xs
xsm
sm
md
lg

เล่ห์ร้อยรัก ตอนที่ 1

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เล่ห์ร้อยรัก ตอนที่ 1
 

ท่ามกลางตึกสูงกลางใจกลางเมืองกรุงเทพฯ แสงแดดยามเช้าส่องมากระทบกับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ซึ่งมีป้ายติดอยู่บนกระเป๋าสำหรับเดิน สักพักเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขึ้น

ธาวินเอื้อมมือไปควานหาโทรศัพท์มือถือซึ่งวางคู่กับแหวนประจำตระกูลซึ่งอยู่บนโต๊ะหัวเตียง ธาวินหยิบโทรศัพท์ขึ้นกดรับสายด้วยน้ำเสียงงัวเงีย
“ฮัลโหล...”
บริเวณล็อบบี้โรงแรมด้านล่าง ปรารภทนายความวัยกลางคนกำลังเดินพูดกับโทรศัพท์อยู่
“สวัสดีครับ คุณภูบดีใช่มั้ยครับ”
บนห้องพักในโรงแรม ธาวินยังนอนพูดด้วยน้ำเสียงงัวเงีย
“ใช่ ผมเอง”
“ผมทนายปรารภนะครับ ที่เรานัดกันไว้”
“ครับ”
“ตอนนี้ผมมาถึงแล้ว รออยู่ลอบบี้ข้างล่างครับ”
ได้ยินดังนั้น ธาวินก็เด้งตัวตื่นขึ้นจากเตียงทันทีด้วยความตกใจ หน้าตาของธาวินยังมีหนวดเครารกอยู่แต่ดูเท่ห์ บนหัวมีบราเซียของผู้หญิงติดอยู่
“ห๊า! อยู่ข้างล่างแล้วเหรอครับ” ธาวินเสียงสูง
“จะให้ผมขึ้นไปหาที่ห้องมั้ยครับ”
ธาวินหันมองสาวสวยผมบลอนซ์ที่นอนอยู่ข้างๆ แล้วบอก
“ไม่ต้องครับ เดี๋ยวผมลงไป”
ธาวินปิดโทรศัพท์ทันทีก่อนจะก้มไปกระซิบข้างหูสาวสวยเป็นภาษาอังกฤษ
“DARING . THE TIME IS OVER . YOU HAVE TO GO NOW”
วินจุ๊บที่แก้มหนึ่งทีแล้วแล้วรีบลุกจากเตียง สาวฝรั่งคนสวยงัวเงียลุกขึ้นมามองตามด้วยสายตางงๆ

ภายในห้องน้ำ วินกำลังอาบน้ำอยู่ใต้ฝักใบอย่างเร่งรีบ แล้วรีบโกนหนวดเครา ให้ใบหน้าสะอาดสะอ้านเกลี้ยงเกลา

ธาวิน หนุ่มหล่อ มาดดีเลือกที่จะสวมสูทลำลองเพื่อพบกับปรารภ และธาวินไม่ลืมที่จะคว้าแหวนประจำตระกูลมาสวม ลองกับทุกนิ้วแต่ใส่ไม่เข้าสักนิ้ว สุดท้ายมาลงเอยที่นิ้วก้อย ธาวินยกนิ้วขึ้นมองแหวนแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย

ในเวลาเดียวกัน … ที่คฤหาสถ์หลังใหญ่โตโอ่อ่า อาณาเขตกว้างขวาง บุญทันในชุดเสื้อยืด กางเกงยีนส์ราคาถูกสะพายเป้โทรมๆใบหนึ่งมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าบ้านที่มีป้ายชื่อสีทองเขียนว่า “วริทธิวรนันท์” บุญทันยืนมองบ้านหลังใหญ่ตรงหน้าเห็นแววตาครุ่นคิดกับเรื่องราวในใจ

นึกย้อนถึงเสียงลึกลับของชายคนหนึ่งที่โทรศัพท์เข้าหาในช่วงเวลากลางคืนเมื่อไม่นานนี้
“ถ้าแกไม่อยากตาย อย่ากลับมาเมืองไทย”

บุญทันยืนมองบ้านตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง ต้นหอมสาวใช้วัยรุ่นของบ้านเดินเออกมาหา
“นายบุญทัน ใช่มั้ย”
“ใช่ครับ”
ทันทีที่ต้นหอมเห็นหน้าบุญทันเท่านั้นก็ทำเป็นสะดุ้ง สะดีดสะดิ้งที่เห็นผู้ชายหน้าตาดี
“อุ๊ย ...”
“ผมมาพบคุณนภา” บุญทันพูดเสียงขรึม
“มาทางนี้เลยจ้ะ พี่รูปหล่อ คุณนภารออยู่”
ต้นหอมเดินนำ บุญทันขยับเป้ขึ้นไหล่แล้วเดินตามไปทันที

บุญทันกวาดสายตามองสำรวจทั่วบ้าน ต้นหอมนำบุญทันเดินเข้าไปในห้องอาหารเพื่อพบนภาหญิงวัยห้าสิบ ที่มีท่าทางเจ้าระเบียบนั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหาร
“นายบุญทันมาแล้วค่ะ คุณนภา” ต้นหอมบอก
บุญทันยกมือไหว้นภา
“สวัสดีครับ”
“เธอรู้นะว่าหน้าที่ประจำของเธอก็คือขับรถให้คุณปู่และนอกเหนือจากนั้นถ้ามีเวลาว่างก็ช่วยล้างรถ ทำสวน พรวนดินด้วย เข้าใจนะ” นภาบอก
“ครับ”
“สำหรับเงินเดือนชั้นให้แปดพัน มีที่พักและอาหารให้สามมื้อ”
“ครับ”
“มีอะไรสงสัยมั้ย”
“ไม่มีครับ”
นภาหันไปสั่งต้นหอม
“ต้นหอมพานายบุญทันไปที่บ้านพักคนงาน”
“ค่ะ”
ต้นหอมพยักหน้าให้บุญทันเดินตามไป ก่อนที่บุญทันจะเดินออกไป ปารมีลูกสาวของนภาเดินสวนเข้ามาพอดี บุญทันเหลือบมองก่อนเดินตามต้นหอมออกไป
“ใครหรือคะแม่”
“คนขับรถคนใหม่ของคุณปู่น่ะลูก”
“ไว้ใจได้รึเปล่าคะ”
“สมัยนี้บอกไม่ได้หรอกลูกว่า ใครไว้ใจได้หรือไม่ได้ มันต้องอยู่กันไปก่อนถึงจะรู้ว่าไว้ใจได้แค่ไหน”
ที่ด้านนอก ระหว่างที่บุญทันเดินตามต้นหอมออกมาได้ลอบมองกลับไปในบ้านอีกครั้ง เห็นนภากับปารมีคุยกันอยู่ บุญทันมองแล้วก็หันกลับเพื่อเดินตามต้นหอมออกไป

ภายในโรงแรม ประตูลิฟท์เปิดออก ธาวินเดินเข้ามาในล็อบบี้เพื่อมองหาปรารภซึ่งนั่งรออยู่มุมหนึ่ง ปรารภมองมาที่ธาวินทั้งสองสบตากัน ปรารภลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินเข้ามาหา
“ขอโทษครับ คุณภูบดีรึเปล่าครับ”
“ใช่ครับ คุณคงเป็น ...”
“ผมปรารภ ทนายของคุณท่าน”
ธาวินยกมือไหว้
“สวัสดีครับ คุณลุงปรารภ ขอโทษทีนะครับที่ตื่นสายไปหน่อย มันเจ็ทแลคน่ะครับ นอนผิดเวลาเลยงง”
“ไม่เป็นไรครับ ยินดีต้อนรับกลับเมืองไทยครับ”
“ขอบคุณครับ”
ปรารภและธาวินเดินมานั่งลงที่เก้าอี้
“ไม่น่าเชื่อนะครับว่า คุณภูจะโตเป็นหนุ่มขนาดนี้ ผมจำได้ว่าเคยไปพบคุณพ่อคุณแม่คุณที่อเมริกาครั้งนึง ตอนนั้นคุณภูแค่ขวบเดียวเอง”
“ครับ” ธาวินฝืนยิ้มตอบสั้นๆ
“น่าเสียดายนะครับคุณพ่อคุณแม่คุณไม่น่าอายุสั้น เลยไม่ได้กลับมาพบคุณท่าน”
“ครับ ถ้าพ่อกับแม่ยังอยู่ท่านก็คงคิดถึงคุณปู่เหมือนกัน”
“แล้วนี่คุณภูจะเข้าไปพบคุณท่านวันนี้เลยมั้ยครับ”
“ผมขอเวลาซักสองสามวันได้มั้ยครับ พอดีผมมีธุระที่ต้องเคลียร์นิดหน่อย”
ปรารภยิ้ม
“ได้ครับ เอาเวลาที่คุณภูสะดวก นี่ถ้าคุณท่านรู้ว่าคุณภูอยู่เมืองไทยแล้ว ท่านต้องดีใจแน่ เดี๋ยววันนี้ผมจะเข้าไปบอกท่าน เอาล่ะครับ ผมไม่รบกวนเวลาคุณภูแล้ว”
ธาวินยกมือไหว้
“สวัสดีครับ”
- ปรารภชะงักทันทีเมื่อมองแหวนที่นิ้วก้อยของธาวินขณะยกมือไหว้
“ผมดีใจนะครับที่แหวนประจำตระกูลยังอยู่ที่คุณ”
“ครับ เป็นแหวนแต่งงานที่คุณพ่อให้คุณแม่ครับ”
“รักษาให้ดีนะครับ มันเป็นแหวนสำคัญที่จะใช้ยืนยันว่าคุณเป็นทายาทของวริทธิวรนันท์”
“ครับ”
หลังปรารภเดินออกไป ธาวินยกแหวนในมือขึ้นมองแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย

โต๊ะอาหารในโรงแรม ธาวินนั่งจิบกาแฟแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นมากด
ภายในห้องพักของบุญทัน โทรศัพท์มือถือวางอยู่บนเตียง เมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น บุญทันมองไปที่จอเห็นชื่อวิน บุญทันรีบกดรับทันที
“ฮัลโหล”
“เป็นไง เรียบร้อยมั้ย” ธาวินถาม
“อืมม์ ชั้นเข้ามาอยู่ในบ้านวริทธิวรนันท์แล้ว แล้วแกล่ะ” บุญทันว่า
“อีกสองวันชั้นถึงจะเข้าไป”
“ดีแล้ว ก่อนแกเข้ามาชั้นว่าเราควรจะเจอกันก่อนนะ จะได้วางแผนให้รัดกุม”
“ดี ชั้นเห็นด้วย”
“งั้นบ่าย ๆ ชั้นจะไปหาแก วันนี้ชั้นยังไม่เริ่มงาน”
“โอเค เดี๋ยวเจอกัน ระวังตัวด้วยล่ะ”
“อืมม์”
บุญทันปิดโทรศัพท์ทันที
ธาวินกดปิดโทรศัพท์ สไลด์หน้าจอiPhoneเปิดหาข่าวที่จะอ่าน จังหวะนั้น ...ใครคนหนึ่งเดินเข้ามานั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้าม ธาวินเงยหน้าขึ้นมองสาวสวยที่สวมแว่นตาดำซึ่งเพิ่งเข้ามานั่ง ธาวินมองจ้อง แต่หญิงสาวนั่งตีหน้าตายทำเหมือนไม่เห็นธาวิน
“เอ่อ ขอโทษนะครับ โต๊ะนี้มีคนนั่งอยู่แล้ว”
ผู้หญิงแปลกหน้านึกว่าธาวินพนักงาน
“ชั้นรู้ไม่ต้องบอกหรอก โต๊ะชั้นเอง เมื่อกี้ชั้นแค่ลุกไปเข้าห้องน้ำ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ คือผมจะบอกว่าคุณนั่งผิดโต๊ะ”
“จะผิดได้ยังไงก็โต๊ะที่สามริมหน้าต่าง อาหารที่ชั้นสั่งก็ยังอยู่บนโต๊ะ”
สาวคนนั้นเอื้อมมือคลำไปบนโต๊ะพบว่า ไม่มีจานอาหารก็เริ่มหน้าเสีย ธาวินมองด้วยความสงสัย
“นี่ คุณแกล้งฉันเหรอ เอาอาหารของฉันไปไว้ไหน”
ธาวินพยายามจ้องมองให้ผ่านแว่นดำ
“ผมจะแกล้งคุณทำไม ผมนั่งของผมอยู่ตรงนี้ตั้งนานแล้ว”
ธาวินนึกว่า สาวแปลกหน้าคนนี้มาอ่อยแขก
“แต่ถ้าคุณอยากนั่งด้วย ผมก็ไม่รังเกียจ”
“จะบ้าเหรอ เอ๊ะ คุณบอกว่าโต๊ะคุณ นี่คุณไม่ใช่พนักงานเสริฟหรอกเหรอ”
“คุณตาบอดหรือครับ มองยังไง ถึงเห็นว่าผมเป็นพนักงานเสริฟ”
สาวแปลกหน้าเสียงสั่น
“เอ่อ ขอโทษค่ะ ชั้น .. ชั้นมองไม่เห็น”
สาวแปลกหน้ารีบลุกขึ้นแล้วหยิบไม้เท้าแบบพับสำหรับคนตาบอดออกมาจะเดินหนี ธาวินตกใจรีบลุกเดินเข้ามาขวางไว้
“เดี๋ยวสิครับ นี่คุณตาบอดจริงๆหรือ”
“แล้วคุณคิดว่าชั้นแกล้งหรือ”
“ผมขอโทษครับ ผมไม่รู้ว่าคุณ”
สาวแปลกหน้าบีบเสียงเศร้าทำเหมือนจะร้องไห้
“ไม่ใช่ความผิดของคุณหรอกค่ะ เป็นความผิดของชั้นเองที่ตาบอด ขอโทษอีกครั้งนะคะ”
สาวแปลกหน้าเดินหนีทันที ธาวินเดินตาม
“เดี๋ยวครับคุณ”
“มีอะไรอีกคะ”
“แล้วนี่คุณจะไปไหนครับ ผมเดินไปส่งดีกว่า”
“ไม่เป็นไรค่ะ ชั้นพักอยู่แถวนี้ ชั้นไปเองดีกว่า”
“ให้ผมเดินไปส่งดีกว่าครับ มาครับ เกาะแขนผม”
“เอ่อ ...”
“ผมเคยเป็นอาสาสมัครดูแลคนตาบอดครับ คุณไว้ใจผมได้มาครับ”
ธาวินคว้ามือสาวแปลกหน้าให้เกาะแขน

“ขอบคุณค่ะ”
 
โปรดติดตามตอนต่อไป


เล่ห์ร้อยรัก ตอนที่ 1 (ต่อ)
 
 
สาวแปลกหน้าเดินเกาะแขนธาวินเดินออกไปที่ทางเดินริมถนน
 

“ชั้นนะเคยถูกแกล้งให้ยืนคุยกับเสาไฟฟ้าอยู่ตั้งนาน กว่าจะรู้ตัวก็อายคนอื่นเค้าแทบแย่”
“จริงหรือครับ มีคนแกล้งคุณแบบนั้นด้วยหรือ”
“ก็จริงสิคะ คิดว่าชั้นโกหกหรือ”
“ไม่ใช่ครับ ผมไม่อยากเชื่อว่าจะมีใครแกล้งผู้หญิงสวยๆอย่างคุณได้ลงคอ”
“น้อยไปล่ะสิ ชั้นถูกแกล้งตั้งแต่เด็กๆแล้ว”
“นี่คุณตาบอดตั้งแต่เกิดเลยหรือครับ”
“ใช่”
“มิน่าคุณถึงเป็นคนแบบนี้”
“แบบนี้น่ะแบบไหน พูดให้ดีนะ”
“ก็แบบ ไม่ไว้ใจคนอื่นไง”
สาวแปลกหน้าทำงอน
“ไม่ต้องส่งแล้ว ฉันไปต่อเองได้ ขอบคุณนะคะ”
สาวแปลกหน้าหยุดเดินปล่อยมือจากแขนธาวินแล้วก้าวลงจะข้ามถนน
ทันใดมอเตอร์ไซด์คันหนึ่งก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว
“ระวัง!” ธาวินร้องขึ้น
มอเตอร์ไซค์เบรกเสียงลั่น ธาวินพุ่งไปรวบตัวกอดสาวแปลกหน้าเอาไว้ได้ทัน ทั้งสองล้มลงกับพื้น
เจ๊อ้อยซึ่งขี่มอเตอร์ไซด์ทำเป็นตะโกนด่าโวยวาย
“ตาบอดรึไง! ข้ามถนนไม่ดูรถรา อยากตายนักใช่มั้ย”
ตาลทำเป็นตกใจ
“เอ่อ ขอโทษค่ะ”
“คุณนั่นแหละขี่รถอย่างนี้ได้ไง ไม่ดูคน ถ้าชนขึ้นมาคุณก็ผิดเต็มๆ ผมว่าคุยกับตำรวจดี
กว่านะ” ธาวินว่า
ธาวินหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นกดเบอร์ เจ๊อ้อยเห็นท่าไม่ดีจึงรีบขี่มอเตอร์ไซด์หนีหายไป ธาวินก้มเก็บไม้เท้าที่หล่นอยู่ให้สาวแปลกหน้า
“คุณเป็นยังไงบ้าง”
ธาวินเหลือบไปเห็นรอยถลอก
“คุณมีแผล”
สาวแปลกหน้าคลำที่แผลแล้วบอก
“ อุ๊ย จริงด้วย ตายแล้วชั้นเป็นเบาหวานด้วย หมอบอกอย่าให้เป็นแผล ชั้นต้องรีบล้างแผลก่อน”
“งั้นเดี๋ยวผมพาคุณไปโรงพยาบาล”
“แค่แผลนิดหน่อยไม่ต้องไปโรงพยาบาลหรอกค่ะ ชั้นแค่รบกวนคุณช่วยทำแผลให้หน่อยได้มั้ยคะ”
“ได้สิครับ ได้ เดี๋ยวผมทำให้คุณเอง เอาอย่างนี้ผมพักอยู่โรงแรมนี้ ไปที่ห้องผมแล้วกันนะครับ”
“ได้ค่ะ”
“มาครับ”
ตาลเกาะแขนธาวินเดินตามไปทันที

ประตูห้องพักในโรงแรมถูกเปิดออก ธาวินประคองสาวแปลกหน้าเข้าไป อีกมือหนึ่งมือถือกล่องปฐมพยาบาลขนาดเล็กเข้ามาด้วย ธาวินพาตาลเข้ามานั่งที่เก้าอี้
“คุณนั่งตรงนี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวผมล้างมือก่อน”
ธาวินเดินเข้าไปในห้องน้ำ สาวแปลกหน้ามองตาม เมื่อเห็นธาวินลับสายตาก็ถอดแว่น ความจริง... เธอไม่ได้ตาบอด สาวแปลกหน้ามองสำรวจทั่วห้องยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

ภายในห้องน้ำ ขณะที่ธาวินกำลังล้างมืออยู่ที่อ่างก็พูดพึมพำว่า
“เสียดายไม่น่าตาบอดเลยสวยซะด้วย”
ธาวินดึงกระดาษเช็ดมือแล้วเดินออก สาวแปลกหน้านั่งใส่แว่นดำอยู่ที่เก้าอี้ตัวเดิม
“มาครับ”
ธาวินลงมานั่งแล้วเปิดกระเป๋าปฐมพยาบาล หยิบแอลกอฮอล์ออกมาเทใส่สำลี
“มันจะแสบหน่อยนะครับ”
“ค่ะ”
วินเช็ดแผลให้ สาวแปลกหน้าเหลือบมองด้วยแววตาเจ้าเล่ห์
“อุ๊ย”
“ผมเป่าให้ครับ...ดีขึ้นมั้ยครับ”
“ค่ะ”
ธาวินหันไปหยิบยาแดง
“นี่คุณพักอยู่คนเดียวเหรอคะ”
“ครับ ผมเพิ่งมาจากต่างประเทศ”
“ประเทศอะไรหรือคะ”
“อเมริกาครับ”
“มาเที่ยวหรือคะ”
“ครับ เที่ยวด้วยมาหาครอบครัวด้วย”
ธาวินใส่ยาเสร็จและปิดพลาสเตอร์ให้
“โอเค เรียบร้อยแล้วครับ”
สาวแปลกหน้ายกมือไหว้ ธาวินจับมือไว้
“ขอบคุณคุณมากนะคะ ไม่ต้องไหว้ผมหรอกครับ”
ธาวินจ้องหน้าสาวตรงหน้า
“ทำไมคุณเงียบไปล่ะคะ”
“รู้มั้ยครับว่าคุณเป็นผู้หญิงที่สวยมาก”
วินถอดแว่นตาของสาวแปลกหน้าออก เธอทำเป็นตาบอดมองนิ่งไปเบื้องหน้า
“คุณอย่าหลอกให้ชั้นดีใจเลยค่ะ”
“ผมพูดจริงนะครับ ตาคุณสวยมาก จมูก ปากคุณก็สวย คุณสวยจนผม ...”
ธาวินเคลื่อนหน้าเข้ามาใกล้มองจ้อง สาวแปลกหน้าเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าวินช้าๆแล้วพลางลูบจากตาผ่านจมูกเรื่อยมาถึงริมฝีปาก
“คุณก็เป็นผู้ชายที่หล่อมากค่ะ”
“จริงรึเปล่าครับ”
“จริงค่ะ”
วินเคลื่อนหน้าเข้ามาจะจูบ อยู่ๆก็หมดสติดับวูบไป สาวแปลกหน้าลุกขึ้นมองแล้วว่า
“ไอ้ผู้ชายชีกอ หนอย .. คิดว่าเราตาบอดจริงกะจะลวนลามเรางั้นหรือ”
สาวแปลกหน้าค้นตามตัววิน หยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา เห็นเงินเป็นปึกก้หยิบไป พร้อมๆกับกวาดทรัพย์สินบนโต๊ะเช่น ไอแพด กล้องถ่ายรูปใส่กระเป๋า จากนั้นก็เดินเข้ามาถอดนาฬิกา แหวนจากนิ้วของธาวิน โยนใส่กระเป๋า
ทันใดนั้น เสียงมือถือของสาวแปลกหน้าก็ดังขึ้น
“ฮัลโหล”
บริเวณตรอกหลังโรงแรม เจ๊อ้อยรออยู่มุมหนึ่งพูดโทรศัพท์
“ว่าไงไอ้ตาล”
“เรียบร้อยแล้วแม่ ไปเดี๋ยวนี้”
ตาล หรือ ชื่อจริงว่า ญาดาสาวนักต้มตุ๋นวิ่งออกไป ขณะที่ธาวินนอนไม่ได้สติ สลบอยู่คาห้อง
ญาดาวิ่งออกมาจากตรอกหลังโรงแรม เจ๊อ้อยสตาร์ทมอเตอร์ไซค์รออยู่ เจ๊อ้อยส่งหมวกกันน๊อคให้ ญาดารับมาใส่แล้วโดดขึ้นรถ เจ๊อ้อยขับออกไปในทันที

ในเวลาต่อมา บุญทันเดินเข้ามาในลอบบี้โรงแรมและกดโทรศัพท์หาธาวินทันที แต่ไม่มีคนรับ
“ไอ้วินมันปิดเครื่องทำไม”
บุญทันตัดสินใจเดินไปที่เคาน์เตอร์เพื่อถามพนักงาน
“ขอโทษครับคุณธาวินพักห้องไหนครับ”
พนักงานสำรวจรายชื่อผู้เข้าพักในจอคอมพิวเตอร์
“ไม่มีนะคะ”
“มีสิครับ เค้าบอกผมเองว่าพักอยู่ที่นี่”
“แต่ดิชั้นเช็กแล้วไม่มีค่ะ หรือว่าเปิดชื่อในนามคนอื่นรึเปล่าคะ”
“อ้อ ใช่ ... ผมลืมไปชื่อ ภูบดี วริทธิวรนันท์ครับ”
พนักงานกดคอมพิวเตอร์ดูอีกที
“ถ้าชื่อภูบดีมีค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
บุญทันเดินออกออกจากเค้าน์เตอร์เพื่อตรงไปยังหอพักของธาวินทันที

บุญทันเดินมาหยุดที่หน้าห้องพักแล้วเคาะประตู ไม่มีเสียงตอบ บุญทันเคาะประตูซ้ำ
“วิน ... ชั้นเอง” บุญทันตะโกนเรียก
บุญทันขยับลูกบิดประตูจึงรู้ว่า ประตูห้องไม่ล็อค บุญทันชะงักเล็กน้อยก่อนจะเปิดประตูเข้าไป

บุญทันเดินเข้ามาข้างในห้อง เห็นธาวินนอนหลับไม่ได้สติอยู่จึงเดินเข้าไปเรียก
“เฮ้ย! ไอ้วิน! ไอ้วิน”
บุญทันเขย่าตัวธาวินจนฟื้น ธาวินรู้สึกตัวค่อยๆลืมตาแต่ยังมึนหัวอยู่
“ไอ้ภู!” ธาวินเรียกบุญทัน

ภายในบ้านเช่า ญาดากำลังนับเงินส่วนแบ่งให้แม่
“นี่ส่วนของแม่หมื่นนึง นี่ของหนู อีกหมื่นนึง แล้วนี่หมื่นห้าเป็นเงินเก็บของเรา”
เจ๊อ้อยมองไปที่ของมีค่าอื่นๆที่วางอยู่ใกล้ๆเช่น โทรศัพท์มือถือ, นาฬิกา, กล้องและอุปกรณ์ถ่ายรูป, ไอแพด เจ๊อ้อยหยิบไอแพดขึ้นมาดูแล้วว่า
“แล้วของพวกนี้ล่ะ ... ข้าขอไอ้แผ่นนี่ได้ป่ะ มันใช้ยังไงวะ”
ญาดาแย่งไอแพดจากมือแม่ทันที
“ของทั้งหมดนี่ หนูจะเอาไปปล่อยพรุ่งนี้ ส่วนเงินที่ได้มาก็จะเก็บเข้ากองกลาง”
“เฮ้ย ไอ้ตาล เอ็งจะเก็บเงินไปทำไมเยอะแยะวะ”
“แล้วแม่ล่ะ แม่จะเอาเงินไปทำไมเยอะแยะ มีเยอะก็ใช้เยอะ”
ญาดาเดินไปหยิบกล่องในลิ้นชักตู้ด้านหลังเพื่อมาใส่เงิน
“นึกๆ แล้วก็อดสงสารนายรูปหล่อคนนั้นเหมือนกันนะ เพิ่งมาจากเมืองนอกแท้ๆ” ญาดาว่า
เจ๊อ้อยฉวยโอกาสที่ญาดาหันหลังให้ แอบฉกแหวนประจำตระกูลใส่กระเป๋าเสื้อตัวเอง
“เอ็งไม่ต้องไปสงสารมันหรอก ท่าทางมันจะเป็นคนมีเงิน ดูดิมีแต่ของใช้แพงๆทั้งนั้น
เราขอแบ่งมาใช้แค่เนี้ย คนรวยมันไม่เดือดร้อนหรอก”
ญาดาเดินกลับมาที่โต๊ะก็รู้ว่ามีของหายไป จึงแบมือออกตรงหน้าแม่
“แม่! เอาแหวนคืนมา”
“แหวนอะไร”
“อย่ามาทำมึนแม่ หนูรู้นะว่าแม่เอาแหวนไป”
เจ๊อ้อยจำใจต้องคืนแหวนให้ญาดาอย่างเสียไม่ได้ ตาลเอาแหวนใส่นิ้วนางซ้าย
“เอ็งจะงกอะไรกับแม่กับเชื้อวะ เหนื่อยก็เหนื่อยมาด้วยกัน”
“แต่เราตกลงกันแล้วไม่ใช่หรือว่า ต้องเก็บเงินไว้ใช้หนี้ หนี้ที่แม่สร้างเอาไว้คนเดียว” ญาดาพูดพลางจ้องหน้าเจ๊อ้อยเขม็ง
“เออ ข้ารู้น่า”
เจ๊อ้อยเถียงไม่ออกได้แต่ทำสีหน้าเซ็งๆ ที่เห็นญาดาถือของทั้งหมดเดินเข้าห้องไป
ญาดาเดินเข้ามาในห้องนอนแล้วเปิดเซฟขนาดเล็ก เอาเงินกองกลางและเงินตัวเองเก็บในเซฟส่วนตัว
“พอเราใช้หนี้ให้แม่หมด เราก็จะได้เปิดร้านของตัวเองซะที”
ญาดาล้มตัวลงนอนอย่างมีความสุข
 
โปรดติดตามตอนต่อไป
 

เล่ห์ร้อยรัก ตอนที่ 1 (ต่อ)
 

ในเวลาต่อมา ภายในห้องสูทของโรงแรม บุญทันหันหน้ามาถามธาวินอย่างซีเรียส

“มันเอาแหวนไปด้วยงั้นหรือ”
“ใช่ ชั้นขอโทษ ชั้นไม่น่าเชื่อใจยัยนั่นเลยนึกว่า เธอตาบอดจริง ๆไม่คิดว่าจะเจอพวกสิบแปดมงกุฎ”
“ถ้างั้นเราต้องแจ้งความไว้ก่อน” บุญทันว่า
“แต่ถ้าเรื่องถึงตำรวจ แผนที่เราวางไว้ทั้งหมดก็ต้องถูกเปิดเผยนะว่าแกคือภูบดี ทายาทของวริทธิวรนันท์ ไม่ใช่ชั้น และที่สำคัญแกจะสืบเรื่องการตายของลุงแกได้ยังไง” ธาวินบอก
“ก็จริงของแก” บุญทันพูดพลางถอนใจ
“แกไม่ต้องห่วง ชั้นรู้ว่าแหวนนั่นมันสำคัญสำหรับแก ชั้นจะตามหายัยแสบนั่นให้เจอแล้วเอาแหวนคืนมาให้ได้”
บุญทันมองหน้าธาวินอย่างหนักใจ

เวลากลางคืน ภายในบ้านวริทธิวรนันท์ พิพัฒน์ชายวัย 70 กว่าเจ้าของบ้านวางแก้วชาลง ทนายปรารภนั่งตรงข้าม
“แน่ใจนะว่าเป็นภูบดี หลานชายของชั้นจริงๆคุณปรารภ” พิพัฒน์ถามขึ้น
“ร้อยเปอร์เซ็นต์ครับท่าน เพราะผมเห็นคุณภูใส่แหวนประจำตระกูลของคุณภูวดลด้วย”
“ชั้นดีใจจริงๆ ที่มันยอมกลับเมืองไทย” พิพัฒน์พูดพลางถอนหายใจแล้วพูดต่อ
“หวังว่ามันจะยกโทษให้ในสิ่งที่ชั้นทำกับพ่อมันนะ”
“เท่าที่ผมคุยกับคุณภู ผมว่าท่าทางแกไม่ได้โกรธแค้นอะไรคุณท่านเลยนะครับ” ปรารภบอก
“แล้วทำไมคุณไม่พาตาภูมาหาชั้นวันนี้เลย”
“คุณภูแกขอเวลาเคลียร์ธุระส่วนตัวสองสามวันครับ”
“ขอบใจมากนะคุณปรารภ เฮ้อ ชั้นจะได้ตายตาหลับซะที”
“งั้นผมลาคุณท่านกลับก่อนนะครับ”
“เชิญ ขอบใจมาก”
ปรารภลุกเดินออก พิพัฒน์มองรูปภูวดลและภาคินลูกชาย
“ภูวดล พ่อขอชดใช้ความผิดทั้งหมดให้กับลูกชายแกนะ”

เช้าวันใหม่ ภายในตึกใหญ่ของบ้านวิริทธิวรนันท์ สาวใช้ยกเครื่องดื่มมาวางให้นภาและปารมีที่นั่งคู่กัน
“คุณปู่เรียกประชุมเรื่องอะไรหรือคะแม่” ปารมีถามขึ้น
“แม่ก็ไม่รู้ แต่หวังว่าท่านจะเรียกพวกเรามาแบ่งมรดกนะ” นภาบอก
เป็นจังหวะเดียวกับที่เอนกและอนุทินเดินเข้ามาพอดี
“ถ้าแบ่งจริงก็ดีสิ บางคนจะได้รู้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ จะได้ไม่ต้องมานั่งรอลมๆแล้งๆ” เอนกพูดแขวะขัดจังหวะขึ้นทันที
นภาชักสีหน้าไม่พอใจแล้วถาม
“พี่เอนกหมายถึงภาหรือคะ”
“แล้วเธอคิดว่าผู้อาศัยอย่างเธอ มีสิทธิ์อะไรในมรดกของตระกูลวริทธิวรนันท์รึเปล่าล่ะ” เอนกย้อนถาม
“แล้วพี่เอนกล่ะคะ พี่ก็เป็นแค่หลานห่างๆ ไม่ได้สืบสายเลือดอะไร โดยตรงจากคุณลุงเหมือนกัน”
“แต่ชั้นก็ได้ชื่อว่าเป็นญาติ ย่อมมีสิทธิ์ในมรดกมากกว่าคนนอกอย่างเธอ”
“แม่คะ หนูว่าอย่าทะเลาะกันเลยค่ะ” ปารมีพูดขึ้น
“ใช่ครับ จะมาทะเลาะกันทำไม ในเมื่อคุณปู่ยังไม่ได้แบ่งอะไรให้ใครเลย” อนุทินว่า
นภามองเอนกอย่างไม่ชอบขี้หน้า พิพัฒน์เดินเข้ามาพอดี
“มากันครบรึยัง”
ปารมีลุกขึ้นไปเลื่อนเก้าอี้ที่หัวโต๊ะให้ปู่พิพัฒน์อย่างเอาใจ
“ขอบใจยัยปา”
พิพัฒน์ลงนั่งแล้วมองด้วยสายตาสำรวจก็ชะงักไป เพราะสมาชิกขาดไปหนึ่งคน พิพัฒน์ถามขึ้น
“อ้าว แล้วยัยเมย์ล่ะ”
มณทกานต์สาววัย 22 แต่งตัวเปรี้ยว เดินเข้ามา
“มาแล้วค่ะ คุณปู่ขา”
มณทกานต์เดินเข้ามาหอมแก้มพิพัฒน์ผู้เป็นปู่ นภามองอย่างหมั่นไส้ ปารมีมองยิ้มเหมือนเอ็นดูกับท่าทางของมณทกานต์
“แกนี่นะ ยัยเมย์ เวลาปู่เรียกประชุมไม่เคยมาก่อนปู่เลย” พิพัฒน์ว่า
“แต่เมย์ก็มาทันไม่ใช่หรือคะ เริ่มประชุมได้เลยค่ะ”
มณทกานต์ลงนั่งข้างอนุทินผู้เป็นพี่ชาย
“ชั้นจะแจ้งให้ทุกคนรู้ว่า ตอนนี้ทนายปรารภได้พบกับภูบดีแล้ว”
สีหน้าของเอนกอึ้งไปพลางเหลือบไปมองหน้าอนุทินซึ่งอึ้งไปแพ้กัน ฝ่ายนภาก็มีอาการเดียวกัน ฝ่ายปารมีชะงักเล็กน้อย มีเพียงมณทกานต์คนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้สนใจ ยินดี ยินร้ายเรื่องที่ภูบดีกลับมา
“ที่คุณปู่เคยบอกว่าเป็นทายาทโดยตรงคนเดียวที่เหลืออยู่น่ะหรือคะ” มณทกานต์พูดขึ้น
“ใช่ และอีกไม่กี่วันนายภูจะย้ายมาอยู่กับเราที่นี่” พิพัฒน์บอก
“แล้วพี่ภูจะอยู่นานแค่ไหนคะ หรือว่าแค่แวะมาเที่ยว” ปารมีถาม
“ปู่จะให้มันย้ายกลับมาอยู่ที่นี่เลย ถึงเวลาที่ปู่ควรวางมือจากธุรกิจทั้งหมดแล้ว และคนที่จะสานต่อ
ก็คือเจ้าภู”
“แต่ธุรกิจของตระกูลเรา มันไม่ใช่ธุรกิจเล็กๆนะคะคุณลุง ไม่ใช่ว่าใครจะมาบริหารก็ได้ ตาภู
ร่ำเรียนอะไรมาก็ไม่รู้” นภาว่า
“นั่นสิครับ ผมเองกว่าจะเป็นงานยังต้องเรียนรู้หลายปี อยู่ๆคุณปู่จะให้ใครมาบริหารมันไม่ใช่เรื่องง่ายนะครับ” อนุทินพูดขึ้น
“ถึงจะยากยังไงนายภูมันต้องทำให้ได้ เพราะมันคือทายาทเพียงคนเดียวของชั้น”
นภาและอนุทินพยายามควบคุมความไม่พอใจ
“เอนก” พิพัฒน์เรียกขึ้น
“ครับ”
“เธอมีหน้าที่คอยสอนงานให้กับภูบดี”
“ครับคุณพ่อ” เอนกรับคำอย่างเสียไม่ได้
“คุณปู่หมดธุระแค่นี้ใช่มั้ยคะ เมย์จะได้ขอตัว” มณทกานต์โพล่งขึ้น
“ยัยเมย์!” เอนกส่งเสียงดุ
“ยังไม่หมด เรื่องสุดท้ายเกี่ยวข้องกับแกโดยตรง ยัยเมย์” พิพัฒน์บอก
“เกี่ยวกับเมย์ ” มณทกานต์ย้ำด้วยน้ำเสียงสงสัย
“ใช่ ปู่จะให้เจ้าภูแต่งงานกับแก”
“แต่งงาน!”
พิพัฒน์พยักหน้า เอนกกับอนุทินชะงักหันมามองหน้ากันอย่างไม่คาดคิด ฝ่ายนภาอึ้งมองหน้าปารมีที่ฝืนยิ้มอยู่

นภาเดินเข้ามาบ้านส่วนตัวที่อยู่ในอาณาเขตเดียวกับบ้านวริทธิวรนันท์ด้วยสีหน้าบึงตึงโดยมีปารมีเดินตามอยู่ใกล้ๆ
“คุณปู่ลำเอียง ยัยเมย์มันดีกว่าลูกของแม่ตรงไหน วันๆเอาแต่เที่ยว งานการไม่รู้จักทำ คุณปู่ยังยัดเยียดจะให้มันแต่งกับหลานชาย แบบนี้มรดกไม่มีทางตกถึงมือเราแน่” นภาว่า
“อย่าโมโหไปเลยค่ะแม่ จำไม่ได้หรือคะ หมอบอกไม่ให้แม่เครียดนะ” ปารมีว่า
“ไม่เครียดได้ยังไง มรดกเป็นพันล้าน ถ้าลูกได้แต่งกับนายภู ลูกก็จะสบายไปทั้งชาตินะ”
“ทำไงได้ล่ะคะ ในเมื่อคุณปู่รักน้องเมย์มากกว่าปา”
นภา เปิดขวดยาแล้วหยิบน้ำดื่มตาม
“แม่ถึงได้บอกไงว่าคุณปู่ลำเอียง ลูกทำงานทั้งวันช่วยดูแลกิจการของครอบครัว แต่คุณปู่กลับมองไม่เห็น”
“ก็เราไม่ได้เป็นอะไรกับเค้านี่คะแม่ แม่อย่าลืมนนะคะ เราเป็นแค่คนอาศัย คุณปู่ให้ที่อยู่ ที่กิน ให้การศึกษากับลูกมันก็มากพอแล้วค่ะ”
“แต่ลูกอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิดนะ ลูกก็เหมือนลูกหลานแท้ๆ ยังไง แม่ก็จะไม่ยอมให้มรดกของคุณปู่ตกเป็นของคนอื่นหรอก”
นภาเปิดขวดยาเทใส่กำมือ
“แม่จะกินยาอีกแล้วหรือคะ”
“ถ้าแม่ไม่กินแม่ก็ต้องปวดหัวตาย อย่าห้ามแม่เลยนะ”
นภาเอายาเข้าปากแล้วยกน้ำดื่มตาม ปารมีได้แต่มองแล้วถอนหายใจ

ภายในบ้านเอนกที่อยู่ในอาณาเขตเดียวกับบ้านพิพัฒน์ในเวลาเดียวกัน อนุทินกระแทกแก้วน้ำลงบนโต๊ะอย่างไม่สบอารมณ์
“คุณปู่ไม่ยุติธรรมเลย ถ้าไม่มีพ่อกับผม บริษัทในเครือวรารมย์จะใหญ่โตได้ขนาดนี้เหรอ”
“ฝีมือพ่อคนเดียวที่ไหนล่ะ แกอย่าลืมคุณลุงภาคินสิ” เอนกบอก
“แต่คุณลุงก็ตายไปแล้ว พ่อควรได้เป็นซีอีโอแทน ไม่ใช่ให้ไอ้ภูบดีเข้ามาชุบมือเปิบแบบนี้”
“อย่าพูดแบบนี้ให้ใครได้ยินนะ ถึงยังไงบริษัทนี้มันก็ไม่ใช่ของเราอยู่ดี ถ้าคุณปู่จะยกให้ทายาท
โดยสายเลือดก็ไม่ใช่เรื่องผิด”
“แต่มันน่าเจ็บใจนะพ่อ ถึงพ่อจะเป็นหลานห่าง ๆก็จริง แต่พ่อก็ช่วยสร้างบริษัทนี้มากับมือ”
มณทกานต์แต่งตัวสวยลงมาจากบนบ้าน อนุทินมองน้องสาวอย่างไม่พอใจ
“อ้าว ยัยเมย์นี่จะออกไปเที่ยวไหนอีก”
“เรื่องของเมย์ ไม่เกี่ยวกับพี่เอ .. พ่อคะ พ่อต้องบอกคุณปู่นะว่าเมย์ไม่แต่งงานกับคนที่เมย์ไม่ได้รัก”
“แกก็รู้ว่าไม่มีใครขัดใจคุณปู่ได้ ถ้าคุณปู่จะให้แต่งแกก็ต้องแต่ง” เอนกบอก
“แต่เมย์ไม่แต่ง”
“นี่ ชั้นว่าแกควรจะขอบคุณคุณปู่มากกว่านะที่หาผู้ชายรวยๆให้แก เพราะถ้าแกหาเองเนี่ยรับรองได้แกต้องไปคว้าไอ้จิ้งจกที่ไหนมาแน่” อนุทินว่า
“พี่เอจะดูถูกเมย์มากเกินไปแล้วนะ”
“ก็หรือไม่จริง วันๆแกเอาแต่เที่ยว ไม่คิดจะเรียนให้จบ ผู้ชายดีๆที่ไหนจะเอาแกเป็นเมีย”
“เอาล่ะ เอาล่ะ พอได้แล้ว แกสองคนเป็นพี่น้องกันนะ จะมาทะเลาะกันทำไม” เอนกปราม
“ผมพูดเรื่องจริงนี่พ่อ”
“ไม่รู้ล่ะ ถ้าเมย์บอกว่าไม่แต่งใครก็บังคับเมย์ไม่ได้”
มณทกานต์กระแทกเท้าเดินออกจากบ้านไป
“ไอ้ลูกคนนี้นี่ ทำไมมันเป็นคนแบบนี้นะ”
“ก็พ่อน่ะสิ ตามใจมันซะจนเคยตัว สปอยจนมันไม่กลัวใคร”
เอนกถอนหายใจกับเรื่องราวที่แสนจะปวดหัว
บริเวณทางเดินภายในบ้านวริทธิวรนันท์ในเวลาต่อมา บุญทันเดินคุยมากับต้นหอม
“บนตึกใหญ่ก็มีแค่คุณท่านอยู่คนเดียว ส่วนเรือนเล็กด้านหลังก็เป็นบ้านของคุณนภา กับคุณปารมีลูกสาว” ต้นหอมบอก
“แล้วคุณนภาเค้าเป็นอะไรกับคุณท่านหรือ” บุญทันถาม
“คุณนภาแกเป็นลูกบุญธรรมของน้องชายท่าน พอน้องชายท่านตายท่านก็เลยรับอุปการะเลี้ยงดูแกกับคุณปา”
“แล้วพี่เห็นบ้านอีกหลังนึงด้านนู้น บ้านใคร”
“อ๋อ บ้านของคุณเอนกจ้ะ คุณเอนกเป็นลูกชายลูกพี่ลูกน้องคุณท่าน พ่อแม่ตายแต่เด็ก คุณท่านก็เลยรับเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม”
ขณะนั้น มณทกานต์ขับรถเลี้ยวมาอย่างรวดเร็ว บุญทันหันไปมองอย่างตกใจแล้วร้อง
“เฮ้ย”
บุญทันกระชากต้นหอมหลบ มณทกานต์เบรกรถเอี๊ยด!พอดี บุญทันยืนส่งสายตาแสดงความโกรธอยู่ มณทกานต์เปิดประตูลงจากรถทันที
“เดินประสาอะไรเนี่ย ไม่เห็นหรือว่ารถวิ่งมา”
“คุณต่างหากที่ขับรถประสาอะไร ถ้าเบรกไม่ทันคุณชนเราสองคนแล้วนะ”
“นี่แกเป็นใครเนี่ย ถึงกล้ามาพูดแบบนี้กับชั้น”
“ผมเป็นใครไม่สำคัญ แต่ผมว่าคุณไม่ควรขับรถแบบนี้โดยเฉพาะในเขตบ้าน”
“เอ่อ พี่บุญทัน” ต้นหอมพยายามเตือนบุญทัน
“พูดแบบนี้แสดงว่าแกไม่รู้จักชั้น ชั้นเป็นเจ้าของบ้าน”
บุญทันยิ้มเยาะแล้วบอก
“แน่ใจหรือครับ เพราะเท่าที่ผมรู้เจ้าของบ้านคือคุณพิพัฒน์”
“แกนี่มันปากดีจริง ๆ ฝากไว้ก่อนเถอะ วันนี้ชั้นรีบหรอกนะ”
มณทกานต์เดินไปขึ้นรถแล้วปิดประตูดังปัง บุญทันยังยืนขวางรถอยู่จนมณทกานต์ต้องบีบแตรไล่ บุญทันขยับถอยหลัง มณทกานต์บึ่งรถออกจนเกือบจะเฉี่ยวบุญทัน
“แล้วคนนี้ใคร” บุญทันถามต้นหอมอีก
“คุณเมย์จ้ะ ลูกสาวคุณเอนก เฮี้ยวที่สุดในบ้าน”
บุญทันมองตามรถที่มณทกานต์ขับออกไป
 
โปดติดตามตอนต่อไป


เล่ห์ร้อยรัก ตอนที่ 1 (ต่อ)
 

ในเวลาต่อมา รถเบนซ์เคลื่อนมาจอดรอหน้าตึก บุญทันเปิดประตูลงจากรถมายืนรอ พิพัฒน์เดินลงมาจากตึก บุญทันมองไปยังพิพัฒน์ที่กำลังเดินลงมาด้วยสายตาอ่อนโยน แล้วยกมือไหว้

“สวัสดีครับท่าน”
พิพัฒน์มองหน้าบุญทันแล้วชะงักไปเล็กน้อยเหมือนมีลางอะไรบางอย่างบอกไม่ถูก พิพัฒน์ยิ้มทักทาย
“คนขับรถคนใหม่หรือ”
“ครับผม”
“ชื่ออะไร”
“บุญทันครับท่าน”
พิพัฒน์พยักหน้ารับรู้ บุญทันเปิดประตูรออยู่ พิพัฒน์เดินไปนั่งในรถ บุญทันปิดประตูแล้วเดินอ้อมไปนั่งตรงรถขับแล้วรถขับออกจากบ้านวริทธิวรนันท์ทันที

บุญทันขับรถพลางเหลือบมองกระจกหลังเห็นพิพัฒน์มองจ้องอยู่ บุญทันหลบตาทันที
“แกเป็นคนจังหวัดอะไรบุญทัน”
“เพชรบุรีครับ”
“ก่อนมาขับรถให้ชั้น แกทำอะไรมา”
“ที่บ้านผมมีสวนน่ะครับ”
“มีสวนเป็นของตัวเองก็ดีแล้วนี่ คิดยังไงถึงมารับจ้างขับรถ”
“อ๋อ ผมมีพี่น้องหลายคนน่ะครับ”
พิพัฒน์พยักหน้ารับรู้
“แปลกนะทำไมชั้นรู้สึกคุ้นๆกับแกเหลือเกิน”
บุญทันได้ยินดังนั้นก็อึ้งไป
“แกไม่เคยรู้จักชั้นมาก่อนใช่มั้ย”
“ไม่เคยครับท่าน”
“เดี๋ยวแยกหน้าแกเลี้ยวขวานะ ชั้นจะไปสนามกอล์ฟ”
“ครับ”
บุญทันลอบถอนใจที่พิพัฒน์ไม่สงสัยอะไร บุญทันขับรถเลี้ยวเข้าไปในสยามกอล์ฟตามคำสั่งทันที

ภายในบ้านเช่าของญาดา ขณะที่เจ๊อ้อยนั่งกินข้าวอยู่ ญาดาก็เดินเข้ามาพอดี
“แม่เดี๋ยววันนี้หนูจะเอาของไปขายแล้วหนูจะพาแม่ไปดูตึกแถวที่จองไว้นะ”
“ตึกแถวอะไร”
“อ้าว ก็ตึกแถวที่เราจะทำร้านเบเกอรี่กันไง หลังจากที่เราเอาเงินไปใช้หนี้แล้ว หนูก็จะเอาส่วนที่เหลือไปมัดจำตึกเค้า ฝันของเราใกล้จะเป็นจริงแล้วนะแม่”
“ฝันของเอ็งคนเดียวล่ะสิ”
“แต่แม่สัญญากับหนูแล้วนะว่าเราจะเลิกอาชีพต้มตุ๋นแบบนี้”
“ข้ามาคิดๆดู ข้าว่างานแบบนี้มันก็ได้เงินง่าย ๆ นะ”
“แต่มันบาปนะแม่ ที่หนูยอมร่วมมือกับแม่เพราะหนูแค่อยากหาเงินมาใช้หนี้ให้หมดเท่านั้น แล้ว
ตอนนี้เราก็มีเงินมากพอที่จะเคลียร์หนี้ได้แล้ว เราจะได้ทำมาหากินสุจริตซะที”
“แต่ข้าไม่อยาก..”
“ไม่มีแต่ เพราะหนูจะไม่ร่วมมือกับแม่อีกแล้ว ถ้าแม่อยากทำแม่ก็ทำคนเดียว”
ญาดาพูดแล้วก็เดินออกไปปล่อยให้ เจ๊อ้อยมองค้อนตามหลัง
“นังลูกคนนี้ งานง่ายๆเบาๆไม่อยากทำ อยากทำงานหนัก”

เวลากลางวัน ธาวินนั่งจิบกาแฟอยู่ในโรงแรมที่พัก พลางนึกถึงเหตุการณ์ที่ญาดามานั่งลงที่เก้าอี้ตัวตรงข้าม ...
“นี่คุณตาบอดหรือ ถึงเห็นผมเป็นพนักงานเสิร์ฟ”
“เอ่อ ชั้น ชั้นขอโทษค่ะ”
“รู้มั้ยครับว่าคุณเป็นผู้หญิงที่สวยมาก”
ธาวินวินถอดแว่นตาของตาลออก ตาลทำเป็นตาบอดมองนิ่งไปเบื้องหน้า
“คุณอย่าหลอกให้ชั้นดีใจเลยค่ะ”
“ผมพูดจริงนะครับ ตาคุณสวยมาก จมูก ปากคุณก็สวย คุณสวยจนผม ...”
ธาวินเคลื่อนใบหน้าเข้ามาหาเหมือนจะจูบ ญาดาเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าของธาวินช้าๆ ลูบไล้จากตาผ่านจมูกจนถึงริมฝีปาก ธาวินจะเคลื่อนไปจูบแล้วสลบไป

ธาวินจิบกาแฟด้วยความแค้นใจในตัวเอง
“เราจะไปตามหายัยแสบนี่ได้ที่ไหนวะ”
ธาวินวินยกกาแฟดื่มอย่างครุ่นคิด

ภายในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ญาดาเดินขึ้นบันไดเลื่อนแล้วเดินเลี้ยวทางแผนกซื้อขายมือถือ
ญาดาเดินเข้ามาที่ร้านรับซื้อโทรศัพท์มือถือ ญาดาหยิบโทรศัพท์กับไอแพดออกมาจากกระเป๋า
“พี่ ถ้าจะขายไอโฟนกับไอแพดนี่ให้เท่าไหร่”
ญาดาส่งของให้เจ้าของร้านดู
“ขโมยมารึเปล่า” เจ้าของร้านถามขึ้น
“เปล่า ของชั้นเอง”
“สองอย่างให้สองหมื่นห้าแล้วกัน”
“สามหมื่นไม่ได้หรือ”
“ได้แค่สองหมื่นห้า”
“ก็ได้”
เจ้าของร้านส่งเงินให้ตามที่ตกลงกันไว้ ญาดารีบเดินออกไป
ขณะนั้น ธาวินเดินมาหยุดที่หน้าร้านที่ญาดาเอาของมาปล่อย พลางพึมพำว่า
“ขอให้ยัยแสบเอาของมาปล่อยที่นี่เถอะ”
ธาวินเหลียวซ้ายแลขวาก็ชะงักทันที่เห็นญาดากำลังเดินดูของอย่างเพลิดเพลิน วินเดินแสยะยิ้มเข้าไปหาทันที

ธาวินเดินจนถึงตัวของญาดาที่เลือกดูของอยู่ ธาวินคว้ามือของญาดาจากด้านหลัง ญาดากันไปมองก็ตะลึงด้วยความตกใจ
“คุณ ...”
“วันนี้ตาไม่บอดแล้วหรือ” ธาวินใส่ทันที
“คุณพูดอะไร ปล่อยชั้นนะ ชั้นไม่รู้จักคุณ”
“เอาของของชั้นคืนมาให้หมด”
“ของอะไร อย่ามามั่วนะ”
ญาดาอาศัยความฉับไวด้วยการเอานิ้วจิ้มลูกตาธาวินทันที
“โอ๊ย ..” ธาวินร้อง ญาดารีบสะบัดมือที่ธาวินจับอยู่จนหลุดและวิ่งหนีออกไปทันที
“อย่าหนีนะ”
ธาวินร้องเสียงดังแล้วรีบวิ่งตามไปทันที

ญาดาวิ่งเลี้ยวลงบันไดเลื่อนของห้างสรรพสินค้า โดยมีธาวินวิ่งตามไปติดๆ
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ ชั้นบอกให้หยุด”
บรรดาผู้คนภายในห้าง มองตามอย่างงๆ ญาดาวิ่งเลี้ยวมาเจอรปภ. 2 คนที่วิ่งออกมาขวางทางไว้
“มีเรื่องอะไรกันครับ”
ญาดารีบแก้สถานการณ์ทันที
“ช่วยด้วยค่ะ ผู้ชายคนนั้นเค้าจะปล้ำชั้น”
“ปล้ำหรือครับ”
“ใช่ค่ะ มันเป็นโรคจิต มันเอาไอ้นั่นออกมาโชว์ด้วย”
ธาวินวิ่งเข้ามา รปภ.วิ่งถือกระบองวิ่งเข้าไปขวางธาวินไว้ ญาดาสบโอกาสหันวิ่งหนีไปในทันที
“หยุดนะไอ้โรคจิต” รปภ. บอก
“จับผู้หญิงคนนั้นก่อน อย่าให้หนีไปได้” ธาวินบอก
ธาวินจะวิ่งสวนไป แต่รปภ. 2 คนเข้าไปรุมฟาดทันที
“โอ๊ย นี่ตีผมทำไม”
“หนอย ไอ้โรคจิตยังกล้าถามอีกหรือว่าตีทำไม ไป ไป เอาตัวมันไปโรงพัก”
รปภ. พยายามเข้ามาล็อกตัวธาวินไว้
“เฮ้ย ผมไม่ได้เป็นโรคจิตนะ ฟังผมก่อน ผู้หญิงคนนั้นขโมยของของผมไป”
“ว่าอะไรนะ”
“ผู้หญิงคนนั้นมันเป็นสิบแปดมงกุฎ มันมอมยาผมแล้วก็รูดทรัพย์ไป”
“จริงหรือ”
“ก็จริงสิ ผมจะโกหกทำไม”
“ผมขอโทษด้วยครับ”
รปภ. รีบปล่อยตัวธาวินพลางยกมือไหว้
“พวกคุณนี่บ้าจริงๆเลย หน้าตาอย่างผมเนี่ยหรือจะเป็นโรคจิต ดูซิ มันเลยหนีรอดไปได้”
ธาวินทั้งหงุดหงิดและหัวเสีย

ในเวลาต่อมา มอเตอร์ไซค์รับจ้างขี่เข้ามาจอดหน้าบ้านเช่า ญาดากระโดดลงแล้วจ่ายเงินให้หนึ่งร้อยบาททันทีโดยไม่รอเงินทอน ญาดาวิ่งเข้าบ้านทันที
ภายในบ้าน เจ๊อ้อยกำลังนอนหลับพักสายตา ญาดาเปิดประตูพรวดเข้ามาแล้วส่งเสียงเรียก
“แม่”
เจ๊อ้อยสะดุ้งตื่นทันที
“ไอ้ตาล ทำไมเสียงดังนักวะ แม่กำลังฝันถึงเลขเด็ดตกใจหมด”
“แม่รู้มั้ยว่าชั้นไปเจอใครมา”
“ใคร อย่าบอกนะว่าเจอพ่อเอ็ง”
“แม่ก็พูดเข้า ชั้นไปเจอไอ้ผู้ชายที่เรารูดทรัพย์มันเมื่อวาน”
“หา.. ที่ไหนวะ”
“ที่ห้างน่ะสิ ชั้นเอาของไปปล่อย”
“แล้วเอ็งรอดมาได้ไง”
“ถามได้ ชั้นก็วิ่งหนีมาน่ะสิ เกือบไม่รอด”
“แล้วมันตามมาบ้านเรารึเปล่า”
“เปล่า แม่ชั้นว่าเราหนีไปอยู่ต่างจังหวัดดีมั้ย เกิดมันเจอเราขึ้นมาติดคุกหัวโตเลยนะ”
“เอ็งอย่าทำปอดไปหน่อยเลย แม่ว่ามันไม่มีทางเจอเราแล้ว”
“แต่วันนี้ชั้นยังเจอเลยนะ”
“แม่ว่ามันฟลุกมากกว่า เชื่อแม่ เราทำมาตั้งหลายหนยังไม่เคยถูกจับได้ ครั้งนี้มันแค่จิ๊บ ๆ”
เจ๊อ้อยลุกเดินออกไป ขณะที่ญาดายกมือไหว้พระท่วมหัว
“เจ้าประคู้น ขออย่าให้ลูกถูกจับเลย ลูกสัญญาครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ลูกตุ๋นคน”


โปรดติดตามตอนต่อไป

เล่ห์ร้อยรัก ตอนที่ 1 (ต่อ)
 
 
ภายในสนามกอล์ฟเวลาต่อมา พิพัฒน์กำลังตีกอล์ฟอยู่ในสนาม ส่วนบุญทันอยู่บนล็อบบี้กำลังพูดโทรศัพท์กับธาวินซึ่งกลับมาอยู่ภายในห้องพักที่โรงแรม

“อะไรวะไอ้วิน แค่ผู้หญิงคนเดียวแกยังจับไม่ได้หรือ”
“ไม่ใช่จับไม่ได้ ชั้นจับได้แล้ว แต่หล่อนหนีไป”
“ก็นั่นแหละ เรียกว่าจับไม่ได้”
“แต่ชั้นยังไม่หมดหวังนะ วันนี้ชั้นติดต่อให้นักสืบออกตามหาตัวยัยแสบนี่แล้ว ชั้นสัญญาว่าจะต้องเอาแหวนของแกกลับคืนมาให้ได้”
“ถ้างั้นแกควรจะบอกทนายปรารภขอเลื่อนเวลาที่จะเข้ามาพบคุณปู่นะ”
“ชั้นจะโทรบอกเค้าเย็นนี้ แล้วแกเป็นไงบ้าง เจอใครที่น่าสงสัยว่าจะเป็นฆาตกรรึยัง”
“ตอนนี้ยังตอบไม่ได้ ชั้นยังเจอคนในบ้านไม่ครบเลย”
“ยังไงแกก็ระวังตัวด้วยนะ” ธาวินบอก
“อืมม์ แกก็เหมือนกัน”
บุญทันปิดโทรศัพท์ แล้วถอนหายใจเมื่อนึกถึงเหตุการณ์...

ภายในร้านอาหารไทยที่อเมริกาในเวลากลางวัน บุญทันสวมชุดสูทเดินเข้ามาในร้าน พนักงานสาวรีบยกมือไหว้
“สวัสดีค่ะคุณภูบดี”
“หวัดดีพี่นิด วันนี้ลูกค้าเยอะมั้ย”
“เยอะค่ะ โต๊ะสุดท้ายเพิ่งเช็กบิลออกไป”
“มีอะไรที่ผมต้องเซ็นรึเปล่า”
“มีเช็คสั่งจ่ายค่าของสดค่ะ”
“โอเค เดี๋ยวเอามาได้เลยนะ”
บุญทันเดินแยกไปที่โต๊ะทางด้านใน เสียงมือถือดังขึ้น
“ฮัลโหล ... สวัสดีครับคุณลุง”
ที่เมืองไทย ขณะนั้นเป็นเวลากลางคืน ภายในห้องทำงานของภาคิน ลุงของภูบดี ลูกชายคนโตของพิพัฒน์ในวัย 50 กว่า กำลังคุยโทรศัพท์อยู่
“เป็นไงบ้างหลานชาย ตกลงจะกลับเมืองไทยวันไหน”
“อีกสองอาทิตย์ครับ ผมจองตั๋วไว้แล้วตั้งใจว่าจะกลับไปให้ทันวันเกิดคุณปู่”
“ดีลูก คุณปู่ต้องดีใจมากที่จะได้เจอหลาน”
“เสียดายที่คุณพ่อกับคุณแม่ผมไม่มีโอกาสได้กลับไปกราบคุณปู่ด้วย”
“เอาน่ะ คิดซะว่าพ่อกับแม่เราเค้าไปสบายแล้ว แค่หลานกลับมาคุณปู่ก็มีความสุขแล้ว...อย่างน้อยภูก็ยังมีลุงกับคุณปู่เหลืออยู่เป็นครอบครัวนะ”
“ผมตื่นเต้นมากเลยนะครับที่จะได้เจอคุณลุงกับคุณปู่”
“ลุงกับปู่ก็ตื่นเต้นที่จะได้เจอหลาน”
ประตูห้องของภาคินถูกแง้มออก ภาคินหันหลังกลับไปก็ชะงัก ตกใจทันที
“แกเข้ามาทำไม ต้องการอะไร”
เสียงนั้น ดังลอดเข้าไปยังโทรศัพท์ของบุญทัน
“มีอะไรรึเปล่าครับคุณลุง”
บุญทันส่งเสียงมาตามสาย
“อ๊าก!”
คนร้ายปริศนาฟาดไม้กอล์ฟเข้าที่แสกหน้าภาคิน บุญทันได้ยินเสียงการต่อสู้ดังออกมาจากโทรศัพท์ ตกใจได้แต่ร้องเรียกสุดเสียง
“คุณลุง! คุณลุงครับ”
“ถึงแกฆ่าฉันก็ปิดความผิดของแกไม่ได้หรอก” เสียงภาคินลอดผ่านเข้ามาในมือถือของบุญทัน พร้อมๆกับเสียงหวดจากไม้กอล์ฟอีกหลายที
“ อ๊าก!”
“คุณลุงเกิดอะไรขึ้นครับ คุณลุง!”
ภาคินล้มลงจมกองเลือดพยายามพูดโทรศัพท์
“ระ..วัง ตัว...ปกป้อง..ปู่ด้วย...”
“คุณลุง ใครทำอะไรคุณลุง บอกผมสิครับ คุณลุง”
คนร้ายคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาพูด
“ถ้าไม่อยากตาย อย่ากลับมาเมืองไทย”
“แกเป็นใคร! แกทำอะไรลุงฉัน”
คนร้ายปิดโทรศัพท์ทันที
“ฮัลโหล ๆ ๆ”
บุญทันพยายามต่อโทรศัพท์อีกแต่ไม่มีสัญญาณตอบรับ

เช้าวันใหม่ ที่ร้านอาหารไทยในอเมริกา ข่าวจากเว็บไซด์ ลงภาพนิ่งของภาคิน วริทธิวรนันท์ พร้อมข่าวพาดหัวว่า “CEO บริษัทในเครือวรารมย์ โดดตึกตายหนีเครียด” บุญทันกับธาวินนั่งคุยกันอยู่ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
“ไม่จริง ลุงฉันไม่ได้ฆ่าตัวตาย ลุงฉันถูกฆาตกรรม ฉันจะกลับไปบอกทุกคนที่เมืองไทย” บุญทัน
บอก
“ตำรวจเค้าคงเชื่อแกหรอกนะ ที่อยู่ๆก็มีพยานจากอีกซีกโลกนึงโผล่ขึ้นมา และที่สำคัญแกไม่มี
หลักฐานอะไรเลย” ธาวินพูดขึ้น
“โทรศัพท์ไง ลุงภาคินโทรหาฉันเป็นคนสุดท้าย”
“แกคิดว่าคนร้ายมันจะเก็บโทรศัพท์ลุงแกไว้หรือ ป่านนี้มันโยนให้ฉลามกินแล้ว”
“แต่ถึงยังไงฉันก็ต้องกลับไปเมืองไทยนะวิน ปู่ฉันอยู่ในอันตราย”
“ชั้นรู้ แต่ถ้าแกกลับไป แกก็มีอันตรายเหมือนกันนะ”
“ชั้นไม่กลัว ชั้นจะต้องลากคอไอ้คนที่มันฆ่าลุงภาคินมาให้ได้”
“แล้วแกสงสัยใคร”
“ชั้นเชื่อว่ามันต้องเป็นคนที่ลุงภาคินรู้จักดี”
“แต่มันจะฆ่าลุงแกเพื่ออะไร”
“นั่นคือเรื่องที่ชั้นต้องไปสืบ แล้วหาให้เจอว่าไอ้ฆาตกรนั่นมันคือใคร”
“เอาอย่างนี้ ถ้าแกคิดจะกลับไปจริงๆ เราก็ต้องมีแผนนะ ไม่ใช่เดินดุ่มๆเข้าไปให้มันฆ่า”
“แผนอะไร” บุญทันสนใจขึ้นมาทันที
“ในเมื่อแกบอกว่าไม่มีใครในครอบครัวแก เคยเจอแกตั้งแต่เกิด ฉะนั้น ชั้นจะปลอมตัวเป็นแก ส่วนแกก็ปลอมตัวเข้าไปเป็นคนงานในบ้านเพื่อสืบหาคนร้ายที่ฆ่าลุงภาคิน”
“แต่ชั้นไม่อยากลากให้แกมาเดือดร้อนด้วย”
“ไอ้ภู เราสองคนเป็นเพื่อนรักกันนะ เรื่องของแกก็เหมือนเรื่องของชั้น ถ้าแกมีทุกข์ชั้นคงไม่มีความสุขหรอก”
บุญทันโผเข้ากอดธาวิน
“ขอบใจแกมากวิน แกคือเพื่อนที่ดีที่สุดของชั้น”
ทั้งบุญทันและธาวินยิ้มให้กัน

บุญทันถอนหายใจหลังจากวางสายจากธาวินไปแล้ว ขณะนั้น...พิพัฒน์เดินเข้ามาเรียกพอดี
“บุญทัน”
“ครับท่าน”
“ไป ชั้นจะกลับบ้านแล้ว”
“ครับ”
บุญทันเดินนำพิพัฒน์ไปที่หน้าประตูทางเข้าล็อบบี้
“ท่านรออยู่ตรงนี้นะครับ เดี๋ยวผมไปเอารถมารับ”
พิพัฒน์พยักหน้ารับ บุญทันเดินออกไปที่ลานจอดรถ พิพัฒน์มองตามแล้วหันกลับอย่างไม่ได้สนใจนัก
เมื่อบุญทันเดินมาที่ลานจอดรถ มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งขับสวนขึ้นไป บุญทันมองตามและรู้สึกสะดุดใจจึงหันหลังมองตามไปและเห็นคนซ้อนกระชากปืนที่เหน็บหลังออกมา บุญทันตะลึงและร้องขึ้นทันที
“ เฮ้ย!”
คนซ้อนลุกขึ้นยืนแล้วยกปืนเล็งไปที่พิพัฒน์ทันที
“คุณปู่ ... ระวัง” บุญทันตะโกนร้องสุดเสียง
พิพัฒน์ได้ยินเสียงบุญทันก็หันมาในจังหวะที่คนร้ายยกปืนขึ้นยิงพอดี พิพัฒน์รีบหลบที่ข้างเสา คนร้ายยิงซ้ำ พิพัฒน์หมุนหลบอีก
มอเตอร์ไซค์ขับพุ่งหนีออกไป บุญทันวิ่งเข้ามาหาพิพัฒน์
“คุณปู่ เป็นยังไงบ้างครับ”
“ชั้นไม่เป็นไร” พิพัฒน์บอก
รปภ.ในสยามกอล์ฟวิ่งเข้ามาดูเหตุการณ์
“มีเรื่องอะไรกันครับ”
“มีคนร้ายซ้อนมอเตอร์ไซค์บุกมายิงคุณพิพัฒน์” บุญทันบอก
รปภ. ยกวิทยุสื่อสารบอก
“สกัดจับคนร้ายขี่มอเตอร์ไซค์”
“บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่าครับ” บุญทันถาม
“ไม่มี ชั้นปลอดภัย”

ในเวลาต่อมา ที่หน้าตึกใหญ่ของบ้านวริทธิวรนันท์ สารวัตรสมยศกับตำรวจติดตามอีกสองนายเดินขึ้นตึกเข้ามาสอบปากคำบุญทัน โดยมีพิพัฒน์นั่งฟังอยู่ด้วย
“คนซ้อนเป็นคนยิงครับรูปร่างผอม ส่วนคนขี่มอเตอร์ไซค์ ตัวใหญ่กว่านิดหน่อย ผิวดำแดงทั้งคู่”
“แล้วนายเห็นหน้ามั้ย” สารวัตรสมยศถาม
“ไม่เห็นครับมันใส่หมวกกันน็อกทั้งคู่”
สารวัตรสมยศหันไปถามพิพัฒน์
“แล้วท่านพอจะนึกออกมั้ยครับว่า คนร้ายมีลักษณะยังไง”
“ใครจะไปจำได้สารวัตร ตอนนั้นแค่หลบหนีกระสุนก็กลัวจะแย่อยู่แล้ว” พิพัฒน์พูดอย่างไม่พอใจ
“ผมหมายถึงว่าท่านอาจจะพอจำอะไรได้บ้างเกี่ยวกับคนร้ายน่ะครับ”
“ผมจำไม่ได้หรอก”
“แล้วท่านมีปัญหาขัดแย้งอะไรกับใครบ้างมั้ยครับ โดยเฉพาะเรื่องธุรกิจ”
“ทำธุรกิจมันก็ต้องมีปัญหาเรื่องความขัดแย้งอยู่แล้ว แต่จะให้ระบุเป็นรายบุคคล ผมระบุไม่ได้
หรอกมันเยอะแยะ แล้วผมเองก็มีธุรกิจอยู่หลายอย่าง ทั้งโรงแรม ตลาด สนามกอล์ฟ บ้านจัดสรร คอนโด”
“ถ้าเป็นแบบนี้จะหาตัวคนร้ายยากนะครับ”
“อ้าว ถ้าสารวัตรพูดแบบนี้ก็จบกันล่ะสิ ตำรวจเป็นที่พึ่งของประชาชนนะ สารวัตรต้องไปตามหา
มาให้เจอว่าใครที่มันคิดจะฆ่าผม”
“เรื่องนั้นเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้วครับ เอาล่ะครับ ผมไม่รบกวนเวลาท่านแล้ว ผมลานะครับ”
พิพัฒน์พยักหน้าสารวัตรสมยศลุกเดินออกไป บุญทันจะเดินออกตามไป แต่พิพัฒน์เรียกไว้
“เดี๋ยว บุญทัน”
“ครับท่าน”
“แกใช้ปืนเป็นมั้ย”
“พอได้ครับ”
“ชั้นจะเอาปืนพกให้แกติดตัว ต่อไปนี้ถ้าชั้นไปไหนแกเอาปืนไปด้วย”
“ครับ เอ่อ ท่านครับ”
“หืมม์”
“มีใครที่ท่านสงสัยบ้างมั้ยครับ”
“นึกไม่ออก ชั้นแก่ป่านนี้ไม่น่ามีศัตรูที่ไหนเหลืออยู่แล้ว”
บุญทันพยักหน้ารับรู้
“ขอบใจแกอีกครั้งนะ ที่ช่วยชีวิตชั้นไว้ ถ้าไม่ได้แกเรียกเตือนล่ะก็ ป่านนี้ชั้นคงไปนอนวัดแล้ว”
“ไม่หรอกครับ ผมจะไม่ยอมให้ท่านเป็นอะไรไปง่ายๆ”
“เออ ขอบใจ”
- บุญทันเดินออกไป เอนกกับอนุทินเดินสวนเข้ามาพอดี ทั้งสองคนเดินไปหาพิพัฒน์
“คุณพ่อเป็นยังไงบ้างครับ” เอนกถามขึ้น
“ตำรวจจับตัวคนร้ายได้มั้ยครับ” อนุทินถามบ้าง
“มันหนีไปได้” พิพัฒน์บอก

โปรดติดตามตอนต่อไป


เล่ห์ร้อยรัก ตอนที่ 1 (ต่อ)
 
 

บุญทันเดินออกมาแล้ว หยุดมองเข้าไปในบ้านเห็นเอนกกับอนุทินคุยกับพิพัฒน์อยู่อย่างเคร่งเครียด สีหน้าของเอนก และอนุทินดูเป็นห่วงพิพัฒน์อย่างจริงจัง บุญทันมองอย่างครุ่นคิดแล้วหันหลังเดินออกไป

บริเวณมุมตึกใหญ่ของบ้านวริทธิวรนันท์ สมยศเดินเลี้ยวออกมากับหมวดลูกน้อง
“สารวัตรว่าเป็นไปได้มั้ยครับ บางทีอาจเป็นเรื่องฆ่าเพื่อชิงมรดก” หมวดลูกน้องถามขึ้น
“ทำไมนายคิดอย่างงั้น”
“ก็คุณพิพัฒน์แกมีมรดกเป็นพันล้านนะครับ”
“คงไม่ใช่หรอก ผมว่าน่าจะเป็นเรื่องปมขัดแย้งธุรกิจมากกว่า”

ปารมีกับนภาเดินเลี้ยวออกมาอย่างร้อนใจ และเจอสารวัตรสมยศเข้าพอดี
“สวัสดีครับคุณนภา สวัสดีครับคุณปารมี” สารวัตรสมยศทักทาย
“สวัสดีค่ะสารวัตร” ปารมีทักทายตอบ
“คุณลุงว่ายังไงบ้าง” นภาตามอย่างร้อนใจ
“ท่านไม่เห็นหน้าคนร้ายครับ”
“แล้วคุณปู่สงสัยใครมั้ยคะ” ปารมีถามต่อ
“ตอนนี้ยังไม่มีครับ เจอคุณปารมีก็ดีแล้วครับ ผมอยากสอบปากคำเพิ่ม ถ้าคุณปารมีว่างรบกวนโทรหาผมด้วยนะครับ”
“ค่ะ”
“ผมขอตัวก่อนนะครับ”
สารวัตรสมยศออกไป
“ไปดูคุณปู่ก่อนดีกว่าลูก” นภาว่า
นภาเดินออกไป ปารมีหันมองตามสารวัตรสมยศแล้วหันกลับเดินตามนภาไป บุญทันแอบมองนภากับปารมีอย่างครุ่นคิดว่าใครคือคนร้าย

ภายในผับแห่งหนึ่งในเวลากลางคืน ธาวินนั่งดื่มอยู่กับบุญทัน
“เท่าที่แกเล่ามา ชั้นว่าคุณนภากับปารมีลูกสาวไม่น่าใช่คนร้าย” ธาวินว่า
“ชั้นก็คิดเหมือนแก สองคนนั่นเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ไม่น่าคิดทำเรื่องเลวๆแบบนี้”
“แล้วคุณเอนกกับลูกชายล่ะ”
“เท่าที่ชั้นดู ชั้นว่าลุงเอนกคงไม่กล้าทำหรอก เพราะท่าทางแกก็รักและเคารพคุณปู่มาก ส่วนลูกชายก็ดูเชื่อฟังพ่อ”
“แล้วลูกสาวล่ะ เค้ามีลูกสาวอีกคนไม่ใช่หรือ” ธาวินถาม
บุญทันนึกถึงมณทกานต์ที่ด่าบุญทัน แต่แทนที่สีหน้าจะบึ้งตึงด้วยความโกรธกลับยิ้มซะอย่างนั้น
“ลูกสาวท่าทางเอาแต่ใจตัวเองไม่เบา แต่ก็ไม่น่าคิดฆ่าใคร ส่วนคนงานในบ้านก็เป็นคนเก่าคนแก่กับลูกหลานไม่มีใครน่าสงสัย”
“ถึงจะไม่เจอใครน่าสงสัย แต่ชั้นว่าเรายังตัดประเด็นคนในบ้านออกไปไม่ได้นะ”
“อืมม์”
ธาวินพยักหน้ารับรู้แล้วยกเหล้าขึ้นดื่ม บุญทันหยิบแก้วจะดื่มตามก็ชะงักที่เห็นมณทกานต์เดินเข้ามาในร้านพอดี
“มีอะไร” ธาวินถาม
ธาวินมองตามสายตาของบุญทัน เห็นมณทกานต์เดินเข้ามากับเพื่อนชายและเลือกนั่งลงที่โต๊ะในมุมหนึ่ง
“น้องเมย์ ลูกสาวลุงเอนก” บุญทันบอก
“ท่าทางจะมากับแฟน ชั้นว่าเรากลับเหอะ เดี๋ยวเค้าเกิดเห็นเราสองคนอยู่ด้วยกันจะเสียแผน”
“แกกลับก่อนเถอะ ชั้นจะนั่งอีกซักเดี๋ยว” บุญทันบอก
“ตามใจ แล้วพรุ่งนี้โทรหากันอีกที”
“อืมม์”
ธาวินเดินออกไปแล้ว บุญทันมองไปที่โต๊ะเห็นมณทกานต์นั่งอยู่ ส่วนเพื่อนชายเดินไปสั่งเครื่องดื่ม

มณทกานต์นั่งกดโทรศัพท์หาเพื่อน เมื่อเสียงปลายสายรับ
“แกอยู่ไหนแล้วเนี่ย ไหนบอกจะตามมาเจอกันไง ...อะไรนะ ไม่มาแล้วงั้นหรือ ... เออเออ ก็ได้ ถ้าพวกแกไม่มา ชั้นจะได้กลับ ทีหลังจะไม่มาก็บอกก่อนนะ”
มณทกานต์ปิดโทรศัพท์อย่างเซ็งเพื่อน ชาคริตเพื่อนชายถือแก้วเครื่องดื่มเข้ามาให้
“ได้แล้วจ้ะเมย์”
“พวกไอ้ยุ้ยมันไม่ตามมาแล้วนะคิต”
“อ้าว ทำไมล่ะ”
“มันบอกขี้เกียจ ไอ้พวกนี้เชื่อไม่ได้จริงๆ งั้นเมย์กลับก่อนนะ”
มณทกานต์จะลุกขึ้น แต่ชาคริตคว้าแขนไว้
“เดี๋ยวสิเมย์ ผมมีเรื่องอยากคุยด้วย”
“เรื่องอะไร”
“เรื่องสำคัญ นั่งก่อนได้มั้ย”
มณทกานต์นั่งลงแล้วถาม
“มีอะไรหรือ”
“ดื่มค็อกเทลเย็นๆก่อนแล้วเดี๋ยวจะบอก”
มณทกานต์มองอย่างหมั่นไส้
“เรื่องเยอะจริงๆ”
มณทกานต์ยกเครื่องดื่มจิบ ชาคริตมองยิ้มอย่างมีเลศนัย
“อีกสองเดือนผมจะไปเรียนต่อที่นิวซีแลนด์”
“จริงหรือ ดีใจด้วยนะ”
“แต่ผมไม่อยากจากเมย์ไปเลย เมย์ไปกับผมนะ”
“คิตเข้าใจอะไรผิดรึเปล่า เราเป็นเพื่อนกันนะ”
“แต่ผมรักเมย์นะ รักมานานแล้วด้วย”
“ชั้นว่านายบ้าไปแล้ว ชั้นไม่เคยคิดอะไรกับนายเกินเพื่อน”
มณทกานต์ลุกขึ้นยืน ก็รู้สึกมึนหัวอย่างหนักมองทุกอย่างเบื้องหน้าเบลอไปหมด แต่พยายามจะควบคุมสติไว้ แต่แล้วก็ดับวูบ ร่างของมณทกานต์ร่วงลง ชาคริตรีบเข้าไปประคองไว้
“ตอนนี้จะรักหรือไม่รักก็ไม่สำคัญแล้ว”
ชาคริตจะประคองมณทกานต์เดินออกไป แต่บุญทันก้าวออกมาขวางไว้
“จะพาผู้หญิงไปไหน” บุญทันถาม
“แฟนชั้นเมา ชั้นจะพากลับบ้าน”
“ชั้นว่าแกปล่อยผู้หญิงดีกว่า”
“แกเป็นใครวะมาสั่งชั้นเนี่ย”
“ชั้นเตือนแกเป็นครั้งสุดท้ายนะถ้าไม่อยากเจ็บตัว ปล่อยผู้หญิง”
“มึงนี่มัน”
ชาคริตปล่อยมณทกานต์แล้วกำหมัดเหวี่ยงเข้าใส่บุญทันทันที บุญทันพลิกตัวหลบ แล้วสวนหมัดกลับเข้าที่หน้าของชาคริตเต็มๆ ชาคริตเซและหันกลับมาอย่างด้วยสีหน้าโกรธ
“มึง”
ชาคริตเหนี่ยวอีกหมัด บุญทันหลบสวนอีกหมัดเข้าเต็มหน้า ชาคริตหน้าหงายล้มลง บุญทันเข้ามาเรียกเมณทกานต์
“คุณเมย์ครับ คุณเมย์”
พนักงานในร้านเห็นความชุลมุนที่เกิดขึ้น จึงเดินเข้ามาถามบุญทัน
“มีเรื่องอะไรครับ”
“น้องสาวผมโดนวางยาครับ”
มณทกานต์พยายามลืมตามองหน้าบุญทัน แต่เห็นไม่ชัดเพราะฤทธิ์ยา
“นาย...”
มณทกานต์นิ่งหมดสติไปอีก บุญทันอุ้มมณทกานต์เดินออกจากร้านเหล้าในทันที

บุญทันเปิดประตูรถแล้ววางเมย์ลงที่เบาะข้างคนขับ แล้วเดินอ้อมไปขึ้นนั่งรถ บุญทันหันมามองเหน้ามณทกานต์แล้วส่ายหน้าเบาๆ
“ซ่าส์จนเจอดี”
บุญทันสตาร์ทรถขับออกไปทันที

รถแล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้านของมณทกานต์ บุญทันหันมามองเห็นมณทกานต์ยังหลับอยู่ บุญทันเรียก
“คุณเมย์ครับ ... คุณเมย์”
บุญทันหันไปหยิบขวดน้ำในรถจับมณทกานต์บีบปากกรอกน้ำใส่จนสำลักน้ำได้สติ มณทกานต์ได้สติมองอย่างตกใจที่เห็นบุญทันอยู่ในรถของตัวเอง
“นี่นายทำอะไรชั้นเนี่ย”
“ใจเย็นครับ ผมไม่ได้ทำอะไรคุณ แค่ขับรถพาคุณกลับมาบ้าน”
มณทกานต์ยังรู้สึกงงๆ
“เอ๊ะ .. ชั้นจำได้ว่า...”
“ใช่ครับ แฟนคุณมอมยาคุณ โชคดีที่ผมไปเจอคุณก่อน ไม่งั้นป่านนี้คุณ ...”
มณทกานต์นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ลางๆก็ตกใจ
“นี่นายเป็นคนช่วยชั้นงั้นหรือ”
“ใช่ครับ ถ้าคุณคิดจะขอบคุณผมล่ะก็ ...”
“ฝันไปเถอะ ชั้นไม่ได้ขอให้นายช่วย”
มณทกานต์เปิดประตูลงจากรถ บุญทันเดินตามลงมา
“อ้อ แล้วคราวหน้าคราวหลังไม่ต้องมาสะเออะเรื่องของชั้น”
มณทกานต์เดินสะบัดเข้าบ้าน บุญทันมองตามแล้วส่ายหน้า
“โอ้โห แรงได้อีก”

คืนวันเดียวกัน ภายในห้องนอนของบ้านเช่า ญาดาหลับอยู่บนเตียงหันหลังให้กับประตู สักครู่ประตูค่อยๆแง้มเปิดเข้ามา เจ๊อ้อยค่อยๆย่องเข้ามาในห้อง ชะเง้อมองเห็นญาดาที่หลับอยู่ จู่ๆ ญาดาก็ขยับพลิกตัวหันมาทางหน้าประตู เจ๊อ้อยชะงักยืนนิ่งไม่ไหวติง ชะโงกมองชัดๆอีกที จนแน่ใจว่า ญาดายังหลับอยู่ จึงตรงไปที่ตู้เซฟทันที เจ๊อ้อยลงมือเปิดอย่างเบามือก่อนจะหยิบเงินในตู้เซฟแล้วรีบเดินออกไป ญาดายังคงหลับไม่รู้เรื่อง

ภายในบ่อน เวลาต่อมา นักพนันวางชิปตามตำแหน่งหมายเลขที่ต้องการเสี่ยงโชค วงล้อหมุนเริ่มทำงาน ลูกบอลขนาดเล็กถูกโยนเข้าไปในวงล้อที่กำลังหมุน เจ๊อ้อยเป็นอีกคนหนึ่งในกลุ่มนักพนันที่ลุ้นอยู่
ลูกบอลค่อยๆหยุดตรงหมายเลขที่เจ๊อ้อยเลือกไว้
“มันต้องอย่างนี้สิวะ เฮงๆๆ” อ้อยลิงโลดด้วยความดีใจ กวาดชิปมาที่ตัวเอง เฮียเสกซึ่งดูแลบ่อนอยู่แวะเข้ามาทักทาย
“ไงเจ๊อ้อย หายหน้าหายตาไปนานเลย หนี้เก่าเพิ่งเคลียร์หมดไปหมาดๆคิดจะสร้างหนี้ใหม่อีกแล้ว
เหรอ”
“เอ็งคอยดูเถอะ วันนี้ข้าพกดวงมาเต็มๆ” เจ๊อ้อยพูดอย่างมั่นใจในดวงของตัวเอง

เช้าวันรุ่งขึ้น ภายในห้องนอนของญาดาซึ่งยังหลับสนิท เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ญาดาตื่นด้วยความงัวเงียมารับสาย เสียงปลายสายทำให้ญาดาถึงกับตกใจทันที
“ฮัลโหล ... แม่! แม่เป็นไรอ่ะ”
“แม่อยู่ที่บ่อน เฮียเสกมันจับตัวแม่ไว้ เอ็งรีบมาช่วยแม่ทีนะ”
“แม่ใจเย็นๆนะ หนูจะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ”
ญาดาลุกขึ้นเปิดเซฟ ภายในตู้ว่างเปล่า เงินและของมีค่าหายไปหมด
“แม่นะแม่ ขโมยเงินไปเข้าบ่อนอีกแล้ว”
ญาดาล้วงไปที่ใต้หมอนหยิบซองเงินออกมา ภายในซองมีเงินซ่อนอยู่เกือบสองหมื่นบาท
“นี่มันก้อนสุดท้ายแล้วนะ”
 
โปรดติดตามตอนต่อไป

เล่ห์ร้อยรัก ตอนที่ 1 (ต่อ)
 
 
ในเวลาต่อมา บริเวณอพาร์ทเม้นท์เก่าๆแห่งหนึ่ง ซึ่งมีชายฉกรรจ์เฝ้าตรงประตูเข้าออก ญาดาเดินเข้าไปอย่างรีบร้อน คุยด้วยสองสามคำ คนเฝ้าก็เปิดประตูให้ขึ้นไปยังบ่อนทันที
 
เจ๊อ้อยนั่งอยู่บนเก้าอี้กลางห้องทำงานของเสก โดยมีลูกน้อง 2 คนควบคุมตัวไว้ เฮียเสกหัวหน้าคุมบ่อนเดินวนอยู่รอบๆ
“อย่าทำอะไรเจ๊เลยนะจ๊ะเฮียเสก ปล่อยเจ๊ไปเถอะ นึกว่าสงสารลูกนกลูกกา”
“เหี่ยวขนาดเจ๊ไม่ต้องกลัวใครทำอะไรหรอก” เสกบอก
เจ๊อ้อยของขึ้นทันที
“ถึงข้าเหี่ยวแต่ก็อร่อยโว๊ย”
เสกจ้องหน้าเจ๊อ้อยด้วยสายตาดุดัน
“เปล่าจ้ะ ไม่มีอะไร” เจ๊อ้อยเสียงอ่อนลง
เป็นจังหวะที่ลูกน้องเสกเปิดประตูพาญาดาเข้ามาในห้อง
“แม่เป็นไงบ้าง” ญาดาถาม
เจ๊อ้อยเมื่อเห็นญาดาเข้ามาก็ผยองขึ้นมาทันที
“ลูกสาวข้ามาแล้ว ไอ้ตาลเอ็งเอาเงินให้มันไปซิ”
“เงินอะไรแม่ หนูไม่มีเงินหรอกก็แม่ขโมยมาเล่นหมดแล้ว”
“เฮ้ย เอ็งพูดอย่างนั้นได้ไงวะ”
“ถ้าไม่มีเงินก็กลับไม่ได้ หรือจะเอาลูกสาวมาขัดดอกดีล่ะจ๊ะ” เสกบอก
เฮียเสกทำท่ากรุ้มกริ่มใส่ ญาดารีบหยิบเงินส่งให้
“เอานี่ ฉันมีเงินติดตัวอยู่แค่เนี้ยสองหมื่น”
“สองหมื่นนี่ยังไม่พอค่าดอกเลย แม่หนูเป็นหนี้เฮียอยู่สองล้าน”
“หา .. สองล้านหรือ”
“ไอ้เสกข้าเป็นหนี้เอ็งแค่สองแสน อยู่ๆมากลายเป็นสองล้านได้ไงวะ มันโกงกันนี่หว่า” เจ๊อ้อยบอก
เจ๊อ้อยจะเข้าไปเอาเรื่อง เฮียเสกหยิบปืนออกมาวางบนโต๊ะ
“ชั้นบอกสองล้านก็ต้องสองล้านสิ”
เจ๊อ้อยถอยไปแอบหลังญาดาแล้วบอก
“จ้ะๆ สองล้านก็สองล้าน”
“แต่ชั้นไม่มีใช้หรอกนะ เงินตั้งเยอะขนาดนั้น”
“ก็บอกแล้วไงถ้าไม่มีเงิน หนูก็ต้องมาขัดดอกให้เฮีย”
เสกเดินเข้ามาจับแก้มญาดา เจ๊อ้อยรีบเข้ามาขวางไว้
“เอ่อ เอาอย่างนี้ได้มั้ยจ๊ะพี่เสก ขอเวลาไปหาเงินหน่อย”
“ได้ ชั้นให้เวลาเดือนนึงแต่บอกก่อนนะอย่าคิดหนี เพราะถ้าชั้นเจอชั้นไม่ปล่อยเจ๊กับลูกสาวแน่”
“จ้ะ เจ๊ไม่หนีไปไหนหรอก เล่นกันมาตั้งกี่ร้อยครั้ง เจ๊ก็หาเงินมาคืนเฮียเสกได้ทุกที เจ๊ไปได้แล้วนะ ไปลูก” เจ๊อ้อยรีบดึงแขนญาดาออกไป
“เดี๋ยว”
เจ๊อ้อยกับญาดาชะงัก
“อะไรอีก” ญาดาถาม
“ชั้นเห็นแหวนที่นิ้วเธอ ถอดออกมา”
ญาดาชะงักทันที มองแหวนที่นิ้วแล้วต่อรองทันที
“แล้วให้เท่าไหร่ล่ะ เพชรน้ำงามนะ”
“แสนนึง” เสกบอก
“อุ๊ย แต่ถ้าเอาไปขายได้เกือบห้าแสนนะวงเนี้ย” เจ๊อ้อยได้โอกาสสร้างมูลค่าเพิ่มทันที
“ใช่ เผลอๆอาจถึงล้านนะ” ญาดาได้ทีรีบสมทบทันที
“จะถอดแหวนออกมา หรือจะให้เฮียถอดผ้าหนู” เสกขู่แบบนิ่มๆ
“เอา เอา ก็ได้” ญาดาถอดแหวนส่งให้
“ไปแม่”
ญาดากับเจ๊อ้อยเดินออกไปแล้ว เฮียเสกยกแหวนในมือขึ้นส่องกับไฟแล้วโยนใส่ลิ้นชักโต๊ะทำงาน

เช้าสายในเวลาต่อมา ญาดาเดินเข้าบ้านเช่าด้วยความโมโห
“ไหนแม่รับปากกับหนูแล้วไง ว่าจะไม่เข้าบ่อนอีก”
“ก็ข้าห้ามใจไม่อยู่นี่หว่า กะจะเล่นแค่นิดหน่อย”
“นิดหน่อยเหรอ แม่ขโมยเงินหนูไปหมดแถมยังติดหนี้มันอีกตั้งสองล้าน แม่ยังบอกว่านิดหน่อยอีก
หรือ”
“ก็บอกว่าผิดไปแล้ว เอ็งจะบ่นแม่ไปถึงไหนวะ”
“หนูไม่ได้บ่นนะแม่ แต่หนูจะบอกแม่ว่าหนูไม่มีเงินไปใช้หนี้ให้แม่แล้วนะ หนูหมดตัวแล้วได้ยินมั้ยว่าหมดตูดน่ะ”
“เออน่ะ คนเราถ้ายังมีขามีแขนรับรองไม่อดตายหรอกโว้ย” เจ๊อ้อยพยายามตัดบท
“แหม แม่เนี่ยทำพูดดี แขนขาที่มีเนี่ยเอาไว้หลอกต้มตุ๋นคนอื่นน่ะดิ หนูจะบอกให้รู้นะว่าหนูไม่ร่วมมือกับแม่แล้ว”
“เออ เอ็งไม่ต้องช่วยเลย ข้าทำของข้าคนเดียวได้”
“อิจฉาพ่อจริงๆเลยที่ชิงหนีตายไปก่อน ไม่ต้องมาทนลำบากแบบนี้”
ญาดาพูดแล้วก็เดินกระแทกเท้าเข้าห้องไปปล่อยให่เจ๊อ้อยด่าตามหลัง
“ถ้าเอ็งรักมันนักก็ตามไปอยู่กับมันเลยไป แต่ข้าขอบอกไว้เลยนะ ถึงมันไม่ตายวันๆมันก็กินแต่เหล้าอยู่ดี”
ญาดาเดินเข้าห้องทั้งโกรธและเสียใจที่แม่เป็นคนแบบนี้
“แม่นะแม่ ผีการพนันเข้าสิงจริง ๆ”

ในเวลากลางวัน วันเดียวกัน นักสืบนั่งคุยอยู่กับธาวินที่โรงแรม
“ผมรู้ที่อยู่ผู้หญิงที่คุณให้ตามหาแล้วนะครับ” นักสืบบอก
“จริงหรือครับ”
“ใช่ครับ เธอเป็นพวกสิบแปดมงกุฎ ตอนนี้ผมให้คนคอยติดตามเธอทุกฝีก้าว ถ้าคุณคิดจะจับเธอให้อยู่หมัดคุณต้องซ้อนแผนครับ”
ธาวินยิ้มพยักหน้า

ที่ฝั่งตรงข้าม บริเวณหน้าบ่อนในเวลาต่อมา ญาดาปลอมตัวเป็นคนตาบอดอีกครั้ง มือถือไม้เท้า เดินผ่านหน้าเจ๊อ้อยที่นั่งขายล็อตเตอรี่อยู่
“พรุ่งนี้รวยจ้า พรุ่งนี้รวย”
“ขอให้เป็นครั้งสุดท้ายนะแม่” ญาดาบอก
“เออน่ะ อย่าบ่นนักเลย”
เจ๊อ้อยแอบมองไปทางหน้าบ่อน ทันทีที่เห็นเป้าหมายก็รีบกระซิบบอกญาดา
“ข้างหลังสิบนาฬิกา”
ญาดาค่อยๆหันหลังกลับไปมอง พลางขยับแว่นตาดำลงเล็กน้อยเพื่อมองไปที่เสี่ยหัวเถิกพุงพลุ้ยใส่ทองเต็มตัวที่เพิ่งเดินออกมาจากในบ่อนพร้อมซองหนังใส่เงิน เสี่ยเอาธนบัตร1000ทิปให้พวกที่เฝ้าประตูคนละใบอย่างอารมณ์ดี
“ตู้ทองเคลื่อนที่” ญาดาพูดพึมพำแล้วสะกดรอยตามไปห่างๆ

ที่จอดรถในซอยริมถนนเปลี่ยว เสี่ยพุงพลุ้ยเดินมาที่รถยนต์ แล้วเปิดประตูเข้าไปนั่ง ญาดาทำเป็นตาบอดเดินเคาะไม้เข้าไปหาเหยื่อเป้าหมายทันที
เสี่ยสตาร์ทขยับรถเคลื่อนออกจากที่หมาย ญาดาทำเป็นทำเดินสะเปะสะปะเข้ามาขวาง รถเบรกเอี๊ยด! ญาดาแกล้งล้มลงร้องโอดโอย
“โอ๊ย!”
เสี่ยรีบลงจากรถ
“ขอโท่กๆ อั๊วไม่ทังไล่ลู”
“ไม่เป็นไรคะ ฉันผิดเอง ตาบอดแล้วยังซุ่มซ่ามอีก” ญาดาเริ่มต้นแผนการทันที
เสี่ยพุงพลุ้ย หัวเถิกยื่นหน้าไปใกล้ๆจนญาดาต้องผงะถอยหนี
“อ้าว ลื้อตาบอดเหรอ”
ญาดาทำหน้าเศร้า
“ค่ะ จากอุบัติเหตุตอนเด็ก แต่ตอนนี้ฉันชินกับโลกมืดใบนี้แล้วค่ะ”
“มา มา ลุกขึ้ง อั๊วพยุงให้” เสี่ยพูดแล้วเข้าพยุงตาลให้ลุกขึ้น
“ขอบคุณค่ะ”
เสี่ยกุมมือญาดาไว้แล้วว่า
“สวยๆอย่างลื้อม่ายน่าตาบอดเลย เสียของโหมด แต่ไม่เปงรายอั๊วม่ายถือ”
เสี่ยฉวยโอกาสจุ๊บมือ ญาดาอมยิ้มที่เหยื่อกำลังจะกินเบ็ด เสี่ยจูบไล่จากแขนไปถึงแก้มของญาดาด้วยสีหน้าตาและแววตาหื่นกระหาย ญาดาตกใจปัดออกอย่างขยะแขยง
“เอ่อ ชั้น ชั้นหายเจ็บแล้ว”
“นานๆจะล่ายเจอคงสวยซะที” เสี่ยบอก
เสี่ยไม่ยอมหยุด ตรงเข้าฟัดซุกไซร้จนญาดาต้องผละออกอย่างตกใจ คิดไม่ถึง
“ชั้น .. ชั้นไปก่อนดีกว่านะคะ”
ญาดาหันจะเดินไปแต่ต้องชะงักเพราะถูกใส่กุญแจมือ ตาลหันกลับไปมอง เห็นเสี่ยที่ยิ้มยกโชว์ให้ดูว่ากุญแจมืออีกข้างล็อกอยู่ในมือตัวเอง
“ลื้อจำอั๊วม่ายล่ายเหรอ อาคงสวย”
ธาวินถอดวิก ดึงหนวดออกเล่นเอาญาดาตะลึงอ้าปากค้าง ยืนนิ่งอยู่
“คุณ ...”
 
โปรดติดตามตอนต่อไป


เล่ห์ร้อยรัก ตอนที่ 1 (ต่อ)
 
 
ในเวลาต่อมา ธาวินพาญาดาที่ถูกล็อกกุญแจมือกลับมาที่ห้องพักภายในโรงแรม ธาวินจ้องหน้าด้วยสายตาคาดคั้น ญาดาหลบสายตาทันที
 
“ฉันยอมแล้ว อย่าส่งฉันให้ตำรวจเลยนะ จะให้ชั้นทำอะไรก็ได้” ญาดาบอก
“เอาของของชั้นคืนมาให้หมด” ธาวินพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเอาจริง
“คือ... ชั้น ...”
“ชั้นอะไร”
“ชั้นเอาของของๆคุณไปขายใช้หนี้หมดแล้วไม่เหลือเงินซักบาท”
“ของพวกนั้นขายได้เป็นหลายแสนเลยนะ เธอเอาไปใช้หมดแล้วหรือ”
“ใช่ ชั้นเอาไปใช้หนี้อ่ะ”
“แล้วแหวนล่ะ อย่าบอกนะว่าเธอขายแหวนไปด้วย”
“เปล่า ไม่ได้ขาย แต่ว่ามันอยู่ในบ่อน”
ธาวินตกใจตะคอกใส่ญาดาทันที
“ เธอว่าไงนะ”
ญาดาสะดุ้งด้วยความกลัว
“คือ... คือเจ้าหนี้อ่ะ เค้ายึดเอาไว้”
“เธอรู้รึเปล่าว่าแหวนนั่นมันสำคัญแค่ไหน”
ญาดายกมือไหว้
“ชั้นไม่รู้ ชั้นขอโทษ ยกโทษให้ชั้นเถอะนะ”
“ได้ ชั้นจะยกโทษให้เธอ ถ้าเธอไปเอาแหวนชั้นคืนมา”
“จะบ้าเหรอ ขืนชั้นทำแบบนั้นฉันก็ถูกฆ่าหมกส้วมน่ะดิ”
“หรือเธออยากติดคุก”
“ก็ได้ ก็ได้ ฉันจะเอาแหวนมาคืนคุณ”
ญาดาบอกอย่างจำใจ ธาวินมองหน้าอย่างไม่ไว้ใจ

คืนวันเดียวกัน ธาวินขับรถมาที่หน้าบ่อนโดยมีญาดากับเจ๊อ้อยนั่งมาด้วย
“จะให้เข้าไปจริงๆเหรอ” ญาดาถาม
“ถ้าแหวนของชั้นอยู่ในนั้น เธอก็ต้องไปเอาออกมา” ธาวินยืนยัน
“แต่ที่จริงถ้าคุณมีเงินให้ฉันยืมซักสองล้าน ฉันก็ไปเอาแหวนมาคืนให้คุณได้โดยไม่ต้องเข้าไป
ขโมย”
“เธอจะบ้าเหรอ ทำไมชั้นต้องเสียเงินเพื่อไถ่แหวนของตัวเองที่ถูกขโมยไปด้วย”
“แต่ถ้าไอ้เสกมันรู้ว่าเรามาขโมยของในบ่อนมัน มันไม่เอาพวกเราไว้แน่” เจ๊อ้อยบอก
“ถ้ากลัวไอ้เสกอะไรนั่นมากกว่าตำรวจก็ตามใจ ดี ติดคุกทั้งแม่ทั้งลูกจะได้ไม่เหงา” ธาวินข่มขู่
เสียงเข้ม
ญาดาสบตากับเจ๊อ้อยที่พยักหน้าช้าๆ ญาดาได้แต่ถอนหายใจด้วยความเซ็ง

ภายในบ่อนบรรยากาศคึกคัก ญาดากับเจ๊อ้อยใส่วิกผม สวมแว่นตาปลอมตัวเข้าไปเดินมองรอบๆอย่างระมัดระวัง
เจ๊อ้อยกระซิบถามญาดา
“เอ็งแน่ใจนะว่าไม่มีใครจำเราได้”
“เชื่อฝีมือปลอมตัวของหนูเถอะแม่ อ้อ แต่ขาประจำอย่างแม่ หนูก็ไม่ค่อยมั่นใจเหมือนกันนะ”
สมุนเฮียเสกเดินมาพอดี ญาดากับเจ๊อ้อยหยุดพูดกันชั่วคราว เมื่อสมุนเดินผ่านไปก็ชะงัก หันกลับมามอง
“สองคนนั้นเดี๋ยวก่อน”
ทั้งญาดาและเจ๊อ้อยชะงักไปทันที ในใจลุ้นระทึก
“มีอะไรเหรอจ๊ะพี่ชาย”
สมุนเดินเข้ามาหาพลางหยิบชิปพนันที่หล่นอยู่กับพื้น
“ชิปพนันหล่นจะแจกเงินพี่หรือไงจ๊ะน้องสาว”
“ขอบใจนะจ๊ะพี่สุดหล่อ”
เจ๊อ้อยส่งยิ้มให้ สมุนมองหน้าเจ๊อ้อยครู่หนึ่งก็ชะงัก
“เอ๊ะ น้องคนข้างหลังนั่น หน้าตาคุ้นๆนะ”
เจ๊อ้อยสะดุ้งรีบก้มหน้าก้มตาหลบอย่างมีพิรุธ ญาดาเริ่มอึกอัก สมุนขยับตัวเข้าไปดูใกล้ๆ
“อาตี๋อ่า อั๊วจะแลกชิกได้ที่ไหนวะ” เสียงของธาวินที่ปลอมเป็นเสี่ยพุงพลุ้ย หัวเถิกดังขึ้นขัดจังหวะ
“ทางนี้เลยเสี่ย ตามผมมา”
“ขอบจายๆ ถ้าวันนี้อั๊วเล่งด้าย อั๊วจะให้ติ๊บลื้อหนักๆเลย” ธาวินในคราบเสี่ยบอก
สมุนพาเสี่ยเดินออกไปทั้งญาดาและเจ๊อ้อยโล่งอกในทันที
“เกือบซวยแล้วมั้ยล่ะ ไอ้ตาลเอ็งไปรับปากไอ้บ้านั่นทำไมวะ ข้าล่ะไม่อยากเข้ามาเหยียบที่นี่ตอนนี้เลย” อ้อยกระซิบบอก
“แม่ก็เห็นนี่ ถ้าหนูไม่รับปากมันจะจับเราส่งตำรวจ อย่าบ่นน่า ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะแม่คนเดียว”
“อ๋อ นี่เอ็งลำเลิกบุญคุณกับข้าเหรอ” เจ๊อ้อยเสียงดังอย่างลืมตัว
ญาดาส่งสัญญาณให้เจ๊อ้อยเงียบๆ เพราะนึกอะไรขึ้นได้
“เดี๋ยวนะแม่ ตอนนี้ไอ้บ้านั่นมันก็ไม่อยู่แล้ว แล้วเราจะอยู่ทำไมล่ะ”
“เออจริง เผ่นเถอะ”
ญาดากับเจ๊อ้อยรีบเดินจนเลี้ยวหลุดมุมห้องไป
ทันทีที่ญาดากับเจ๊อ้อยกำลังจะเดินเลี้ยวออกมา แต่ต้องสะดุ้งที่เจอธาวินในคราบเสี่ยยืนรออยู่
“จะหนีไปไหน ชั้นนึกอยู่แล้วว่าเธอสองคนแม่ลูกไว้ใจไม่ได้”
“หนีเหนอที่ไหนกันเล่า ฉันกับแม่กำลังเดินหาห้องเก็บของอยู่” ญาดาเฉไฉ
“เหรอ แล้วข้างหลังนั่นมันห้องอะไร”
ญาดาหันไปเจอป้ายห้องเก็บของตัวเบ้อเร้ออยู่
“แหม ก็มันไม่ทันเห็น”
“เลิกเล่นตุกติกได้แล้ว” ธาวินขู่ซ้ำ
ทั้งญาดา เจ๊อ้อย และธาวินมองซ้ายขวาอย่างระมัดระวังแล้วแอบเปิดประตูห้องเก็บของเข้าไป

ภายในห้องเก็บของมีลังกระดาษวางซ้อนๆกันอยู่หลายลัง
“พวกมันไม่ได้เก็บแหวนไว้ในนี้มั้ง” เจ๊อ้อยบอก
“ใครว่าหนูมาหาแหวนในนี้ล่ะแม่ หนูมีแผนอื่น”
“แผนอะไร” ธาวินถาม
ญาดาไม่ตอบได้แต่ยิ้มแล้วหยิบไฟแช็คขึ้นมาจุดจนเห็นเปลวไฟ
ควันเริ่มพวยพุ่งเมื่อทั้งญาดา เจ๊อ้อยและธาวินเปิดประตูห้องออกมา ญาดากับเจ๊อ้อยสบตากันและร้องขึ้นพร้อมกัน
“ไฟไหม้!”
“ช่วยด้วย! ช่วยกันดับไฟเร็ว” เจ๊อ้อยตะโกน
“ทางนี้ๆ ช่วยล่วย! ไฟไหม้บ่อนแล้ว” ธาวินร่วมเสียงกระพรือ
“หนีเร็วๆ ไฟไหม้ๆ” ญาดาตะโกนอีก
บรรดาลูกค้าทั้งหลายต่างตกใจ วิ่งหนีตายกันอย่างอลหม่านท่ามกลางควันที่ฟุ้งกระจายไปทั่ว ทั้งสามคนยิ้มสะใจในแผนการ

ภายในห้องคุมบ่อน เฮียเสกกำลังนับเงินอยู่ก็ได้ยิน เสียงคนตะโกนโหวกเหวกที่ด้านนอก ลูกน้องวิ่งเข้ามารายงานทันที
“เฮีย ไฟไหม้”
“หา ... ไฟไหม้ที่ไหนวะ”
เฮียเสกรีบวิ่งออกไปดูทันที ขณะที่ญาดา เจ๊อ้อย และวิน โผล่มาที่หน้าห้องของเสก
“อยู่ที่นี่แน่นะ” ธาวินถาม
“คิดว่าแน่”
ทั้งสามคนเปิดประตูเข้าไปทันที

ญาดาโผล่เข้ามาที่ห้องเป็นคนแรก ตามด้วยเจ๊อ้อย โดยมีธาวินรั้งท้ายรออยู่หน้าประตู ตาลพุ่งไปที่โต๊ะทำงานเสกแล้วเปิดลิ้นชักทันที ญาดาหยิบแหวนในลิ้นชักออกมทันที
“ชั้นเจอแล้ว รีบไปกันเถอะ”
ญาดากำลังจะเผ่นไปที่ประตู เจ๊อ้อยเหลือบเห็นเงินที่เฮียเสกนับค้างไว้วางอยู่บนโต๊ะ จึงคว้าติดตัวมา
“เรามาเอาแค่แหวนนะแม่”
“เออน่า ถือว่าเป็นโบนัส พวกมันเอาเงินจากข้าไปเยอะแล้ว ขอข้าเอาคืนบ้าง”
เจ๊อ้อยรีบโกยเงินใส่กระเป๋า เฮียเสกเปิดประตูเข้ามาพอดี ธาวินรีบดึงตาลหลบเข้าที่หลังประตูทันที
ญาดารีบเอาแหวนสวมเข้าที่นิ้วทันที
“เฮ้ย! ทำอะไรน่ะ”
เฮียเสกวิ่งเข้ามาแย่งเงินจากเจ๊อ้อย เจ๊อ้อยไม่ยอมคืนง่ายๆ ทั้งคู่ชุลมุนกันอยู่จน เฮียเสกกระชากวิกผมหลุดจึงพบว่า ที่แท้คือ เจ๊อ้อย นั่นเอง
“หา... นี่แก กล้าล้วงคองูเห่าเชียวเหรอ”
“เปล่าๆนะจ๊ะ ข้าเห็นไฟมันกำลังลามมาทางนี้เลยมาช่วยเก็บของ” เจ๊อ้อยเฉไฉ
“อยากตายนักใช่มั้ย” เสกถาม
เสกกระชากปืนจะยิง ธาวินแอบย่องมาข้างหลังฟาดเสกด้วยกรอบรูป จนเสกร่วงลงกับพื้นในทันที
“ไปเร็ว” ธาวินบอก

ทั้งญาดา อ้อยและธาวินรีบวิ่งออกไปด้วยความเร็ว เฮียเสกพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยความมึน คว้าปืนวิ่งตามออกไปทันที
 
จบตอนที่ 1


โปรดติดตาม ตอนที่ 2 พรุ่งนี้ เวลา 09.30 น.
กำลังโหลดความคิดเห็น