัวเอง ชื่อเสียม จีนในเรือโป๊ะคนนึงก็เป็นคนตั้งให้”
“มิน่าเล่า พี่ถึงอึกๆ อักๆ เสมอเวลาใครถาม แล้วพี่จำย้อนไปได้แค่ไหน”
“ก็แค่ก่อนมาลงเรือโป๊ะ เช้านึงพี่ตื่นขึ้นมาในพงหญ้า ไม่รู้จะไปทางไหน ก็เลยเดินตามพวกจีนมาลงเรือโป๊ะ แล้วเรื่องก็เป็นอย่างที่นิดรู้นั่นแหละ”
นิดนิ่งคิดแล้วทำตาโต
“ฉันจำได้แล้ว วันที่ฉัน...เอ้อ พี่เนื่องช่วยพี่มาจากน้ำ พี่มีแผลที่ท้ายทอย พี่คงโดนใครตีหัวจนสมองกระทบกระเทือน”
“แต่แปลกที่พี่จำเรื่องทำสวนผัก ทำปุ๋ยคอก เรื่องเลี้ยงไก่ได้”
“พี่เสียมอย่าห่วงไปเลย ซักวันพี่เสียมก็จะจำได้ว่าเป็นใคร มาจากไหน ชื่อจริงชื่ออะไร”
“แต่พี่ก็จะยังเป็นพี่เสียมของนิดอยู่ตลอดไป”
เสียมมองนิดอย่างผูกพันเหมือนน้อง นิดยิ้มรื่นเริงเอากิ๊บขึ้นมาดู
“พี่เสียมว่าอันไหนสวยกว่ากัน” นิดถาม
เสียมหยิบขึ้นมาอันหนึ่ง
“พี่ติดให้ฉันซี”
เสียมติดกิ๊บให้นิด
ที่มุมหนึ่งเชิดกับเนื่องแบกแหมา เชิดชะงักกึกหน้าตึงขึ้นทันที เนื่องมองดูน้องสาวแล้วดูเพื่อนก่อนพูดกลบเกลื่อน
“นังนิดมันใช้เจ้าเสียมทำอะไรอีกแล้ว ยังดีนะ แต่ก่อนข้าต้องเอาหวีเสนียดสางเหาให้มันด้วยซ้ำ”
“เอ็งเป็นพี่แท้ๆ แต่ไอ้นี่...มันพเนจรมาจากไหนก็ไม่รู้” เชิดบอก
เย็นวันเดียวกัน ธนานั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศ นพเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“ธนา นี่ จะบอกอะไรให้ .. เมื่อบ่ายนี้ฉันไปพบยายอนงค์กับยายระตี”
ธนาวางปากกาแล้วหัวเราะขำ
“ขอแสดงความเสียใจกับแกด้วย”
นพพลอยขำไปด้วยแล้วนั่งลงพลางบอก
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกน่ะ แม่สองคนนั้นเค้าเล่าให้ฉันฟัง ว่าตอนนี้คุณสุวลีกำลัง sad มาก”
ธนามีท่าทีสนใจทันที
“งั้นเหรอ”
“ยายระตีเล่าว่า เจ้าสรรค์เดินทางไปราชการที่เชียงใหม่ แล้วหายหัวไปเลยไม่ติดต่อ ไม่มีข่าวคราว คุณสุวลีเลยน้อยใจใหญ่” นพบอก
ธนาลุกขึ้นยิ้มอย่างชอบใจ
“แต่ฉันได้ข่าวว่า ทางบ้านพระชาญฯ กำลังสืบหากันให้วุ่น ว่าลูกชายหายไปไหน .. นี่เท่ากับทุกคนช่วยกันปิดบังสุวลี” ธนาบอก
“ทำไม? เพื่ออะไร?”
ธนายิ้มร้ายแล้วบอก
“จะเพื่ออะไรก็ช่าง แต่ยิ่งปิดกันเท่าไหร่มันก็ยิ่งเป็นผลดีกับฉันเท่านั้น”
พูดจบ ธนาก็คว้าเสื้อสูท ทำท่าเหมือนจะไปข้างนอก
“อ้าว แล้วนี่แกจะไปไหน” นพถาม
“เมื่อสุภาพสตรีมีความทุกข์ มันก็เป็นหน้าที่ของสุภาพบุรุษ ที่จะปลอบใจเธอ .. จริงไหม”
ธนาเดินตัวปลิวออกไป นพหัวเราะชอบใจ
ร้านกาแฟหรูแบบยุโรปในเวลาเย็น ภายในร้านถูกจัดอย่างสวยงาม มีชุดน้ำชาและขนมเค้กชิ้นเล็กๆ อนงค์กับระตีกินอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนสุวลีนั่งวางท่านิ่ง ธนาคอยดูแลอยู่ข้างๆ
“ต้องขอบพระคุณคุณธนามากนะคะ ที่กรุณาพาพวกเรามาดื่มน้ำชา” อนงค์พูดเสียงหวาน
“ความจริง เราก็ไม่ได้เห็นแก่รับประทานนะคะ ที่ต้องตามมาเพราะเกรงว่าคนจะมองยายสุในแง่ไม่ดี” รตีบอก
สุวลีชักสีหน้าทักชื่อเตือน
“ระตี”
ระตีหงอลงฉับพลัน อนงค์สมน้ำหน้า ธนายิ้มละไม
“ผมก็แค่มาดูแลคุณสุวลีตามวิสัยเพื่อนที่ดีเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเวลาที่เพื่อนมีเรื่องร้อนใจ” ธนาว่า
สุวลีทำท่าเย่อหยิ่งแล้วบอก
“อย่างสุน่ะหรือคะ มีเรื่องร้อนใจ”
“ผมได้ข่าวว่า คุณสรรค์ไปเชียงใหม่แล้วหายเงียบไปเป็นเดือนไม่ติดต่อส่งข่าวมาเลย เอ .. ขนาดนี้ คุณสุไม่ร้อนใจบ้างเลยหรือครับ”
สุวลีวางหน้านิ่งขึงแต่เสียหน้าอย่างแรง
บรรยากาศเกาะสีชัง ยามเช้าวันใหม่
นิดกำลังนั่งหวีผมอยู่ที่หน้ากระจกเงา นิดสวมเสื้อของฝากของเชิด แก้วนั่งแกะเม็ดบานเย็นอยู่ใกล้ๆ
ในเม็ดบานเย็นมีแป้งขาวเท่าหัวไม้ขีด แก้วแกะเอามารวมในถ้วยเล็ก นิดเหลือบดูอย่างไม่สนใจเพราะเห็นอยู่บ่อยๆ เมื่อเอากิ๊บที่เสียมซื้อให้ติดผมแล้วก็หันไปถามแก้ว
“สวยไหม”
“สวยดี”
นิดส่งกิ๊บอีกตัวให้แก้ว แก้วตาโตรีบรับมา
“อุ๊ย มีของฉันด้วยหรือ ขอบใจนะ”
“ไปขอบใจคนซื้อให้ซี”
“พี่เนื่องเหรอ”
นิดส่ายหน้า แก้วสีหน้าสลดลง
“พี่เชิดล่ะซี” แก้วทาย
“เปล่า”
“แล้วใครซื้อมาให้ อย่าบอกนะว่านายเสียม”
“ก็พี่เสียมน่ะซี”
แก้วยักไหล่ หยิบเอาดอกอัญชันขยี้ทาคิ้ว
“ฮึ คงอยากซื้อให้เธอคนเดียวแหละ แต่ให้ฉันด้วยเป็นการกลบเกลื่อน” แก้วบอก
“ดี! เดี๋ยวฉันจะบอกพี่เสียมว่าเธอว่ายังงี้”
“บ้าเหรอ ขืนบอกยังงั้นคราวหน้าฉันก็อดซี”
แก้วเริ่มเอาแป้งจากเม็ดบานเย็นมาทาหน้า
นางนิ่มนั่งอยู่นอกชานพร้อมปิ่นโต ๒เถาใหญ่ ในตะกร้ามีไข่ไก่และในถาดมีกำดอกไม้ธูปเทียนหลายกำวางไว้ เนื่องและเสียมแต่งตัวหล่อเป็นพิเศษ เชิดโผล่ขึ้นบันไดมาด้วยหน้าตาสดใส
“อ้อ พ่อเชิดมาแล้วหรือ” นางนิ่มบอก
“จะไปกันหรือยังละน้า” เชิดถาม
“รอแม่สองสาวนั่นอยู่”
เนื่องตะโกนเรียก
“เฮ้ย เว้ย จะแต่งกันไปถึงไหน พระเจ้าหิวข้าวกันแล้ว”
นิดเปิดประตูห้องและก้าวออกมา แก้วเดินตามหลังโดยมีนิดบังไว้ เชิดและเสียมมองดูอย่างชื่นชม
“สวยจริงลูก นิด”
“แล้วฉันละน้า”
แก้วขยับออกมาเห็นหน้าขาววอก คิ้วดำปื๋อ นางนิ่มสะดุ้ง เสียมกับเชิดอึ้ง เนื่องอ้าปากค้าง
“อย่าให้น้าตอบเลย นังแก้ว”
“สวยไหม พี่เนื่อง” แก้วถาม
“นังแก้ว นี่มันงานบุญสงกรานต์นะ ไม่ใช่งานชิงเปรต” เนื่องบอก
แก้วตาเขียวค้อนขวับ นิดยิ้มให้เชิด เชิดมองเสื้อ เสียมมองกิ๊บติดผม
“เสื้อใส่พอดีไหมนิด”
“พอดีจ้ะ พี่เชิด”
“แต่ของฉันน่ะคับไปรัดหน้าอกหน้าใจฉันแบนหมด”
“มันแบนอยู่แล้วหรือแบนเพราะเสื้อ” เนื่องถาม
“อย่ามาทำเป็นพูดดี วันตรุษทั้งที พี่เชิดซื้อเสื้อให้ฉัน นายเสียมก็ซื้อกิ๊บให้ฉัน แต่พี่น่ะให้อะไรฉันบ้าง”
“เอ็งไม่ใช่แม่ข้านี่หว่า” เนื่องบอก
“ข้าเป็นแม่ มันก็ไม่เห็นให้เหมือนกัน”
เนื่องกอดแขนแม่ทำประจบ
เชิดมองดูกิ๊บติดผมแก้วแล้วเบนสายตามาที่กิ๊บติดผมนิด
“ที่ติดผมสวยดีนะนิด”
นิดยิ้ม เชิดปรายตามองเสียม
วัดเชิงหาด บนเกาะสีชังไม่ใหญ่โตนัก มีพระพุทธรูปองค์ขนาดย่อมตั้งอยู่กลางลาน มีการประดับธงทิวสีต่างๆ ตามมีตามเกิด ชาวสีชังทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ หนุ่มสาว คนเฒ่าคนแก่เดินกันขวักไขว่ ทุกคนดูรื่นเริงสดใส
บริเวณลานพระพุทธรูปกลางแจ้ง สรรค์ นิด เนื่อง แก้ว และเชิดปักธูปอธิษฐานแล้วเดินคุยกันออกมา
“พี่เชิด ขออะไรหลวงพ่อ” นิดถาม
“พี่ขอให้พี่สมหวังทั้งเรื่องงาน เรื่องเงิน”
“ไม่มีเรื่องอื่นเหรอ” แก้วพูดล้อ
“เรื่องอื่นคงต้องขอจากเจ้าตัว ขอหลวงพ่อคงไม่ได้”
เชิดตอบแบบซ่อนนัย ตาเหลือบมองนิด นิดหันไปทางเสียม
“แล้ว พี่เสียมล่ะจ๊ะ ขออะไรหลวงพ่อ”
“พี่ขอให้พวกเราทุกคนอยู่เย็นเป็นสุข”
“เอ็งน่าจะขอให้จำความหลังได้จะได้กลับบ้านกลับช่องไปซะที” เชิดบอก
เชิดพูดอย่างไม่แยแส เสียมมองหน้าแล้วพูดขึ้น
“ต่อให้ฉันจำได้ ฉันก็คงไม่ไปไหน ฉันรู้สึกว่าสีชังคือบ้านของฉัน”
เนื่องรีบพูดกลบเกลื่อน
“แล้วนังแก้วล่ะ ขออะไร”
แก้วทำตาหวานแล้วบอก
“ขอให้...มีคนรักฉันบ้างไง”
แก้วพูดเป็นนัย แต่เนื่องไม่รู้เรื่อง เช่นเดียวกับนิดที่ไม่รู้ความนัยของเชิด
“ปู้โธ่ มาขออะไรกับพระกับเจ้า ท่านไม่มาหาคู่ให้เอ็งหรอก” เนื่องบอก
“ฉันก็แกล้งพูดไปยังงั้น ฉันแค่ขอให้หมดทุกข์หมดโศกเท่านั้นแหละ”
“แก้วมีทุกข์มีโศกอะไรด้วยหรือ” เสียมถาม
ขาดคำ เสียงตาฟูก็ดังอ้อแอ้ขึ้น ฟังน้ำเสียงก็รู้ว่า ดื่มจัดและเมาหนัก
“อีแก้ว หายหัวไปไหนมาแต่เช้า”
ทุกคนหันไปมอง นางใบแม่ของแก้วเดินมากับตาฟูผัวใหม่ที่เด็กกว่าเล็กน้อย ท่าทางเมาตลอดศกไม่ทำงานทำการ แก้วหน้าตึงขึ้นทันทีแล้วบอก
“ไม่ได้หายไปกินเหล้าก็แล้วกัน”
ตาฟูตาเขียวพูดอย่างคนลิ้นไก่สั้น
“เอ็งว่าใครหา นังแก้วว่าข้าเหรอ” ตาฟูถาม
“ใครมันกินเหล้ามาเข้าวัดฉันก็ว่าคนนั้นแหละ” แก้วย้อน
“นังนี่”
“นังแก้วอย่ามาทำปากดีกับพ่อเขานัก” นางใบบอก
“พ่ออะไร มันเป็นผัวแม่ แต่มันไม่ใช่พ่อฉันซักหน่อย”
“นังแก้ว!” เสียงนางใบตวาดดัง
แม้นางใบจะเสียงเขียวแต่ก็ไม่กล้าทำอะไรเพราะอายคน นิดบีบมือแก้วเพื่อเตือน แก้วอ่อนลง
“แม่ก็แค่อยากรู้ว่าเอ็งไปไหนมาแต่เช้า”
“ฉันไปแต่งตัวบ้านนิด”
“แล้วไปกวนคนอื่นเขาทำไม ทำไมไม่แต่งที่บ้านเรา”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ป้า” นิดบอก
“อยากรู้เหรอว่าทำไมก็แต่งที่บ้านมีหมามันแอบดูฉันน่ะซี”
นางใบตกใจ ตาฟูเริ่มมีพิรุธ นิด เนื่อง เสียม เชิด ตกใจมองหน้ากัน
“ใคร” นางใบถาม
“ก็หมาไง หมาตัวไหนมันทำแล้วไม่รับ ขอให้มันตายโหง”
นางใบตกใจ ตาฟูเต้นเร่าปรี่เข้าหาแก้ว นางใบรีบมาขวางไว้ แต่ตาฟูจิกผมนางใบเหวี่ยงไป แก้วถลันเข้าตบตาฟูฉาดหนึ่ง ตาฟูเข้ามาหาแก้ว แต่เสียม เชิด เนื่องเข้ามาขวางไว้
“ตาฟู นี่มันในวัดในวานะ” เนื่องบอก
เสียงเนื่องดุ ตั้งท่าปกป้องแก้วเต็มที่ เชิดร่วมด้วย ตาฟูคอหดรีบดึงนางใบหลบไป
แก้วป้ายน้ำตา นิดกุมมืออย่างปลอบใจ แก้วมองเนื่องอย่างชื่นชม แล้วทำทะเล้นเหมือนเดิม
“เห็นไหม พระท่านให้ฉันสมหวังแล้ว พี่เนื่อง”
เนื่องยังไม่เข้าใจอยู่ดี แต่นิดมองแก้วและเริ่มรู้ทัน
บริเวณศาลาการเปรียญ มีบรรดาอุบาสิกามาช่วยกันจัดแจกันดอกไม้ นางใบ นางนิ่ม และยายแสนั่งอยู่มุมหนึ่ง
“นี่แม่นิ่ม เดี๋ยวนี้แม่ร่ำรวยมากหรือจ๊ะ ถึงขั้นมีลูกจ้างลูกออนมาทำงานด้วย”
แม่นิ่มยิ้มเย็นๆ ทำเป็นไม่รู้เท่า
“ก็ไม่เท่าไรหรอก แต่ว่าที่ทางมันถูกทิ้งไว้เฉยๆ ฉันก็เลยอยากขยายสวนผักแล้วก็ว่าจะเลี้ยงไก่เพิ่มด้วย” นางนิ่มว่า
“วุ้ย แล้วจะไปขายใคร คนซื้อมันก็เจ้าประจำฉันทั้งนั้น” แสว่า
“ก็คงต้องดูกันไปล่ะจ้ะ”
“นี่แม่แสอย่ามาประมาทไป ตั้งแต่แม่นิ่มเขาได้ลูกจ้างคนนี้มา ทั้งสวนทั้งบ้านงามผิดหูผิดตาไปเลย” นางใบว่า
ยายแสชูคางสูงแล้วบอก
“ไม่ว่ายังไงก็คบคนจรนอนหมอนหมิ่น เฮ้อ ยิ่งแม่นิดก็ยิ่งเป็นสาวขึ้นทุกวัน”
“นี่แม่แสหมายความว่ายังไง” นางนิ่มถาม
“ไม่ว่ายังไงหรอก ก็แค่เตือนๆ ไว้ โบราณว่ามีลูกสาวเหมือนมีเว็จอยู่หน้าบ้าน จะเหม็นเน่าฉาวโฉ่ขึ้นมาเมื่อไรก็ไม่รู้ได้”
นางนิ่มเริ่มอารมณ์เสีย
“ฉันน่ะยังเคราะห์ดีที่นังทับทิมลูกสาวฉันน่ะใฝ่สูงรู้รักนวลสงวนตัว” นางแสว่า
บริเวณชายหาดในเวลาต่อมา ทับทิมดัดผมหยิกฟูกว่าเดิม สวมเสื้อขาวตัวเล็กรัดเปรี๊ยะ โสร่งสีฉูดฉาด ยืนระทวยพิงต้นไม้เอามือทาบอกแหงนหน้าหัวเราะระริก ตรงหน้ามีไอ้แม้นและลูกสมุน ๒ คนกำลังพูดจาเกี้ยวพาอย่างเอาเป็นเอาตาย
“แหม พี่แม้น อย่ามาพูดเลย ทับทิมไม่เชื่อหรอก”
“โธ่ จริงนะทับทิม ถ้าพี่โป้ปดขอให้ฟ้าฝ่า”
มีเสียงฟ้าร้องครืนมาจากทะเล แม้นคอหดยิ้มกะเรี่ยกะราด ทับทิมมองค้อนแล้วเห็นเสียมก้าวออกมาดูทะเล ทับทิมมองดูแม้นและพวก สมองคิดปราดทันที
“โอย พี่แม้น ฉันคอแห้งจัง” ทับทิมว่า
แม้นมองดูลูกน้องแล้วบอก
“ไปเร็ว ไปเอาน้ำมาให้ทับทิม”
“พี่แม้นนั่นแหละไป ไปทั้งสามคนเลย ใครเอามาเร็วกว่าคนอื่น ฉันมีรางวัลให้”
แม้นกับลูกน้องรีบไปทันที แม้นตวาดลูกน้องดังเข้ามา ทับทิมทำหน้ารังเกียจแล้วเดินยักสะโพกไปหาเสียม
แก้วกับสองเด็กทะลึ่งมาก่อเจดีย์ทรายรูปทรงเป็นเต้านม 2 เต้าอยู่ใกล้ๆ นิดยืนทำหน้าเรี่ย เสียมหันมาเห็นทับทิม
“พี่เสียม ว้าย”
ทับทิมแกล้งทำสะดุดเข้าไปซบที่อ้อมอกเสียม เสียมรีบประคองไว้ นิดและแก้วหันมาดู แก้วตาวาว เสียมดันร่างทับทิมออกห่าง
“ขอบใจจ้ะ พี่เสียม ไม่งั้นฉันลงไปวัดพื้นเป็นแน่”
“ไม่เป็นไร”
แก้วกับนิดเดินเข้ามาพร้อมขันใส่น้ำใบใหญ่ เด็กทะลึ่ง ๒ คนก็ถือถังตามมาด้วย ห่างออกไปก็มีหนุ่มสาวอีก ๔ – ๕ คนถือขันใบใหญ่เดินมาตามทาาง
“ต๊าย นังทับทิม ช่างกล้านะยะ” แก้วว่า
“กล้าอะไรของแก”
“ก็กล้าใส่เสื้อขาวมาเล่นสงกรานต์น่ะซี”
“ทำไม ฉันใส่แล้วมันเป็นยังไง”
“ก็เป็นอย่างงี้น่ะซี”
แก้วเอาน้ำสาดทับทิม ทับทิมร้องวี้ดว้ายปัดป้อง นิดสาดซ้ำตามด้วย 2 เด็กทะลึ่งเข้ารุมสาด พอดีกับกลุ่มหนุ่มสาวเดินมาถึงพอดี เกิดการสาดน้ำเป็นพัลวัน บางคนก็สาดด้วยน้ำผสมดินสอพอง บ้างก็ผสมขมิ้น ทุกต่างจากสนุกสนานด้วยการละเลงหน้ากันไปมา
นิดสาดน้ำเสียม เสียมละเลงหน้านิด ทับทิมเมื่อถูกรุมก็ร้องวี้ดๆ แก้วโดนขันฟาดหัว สองเด็กทะลึ่งดึงโสร่งทับทิมเป็นพัลวัน
แม้นกับสมุนถือมะพร้าวอ่อนกับขันน้ำวิ่งมา วงเล่นสาดน้ำหยุดลงทุกคนแยกตัวออกจากกลุ่ม ทับทิมยกสองมือป้องกันตัว เนื้อตัวเปียกตั้งแต่หัวจรดเท้ากำลังร้องฮือๆ ผมที่ดัดฟูข้างหนึ่งมีแป้งดินสอพองเกาะอยู่ ด้านหนึ่งเปียกลู่
“ทับทิม เอ็งเป็นอะไร” แม้นถาม
“ฮือ พี่แม้นช่วยด้วย”
แม้นเดินเข้าไปใกล้ ทับทิมลดมือลง แม้นตกตะลึงพรึงเพริด สมุน ๒ คนเบิกตาโพลง
“เฮ้ย”
ทับทิมก้มมองตัวเองเห็นที่อกเสื้อขาวมีรอยมือสีเหลืองประทับไว้บนเสื้อทั้ง ๒ เต้า ทับทิมร้องวี้ด
“ทับทิม! ใครจับนมเอ็ง” แม้นถาม
“ฉันไม่รู้”
“ที่ตูดก็มีพี่แม้น” สมุนคนหนึ่งบอก
ทับทิมบิดสะโพกดูเห็นรอยมือสีเหลืองประทับไว้อีก ทับทิมร้องอีกวี้ด แม้นแค้นสาหัส
“มือใหญ่ขนาดนี้ ต้องมือผู้ชาย หมาตัวไหนวะ” แม้นถาม
บรรดาผู้ชาย ๒ คนในกลุ่มที่มาร่วมสาดน้ำยกมือหราโชว์จนเห็นมือขาวสะอาด
“ฉันเปล่านะ / ไม่ใช่ฉัน พี่”
“ต๊าย อย่างงี้ต้องจับมือดม” แก้วบอก
“ใช่ ฉันใส่น้ำอบฝรั่งมา” ทับทิมบอก
“ไม่ใช่ อย่างเอ็งต้องมีกลิ่นคาวมากกว่า”
ชาย ๒ คนเผลอยกมือตัวเองดม ทับทิมร้องกรี๊ด แม้นกวาดสายตามองเห็นเสียมยืนกับนิดที่เปื้อนดินสอพองนิดหน่อย
“ต้องเอ็งแน่ๆ ไอ้คนกรุง”
“ฉันไม่เกี่ยว” เสียมบอก
“พี่เสียมอยู่กับฉัน ไม่ได้เข้าใกล้ทับทิมสักหน่อย” นิดว่า
“ข้าไม่เชื่อ ต้องเป็นเอ็งแน่ๆ เมื่อวานก็จับมือ”
เด็กทะโมนทั้ง ๒ คนเริ่มใส่ไฟ
“เมื่อกี๊ก็กอดกัน พี่แม้น”
“จริงๆ นะพี่ ฉันเห็นกับตา”
เสียมสะดุ้งร้องขึ้น
“เฮ้ย ไม่จริง”
“ไอ้โกหก ต้องเป็นมึงแน่ๆ เมื่อวานจับมือ วันนี้จับ...”
ทับทิมร้องวี้ดเสริมยกมือปิดหน้า แม้นโผเข้าชกทันที เสียมหลบอย่างฉับไว บรรดาผู้คนเริ่มแตกฮือออกมาเป็นไทยมุง แม้นชกอีก เสียมหลบได้อีกแล้วชกสวน แม้นหัวทิ่มแล้วคำรามโผเข้าหาเสียมคลุกวงในกัน
นิดจะเข้าช่วยแต่แก้วกันไว้
แม้นต่อย เสียมสวนอีก แม้นถอยไปก้นกระแทก ตาวาวลุกขึ้น เสียมขยับตั้งหลักถอยไปเข้ามือสมุน ๒ คนที่ล็อกเสียมไว้ แม้นพุ่งเข้าต่อยเสียมได้หลายหมัด
“ไอ้พวกหมาหมู่” แก้วบอก
นิดเข้าไปเอาขันโขกหัวสมุนคนหนึ่ง มันผลักนิดล้มไป แก้วกระโดดถีบโดนปัดล้มอีกคน แม้นชกเสียมเข้าเต็มท้องจนเสียมทรุดลง แม้นก้าวเข้าหาเสียม ร่างหนึ่งถลันมาเตะสวนเข้าเต็มหน้า แม้นหงายผลึ่ง เชิดยืนตระหง่าน เสียมตะกายลุก เนื่องเข้าฉุดมือให้ลุกขึ้น จากนั้นก็กลายเป็นสามต่อสาม บรรดาไทยมุงร้องเฮ เด็กทะลึ่ง ๒ คนตีขันตีดังเชียร์ นิดทุกข์ใจแต่แก้วสนุก
“พี่เสียม”
“ว้าย พี่เนื่องโดนเต็มหน้าเลย”
เสียงนกหวีดเป่ายาว มวย ๓ คู่หยุดชะงัก หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์เข้ามากับลูกน้อง
“หยุดโว้ย หยุด...ไอ้พวกนี้ งานตรุษ งานบุญก็ไม่เว้น”
หลวงพิจารณ์หน้าเคร่งยืนคู่กับทับทิม แก้ว นิดกับพวกผู้หญิงและเด็ก ๒ คนยืนอยู่ทางหนึ่ง ส่วนเสียม เนื่อง เชิด แม้น และลูกสมุน ๒ คนมีแผลฟกช้ำพอประมาณ และชายหนุ่มอีก ๒ คนยืนอยู่ตรงหน้า มีอ้น พลตำรวจยืนคุมเชิงอยู่
“พวกเอ็งจะสารภาพไหมว่าใครเป็นคน...ง่า...จับ...หน้าอกนังทับทิม”
แก้วยกมือ แต่หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์หันไปหาแม้นและสมุนแล้วถาม
“พวกเอ็งใช่ไหม ไอ้แม้น”
“อยาก ฉันก็อยากอยู่ล่ะจ้ะ”
แม้นเผลอพูด ทับทิมร้องวี้ด
“แต่ว่าฉันมาไม่ทัน เขาจับกันไปแล้ว”
หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์มองเนื่องกับเชิดแล้วถาม
“หรือว่าเอ็งสองคน”
“โธ่ คุณหลวง ฉันสองคนยิ่งมาทีหลังใหญ่เลย” เนื่องบอก
“งั้นใคร”
แก้วยกมืออีก หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์ตาเขียว
“เอ็งอย่าสอด นังแก้ว ว่ายังไงนังทับทิม”
“ตอนชุลมุนก็มีไอ้สองคนนี้กับพี่เสียมเท่านั้นล่ะจ้ะ” ทับทิมบอก
เสียมเกาหัว หนุ่มร่วมคณะสาดน้ำ ๒ คนถึงกับหน้าซีด
“ไม่ใช่ฉัน”
หนุ่ม ๒ คนบอก
“ฉันก็เปล่า / ฉันเปล่านะ สารวัตร”
“มือมันทั้งใหญ่ ทั้งสาก เหมือนพวกกุลี แล้วมันก็...บีบ”
ทับทิมเริ่มจินตนาการ มองไปทางเสียม หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์มีอาการโกรธ
“ไม่มีใครสารภาพใช่ไหม ดี ข้าจะได้ต้อนไปเข้าตะรางให้หมด”
แก้วยกมืออีก หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์ยิ่งโกรธจัด
“นี่เอ็งจะหุบปากซักนิดไม่ได้เลยใช่ไหม นังแก้ว เอ้า เอ็งจะพูดอะไรก็พูดมา”
แก้วถอนใจเฮือก แบมือหราเห็นมือเปื้อนขมิ้นเหลืองเป็นคราบ
“ฉันจะบอกคุณหลวงว่า ให้ปล่อยไอ้พวกนี้ไปเถอะจ้ะ”
เนื่อง เสียม เชิด มองมือแก้วแล้วสะดุ้ง หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์ แม้นและลูกน้องมองตาม
“หา! นังแก้ว” หลวงพิจารณ์ร้องขึ้น
ทับทิมมองบ้างแล้วนึกออก
“อีแก้ว ว้าย...มึงเองเหรอ”
แก้วยักคิ้วอย่างกวน
“เออ...แต่ความจริงข้าแค่จับ ไม่ได้บีบซักหน่อย”
ทับทิมร้องกรี๊ดดังลั่นอีก
จบตอนที่ ๔
ติดตามอ่านสาวน้อยตอนต่อไป พรุ่งนี้