เกิดเป็นหงส์ ตอนที่ 11
ผ่องทิพย์นั่งนิ่งอยู่ตรงหน้า อาจารย์เมฆมองผ่องทิพย์ทั่วตัว ผ่องทิพย์กระชับเสื้อผ้าปกคลุมตัว
“นอนลง”
“ต้องนอนด้วยเหรอ”
“ถ้าเอ็งลังเลสงสัยนัก ข้าจะไม่ทำพิธีให้ ต่อไปก็ไม่ต้องใช้นังบุญปลูกมาขอ อะไรจากข้าอีก”
ผ่องทิพย์จำใจนอนลง อาจารย์เมฆลุกขึ้น ยืนมอง ผ่องทิพย์ไม่กล้าสู้หน้า อาจารย์เมฆลงนั่งข้างๆผ่องทิพย์ แล้วลูบไล้จากข้อเท้า ขึ้นมาเรื่อยๆ ผ่องทิพย์ชะงัก
“จะทำอะไร”
“ข้าจะลงนะให้เอ็ง ตั้งแต่หัวจรดเท้า”
“แล้วทำไมต้องลูบ”
“เพราะคาถาอยู่ที่มือของข้า...ถ้าเอ็งไม่เงียบ ข้าจะไม่อดทนอีกแล้วนะ”
ผ่องทิพย์หุบปาก รู้สึกอึดอัด เมื่อถูกอาจารย์เมฆลูบไล้ขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงต้นขาอ่อน เห็นขาขาวๆของผ่องทิพย์แล้ว อาจารย์เมฆกลืนน้ำลายเอื้อก แต่ก็กลั้นใจ ทำพิธีต่อไป...อาจารย์เมฆลุกขึ้นคร่อมทันที ผ่องทิพย์ชักกลัว อาจารย์เมฆโน้มตัวลงมา จับแขนทั้งสองของเธอขึงพรืด ผ่องทิพย์หน้าตื่น
“จะทำ...”
อาจารย์เมฆเอามือปิดปากผ่องทิพย์เอาไว้ โน้มหน้าลงไปกระซิบ
“บอกแล้วไง ว่าอย่าถาม...ทำใจเย็นๆ ถ้าเอ็งอยากให้ผัวกลับมารักมาหลง จงเชื่อข้า หลับตาลง”
ผ่องทิพย์หลับตาลง อาจารย์เมฆก้มลง ท่องคาถาขมุบขมิบเป่าข้างซอกหู ผ่องทิพย์เคลิ้ม ค่อยๆคลายความตึงเครียดยิ้มรับ...อาจารย์เมฆเป่าคาถาเรื่อยมาตามลำคอ เนินอก ผ่องทิพย์หายใจกระเพื่อมแรง อาจารย์เมฆเป่ามนต์คาถาไปตามส่วนต่างๆของร่างกายผ่องทิพย์ พลางใช้มือลูบไล้ ปลายเท้าผ่องทิพย์ จิก เกร็ง...
บุญปลูกเอาหูแนบประตูตำหนัก ได้ยินเสียงของบางอย่างหล่นโครมตกลงมาก็ตกใจ
“ว้าย!”
บุญปลูกจะเข้าไป แต่ก็ยั้งไว้
“อาจารย์สั่งห้ามเข้าไป...”
บุญปลูกถอยกลับมานั่งรอเหมือนเดิม ด้วยใจกระหายใคร่รู้ พระจันทร์เต็มดวงลอยเด่น สว่างอยู่กลางหาว...
พระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าตรู่...หญิงมานศรีเดินออกมาจากบ้านในชุดไปทำงานตัดอ้อย ด้วยอาการปวดเมื่อยเนื้อตัว เดินแทบไม่ไหว ทิวเดินมาดักหน้าโยนยานวดให้
“เอาไป”
“ไม่เอา”
“ฉันไม่อยากให้เธอเอาสภาพร่างกาย ที่ไม่พร้อมไปทำงานให้ฉัน”
“รู้ได้ไง ว่าฉันจะไม่พร้อม”
“ฉันไม่ได้ตาบอด”
“ใช่ นายไม่ได้ตาบอด แต่หัวใจบอดสนิท”
หญิงมานศรีเดินหนี พยายามทำเข้มแข็ง ทิวดึงตัวเข้ามา
“อะไรอีกเนี่ย”
ทิวจัดการถอดเสื้อแขนยาวที่เธอใส่ไว้ข้างนอกออก
“ทำอะไร ปล่อยฉันนะ นายทิว”
“ถอดเสื้อ”
หญิงมานศรีดิ้น แต่ไม่สะดวกนัก เพราะปวดเมื่อยตัวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทิวจัดการถอดเสื้อจนสำเร็จ แล้วจับแขนเธอขึ้นมา
“อยู่เฉยๆ ไม่งั้น...”
หญิงมานศรีเอามืออีกข้างปิดปากตัวเองเอาไว้ กลัวถูกจูบ
“ดี ไม่ต้องเสียน้ำลายพูดมาก”
ทิวบีบยาจากหลอดแล้วทาที่แขนให้จากนั้นก็นวดเบาๆ หญิงมานศรีอึ้ง...มองเขานวดแขนตัวเอง ชายหนุ่มเหลือบตามองหญิงสาวทำไม่รู้ไม่ชี้ หญิงมานศรีเสียงอ่อนลง
“นายทำแบบนี้ทำไม”
ทิวอึ้งไป
บุญปลูกนั่งหลับพิงเสาอยู่หน้าตำหนักอาจารย์เมฆ ผ่องทิพย์ก้าวออกมาจากข้างในตำหนัก เดินมาช้าๆที่บุญปลูกเอาเท้าเขี่ยปลุก บุญปลูกสะดุ้งตื่น รีบเบิ่งตามอง
“คุณนายคะ”
ผ่องทิพย์หน้าตาสดใสมากดูกระชุมกระชวยที่สุด
“อาจารย์ลงนะให้ฉันเรียบร้อยแล้ว...”
“สดใสซาบซ่าขึ้นมาก”
“ใช่...ฉันสดใสและซาบซ่ามาก”
“รีบลองทดสอบเลยนะคะ ถ้าได้ผล บุญปลูกจะได้ห้าร้อย”
ผ่องทิพย์ตวาด
“จำไว้! ว่าแกไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ถ้าเรื่องนี้เล็ดลอดออกไป ฉันเอาแกตายแน่”
ผ่องทิพย์เดินออกไป อย่างกระชุ่มกระชวย บุญปลูกหน้าเสีย รีบเดินตามไป
ทิวยังนวดแขนให้หญิงมานศรีเงียบๆ พิไลพรเดินออกมา เห็นเข้ารีบหลบเข้าหลืบแอบมองมา ยิ้มๆ
“จะไม่พูดใช่มั้ย ว่าทำแบบนี้ทำไม”
“ฉันอยากได้แรงงานคุณภาพ ไม่ใช่คนพิการ”
หญิงมานศรีชักแขนกลับ ด้วยความไม่พอใจ
“พอแล้ว”
“เสร็จพอดีเหมือนกัน”
หญิงมานศรีรีบใส่เสื้อทับ
“ฉันจะไม่ขอบใจนายหรอกนะ”
“ไม่จำเป็น เพราะไม่อยากได้ บอกแล้วไง...ว่าที่ฉันอยากได้คือแรงงานคุณภาพ ไม่ใช่คำขอบคุณ”
ทิวเก็บยา เดินออกไป หญิงมานศรี สบถไล่หลัง
“คนบ้า โรคจิต!”
หญิงมานศรีมองแขนตัวเอง รู้สึกดีขึ้น แอบอมยิ้ม นึกถึงสัมผัสของเขา พิไลพรมองอย่างพิจารณา พอจะมองเห็นว่า หญิงมานศรีรู้สึกดีต่อทิวแน่ๆ
ผ่องทิพย์เดินเข้ามา มองซ้ายมองขวา จะเข้าห้อง เทพและขวัญตาในชุดนอน ควงแขนกันมา
“ไปนอนที่ไหนมาคะพี่ผ่อง”
ผ่องทิพย์สะดุ้งเฮือก...หันไป เทพมองมาที่เธอด้วยสายตาคมกริบ ผ่องทิพย์นิ่ง ขวัญตามองอย่างจับผิด
“เสื้อผ้าก็ดูยับๆ เหมือนไปถูกทับ เอ้ย...ไปนอนทับอะไรมางั้นแหละ”
ผ่องทิพย์หันมองขวัญตาด้วยสายตาแข็งกร้าว เทพถามเสียงเข้ม
“ไปไหนมา ผ่องทิพย์”
ผ่องทิพย์ไม่โวยวาย กลับยิ้มยั่ว
“ไปเที่ยวมาค่ะ”
เทพแปลกใจ
“เที่ยว”
ขวัญตา
“ต๊าย เที่ยวที่ไหนอ่ะ กลับซะเช้า”
“เที่ยวกับผู้ชาย เด็กกว่าด้วย สนุกเชียวค่ะ”
เทพหน้ากระตุกทันที
“ทำตัวเหมือนคนไม่มีผัวเลยนะพี่ผ่อง แล้วยังหน้าด้านพูดต่อหน้าคุณเทพอีกนะ เกรงใจกันบ้างสิ”
“เกรงใจทำไม ทีผัวฉันยังไม่เคยเกรงใจฉันเลย ไม่เห็นหัวกันแล้วด้วยซ้ำ ขอโทษนะคะคุณเทพ ถ้าผ่องจะออกไปบริหารเสน่ห์บ้าง ผ่องไม่อยากแห้งตายเป็นบัวแล้งน้ำ”
เทพฉุนกึก
“กะอีแค่ไม่กี่วันที่ฉันไม่สนใจเธอ มันทำให้จะเป็นจะตายขึ้นมาหรือไง ถึงต้องออกไปร่านข้างนอก”
ผ่องทิพย์ตบหน้าเทพทันที
“ฉันไม่ได้ร่าน คุณต่างหาก!”
“ผ่อง!”
เทพตบผ่องทิพย์ลงไปกอง เลือดออกมุมปาก หันหน้ามาปาดเลือดแล้วดูด มองหน้าเทพอย่างยั่วยวน ก่อนจะลุก เดินเข้าห้องไป
“อย่าเดินหนีฉัน”
ผ่องทิพย์ที่ยังเปิดประตูคาไว้ กระดิกนิ้วให้เทพเข้าไปหาในห้อง เทพอึ้ง...
“คุณเทพ...อย่าเข้าไปนะคะ” ขวัญตาเข้าไปล็อกตัวเอาไว้ “ขวัญตาไม่ยอมอ่ะ ขวัญตาไม่อยากอยู่ห่างคุณนะ”
เทพ จิกหัวขวัญตาขึ้นมา
“งั้นก็เข้าไปด้วยกันสิ”
“อะไรนะคะ”
“รักฉัน ก็อย่าขัดใจฉัน”
ขวัญตาอึ้ง...ผ่องทิพย์เข้ามากอดเทพ มองขวัญตาอย่างเยาะเย้ย
“ไม่มีใครตามใจคุณเทพเท่าผ่องหรอกค่ะ...นังนี่...มันใจไม่ถึง ไม่อยากรู้เหรอ...ว่าทำไม...เด็กถึงได้ถูกใจผ่องนัก”
เทพผลักผ่องลงล้มลงบนพื้น ค่อยๆปิดประตู สายตาของผ่องทิพย์ยังมองเยาะเย้ยขวัญตาอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งประตูปิดลงขวัญตาเต้นเร่าๆ
“อ๊ายย!”
หญิงมานศรีมองนาฬิกาข้อมือตัวเอง ยังเช้าอยู่ ประมาณ 7.30 น.
“ยังพอมีเวลา...คุณเทพยังไม่เข้าออฟฟิศแน่”
หญิงมานศรีคิดอะไรบางอย่างที่ยังติดค้างในใจ คือ...ประตูบ้านเล็กๆหลังรูปพ่อทิวในห้องทำงานเทพ
ชายธีรพลเดินมาตามทางเดินในโรงพยาบาล เสกสรรค์เดินมาเห็นพอดี
“ชายธี!”
“เฮ้ย...เสก!”
เสกสรรค์และชายธีรพลเข้ามาจับมือ ทักทายกันอย่างดีใจ
“ฉันดีใจมากที่รู้ว่าแกย้ายมาที่นี่”
“ฉันกำลังอยากเจอแกพอดี”
“ก็มาหาแล้วไง และเอาเรื่องมารบกวนแกด้วย”
“เรื่องอะไร”
“เรื่องคุณหญิง”
ธีรพลแปลกใจกับคำขอร้องของเสกสรรค์
ในออฟฟิศที่ยังไม่มีใครมา หญิงมานศรีเดินอย่างเร่งรีบมาที่หน้าห้องทำงานเทพ มองซ้าย มองขวา เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใคร เธอรีบเปิดประตูเข้าไป ตรงมาที่รูปของทัดที่แขวนอยู่บนผนัง หญิงสาวเขย่งเท้าจะยกรูปของทัดออก
ทันใดนั้น มือของทิวเข้ามาจับมือของเธอเอาไว้ หญิงมานศรีตกใจ หันไป
“จะทำอะไร”
ทิวลากตัวหญิงมานศรีออกมาจากออฟฟิศ ขณะที่หญิงสาวโวยวาย
“ปล่อยฉันนะ”
“ไม่ปล่อย มานี่”
“ไม่ปล่อยแหรอ...” หญิงสาวกระทืบเท้าเขาอย่างแรง “นี่แน่ะ”
“โอ๊ย”
“ฉันไม่มีมือแต่ฉันยังมีเท้า”
“เหรอ งั้น ลองไม่มีทั้งมือและเท้าดูซิ”
ชายหนุ่มจัดการช้อนตัวหญิงสาวอุ้มขึ้นมา เธอตกใจ
“ว้าย!...นายทิว”
“ดิ้นสิ ฉันจะทุ่มลงตรงนี้ ให้หลังหักเลย คอยดู”
หญิงมานศรีกลัว ยกมือเกาะรอบคอของเขาอาไว้ ใกล้ชิดกัน โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ทั้งทิวและมานศรีนสบตากันอึ้งตะลึง เทพเดินมาจากมุมหนึ่ง เห็นเข้า อึ้ง...ไม่พอใจ ทิวรู้สึกตัว ปล่อยตัวหญิงมานศรีร่วงลงพื้นด้วยความเขิน
“ว้าย!”
เทพจะเดินเข้าไป...ล้วนเข้ามาหาพอดี
“นายใหญ่ครับ...”
เทพชะงัก มองทิวและหญิงมานศรีอย่างเสียดาย จำใจตามล้วนออกไป
หญิงมานศรีนั่งอยู่กับพื้นทิวตกใจ เข้าไปดูอาการ
“เจ็บมั้ย!”
“ไม่เจ็บเลยมั้ง ปล่อยลงมาได้ ถอยไป”
หญิงมานศรีผลักเขาออกไป แล้วลุกเดินเขยกออกไป ทิวตามไป
เทพเปิดประตูห้องทำงานเข้ามากับล้วน เดินเข้ามาอารมณ์เสีย
“แกแน่ใจเหรอ ว่ามันจะไม่มีทางปากโป้ง”
“แน่ใจครับ มันรับสารภาพให้เป็นเรื่องชิงทรัพย์ ไม่มีทางซัดทอดถึงเรา”
“แต่ฉันไม่แน่ใจ...ไอ้ทิวมันกัดไม่ปล่อยแน่ ไปจัดการปิดปากมันซะ”
“แต่มันเป็นลูกน้องคนสนิทของผม”
“ฉันบอกให้ไปจัดการมันซะ หรือแกจะอยากรับเคราะห์แทนมัน”
เทพหันไปซัดเปรี้ยงใส่หน้า ล้วนเซไปทางผนังที่ติดรูปของทัด เทพสังเกตเห็นรูปของทัดเบี้ยวอยู่ เขารู้สึกผิดปกติ ก่อนจะหันไปสั่งล้วน
“ชักช้าอยู่ทำไม!”
“ครับ นายใหญ่”
ล้วนรีบออกไป เทพเดินมากดอินเตอร์คอมพ์หาเลขาคนใหม่ทันที
“คุณสร้อยฟ้า เข้ามาหาผมหน่อย”
เทพยืนมองรูปของทัด อย่างครุ่นคิด
หญิงมานศรีเดินเขยกมาตามทาง ทิวเข้ามาขวาง
“เธอเข้าไปในห้องไอ้เทพทำไม”
หญิงมานศรีอึ้ง
“แล้วนายล่ะ เข้าไปในห้องคุณเทพทำไม”
ทิวก็อึ้งไปเหมือนเมื่อถูกย้อน
“ฉันถามเธอ อย่ามาย้อน”
“ฉันก็ถามนายเหมือนกัน ตอบให้ได้ก่อนสิ”
ทิวอึ้งไปอีก หญิงมานศรีจ้องหน้าอย่างสงสัย
“นายตามฉันมาทำไม”
“เพราะฉันรู้น่ะสิ ว่าคนอย่างเธอ อาจจะคิดทำอะไรที่ไม่ชอบมาพากล”
“เหรอ...เช่น...”
“รูปพ่อฉันไง...เธอคิดจะทำอะไรกับรูปพ่อฉัน”
หญิงมานศรีหาทางแก้ตัว
“ฉันจะมาหาคุณเทพ แล้วฉันก็หันไปเห็นรูปของพ่อนาย รู้อะไรมั้ย เมื่อฉันเกลียดนาย ฉันก็ไม่อยากเห็นหน้าคนที่ให้กำเนิดนายด้วยเหมือนกัน”
ทิวโกรธจัด
“เธอมัน...”
หญิงมานศรีจ้องท้าทายไม่กลัว
“ทำไม!”
“พาลแม้กระทั่งกับรูปของคนตาย ไม่เรียกว่าเลว จะให้เรียกว่าอะไรดี”
“ไม่ต้องมาเรียกอะไรทั้งนั้น หลบไป ฉันจะไปทำงาน”
“อยากทำงานใช่มั้ย ฉันจะทำเธอทำจนกระอักเลือดตาย มานี่”
ทิวกระชากหญิงมานศรีออกไปอย่างแรง จนเธอตัวปลิว
“ว้าย!”
รูปของทัด พ่อของทิวบนผนัง เอียงอยู่เล็กน้อยจากองศาปกติ เทพจับรูปให้ตั้งตรง...สร้อยเพชร เลขาคนใหม่ของเทพที่สวย และหุ่นดีมาก เคาะประตูห้องเข้ามา
“คุณมาถึงกี่โมง คุณสร้อยเพชร”
“มาถึงออฟฟิศคนแรกเลยค่ะ”
“เห็นใครเข้ามาในห้องผมหรือเปล่า”
“ไม่มีนะคะ”
“ไม่มีอะไรแล้ว ไปทำงานเถอะ”
สร้อยเพชรจะออกไป เทพหันไปมองตามก้นของเลขาสาว เขายิ้มกริ่ม หมดความสนใจรูปของทัดมองตามเธอไปอย่างเจ้าชู้...สร้อยเพชรเองก็รู้ตัว หันมายิ้มชะม้อยชม้ายให้เขา
ทิวลากหญิงมานศรีเข้ามาหน้าบ้าน
“จะพาฉันเข้าไปทำอะไร”
“ทำงาน”
“งานของฉันอยู่ที่ไร่อ้อย”
“แต่ฉันไม่ให้ทำ เธอเป็นคนงานของฉัน ฉันจะให้เธอทำงานอะไรก็ได้ ไม่จำเป็นต้องตัดอ้อยเพียงอย่างเดียว”
“นายทิว นายจะแกล้งอะไรฉันอีก”
“ฉันไม่ได้แกล้ง ฉันซีเรียส อยากรู้มั้ยว่าฉันซีเรียสยังไง”
“ไม่อยากรู้”
หญิงมานศรีจะวิ่งหนี ทิวเข้าไปอุ้มเอวแล้วยกตัวเข้าบ้าน
“ปล่อย”
“ขอแล้วไม่เคยได้ ทีหลังอย่าขอ”
“คนป่าเถื่อน” หญิงมานศรีโวยวาย
เสกสรรค์นั่งซึมอยู่มุมหนึ่งในโรงพยาบาล หลังจากเล่าเรื่องหญิงมานศรีและข้อขัดแย้งต่างๆให้ธีรพลฟังเรียบร้อยแล้ว ธีรพลตบไหล่เบาๆอย่างเห็นใจ
“ฉันเสียใจด้วยนะ”
“แกไม่ต้องมาเสียใจ”
ธีรพลอึ้ง
“ความเสียใจควรพูดกับคนที่พ่ายแพ้...แต่ฉันยัง”
“ทั้งๆที่หญิงมานศรี ปิดประตูหัวใจแน่นหนาขนาดนั้นน่ะเหรอ”
“คนเคยรักกันมาก ยังไงก็ต้องยังมีความเห็นอกเห็นใจกัน แต่คุณหญิงเป็นคนยังไงแกก็รู้”
“ใจแข็ง ปากแข็ง บางทีก็ตรงข้ามกับใจ”
เสกสรรค์ยิ้มน้อยๆ อย่างมีความสุขเมื่อคิดถึงหญิงมานศรี
ทิวโยนไม้กวาด ไม้ถูพื้นให้หญิงมานศรี
“ทำความสะอาดบ้าน ให้สะอาดทุกซอกทุกมุม”
หญิงมานศรีปากลับ
“ไม่ทำ”
“ไม่ทำ ฉันไล่ออก และหมดสิทธิ์จะอยู่ที่นี่เพื่อแจกอ้อยไอ้เทพอีกแน่”
“ขอถูปากนายให้สะอาดก่อนได้มั้ย ก่อนจะทำความสะอาดที่อื่น”
หญิงมานศรีเกลียดปากของเขามาก เอาม็อบถูพื้นจะถูปาก ทิวยื้อไม้ม็อบเอาไว้
“เฮ้ย! ฉันเป็นนายของเธอ เกรงกลัวกันบ้าง”
“ต่อให้มีนายอีกเป็นสิบคน ฉันก็ไม่กลัว”
ทิวเข้มใส่
“ไม่กลัวฉันจริงๆเหรอ”
หญิงมานศรีทำใจดีสู้เสือ แต่ถอย
“จริง!”
ทิวตะคอก
“จริงเหรอ”
หญิงมานศรีผงะถอยจนหลังไปติดฝาผนัง เธอจะหลบแต่เขาเอามือยันผนังกั้นไว้
“ฉันถามว่ากลัวฉันมั้ย”
หญิงมานศรีเชิดหน้าสู้
“ไม่! คนที่ชอบขู่และรังแกผู้หญิงอย่างนาย จริงๆแล้วมีจิตใจที่อ่อนแอ แต่พยายามสร้างความกักขฬะขึ้นมาปิดบัง”
“จะโชว์ว่าตัวเองมีการศึกษางั้นสิ ถึงพยายามวิเคราะห์คนอื่นเป็นฉากๆ”
“การศึกษาช่วยฉันให้เข้าใจคนอื่น แต่นาย...การศึกษาไม่ช่วยอะไรเลย ตาบอด ใจบอด สมองบอด”
ทิวโกรธที่ถูกหญิงมานศรีดูถูก พุ่งเข้าไปหมายจะขยี้ปาก
“ปากดีนักนะ”
เข้มเข้ามาขัดจังหวะพอดีอย่างไม่ตั้งใจ
“นายครับ!” เข้มเห็นทิวกับหญิงมานศรีใกล้ชิดกันก็สะดุ้ง “อุย...”
ทิวรีบผละออกทันที ทำกลบเกลื่อน
“อะไร”
“เข้มไปรอข้างนอกดีกว่านะนาย”
เข้มรีบออกไปทันที...ทิวหันมาส่งสายตาเข้มใส่หญิงมานศรี
“อย่าไปไหนนะ เดี๋ยวฉันมา”
ทิวรีบออกไป หญิงมานศรีโล่งอก มองซ้ายมองขวา อยากหนีไปจากที่นี่
ทิวยืนคุยกับเข้มหน้าเครียด ตกใจ
“มันตายแล้ว”
“ครับนาย ตอนที่ตำรวจจะเอามันไปฝากขังที่ศาล...มันถูกเก็บที่หน้าสถานีตำรวจ เมื่อเช้านี่เอง”
ทิวเครียดมากกับสิ่งที่ได้ฟัง
ขณะเดียวกันหญิงมานศรีแอบหนีออกจากบ้านของทิวอย่างทุลักทุเล ทั้งปีน ทั้งลอดสารพัด
โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป
เกิดเป็นหงส์ ตอนที่ 11 (ต่อ)
ธีรพลมองเสกสรรค์อย่างเห็นใจและเข้าใจ สายตาเสกสรรค์ยามนี้ดูมุ่งมั่นมากกว่าทุกครา
“ฉันคิดว่ายังมีความหวัง...”
ธีรพลถอนใจ
“ฉันเอาใจช่วย”
“และแกต้องช่วยทำให้ฉันกับคุณหญิงคืนดีกัน ไม่ใช่แค่เอาใจช่วยอย่างเดียว”
ธีรพลอึ้งไป
“เกมหัวใจนี้ ฉันเดิมพันหมดตัว ไม่มีอะไรจะเสีย ฉันจะไม่ยอมกลับโดยไม่มีคุณหญิงกลับไปด้วย รับปากฉันสิ ว่าแกจะช่วยฉัน”
ธีรพลจริงใจแต่ปวดใจอยู่ลึกๆ
“ได้สิ ฉันรับปาก ฉันจะช่วยแกให้คืนดีกับหญิงมานศรี”
เสกสรรค์ขอบคุณธีรพลอย่างจริงใจ ธีรพลยิ้มให้กำลังใจเพื่อนทั้งๆที่ใจเจ็บปวด
“กำลังจะมีงานเลี้ยงหาทุนเข้าโรงพยาบาลเร็วๆนี้...ซึ่งฉันตั้งใจจะชวนหญิงมานศรีไปด้วย...บางที...”
เสกสรรค์ตัดบทด้วยความดีใจ
“ฉันจะไปชวนคุณหญิงเอง ขอบใจมากเพื่อน”
เสกสรรค์วิ่งออกไปทันที ธีรพลเห็นใจเพื่อนมากที่ยังมีความหวังกับหญิงมานศรีไม่เสื่อมคลาย ในขณะที่ตัวเองก็เจ็บปวดกับความรักที่เป็นไปไม่ได้
ทิวหงุดหงิดมาก กับสิ่งที่รู้ บอกเสียงเข้ม
“ดูแลความปลอดภัยของลุงมีกับเมียแกให้ดีๆ”
“ครับ”
“ลุงกับไอ้วัฒน์เป็นยังไงบ้าง”
“สบายดีครับ อีกไม่กี่วันก็จะถึงกำหนดที่คุณพิไลพรต้องพาหมอไปตรวจแก”
“จัดการเรื่องนี้อย่าให้พวกไอ้เทพสงสัย”
“ครับ”
ทิวจะเข้าบ้าน เข้มถามขึ้น
“นายให้คุณหญิงมาทำอะไรที่นี่ครับ”
“ทำงานสิวะ”
“แต่ที่เข้มเห็น...”
ทิวตัดบท
“กำลังจะให้ทำงานโว้ย ไปได้แล้ว”
“ครับ”
เข้มออกไปแบบยิ้ม ล้อๆ ทิวถลึงตาใส่
“ไอ้เข้ม!”
เข้มรีบวิ่งออกไป ทิวรู้สึกสงสัยอะไรบางอย่าง
“ยัยนั่น จะเผลอบอกเรื่องลุงกับไอ้เทพหรือเปล่านะ”
ทิวรีบวิ่งเข้าไปในบ้านทันที
ทิวเดินเข้ามาในบ้าน เห็นแต่อุปกรณ์ทำความสะอาดวางไว้อยู่ แต่ไร้เงาหญิงมานศรี
“ว่าแล้วไง หนีไปจนได้ ร้ายนักนะ”
ทิวรีบวิ่งออกไปทางหลังบ้าน หญิงมานศรีเดินหนีมาถึงหน้ามุมที่ทิวใช้ทำงานปั้น มองหาทางออกหันไปเห็นกระถางปั้นและอุปกรณ์การทำงานปั้นของเขาก็ชะงัก สะดุดตา ค่อยๆเดินเข้าไปดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ทิวตามหาหญิงมานศรีไปรอบๆ
“อย่าให้จับได้นะ”
เขาเดินหาไปทางหนึ่ง
หญิงมานศรีเดินเข้ามา อึ้ง เมื่อเห็นดินเหนียว สี พู่กัน และอุปกรณ์ต่างๆที่ทิวใช้ในการทำงานปั้น
“ป่าเถื่อนกักขฬะแบบนั้น...มีอารมณ์ศิลปินด้วยเหรอ”
หญิงมานศรียกกระถางใบจิ๋วที่ทาสีอย่างสวยงามขึ้นมาดู พลางอมยิ้มน้อยๆ ทันใดนั้นเสียงทิวก็ดังเข้ามา
“มานศรี”
หญิงมานศรีสะดุ้ง จะหาทางหนีออกไป ทิวเดินมาหยุดข้างหน้า หญิงสาวตกใจถอยหลังกรูดหลบเข้าข้างในเท้าไปโดนถังสี ล้มลงเกิดเสียงดัง ทิวหันขวับมามองข้างใน หญิงมานศรีรีบหลบ
ทิวเดินเข้ามาด้านใน เห็นถังสีล้มอยู่ สีไหลออกมา
“ใครอยู่ในนี้”
หญิงมานศรีนั่งนิ่ง ไม่ส่งเสียง ทิวถามเสียงดัง
“ใคร!”
หญิงมานศรีตกใจที่เขาเสียงดัง สะดุ้งเฮือก รีบปิดปากตัวเอง กลัวเสียงเล็ดลอด ทิวหันขวับไปที่มุมที่เธอซ่อนตัว เขายิ้ม รู้ทันทีว่าเธออยู่ตรงนั้นแน่ๆ
“สงสัยจะเป็นแมว”
หญิงมานศรีโล่งอก ทิวจงใจเดินเข้าไปเฉียดใกล้ หญิงมานศรีตัวแข็ง กลัวว่าเขาจะเห็น
ทิวเตะถังสีที่ตั้งอยู่ทำเป็นฟึดฟัด เพราะต้องการจะแกล้ง
“ปั๊ดโธ่เว้ย”
ชายหนุ่มเดินออกไป หญิงสาวลงนั่งอย่างโล่งใจ ค่อยๆลุกขึ้น จะออกไป แต่แล้วก็สะดุ้งเฮือก เพราะเขายืนอยู่ข้างหน้า
“ว้าย!”
“คิดเหรอ ว่าจะหนีฉันพ้น มานศรี”
หญิงมานศรีสะบัดหลุด วิ่งหนี แต่สะดุด หน้าคว่ำลงใส่โต๊ะที่วางดินเหนียว
“ว้าย”
ทิวหัวเราะขำ สะใจมาก
“ฮ่ะๆๆๆๆๆ”
หญิงมานศรีเงยหน้าขึ้นมา เปรอะเปื้อนดินเหนียว ได้ยินเสียงหัวเราะของเขายิ่งเสียดแทงใจ หันขวับ มองหน้าเขาบึ้งตึง ทิวเห็น ยิ่งหัวเราะชอบใจ
“ฮ่ะๆๆๆๆ”
หญิงมานศรีโกรธมาก ขยำดินเหนียวเต็มมือ แล้วหันไปเอาดินโปะหน้าทิวบ้าง หญิงมานศรีเห็นสภาพทิวเละแล้วขำ
“ฮ่ะๆๆๆๆๆๆๆ”
ทิวฉุนกึก
“ขำนักใช่มั้ย”
“นายทำฉันยังไง ฉันก็เอาคืนอย่างนั้น”
“ได้”
ทิวหันไปมองหาอะไรสักอย่างที่จะเอาคืนแต่เมื่อกันมาอีกที ก็ถูกเธอเอาพู่กันจุ่มสีที่วางอยู่ใกล้ๆป้ายหน้าปาด พาดกลางหน้าซะก่อน
“ช้าไปนะ นายทิว ฮ่ะๆๆๆๆๆ”
ทิวทำเป็นมองไปข้างหลังหญิงมานศรีอย่างตกใจ
“ไอ้เทพ”
หญิงมานศรีตกหลุมพราง หันไปข้างหลัง แต่ไม่มีใคร หันกลับมา ทิวหยิบพู่กันอีกอัน ป้ายสีแล้วปาดที่หน้าของเธอบ้าง โดยที่เธอไม่ทันระวังตัว
“ไง...ช้าแต่ไม่ได้หมายความว่าหมดมุกนะครับ คุณหญิง”
“เหรอ งั้นมีเท่าไหร่ก็งัดออกมาเลย มุกนายน่ะ”
“รับไม่หวาดไม่ไหวแน่ๆ เตรียมตัวดีๆ”
แต่หญิงมานศรีไม่ยอมอยู่เฉยๆให้เขากระทำ เธอหยิบกระถางที่เขาปั้นไว้รอทาสี ชูเหนือหัวจะทุ่ม ทิวตกใจ
“อย่านะ”
หญิงมานศรีโยนกระถางให้
“ก็รับไปสิ”
พอเขารับกระถาง หญิงสาวก็ฉวยจังหวะวิ่งหนีออกไป ทิวเจ็บใจที่ถูกหลอก
“โอเค...ฉันจะเอาคืนเธอเป็นร้อยเท่า มานศรี”
ทิววางกระถางลงอย่างเบามือ แล้วรีบวิ่งออกไป
หญิงมานศรีวิ่งหนีมามุมหนึ่งในป่าพลางมองข้างหลัง กลัวว่าเขาจะไล่ตามมาทัน ทิววิ่งตามมาไม่ห่าง
“หยุดนะ”
“ไม่หยุด”
“ฉันบอกให้หยุด”
“ไม่หยุด”
หญิงมานศรีวิ่งมา ทิวไล่ตามมาจนทัน กระโดดเข้าตะครุบกอดเธอเสียหลักทั้งคู่ กลิ้งลงจากเนินเขา
“ว้าย”
ทั้งสองได้รับบาดเจ็บ ทิวกอดหญิงมานศรีเอาไว้แน่น ใช้แขนทั้งสองข้างเป็นเกราะกำบังให้ หญิงมานศรีเองก็ตกใจ กอดเขาไว้แน่น ทั้งสองกลิ้งหลุนๆๆตกลงไปข้างล่าง
ทิวและหญิงมานศรีกอดกันแน่น กลิ้งลงมา ทิวใช้ตัวเองรองรับเธอเอาไว้ หญิงมานศรีล้มลงซบกับอกเขาหลับตาปี๋ ยังกอดเขาแน่น ชายหนุ่มตั้งสติได้ จับตามตัวของหญิงสาวถามด้วยความเป็นห่วง
“เจ็บตรงไหนหรือเปล่า มานศรี”
ทิวรีบลุกขึ้นมา หญิงมานศรีเองก็เช่นกัน รีบลุกขึ้นมานั่ง ดูตามเนื้อตัวของเขาด้วยความเป็นห่วง
“ไม่...นายล่ะ เจ็บมั้ย”
“ฉัน...”
ชายหนุ่มสบตาหญิงสาวจะบอกว่าไม่เป็นอะไร แต่พูดไม่ออก เมื่อเห็นแววตาของเธอที่มองมาด้วยความเป็นห่วง หญิงสาวเองก็อึ้งไปเมื่อเห็นแววตาของเขา...ทิวค่อยๆใช้มือประคองใบหน้าของหญิงมานศรีเอาไว้อย่างแผ่วเบาและอ่อนโยน หญิงสาวรู้สึกได้ถึงสัมผัสอันอบอุ่น ค่อยๆหลับตาลง รู้สึกปลอดภัยภายใต้อุ้งมือหยาบกระด้างนั้น
“มานศรี...”
หญิงมานศรีลืมตาขึ้นมา สบตาเขา...ทิวพ่ายแพ้ต่อแรงปรารถนาในหัวใจค่อยๆโน้มตัวเข้าหา หญิงสาวเหมือนโดนสะกดจิต นั่งนิ่ง ยอมให้ชายหนุ่มใกล้ชิดโดยไม่ต่อต้านเหมือนอย่างเคย ทิวค่อยๆจุมพิตริมฝีปากของเธออย่างแผ่วเบาเพียงชั่ววินาทีสั้นๆเท่านั้นแต่เวลาเหมือนจะหยุดค้างเนิ่นนาน...ทันใดนั้นเสียงเสกสรรค์ก็ดังขึ้น
“คุณหญิง!”
ทิวและหญิงมานศรีตกใจ หันไปทางหนึ่ง เสกสรรค์ยืนอยู่ มองมาอย่างตกใจ และเสียใจ
“เสก...”
เสกสรรค์เดินออกไปทันที หญิงมานศรีรีบลุกตามไป ทิวมองตามอย่างไม่พอใจ
โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป พรุ่งนี้
เสกสรรค์เดินหนีมาด้วยความเสียใจ หญิงมานศรีวิ่งตามมาหา
“เสก เดี๋ยวก่อนค่ะ เสก”
เสกสรรค์หยุด หันมามองอย่างเจ็บปวด
“มันยังไงกันแน่ครับคุณหญิง”
“ยังไงกันแน่...เสกพูดถึงเรื่องอะไร”
“นายเทพ กับคุณทิว ตกลงใครกันแน่ ที่คุณหญิงคิดจะจับ”
หญิงมานศรีตบหน้าเสกสรรค์อย่างแรงด้วยความเสียใจที่เขาดูถูก ทิววิ่งตามมาเห็นพอดีอึ้งไป
“หญิงไม่ได้คิดจะจับใครทั้งนั้น สิ่งที่เสกเห็นเมื่อกี้ มันคืออุบัติเหตุ”
ทิวอึ้ง โกรธพูดกับตัวเองเบาๆ
“อุบัติเหตุเหรอ...”
“จะให้ผมเชื่อเหรอ...ว่ามันเป็นอุบัติเหตุ คุณหญิงรู้ตัวมั้ย ว่าตอนนั้นผมเห็นคุณหญิงในลักษณะยังไง”
ทิวเดินลิ่วๆเข้ามาคว้าเอาหญิงมานศรีเข้ามาโอบ
“ตอบให้ก็ได้...ว่า...เคลิ้ม”
หญิงมานศรีสะบัด
“นายทิว ปล่อย”
เสกสรรค์โกรธมาก
“หรือจริงๆแล้ว คนที่อยู่ในใจคุณหญิงคือคุณทิว”
“ฉันไม่เคยมีคนป่าเถื่อนคนนี้ในหัวใจ”
ทิวยิ้มเยาะ
“ปากไม่ตรงกับใจเลยนะครับคุณหญิง นี่ถ้าเมื่อกี้คุณเสกสรรค์ไม่มาขัด เราสองคนคง..."
เสกสรรค์ต่อยทิวเปรี้ยงด้วยความโกรธ หญิงมานศรีตกใจ
“ว้าย”
เสกสรรค์ชี้หน้า
“คุณหลอกผม...เพราะต้องการหลอกล่อให้ผมระแวงคนอื่น คุณจะได้เข้าหา คุณหญิงง่ายๆ ไม่มีผมเป็นอุปสรรคใช่มั้ย”
“คนเรามันก็ต้องโง่ก่อน แล้วจึงจะฉลาด คุณเสกสรรค์”
เสกสรรค์ต่อยทิวเปรี้ยงอีก หญิงมานศรีเข้าห้าม
“ว้าย พอได้แล้วเสก พอได้แล้ว”
“ไม่...และที่คอกม้าของผมถูกไฟไหม้ ก็เป็นฝีมือคุณ ไม่ใช่คุณเทพ”
ทิวอึ้ง หญิงมานศรีหันมองทิวตาขวาง
“นายทิว”
“ใช่ นายทิวที่ตีสองหน้า ลิ้นสองแฉกได้อย่างแนบเนียนนี่แหละ คือคนที่คุณหญิงกำลังเคลิบเคลิ้มและมีใจให้”
“หญิงบอกแล้วไง ว่าหญิงไม่เคยมีใจให้เขา”
ทิวโมโห
“พูดมาก รำคาญ เออ...ฝีมือผมแล้วจะทำไม ตัวเองฉลาดนักหรือไง ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่ายังไม่ไปจากที่นี่อีก ทั้งสองคนนั่นแหละ รีบไปให้พ้นๆเลย ไม่งั้น ผมไม่รับรองความปลอดภัย”
หญิงมานศรี และเสกสรรค์มองทิวอย่างผิดหวัง ทิวประจันหน้าทั้งสองคนอย่างท้าทาย โดยไม่คิดจะแก้ตัวใดๆ
ขวัญตาจิกหัวบุญปลูกเข้ามาที่มุมหนึ่งในคฤหาสถ์
“โอ๊ย! เจ็บค่ะ เจ็บ!”
“บอกมาเดี๋ยวนี้ เมื่อคืนนี้ นังผ่องมันไปทำอะไร ที่ไหน”
“บุญปลูกไม่รู้เรื่อง”
“ไม่รู้เรื่องได้ยังไง ก็แกออกไปด้วยกัน ฉันเห็น”
“ตาฝาดแล้วค่า”
ขวัญตาตบเปรี้ยง บุญปลูกล้มลง
“โดนตบ จนสมองฝ่อๆของแกเข้าที่หรือยัง บอกมา”
“โอ๊ย! บอกว่าไม่รู้ ไม่รู้ไงคะ อยากรู้ ทำไมคุณไม่ไปถามคุณนายเอาเองล่ะคะว่า ไปทำอะไรมาให้ผัวรักผัวหลง”
บุญปลูกก็หุบปากทันที เมื่อรู้ตัวว่าหลุดปากไปแล้ว
“แกลองพูดใหม่อีกทีซิ นังบุญปลูก แกหมายความว่าอะไร”
“โอ๊ย พูดอะไรไป บุญปลูกจำไม่ได้”
บุญปลูกวิ่งหนีออกไป ขวัญตาตาม
“นังบุญปลูก อย่าหนีนะ”
“มาตามบุญปลูกทำไม มีเรื่องกับใครก็ไปตามกับคนนั้นสิค้า”
ขวัญตายังวิ่งตามจิก ตบบุญปลูกไม่ลดละ
ผ่องทิพย์อยู่ในห้องกำลังทาน้ำมันที่ได้จากอาจารย์เมฆอยู่หน้ากระจกเงา พลางสำรวจเรือนร่างของตัวเอง
“น้ำมันเนื้อทอง...ลูบไล้ให้ทั่วตัว เช้า เย็น อย่าให้เว้นเด็ดขาด คุณเทพพาฉันไปจดทะเบียนสมรสเมื่อไหร่ จะตอบแทนอาจารย์ชุดใหญ่เลยทีเดียว ฮ่ะๆๆ”
บุญปลูกเปิดประตูผลัวะเข้ามาหาผ่องทิพย์ แล้วปิดประตูล็อก
“หนีใครมา นังบุญปลูก”
“ผีเรือนค่ะ”
ขวัญตาวิ่งมาเปิดประตูห้องผ่องทิพย์ แต่เปิดไม่ได้ เลยเคาะรัวอย่างแรง
“เปิดประตู”
ผ่องทิพย์เปิดประตูออกมา บุญปลูกหลบอยู่ข้างหลัง
“มีอะไร”
“มีแน่”
ขวัญตามองสำรวจทั่วตัวของผ่องทิพย์
“แกไปทำอะไรมา จู่ๆคุณเทพถึงได้เปลี่ยนใจไปนอนกับแก”
บุญปลูกสอดขึ้น
“เออ ถามกันเองซะตั้งแต่แรกก็จบแล้ว มาตบขี้ข้าทำไมให้เสียเวลายะ โง่หรือเปล่า”
ขวัญตาจะเข้าไปถีบ บุญปลูกหลบพัลวัน ผ่องทิพย์จิกหัวขวัญตาออกห่างจากบุญปลูก
“หยุดนะ นังขวัญตา”
ขวัญตาร้องลั่น
“โอ๊ย!”
ผ่องทิพย์จิกหัวขวัญตาลากออกไป
“มานี่เลยแก มานี่”
“ปล่อย”
“จัดให้หนักเลยค่ะ คุณนายขา”
บุญปลูกตามไปสาระแน
ผ่องทิพย์จิกหัวขวัญตามา
“อยากรู้ใช่มั้ยว่าฉันไปทำอะไรมา”
ขวัญตาพยายามดิ้น
“ปล่อยฉัน”
“ปล่อยทำไม ในเมื่อแกอยากรู้ ฉันก็จะทำให้แกรู้ ฟังดีๆนะ”
ผ่องทิพย์จิกหัวขวัญตามากระซิบที่หู บุญปลูกมองอย่างสะใจ
“จะทำให้ผัวรักหลงฉันคนเดียว ไม่ต้องทำอะไรมากหรอก แค่...กำจัดเมียคนอื่นๆของผัวไปให้พ้นทางก็พอแล้ว”
ผ่องทิพย์ผลักและถีบขวัญตาจนตกบันได ขวัญตาตกใจมาก
“ว้าย!”
ขวัญตากลิ้งตกบันได ลงไปกองอยู่ขั้นสุดท้ายข้างล่าง ผ่องทิพย์ยืนมองอย่างสะใจ บุญปลูกตามมาดู
“แรง! มันจะตายมั้ยคะเนี่ย”
ขวัญตานอนนิ่ง ผ่องทิพย์เดินลงบันไดมา ใช้เท้าเขี่ยขวัญตาที่นอนแน่นิ่งคว่ำหน้าอยู่ ขวัญตายังนอนนิ่ง ผ่องทิพย์จิกหัวขึ้นมาเพื่อดูสภาพ ขวัญตาที่หลับตาอยู่ลืมตาโพลง อย่างเครียดแค้น
“อีผ่อง!”
ขวัญตาฮึดจับผ่องทิพย์กดลงแล้วขึ้นคร่อม แล้วก็ตบๆๆๆๆ
“ว้าย! ช่วยด้วย”
บุญปลูกตกใจ
“คุณนาย!”
“ใครช่วยมัน ตาย”
ขวัญตาตบผ่องทิพย์ไม่ยั้ง จับหัวโขกๆๆๆๆ
“แกไม่มีทางกำจัดฉันได้ นี่ๆๆๆ”
บุญปลูกทำอะไรไม่ถูก เอาไงดี วิ่งออกไป เอาตัวรอด ผ่องทิพย์ร้องลั่น
“นังบุญปลูก จะไปไหน มาช่วยฉันก่อน อ๊ายย!”
“บุญปลูกจะไปหาคนมาช่วยนะคะคุณนายขา”
ขวัญตาและผ่องทิพย์ยังตบตีกันต่อไป โดยที่ผ่องทิพย์เป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ
เข้มนั่งพักอยู่กับคนงาน บุญปลูกวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“ไอ้เข้มช่วยที บ้านแตกแล้ว”
เข้มงงๆ
“บ้านใครวะ”
“บ้านใหญ่สิวะ”
ทิวเดินเข้ามา
“มีอะไร บุญปลูก”
“คุณนายกับนัง เอ้ย...คุณขวัญตาค่ะ ตบกันบ้านแตกแล้วค่ะ”
ทิวไม่สนใจ
“เหอะ...ให้เมียๆเขาห้ามกันเองสิ หรือไม่ก็ไปตามผัวเขา”
“คุณพวงไปวัดไม่อยู่ค่ะ คุณเทพก็...โอ๊ย ตกลงจะช่วยหรือไม่ช่วยคะ”
“ไป ข้าไปช่วย”
เข้มทำท่าจะไป ทิวห้ามเสียงเข้ม
“ไม่ต้องไป”
เข้มชะงัก...บุญปลูกก็ชะงัก
“ถ้ามีสมองคิดกันแค่นั้น ก็ปล่อยไป ดี ตายๆกันไปซะได้ก็ดี แผ่นดินมันจะได้สูงขึ้น ผู้หญิงแบบนั้น อยู่ไปก็รกโลก”
ทิวเดินออกไป...เข้มกับบุญปลูกมองตามกันเหวอๆ
โปรดติดตามตอนต่อไป
เกิดเป็นหงส์ ตอนที่ 11 (ต่อ)
ผ่องทิพย์และขวัญตาไล่ตบ ฟัดกันไปมา จังหวะนั้นผ่องทิพย์กลายเป็นฝ่ายได้เปรียบ คำรามลั่น
“ฉันจะฆ่าแก”
ผ่องทิพย์คว้าได้แจกัน จะทุ่มใส่หัวขวัญตา เทพเข้ามาเห็นพอดี ล้วนเดินตามมาห่างๆ
“หยุดนะ”
ผ่องทิพย์ชะงัก ค้างของในมือ ขวัญตาลุกขึ้นมาได้ วิ่งเข้าไปจะออกเซาะเทพ
“คุณเทพขา...”
เทพชี้หน้าตวาดลั่น
“หยุดอยู่ตรงนั้น”
ขวัญตาชะงัก
“ฉันเคยบอกแล้วใช่มั้ย ว่าอย่ามีเรื่องกันในบ้าน”
ผ่องทิพย์และขวัญตาเงียบ
“คล้อยหลังฉันไม่ได้เลยใช่มั้ย”
ผ่องทิพย์และขวัญตาเงียบอีก ไม่กล้าสบตา เทพเสียงอ่อน ทำเป็นเหนื่อยใจ
“แล้วอย่างนี้จะให้ฉันอยู่บ้านอย่างมีความสุขได้ยังไง เมื่อคนในบ้านตีกันจนบ้านร้อนเป็นไฟ”
เทพหันไปสั่งการล้วน
“ไปเตรียมรถนะ ฉันจะพาคุณหญิงไปข้างนอก”
“ครับ”
เทพเดินเข้าข้างใน ผ่องทิพย์รีบถาม
“พามันไปไหน ไปทำไม”
เทพตวาด
“เรื่องของฉัน”
ผ่องทิพย์กับขวัญตาชะงัก ไม่กล้าซักต่อ เทพหันไปหาล้วน
“ล้วน...ฉันจะเปลี่ยนชุดสักหน่อย รอไม่นาน”
ล้วนโค้งให้แล้วเดินออกไป เทพเดินเฉยเมยเข้าบ้านไป ผ่องทิพย์กับขวัญตายืนอึ้ง ตัวแข็งทื่อ
หญิงมานศรีนั่งอยู่หน้าห้องพักมองอาหารในปิ่นโตนิ่ง ซึมๆ รู้สึกเครียด ก่อนจะหันไปมองกลิ่นที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
“ฝากบอกคุณพวงทองนะจ๊ะ ว่าขอบคุณมาก แต่กลิ่นเก็บไปก่อนเถอะ ฉันทานไม่ลง”
“ค่ะ”
กลิ่นจำใจเก็บปิ่นโตออกไป หญิงมานศรีนั่งน้ำตาซึม
“ท่านพ่อขา หญิงจะทนต่อไปได้อีกนานแค่ไหน หญิงจะไม่ไหวแล้ว”
ทิวเข้ามาคว้าข้อมือ
“ไม่ไหวก็ต้องไหว”
“นายทิว ปล่อยฉัน”
“หมดเวลาอ้อยอิ่งแล้ว กลับไปทำงานต่อ”
“ฉันไม่ใช่วัวไม่ใช่ควายที่นายต้องมาลากมาจูงอยู่ตลอดเวลา ปล่อย”
“ไว้ใจได้เหรอ ผู้หญิงแพศยาอย่างเธอ มันจ้องแต่จะหาเรื่องสร้างความวุ่นวาย”
“ฉันอยู่ของฉันเฉยๆ คนอื่นมาวุ่นวายกับฉันเอง”
หญิงมานศรีเดินหนี
“แต่เธอก็คือต้นเหตุของความวุ่นวายที่มันเกิดขึ้น”
หญิงมานศรีหันกลับเดินไปหาเขา
“อยากให้ฉันไปจากที่นี่มากใช่มั้ย”
“ถามแล้วถามอีก ปัญญาอ่อนหรือเปล่า”
หญิงมานศรีน้ำตาซึม
“หัวใจนายทำด้วยอะไร ถึงได้พูดทำร้ายความรู้สึกของฉันได้ตลอดเวลา”
ทิวอึ้ง แต่ทำใจแข็ง
“ยิ่งเธอทำตัวเน่าเฟะมากเท่าไหร่ ฉันก็จะทำร้ายความรู้สึกของเธอมากเท่านั้น”
“ฉัน...”
หญิงมานศรีจะเถียงต่อ แต่เทพเข้ามาขัดเสียก่อน
“คุณหญิงครับ...”
หญิงมานศรีรีบปาดน้ำตาทันที หันไปหาเทพ ยิ้มสู้
“ค่ะ คุณเทพ...”
“ลางานสักครึ่งวันได้มั้ยครับ”
หญิงมานศรี แปลกใจ เทพหันไปหาทิว
“ว่าไงนายทิว”
ทิวมองเทพอย่างไม่พอใจทันที
ผ่องทิพย์อาละวาดอยู่ในห้อง กรีดร้องด้วยความเสียใจ
“อ๊ายยยย! ฮือๆๆๆ”
บุญปลูกค่อยๆเดินเข้ามา ตัวลีบๆอยู่ห่างๆ
“คุณนายขา...”
“ทำไมล่ะ บุญปลูก ฉันทำทุกอย่างเพื่อให้คุณเทพรักฉัน แต่มันก็ไม่ได้ผล...ฉันเหนื่อยแล้วนะ ฉันเหนื่อยแล้ว”
ผ่องทิพย์ร้องไห้จนสิ้นท่า บุญปลุกค่อยๆคลานมาหา
“ฉันอยากให้คุณเทพรักฉัน...ถึงจะไม่ได้รักฉันคนเดียว ก็ขอให้รักฉันมากที่สุด ฉันไม่อยากเป็นคนที่ถูกลืม เหมือนที่พ่อกับแม่ลืมฉัน รักแต่พี่พวงกับไอ้ทิว”
บุญปลูกอึ้ง ถอนใจ ไม่รู้จะปลอบยังไง
“ฉันต้องทำยังไงอีก บุญปลูก ฉันต้องทำยังไง”
“บางที...คุณนายไม่ต้องทำอะไรเลย...จะดีกว่ามั้ยคะ คุณนายอาจจะมีความสุขมากกว่านี้”
ผ่องทิพย์ร้องไห้โฮ กอดบุญปลูกเอาไว้
เทพยิ้มๆกับทิว
“ว่าไง ทิว ฉันขอให้คุณหญิงลางานสักครึ่งวัน ไปทำธุระนิดหน่อย”
“ธุระอะไร”
“นั่นมันเรื่องส่วนตัวของฉันและคุณหญิง”
“ถ้าลางานไปธุระส่วนตัวที่ไม่สลักสำคัญอะไร...ฉันไม่อนุญาต”
เทพอึ้ง...ไม่พอใจ ทิวท้าทายอย่างไม่เกรงกลัว หญิงมานศรีตัดบท
“ฉันป่วย ไม่สบาย ขอลาครึ่งวัน”
ทิวอึ้ง มองหน้าหญิงสาว หญิงมานศรีมองหน้าเขาอย่างท้าทาย
“แต่ถ้านายไม่อนุญาต ฉันก็จะฟ้องกรมแรงงาน”
ทิวแค้นๆ
“เธอ!”
เทพยิ้มเยาะ โดยที่หญิงมานศรีไม่เห็น...ทิวเจ็บใจที่พลาดท่าให้กับหญิงมานศรี
ขวัญตานั่งร้องไห้อยู่ที่ริมลำธารด้วยความเสียใจและคั่งแค้น
“คนผิดคำพูด ผิดสัญญา ฮือๆๆๆๆ คุณหลอกฉัน”
ขวัญตามองสายน้ำ ความคิดชั่ววูบ ขวัญตาลุกขึ้น ค่อยๆเดินลงน้ำ ทิวเดินมาอย่างหงุดหงิดจากมุมหนึ่ง
“เจ้าเล่ห์ เจ้ามารยา”
ขวัญตาค่อยๆเดินลงน้ำ จนกำลังจะมิดหัว ทิวเห็นขวัญตา กำลังจะจมน้ำก็ตกใจ วิ่งไปหา
“ขวัญตา จะทำอะไร”
ขวัญตาจมน้ำหายไป
“ขวัญตา!”
ทิวกระโดดลงน้ำเพื่อไปช่วยขวัญตาทันที
ผ่องทิพย์เดินซึมเรื่อยเปื่อยมา ได้ยินเสียงของทิวดังแว่วมา
“ขวัญตา ขวัญตา”
ผ่องทิพย์รีบเดินไปทางที่มาของเสียงทันที ทางด้านทิวลากขวัญตาขึ้นมาจากน้ำ ขวัญตาดิ้น
“ปล่อยขวัญตานะ ขวัญตาอยากตาย ปล่อย”
ทิวไม่ปล่อยพยายามออกแรงลากขวัญตาขึ้นฝั่งจนได้ ขวัญตาพยายามจะลงน้ำใหม่ ทิวตบหน้าเรียกสติ จนขวัญตาหน้าหัน
“ขวัญตา”
“โอ๊ย!”
“เลิกบ้าซะที มีสติหน่อยสิ”
ขวัญตาอึ้ง มองทิว เสียใจ ร้องไห้โผเข้ากอดเขา
“พี่ทิว...ขวัญตา...ถูก...หลอก...ใช่มั้ย ฮือๆๆๆๆ”
ทิวอึ้งที่ถูกกอด มองขวัญตาอย่างสมเพช ไม่กอดตอบ แต่ก็ไม่ผลักไส ผ่องทิพย์วิ่งเข้ามาเห็นภาพขวัญตาร้องไห้ฟูมฟายกอดทิวอยู่ ผ่องทิพย์คิดแผนชั่วในใจทันที
เทพพาหญิงมานศรีมาที่ห้างสรรพสินค้า ทั้งสองเดินมาถึงหน้าห้องเสื้อหรูแห่งหนึ่ง
“พาหญิงมาที่นี่ทำไมคะ”
“เข้าไปก่อนเถอะครับ เดี๋ยวก็รู้”
เทพผายมือให้เข้าไปในร้าน หญิงมานศรียิ้มรับเดินเข้าไปอย่างงงๆ เทพยิ้มกริ่ม เดินตามเข้าไป
ในร้านกาแฟ...เสกสรรค์นั่งนิ่ง ซึม เสียใจ ธีรพลดื่มกาแฟมองเพื่อนอย่างเห็นใจ
“เสก...”
“ฉันไม่คิดเลยว่า...คุณหญิงจะเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้”
“หญิงมานศรีไม่เคยเปลี่ยน ความคิดของนายต่างหากที่เปลี่ยน”
“แต่แกไม่ได้ไปเห็น...”
เสกสรรค์ยั้งไว้ พูดไม่ออก
“ฉันไม่ต้องเห็น ฉันก็รู้ ฉันกับหญิงมานศรีโตมาด้วยกัน ฉันรู้จักนิสัยของเธอดี ส่วนแกเพิ่งจะเข้ามาในชีวิตของเธอไม่กี่ปี จะรู้ดีกว่าฉันได้ยังไง”
“แกแน่ใจเหรอ ว่าคุณหญิงไม่คิดจะจับปลาหลายมือ ส่วนคุณทิวก็...ร้ายยิ่งกว่าเสือ ฉันไม่เหลือความเชื่อมั่นในตัวใครอีกแล้ว”
“ความจริงมันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น”
เสกสรรค์อึ้ง
“เมื่อความไม่เชื่อใจเข้ามาทางประตู ความรักที่มั่นคงมันก็จะโบยบินออกทางหน้าต่างเสมอ เชื่อฉัน หนักแน่นเข้าไว้”
เสกสรรค์มองธีรพลอึ้งๆ
“ฉันกลับไปทำงานต่อนะ”
ธีรพลตบไหล่เสกสรรค์อย่างให้กำลังใจ ก่อนจะลุกออกไป ทิ้งภาพเสกสรรค์นั่งเครียดอยู่เพียงลำพัง
หญิงมานศรีเดินออกมาจากในร้านอย่างไม่พอใจ เทพเดินตามออกมางอนง้อ
“คุณหญิงครับ เดี๋ยวก่อนครับ”
“หญิงขอโทษนะคะ คุณเทพ แต่หญิงรับไว้ไม่ได้”
“ทำไมล่ะครับ หรือว่ารังเกียจผม”
“หญิงไม่ได้รังเกียจคุณเทพ แต่หญิงคงให้คุณเทพซื้อชุดสวยๆราคาแพงให้ หญิงไม่ได้ หญิงไม่ได้มีความสำคัญกับคุณเทพถึงขนาดนั้นหรอกนะคะ”
หญิงมานศรีเดินหนีออกไปทันที เทพมองตามอย่างไม่พอใจแล้วเดินตามไปทันที
“คุณหญิงครับ”
ธีรพลเดินเลี้ยวตามหลังมาพอดี เห็นเทพและหญิงมานศรีเดินไปด้วยกัน
“หญิงมานศรี...คุณเทพ” ธีรพลแปลกใจ
ภายในห้องผู้อำนวยการโรงพยาบาลเวลานั้น พิไลพรอธิบายให้ธีรพลฟังถึงทัศนคติที่มีต่อคนที่ทัดเทพ
“นายใหญ่ของอาณาจักรทัดเทพ เป็นหุ้นส่วนใหญ่กว่าคุณทิว หลังจากที่พ่อแม่คุณทิวตาย คุณเทพก็ได้รับโอนหุ้นของพ่อคุณทิวมาทั้งหมด”
“แล้วคุณทิวล่ะ”
“เพราะพ่อคุณทิวเซ็นมอบหุ้น 30 เปอร์เซ็นต์ให้คุณทิวก่อนที่ท่านจะเสีย โชคดีไปค่ะ”
“พรพูดเหมือนกับอยู่ข้างคุณทิว เขาเป็นคนดีหรือไง”
“ค่ะ”
“แล้วคุณเทพล่ะ”
“คนดีหรือต่อให้ไม่ต้องดี เอาแค่ปกติก็พอที่ไหนล่ะคะ มีเมียสามคนอยู่ในบ้านเดียวกันได้ขนาดนั้น พระยาเทครัวอีกต่างหาก ที่สำคัญ...พรรู้ค่ะว่าคุณหญิงคือเป้าหมายต่อไปของเขา”
ธีรพลอึ้ง
“หมอดูต่อไปก็แล้วกัน แล้วจะคิดเหมือนพร ว่าภายใต้หน้ากากเทพบุตรของเขาซ่อนความร้ายกาจไว้มากแค่ไหน เพียงแต่ตอนนี้ไม่มีหลักฐานพอที่จะกระชากหน้ากากออกมาเท่านั้น”
“ในงานเลี้ยงระดมทุนของโรงพยาบาล...ผมอาจจะมีโอกาสได้เห็น”
“หมอคะ...พรมีเรื่องจะขอความช่วยเหลือค่ะ”
“เรื่องอะไรเหรอพร ดูเหมือนเป็นความลับสุดยอดยังไงยังงั้น”
“ค่ะ มันต้องเป็นความลับ พรไว้ใจหมอเพียงคนเดียวเท่านั้น”
ธีรพลแปลกใจ ที่เห็นพิไลพรดูมีลับลมคมใน
ค่ำนั้น...ขวัญตานั่งซึมอยู่มุมหนึ่งในบ้านทิว โดยเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อผ้าของทิว ทิวเดินเข้ามา ยืนห่างๆ
“กลับไปได้แล้วขวัญตา”
“ขอขวัญตาอยู่ต่ออีกสักพักได้มั้ยพี่ทิว”
“ไม่ได้”
“ทำไมล่ะ ขวัญตายังไม่สบายใจ ไม่อยากกลับ”
“ไม่อยากกลับก็ต้องกลับ กลับไปเผชิญหน้ากับสิ่งที่เธอเป็นคนเลือกเอง”
ขวัญตารู้สึกแย่และเสียใจ
“ใช่! ชีวิตเส็งเคร็งในบ้านหลังนั้น มันเป็นสิ่งที่ขวัญตาเลือกเอง ไม่ต้องมาตอกย้ำ”
“ไม่ได้ตอกย้ำหรือซ้ำเติม เพียงแต่เตือนให้เธออย่าลืม...ว่าเธอต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เธอเลือก”
ขวัญตาร้องไห้อย่างกดดัน
“พี่ทิวใจร้าย...พี่ทิวไม่เห็นใจขวัญตาเลยใช่มั้ย”
“ไม่! เธออยากเล่นกับไฟเอง ตอนนี้ฉันทำได้เพียงแต่...สมน้ำหน้าเธอเท่านั้น”
“พี่ทิว...”
ขวัญตามองทิวอย่างผิดหวัง ร้องไห้วิ่งออกไป ทิวมองตามอย่างสมเพชเวทนา
“ไม่มีใครช่วยอะไรเธอได้ ถ้าเธอไม่หันหลังเดินออกมาจากมันเอง”
ขวัญตาเดินเข้ามาในคฤหาสน์ ผ่องทิพย์เดินออกมากับเทพ ไม่ฟังอีร้าค่าอีรม เทพตบขวัญตาเปรี้ยงทันที
“โอ๊ย! คุณเทพ ตบขวัญตาทำไมคะ”
เทพเข้ามาดึงเสื้อเชิ้ตของทิวที่ขวัญตาใส่อยู่
“ทำไมถึงใส่เสื้อของมัน”
ขวัญตาเห็นเสื้อทิวที่ตัวเองใส่อยู่ก็ตกใจ ลืมเปลี่ยนกลับ หน้าถอดสี ผ่องทิพย์รีบใส่ไฟ
“จะทำไมซะอีกล่ะคะ ถ้าไม่ใช่เพราะ...มัวแต่ไประเริงเร่าร้อนอยู่กับถ่านไฟเก่า”
เทพ ตบขวัญตาเปรี้ยงเข้าให้อีก
“สำส่อน”
ขวัญตาหน้าหัน
“โอ๊ย!”
เทพเข้าไปขยำคอ
“บอกความจริงมา ไปทำอะไรกับไอ้ทิว”
“ขวัญตา...หายใจ...ไม่...ออก”
เทพคลายมือ แต่จิกหัว
“ไปทำอะไรกับมันมา”
ผ่องทิพย์สอดขึ้น
“พูดสิ ไปทำอะไรกันมา หา!”
ขวัญตามองผ่องทิพย์อย่างเดือดแค้น ก่อนจะทนไม่ไหว โพล่งขึ้นอาด้วยอารมณ์เสียใจอย่างรุนแรง
“ขวัญตาฆ่าตัวตาย ได้ยินมั้ย ขวัญตาฆ่าตัวตายเพราะคุณ แต่พี่ทิวไปช่วยเอาไว้ แล้วก็พาไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้าน”
เทพกับผ่องทิพย์อึ้ง...ขวัญตาจ้องหน้าเทพ
“ขวัญตาพูดความจริงเสมอ...แต่คุณมีแต่คำโกหก หลอกขวัญตา ให้ความหวังลมๆแล้งๆว่าจะได้เป็นเมียหมายเลขหนึ่ง แต่มันเป็นแค่วิมานในอากาศที่ไม่มีวันเป็นจริง”
เทพอึ้ง ขวัญตาหันไปหาผ่องทิพย์
“แกก็เหมือนกัน กำลังเป็นผู้หญิงหน้าโง่ถูกคุณเทพหลอกเหมือนฉัน”
ผ่องทิพย์โกรธ
“ไม่จริง!”
“จริง!” ขวัญตาไล่บี้กับเทพ “ฉันยอมทิ้งผู้ชายที่เคยรักฉันมากที่สุด ยอมอับอาย หน้าด้าน ทนกับเสียงนินทาของชาวบ้าน ที่ยอมมีผัวคนเดียวกับเมียอีกสองคนเพราะอะไร...เพราะว่าขวัญตารักคุณ และเชื่อคุณ”
เทพจ้องหน้าพูดเสียงเย็นมาก
“กลับไปสิ...”
ขวัญตาตะลึง
“อะไรนะ”
“กลับไปหาไอ้ทิว กลับไปกินของเก่าสิ ถ้ามันดีนักและฉันเลวนักล่ะก็...ฉันไม่ห้ามหรอกนะ ถ้าอยากกลับก็กลับไป”
เทพเดินจากไป ผ่องทิพย์ยิ้มเยาะเย้ยขวัญตา
“นั่นน่ะสิ แกกลับไปซะตอนนี้ยังทันนะ ก่อนที่จะกระพือถ่านไฟเก่าไม่ขึ้น ไป๊ ชิ้ว! ฮ่ะๆๆๆ”
ผ่องทิพย์เดินเชิดออกไป สะใจมาก ขวัญตายืนช็อกอยู่ แต่ไม่ยอมแพ้
“ฉันมาไกลขนาดนี้แล้ว จะให้ฉันกลับไปง่ายๆน่ะเหรอ...ไม่มีวัน”
วันต่อมา...หญิงมานศรียืนเข้าแถวรับเงินค่าแรงอยู่กับคนงาน ด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน เธอมองดูมือขอตัวเอง ที่แตกแดง กร้านไปหมด และรู้สึกเมื่อยขบ ป้าคนหนึ่งที่เข้าคิวข้างหลังเห็นเข้าก็สงสาร
“คุณหญิงคะ...ป้ามีถุงมืออยู่ในย่ามอีกคู่ ป้าให้นะ”
“ขอบคุณค่ะป้า เท่าไหร่คะ หญิงจ่ายเงินให้ก็ได้”
“ไม่ต้องค่ะ ป้าให้”
ป้าหยิบถุงมือที่ใส่ทำงานให้ ทันใดนั้นทิวเข้ามาแย่งเอาไป หญิงมานศรีและป้าตกใจ ทิวยืนมองหน้าเข้มอยู่
“ถุงมือคู่ล่ะสามสิบ...เอามาหักเป็นค่าอู้งานเมื่อวานนี้”
“แต่ฉันลาป่วยกับนายแล้ว”
“ไอ้เข้ม เป็นหัวหน้าคนงาน ใครจะป่วยจะตาย ก็ต้องไปบอกมัน ไม่ใช่ฉัน”
หญิงมานศรีอึ้ง ทิวหันไปถามเข้ม
“ไอ้เข้ม เมื่อวาน มานศรีมาลาป่วยกับแกหรือเปล่า”
“เปล่าครับนาย”
“น่านไง...ฉันหักเงิน แล้วทุกคนฟังไว้ด้วยนะ ผู้หญิงคนนี้อู้งานกินแรงคนอื่นมาหลายวัน ใครให้อะไร ฉันจะริบเอามาให้หมด ชดเชยแทนเงินที่จะต้องถูกหัก แล้ววันนี้ก็...ไม่ต้องรับค่าแรง”
หญิงมานศรีโมโห
“โหดมากเกินไปแล้วนะ แล้วฉันจะเอาอะไรกิน”
“ผู้ชายเยอะไม่ใช่เหรอ เกาะผู้ชายกินสิ...สูบเลือดสูบเนื้อมาเยอะๆ จะมาทนลำบากทำไหม้ แค่นี้ยังน่าสงสาร สมเพชไม่พอหรือไง”
เทพเดินมากับล้วน แหวกคนงานเข้ามา
“คุณหญิงเป็นหงส์ที่ต้องการพิสูจน์ให้กาบางตัวเห็นว่า...ความป่าเถื่อนทำร้ายและลดคุณค่าในตัวเธอไม่ได้ไงทิว”
คนงานทุกคนฮือฮา เทพเดินมาเผชิญหน้ากับทิว
“เหรอ...แล้วใครล่ะที่เป็นอีกา”
“ต้องให้พูดอีกเหรอ...”
“อ๋อ ฉันนั่นเอง ไม่เป็นไร ฉันยอมรับว่าฉันเป็นอีกา และฉันก็พอใจและภูมิใจกับขนสีดำของฉัน ไม่เหมือนอีกาบางตัวนะ...พยายามเหลือเกินที่จะหาขนสีขาวๆมาปกปิด เพื่อจะได้เข้าฝูงหงส์”
เทพฉุนกึก
“นายหมายถึงใคร”
ทิวมองเหยียด
“ต้องให้พูดอีกเหรอ คุณเทพ ธงธรรม”
หญิงมานศรีเห็นท่าไม่ดีรีบตัดบท
“คุณเทพคะ อย่าไปเสียเวลาทะเลาะเลยค่ะ”
“นั่นสินะครับ ทะเลาะกับเด็ก มีแต่เสียเปรียบ เดี๋ยวจะหาว่าผู้ใหญ่รังแกเด็ก ทั้งๆที่เด็กทำตัวไร้สาระ อ่ะ ทุกคน ทำอะไรอยู่ก็ทำไปนะ เชิญคุณหญิงทางนี้ครับ”
หญิงมานศรีเดินตามเทพไป ทิวมองตามอย่างไม่พอใจ แอบตามไปห่างๆ
เทพพาหญิงมานศรีมาที่มุมหนึ่งของคฤหาสน์ พร้อมกับยื่นถุงใส่ชุดราตรียาวให้หญิงสาว
“ชุด...ที่คุณพาหญิงไปดูเมื่อวาน”
“ครับ...ผมซื้อมาให้คุณหญิง ใส่ไปงานเลี้ยงกับผมคืนนี้”
“แต่หญิงบอกคุณเทพไปแล้วว่า...”
เทพขัดขึ้นทันที
“เพื่อนคุณหญิงที่เป็นผู้อำนวยการคนใหม่เอง ก็เชิญคุณหญิงไปด้วยเหมือนกัน ไม่ใช่เหรอครับ”
“ชายธีรพลน่ะเหรอคะ...ใช่ค่ะ เขาเชิญหญิง แต่หญิงไม่อยากไป”
“คุณหญิงไม่ค่อยสบายเหรอครับ”
“ก็...นิดหน่อยค่ะ”
“เพื่อนคุณหญิงคงเป็นห่วงคุณหญิงแย่เลย ทีนี้ทุกคนก็ต้องพากันมาดูอาการ คุณหญิงที่นี่ และตั้งคำถามกับผมว่าทำไม...”
เทพจับมือหญิงมานศรีขึ้นมา เห็นรอยแตกแดงแล้วสงสารเหลือกำลัง
“ถึงได้ปล่อยให้คุณหญิงลำบากได้ขนาดนี้....ผม...” เทพน้ำตาซึม “ผมขอโทษ...”
เทพทำเป็นมีก้อนสะอื้นติดคอ เบือนหน้า แอบซับน้ำตา
“คุณเทพคะ...หญิงจะไปค่ะ”
เทพหันมายิ้มกับอย่างดีใจ หญิงมานศรีเห็นใจและสงสารเทพมาก ทิวแอบมองจากมุมหนึ่ง
“หึ...เล่นละครตบตาซะเนียนกันทั้งคู่เลยนะ...”
ทิวครุ่นคิดแผนการที่จะป่วนชีวิตของหญิงมานศรีและเทพอีก เดินออกไป
ค่ำนั้น...เสกสรรค์เดินเข้ามาหน้าบ้านพักของหญิงมานศรีในชุดออกงานเลี้ยง หรูเท่ห์...ประตูบ้านเปิดออกมา เขายิ้มกว้าง คิดว่าเป็นหญิงมานศรี
“คุณหญิง...”
พิไลพรเดินออกมาในชุดสวยงาม เสกสรรค์เห็นแล้วผิดหวัง
“อ้าว...พร...”
“มารับคุณหญิงเหรอคะคุณเสก...”
“ครับ”
“ช้าไปแล้วค่ะ...คุณหญิงไปกับคุณเทพแล้ว”
“คุณเทพเหรอครับ”
เสกสรรค์เสียดายที่ถูกตัดหน้า พิไลพรยิ้มให้
“ควงพรไปแทนได้มั้ยล่ะคะ”
“เอ่อ ครับ เชิญครับ”
เสกสรรค์ยิ้มให้พิไลพร พากันเดินออกไป
หน้าห้องบอลลูน งานเลี้ยงกาล่าดินเนอร์เพื่อการจัดหาทุนบริจาคโรงพยาบาลประจำจังหวัด ธีรพลยืนคุยกับแขกวีไอพีอยู่
“สวัสดีครับท่านผู้ว่า สวัสดีครับคุณหญิง เป็นเกียรติมากเลยครับ”
“ไม่เป็นไรครับ คุณชาย ผมยินดีและเต็มใจมาก”
“ขอบพระคุณมากครับ” ธีรพลหันไปสั่งลูกน้องที่ตามมาด้วย “พาท่านผู้ว่ากับคุณหญิงไปที่โต๊ะเลยครับ”
เจ้าหน้าที่พาผู้ว่าและคุณหญิงออกไป ธีรพลได้ยินคนรอบๆข้างฮือฮา และพากันยิ้มด้วยความชื่นชมไปที่ทางเข้างานด้านหนึ่ง เขาหันไปมอง ก็พบว่า หญิงมานศรีในชุดราตรีสวยสดงดงามเดินเคียงคู่มากับเทพ ธีรพลตะลึงงันในความสวยสง่าของหญิงสาว เทพรู้สึกภาคภูมิใจมากที่ได้เดินเคียงข้างกับหญิงมานศรีที่มีแต่เสียงชื่นชม
ทิวอยู่ในชุดสูทหล่อเหลาผิดฟอร์มจากที่เคยเป็น เดินเข้ามาจากด้านหนึ่งเมื่อเห็นหญิงมานศรีเขาเองก็ยืนอึ้ง ตะลึงงัน
โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป
เกิดเป็นหงส์ ตอนที่ 11 (ต่อ)
อีกมุมหนึ่งบริเวณหน้าห้องบอลรูม เทพหันไปยิ้มให้หญิงมานศรี
“เราเข้าไปด้านในกันดีกว่านะครับคุณหญิง”
“ค่ะ”
เทพยกแขนให้หญิงมานศรีควงเข้าไปในงาน ทั้งคู่เดินเข้าไปอย่างสง่า ผู้คนรายล้อมต่างพากันชี้ชวนให้ดูถึงความเหมาะสมของคนทั้งคู่ ทิวเดินมองตามหญิงมานศรีด้วยความชื่นชม จนกระทั่งได้ยินแขกคู่หนึ่งออกความเห็น
“คุณเทพกับคุณหญิงมานศรี...เหมาะสมกันมากนะเธอ”
ทิวชะงักกึก
“ใช่...เทพบุตรกับนางฟ้ายังไงยังงั้น แต่เสียดายที่คุณเทพ มีภรรยาแล้วตั้งสามคน แต่เอ๊ะ หรือว่านี่จะเป็นคนที่สี่”
ทิวไม่พอใจอย่างรุนแรง มองตามหญิงมานศรีกับเทพไปด้วยความเจ็บปวดอยู่ลึกๆ
ผ่องทิพย์ในชุดค็อกเทลสั้นเซ็กซี่เตรียมออกงานเดินลงบันไดมาอย่างเร่งรีบ พลางใส่ต่างหู บุญปลูกถือรองเท้าส้นแหลมและกระเป๋าถือตามลงมา
“เร็วๆ นังบุญปลูก เดี๋ยวคุณเทพจะไปงานซะก่อน”
“ค่ะๆ”
“คืนนี้ ฉันจะเป็นคู่ควงที่สวย สง่า เคียงข้างคุณเทพอย่างเหมาะสมในฐานะว่าที่เมียหมายเลขหนึ่ง”
ขวัญตาเข้ามาหัวเราะเยาะใส่ โดยที่ตัวเองก็ขมขื่นอยู่ด้วยลึกๆ
“ฮ่ะๆๆ เมียหน้าโง่นะสิไม่ว่า”
“แกน่ะสิโง่” ผ่องทิพย์มองขวัญตาหัวจรดเท้า “อยู่ให้แห้งเป็นผีเรือนไปเถอะ ไป นังบุญปลูก”
ผ่องทิพย์เดินผ่านจงใจชนไหล่ขวัญตาออกไป
“คุณเทพไปงานกับนังคุณหญิงนั่น ตั้งแต่หัวค่ำแล้ว”
ผ่องทิพย์ฃะงัก
“อะไรนะ คุณเทพควงนังนั่นออกงาน”
“เออ...คนที่ควรจะดักดานเป็นผีเรือนคือแกต่างหาก เพราะโง่ ปิดหู ปิดตา ไม่ได้ดูเลยว่าใครทำอะไรกับใครที่ไหนยังไงกันบ้าง”
ผ่องทิพย์อึ้งไป ขวัญตาเหยียดปาก
“หึ...นี่คงเป็นความพยายามอีกครั้งของชะนี ที่กำลังจะเสียผัวให้คนอื่นสินะ จะบอกอะไรให้เอาบุญ ว่า...เสียเวลาเปล่า ยังไงคุณเทพก็ไม่เอาแก ไม่เอาฉันไม่เอาใครทั้งนั้น นอกจากนังคุณหญิงนั่น นังสมองหนาปัญญาอ่อน”
บุญปลูกรู้ชะตากรรม รีบปิดหูตัวเองทันที ขวัญตายิ้มเยาะอย่างขมขื่น ก่อนจะเดินออกไปอย่างเจ็บแค้น ผ่องทิพย์ร้องสุดเสียง
“อ๊ายยย!”
พวงทองเดินเข้ามาอย่างตกใจ
“ผ่อง เป็นอะไร”
ผ่องทิพย์ยังกรี๊ดไม่หยุด พวงทองมองอย่างสงสัย
“แล้วนี่ แต่งตัวจะไปไหน...บุญปลูก...”
“คุณนายตั้งใจจะไปงานกับนายใหญ่ค่ะ แต่คุณขวัญตามาเบรกไว้บอกว่าคุณเทพไปกับคุณหญิงแล้ว แถมด่าว่าคุณนายโง่ดักดานเป็นผีเรือนสมองหนา”
พวงทองตัดบท
“พอ!”
บุญปลูกจ๋อยๆ
“ค่ะ”
พวงทองมองผ่องทิพย์ที่ฟาดงวงฟาดงาด้วยความโกรธอย่างสมเพชเวทนา ขณะที่ขวัญตาเดินออกมา สายตาอาฆาต ได้ยินเสียงกรีดร้องของผ่องทิพย์ดังตามออกมา
“ไม่แกก็ฉัน ต้องตายกันไปข้าง นังคุณหญิง”
ในงาน...หญิงมานศรีรับแก้วเครื่องดื่มมาจากเทพ
“ขอบคุณค่ะ”
เทพแอบสัมผัสมือเบาๆ
“ด้วยความยินดีครับ”
หญิงมานศรีมองมือของเทพที่สัมผัสมือของตัวเอง นิ่งแต่ไม่ชักมือกลับ ยิ้มให้กับเทพอย่างจริงใจ
“ค่ะ”
เทพหัวใจพองโต...เลยจับมือของเธอเต็มๆ อย่างตั้งใจ ทิวที่ยืนดื่มเครื่องดื่มมองมาจากมุมหนึ่ง ถึงกับสำลัก หญิงมานศรีค่อยๆเอามืออกจากมือของเทพ ยกเครื่องดื่มขึ้นดื่ม หันไปเจอทิวมองมาพอดี ทิวยกแก้วเครื่องดื่มชูให้ยิ้มเหยียด คราวนี้หญิงมานศรีเป็นฝ่ายสำลักบ้าง ทิวแอบขำ เดินลิ่วเข้ามาหาโดยที่เทพไม่เห็น
“คุณหญิง...เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ...หญิงตกใจ คิดว่าตัวเองเห็นสัมพะเวสีผีเร่ร่อนลอยไปลอยมาอยู่แถวนี้ค่ะ”
ทิวเข้ามายืนข้างหลังเทพได้ยินพอดี ชะงัก
“ผีเร่ร่อนเหรอครับ...ไม่มีจริงหรอกครับคุณหญิง ก็แค่เรื่องหลอกเด็ก”
“ไม่เชื่อ คุณเทพก็หันไปดูข้างหลังสิคะ”
เทพหันไป เจอทิวยืนมองอยู่เต็มๆ
“นายทิว...”
หญิงมานศรีหลุดหัวเราะ ทิวอารมณ์เสียกับเธอมาก เทพมองทิวทีหญิงมานศรีที เห็นปฏิกริยาบางอย่างที่เทพรู้สึกว่า ไม่น่าไว้วางใจระหว่างทิวกับหญิงมานศรี ธีรพลเดินมาเห็นหญิงมานที่ดีใจมากเมื่อพบเขา
“ชายธี...”
“หญิง...คิดว่าจะไม่มาซะแล้วสิ”
“ตอนแรกก็ว่าจะไม่มา คิดอีกที...งานนี้เป็นงานที่ชายธีตั้งใจทำมาก หญิงเลยมาให้กำลังใจชายธีจ๊ะ”
เทพไม่พอใจ เพราะคิดว่าหญิงมานศรีมาเพราะตัวเอง แต่กลับเป็นมาด้วยเหตุผลอื่น ทิวสังเกตเทพ แล้วยิ้มเยาะเมื่อเห็นเทพดูมีท่าทีร้อนใจ เดินไปกระซิบข้างหู
“เสียใจด้วยนะ...ที่มานศรีมาเพราะอยากให้กำลังใจเพื่อน ไม่ใช่เพราะนาย”
เทพอึ้งไป ทิวหันไปมองหญิงมานศรีคุยกับธีรพลอย่างร่าเริง
“ดูสิ...คุยกันเหมือนกับว่านายไม่มีตัวตน จะแนะนำสักนิดก็ไม่มี สุดท้าย พวกผู้ดีก็ไม่เคยมองเห็นหัวคนธรรมดา อยากเป็นพวกเดียวกันกับเขา คงมีทางเดียว...คือไปเกิดใหม่”
“การเป็นพวกเดียวกับหม่อมราชวงศ์มานศรีสำหรับฉัน...ไม่ใช่เรื่องยาก ไม่เห็นเหรอว่าคุณหญิงเปิดทางยอมให้ฉันใกล้ชิดมากขนาดไหนแล้ว”
“ไม่ยาก แต่ก็...ไม่ง่าย เพราะรู้สึกว่าคู่แข่งจะเพิ่มมาอีกหนึ่งคน แถมยังมีเลือดสีเดียวกันกับมานศรีอีกต่างหาก...เลือดชั่วอย่างนาย คงต้องออกแรงฮึดหน่อยนะ สู้ๆ”
ทิวตบไหล่เทพ ยิ้มเยาะแล้วเดินออกไป เทพกัดฟันกรอดๆ สะกดใจไม่ให้โกรธ ปั้นหน้ายิ้ม เดินเข้าไปขัดจังหวะการคุยของหญิงมานศรีกับธีรพล
“คุณหญิงครับ...เพื่อนเหรอครับ”
“อุ๊ย ขอโทษทีค่ะ หญิงเสียมารยาทจังเลย คุณเทพคะนี่หม่อมราชวงศ์ธีรพลเพื่อนสนิทของหญิงค่ะ เป็นผู้อำนวยการคนใหม่ของโรงพยาบาลจังหวัดค่ะ ส่วนคุณเทพเป็นทั้งเพื่อนหม่อมแม่และเจ้านายของหญิงจ๊ะ”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณชายธีรพล”
“เช่นกันครับ คุณเทพ”
เทพยกมือเช็กแฮนด์...ธีรพลจับมือด้วย เทพยิ้มแต่ในใจคิดโกรธ ธีรพลสัมผัสได้ถึงแรงบีบมือที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆของเทพ หากแต่ยิ้มให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะไม่อยากให้หญิงมานศรีไม่สบายใจ ต่างฝ่ายต่างดูท่าทีกัน
ผ่องทิพย์นั่งร้องไห้หมดแรงอยู่ บุญปลูกนั่งง่วงอยู่ข้างๆ พวงทองเดินเข้ามาพร้อมแก้วน้ำ
“บุญปลูก กลับไปได้แล้ว ฉันจะดูแลคุณนายเอง”
“ค่ะ”
บุญปลูกดีใจรีบออกไป พวงทองลงนั่งยื่นแก้วน้ำให้น้องสาว
“ผ่อง...ดื่มน้ำก่อนนะ”
ผ่องทิพย์หันมา มองแก้วน้ำ เห็นแววตาที่เห็นใจของพวงทอง แล้วของขึ้นอีก
“ไม่กิน!”
ผ่องทิพย์ปัดแก้วน้ำจนตกแตก พวงทองตกใจ
“ไม่ต้องมาสมเพชฉัน พี่ก็ไมได้ต่างไปจากอีนังขวัญตา เยาะเย้ยฉันทุกครั้งที่มีโอกาส”
“เมื่อไร่ผ่องจะมีสติสักที พี่เป็นพี่สาวแท้ๆของผ่อง มีแต่ความหวังดีให้”
“เรื่องผัวไม่มีคำว่าพี่น้อง”
“อย่าคิดว่าคนอื่นจะคิดเหมือนตัวเอง”
“ตัวเองวิเศษมากนักหรือไง หา คิดว่ามาก่อนแล้วจะเป็นที่หนึ่งเหรอ คิดว่าจะได้ความรักมากกว่าคนอื่นๆเหรอ หา”
“แล้วผ่องไม่ได้รับความรักจากใครตรงไหน”
“คุณพ่อคุณแม่ไง คุณเทพก็อีก ทำไมมีแต่คนรักแก เกรงใจแก อะไรๆก็คิดถึงแต่แกก่อน หา”
ผ่องทิพย์เข้าไปกระชากเสื้อ เขย่าตัวพวงทองด้วยความคลั่งแค้น
“อยู่ที่ใครทำตัวยังไงมากกว่าการมาก่อน หรือมาทีหลังต่างหากล่ะผ่อง”
ผ่องทิพย์อึ้ง พวงทองสะบัดจนหลุด
“พี่ขอเตือนผ่องเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ผ่องจะเสียทุกอย่างไป มีสติ มีเหตุผลและที่สำคัญรักตัวเองบ้าง จะได้ไม่รู้สึกว่าขาดแคลนความรัก”
“เตือนตัวเองก่อนเถอะ ไม่ต้องมาสอน”
ผ่องทิพย์คว้ากระเป๋าและรองเท้าเดินออกไป
“ผ่องจะไปไหน”
“เรื่องของฉัน”
พวงทองลังเล จะตามไปดีหรือไม่ ไม่มั่นใจ กลัวผ่องทิพย์จะไปหาเรื่องที่งาน รีบวิ่งไปที่โทรศัพท์บ้าน ยกหู กดหมายเลข...รอสาย...
“ฮัลโหล ทิวอยู่ที่งานของโรงพยาบาลหรือเปล่า”
เทพกำลังนั่งเซ็นเช็ค หญิงมานศรีเหลือบมอง เห็นยอดเงินห้าล้านบาท เธอก็ตกใจ อุทานเบาๆ
“ห้าล้าน!”
“ครับ...ห้าล้าน ผมตั้งใจจะบริจาคให้กับโรงพยาบาลนานแล้ว แต่ไม่มีโอกาสสักที ยุ่งๆจนไม่มีเวลา”
“หญิงดีใจแทนเพื่อนจริงๆเลยค่ะ”
“แต่ท่าทางคุณชายธีรพลจะไม่ได้คิดกับคุณหญิงแค่เพื่อนแน่”
หญิงมานศรีอึ้งไป
“ผมล้อเล่นนะครับ...อย่าถือโทษโกรธผมนะ”
“ชายธีเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่งของหญิง นอกจากพิไลพรค่ะ”
“ผมสบายใจจังที่ได้ยินแบบนี้”
หญิงมานศรีเขิน เมื่อสบตาหวานซึ้งเจ้าเสน่ห์ของเทพ จนอึดอัด เสมองทางอื่น เทพอมยิ้ม คิดในใจ ว่าเสร็จแน่
“ผมขอตัวไปพบท่านผู้อำนวยการ เพื่อนของคุณหญิงก่อนนะครับ”
“ค่ะ”
เทพก้มลงกระซิบข้างหูหญิงสาว
“แล้วผมจะรีบกลับมาหา...รู้มั้ยแม้แต่วินาทีเดียวผมก็ไม่อยากอยู่ห่างคุณหญิงเลย”
หญิงมานศรีหันไปยิ้ม เอียงอาย...เทพลุกออกไป หัวใจพองโตอีกแล้ว รู้สึกแปลกใจตัวเองเล็กน้อย ที่มีอาการเหมือนอายุสิบสี่กำลังตกหลุมรัก ทิวเข้ามากระซิบข้างหูหญิงมานศรี
“เคลิ้มเชียวนะ”
หญิงมานศรีตกใจ สะดุ้งเฮือก
“นายทิว”
“ละลายเหลวไปหมดทั้งตัวเลยนี่...”
ทิวจงใจมองเธออย่างเปิดเผยตั้งแต่หัวจรดเท้า หญิงมานศรียกมือปกปิดป้องร่างกาย
“เสียมารยาท”
“แล้วคนที่หิ้วผัวชาวบ้านมาออกงาน โดยไม่แคร์เมียๆเขาที่บ้าน มารยาทดีนักหรือไง มานี่”
ทิวลากตัวเธอออกไปทางหนึ่ง หญิงมานศรีพยายามจะดิ้น
“ถ้าไม่อายสายตาชาวบ้านก็ดิ้นให้แรงกว่านี้”
หญิงมานศรีหยุดดิ้น เดินตามทิวไปด้วยความโกรธและไม่พอใจ
หญิงมานศรีเดินตามมาถึงมุมที่ไม่มีแขกแล้ว จึงไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องทำตามคำสั่งของเขา เธอมองซ้ายมองขวา แล้วรีบเดินฉีกไปทางหนึ่งเพื่อจะหลบเขา ทิวหยุดชะงัก หันไปมองข้างหลัง ไม่เห็นตัวหญิงมานศรีแล้ว ทิวไม่พอใจหันไปมองทางหนึ่ง เห็นหลังของหญิงสาวไวๆ ชายหนุ่มรีบตามไปทันที
“มานศรี หยุดนะ”
หญิงมานศรีสะดุ้ง รีบวิ่งหนี ทิวรีบตามไป
เสกสรรค์ยังคงยืนนิ่งอยู่ พิไลพรยืนมองตกลงจะเอายังไงกันแน่
“คุณเสกคะ...จะเข้าไปมั้ยคะ”
“ผม...กลัวคุณหญิงจะ...”
“งั้น ตัดสินใจให้ได้ก่อนแล้วกันนะคะ ว่าจะเข้าไปหรือจะกลับ ส่วนพรคงต้องเข้าไปแล้ว ขอบคุณค่ะที่ให้ติดรถมาด้วย”
พิไลพรเดินเข้าไป แต่แล้วก็เดินกลับมาหาเสกสรรค์ใหม่อีกที
“คุณเสกเป็นคนดี มีทุกอย่างพร้อม ยกเว้น...ความกล้าหาญ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้หญิงคาดหวังจากผู้ชายที่เป็นคนรัก พรว่าคุณเสกเองก็รู้ดีอยู่แล้ว ทำให้ได้นะคะ ถ้าอยากได้คุณหญิงกลับมา”
พิไลพรวิ่งกลับเข้าไปในโรงแรม ทิ้งให้เขายืนอึ้งอยู่อย่างนั้น
หญิงมานศรีเดินหนีทิวมาตามทางบริเวณหน้าห้องพักของโรงแรม รถเข็นอุปกรณ์ของแม่บ้านจอดอยู่ที่หน้าห้องหนึ่ง ซึ่งประตูเปิดอยู่ แม่บ้านคนหนึ่งเดินออกมา กำลังจะปิดประตูล็อก แม่บ้านอีกคนเข้ามาเรียก
“มาช่วยดูห้องน้ำในห้องนี้หน่อยสิ”
แม่บ้านตามเพื่อนออกไป โดยไม่ได้ปิดประตู หญิงมานศรีวิ่งมา รีบเข้าห้องนั้น จะปิดประตู แต่แล้ว ทิวก็ตามมาทัน ผลักเธอเข้าไป แล้วตัวเองก็ตามเข้าไปด้วย เขาปิดประตูทันที
“ว้าย!”
ทิวพิงประตู กดล็อก หญิงมานศรีมองอย่างตกใจถอยหลังกรูด ทิวย่างสามขุมเข้าหา
“นายตั้งใจจะทำอะไร”
“บอกก็โง่สิ”
ทิวก้าวเข้าหาไปเรื่อยๆ หญิงมานศรีเดินถอยหลังหนีทิวไปตามมุมต่างๆของห้อง แม่บ้านเข้ามาจะปิดประตูห้อง เห็นประตูปิดอยู่แล้ว ลองบิดประตูดูเห็นว่าล็อกแล้ว
“เอ๊า...ล็อกแล้วเหรอ...นึกว่ายัง...”
แม่บ้านสงสัย แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร เข็นรถประจำตำแหน่งออกไป
หญิงมานศรีหนีการคุกคามของทิวมาจนถึงเตียงนอน ไปต่อไม่ได้ เธอตัดสินใจ ผลักเขาออกไป แล้ววิ่งไปทางประตูห้อง จะเปิดออกไป แต่ทิวตามไปจับตัวเอาไว้ได้
“ชะ...”
หญิงมานศรีจะร้อง ทิวเอามือปิดปากเอาไว้
“เงียบ!”
หญิงมานศรี พยายามดิ้น ตะกายออกไปจากห้องให้ได้ ทิวทั้งรั้งทั้งปิดปากหญิงสาวอย่างทุลักทุเล
เทพยืนคุยอยู่กับธีรพล
“ขอบคุณมากนะครับ สำหรับการบริจาค”
“เล็กน้อยครับ...คุณชาย...”
ธีรพลรีบขัด
“เรียกชื่อเฉยๆ หรือจะเรียกหมอธีก็ได้ครับ”
“ไม่ได้หรอกครับ ผมต้องให้เกียรติ”
“เกียรติของผมไม่ได้อยู่ที่สรรพนาม หรือยศถาบรรดาศักดิ์หรอกครับ”
“แล้วหมอธีคิดว่าอยู่ที่ไหน”
“การกระทำครับ”
เทพแค่นยิ้มให้เหมือนจะยอมรับ
“ผมเห็นด้วยนะ โรงพยาบาลจังหวัดเราต้องเจริญรุดหน้าอย่างรวดเร็ว เพราะมี ผู้บริหารที่ดีอย่างคุณ”
“ขอบคุณครับ”
“ผมมีเรื่องอยากจะรบกวนคุณนิดหน่อย พอจะเสียเวลาฟังสักครู่ได้มั้ยครับ”
ธีรพลแปลกใจ แต่ก็ยิ้มรับ
“ครับ”
ทิวตะปบลากหญิงมานศรีให้พ้นจากประตู ถูลู่ถูกัง จนชุดขาดแควก เผยให้เห็นไหล่เนียนขาว
“ว้าย!”
ทิวตกใจ หญิงมานศรีพยายามปกปิด ก่อนจะหันมาตบหน้าเขา
“คนชั่ว นายจะข่มขืนฉัน”
“ตอนแรกก็ว่าจะไม่ งั้นทำจริงๆเลยแล้วกัน”
ทิวโถมเข้าใส่ หญิงมานศรีร้องลั่น
“อย่านะ”
ทิวชะงักไว้ ใบหน้าเขาห่างจากใบหน้าของเธอเพียงแค่ไม่ถึงเซนติเมตร ชายหนุ่มมองหน้าหญิงสาวที่หลับตาปี๋ หายใจเร็วแรง...เขาเห็นความรู้สึกที่ไม่ได้เสแสร้งของเธอแล้วแปลกใจ หญิงมานศรีตกใจ ลืมตา เห็นทิวอยู่ใกล้มาก เธอชักหวั่นไหว สองคนสบตากัน ล้ำลึก ลึกซึ้ง ทิวกระซิบบอกเบาๆ เสียงนุ่มนวล
“อยู่กับฉันก่อน...ได้มั้ย”
หญิงมานศรีใจเต้นไม่เป็นส่ำ แปลกใจ ตกใจ กับคำขอร้องของเขา
ธีรพลเดินคุยกับเทพมามุมหนึ่ง
“ผมต้องขอโทษจริงๆ ที่ผมไม่สามารถเปิดเผยได้ว่า...ลุงคนนั้นไปอยู่ที่ไหนและใครรับเป็นผู้อุปการะ มันเป็นจรรยาบรรณครับ”
“อะไรกัน...ผมบริจาคไปตั้งห้าล้าน แต่เรื่องเล็กน้อยคุณกลับช่วยผมไม่ได้”
ธีรพลมองหน้าเทพอย่างครุ่นคิด
“ว่าไงครับ”
ธีรพลนึกถึงตอนที่คุยกับพิไลพร เมื่อวันที่เขาเข้ามารับตำแหน่งใหม่ๆ เขาคุยกับเธอในห้องผู้อำนวยการโรงพยาบาล พิไลพรขอร้องเขาหลังจากเล่าเรื่องลุงมิตรให้ฟัง
“ช่วยเก็บเรื่องของลุงคนนั้นเป็นความลับได้มั้ยคะ”
“พรมั่นใจเหรอว่าการที่พรช่วยคุณทิว เป็นสิ่งที่ถูกต้อง”
“พรมั่นใจค่ะ อีกเรื่องหนึ่งก็คือ หมอธีช่วยพรได้มั้ยคะ ช่วยไปตรวจดูอาการของลุงเค้าให้ด้วย หมอธีเป็นหมอคนเดียวที่พรไว้ใจ”
“ถ้าลุงคนนั้นหาย...”
“ความจริงเกี่ยวกับคุณเทพอาจจะปรากฏ คุณทิวจะได้รอดพ้นมลทิน และคุณหญิงของพรจะได้กลับวังกฤตยาสักที”
ธีรพลพยักหน้าช้าๆ ยอมรับที่จะช่วยเหลือ
เทพยิ้มอย่างเป็นมิตรให้กับธีรพล
“คิดได้แล้วใช่มั้ยครับว่าควรจะช่วยผม”
“ครับ...คิดได้แล้วว่า ถ้าคิดจะใช้เงินห้าล้านเพื่อแลกกับคำว่าจรรยาบรรณ คุณเอาเงินบริจาคคืนไปเถอะ”
เทพอึ้ง แอบไม่พอใจ
“ลุงคนนั้นของคุณเทพ สำคัญมากขนาดไหนครับ ถึงต้องตามหาตัวให้เจอ”
เทพชะงักไปนิด
“ผมก็แค่...คุ้นๆว่าแกเคยเป็นคนงานที่ผมเคยดูแล เลยอยากจะรู้ข่าวคราว”
“เสียใจด้วยจริงๆครับ”
พิไลพรตามหาหญิงมานศรีไม่เจอ เธอเดินเข้ามาอย่างร้อนใจ
“หมอธีคะ คุณหญิงไปไหนคะ พรตามหาทั่วงานตั้งนานแล้ว ไม่เห็นเลย”
เทพกับธีรพลตกใจที่หญิงมานศรีหายตัวไป
ทิวซบกับไหล่ของหญิงมานศรีอย่างเหน็ดเหนื่อย
“เชื่อฉัน...อย่าเพิ่งออกไปตอนนี้”
“ทำไม...”
ชายหนุ่มกอดหญิงสาวเอาไว้ หลับตาลงช้าๆ...
“เพื่อตัวเธอเอง อย่าเพิ่งออกไป”
หญิงมานศรีนิ่งอึ้ง ไม่แน่ใจ ว่าการอยู่กับเขาจะดีกว่าการหนีออกไป
เทพ ธีรพล พิไลพรเดินออกมาจากในห้อง เสกสรรค์เดินเข้ามา หยุดชะงัก พิไลพรเข้าไปบอก
“คุณเสก คุณหญิงหายตัวไปค่ะ”
เสกสรรค์แปลกใจ
“หายไปไหน”
เทพนึกได้หันไปถามพิไลพร
“คุณพิไลพร เห็นนายทิวอยู่แถวนี้หรือเปล่า”
“ไม่เห็นค่ะ”
เทพ มั่นใจว่าทิวต้องเป็นคนพาหญิงมานศรีไปไหนสักแห่ง
“นายทิว”
พิไลพรสงสัย
“คุณทิวเหรอคะ”
ทุกคนมองหน้ากัน แปลกใจ
ทิวยังกอดหญิงมานศรีอยู่
“เพื่อความปลอดภัยของเธอเอง เชื่อฉัน...”
“การที่ฉันอยู่กับนาย มันจะปลอดภัยกว่าข้างนอกนั่นเหรอ”
“ใช่...อย่างน้อย ฉันก็...”
หญิงมานศรีตัดสินใจยกขากระทุ้งอย่างแรง จนทิวจุก ตัวงอ
“โอ๊ย!”
“ฉันไม่เชื่อนาย”
หญิงมานศรีรีบวิ่งไปเปิดล็อกประตูแล้ววิ่งหนีออกไป
“มานศรี...”
ทิวลากสังขารตัวเองวิ่งตามหญิงมานศรีออกไป
โปรดติดตามอ่านต่อตอนที่ 12