ภูผาแพรไหม ตอนที่ 2
รุ่งเช้า เหล่าบอดี้การ์ดที่อยู่ในชุดออกกำลังกายกำลังซ้อมการต่อสู้อยู่ที่บริษัทของภูผา ภูผาในชุดออกกำลังกายเดินมายืนมองก่อนจะเดินเข้าไปหาลูกน้อง เหล่าบอดี้การ์ดหยุดซ้อมแล้วหันกลับมามองเจ้านาย
“มาซ้อมกัน” ภูผาชวน
บอดี้การ์ดคนหนึ่ง เดินเข้ามา
ภูผาอยากจะลืมภาพของแพรไหมให้หมดไปจากหัวเขาจึงหันไปบอกทุกคน
“ทุกคนเลย”
ทุกคนพุ่งเข้ามาต่อสู้กับภูผา ภูผาใช้ศิลปะการต่อสู้ที่เหนือกว่าเอาชนะลูกน้องทุกคนไปได้ ทวีปเดินเข้ามาปรบมือ ภูผาหันไปมองแล้วยิ้มให้เพื่อน
ชัยนั่งอยู่ในร้านโทรศัพท์ เขามองนาฬิกาอย่างใจจดใจจ่อ พอ 10 โมงตรงชัยก็รีบกดโทรศัพท์ต่อสายไปหาพันทิญาทันที พันทิญาที่อยู่ในห้องนอนได้ยินเสียงเพลงจากไอโฟนก็รู้ว่าชัยโทรมา เธอหยิบไอโฟนขึ้นมามองอย่างเหยียดๆ แล้วกดรับสาย
“โทรมาอยู่ได้ทุกเช้า..ต่อไปนี้ไม่ต้องโทรมาแล้วนะ เราเลิกกัน”
พันทิญากดตัดสายทิ้งยิ้มเยาะอย่างสะใจ
ชัยตกใจมากที่พันทิญาบอกเลิกแล้ววางหูใส่เขาแบบนี้
“คุณแพร คุณแพร”
ชัยพยายามกดโทรศัพท์หาพันทิญาแต่เธอกดตัดสายตลอด
ชัยรู้สึกช็อคเป็นอย่างมาก “ผมทำอะไรผิด..ทำไมคุณถึงบอกเลิกผม”
แพรไหมนั่งออกแบบชุดผ้าไหมอย่างเซ็งๆ อยู่ที่ร้านแพรไหม จู่ๆ เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น
แพรไหมพูดอย่างเซ็งๆ “เชิญค่ะ”
แสงฉายถือดอกไม้ช่อโตเปิดประตูเข้ามา แพรไหมมองเจ้าแสงฉายอย่างสุดเซ็ง
แสงฉายยื่นดอกไม้ให้แพรไหม “สำหรับว่าที่เจ้าสาวของผม”
“ฉันไม่ได้อยากเป็นเจ้าสาวของเจ้า..เจ้ายกเลิกงานทั้งหมดได้มั้ยคะ”
“ไม่ได้หรอกครับ..เพราะผมรักคุณ”
“เจ้าก็รู้ว่าฉันไม่ได้รักเจ้า”
“เพราะคุณยังไม่รู้จักผม..ผมไม่ใช่คนใจร้ายชอบบังคับคนอื่นอย่างที่คุณคิดหรอกนะครับ ถ้าคุณยังไม่พร้อมสำหรับการแต่งงานผมจะให้เวลาคุณ”
แพรไหมได้ยินก็ดีใจ “3 ปี”
“1 เดือนสำหรับการทำความรู้จักก่อนเข้าพิธีแต่งงาน” แสงฉายบอก
“1 เดือนนี่เหรอคะไม่ใช่คนใจร้ายที่ชอบบังคับคนอื่น”
“ถ้าใจร้ายผมคงจัดงานหมั้นพรุ่งนี้แล้วแต่งมะรืน”
แพรไหมพูดประชด “ขอบคุณนะคะที่เมตตาให้เวลาฉันอีกตั้งเดือน”
แสงฉายยิ้มมองแพรไหมอย่างอ่อนโยน “ผมมารับคุณออกไปทานข้าว”
“ฉันปวดหัวค่ะ..ไม่อยากออกไปไหน”
แสงฉายมองแพรไหมอย่างรู้ทันว่าแพรไหมแกล้งปวดหัว
“งั้นผมจะให้คนสั่งอาหารจากโรงแรมมาทานกับคุณที่นี่..แล้วก็จะอยู่ดูแลจนกว่าคุณจะหายปวดหัว”
แพรไหมถอนหายใจอย่างเซ็ง ๆ แสงฉายมองแพรไหมแล้วยิ้มสมใจที่สามารถเอาชนะแพรไหมได้
ออฟฟิศของภูผาซึ่งเป็นตึกแถวเก่าๆ มีป้ายเขียนว่า บ. P.Protector ภูผากำลังคุยอยู่กับทวีปในห้องทำงานของเขา
“น้องชายช่วยผู้หญิงชื่อแพรไหม พี่ชายมีแฟนชื่อแพรไหมประหลาดดี..แต่ฟังจากแกแล้วฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าคนที่รับผิดชอบครอบครัวสูงอย่างพี่ชัยจะเอาเงินที่จะหุ้นกับแกซื้อตึกไปซื้อของให้ผู้หญิงหมด” ทวีปพูด
“ผู้หญิงคนนี้เป็นรักครั้งแรกในชีวิตของพี่ชัย พี่ชัยเลยรักมากจนยอมทุ่มเททุกอย่าง” ภูผาบอก
“แล้วถ้าพี่ชัยโดนหลอกขึ้นมาล่ะ”
“พี่ชัยไม่ใช่เด็ก ๆ คิดอะไรรอบคอบจะตายคงไม่โดนผู้หญิงหลอกง่าย ๆ”
“ไม่แน่...ไม่เคยได้ยินเหรอที่เค้าบอกว่าความรักทำให้คนตาบอดน่ะ มันมีจริงนะโว้ย”
“พี่ชัยบอกว่าครอบครัวคุณแพรไหมรวยมาก เค้าคงไม่มาหลอกพี่ชัยให้เสียเวลาหรอก”
ทันใดนั้นประตูห้องภูผาก็ถูกเปิดพรวดเข้ามาโดยชัยที่อยู่ในสภาพน้ำตานองหน้าร้องไห้เดินเข้ามาอย่างเสียใจ ภูผากับทวีปมองชัยด้วยความตกใจ
“พี่ชัย..เป็นอะไรครับ” ภูผาถาม
ชัยร้องไห้สะอึกสะอื้น “คุณแพร บอกเลิกพี่”
“ทำไมละครับ” ทวีปถามต่อ
“พี่ก็ไม่รู้ จู่ ๆ เค้าก็บอกเลิกพี่ โทรกลับไปจะคุยให้รู้เรื่องคุณแพรก็ตัดสายทิ้งเหมือนโกรธพี่มาก พี่งงไปหมดจนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว”
“ไปหาเค้าที่บ้านสิครับ จะได้คุยกันให้รู้เรื่อง” ทวีปเสนอ
“พี่ไม่รู้จักบ้านคุณแพร” ชัยบอก
“ที่ทำงานละครับ” ภูผาถามต่อ
“คุณแพรไม่ได้ทำงาน..ภูต้องช่วยพี่นะ ภูต้องช่วยให้คุณแพรกลับมาคืนดีกับพี่”
ภูผามองชัยอย่างหนักใจ ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ลูกน้องภูผาเปิดประตูเข้ามา
“ทีมที่จะไปทำงานคุณดิเรกพร้อมประชุมแล้วครับ” ลูกน้องรายงาน
ภูผาพยักหน้าแล้วพูดกับชัย
“ผมกับวีปต้องประชุม..พี่นั่งรออยู่ตรงนี้ก่อนนะครับใจเย็น ๆ เดี๋ยวผมกับวีปจะออกมาคุยด้วย”
ชัยพยักหน้า ภูผามองชัยที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความหนักใจแล้วเดินออกไปกับทวีป ชัยทิ้งตัวนั่งพิงพนักอย่างหมดแรงแล้วก็ร้องไห้เสียใจไม่หยุด เสียงนาฬิกาในห้องภูผาดังขึ้นบอกเวลาเที่ยง
ชัยหันไปมองนาฬิกา “เที่ยง..”
ชัยนิ่งคิดแล้วลุกพรวดออกจากห้องไป
พันทิญากับพิพัฒน์เดินคุยกะหนุงกะหนิงมาตามทางเดินหน้าร้านอาหารในห้าง
“พันชอบทานอาหารร้านนี้ที่สุดเลยค่ะ...ชอบมากถึงขนาดทานได้ทุกวัน”
“งั้นผมขอมาทานเป็นเพื่อนคุณทุกวันเลยได้มั้ยครับ” พิพัฒน์ถาม
“ถ้าคุณไม่เบื่อซะก่อนพันก็ยินดีค่ะ”
พิพัฒน์มองพันทิญาอย่างมีความหมาย “ผมเป็นคนมั่นคงในความรัก ลองถ้ารักอะไรแล้วไม่มีทางเปลี่ยนใจ ผมไม่เบื่ออะไรง่าย ๆ หรอกครับ”
พันทิญามองพิพัฒน์แล้วทำเป็นยิ้มเขิน พันทิญาชะงักเมื่อเดินมาเจอชัยที่อยู่ในสภาพหัวยุ่ง เสื้อผ้ายับยู่ยี่กำลังยืนร้องไห้ขวางทางอยู่
“คุณชัย!!” พันทิญาตกใจมากอุทานออกมา
พันทิญาชะงักนิ่งเมื่อเห็นชัยในสภาพหัวยุ่งและเสื้อผ้ายับยู่ยี่กำลังยืนร้องไห้ขวางทางอยู่
พันทิญาตกใจมาก “คุณชัย!!”
ชัยมองพิพัฒน์อย่างเจ็บปวดแล้วเขาก็ร้องไห้ไปพูดไป
“คุณมีคนอื่นเลยทิ้งผม”
พิพัฒน์หันไปถามพันทิญา “แฟนคุณเหรอครับ”
พันทิญามองพิพัฒน์ด้วยสีหน้าตกใจ “ไม่ใช่นะคะ ไม่ใช่..”
ชัยพูดด้วยความเจ็บปวด “คบกันสองเดือนเรียกผมว่าที่รักทุกคำ ไม่เรียกว่าแฟนแล้วเรียกว่าอะไร”
พันทิญาทำเป็นโมโหกลบเกลื่อน “คนบ้าไง” พันทิญาหันไปพูดกับพิพัฒน์ “นายคนนี้เป็นบ้าค่ะ บ้ารัก บ้าตื๊อ..ไล่ไปหลายทีแล้วก็ยังกลับมาอีก”
ชัยได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งเจ็บปวด “คุณโกหกเพราะกลัวเค้าไม่คบกับคุณใช่มั้ยคุณแพร”
พิพัฒน์เริ่มงง “แพร?”
พันทิญาได้ทีก็ยิ่งย้ำ “บอกแล้วว่าเค้าบ้า”
พิพัฒน์เชื่อพันทิญาทันที
“ไปตรวจสมองซะจะได้แยกออกว่าอะไรคือความฝันอะไรคือความจริง” พันทิญาว่า
พันทิญาดึงพิพัฒน์ให้เดินหนีไป
ชัยเดินเข้ามาขวาง “เราต้องคุยกันให้รู้เรื่อง”
พันทิญามองหน้าชัยด้วยความหงุดหงิด
“ฉันรู้ว่าคุณคลั่งฉันมากแต่ฉัน” พันทิญาพูดเน้นเสียง “ไม่เคยรักคุณ...ได้ยินชัดแล้วรู้เรื่องแล้วก็เลิกยุ่งกับฉันซะที”
พันทิญากับพิพัฒน์ทำท่าจะเดินไป แต่ชัยเดินเข้ามาขวางอีก
ชัยพูดพร้อมกับร้องไห้อย่างเจ็บปวด “คุณแพรทำไมคุณถึงทำกับผมอย่างนี้..ผมทำผิดอะไร”
พิพัฒน์มองชัยแล้วพูดอย่างใจเย็น “สงบสติอารมณ์บ้างเถอะคุณ..อย่ายุ่งกับพวกเราอีกเลย”
พันทิญามองชัยด้วยความรำคาญสุด ๆ
พันทิญาหันไปพูดกับพิพัฒน์ “กับคนบ้าพูดดีๆ ไม่รู้เรื่องหรอกค่ะ” พันทิญาตะโกน “ยามๆ มีคนบ้าอยู่ตรงนี้มาจับไปหน่อยเร็ว ยาม ยาม”
ชัยหันไปมองอย่างกลัว ๆ แล้วรีบวิ่งหนีไป พันทิญามองตามชัยแล้วยิ้มสะใจ
เวลาผ่านไป พันทิญากับพิพัฒน์นั่งอยู่ในร้านอาหารญี่ปุ่น
“นายชัยเป็นเจ้าของร้านโทรศัพท์ที่พันซื้อประจำโทรมาพันก็คุยด้วยเพราะเกรงใจ..เพิ่งรู้ว่าสติไม่ดีก็ตอนที่เค้าเรียกพันในชื่อแพรแล้วก็เพ้อเป็นตุเป็นตะว่าเป็นแฟนเค้านี่ล่ะค่ะ” พันทิญาแต่งเรื่อง
พิพัฒน์เริ่มห่วง “โดนคนสติไม่ดีตามราวีมันอันตรายนะครับ..คุณน่าจะแจ้งตำรวจ”
“พันกลัวเสื่อมเสียไปถึงคุณแม่เลยไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่น่ะค่ะ” พันทิญาตีหน้าเศร้าออดอ้อน “พันกลัวจังเลย..ถ้ามีใครสักคนไปไหนมาไหนเป็นเพื่อนคอยปกป้องจากนายชัยพันคงใช้ชีวิตมีความสุขกว่านี้”
พิพัฒน์มองพันทิญาด้วยแววตาลึกซึ้ง “ผมยินดีจะเป็นคนๆ นั้น”
พันทิญามองพิพัฒน์แล้วยิ้มดีใจเพราะเข้าทาง แล้วเธอก็ทำเป็นยิ้มเขิน พิพัฒน์มองพันทิญาแล้วยิ้มอย่างมีความสุข
ภูผาและทวีปเดินคุยกันอยู่ในห้องทำงานของภูผา
“...แกเตรียมแผนยังกะจะออกไปรบ” ทวีปบอก
“รับงานเขามาแล้ว ก็ต้องปกป้องเขาให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเสี่ยงอันตรายแค่ไหน เราก็ต้องทำ” ภูผาพูด
“ฝีมืออย่างแก เอาตัวรอดได้สบาย”
“ไม่มีอะไรแน่นอนหรอก .. ยิ่งงานใหญ่เท่าไหร่ ความเสี่ยงมันก็มากขึ้นเท่านั้น ...ถ้าพวกมันไม่แน่จริง คงไม่กล้าโทรศัพท์มาขู่ฆ่าลูกค้าของฉันในงานนี้หรอก”
ทั้งคู่เดินมานั่งลงที่โต๊ะทำงาน
“....งานใหญ่ระดับนี้ มาตรการรักษาความปลอดภัยต้องดีเยี่ยมอยู่แล้ว” ทวีปบอก
“แต่เราก็วางใจไม่ได้...บางที พวกมันอาจจะแฝงตัวมาร่วมงานด้วย”
ภูผาพูดด้วยสายตามุ่งมั่นเอาจริง ทวีปมองเพื่อนอย่างมั่นใจในความสามารถของตัวเอง
“เราคงจะต้องไปสำรวจความเรียบร้อยก่อนเวลาเริ่มงานซักสองชั่วโมง จนกว่าจะมั่นใจว่า ไม่มีใครซุกซ่อนอาวุธเอาไว้...ไม่งั้น ได้ตายหมู่แน่” ภูผาบอก
“...ดีกว่าตายคนเดียว” ทวีปเสริม
“ไอ้บ้า”
ภูผายิ้มออกมาได้ ทวีปมองเพื่อนอย่างไม่เข้าใจ
“ ....เป็นตำรวจอยู่ดีๆ ไม่น่าลาออกมาทำงานเสี่ยงๆเล้ย” ทวีปว่า
“คนเรา ถ้ามันจะตาย อยู่ที่ไหนก็ตายเหมือนกันล่ะน่ะ......ถ้าไม่อยากเสี่ยง ก็ไม่ต้องมาทำอาชีพนี้”
ทั้งสองคนยิ้มให้กันอย่างเข้าใจ
โต๊ะอาหารในร้านแพรไหมมีสเต็กปลา ขนมปังก้อน เนย สลัด สเต็กเนื้อ ซุปข้าวโพด ซุปเห็ดที่ดูหรูหราวางอยู่ แพรไหมนั่งถอนหายใจอย่างเซ็งๆ ผิดกับแสงฉายที่นั่งยิ้มอย่างมีความสุขแล้วพูดอย่างอ่อนโยน
“สเต็กปลาไม่ใส่ผัก ขนมปังร้อนๆกับเนย ซุปข้าวโพด...ผมสั่งแต่ที่คุณชอบคงถูกใจนะครับ”
แพรไหมรับคำอย่างเซ็งๆ “ค่ะ..”
แพรไหมเริ่มกินอาหารด้วยท่าทางเซ็งๆ แสงฉายมองแพรไหมแล้วยิ้มอ่อนโยน
“ผมชอบสลัดผัก..สเต็กเนื้อ แล้วก็ซุปเห็ด”
“อย่าเสียเวลาบอกเลยค่ะ..ฉันความจำไม่ดีไม่เกิน 5 นาทีก็ลืมแล้ว” แพรไหมบอก
แสงฉายมองเห็นแพรไหมยิ้มมุมปากอย่างอยากเอาชนะ
“ไม่เป็นไรครับ..ต่อไปนี้ผมจะทานข้าวกับคุณทุกวัน ได้ยินผมบอกทุกวันคุณก็จำได้เองว่าผมชอบหรือไม่ชอบอะไรบ้าง”
แพรไหมมองแสงฉายอย่างเซ็ง ๆ แล้วรวบช้อน
“ฉันอิ่มแล้วขอตัวนะคะ..งานเยอะ” แพรไหมพูดประชด “ไม่ว่างเอาเวลามาทิ้ง”
แพรไหมเดินออกไป แสงฉายมองตามแล้วยิ้มเยาะเพราะมั่นใจว่าแพรไหมไม่มีทางรอดเงื้อมมือเขาไปได้
แสงฉายเดินนำอยู่ในลานจอดรถ ธนา คม และเชี่ยวเดินตามหลัง ทันใดนั้นก็มีมีดปลิวมาอย่างรวดเร็ว ธนาหันไปเห็นก็ผลักแสงฉายให้หลบไป ธนาหันไปเห็นธี อารัญและพิม นักฆ่าจากเชียงทวายสามคนหลบอยู่ที่มุม
ธนาก็วิ่งเข้าไปหา คมกับเชี่ยวก็วิ่งตามไปต่อสู้อย่างดุเดือด จนสามนักฆ่าล่าถอยไป ธนาทำท่าจะวิ่งตามแต่แสงฉายเดินเข้ามาห้ามไว้
“ไม่ต้องตามหรอก”
ธนาถามอย่างเป็นห่วง “เจ้าไม่เป็นไรนะครับ”
“เกือบไปเหมือนกัน ถ้าหลบไม่ทัน ก็อาจจะแย่...ขอบใจมากนะธนา”
“มันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้วครับ....แต่ต่อไปเราจะต้องเพิ่มความระมัดระวังมากกว่านี้...พวกกบฏมันคงเริ่มคิดการใหญ่”
“ใช่ ถ้ามันกำจัดฉันกับ น้องหญิงได้ พวกมันก็หมดเสี้ยนหนาม...จะเปลี่ยนแปลงการปกครองยังไงก็ได้...แต่ฉันไม่กลัวมันหรอก…ห่วงก็แต่แสงมณี” แสงฉายบอก
แสงฉายมีสีหน้าเป็นกังวล ธนาเข้าใจความรู้สึกของเจ้าแสงฉายและคิดว่าเขาจะต้องปกป้องอย่างดีที่สุด
มือถือของชัยที่วางอยู่ในรถวึ่งจอดอยู่ที่ลานจอดรถดังขึ้น ชัยเอื้อมมาหยิบมือถือ ชัยยังคงร้องไห้อย่างหนัก เขามองหน้าจอแล้วกดรับสายด้วยเสียงปกติ
“ว่าไงภู....”
“พี่ชัยอยู่ไหนครับ” ภูผาถาม
ชัยบอกชื่อโรงแรม “พี่คิดว่าคุณแพรน่าจะมาทานข้าวที่นี่เลยมาดูแล้วก็เจอจริงๆ..คุณแพรมากับผู้ชายอื่น”
ภูผานั่งคุยโทรศัพท์อยู่ที่ออฟฟิศ โดยมีทวีปนั่งฟังอย่างห่วงชัย
ภูผาตกใจ “เค้านอกใจพี่”
ทวีปได้ยินก็ตกใจไปด้วย
“เค้าน่าจะถูกแม่เค้าบังคับให้คบคนรวยด้วยกันพี่กำลังรอคุยกับเค้า..คุณแพรกับพี่รักกันมากได้คุยกันเดี๋ยวก็รู้เรื่อง..ภูไม่ต้องห่วงนะ”
ชัยวางสายจากภูผาแล้วน้ำตาก็ไหลอาบแก้มอย่างขมขื่น
ภูผาวางสายด้วยท่าทางหนักใจ
“คุณแพรมีคนอื่น..ฉันว่าแล้วว่าผู้หญิงคนนี้ต้องหลอกพี่ชัย” ทวีปพูด
“แกก็อย่ามองคุณแพรในแง่ร้ายนักเลยน่า..พี่ชัยบอกว่าคุณแพรอาจจะโดนแม่เค้าบังคับ..ขอคุยกับคุณแพรก่อนน่าจะตกลงกันได้” ภูผาบอก
“ก็ขอให้เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ...พี่ชัยจะได้ไม่ต้องเสียใจ”
ชัยยังคงนั่งร้องไห้อยู่ในรถ สักพักเขาเห็นพันทิญาเดินออกมากับพิพัฒน์ก็ถึงกับชะงัก ชัยมองพันทิญาที่หน้าตามีความสุขแล้วก็เจ็บปวด ชัยพยายามพูดปลอบใจตัวเอง
“คุณแพรรักเรา คุณแพรโดนแม่เค้าบังคับเลยต้องแกล้งดีกับมัน”
พันทิญากับพิพัฒน์เดินคุยกันไปที่รถของพันทิญา
“พันกลับไปทานข้าวเย็นที่บ้านกับคุณแม่ก่อนแล้วค่อยเจอกันสัก 4 ทุ่มนะคะ” พันทิญาบอก
“ครับ” พิพัฒน์รับคำ
พิพัฒน์เดินมาส่งพันทิญาที่รถแล้วเปิดประตูให้ พันทิญาก้าวขึ้นไปนั่งบนรถ พิพัฒน์ยิ้มอย่างมีความสุขก่อนจะปิดประตูรถ แล้วพันทิญาก็ขับรถออกไป พิพัฒน์เดินไปที่รถตัวเองโดยไม่สนใจชัยที่ขับรถตามรถของพันทิญาไป
พันทิญาขับรถพร้อมกับร้องเพลงตามวิทยุไปอย่างอารมณ์ดี ชัยขับรถตามรถพันทิญามาห่าง ๆ เพราะกลัวว่าพันทิญาจะรู้ตัว รถของพันทิญาเลี้ยวเข้าซอยที่เป็นทางลัด ชัยรีบขับรถตามเข้าไปในซอยทันที
พันทิญายังคงขับรถไปร้องเพลงไปอย่างอารมณ์ดี แต่แล้วพันทิญาก็ต้องเหยียบเบรคอย่างตกใจเมื่อเห็นรถของชัยปราดมาขวางหน้า
“ว้าย”
ชัยลงจากรถมาอย่างรีบร้อน
พันทิญาเริ่มโมโห “ไอ้ชัย!!”
พันทิญาลงจากรถอย่างโมโหแล้วเดินไปประจันหน้ากับชัยที่กำลังเดินมาหา
“แกนี่มันคนหรือควายทำไมถึงฟังไม่รู้เรื่องสักทีว่าอย่ามายุ่งกับฉัน” พันทิญาต่อว่า
ชัยชะงักกับถ้อยคำของพันทิญาแต่ก็ยังพยายามมองโลกในแง่ดี
“ถ้าด่าเพื่อให้ผมโกรธแล้วตัดใจจากคุณอย่างที่แม่คุณต้องการก็ไม่ต้องหรอกครับเพราะยังไงผมก็ไม่โกรธ”
พันทิญาตบหน้าชัยอย่างแรงจนเขาหน้าหัน
“แล้วแบบนี้โกรธมั้ย”
ชัยยังไม่ทันตั้งสติ พันทิญาก็ตามไปตบและทุบตีเขาไม่ยั้ง ชัยยืนนิ่งปล่อยให้พันทิญาตบตามอำเภอใจ พันทิญาตบชัยจนสาแก่ใจแล้วก็พูดด้วยความโมโห
“จำใส่กะโหลกไว้ด้วยนะว่าแม่ฉันไม่ได้สั่งอะไรทั้งนั้น ฉันทำทุกอย่างเพราะฉันไม่ได้รักแก” พันทิญาตะโกนลั่น “ฉันไม่ได้รักแกได้ยินมั้ยฉันไม่ได้รักแก”
พันทิญาเดินออกไปอย่างโมโห ชัยมองตามอย่างอึ้ง ๆ เมื่อเห็นพันทิญาในมาดที่แท้จริงแต่พอได้สติเขาก็รีบวิ่งไปขวาง
“แต่ผมรักคุณ” ชัยน้ำตาคลอ “รักมาก มากกว่าชีวิตผม มากกว่าชีวิตใครในโลก...บอกมาสิว่าผมทำอะไรไม่ถูกใจผมจะได้ปรับปรุงตัว..ผมยอมทำทุกอย่างขอแค่คุณอย่าทิ้งผมไปเท่านั้น”
“แกไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นเพราะยังไงฉันก็ไม่มีวันรักแกลง..คนจนอย่างแกเป็นได้แค่ของเล่นคั่นเวลาของฉัน” พันทิญาว่า
พันทิญาผลักชัยอย่างแรงจนชัยลมลง พันทิญายิ้มเยาะก่อนจะเดินข้ามตัวชัยไปอย่างไม่ใยดี พันทิญาขึ้นรถแล้วจะขับออกไป ชัยมองพันทิญาด้วยความเสียใจสุดๆ แล้ววิ่งไปขวางหน้ารถ
“ผมไม่ให้ไป” ชัยตะโกน
พันทิญามองชัยอย่างโมโหแล้วขับรถพุ่งเข้าไปหาชัย ชัยมองอย่างตกใจ พันทิญายังคงขับรถพุ่งมาหาเขา ก่อนที่รถพันทิญาจะพุ่งมาชนมีมือของใครคนหนึ่งเข้ามากระชากชัยออกไปอย่างแรง
ชัยถลาไปตามแรงกระชากแต่ก็ยังโดนรถพันทิญาเฉี่ยวจนกระเด็นกลิ้งไปหลายตลบและนอนอยู่บนพื้นถนน ชายคนที่กระชากชัยให้หลบรถคือคนขับมอเตอร์ไซด์วิน ชายคนนั้นรีบวิ่งไปดูชัยแล้วเอ่ยถาม
“เป็นไงบ้างคุณ”
ชัยค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้นมองตามรถพันทิญาด้วยความเสียใจสุดๆ
“คุณแพร..คุณไม่รักผมแล้วจริงๆ” ชัยตะโกนลั่น “คุณไม่รักผมแล้วจริงๆ”
ชายคนนั้นมองชัยอย่างสงสารแล้วพูดอย่างโมโหแทน
“ดูท่าแล้วไม่ใช่แค่ไม่รักหรอกเกลียดเลยล่ะถึงพุ่งรถใส่กะล่อให้ตายแบบเนี๊ย”
ชัยร้องไห้โฮด้วยความเสียใจสุด ๆ
ศุภลักษณ์ขับรถคันหรูมาถึงหน้ารั้วบ้านของเธอ แพรไหมที่นั่งข้างๆ กดรีโมทให้ประตูรั้วเปิดออก
ศุภลักษณ์ขับรถเข้าไป แพรไหมชะงักเมื่อเห็นรถของแสงฉายจอดอยู่หน้าบ้าน
“มาอีกแล้วเหรอ” แพรไหมไม่พอใจ
“เจ้าบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะมาทานข้าวกับลูกทุกวัน” ศุภลักษณ์บอก
“ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกมื้อนี่คะ”
“ทุกมื้อที่ไหนอย่างน้อยมื้อเช้าเจ้าก็ไม่ได้มา” ศุภลักษณ์แย้ง
“ถ้ามาทานมื้อเช้าด้วยคุณแม่ก็ให้เจ้าหอบเสื้อผ้ามาอยู่นี่เลยละกันค่ะ”
“แพร..ต่อไปต้องลูกอยู่บ้านเดียวกับเจ้าใช้ชีวิตร่วมกับเจ้า...ถ้าไม่มาเจอกันบ่อยๆลูกกับเจ้าจะรู้จักนิสัยใจคอกันได้ยังไง”
“กว่าจะรู้จักกันแพรคงผอมตาย..แต่ก็ดีเหมือนกันถ้าแพรผอมตายจะได้ไม่ต้องแต่งงานกับ” แพรไหมกระแทกเสียงอย่างหงุดหงิด “เจ้าแสงฉาย”
แพรไหมเดินหน้าหงิกลงจากรถไปอย่างงอนๆ ศุภลักษณ์มองลูกสาวด้วยความหนักใจ
ศุภลักษณ์ แพรไหม พันทิญา วนิดา และแสงฉายนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร โดยมีสมใจกับน้อยคอยดูแล แสงฉายตักกับข้าวให้แพรไหมอย่างเอาใจ ศุภลักษณ์มองแสงฉายอย่างชื่นชม พันทิญามองแสงฉายอย่างน้อยใจ และมองแพรไหมด้วยความหมั่นไส้ วนิดาแตะแขนให้พันทิญาข่มอารมณ์ไว้
พันทิญารีบตีหน้าร่าเริงพูดกับแพรไหม “นี่ก็อร่อยนะแพร..ตักให้เจ้าบ้างสิ”
“แพรไม่รู้ว่าเจ้าชอบรึเปล่า..ให้เจ้าตักเองดีกว่าจะได้ทานแต่ของที่เจ้าชอบ” แพรไหมบอก
แสงฉายพูดดด้วยความอยากเอาชนะ “บนโต๊ะนี้ผมชอบทุกอย่างเลยครับ”
แพรไหมมองแสงฉายอย่างหงุดหงิด
ศุภลักษณ์ปรามลูกสาว “แพร”
แพรไหมหันไปมองแม่ตัวเอง ศุภลักษณ์พยักหน้าให้แพรไหมตักกับข้าวเชิงออกคำสั่ง แพรไหมจำต้องตักกับข้าวให้แสงฉาย
แสงฉายยิ้มมีความสุข “ขอบคุณครับ”
พันทิญามองอย่างแพรไหมด้วยความอิจฉา
ศุภลักษณ์พูดกับแพรไหม “ชุดที่จะใส่ไปงานคุณดิเรกอยู่ในห้องนะลูก”
“ตอนคนมาส่งชุดสมใจออกไปรับ..ชุดคุณแพรซ้วยสวยค่ะ” สมใจบอก
“ใส่แล้วคุณแพรต้องสวยที่สุดในงานแน่ ๆ เลยค่ะ” น้อยเสริม
“แล้วของยัยพันละคะ” วนิดาถามขึ้น
“เตรียมให้ก็ไม่เคยถูกใจ..แล้วเสื้อผ้าสวย ๆ ของยัยพันก็เยอะแยะพี่เลยไม่ได้เตรียมน่ะ” ศุภลักษณ์บอก
พันทิญาตีหน้าเศร้าแล้วตัดพ้อ “คุณแม่ลำเอียง”
“คุณน้าไม่ได้เป็นคนเตรียมชุดให้คุณแพรหรอกครับ..ผมเป็นคนสั่งให้” แสงฉายออกตัว
พันทิญามองแสงฉายอย่างเจ็บปวด ส่วนแพรไหมถอนหายใจด้วยความเซ็ง
“ใครสั่งก็เหมือนกันละค่ะ” แพรไหมพูดกับศุภลักษณ์ “แพรไม่ชอบออกงานสังคมแพรไม่ไป”
“ผมอยากให้ทุกคนรู้ว่าเราคบกัน..คุณควรไป” แสงฉายบอก
แพรไหมหันไปถาม “เจ้าจะบังคับฉันเหรอคะ”
“ใช้คำว่าคุยกันด้วยเหตุผลดีกว่า”
“เหตุผลที่ยังไงฉันก็ต้องทำตามก็ไม่ต่างจากคำว่าบังคับหรอกค่ะ” แพรไหมพูดกับศุภลักษณ์ “แพรอิ่มแล้วขอตัวนะคะ”
แพรไหมเดินออกไปอย่างหงุดหงิด ศุภลักษณ์มองแพรไหมอย่างไม่พอใจ
“ขอโทษนะคะที่ยัยแพรเสียมารยาท” ศุภลักษณ์เอ่ย
“ผู้หญิงอารมณ์เป็นใหญ่อย่างนี้ทุกคนผมเจอจากมณีจนชินแล้วละครับ..ผมไม่ถือหรอก”
แสงฉายมองตามแพรไหมแล้วยิ้มอย่างผู้ชนะ พันทิญามองแสงฉายอย่างเจ็บปวด ส่วนวนิดามองพันทิญาด้วยความสงสาร
ลูกปืนของภูผาพุ่งทะลุเป้า ภูผากำลังรัวยิงปืนอยู่ในสนามฝึกซ้อมอย่างแคล่วคล่อง โดยมีทวีปยืนมอง
“อย่างงี้เอง ที่เขาเรียกว่า บอดี้การ์ดหน้าหยก...ยิงใครไม่พลาด” ทวีปแซว
“มีฝีมือ แต่ถ้าไม่ซ้อมบ่อยๆ ลูกกระสุน ก็อาจจะด้านได้เหมือนกันยิ่งงานประมูลครั้งนี้ เราก็ไม่รู้ว่าศัตรูของคุณดิเรกเป็นใคร เราก็ยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวังอีกหลายเท่า” ภูผาบอก
“แน่ใจเหรอวะ ว่าเขาไม่มีศัตรูที่ไหน” ทวีปถาม
“อาจจะเป็นคู่แข่งทางธุรกิจ แต่เขาก็ไม่สงสัยใครเป็นพิเศษ”
“เป้าบินว่างั้นเถอะ”
“ใช่...เราไว้ใจใครไม่ได้ทั้งนั้น”
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ทวีปกดรับแล้วนิ่งฟัง
“ได้ ... จะไปเดี๋ยวนี้” ทวีปพูดกับปลายสาย
ทวีปวางโทรศัพท์มือถือแล้วกดดูภาพที่ถูกส่งเข้ามา เขาเห็นว่าเป็นภาพของเจ้าแสงมณีที่กำลังวาดภาพอยู่ในสวน ภูผามองอย่างสงสัย
“ ...แฟนแกเหรอ” ภูผาถาม
“เปล่านะโว๊ย...ตำรวจกระจอกอย่างฉัน เขาไม่หันมามองหรอก”
ภูผาถามต่อ “ใคร”
“เจ้าแสงมณี ... น้องสาวคนสวยของเจ้าแสงฉาย...รัชทายาทแห่งเชียงทวาย”
“เชียงทวาย...อยู่ติดกับชายแดนของเรานี่” ภูผาพูด
“ใช่ รัฐเล็กๆ แต่ร่ำรวยขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนผิดปกติ ทั้งที่ไม่ได้มีบ่อน้ำมัน ไม่ได้มีเหมืองแร่ทองคำ...แล้วทุกวันนี้ เจ้าแสงมณีและเจ้าแสงฉายก็มาอยู่ในเมืองไทย ... นายสงสัยว่าเขาอาจจะเข้ามาทำอะไรบางอย่าง ก็เลยสั่งให้ฉันจับตามองพี่น้องคู่นี้เป็นพิเศษ”
ทวีปตบไหล่เพื่อนแล้วเดินออกไป ภูผามองตามก่อนบรรจุกระสุนซ้อมเพื่อยิงต่อ กระสุนลอยไปถูกเป้าอีกเป็นชุด
อ่านต่อหน้า 2 พรุ่งนี้
ภูผาแพรไหม ตอนที่ 2 (ต่อ)
แสงมณีกำลังนั่งอยู่หน้าเฟรมที่ตั้งอยู่ในสวนสวยและสงบแห่งหนึ่ง เธอกำลังใช้ดินสอร่างภาพวิวอยู่ ดวงใจยืนมองเจ้านายด้วยความชื่นชม เยื้องออกไปมียศกับเลิศและกลุ่มองครักษ์คอยรักษาความปลอดภัยอยู่
“สวยมากค่ะ คุณหญิงมีฝีมือจริงๆนะคะ” ดวงใจชม
“แค่ร่างเอง....ยังไม่ได้ลงสีซะหน่อย” แสงมณีออกตัว
“แต่ดวงใจรู้ค่ะ....ว่า ยังไง ต้องสวย....เอ๊ ใครน้าจะได้เป็นเจ้าของภาพวาดฝีมือคุณหญิงของดวงใจ”
แสงมณีค้อนเพราะรู้ว่าดวงใจกำลังแซวเรื่องผู้ชาย พอหันกลับไปมองที่ต้นไม้เธอก็เห็นทวีปเดินผ่านมาพอดี แสงมณีรู้สึกไม่พอใจ เธอหันซ้ายแลขวาแล้วก้มลงหยิบก้อนหินเล็กๆ ขึ้นมาปาใส่ ทวีปร้องเสียงดัง
“โอ๊ย”
ทวีปกุมหัว เขาหันมามองแสงมณีด้วยหน้าทะเล้น
“เจ้าแสงมณี...ผมไม่ใช่ที่ระบายอารมณ์ของเจ้านะ”
แสงมณีวางดินสอในมือลงบนโต๊ะก่อนจะเดินเข้าไปหาอย่างไม่พอใจ ยศกับเลิศทำท่าจะเดินตาม ดวงใจโบกมือห้ามก่อนจะเดินตามแสงมณีไป
“ใครใช้ให้มายืนขวางหูขวางตาฉันล่ะ...ไม่เห็นเหรอว่า กำลังวาดภาพอยู่” แสงมณีบอก
ทวีปหันไปมองเฟรมวาดภาพกับโต๊ะอุปกรณ์ ก่อนจะหันมามองหน้าแสงมณี
“แต่ที่นี่เป็นสวนสาธารณะนะครับ... ไม่ใช่สวนส่วนบุคคล...แล้วเขาก็ไม่ได้อนุญาตให้เจ้ามาวาดภาพคนเดียว...แล้วยังมาขว้างปาชาวบ้านอีก ถ้าผมหัวร้างข้างแตกไป เจ้าต้องรับผิดชอบนะ”
“ช่วยไม่ได้ ...อยากเดินไม่ดูตาม้าตาเรือเอง” แสงมณีสวน
“ใครกันแน่ ที่ไม่ดูตาม้าตาเรือ ช่วยคนก็ไม่ดูตาม้าตาเรือ แล้วยังขว้างปาคนสุ่มสี่สุ่มห้าอีก”
“อย่ามาว่าคุณหญิงของฉันนะ...ผิดยังไม่ยอมรับผิดอีก” ดวงใจว่า
“แทนที่จะบอกให้ขอโทษ กลับเข้าข้างกันจนสีข้างถลอก...ดูแลกันอย่างงี้นะสิ คุณหญิงของป้าถึงได้ซุ่มซ่ามทำแต่เรื่องให้คนอื่นเดือดร้อน” ทวีปพูด
“ว่าคุณหญิงของฉันอีกแล้ว...ฉันจะบอกให้คุณชายเด้งคุณไปอยู่ชายแดน” ดวงใจขู่
“อยากทำก็ทำเลย เจ้านายผมไม่ปัญญาอ่อน ย้ายผมเพราะเหตุผลบ้าๆของป้าหรอก” ทวีปสวน
“กับคนงี่เง่า พูดไปก็เหนื่อยเปล่า...ไปกันเถอะค่ะ”
พูดจบแสงมณีจะเดินเลี่ยงไป ทวีปขวาง
“ยังไปไม่ได้ ขอโทษผมก่อน”
“เรื่อง” แสงมณีถาม
“ที่ปาหัวผมไง… แล้วยังด่าว่าผมงี่เง่าอีก”
แสงมณีกลั้นยิ้ม “คุณก็ว่าฉันซุ่มซ่าม...ฉันไม่จำเป็นต้องขอโทษคุณ”
แสงมณีเชิดหน้าเดินเลี่ยงไป ยศกับเลิศเดินตามไปอารักขา ดวงใจมองทวีปด้วยความโมโหก่อนจะเดินตามแสงมณีไปอีกคน ทวีปมองตามไปแล้วก็ยิ้มๆ เพราะสมใจที่ได้ใกล้ชิด เนื่องจากเขากำลังหาทางสืบเกี่ยวกับตระกูลของแสงมณีอยู่
ณ บ้านของศุภลักษณ์ ศุภลักษณ์ถอดต่างหูอยู่หน้ากระจกในห้องนอน สักพักมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ศุภลักษณ์เดินไปเปิดประตูก็เห็นแพรไหมในชุดนอนยืนหน้าหงิกอยู่ ในมือของแพรไหมถือไม้แขวนที่มีชุดสวยแขวนอยู่ แพรไหมเอาชุดมาวางลงบนเตียงด้วยความหงุดหงิด
“แพรไม่ใส่ชุดนี้นะคะ”
“แพรใส่ชุดนี้ขึ้นออกแล้วก็เคยใส่แค่ครั้งเดียวตอนถ่ายรูปเป็นพรีเซนเตอร์ร้าน..ทำไมจะไม่ใส่ละลูก” สุภลักษณ์ถาม
“แพรเกลียดชุดนี้ เกลียดรูปนั้น เกลียดที่มันทำให้เจ้าเข้ามาในชีวิตแพร” แพรไหมบ่น
“ในโลกนี้จะมีผู้หญิงสักกี่คนที่มีเจ้าชายที่เพียบพร้อมหลงรูปจนอยากแต่งงานกับตัวจริง..แพรโชคดีมากนะลูก”
“โชคดีที่ถูกบังคับให้แต่งงานกับคนที่แพรไม่ได้รักน่ะเหรอคะ..ไม่รู้ละค่ะยังไงแพรก็ไม่ใส่”
“แต่เจ้าอยากให้แพรใส่”
“แพรไม่ใช่ตุ๊กตาที่เจ้าจะมาจับแต่งตัวแบบไหนก็ได้นะคะ”
“คิดแค่ว่าเราใส่ชุดนี้แล้วสวยสิจะได้ไม่คิดเลยเถิดว่าเป็นตุ๊กตุ่นตุ๊กตาของใคร”
แพรไหมหน้าหงิก
ศุภลักษณ์เห็นก็พยายามกล่อม “ใส่ไปงานแค่ไม่กี่ชั่วโมงอย่าทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่เลยนะแพร”
แพรไหมทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างเซ็งๆ ศุภลักษณ์มองแพรไหมแล้วยิ้มขำๆ
บุญศรีกดโทรศัพท์บ้านโทรหาชัยอย่างร้อนใจ
“ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก” บุญศรีได้ยินเสียงคอมพิวเตอร์ตอบรับ
บุญศรีวางสายอย่างร้อนใจแล้วพูดกับตัวเอง
“โทรตั้งแต่หัวค่ำแล้วยังติดต่อไม่ได้เลย”
ภูผาที่นั่งอ่านเอกสารเพื่อเตรียมงานคุ้มกันดิเรกเงยหน้ามามองบุญศรีแล้วยิ้มอ่อนโยน
“พี่ชัยคงตกลงกับคุณแพรได้แล้วถึงยังไม่กลับ ป่านนี้อาจจะกำลังสวีทกันในโรงหนังก็ได้นะครับถึงปิดเครื่อง แม่อย่าร้อนใจไปเลยครับ”
บุญศรีพยักหน้าอย่างกังวล ภูผาอ่านเอกสารต่อด้วยท่าทางสบายใจ
ในผับแห่งหนึ่ง ชัยอยู่ในสภาพเมามายกำลังกระดกเหล้าจนหมดแก้ว นักดนตรีบนเวทีกำลังร้องเพลงอกหัก ชัยหันขวับไปมองนักดนตรีอย่างไม่พอใจก่อนจะเดินโซซัดโซเซไปหน้าเวที
“เฮ้ยย...เพลงนี้มันเศร้าไป..เล่นเพลงสนุก ๆ ให้มันครึกครื้นหน่อยพี่จะได้หายเศร้า” ชัยตะโกนเสียงดัง
นักดนตรียังคงเล่นต่อไป
ชัยโวยวาย “บอกให้เล่นเพลงสนุก ๆ ไง..หยุดๆๆ”
นักดนตรีมองชัยอย่างเซ็งๆ ทันใดนั้นการ์ดของร้านก็เข้ามาหิ้วปีกชัย
ชัยตกใจ “จับผมทำไม..ปล่อย..ปล่อย”
การ์ดลากตัวชัยออกไป
การ์ดหิ้วชัยออกมานอกร้าน
“พาผมออกมาทำไม ผมจะกินเหล้า” ชัยโวยวาย
การ์ดคนหนึ่งพูดกับเขา “คุณเมามากแล้วค่อยมาดื่มต่อวันหลังเถอะครับ”
“ไม่เอา..ผมจะกินเดี๋ยวนี้”
ชัยจะเดินเข้าไปในร้าน การ์ดอีก 2 คนมายืนขวาง
“ร้านเราไม่รับแขกเมาแล้วโวยวาย..เชิญคุณไปดื่มร้านอื่น” การ์ดบอก
ชัยยิ่งไม่พอใจ “กินอยู่ดี ๆ ก็ไล่กลับบ้าน..ถ้าไม่อยากให้เมาก็ไม่ต้องขายเหล้าสิวะ..ไอ้เวรเอ้ย”
การ์ดมองชัยอย่างสมเพช ชัยมองการ์ดด้วยความโมโหแล้วจะเดินไปที่รถแล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นพันทิญาขับรถผ่านหน้าร้านไป
“คุณแพร”
ชัยรีบวิ่งสะเปะสะปะไปขึ้นรถแล้วขับตามรถพันทิญาไปทันที
พันทิญากับพิพัฒน์นั่งอยู่ด้วยกันในผับสุดหรู เพลงรักโรแมนติกเปิดคลออยู่เบาๆ พันทิญาถือแก้วไวน์ เธอมองไปรอบ ๆ ร้านแล้วหันมาพูดกับพิพัฒน์ด้วยสายตาหวานฉ่ำ
“สวย บรรยากาศดี เพลงเพราะ ไม่แปลกใจเลยที่เป็นร้านประจำของคุณ” พันทิญาชม
“ดีใจนะครับที่คุณชอบ”
“คุณเชื่อเรื่องโซลเมตมั้ยคะ..คู่รักที่ผูกพันกันมาหลายภพหลายชาติแล้วก็มักจะชอบอะไรเหมือนๆ กัน”
พิพัฒน์ได้ยินก็ยิ่งอารมณ์ดี “ผมยังไม่เคยเจอใครที่เป็นโซลเมตอย่างในหนังสือซักที..เลยยังตัดสินใจไม่ได้น่ะครับว่าจะเชื่อดีมั้ย”
“เมื่อก่อนพันก็ไม่เชื่อค่ะ” พันทิญามองพิพัฒน์ด้วยสายตามีความหมาย “แต่ตอนนี้มีใครบางคนกำลังทำให้พันเปลี่ยนความคิด” พันทิญายกแก้วขึ้นพูดอย่างมีจริต “ขอดื่มให้แก่คนบนฟ้าที่ลิขิตให้คุณกับพันเจอกัน”
พันทิญาชนแก้วกับพิพัฒน์แล้วยิ้มอย่างมีความสุข แต่แล้วทั้งคู่ก็ต้องตกใจเมื่อชัยยื่นมือมาปัดแก้วจนกระเด็นตกแตก
“ว้ายยยย” พันทิญาร้องด้วยความตกใจ
คนในร้านหันมามองเหตุการณ์แล้วก็พากันตกใจ ชัยจับมือพันทิญาแล้วหันไปบอกพิพัฒน์เสียงเข้ม
“ผู้หญิงคนนี้แฟนกู..อย่ามายุ่ง”
“ฉันไม่ใช่แฟนแก” พันทิญาสะบัดมือด้วยความโมโห “ปล่อยฉันนะ ปล่อย”
“ไม่ปล่อย จนกว่าเราจะคุยกันให้รู้เรื่อง”
ชัยจะลากพันทิญาออกไป แต่พันทิญาขัดขืน
“ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับแก ปล่อยฉัน ปล่อย”
ชัยไม่ปล่อยจะดึงพันทิญาออกไป พิพัฒน์ปราดเข้ามาขวาง
“ปล่อยคุณพันเดี๋ยวนี้นะ”
ชัยได้ยินชื่อก็แปลกใจ “พัน”
พันทิญาได้ทีก็รีบเสริม “ใช่ฉันชื่อพัน ไม่ได้ชื่อแพรอย่างที่แกเข้าใจ..แกจำคนผิดแล้ว”
ชัยตะโกนด้วยความเมา “ผมไม่มีวันจำชื่อคนที่ผมรักผิด..คุณไม่ได้ชื่อพัน แต่ชื่อแพร..คุณแพรของผม”
“ไอ้บ้า..หยุดคลั่งซะทีปล่อยฉันเดียวนี้นะ”
ยังไม่ทันที่ชัยจะพูดอะไรต่อพิพัฒน์ก็กระโจนเข้ามาต่อยชัยเต็มแรง ชัยเซไปทำให้พันทิญาหลุดออกจากชัย เธอรีบวิ่งไปยืนที่มุมหนึ่ง ชัยหันมามองพิพัฒน์ด้วยความโมโห แล้วเขาก็กระโจนเข้าต่อยพิพัฒน์
พิพัฒน์เป็นรองอย่างเห็นได้ชัดแต่ก็สู้สุดตัว พิพัฒน์พลาดโดนชัยต่อยจนล้มลงไป ชัยวิ่งไปนั่งคล่อมต่อยพิพัฒน์อย่างบ้าคลั่ง แล้วชัยก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกแจกันฟาดที่หัวอย่างแรง
ชัยทรุดลงไปกองกับพื้นในสภาพหัวแตกเลือดอาบ เขาค่อยๆ หันมามองจึงเห็นว่าคนที่ตีคือพันทิญาชัยมองพันทิญาอย่างเจ็บปวด พันทิญารีบวิ่งไปประคองพิพัฒน์ขึ้นมา
“คุณพิพัฒน์”
ชัยมองอย่างเจ็บปวด
“คุณรักเค้าขนาดนี้เชียวเหรอ” ชัยโอดครวญ
ชัยตกใจเมื่อได้ยินเสียงคนวิ่งเข้ามา เขาหันไปมองเห็นการ์ดวิ่งมา ชัยรีบลุกแล้ววิ่งหนีออกไป การ์ดวิ่งตาม
พันทิญาตะโกนตามไปอย่างแค้นใจ “จับมันให้ได้นะ..จับมันให้ได้”
ชัยวิ่งโซเซออกมาจากผับ การ์ดสองคนวิ่งตามออกมา ชัยเสียหลักล้มที่หน้าผับ การ์ดจะเข้ามาจับตัว ชัยถีบการ์ดอย่างแรงแล้วลุกขึ้นรีบวิ่งไปขึ้นรถแล้วขับหนีไปอย่างรวดเร็ว การ์ดทั้งสองมองตามอย่างเสียดาย
พันทิญาหยิบผ้าออกมาจากอ่างที่มีน้ำแข็งแล้วบิดน้ำออกก่อนจะเอาผ้าประคบแผลให้พิพัฒน์
พันทิญาพูดอย่างอ่อนโยน “ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยพัน...ถ้าไม่ได้คุณพันคงแย่”
“ผมบอกแล้วว่าจะปกป้องคุณ” พิพัฒน์พูด
พันทิญาเสแสร้ง “แต่พันก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดีที่เป็นต้นเหตุให้คุณเจ็บตัว”
“ไม่ต้องรู้สึกผิดหรอกครับ เพราะคนผิดไม่ใช่คุณแต่เป็นนายชัย”
พันทิญาตีหน้าน่าสงสาร “การ์ดก็จับตัวนายชัยไม่ได้ซะด้วย..ไม่รู้ว่านายชัยจะไปดักจับตัวพันที่ไหนอีกรึเปล่า..พันกลัวจังเลยค่ะ คืนนี้พันจะทิ้งรถไว้ที่นี่แล้วคุณไปส่งพันที่บ้านหน่อยนะคะ”
“ผมตั้งใจไว้อย่างนั้นอยู่แล้วครับ...ต่อไปนี้ถ้าคุณจะไปไหนผมจะไปรับไปส่งคุณทุกวันเลย”
พันทิญายิ้มหวาน “ขอบคุณค่ะ”
พันทิญาเอาผ้าประคบแผลให้พิพัฒน์อย่างอ่อนโยน พิพัฒน์มองพันทิญาแล้วยิ้มมีความสุข
ฝนตกหนัก ฟ้าแลบแปลบดังเปรี้ยงปร้าง บุญศรีชะเง้อไปทางประตูหน้าบ้านของตัวเองอย่างร้อนใจ ส่วนภูผากดโทรศัพท์หน้าเครียด
บุญศรีเดินเข้ามาหาภูผา “ติดมั้ยภู”
ภูผาส่ายหน้าอย่างหนักใจ
บุญศรียิ่งร้อนใจ “ปกติไปไหนชัยต้องบอกแม่แล้วก็ไม่เคยติดต่อไม่ได้อย่างนี้เลย..หรือจะเกิดเรื่องไม่ดีกับชัย”
“อย่าเพิ่งคิดอะไรร้าย ๆ เลยครับ..พี่ชัยอยู่กับคุณแพร คุณแพรคงไม่ปล่อยให้พี่ชัยเป็นอะไรไปหรอก” ภูผาปลอบ
“แล้วถ้าชัยตกลงกับหนูแพรไม่ได้ แล้วตอนนี้ไม่ได้อยู่กับหนูแพรล่ะ” บุญศรีท้วง
ภูผาหน้าเครียดขึ้นมาทันที บุญศรีพูดต่อ
“ชัยไม่เคยมีความรัก ไม่เคยอกหักแม่กลัวว่าคนอ่อนแออย่างชัยจะรับความเสียใจไม่ไหวแล้วคิดสั้น”
“พี่ชัยไม่อ่อนแออย่างนั้นหรอกครับ..เดี๋ยวผมจะโทรบอกวีปให้มันช่วยส่งลูกน้องออกตามหาพี่ชัย..เที่ยงคืนแล้วแม่ขึ้นนอนเถอะครับผมจะรอพี่ชัยเอง”
“ชัยหายไปทั้งคนแม่หลับไม่ลงหรอก..แม่จะรอชัยเป็นเพื่อนภู”
บุญศรีเดินไปนั่งด้วยสีหน้าเครียด
“ชัย..อย่าเป็นอะไรนะลูก อย่าเป็นอะไร” บุญศรีภาวนา
ฝนยังตกหนักฟ้าร้องคำรามกึกก้อง ชัยอยู่ในสภาพเมามายนั่งอยู่ที่ม้าหินริมแม่น้ำ เขาร้องไห้อย่างเจ็บปวดใจ ในมือของเขาถือขวดเหล้าแล้วยกกระดกดื่มอั่กๆ เป็นระยะอย่างไม่รู้รสชาติ
ชัยนึกถึงเรื่องราวในอดีตระหว่างเขากับพันทิญา
ชัยกับพันทิญาถือกระทงใบสวยมาด้วยกัน
“พูดตามแพรนะคะ..ขอให้เรารักกันตลอดไป” พันทิญาพูด
ชัยยิ้มแฉ่ง “ขอให้เรารักกันตลอดไป”
พันทิญากับชัยวางกระทงลงบนน้ำ ชัยยิ้มอย่างมีความสุข
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์นั้นชัยก็ร้องไห้อย่างเจ็บปวดใจ เขากระดกขวดเหล้าดื่มอีกอึกแล้วก็คิดถึงเหตุการณ์ในวันนี้
พันทิญาไม่พอใจ “อยากถูกลากคอเข้าตะรางใช่มั้ยถึงมาหาฉันอีก”
ชัยรู้สึกเจ็บปวด “ผมอยากรู้ว่าทำไมคุณถึงทิ้งผมไปหาเค้า ผมผิดอะไร”
“ผิดที่ฉันไม่เคยรักแก”
ชัยเจ็บปวดจนน้ำตาร่วง “แต่คุณบอกรักผมทุกวัน”
“เหรอ..ฉันจำไม่เห็นได้เลยว่าเคยพูดอย่างนั้น”...
ชัยร้องไห้โฮด้วยความเสียใจ
“ฮือ..แต่ผมจำคำพูดคุณได้ทุกคำ..ผมรักคุณ ผมรักคุณ”
ชัยนึกถึงเหตุการณ์ในวันนี้อีก
พันทิญาตบชัยจนสาแก่ใจ แล้วพูดอย่างโมโห
“จำใส่กะโหลกไว้ด้วยนะว่าแม่ฉันไม่ได้สั่งอะไรทั้งนั้น ฉันทำทุกอย่างเพราะฉันไม่ได้รักแก” พันทิญาตะโกนลั่น “ฉันไม่ได้รักแกได้ยินมั้ยฉันไม่ได้รักแก”
พันทิญาเดินออกไปด้วยความโมโห ชัยมองตามอย่างอึ้ง ๆ เมื่อเห็นตัวตนที่แท้จริงของพันทิญาแต่พอได้สติก็รีบวิ่งไปขวาง
“แต่ผมรักคุณ...” ชัยน้ำตาคลอ “รักมาก มากกว่าชีวิตผม มากกว่าชีวิตใครในโลก...บอกมาสิว่าผมทำอะไรไม่ถูกใจผมจะได้ปรับปรุงตัว..ผมยอมทำทุกอย่างขอแค่คุณอย่าทิ้งผมไปเท่านั้น”
“แกไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นเพราะยังไงฉันก็ไม่มีวันรักแกลง..คนจนอย่างแกเป็นได้แค่ของเล่นคั่นเวลาของฉัน”
พันทิญาผลักชัยอย่างแรงจนเขาล้มลง
พันทิญายิ้มเยาะแล้วเดินข้ามตัวชัยไปอย่างไม่ใยดี...
ยิ่งนึกถึงเหตุการณ์ในวันนี้ ชัยก็ยิ่งร้องไห้สะอึกสะอื้น
“ทำไมคุณใจร้ายกับผมอย่างนี้..” ชัยลุกขึ้นตะโกน “ทำไมใจร้ายกับผม..รู้มั้ยว่าผมรักคุณ ผมอยู่โดยไม่มีคุณไม่ได้..” ชัยทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรง “ผมอยู่ไม่ได้ ฮือๆๆ”
ชัยมองแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวแล้วก็ครุ่นคิด
เช้าวันรุ่งขึ้น บุญศรีใส่บาตรหน้าบ้านพระองค์ที่ 3 เสร็จพอดี เธอนั่งยองกับพื้น พระให้พรแล้วเดินออกไป บุญศรีพนมมืออธิษฐาน
“ขอให้บุญกุศลนี้คุ้มครองให้ชัยปลอดภัยด้วยเถิด”
บุญศรียกมือจบท่วมหัวแล้วลุกขึ้นแต่แล้วก็หน้ามืดจะล้ม ปรางแก้วในชุดพยาบาลวิ่งเข้ามาประคองด้วยท่าทีตกใจ “คุณป้า!!”
ทวีปที่เพิ่งลงจากรถรีบวิ่งมาหา
“รีบพาคุณป้าเข้าบ้านเถอะค่ะ” ปรางแก้วบอก
ทวีปอุ้มบุญศรีเข้าบ้าน
ปรางแก้วเอายาดมอังจมูกบุญศรีที่นอนอยู่บนโซฟา ภูผากับทวีปมองอย่างร้อนใจ สักพักบุญศรีค่อย ๆ รู้สึกตัวตื่นขึ้น เธอมองทุกคนอย่างงง ๆ พอบุญศรีเห็นทวีปก็ยิ้มดีใจ
“วีป..”
บุญศรียันตัวลุกขึ้นโดยมีปรางแก้วช่วยประคอง
“เจอชัยแล้วใช่มั้ย..วีปพาชัยกลับมาแล้วใช่มั้ย” บุญศรีถาม
ทวีปมองบุญศรีด้วยความสงสาร “ยังไม่เจอเลยครับ”
บุญศรีหน้าเจื่อนไป
“แต่คุณป้าไม่ต้องห่วงนะครับผมสั่งลูกน้องแล้วว่าให้ตามหาจนกว่าจะเจอตัวพี่ชัย..” ทวีปบอก
“แกมีอะไรรึเปล่าทำไมแวะมาแต่เช้า” ภูผาถาม
“แก้วห่วงแกกับคุณป้าเลยแวะมาหาก่อนไปทำงานน่ะ” ทวีปบอก
ภูผามองปรางแก้วอย่างซึ้งใจ ปรางแก้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“วันนี้พี่ภูต้องออกไปทำงานคงไม่สบายใจที่จะปล่อยให้คุณป้าไม่สบายอยู่บ้านคนเดียว..เดี๋ยวจะแก้วโทรไปลางานอยู่เป็นเพื่อนคุณป้านะคะ..พี่ภูจะได้ไม่กังวล” ปรางแก้วบอก
ภูผารู้สึกซึ้งใจ “ขอบใจมากนะแก้ว”
ปรางแก้วยิ้มให้ภูผาอย่างอ่อนโยน บุญศรีมองปรางแก้วอย่างชื่นชม
กล่องเครื่องเพชรวางอยู่บนโต๊ะในบ้านของแพรไหมหลายกล่อง แต่ละกล่องมีสร้อยเพชรใหญ่บ้างเล็กบ้างซึ่งล้วนแต่เป็นเพชรน้ำงามทั้งสิ้น
ศุภลักษณ์หยิบขึ้นมากล่องนึง “แพรใส่เส้นนี้ละกัน..” แล้วเธอก็หยิบอีกเส้นที่เล็กกว่าก่อนจะหันไปพูดกับพันทิญา “ส่วนพันเส้นนี้”
พันทิญามองเส้นที่อยู่ในมือแพรไหมอย่างอิจฉา “แต่พันชอบเส้นที่ยัยแพรถือมากกว่า”
“แม่ว่ามันไม่เข้ากับชุดของพัน” ศุภลักษณ์แย้ง
“ยัยแพรตัวเล็กกว่ายัยพันใส่สร้อยเส้นใหญ่มันจะไม่สมตัวนะคะพี่ศุ” วนิดาเอ่ยขึ้น
แพรไหมยื่นกล่องให้พันทิญา “พี่พันเอาเส้นนี้ไปเถอะค่ะแพรใส่เส้นไหนก็ได้”
แพรไหมยื่นกล่องสร้อยเพชรให้ พันทิญารับสร้อยเพชรมาแล้วยิ้มสมใจที่เอาชนะแพรไหมได้ ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามา” ศุภลักษณ์บอก
สมใจเดินถือถุงสวยใบหนึ่งเข้ามา
“เจ้าให้คนเอาของมาให้คุณแพรค่ะ”
พันทิญารีบถาม “อะไร”
สมใจหยิบกล่องเครื่องเพชรออกจากถุงแล้วเปิดออกให้ทุกคนเห็นว่าเป็นสร้อยเพชรสีชมพูหรูหราและสวยงามมาก
วนิดาถึงกับตะลึง “เพชรสีชมพู”
สมใจยื่นการ์ดที่แนบมาด้วยให้แพรไหม แพรไหมเปิดออกอ่านแล้วหน้าหงิกทันที
“เจ้าว่าไง” พันทิญาถาม
แพรไหมยื่นการ์ดให้พันทิญา
“สร้อยเส้นนี้เข้ากับชุดคุณมาก..ใส่นะครับ” พันทิญาอ่านออกเสียง
“บังคับให้ไปงาน บังคับให้ใส่ชุด ยังบังคับให้ใส่สร้อยอีก...แพรชักจะทนเจ้าไม่ไหวแล้วนะคะ” แพรไหมบ่น
“แม่ไม่เห็นรู้สึกว่าเจ้าบังคับอะไรลูกเลย..ออกจะขอร้องด้วยซ้ำ”
“คุณแม่ก็เข้าข้างเจ้าตลอด”
“แม่มองทุกอย่างอย่างเป็นกลาง..เพชรสีชมพูนี่ทั้งแพงทั้งหายากเจ้าคงใช้ความพยายามมากกว่าจะหามาทำสร้อยให้แพรได้..เพื่อไม่ให้เจ้าเสียน้ำใจแพรต้องใส่”
แพรไหมหน้าหงิกด้วยความหงุดหงิด พันทิญามองสร้อยเพชรสีชมพูเส้นนั้นด้วยความอิจฉา
ที่โรงแรมที่จัดงาน มีตัวหนังสือบนเวทีเขียนว่า Antique new moon ด้านข้างมีจอบาร์โก้ที่จัดเป็นฉากเวทีอย่างกลมกลืน มีเก้าอี้ประธาน เก้าอี้แขกวีไอพี และเก้าอี้แขกอื่นๆ ตั้งอยู่หน้าเวที
ภายในห้องจัดเลี้ยงมีเทวรูป พระพุทธรูป ตู้หนังสือ ดาบ ตู้โชว์แหวน สร้อย เครื่องประดับโบราณสมัยอยุธยาวางเรียงราย แขกในงานเดินชมของต่างๆ อย่างชื่นชม ดิเรกเดินทักทายแขกในงานอย่างเป็นกันเอง ภูผาอยู่ในชุดสูทสีดำและมีหูฟังเสียบอยู่ที่หูกำลังยืนมองไปรอบ ๆ งานอย่างระแวดระวัง
ทวีปและลูกน้องของภูผานับสิบคนใส่สูทเหมือนภูผาเดินกระจายอยู่ทั่วบริเวณงาน ภูผาหันไปมองดิเรกแล้วเดินตามประกบไม่ให้คลาดสายตา ศุภลักษณ์ในชุดสวยงามเดินเข้ามาในงาน ดิเรกรีบเข้าไปต้อนรับ
“สวัสดีครับคุณศุภลักษณ์..ขอบคุณนะครับที่ให้เกียรติมาร่วมงานของผม”
“ได้ทำบุญแล้วยังได้ของสวยๆกลับบ้าน..ไม่มาไม่ได้หรอกค่ะ” ศุภลักษณ์บอก
ดิเรกกับศุภลักษณ์หัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี
ภูผาที่ยืนห่างออกมามองสำรวจไปทั่วงานแล้วก็หันมาเห็นแพรไหมที่อยู่ในชุดสวยและใส่สร้อยเพชรสีชมพูกำลังเดินเข้ามา ภูผาชะงักมองแพรไหมอย่างตกตะลึง
“แพรไหม”
แพรไหมเดินเข้ามาไม่กี่ก้าวแสงฉายก็เดินมาเคียงคู่ โดยมีธนาเดินตามมาคุ้มกันแสงฉาย แสงมณีในชุดสง่างามเดินตามเข้ามา โดยมียศกับเลิศเดินคุ้มกัน แพรไหมกับแสงฉายเดินมายืนข้างๆ ศุภลักษณ์ แสงมณีเดินมาสมทบ
ศุภลักษณ์พูดกับแพรไหม “คุณลุงดิเรกจ้ะ”
แพรไหมยกมือไหว้ดิเรก
“แพรไหม..ลูกสาวคนเล็กค่ะ” ศุภลักษณ์แนะนำ
“ว่าที่ราชินีของเจ้าแสงฉาย” ดิเรกพูดเสริม
แพรไหมได้ยินก็หน้าเจื่อน ภูผาเองพอได้ยินก็มองแพรไหมอย่างใจหายวาบ ดิเรกหันไปไหว้แสงฉายกับแสงมณี
“สวัสดีครับเจ้าแสงฉาย เจ้าแสงมณี”
แสงฉายกับแสงมณีก้มหัวเชิงรับไหว้ดิเรก
“เป็นเกียรติจริง ๆ ที่ได้ต้อนรับเจ้าทั้งสองผมจะพาชมงานเอง..เชิญครับ”
พูดจบดิเรกก็เดินนำออกไป แสงฉายแตะแขนแพรไหมอย่างสุภาพเพื่อให้เดินไปด้วยกัน ศุภลักษณ์มองแสงฉายกับแพรไหมอย่างภูมิใจแล้วเดินตามไป แสงมณี ธนา ยศ และเลิศก็เดินตามไป ภูผาเดินตามไป เขามองแพรไหมแล้วก็รู้สึกใจหวิว
ศุภลักษณ์เดินดูของกับแสงมณี ส่วนดิเรกเดินมาหยุดยืนอยู่หน้าเทวรูปที่สวยงาม แสงฉายกับแพรไหมยืนอยู่กับดิเรก
“ของทุกชิ้นตกทอดมาจากสมัยอยุธยา” ดิเรกอธิบาย “ทายาทตระกูลเก่าบริจาคให้เพื่อประมูลเอาเงินเข้าการกุศลครับ”
“ศิลปะไทยนี่สวยทุกชิ้นเลยนะครับ” แสงฉายพูดกับแพรไหม “คุณอยากได้ชิ้นไหนบ้างมั้ย”
แพรไหมมีท่าทางเบื่อๆ “ไม่ค่ะ”
ภูผามองแสงฉายที่ทำตาหวานใส่แพรไหมแล้วก็ใจหวิว ทวีปเดินมาหาภูผาพร้อมกับมองไปทางที่ภูผากำลังมองอยู่
“นึกว่ามองอะไรที่แท้ก็มองสาว” ทวีปแซว
“ผู้หญิงคนนั้นที่ฉันช่วยไว้ที่ตาก” ภูผาบอก
ทวีปทำท่าเหมือนไม่อยากเชื่อ “เนี่ยนะคุณแพรไหม”
ภูผาพยักหน้า
“เจ้าแสงฉาย” ทวีปโพล่งออกมา
ภูผาถามขึ้น “แกรู้จัก”
“เจ้าแสงฉาย ณ เชียงทวาย..เจ้าผู้ครองรัฐเชียงทวายผู้ทรงอิทธิพล ตอนนี้กำลังดังในหมู่ไฮโซ..ได้ข่าวว่ามาติดพันลูกสาวคุณศุภลักษณ์...เดินตีคู่ขนาดนี้ไม่บอกก็รู้ว่าคือคุณแพรไหม”
“แกนี่มันเหมาะกับฉายา เวิร์ล วาย วีป ที่ผู้กำกับตั้งให้จริงๆ.. บ้านคุณแพรไหมอยู่ตั้งกรุงเทพแกยังรู้เรื่องครอบครัวเค้าซะละเอียดยิบ”
“ใครบอกแกว่าครอบครัวคุณแพรไหมอยู่กรุงเทพ..คุณศุภลักษณ์แม่เค้าเป็นคนเชียงใหม่ พ่อเค้าที่ตายไปแล้วก็เป็นคนเชียงใหม่ ครอบครัวคุณแพรไหมอยู่เชียงใหม่มาตั้งแต่ต้นตระกูลแล้ว”
“แล้วทำไมตอนอยู่ที่ตากฉันจะไปส่งเค้าที่ท่ารถไปกรุงเทพเค้าไม่บอกฉันวะว่าบ้านอยู่เชียงใหม่” ภูผาข้องใจ
“เค้าหนีออกจากบ้านคงไม่กล้าบอกเพราะกลัวแกพาไปส่ง”
“แล้วคุณแพรก็บอกฉันอีกว่าพ่อเลี้ยงลวนลามเลยหนีออกจากบ้าน พ่อเลี้ยงหลงขนาดนั้นจะยอมให้เจ้าแสงฉายมาติดพันได้ยังไง”
“คุณศุภลักษณ์เป็นหม้ายคุณแพรไม่มีพ่อเลี้ยง..แกโดนคุณแพรไหมหลอกแล้วล่ะ” ทวีปบอก
ภูผามองแพรไหมด้วยความโมโห
พันทิญาในชุดสวยเดินเคียงคู่เข้างานมากับพิพัฒน์ พันทิญามองไปทั่วงานแล้วสายตาก็หยุดอยู่ที่ภูผาที่กำลังยืนหล่ออยู่ที่มุมหนึ่ง เธอมองภูผาด้วยสายตาเจ้าชู้พร้อมทั้งยิ้มอย่างพอใจ พิพัฒน์หันมาเห็นพันทิญายิ้มก็ถามด้วยความแปลกใจ
“ยิ้มอะไรครับ”
พันทิญาชะงัก “พันเจอของถูกใจค่ะ” พันทิญาชี้ไปที่เทวรูปองค์หนึ่งซึ่งอยู่คนละทางกับที่ภูผายืน “เทวรูปองค์นั้นซ้วยสวย”
พิพัฒน์มองเทวรูป “ไปดูกันครับ”
พันทิญากับพิพัฒน์จะเดินไปแล้วพันทิญาก็ชะงักเมื่อได้ยินเสียงหญิงคนหนึ่ง
“ต๊ายยย...เพชรสีชมพู”
พันทิญาหันไปมองเห็นหญิงสองคนกำลังเม้าท์กันอยู่
“ว่าที่ราชินีของเจ้าแสงฉายเชียวนะจะให้ใส่อะไรธรรมดาๆ ได้ยังไง” หญิงอีกคนพูด
พันทิญาหันไปมองตามหญิงทั้งสองก็เห็นแพรไหมเดินอยู่ไม่ไกลโดยมีแสงฉายเดินตามไม่ห่าง พันทิญามองแพรไหมด้วยความอิจฉา แล้วมองแสงฉายอย่างเจ็บปวดใจก่อนจะยิ้มร้ายควงแขนพิพัฒน์ พิพัฒน์มองพันทิญาอย่างงงๆ
“ไปทางโน้นก่อนดีกว่าค่ะ..พันจะแนะนำให้รู้จักน้องสาว”
พันทิญาควงพิพัฒน์เดินไป พิพัฒน์ยิ้มอย่างมีความสุข
แพรไหมเดินดูของอย่างเซ็งๆ โดยมีแสงฉายเดินตามไม่ห่าง
แพรไหมปรายตามองแสงฉายอย่างรำคาญ “ฉันเมื่อยแล้วจะไปนั่งกับคุณแม่ เจ้าดูของไปก่อนนะคะ”
แสงฉายมองแพรไหมอย่างรู้ทัน “ผมก็เมื่อยแล้วเหมือนกันผมจะไปนั่งกับคุณ”
แพรไหมถอนหายใจเซ็ง ๆ แล้วทำท่าจะเดินไป แต่ทันใดนั้นพันทิญาก็ควงพิพัฒน์เดินเข้ามาหา
“แพร...พี่พาเพื่อนมาแนะนำให้รู้จัก..คุณพิพัฒน์”
แพรไหมยกมือไหว้พิพัฒน์
“น้องสาวพันค่ะ..แพรไหม” พันทิญาแนะนำ
“ยินดีที่รู้จักครับ” พิพัฒน์พูด
“เช่นกันค่ะ” แพรไหมตอบรับ
พันทิญามองแสงฉายแล้วยิ้มเยาะ
“เจ้าแสงฉายค่ะ” พันทิญาแนะนำ
พิพัฒน์ยกมือไหว้ “สวัสดีครับเจ้า..ได้ยินชื่อเจ้ามานานเพิ่งมีโอกาสได้เจอตัววันนี้เอง เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ”
แสงฉายรับคำ “ครับ”
“คุณพิพัฒน์” พันทิญาพูดเน้น “เป็นเจ้าของร้านเพชรค่ะ”
แสงฉายมองพันทิญาอย่างรู้ทันแล้วพูดกับพิพัฒน์
“ถ้าเดาไม่ผิดที่ร้านคุณคงขายแต่เพชรเกรดเอจากอัฟริกาใต้ราคาสูงๆ”
“เพชรเกรดบี เกรดซีราคาถูกกว่าแต่มีตำหนิผมไม่อยากให้ลูกค้าผิดหวังเลยไม่เอามาขายน่ะครับ..เจ้ารู้ได้ยังไงครับ” พิพัฒน์ถามกลับ
“คุณพันไงครับ” แสงฉายบอก
ทุกคนหันมองแสงฉายอย่างแปลกใจ
แสงฉายพูดแดกดัน “คุณพันเป็นคนมีรสนิยมถ้าร้านคุณไม่ได้มีแต่ของดีมีราคาคุณพันไม่พาคุณมาแนะนำหรอกครับ”
พันทิญามองแสงฉายด้วยความน้อยใจและแค้นใจ แพรไหมมองแสงฉายอย่างเบื่อ ๆ แล้วจึงมองไปรอบๆงาน แพรไหมเห็นภูผายืนอยู่มุมหนึ่ง
แพรไหมยิ้มด้วยความดีใจก่อนจะพึมพำกับตัวเอง “คุณภูผา..”
แพรไหมจะเดินไปหา แต่แสงฉายหันมาจับแขนอย่างสุภาพ
“จะไปไหนครับ” แสงฉายถาม
“ห้องน้ำค่ะ ห้องน้ำหญิง..จะตามไปด้วยมั้ยคะ” แพรไหมประชด
แสงฉายยิ้มขำ “เชิญครับ”
แพรไหมเดินออกไป แสงฉายมองตามแพรไหมด้วยสายตารักใคร่ พันทิญามองแพรไหมด้วยความอิจฉาแล้วยิ้มอย่างมีแผน
“พันเจอเพื่อนคุณพิพัฒน์คุยกับเจ้าไปก่อนนะคะ” พันทิญาบอก
พันทิญาผุดยิ้มร้ายแล้วเดินออกไป
อ่านต่อหน้า 3
ภูผาแพรไหม ตอนที่ 2 (ต่อ)
แสงมณีเดินดูของโบราณต่างๆ อย่างมีความสุข โดยมียศกับเลิศเดินอารักขาอยู่ห่าง ๆ พิพิธในชุดสูทแนวๆ ก็เดินดูของอยู่แถวนั้นด้วยเช่นกัน แสงมณีกับพิพิธสะดุดตาที่ภาพวาดโบราณภาพหนึ่ง
แล้วต่างคนต่างรีบเดินมายืนหน้าภาพแล้วพูดพร้อมกัน “สวยจัง”
พิพิธกับแสงมณีหันมามองหน้ากันอย่างง ๆ ที่พูดพร้อมกัน พิพิธเห็นเจ้าแสงมณีก็รู้สึกปิ๊งสุดๆ
“สวยกว่า...” พิพิธรำพึงออกมา
แสงมณีคิดว่าพิพิธเห็นภาพวาดอื่น เธอหันไปมองแต่ก็ไม่เห็นภาพอะไร
แสงมณีถามพิพิธอย่างงงๆ “ไหนคะ ภาพที่สวยกว่าภาพนี้”
“เอ้อ..ไม่มีครับ”
“อ้าวแล้วที่คุณบอกว่าสวยกว่า”
“ผม ผมหมายถึงภาพนี้ละครับ สวยกว่าภาพวาดที่ผมเคยดูมาทั้งชีวิต”
“ดูภาพวาดมาทั้งชีวิต..คุณชอบงานศิลปะมากเหรอคะ” แสงมณีถาม
“เรียกว่ารักดีกว่าครับ..ผมสะสมภาพวาดแล้วก็ชอบวาดรูปมาก”
“ฉันก็สะสมภาพแล้วก็ชอบวาดรูปเหมือนกันค่ะ..แต่ถ้าวันนี้คุณอยากประมูลภาพนี้เห็นทีเราต้องเป็นคู่แข่งกันแล้วล่ะค่ะ”
“ผมขอยอมแพ้ตั้งแต่ตรงนี้เลยละกันผมไม่อยากแข่งกับคุณ..ผมพิพิธครับ”
“ฉันแสงมณีค่ะ”
พิพิธตกใจ “แสงมณี..เจ้าแสงมณี ณ เชียงทวาย”
“ค่ะ..ขอบคุณนะคะที่สละภาพนี้ให้ฉัน”
แสงมณีเดินออกไป โดยมีธนาเดินตาม
พิพิธมองตามแสงมณีแล้วก็ยิ้มตาหวาน ก่อนจะร้องเพลงเจ้าหญิงของบอย โกสิยพงษ์ออกมาเบาๆ อย่างลืมตัว
“ให้เธอเป็นดังเจ้าหญิงในใจฉัน จะมีเธอเท่านั้น”
คนที่เดินแถวนั้นหันมามองพิพิธอย่างงง ๆ พิพิธชะงักมองผู้คนบริเวณนั้นอย่างอายๆ แล้วเดินไป
แพรไหมมองภูผาที่ยืนอยู่อย่างดีใจแล้วรีบเดินฝ่าแขกในงานที่ดูของอยู่เพื่อไปหาเขา พันทิญาเร่งเท้าเดินตามมองแพรไหมอย่างมีแผน
“อยากรู้นักว่าถ้าว่าที่ราชินีทำขายหน้าเจ้าจะยังรักแกอยู่มั้ย” พันทิญาพูดกับตัวเอง
พันทิญาเดินตามแพรไหมไปอย่างมุ่งร้าย
สายตาของแพรไหมจับจ้องไปที่ภูผาซึ่งยืนอยู่ที่มุมหนึ่ง ทำให้ไม่รู้ว่าพันทิญาเดินตามมาอย่างรีบร้อน พันทิญาเดินตามมาเกือบถึงตัวแพรไหมแล้วก็หันไปมองรอบ ๆ เมื่อเห็นแขกแถวนั้นไม่สนใจเธอก็ผลักแพรไหมอย่างแรง
แพรไหมเสียหลักร้องออกมาด้วยความตกใจ “ว้าย”
คนแถวนั้นรวมทั้งภูผาหันมามองแพรไหมด้วยความตกใจ ภูผารีบโผไปประคองตามสัญชาตญาณโดยที่เขายังไม่รู้ว่าเป็นแพรไหม ทำให้แพรไหมเลยไม่ล้มอย่างที่พันทิญาตั้งใจ
พันทิญาหงุดหงิด “แส่มารับมันไว้ทำไม”
แพรไหมเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าคนที่มารับเธอไว้คือภูผาก็ยิ้มดีใจ
“คุณภูผา”
ภูผาเห็นว่าเป็นแพรไหมก็รีบปล่อยตัวแล้วมองอย่างเย็นชา
“ถ้ารู้ว่าเป็นคุณผมจะปล่อยให้ล้มให้ขายหน้าคนทั้งงานไปเลย” ภูผาบอก
“ยังไม่หายโกรธฉันเหรอคะ”
ภูผามองแพรไหมอย่างเย็นชาแล้วเดินออกไป
แพรไหมมองภูผาอย่างรู้สึกผิดแล้วรีบเดินตาม พันทิญามองทีท่าของแพรไหมด้วยความสงสัยแล้วเดินตามไป
ภูผาเดินมาตามทาง แพรไหมวิ่งตามมาจับแขนภูผาไว้
“ฉันอธิบายไปแล้วว่าทำไมต้องโกหกเรื่องคุณปรางแก้วโทรมา เข้าใจฉันบ้างสิคะ”
“แล้วก็ต้องเข้าใจเรื่องที่คุณโกหกว่าไม่มีพ่อเลี้ยงด้วยใช่มั้ย”
แพรไหมหน้าเจื่อนอย่างรู้สึกผิด “ฉันอธิบายได้นะคะ”
“คำอธิบายของคุณก็ไม่พ้นเหตุผลที่เข้าข้างตัวเอง..ผมไม่อยากฟัง”
“ฉันคงไม่มีสิทธิ์บังคับคุณ เอาเป็นว่าฉันขอโทษจริงๆค่ะ”
“คำขอโทษของคนไม่จริงใจไม่มีค่าสำหรับผม”
ภูผาทำท่าจะเดินไป แต่แพรไหมวิ่งไปดักหน้า
“ฉันจริงใจกับคุณนะคะ”
“คนจริงใจไม่หลอกกันซ้ำซากแบบนี้หรอก..อย่ามายุ่งกับผมอีกเลย”
ภูผาเดินไปอย่างเจ็บปวด แพรไหมมองตามด้วยความเจ็บปวดเช่นกัน
พันทิญาเดินเข้ามาหาแพรไหม “รู้จักเค้าด้วยเหรอ”
“คุณภูผาค่ะ..คนที่ช่วยแพรไว้ที่ตาก” แพรไหมบอก
พันทิญายิ้มเยาะ “นึกว่าใคร ที่แท้ก็สุภาพบุรุษในดวงใจของแพรนี่เอง”
แพรไหมหันมองพันทิญาอย่างไม่พอใจ
“ถามจริง..อยู่ใกล้คนหล่อ ๆ อย่างนี้ทั้งคืนไม่หวั่นไหวบ้างเลยเหรอ” พันทิญาถาม
แพรไหมชะงักแล้วพลันนึกถึงเรื่องราวในอดีต...
แพรไหมยันตัวลุกขึ้นเพื่อจะดูกลุ่มคนร้าย แต่ลืมตัวใช้แขนข้างที่เจ็บยันตัวขึ้นเธอเลยเจ็บแปลบ
“โอ้ยยย..” แพรไหมเสียหลัก “ว้าย”
แพรไหมเสียการทรงตัวตกจากกล่องของลงมานอนข้าง ๆ ภูผา จมูกของเธอชนเข้ากับแก้มของภูผาอย่างจัง ภูผากับแพรไหมอึ้งเหมือนมีไฟแล่นไปทั่วร่าง แพรไหมได้สติรีบผละออกมาจากภูผาแต่ด้วยพื้นที่อันจำกัดทำให้ใบหน้าของทั้งคู่ยังเกือบชิดกันอยู่ดี
ภูผากับแพรไหมมองหน้ากันอย่างอึ้งๆ ทั้งสองเกิดความรู้สึกประหลาดวิ่งไปถึงหัวใจ...
เมื่อนึกถึงเรื่องราวในวันนั้น แพรไหมก็รีบพูดเพราะกลัวพันทิญารู้ “ไม่ค่ะ..แพรคิดกับเค้าแค่เพื่อน”
“คิดกับเค้ามากกว่าเพื่อนพี่ก็ไม่ว่าหรอก พี่อยู่ข้างแพรเสมอ..ว่าแต่เค้าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ทำงานอะไร” พันทิญาบอก
“ไม่ทราบค่ะ”
“อะไร!!..อยู่ด้วยกันข้ามวันข้ามคืนแต่ไม่รู้เรื่องเค้าเลย”
“แพรยังไม่มีโอกาสถามเค้าน่ะค่ะ”
พันทิญาตั้งท่าจะถามต่อ “แล้ว”
แพรไหมไม่อยากตอบคำถามเรื่องภูผาจึงรีบบอกพันทิญา
“แพรยังไม่ได้เข้าห้องน้ำเลยขอแพรไปห้องน้ำก่อนนะคะ”
แพรไหมเดินออกไป พันทิญามองภูผาที่กำลังยืนดูแลความปลอดภัยในงานแล้วยิ้มเจ้าชู้
“ต้องเป็นลูกผู้ดีมีสกุลหรือไม่ก็เจ้าของธุรกิจอะไรสักอย่างละน่า..ถึงมาร่วมงานนี้ได้”
พันทิญาจะเดินไปหาภูผาแต่พิพัฒน์เดินมาเสียก่อน
“คุณพันครับ” พิพัฒน์เรียก
พันทิญาชะงักมองภูผาอย่างเสียดายแล้วหันมายิ้มหวานให้พิพัฒน์
“คุณพิพัฒน์..พันคุยกับเพื่อนเสร็จแล้วค่ะ กำลังจะกลับไปหาคุณพอดี”
“ผมก็คุยกับเจ้าเสร็จแล้วเหมือนกันเลยจะมาชวนคุณเดินดูของน่ะครับ”
“ค่ะ”
พันทิญาควงแขนพิพัฒน์เดินไปแต่ก็ยังหันมามองภูผาด้วยสายตาเจ้าชู้
แสงมณีเดินดูเทวรูปและของโบราณอื่น ๆ อย่างเพลิดเพลิน ยศกับเลิศเดินตามดูแลอยู่ห่างๆ แล้วแสงมณีก็ต้องชะงักเมื่อเห็นทวีปยืนดูแลความเรียบร้อยของงานอยู่ที่มุมหนึ่ง
“ตาหมวดปากเสีย”
แสงมณีมองทวีปแล้วคิดก่อนจะหันไปกวักมือเรียกยศ ยศรีบเดินมาหา แสงมณีกระซิบบางอย่างกับยศ
“ครับเจ้า” ยศรับคำแล้วเดินออกไป
แสงมณีมองทวีปแล้วยิ้มด้วยสายตาเจ้าเล่ห์
ทวีปเดินตรวจความเรียบร้อยของงาน แล้วเขาก็ต้องหน้าทิ่มล้มลงเมื่อมีคนเดินมาชนด้านหลังอย่างแรง “เฮ้ย!!”
แสงมณีแกล้งตกใจ “ว้าย”
แสงมณีลอบมองทวีปที่ล้มลงไปกับพื้นแล้วยิ้มสะใจก่อนจะแกล้งเข้าไปพูดดีด้วย
“ขอโทษนะคะ...”
ทวีปลุกขึ้นมาพอหันไปมองเห็นว่าเป็นแสงมณีก็ลุกพรวดขึ้นอย่างไม่พอใจ
“เจ้าอีกแล้วเหรอ”
แสงมณีทำเป็นหงุดหงิด “ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นคุณหรอกน่า”
“ชนคนอื่นบ่อยๆ...ท่าทางเจ้าจะมีปัญหาทางสายตานะ” ทวีปแขวะ
“ถ้าฉันมีปัญหาทางสายตาคุณก็น่าจะมีปัญหาทางปาก” แสงมณีสวนทันที
ทวีปตกใจ “ปากผมเหม็นเหรอ” ทวีปเอามือมาอังปากแล้วพ่นพิสูจน์กลิ่น “ฮ่ะ ฮ่ะ..ไม่มีกลิ่นนี่”
“ไม่มีกลิ่นแต่มีเสียงแล้วมีเขี้ยว...เวลาใครเดินผ่านถึงต้องเห่าต้องกัดทุกที”
“เจ้าว่าผมเป็นหมา”
แสงมณียักไหล่กวน ๆ แล้วเดินออกไปอย่างสะใจ
ทวีปโมโห “ว่าแต่คนอื่นแล้วตัวเองพูดจาดีนักรึไง...ยัยเจ้าสายตาสั้น ยัยเจ้าขี้หงุดหงิด ยัยเจ้าวัยทองเอ๊ย”
คนที่อยู่แถวนั้นมองทวีปแล้วหัวเราะขำๆ ทวีปมองไปรอบ ๆ อย่างหงุดหงิดแล้วเดินออกไป
ภูผายังคงยืนดูแลความเรียบร้อยอยู่ภายในงาน ทวีปเดินมา คนแถวนั้นหันมองทวีปแล้วหัวเราะขำ ทวีปรีบเดินไปหาภูผาทันที
“ไอ้ภู”
ภูผาพูดโดยไม่มองหน้า “ว่า”
“หันมามองหน้าฉัน” ทวีปบอก
ภูผาหันมองหน้าทวีปอย่างงงๆ
“ตาฉันเหลือก จมูกฉันยาว หรือหูฉันแหลมขึ้นรึเปล่า” ทวีปถาม
ภูผายิ้มขำ “ทำไมถามบ้า ๆ อย่างนี้วะ”
ทวีปมองคนที่ยืนอยู่รอบๆ ซึ่งกำลังหัวเราะและแอบซุบซิบกันอยู่
“ฉันเดินผ่านใครเค้าก็หัวเราะซุบซิบกัน..จะไม่ให้คิดว่าหน้าฉันประหลาดเป็นมนุษย์ต่างดาวแบบฉับพลันได้ไง” ทวีปบอก
ภูผามองคนรอบ ๆ ที่กำลังหัวเราะทวีปอย่างสงสัยไปด้วย แล้วจึงมองหน้าทวีปอีกครั้ง
“หน้าแกก็ปกติแล้วพวกเค้าหัวเราะอะไรกัน”
ทวีปยิ่งงหนัก “นั่นนะสิ”
ทวีปหันไปมองคนรอบ ๆ ตัวอย่างงงๆ แล้วจึงหันหลังให้ภูผา แล้วทวีปก็ชะงักเมื่อได้ยินเสียงภูผาหัวเราะออกมา
ทวีปตกใจ “หัวเราะอีกคนแล้ว..หัวเราะอะไรวะ”
ภูผาดึงกระดาษแผ่นใหญ่ที่เขียนตัวหนังสือตัวใหญ่ซึ่งติดอยู่ที่หลังทวีปออกแล้วส่งให้ทวีป
“ผมปากหมาครับ” ทวีปอ่านออกเสียง “มีคนแกล้งฉันเดี๋ยวมานะ”
ทวีปจะเดินไปเอาเรื่องแสงมณี แต่ภูผาห้ามไว้
“ถ้าจะไปแก้แค้นก็ไว้ทีหลัง..งานจะเริ่มแล้วทำงานก่อน”
ทวีปมองหน้าภูผาอย่างเซ็งๆ
แสงไฟในห้องถูกหรี่ให้มืดลง ไฟหน้าเวทีระยิบระยับ จอบาร์โก้วางอยู่กลางเวที เสียงเพลงไทยเดิมที่ถูกมิกซ์ให้ทันสมัยเพื่อประกอบการเดินแบบดังกระหึ่ม
แสงฉายนั่งอยู่ข้างเวที ด้านหนึ่งของเขาแสงมณี อีกด้านเป็นแพรไหม ส่วนศุภลักษณ์นั่งติดกับแพรไหม
พันทิญา พิพัฒน์ และพิพิธนั่งเก้าอี้แถวถัดไป พันทิญาลอบมองแพรไหมที่นั่งคู่กับแสงฉายด้วยสายตาอิจฉา ดิเรกนั่งอีกฝั่ง ทวีปยืนคุ้มกันแขกในงานด้วยการกวาดสายตาไปรอบ ๆ อย่างระแวดระวังแล้วต้องหยุดสายตาที่แสงมณีที่นั่งอยู่ข้างๆ แสงฉาย แสงมณีหันมาสบตากับทวีปพอดี แสงมณียิ้มเยาะทวีป ทวีปมองแสงมณีอย่างแค้นใจ
ภูผากวาดสายตามมองไปรอบงานอย่างระแวดระวัง ส่วนแพรไหมมองภูผาอย่างรู้สึกผิด ภูผากวาดสายตามาสบตากับแพรไหมพอดี แพรไหมยิ้มให้ แต่ภูผาเมินสายตาไปทางอื่นอย่างเย็นชา แพรไหมรู้สึกเจ็บปวดพันทิญาที่นั่งอยู่แถวหลังมองภูผาที่ยืนดูแลความปลอดภัยของคนในงานอย่างดูถูกก่อนจะพึมพำกับตัวเอง
“นึกว่าไฮโซที่แท้ก็แค่บอดี้การ์ด”
พิพิธมองแสงมณีตาหวานเยิ้ม พิพัฒน์หันมาเห็นสายตาน้องชายก็กระซิบแซว
“จ้องเค้าอยู่นั่น..เจ้าแสงฉายหวงน้องสาวจะตายเดี๋ยวได้ถูกลูกปืนยิงเบ้าตา”
“ผมยอมตายเพราะความสวยของเจ้าแสงมณี” พิพิธบอก
พิพัฒน์ส่ายหน้ายิ้มขำๆ
หน้าจอบาร์โก้บนเวทีฉายภาพเทวรูปที่พันทิญาชี้ให้พิพัฒน์ดู
“ชิ้นแรกที่เราจะประมูลกันในวันนี้เป็นเทวรูปพระนารายณ์” พิธีกรบนเวทีพูด “ราคาเริ่มต้นที่ 3 แสนค่ะ”
พิพัฒน์ยกป้ายเบอร์ของตัวเองขึ้น
พิธิกรชี้มาที่พิพัฒน์ “3 แสน 1”
หญิงสาวคนหนึ่งยกป้ายเบอร์ของเธอขึ้นมา
พิธีกรชี้ที่หญิงคนนั้น “3 แสน 2 ค่ะ”
พิพัฒน์ยกป้ายเบอร์
พิธีกรชี้ที่พิพัฒน์ “3 แสน 3 ค่ะ”
หญิงสาวคนนั้นยกป้ายเบอร์ขึ้นอีกครั้ง
พิธีกรชี้ที่หญิงคนนั้น “3 แสน 4 ค่ะ”
แขกในงานฮือฮากันอย่างสนุกสนาน พิพัฒน์ยกป้ายอีกครั้ง
พิธีกรชี้ที่ป้าย “3 แสน 5 ค่ะ”
ไม่มีใครยกป้ายขึ้นสู้
“3 แสน 5 หนึ่ง.. 3 แสน 5 ..สอง.. 3 แสน 5 สาม...เทวรูปองค์นี้เป็นของคุณ” พิธีกรดูหมายเลขในสคริปต์ “เบอร์ 16..คุณพิพัฒน์ค่ะ”
ทุกคนในงานปรบมือ
พิพัฒน์ยิ้มดีใจแล้วหันไปพูดกับพันทิญา “ของคุณครับ”
พันทิญาตกใจ “ให้พันเหรอคะ”
“เป็นของชิ้นแรกที่คุณสะดุดตาตั้งแต่เข้างานแสดงว่าคุณชอบมากผมเลยอยากให้คุณได้เป็นเจ้าของ”
พันทิญายิ้มหวาน “พันชอบมากเลยค่ะ..ขอบคุณนะคะ”
พันทิญาหันหน้าไปอีกทางพูดอย่างเซ็งๆ
“รูปปั้นอะไรไม่รู้..น่ากลั๊ว”
นายแบบหล่อล่ำ 2 คนใส่ชุดสมัยอยุธยาถือภาพวาดเดินมายืนอยู่กลางเวที แสงมณีมองภาพนั้นอย่างพอใจแล้วพูดกับแสงฉาย
“น้องชอบภาพนี้ค่ะ”
แสงฉายยิ้มแล้วพยักหน้าให้แสงมณีอย่างอ่อนโยน
พิธีกรบนเวทีพูด “ภาพนี้ราคาเริ่มต้นที่ 5 แสนบาท”
แสงฉายยกป้ายแล้วพูด “สองล้าน”
คนในงานส่งเสียงฮือฮา
“เจ้าแสงฉายให้สองล้าน คนอื่นละคะมีใครให้มากกว่านี้มั้ย”
คนในงานไม่มีใครยกป้าย
พิพิธกระซิบกับพิพัฒน์ “ใครกล้าประมูลแข่งกับเจ้าแสงฉายก็บ้าเต็มทน”
“ไม่มีนะคะ..ภาพนี้เป็นของเจ้าแสงฉายค่ะ” พิธีกรสรุป
ทุกคนปรบมือให้เจ้าแสงฉาย แสงมณีกอดแขนแสงฉายเป็นเชิงขอบคุณ ทวีปมองแสงมณีอย่างหมั่นไส้
ที่บ้านของภูผา บุญศรีกำลังปักผ้าอยู่แต่ก็ไม่มีสมาธิ เธอคอยมองไปทางหน้าบ้านอย่างร้อนใจ ปรางแก้วถือจานที่มีผลไม้แกะสลักอย่างสวยงามเดินเข้ามาเห็นบุญศรีหน้าเครียดก็มองด้วยความสงสาร
ปรางแก้วเดินไปหาบุญศรี “คุณป้าคะ คุณป้าทานข้าวไปนิดเดียว..ทานผลไม้หน่อยนะคะดึกๆ จะได้ไม่หิว”
บุญศรีมองจานผลไม้ที่ปรางแก้วแกะสลักมาอย่างสวยงามด้วยความซึ้งใจ
“ช่างประดิดประดอยเหลือเกิน..ตอนนี้ป้ายังไม่หิว หิวเมื่อไหร่ป้าจะกินนะ”
ปรางแก้วยิ้มอ่อนโยนแล้วพยักหน้าให้บุญศรี ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์บ้านก็ดังขึ้น บุญศรีรีบถลาไปรับโทรศัพท์ทันที
“สวัสดีค่ะ..” บุญศรีร้อนใจ “..ชัย นามสกุล วรภัทร..ลูกชายฉันเองจ้ะ” บุญศรีนิ่งฟังแล้วก็ตกใจมาก “อะไรนะ”
บุญศรีตกใจมากจนโทรศัพท์ร่วงจากมือ ปรางแก้วรีบถลาเข้ามาประคองบุญศรี
“พี่ชัยเป็นอะไรคะ”
บุญศรีร้องไหโฮ “มีคนเจอศพชัยที่ท่าน้ำตอนนี้ศพอยู่ที่โรงพยาบาล” บุญศรีทรุดลงอย่างหมดแรง “ชัยลูกแม่..ชัยลูกแม่”
ปรางแก้วรีบกดโทรศัพท์หาภูผาแต่ภูผาไม่รับสาย ปรางแก้วจึงรีบกดโทรศัพท์ไปหาทวีป แต่ทวีปก็ไม่รับสายเช่นกัน
ปรางแก้วร้อนใจ “ทำไมไม่รับสายทั้งคู่เลย”
ภายในงานเสียงดังมาก ทวีปกับภูผาใส่หูฟังยืนทำหน้าที่ของตัวเองอยู่จึงไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์
กลุ่มนักฆ่าจากเชียงทวายทั้งธี อารัญและพิมเดินเข้ามานั่งในงาน พิธีราบนเวทีพูดต่อ
“แล้วก็มาถึงของชิ้นสุดท้ายที่เป็นไฮไลท์ของงานคืนนี้แล้วนะคะ”
นางแบบใส่กำไลพิรอด นายแบบใส่แหวนแต่งตัวสมัยอยุธยาเดินออกมาจากหลังเวที นางแบบพรีเซ้นกำไลพิรอด นายแบบพรีเซ้นแหวนพิรอด จอบาร์โก้ด้านข้างฉายภาพกำไลและแหวนให้เห็นชัดเจน แสงฉายและคนในงานดูการเดินแบบและฟังพิธีกรอย่างตั้งใจ
อโณทัย หลานชายของหัวหน้าฝ่ายกบฏเดินคล้องแขนมากับนาราคนรักของเขา ทั้งสองเข้ามายืนปะปนกับผู้คนเพื่อสังเกตุการณ์ พิธีกรบนเวทีพูดต่อ
“คนโบราณเชื่อว่าของที่ทำขึ้นท่ามกลางแสงจันทร์คืนวันเพ็ญจะมีพลังมากกว่าของที่ทำขึ้นในวันอื่น”
นางแบบกับนายแบบยังคงพรีเซ้นกำไลกับแหวนอยู่ พิธีกรพูดต่อ
“เจ้าพระยาท่านหนึ่งรักหญิงคนรักมากจึงสั่งช่างทำกำไลและแหวนพิรอดชุดนี้ในคืนวันเพ็ญ..เจ้าพระยามอบกำไลแก่สาวคนรักส่วนตัวท่านครอบครองแหวน ทั้งสองครองคู่กันจนวันสุดท้ายของชีวิต”
แสงฉายฟังอย่างตั้งใจ
“ทุกคนเชื่อว่าเป็นเพราะพลังความรักที่อยู่ในเครื่องประดับชุดนี้และเชื่อว่าคู่รักที่ได้ครอบครองจะรักกันตราบนิรันดร์”
แสงฉายมองกำไลกับแหวนแล้วยิ้มอย่างมีความหมาย นางแบบกับนายแบบยังคงยืนโพสหน้าสวยงามอยู่กลางเวที
พิธีกรเดินมากลางเวที “กำไลกับแหวนชุดนี้ราคาเริ่มต้นที่ 3 ล้านค่ะ”
พันทิญาอยากได้กำไลจึงหันไปบอกพิพัฒน์ “ไม่รู้ยุคนี้ยังมีผู้ชายที่เชื่อเรื่องพลังความรักอย่างท่านเจ้าพระยาอยู่อีกรึเปล่านะคะ”
พิพัฒน์ยิ้มแทนคำตอบแล้วยกป้ายประมูล พันทิญายิ้มพอใจ
พิธีกรพูด “3 ล้าน 1”
แสงฉายพูดกับพิพัฒน์ “ผมชอบ..ผมขอนะครับ” แสงฉายหันไปยกป้าย “10 ล้าน”
แขกในงานมองแสงฉายพร้อมส่งเสียงฮือฮา
“มีใครให้มากกว่า 10 ล้านมั้ยคะ”
ไม่มีเสียงตอบจากคนในงาน แสงฉายยิ้มอย่างผู้ชนะเพราะรู้ว่าไม่มีใครกล้าสู้
“เครื่องประดับชุดนี้เป็นของเจ้าแสงฉายค่ะ..ขอเชิญคุณดิเรกขึ้นมอบให้เจ้าแสงฉายด้วยค่ะ”
ทันใดนั้นดิเรกก็ลุกขึ้น
ภูผากดวิทยุพูดสั่งทุกคน “แขกสำคัญกำลังจะขึ้นเวที ..กระจายกำลังล้อมเวทีไว้”
ภูผาเดินไปที่เวทีทันที
ดิเรกมอบภาพวาดให้แสงฉาย คนในงานปรบมือ สเตจส่งกล่องกำไลกับแหวนให้ ดิเรกรับมาแล้วส่งให้แสงฉาย
ดิเรกรับไมค์มาจากสเตจ “ขอขอบคุณแขกผู้มีเกียรติทุกท่านที่มาร่วมทำบุญด้วยกันโดยเฉพาะเจ้าแสงฉายที่สละเงินก้อนใหญ่เพื่อร่วมทำบุญกับผม”
คนในงานปรบมือให้แสงฉาย แสงฉายกระซิบดิเรก ดิเรกพยักหน้าแล้วยื่นไมค์ให้แสงฉายรับไมค์ไปแล้วพูด
“ภาพวาดภาพนี้ผมขอมอบให้แสงมณีน้องสาวสุดที่รักของผม..ส่วนกำไลวงนี้ผมขอมอบให้คุณแพรไหมเจ้าสาวในอนาคต”
คนในงานฮือฮาด้วยความตื่นเต้น แพรไหมมองแสงฉายอย่างไม่พอใจ ศุภลักษณ์ยิ้มแฉ่งด้วยความปลื้มสุดๆ ภูผามองแพรไหมแล้วใจหวิวอย่างบอกไม่ถูก ส่วนพันทิญามองแพรไหมด้วยสายตาอิจฉา
“ในฐานะเจ้าของภาพวาดและกำไลขอเชิญเจ้าแสงมณีและคุณแพรไหมขึ้นเวทีเพื่อถ่ายภาพเป็นที่ระลึกร่วมกับคุณดิเรกและเจ้าแสงฉายด้วยค่ะ” พิธีกรพูด
ทุกคนในงานปรบมือ แสงมณีเดินไปหาแพรไหมที่ยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม
แสงมณีจับมือแพรไหม “ไปค่ะคุณแพร”
แพรไหมมองแสงมณีอย่างเกรงใจ เธอจำต้องเดินไปด้วยอย่างไม่เต็มใจนัก
โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป
ภูผาแพรไหม ตอนที่ 2 (ต่อ)
แพรไหม แสงมณี แสงฉาย และดิเรกยืนถ่ายรูปร่วมกันอยู่บนเวที กลุ่มนักฆ่าจากเชียงทวายเดินออกไปจากงาน อโณทัยหัวหน้ากลุ่มหันไปมองภูผาก่อนจะเดินตามออกไป
ภูผายืนมองไปรอบ ๆ อย่างระแวดระวังแล้วสายตาของเขาก็ไปสะดุดที่ชายสองคนใส่สูทแต่งตัวภูมิฐานกำลังล้วงมือเข้าไปในเสื้อ ภูผารู้ด้วยสัญชาตญาณว่าชายคนนั้นคือคนร้าย เขาจึงรีบกระโจนขึ้นเวที
“ระวัง!!”
ชายสองคนนั้นล้วงมีดที่ด้ามสลักสัญลักษณ์เชียงทวายแล้วปาไปที่แสงฉายกับแสงมณีอย่างรวดเร็ว แสงฉายกับแสงมณีมองมีดที่พุ่งเข้ามาอย่างตกใจ แสงฉายได้สติกระโดดเตะมีดที่พุ่งเข้าหาตัวไปกระทบมีดที่พุ่งเข้าหาแสงมณีจนมีดกระเด็นตกพื้นไปทั้งสองเล่ม
ทุกคนในงานมองเหตุการณ์อย่างตกใจและเริ่มแตกตื่นโกลาหลส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดลั่นงาน ธนา ยศ และเลิศรีบวิ่งมาคุ้มกันแสงฉายกับแสงมณี คนร้ายทั้งสองเห็นว่าใช้มีดไม่ได้ผลจึงดึงปืนออกมาจากเสื้อ ชายคนที่หนึ่งเล็งไปที่แสงฉาย ส่วนชายคนที่สองเล็งไปที่แสงมณี
ธนาวิ่งไปถึงตัวแสงฉายก่อนจึงพาแสงฉายหลบคมกระสุนไปได้อย่างรวดเร็ว กระสุนหลายนัดโดนป้ายชื่องานจนตัวหนังสือร่วงหล่นลงมา
ชายคนที่สองกราดยิงแสงมณี ภูผามองอย่างตกใจแล้วกระโดดพุ่งตัวเอาตัวไปบังแสงมณีไว้ ภูผากับแสงมณีล้มลงไปด้วยกัน โดยภูผานอนทับอยู่บนตัวแสงมณี แสงมณีใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะเพราะเป็นครั้งแรกที่เธออยู่ในอ้อมแขนของผู้ชายที่ไม่ใช่ญาติพี่น้อง ภูผาดันตัวผละออกมา แสงมณีมองหน้าอันหล่อเหลาของภูผาแล้วก็ตกหลุมรัก
“เจ้าไม่เป็นไรนะ” ภูผาถาม
แสงมณีรีบผละออกมา “ค่ะ”
ภูผาลุกพรวดขึ้นมองชายทั้งสองที่เล็งปืนพร้อมย่างสามขุมเข้ามาที่หน้าเวทีอย่างตกใจแล้วลุกขึ้นวิ่งไปกระโดดลงจากเวที ใช้เข่าลอยกระแทกมือชายคนหนึ่งอย่างแรง แล้วหันไปใช้สันมือสับลงที่ข้อมือชายอีกคนอย่างรวดเร็วจนปืนกระเด็นหลุดจากมือชายทั้งสองทันที
ภูผาลงมาคุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยท่าเท่ห์ ทวีป รีบวิ่งเข้ามาเพื่อจับตัวชายทั้งสอง ชายทั้งสองสู้กับทวีปด้วยมือเปล่าอย่างเหนือชั้น ภูผาเข้ามาช่วยทวีป ภูผากับทวีปหันหลังชนกันเพื่อต่อสู้กับชายทั้งสอง ลูกน้องภูผาวิ่งกรูเข้ามาเสริม ชายทั้งสองรู้ว่าสู้ไม่ได้จึงมองหน้ากันแล้วถีบภูผากับทวีปจนเซไปแล้ววิ่งหนีออกจากงานไป
ลูกน้องภูผารีบวิ่งตาม ภูผากับทวีปจะวิ่งตามไป ทวีปชะงักเมื่อเห็นเลือดเต็มเสื้อภูผาจึงรีบดึงภูผาไว้ด้วยความตกใจ
“แกถูกยิง” ทวีปบอกภูผา
ภูผายังไม่รู้สึกเจ็บเพราะยังชาอยู่ เขามองเลือดที่ชุ่มเต็มเสื้อของตัวเองด้วยความตกใจ แพรไหมวิ่งมามองภูผาอย่างเป็นห่วง เธอเห็นเลือดไหลเต็มเสื้อภูผาก็รีบวิ่งเข้าไปหา
“คุณภูผา”
ภูผาหายชาจึงเริ่มเจ็บแผลแล้วทรุดลงอย่างเจ็บปวด แพรไหมมองภูผาอย่างตกใจแล้วรีบเข้าไปประคองก่อนจะตะโกนลั่น
“มีคนโดนยิง เรียกรถพยาบาลเร็ว เรียกรถพยาบาล”
แพรไหมร้องตะโกนด้วยความเป็นห่วงภูผา ภูผามองแพรไหมอย่างแปลกใจเพราะไม่คิดว่าแพรไหมจะห่วงเขาขนาดนี้ แสงฉายมองแพรไหมที่ดูห่วงภูผามากเป็นพิเศษอย่างสงสัย ทวีปรีบหยิบมือถือมากดเรียกรถพยาบาลทันที
“โรงพยาบาลใช่มั้ย..มีคนถูกยิงส่งรถมาที่” ทวีปบอกชื่อโรงแรมที่จัดงานก่อนจะกำชับ “ด่วน”
แสงมณีมองภูผาด้วยความตกใจ แต่เมื่อคิดอะไรบางอย่างได้ก็รีบวิ่งไปหยิบผ้าเช็ดปากมาเก็บมีดของคนร้ายใส่ผ้าแล้วห่อมิดชิด ทวีปที่วางโทรศัพท์เรียกรถพยาบาลบังเอิญหันมาเห็นแสงมณีกำลังเก็บมีดพอดี ทวีปเริ่มมองแสงมณีด้วยความสงสัย
ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ตำรวจยืนคุยกันอยู่หน้าห้องเก็บศพ ในมือของตำรวจคนหนึ่งถือซองพลาสติกใส่กระเป๋าสตางค์ของชัยเอาไว้ บุญศรีกับปรางแก้ววิ่งเข้ามาอย่างร้อนใจ
“ฉันเป็นแม่ของชัยจ้ะ” บุญศรีบอก
ตำรวจคนนั้นยื่นซองพลาสติกให้ “เราพบบัตรประชาชนในกระเป๋าสตางค์ผู้ตายเลยทราบว่าเป็นคุณชัยน่ะครับ”
ตำรวจยื่นซองพลาสติกให้บุญศรี บุญศรีรับมาแล้วก็ยิ่งร้องไห้โฮ ปรางแก้วรีบประคองบุญศรีโดยที่เธอเองก็น้ำตาคลอเพราะความเสียใจไปด้วย
บุญศรีพูดพร้อมกับร้องไห้โฮ “เกิดอะไรขึ้นกับลูกฉันจ๊ะ..มันเกิดอะไรขึ้น”
“หมอชันสูตรเบื้องต้นแล้วพบว่าปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดสูงมากสันนิษฐานว่าผู้ตายเมาไม่ได้สติเลยตกน้ำ” ตำรวจรายงาน
บุญศรีร้องไห้โฮ “โธ่ชัย...พาฉันไปหาลูกหน่อย..ฉันอยากเห็นหน้าลูก”
ตำรวจรู้สึกสงสาร “เชิญครับ”
ตำรวจทั้งสองเดินนำเข้าห้องเก็บศพไป ปรางแก้วประคองบุญศรีเดินตามไป
ศพร่างหนึ่งนอนคลุมผ้าขาวอยู่บนเตียงในห้องเก็บศพ ตำรวจทั้งสองนายเดินนำบุญศรี ปรางแก้วเข้ามา
“นี่ครับลูกชายป้า” ตำรวจคนหนึ่งบอก
บุญศรีมองร่างไร้วิญญาณที่ถูกผ้าขาวคลุมทั้งตัวแล้วก็เสียใจร้องไห้โฮ
“ชัยลูกแม่”
บุญศรีถลาไปที่ศพแล้วค่อยๆเอื้อมมือไปเปิดผ้าออกเพื่อดูหน้า ทำให้เห็นว่าศพที่อยู่ใต้ผ้าคลุมนั้นไม่ใช่ชัย
“ไม่ใช่ชัย” บุญศรีพูด
ปรางแก้วรีบวิ่งเข้ามาดู
ปรางแก้วพูดกับตำรวจอย่างดีใจ “คนนี้ไม่ใช่ชัย วรภัทรค่ะ”
ตำรวจคนที่หนึ่งพูดกับกับตำรวจคนที่สอง “รีบไปตรวจสอบว่าผู้ตายเป็นใครแล้วมีกระเป๋าสตางค์ของคุณชัยมาอยู่กับผู้ตายได้ยังไง”
ตำรวจคนที่สองรับคำ “ครับผม”
บุญศรีดีใจมาก “ไม่ใช่ชัย..ชัยยังไม่ตาย..ชัยยังไม่ตาย”
ปรางแก้วบีบมือกับบุญศรีด้วยความดีใจ
ที่โรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่ง แสงฉาย แสงมณี ศุภลักษณ์ และพันทิญานั่งรออยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉิน ศุภลักษณ์จับแขนแพรไหมอย่างอ่อนโยนก่อนจะถามลูกสาว
“หายตกใจรึยัง”
แพรไหมพยักหน้า “ค่ะ”
พันทิญาลอบมองศุภลักษณ์กับแพรไหมด้วยความอิจฉา แพรไหมมองไปที่ห้องฉุกเฉินอย่างกังวล เธอเดินไปชะเง้อหน้าห้องคล้ายจะขอมองเข้าไปสักนิดก็ยังดี พันทิญาได้ทีทำเป็นลุกมาปลอบ
พันทิญาพูดเน้นเสียงดัง “พี่รู้ว่าแพรห่วงคนที่มีบุญคุณกับแพร..แต่มาชะเง้อดูตรงนี้ก็ไม่เห็นอะไรไปนั่งรอให้ใจเย็นก่อนดีกว่านะ”
ศุภลักษณ์ได้ยินก็สงสัย “บอดี้การ์ดคนนี้มีบุญคุณอะไรกับยัยแพร”
พันทิญาพูดอย่างเข้าทาง “อ้าว..ยังไม่มีใครรู้เหรอคะว่าคุณภูผาคือคนที่ช่วยยัยแพรที่ตาก..” พันทิญาทำทีเป็นรู้สึกผิด “อุ้ย..พี่พลั้งปากไปแล้วความลับรึเปล่าแพร”
“เปล่าค่ะ” แพรไหมตอบ
“ไม่ใช่ความลับแล้วทำไมไม่บอกแม่” ศุภลักษณ์ถาม
“แพรเห็นว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ”
แสงฉายมองแพรไหมด้วยความสงสัยแล้วแสร้งพูดดีด้วย
“สำคัญสิครับ..อย่างน้อยผมจะได้ขอบคุณที่เค้าช่วยดูแลคุณ”
“ไม่จำเป็นมั้งคะ” แพรไหมบอก
แสงฉายเดินมาหาแพรไหมพร้อมยิ้มกวน ๆ อย่างอยากเอาชนะ
“เค้าดูแลคนรักของผมเชียวนะครับจะไม่จำเป็นได้ยังไง..แล้วตอนนี้ก็ยิ่งจำเป็นเพราะเค้าช่วยชีวิตมณีด้วย”
แสงมณีพูดเพราะห่วงภูผา “ถ้าไม่ได้เค้ามณีคงแย่..เป็นอะไรมากรึเปล่าก็ไม่รู้”
ทันใดนั้นพิพิธก็เดินถือถาดที่มีแก้วกาแฟกระดาษหลายใบเดินเข้ามา พิพัฒน์เอากาแฟมาให้แสงฉาย แพร ศุภลักษ์ พันทิญา จนเหลือแก้วสุดท้ายพิพิธหยิบแล้วเอาไปยื่นให้แสงมณี
“กาแฟร้อนๆคงช่วยให้คุณหายตกใจได้บ้าง” พิพิธบอก
“ขอบคุณค่ะ”
พิพิธพยักหน้าแล้วยิ้มให้แสงมณีอย่างอ่อนโยน
ทันใดนั้นหมอก็เดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน
แพรไหมรีบเข้าไปถาม “คนไข้เป็นยังไงบ้างคะ”
“ปลอดภัยครับ” หมอตอบ
แพรไหมยิ้มดีใจ แสงฉายลอบมองสังเกตแพรไหมอยู่ตลอดเวลา
“โชคดีที่กระสุนแค่ถากไปแต่คนไข้เสียเลือดมากต้องนอนพักที่โรงพยาบาลก่อน” หมอรายงานต่อ
บุรุษพยาบาลเข็นเตียงที่ภูผานอนอยู่ออกมา ภูผาใส่เสื้อของโรงพยาบาลกึ่งนั่งกึ่งนอน เสื้อที่สวมอยู่ไม่ได้ผูกเชือกเผยให้เห็นผ้าพันแผลที่ไหล่ส่วนที่แขนมีสายน้ำเกลือและสายให้เลือด แพรไหมรีบถลาเข้าไปหาพร้อมกับแสงมณี
“เจ็บมากมั้ยคะ” แพรไหมถาม
“ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยชีวิตฉัน” แสงมณีบอก
ภูผามองแพรไหมอย่างเย็นชา ก่อนจะหันไปตอบแสงมณี
“หน้าที่ของผมอยู่แล้วครับ”
แพรไหมหน้าเจื่อนด้วยความเจ็บปวด แสงฉายที่เห็นปฏิกิริยาที่แพรไหมกับภูผามีต่อกันก็ยิ่งมองอย่างสงสัย
“คนไข้กำลังอ่อนเพลียมากผมว่าให้คนไข้ไปพักก่อนดีกว่าครับ” หมอตัดบท
“แล้วฉันจะมาเยี่ยมคุณอีกนะคะ” แสงมณีบอก
“ขอบคุณครับ”
“พักผ่อนมากๆนะคะ” แพรไหมอวยพร
ภูผาทำเป็นไม่ได้ยินแล้วหลับตาลงเพื่อบอกให้รู้ว่าเขาต้องการพักผ่อน แพรไหมหน้าเจื่อนไปแต่ก็ไม่มีใครเห็นความผิดปกติในความสัมพันธ์ของภูผาแพรไหมยกเว้นแสงฉายคนเดียวเท่านั้น
ภูผานอนมองออกไปนอกหน้าต่างห้องของโรงพยาบาลแล้วก็คิดถึงแพรไหม...
ภูผายังไม่รู้สึกเจ็บเพราะชาอยู่ เขาแตะเลือดที่ไหล่มาดูอย่างตกใจ แพรไหมวิ่งมามองภูผาอย่างเป็นห่วง พอเธอเห็นเลือดไหลเต็มเสื้อภูผาก็วิ่งเข้าไปหา
“คุณภูผา..”
ภูผาหายชาเริ่มเจ็บแผลแล้วก็ทรุดลงอย่างเจ็บปวด แพรไหมมองภูผาอย่างตกใจแล้วรีบเข้าไปประคองพร้อมกับตะโกนลั่น
“มีคนโดนยิง เรียกรถพยาบาลเร็ว เรียกรถพยาบาล”...
พอคิดถึงแพรไหมแล้วภูผาก็ถอนหายใจอย่างสับสน...
แพรไหมรีบถลาเข้าไปหาพร้อมแสงมณี
“เจ็บมากมั้ยคะ” แพรไหมถาม...
ยิ่งคิดถึงแพรไหม ภูผาก็ต้องหลับตาแล้วบอกตัวเองอย่างหงุดหงิด
“โกหกสร้างภาพ..เค้าไม่ได้ห่วงแกจริงๆหรอกภูผา”
แล้วภูผาก็ต้องลืมตาเมื่อได้ยินเสียงประตูเปิด ภูผาหันไปมองเห็นบุญศรีกับปรางแก้ววิ่งเข้ามาอย่างร้อนใจ
“ภู..” บุญศรีร้อนใจ
“ผมปลอดภัยดีครับแม่ ผมไม่เป็นไร” ภูผารีบบอก
บุญศรีกอดภูผาแล้วร้องไห้อย่างเครียดจัด
“รู้มั้ยว่าตอนวีปโทรบอกแก้วว่าลูกถูกยิงใจแม่แทบสลาย..มีลูกอยู่สองคน คนนึงหายไป อีกคนโดนยิง เวรกรรมอะไรนักหนาก็ไม่รู้”
“แม่อย่าคิดอย่างนั้นสิครับ..คิดซะว่าเรายังมีบุญที่ผมถูกยิงแต่รอดมาได้ ส่วนเรื่องพี่ชัยเชียงใหม่แคบแค่นี้เองอีกไม่นานเราต้องเจอพี่ชัยแน่ครับ” ภูผาปลอบแม่ตัวเอง
ภูผาเช็ดน้ำตาให้บุญศรีอย่างให้กำลังใจ ปรางแก้วมองสองแม่ลูกด้วยความสงสาร บุญศรีมองภูผาแล้วก็รู้สึกมีกำลังใจขึ้น
“แม่จะพยายามคิดให้ได้อย่างที่ลูกบอกนะ” บุญศรีบอก
ทวีปเปิดประตูเข้ามาในห้อง เขามองบุญศรีที่กำลังร้องไห้อย่างน่าสงสาร
“ที่งานเป็นไงบ้าง” ภูผาเอ่ยถาม
“ลูกน้องฉันมาเก็บหลักฐานในงานแล้ว ผู้กำกับให้ฉันรับผิดชอบคดีนี้เพราะฉันอยู่ในงานด้วย ..ให้ไปประชุมพรุ่งนี้เช้า” ทวีปบอก
ภูผาพยักหน้ารับรู้
“ขอบใจวีปมากนะที่ช่วยดูแลภู วีปกับแก้วเหนื่อยมาทั้งวันแล้วกลับไปพักผ่อนเถอะป้าจะอยู่เฝ้าภูเอง” บุญศรีบอก
“คุณป้าไม่ค่อยสบายกลับไปนอนบ้านเถอะครับผมจะเฝ้าไอ้ภูให้เอง” ทวีปพูด
บุญศรีจะคัดค้านแต่ภูผาขัดขึ้น
“แม่นอนบ้านเถอะครับ..เผื่อพี่ชัยกลับบ้านจะได้เจอแม่”
บุญศรีเริ่มเห็นด้วย “จริงของภู”
ทุกคนยิ้มโล่งใจ
“เดี๋ยวแก้วจะแวะเอาเสื้อผ้าแล้วไปนอนเป็นเพื่อนคุณป้านะคะ” ปรางแก้วบอก
ภูผามองปรางแก้วอย่างซึ้งใจ “ขอบใจมากนะแก้ว”
ปรางแก้วยิ้มให้ภูผาอย่างอ่อนโยน
แสงมณีวางห่อผ้าลงบนโต๊ะในบ้านแสงฉายแล้วเปิดออก มีดของคนร้ายอยู่ในห่อผ้า แสงฉายกับแสงมณีนั่งมองอยู่ ดวงใจ ธนา ยศ และเลิศยืนมองอย่างเป็นห่วง
“น้องคิดว่าพี่ชายคงไม่อยากให้ตำรวจรู้ว่าคนที่ทำร้ายเราเป็นนักฆ่าจากเชียงทวายเลยเก็บมาด้วย” แสงมณีบอก
ดวงใจมองมีดอย่างตกใจ “มีดนี่อาบยาพิษทั้งเล่มโดนบาดนิดเดียวถึงตาย..คุณหญิงแตะต้องทำไม ทำไมไม่ให้ยศ เลิศเก็บให้”
“หญิงอยู่ใกล้ที่ ๆ มีดตกมากที่สุดเลยรีบเก็บเพราะกลัวคนในงานจะเก็บไว้ให้ตำรวจน่ะค่ะ”
“น้องคิดถูกแล้วที่เก็บมา” แสงฉายบอก “นักฆ่าจากเชียงทวายมือดีทุกคนตำรวจตามจับไม่ได้หรอก ถึงจับได้นายพลจันทร์เทพหัวหน้ากบฏที่ส่งพวกมันมาก็ต้องใช้เส้นสายช่วยให้พวกมันหลุดคดีจนได้..พี่ส่งคนของพี่ไปจัดการพวกมันเองดีกว่า” แสงฉายพูดกับธนา “รู้ใช่มั้ยว่าต้องทำยังไง”
ธนารับคำ “ครับเจ้า”
ดวงใจร้อนใจ “ไอ้พวกกบฏกล้าส่งคนมาเอาชีวิตคุณหญิงคุณชายถึงที่นี่ ต่อไปนี้คุณหญิง คุณชายห้ามออกจากบ้านนะคะ อยู่แต่ในบ้านจะได้ปลอดภัย”
“ผมกับน้องหญิงเป็นรัชทายาทของเชียงทวาย ถ้าเอาแต่หลบอยู่ในบ้านพวกกบฏจะได้ใจที่พวกเรากลัวมัน..ผมกับน้องหญิงจะใช้ชีวิตให้เป็นปกติพวกมันจะได้รู้ว่าเลือดขัตติยะแห่งเชียงทวายกล้าหาญไม่กลัวแม้แต่ความตาย” แสงฉายพูด
“แต่ดวงใจห่วงคุณชายกับคุณหญิง”
“ผมจะเพิ่มองครักษ์..มีคนคุ้มกันมากขึ้นพวกมันเข้าไม่ถึงตัวผมกับน้องหญิงหรอกครับ”
ดวงใจมองแสงฉายกับแสงมณีอย่างเป็นห่วง
พันทิญาเดินมาเปิดประตูห้องตัวเองอย่างเซ็งๆ วนิดารีบวิ่งมาหาพันทิญาก่อนจะดึงตัวเข้ามากอด
“เห็นคนยิงกันต่อหน้าต่อตาพันคงตกใจมาก..ขวัญเอ๊ยขวัญมานะหลานน้า”
พันทิญากอดวนิดาอย่างจริงใจ “มีแต่คุณน้าเท่านั้นละค่ะที่ห่วงพัน” พันทิญาผละออกจากวนิดาแล้วตัดพ้อ “คุณแม่ปลอบแต่ยัยแพรไม่ปลอบพันสักคำ”
“น้าเคยพูดกับพี่ศุหลายครั้งแล้วว่าให้รักลูกเท่าๆกันแต่พี่ศุก็ไม่เคยฟังน้าเลย..พูดถึงพี่ศุก็พาลเสียอารมณ์เปล่าๆ พูดเรื่องพันดีกว่า..คุณพิพัฒน์ประมูลของให้พันรึเปล่า”
พันทิญาพูดอย่างเซ็งๆ “เทวรูปราคา 3 แสน 5 ค่ะ”
วนิดาตกใจ “เพิ่งคบกันไม่กี่วันซื้อของราคา 3 แสน 5 ให้..ใจป้ำใช้ได้”
พันทิญาเปิดประตูห้องแล้วเดินเข้าไป วนิดาเดินตาม
“แต่พันไม่ได้อยากได้เทวรูปคะ..พันอยากได้กำไลนพเก้าแต่เจ้าอยากได้คุณพิพัฒน์เลยไม่กล้าสู้..ตั้ง 10 ล้านนะคะแต่ที่น่าโมโหคือเจ้ายกให้ยัยแพร” พันทิญาพูดด้วยความอิจฉา
วนิดามองพันทิญาด้วยความสงสาร
“ไม่รู้เจ้าหลงยัยเด็กกะโปโลนั่นเข้าไปได้ยังไง..ไม่เป็นไรนะ..พันสวยกว่ามีเสน่ห์กว่ายัยแพรตั้งเยอะพันทำให้เจ้าหลังพันได้แน่...น้าจะช่วยพันเอง”
พันทิญายิ้มอย่างดีใจ
แพรไหมยืนหน้ากระจกในห้องของเธอ เธอมองสร้อยเพชรสีชมพูอย่าหนักใจแล้วถอดออก ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น ยังไม่ทันที่แพรไหมจะพูดอะไร ประตูก็ถูกเปิดออก
เป็นศุภลักษณ์ถือกล่องกำไลเดินเข้ามา
“แพรไม่ได้เอาลงจากรถ” ศุภลักษณ์บอก
“แพรลืมน่ะค่ะ”
ศุภลักษณ์หนักใจ “ถ้าใส่ใจแพรก็ไม่ลืม”
แพรไหมงอแง “แพรไม่อยากใส่ใจ แพรไม่อยากได้ของจากเจ้าแสงฉาย แพรไม่ชอบเค้า..เมื่อไหร่คุณแม่จะเข้าใจแพรซะทีคะ”
“แม่เข้าใจ..แต่แม่ก็เห็นมานักต่อนักว่าที่รักกันแทบกลืนกินสุดท้ายก็ต้องเลิกกันเพราะความไม่เหมาะสม..แพร..เลิกคิดถึงความรักลมๆแล้งๆแบบในนิยาย..แล้วมองความรักที่มีอยู่จริงของเจ้าแล้วแพรจะมีความสุข..เชื่อแม่นะ”
แพรไหมหน้าหงิกมองศุภลักษณ์ด้วยความหนักใจ
แสงมณีในชุดนอนนอนอยู่บนเตียงของเธอ เธอนึกถึงภูผากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้...
ชายคนที่สองยิงแสงมณี ภูผามองอย่างตกใจแล้วกระโดดพุ่งตัวเอาตัวมาบังแสงมณีไว้ จนภูผากับแสงมณีล้มไปด้วยกันโดยภูผานอนทับอยู่บนตัวแสงมณี แสงมณีใจเต้นแรงเพราะเป็นครั้งแรกที่เธออยู่ในอ้อมแขนของผู้ชายที่ไม่ญาติพี่น้อง ภูผาดันตัวผละออกมา แสงมณีมองหน้าอันหล่อเหลาของภูผาแล้วก็ตกหลุมรัก...
แสงมณีคิดถึงภูผาก็ยิ้มอย่างมีความสุข
“ทำไมอ้อมแขนของคุณถึงทำให้ฉันอบอุ่นได้ขนาดนี้นะ”
ณ บ้านแพรไหม เสียงศุภลักษณ์ตะโกนลั่น “แพร..ยัยแพร ยัยแพร”
ลักษณ์ใส่ชุดนอนซึ่งสวมเสื้อคลุมทับเดินหาแพรไหมอย่างร้อนใจ
“แพรไหม..แพร”
สมใจกับน้อยในชุดนอนวิ่งหน้าตื่นเข้ามาหา ส่วนวนิดากับพันทิญาสวมเสื้อคลุมทับชุดนอนยังไม่เสร็จดีก็วิ่งเข้ามาอย่างตกใจ
“ตะโกนลั่นบ้านเลย..มีอะไรคะ” วนิดาถาม
ศุภลักษณ์ตอบอย่างร้อนใจ “ยัยแพรไม่รู้หายไปไหน”
“คุณแพรหนีไปอีกแล้วเหรอคะ” สมใจถาม
วนิดาหันไปสบตากับพันทิญาแล้วต่างก็ลอบยิ้มสมหวัง
วนิดาแกล้งปลอบ “หาทั่วรึยังคะ..ยัยแพรอาจจะไปเดินเล่นในสวนก็ได้ค่ะ”
“น้อยรดน้ำต้นไม้อยู่ในสวนไม่เห็นคุณแพรนะคะ” น้อยบอก
ศุภลักษณ์วิ่งไปดูหน้าบ้าน
“รถหายไปคันนึงยังแพรต้องหนีไปแล้วแน่ๆ” ศุภลักษณ์ตกใจ
ศุภลักษณ์รีบวิ่งไปกดโทรศัพท์
พันทิญาทักท้วง “ถ้ายัยแพรหนีคงโทรไม่ติดหรอกค่ะ”
“แม่ไม่ได้โทรหายัยแพร” ศุภลักษณ์บอก
ศุภลักษณ์กดโทรศัพท์ต่อสายไปอย่างร้อนใจ
แสงฉายกำลังวิ่งออกกำลังกายอยู่บนลู่วิ่งในห้องออกกำลังกายที่บ้านของเขาได้ยินเสียงมือถือดังขึ้น แสงฉายหยิบมาดูเห็นชื่อศุภลักษณ์ขึ้นหน้าจอ
“สวัสดีครับคุณน้า...” แสงฉายหยุดฟังแล้วยิ้มสบายใจ “ไม่ต้องห่วงนะครับ รับรองเรารู้แน่ว่าคุณแพรอยู่ที่ไหน”
แสงฉายวางโทรศัพท์แล้วยิ้มร้าย
แพรไหมถือแจกันดอกไม้เดินเข้ามาที่เคาเตอร์ของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล
“ฉันมาเยี่ยมคนป่วยชื่อภูผา ไม่ทราบเค้าพักห้องไหนคะ”
เจ้าหน้าที่พูดกับเธอ “สักครู่นะคะ”
เจ้าหน้าที่กดคอมฯ เพื่อหาข้อมูล
“ห้อง..” เจ้าหน้าที่บอกเบอร์ห้อง
“ขอบคุณค่ะ”
แพรไหมเดินออกไป
ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกน้องของแสงฉายกำลังยืนแอบมองแพรไหมอยู่ที่มุมหนึ่งรีบกดโทรศัพท์ “เจ้าครับ..”
แสงฉายเพิ่งอาบน้ำเสร็จใส่เสื้อคลุมมายืนคุยโทรศัพท์
“โรงพยาบาล...” แสงฉายกดตัดสายครุ่นคิดแล้วกดโทรศัพท์ภายในของบ้าน “ดวงใจไปบอกน้องหญิงให้รีบแต่งตัว บอกว่าผมจะพาไปเยี่ยมคุณภูผาที่โรงพยาบาล”
แสงฉายวางโทรศัพท์ครุ่นคิดเรื่องแพรไหมกับภูผาด้วยสีหน้าเครียด
เสียงเคาะประตูห้องคนไข้ดังขึ้น แพรไหมเปิดประตูเข้ามา เธอถือแจกันดอกไม้เดินเข้ามาเห็นว่าเตียงคนไข้ว่างเปล่าและไม่มีใครอยู่ในห้อง
“สงสัยหมอจะส่งไปตรวจร่างกาย”
แพรไหมถอนหายใจอย่างเสียดายแล้วจึงวางแจกันดอกไม้ลงบนโต๊ะ
“ดอกไม้คงทำให้คุณสดชื่นขึ้นบ้าง...ค่อยมาใหม่ละกัน”
แพรไหมจะเดินออกจากห้องแล้วก็ชะงักเมื่อได้ยินเสียงประตูห้องน้ำเปิดออก
“ออกไปไม่ถึงชั่วโมก็กลับมาแล้ว..ทำไมประชุมเสร็จเร็วนักวะ” ภูผาพูด
ภูผาเข็นเสาที่มีน้ำเกลือกับถุงเลือดห้องแขวนอยู่ออกมาจากห้องน้ำ เขาชะงักเมื่อเห็นแพรไหม
ภูผาตีหน้าบึ้งทันที “คุณมาทำไม”
แพรไหมพูดอย่างร่าเริง “ดูว่าคุณอาการเป็นยังไงบ้าง”
“ผมจะเป็นยังไงมันก็เรื่องของผม..ไม่เกี่ยวกับคุณ”
“ไม่เกี่ยวได้ยังไงในเมื่อคุณเคยช่วยฉันคุณเป็นเพื่อนฉัน”
“ผมไม่นับคนโกหกเป็นเพื่อน”
แพรไหมหน้าเจื่อน
ภูผาจะเข็นเสาน้ำเกลือกลับไปที่เตียง
“มือเดียวคุณเข็นไม่สะดวกหรอกค่ะ ฉันช่วยนะคะ” แพรไหมอาสา
“ไม่ต้อง”
ภูผาจะเข็นเสาน้ำเกลือเดินไป แพรไหมไม่ยอม ทำให้ทั้งคู่ยื้อเสาน้ำเกลือกันอย่างไม่มีใครยอมใคร สุดท้ายแพรไหมกระชากเสาน้ำเกลืออย่างแรงจนสายน้ำเกลือตึงทำให้ภูผาเจ็บเพราะเข็มน้ำเกลือที่แขนของเขาถูกดึงจนตึง
“โอ้ย”
แพรไหมตกใจมาก “คุณภูผา..ฉันขอโทษค่ะ ฉันขอโทษ”
ภูผาพูดด้วยความโมโห “ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ..ตั้งแต่เจอกันผมได้ยินคำขอโทษจากคุณไม่รู้กี่ครั้งแล้ว.ทางที่ดีผมว่าคุณเลิกโกหกเลิกทำตัวเป็นเด็กพูดไม่รู้เรื่องดีกว่าคุณจะได้ไม่ต้องทำผิด จะได้ไม่ต้องขอโทษบ่อยๆจนคำนี้ดูไม่มีค่า”
แพรไหมหน้าเจื่อนแล้วมองภูผาอย่างเจ็บปวด ทันใดนั้นบุญศรีกับปรางแก้วเปิดประตูพรวดเข้ามา
“เสียงดังไปถึงข้างนอก..ภูโมโหใครลูก” บุญศรีถาม
บุญศรีกับปรางแก้วเห็นแพรไหมยืนหน้าเจื่อนอยู่ก็มองอย่างสงสาร
แพรไหมไหว้บุญศรี “สวัสดีค่ะ”
“ไหว้พระเถอะ...ฉันไม่เคยเห็นหน้าหนูเลยหนูเป็นเพื่อนภูเหรอจ๊ะ” บุญศรีถาม
แพรไหมได้ที “ใช่ค่ะ..ฉันเป็นเพื่อนคุณภูผาชื่อแพรไหม”
บุญศรีได้ยินชื่อก็ตกใจ “แพรไหม!!”
“คนละคนกับแฟนพี่ชัยครับ” ภูผารีบบอก
“งั้นแพรไหมคนนี้ก็คือคนที่พี่ภูช่วยไว้ที่เชียงใหม่” ปรางแก้วนึกขึ้นได้
ภูผาพยักหน้าให้ปรางแก้วแล้วหันมาดุแพรไหม “นี่ไงคนที่เธอทำให้เค้าเข้าใจผิดแล้วร้องไห้ทั้งคืน”
“คุณปรางแก้ว” แพรไหมเปรยออกมา
แพรไหมกับปรางแก้วออกมาคุยกันที่มุมสวยมุมหนึ่งของโรงพยาบาล
“เพราะความเห็นแก่ตัวของฉันคุณเลยต้องเสียใจ...ขอโทษจริงๆนะคะ” แพรไหมกล่าว
“คืนนั้นคุณกำลังโดนตามล่า...ฉันเข้าใจค่ะว่าความกลัวทำให้คุณจำเป็นต้องโกหก” ปรางแก้วบอก
“คุณเข้าใจอะไรง่ายดีนะคะ ไม่เหมือนคุณภูผาป่านนี้เค้าไม่หายโกรธฉันเลย”
“พี่ภูรักแรงเกลียดแรงต้องใช้เวลาหน่อยกว่าเค้าจะหายโกรธ.ฉันช่วยพูดกับพี่ภูให้คุณอีกแรงนะคะ”
“ขอบคุณมากค่ะ”
แพรไหมกับปรางแก้วยิ้มให้กันอย่างเป็นมิตร
ทันใดนั้นเสียงแสงฉายก็ดังขึ้น “คุณแพร”
แพรไหมกับปรางแก้วหันไปเห็นแสงฉายเดินมากับแสงมณี โดยมีธนาเดินตามอารักขา
และลูกน้องอีกคนถือกระเช้าผลไม้ช่อใหญ่เดินตามมาด้วย
แสงฉายไม่พอใจแต่ก็ทำเป็นพูดอ่อนโยน “ทำไมไม่บอกผมละครับว่าจะมาที่นี่”
“แล้วทำไมฉันต้องบอกเจ้าด้วยละคะ” แพรไหมย้อน
ปรางแก้วที่ไม่รู้เรื่องแพรไหมกับแสงฉาย มองทั้งคู่อย่างงงๆ
“อย่าลืมสิว่าคุณเป็นว่าที่ราชินีของผม คุณจะทำอะไรผมต้องรับรู้” แสงฉายบอก
“ก็แค่ว่าที่..รอให้ฉันเป็นราชินีของเจ้าจริงๆก่อนแล้วค่อยให้ฉันรายงานชีวิตให้ฟังดีมั้ยคะ”
แสงฉายยิ้มร้าย “อีกไม่นานหรอกครับ”
แพรไหมมองแสงฉายอย่างเซ็งๆแล้วพูดกับปรางแก้ว
“เจ้าแสงฉายกับเจ้าแสงมณี ณ เชียงทวายค่ะ” แพรไหมหันไปพูดกับแสงฉายกับแสงมณี “คุณปรางแก้วเพื่อนคุณภูผา”
แสงมณีได้ยินก็ชะงักมองปรางแก้วเพราะคิดว่าเป็นแฟนภูผา
ปรางแก้วยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะ”
แสงฉายกับแสงมณียิ้มให้ปรางแก้วอย่างเป็นมิตร
“คุณภูผาเป็นยังไงบ้างคะ” แสงมณีเอ่ยถาม
“ดีขึ้นค่ะ..ฉันว่าเจ้าเข้าไปคุยกับเจ้าตัวเค้าเองดีกว่า...ฉันจะพาไป” ปรางแก้วบอก
“ฉันคงต้องขอตัวนะคะ” แพรไหมรีบพูด
“คุณควรเข้าไปเยี่ยมคุณภูผากับผม” แสงฉายบอก
“ฉันเยี่ยมเสร็จแล้วค่ะอีกอย่างฉันออกจากบ้านมาตั้งแต่เช้าป่านนี้คุณแม่คงห่วงมาก..ฉันกลับดีกว่า” แพรไหมพูดกับปรางแก้วและแสงมณี “แล้วพบกันใหม่นะคะ”
แพรไหมเดินออกไป
แสงฉายมองตามแพรไหมแล้วยิ้มร้ายก่อนจะพูดออกมาเบาๆ
“คุณมีเวลาอวดดีอีกไม่นานหรอก..แพรไหม....”
อ่านต่อตอนที่ 3 พรุ่งนี้