แววมยุรา ตอนที่ 7
ที่สปาสุดหรู พนักงานชายหนวดเฟิ้มพาเพิ่มพงษ์เดินออกมาจากห้องนวด
“นานๆจะได้เจอของจริงอย่างนี้..สบายตัวไปทั้งวันแน่ๆ” เพิ่มพงษ์เปรย
พนักงานชายถาม “คุณพี่ทำงานอะไรครับเนี่ย เส้นตึงอย่างกับกรรมกร”
“นี่ชมใช่มั้ยน้อง...งานพี่มันเครียดน่ะน้อง” เพิ่มพงษ์บอก
“ผมเชื่อครับพี่ แค่เห็นหน้าพี่ผมก็เครียดแทนแล้ว”
เพิ่มพงษ์ตบไหล่พนักงานชายแรงๆ กึ่งเป็นกันเองกึ่งหมั่นไส้ พนักงานชายเปิดประตูให้เพิ่มพงษ์เดินออกไปสวนกับไลลาที่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ เพิ่มพงษ์เห็นก็รีบหันหลังให้แล้วแอบมองเงาสะท้อนของไลลาผ่านกระจกหน้าร้าน เขาเห็นไลลายืนคุยกับพนักงาน
“จัดเต็มมาเลยค่ะน้อง...พี่ต้องการรีทรีทอย่างแรง วันนี้อะไรต่ออะไรมันเออร์เรอร์ไปหมด” ไลลาพูดกับพนักงาน
พนักงานหญิงเดินนำไลลาเข้าไป เพิ่มพงษ์หันกลับมามองตามไลลาที่เพิ่งเดินเข้าไปแล้วบ่นออกมา
“ทำไมโลกมันแคบอย่างนี้วะ”
เพิ่มพงษ์หันไปมองพนักงานชายที่เริ่มมองเพิ่มพงษ์อย่างแปลกๆ
“มีอะไรหรือเปล่าครับพี่”
“ไม่ต้องห่วงพี่...ไอ้น้อง”
พูดจบเพิ่มพงษ์ก็ยิ้มให้พนักงาน แต่ก็อดมองไปยังทางที่ไลลาเดินเข้าไปไม่ได้
เริงใจเลื่อนแก้วช็อตเอสเปรสโซให้เอกรินทร์ที่นั่งอยู่ที่ร้านกาแฟ เอกรินทร์กระดกช็อตกาแฟดื่มทีเดียวจนหมด เริงใจกับชลธิชามองหน้ากันอย่างงงๆ
“กระดกเป็นช็อตว็อดก้าเลยนะคะ…คุณเอก” เริงใจแซว
“สงสัยเครียดเรื่องงานมาแน่ๆเลย” ชลธิชาเดา
“ไม่มีอะไรหรอกครับ...หงุดหงิดตัวเองนิดหน่อย” เอกรินทร์บอก
“มีอะไรไม่ได้ดังใจหรือเปล่าคะ” ชลธิชาถาม
เริงใจออกปากเตือน “ยัยธิชา..ยุ่งเรื่องคุณเอกมากไปแล้วนะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
“งั้นเล่าให้ฟังได้มั้ยคะว่าเรื่องอะไร”
ชลธิชาตีแขนเริงใจ “ยัยเริง...ว่าแต่ฉันชอบยุ่ง”
เอกรินทร์มองทั้งสองทะเลาะกันตามประสาเพื่อนแล้วก็ยิ้มออกมา
“มาที่นี่ทีไร คุณสองคนทำให้ผมอารมณ์ดีขึ้นทุกทีเลย”
“ที่นี่ ร้านกาแฟนะคะ...ไม่ใช่เวทีโชว์เดี่ยว” เริงใจบอก
“คืนนี้ผมขอเดทได้มั้ยครับ” เอกรินทร์พูด
เริงใจหันมองชลธิชา “ว้าย..ในที่สุดคุณเอกก็เลือกฉัน”
ชลธิชาหน้าเสีย เอกรินทร์สังเกตเห็นจึงหันไปพูดกับเธอ
“คุณธิชาด้วยนะครับ ผมขอควงสองสาวเลย”
เริงใจพูดกับชลธิชา “เห็นว่าเป็นเพื่อนนะถึงยอม”
“ย่ะ..ไม่ใช่เธอชั้นก็ไม่ยอมหรอก” ชลธิชาตอกกลับ
เอกรินทร์ยิ้มเมื่อเห็นสองสาวต่อปากต่อคำกันสนุกๆ
หลินกำลังดูแลแปลงดอกไม้อยู่ สักพักแววก็เดินเข้าไปหา
“เห็นคุณสยุมภูว์บอกว่าคุณแววอยากมาช่วยงานหลินหรือคะ” หลินถาม
“ค่ะ...งานของแววไม่ต้องใช้เวลาทั้งวัน แววก็เลยไม่อยากอยู่ว่างๆน่ะค่ะ”
“คุณแววนี่ขยันจังเลยนะคะ สมแล้วที่คุณสยุมภูว์ไว้ใจ...งั้นเราคุยกันไป ทำงานกันไปนะคะ”
หลินยื่นกรรไกรตัดดอกไม้ให้แวว
“เอาไว้ตัดดอกที่ไม่สมบูรณ์” หลินชี้ให้ดูเป็นตัวอย่าง “นะคะ ต้นหนึ่งเราเอาไว้สามสี่ดอกก็พอ”
แววลองทำ หลินแสดงสีหน้าพอใจ แล้วทั้งสองก็ช่วยกันตัดดอกไม้ไปคุยไป
“คุณจักรเป็นเพื่อนคุณแววที่กรุงเทพหรือคะ” หลินถาม
“ค่ะ เราเป็นเพื่อนบ้านกัน” แววยิ้ม “แต่เพิ่งจะรู้ว่าเขาหน้าเหมือนดาราก็วันนี้”
“ความจริงหลินไม่ได้คิดว่าเขาหน้าเหมือนดาราหรอกนะคะ”
“อย่าบอกนะคะว่าเขาหน้าเหมือนใครที่คุณหลินรู้จักอีก”
“ค่ะ...เขาหน้าเหมือนคนๆหนึ่งที่หลินเจอตอนเด็ก”
แววก้มหน้าก้มตาทำงานแล้วก็ยิ้มพลางพูดเบาๆ “อีตานี่...หน้าโหลจริงๆ”
หลินยิ้มแต่แววไม่ได้สังเกตว่ารอยยิ้มของหลินซ่อนนัยอะไรบางอย่าง
แววเข้ามานั่งพักในบ้านพักของเธอ สยุมภูว์เอาน้ำเย็นๆมาเสิร์ฟให้
“หายงอนแล้วหรือครับ” สยุมภูว์ถาม
“งอนตงตงน่ะเหรอ” แววมองหาตงตง “ฉันไม่ใช่เด็กๆนะยะ ฉันไปช่วยพี่หลินทำงานต่างหาก”
สยุมภูว์งง “ช่วยหลิน”
“ฉันไม่อยากอยู่ว่างๆน่ะก็เลยขอคุณสยุมภูว์ไปช่วยพี่หลินดูแลแปลงดอกไม้”
สยุมภูว์ยิ้ม “มิน่าล่ะ รูปนี้เลยยังไม่เสร็จ”
สยุมภูว์มองรูปทิวทัศน์ที่แวววาดค้างไว้
แววพูดด้วยท่าทางภูมิใจ “งานเพ้นท์น่ะมันต้องอาศัยแรงบันดาลใจนะ”
“รูปนี้เสร็จเมื่อไร อย่าลืมถ่ายรูปส่งไปอวดผมด้วยล่ะ”
“แล้วถ้าฉันอยากได้คำแนะนำเรื่องดูแลต้นไม้ ฉันถ่ายรูปส่งไปให้นายช่วยได้มั้ย” แววถาม
“ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนตลอดเวลาเลยนะ”
“ถ้าอึดอัดใจก็ไม่ต้องช่วยก็ได้นะ”แววบอก
“แล้วถ้าผมแกล้งบอกผิดแล้วต้นไม้คุณตายล่ะ”
“นายไม่ทำอย่างนั้นกับฉันหรอก” แววหันมาถามด้วยสายตาให้แน่ใจ “ใช่ไหม”
สยุมภูว์พยักหน้ารับแล้วนิ่งไป แววรู้สึกเขินที่พูดคำนั้นออกมา ทั้งสองมองตากัน แล้วตงตงก็เดินเข้ามาเห็นสองคนมองตาซึ้งกันอยู่ก็เลยโผล่หน้ามาแทรกกลาง
“พี่สองคนคุยอะไรกันน่ะ”
สยุมภูว์กับแววตอบพร้อมกัน “เปล่า !”
ตงตงยิ้มอย่างรู้ทัน “ตอบไม่ตรงคำถามนะเนี่ย ถามว่าคุยอะไรกัน ไม่ใช่ทำอะไรกัน”
สยุมภูว์กับแววมองหน้าเหมือนรู้กัน สยุมภูว์คว้าตัวตงตงมาฟัด โดยมีแววร่วมผสมโรงด้วยความหมั่นไส้
ณ คอนโดที่พักของสยุมภูว์ สยุมภูว์อึ้งไปเมื่อได้ยินเพิ่มพงษ์พูดถึงไลลา ขณะที่เขากำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อพาแววไปกินข้าว
“คุณเพิ่มพงษ์เจอไลลาด้วยหรือครับ แล้วเขาเห็นคุณเพิ่มพงษ์หรือเปล่า” สยุมภูว์ถาม
“ระดับนี้แล้ว ผมไม่พลาดง่ายๆหรอก..ห่วงแต่คุณสยุมภูว์นี่แหละ ทั้งถูกตามฆ่าแล้วแล้วยังต้องมาระแวงเรื่องผู้หญิงอีก”
“ผมว่าลืมเรื่องแรกไปก่อนเถอะ ตอนนีเรื่องหลังมันอาจจะน่าห่วงยิ่งกว่า” สยุมภูว์บอก
“ทางออกของเรื่องนี้มีทางเดียว ก็คือ...กลับกรุงเทพฯ” เพิ่มพงษ์เสนอ
“ผมก็ว่าอย่างนั้นล่ะ”
เพิ่มพงษ์แปลกใจ “เซอร์ไพร้ซ์อย่างแรง..นึกว่าจะมีอิดออด”
สยุมภูว์รู้สึกหงุดหงิด “ผมขอกลับไปจัดการไอ้ตัวต้นเรื่องก่อนเถอะ”
“นั่นล่ะครับเรื่องเร่งด่วนที่สุดของเรา”
สยุมภูว์ส่ายหน้าอย่างเสียดายแล้วเตรียมตัวจะออกไป เพิ่มพงษ์ยิ้มโหดๆ ก่อนจะเปรยออกมา
“งานนี้มีระบมแน่ๆ...ไอ้แจ๊คเอ๊ย”
พนักงานในร้านอาหารสุดเก๋เดินเข้ามาจุดเทียนที่โต๊ะของเอกรินทร์ที่มีชลธิชากับเริงใจนั่งร่วมโต๊ะ ทำให้บรรยากาศโรแมนติกมากขึ้น เอกรินทร์นั่งตรงข้ามกับชลธิชาและเริงใจที่กำลังพลิกเมนูสั่งอาหารและถกเถียงกันอยู่
“ใจคอเธอจะขัดใจฉัน..แม้แต่ตอนออร์เดอร์อาหารหรือไง” เริงใจถาม
“อ้าว..แล้วเราจะสั่งเหมือนกันทำไมล่ะ สั่งคนละอย่างสิจะได้ลองชิมหลายๆจาน” ชลธิชาบอก
“แล้วทำไมฉันต้องสั่งจานที่ฉันไม่อยากกินด้วยล่ะ” เริงใจย้อนถาม
เอกรินทร์ยิ้ม “ร้านนี้เขามีอาหารซิกเนเจอร์หลายอย่างนะครับ สั่งอย่างอื่นบ้างก็ได้ เดี๋ยวพ่อครัวเขาจะน้อยใจ”
ชลธิชารีบบอก “เห็นมั้ยล่ะ คุณเอกรินทร์ยังเห็นด้วยกับฉันเลย”
“เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ไม่รู้ละ แต่ฉันจะสั่งแต่จานที่ฉันอยากกิน เธอก็สั่งอย่างอื่นแล้วกัน” เริงใจยืนยัน
ชลธิชาเริ่มหมั่นไส้ “แค่นี้ก็มีความสุขแล้วใช่มั้ย”
เริงใจตอบทันที “แน่นอน !”
“อย่าทะเลาะกันเลยนะครับ เดี๋ยวทานข้าวไม่อร่อย” เอกรินทร์ปราม
“ไม่ทะเลาะกันก็ไม่ใช่เราค่ะคุณเอก..ไม่งั้นมื้อนี้จะกร่อย จริงมั้ยธิชา”
“ผิดที่ไหนล่ะ” ชลธิชาตอบทันที
แล้วชลธิชากับเริงใจก็หัวเราะกันอย่างมีความสุข เอกรินทร์เห็นดังนั้นก็รู้สึกโล่งอก
สยุมภูว์ขี่มอร์เตอร์ไซค์จะออกไปหาแวว แต่ระหว่างทางรถมอร์เตอร์ไซค์ของเขาดับไปดื้อๆ ตรงหน้าร้านกาแฟ สยุมภูว์จึงเข็นมอร์เตอร์ไซค์เข้าข้างทางแล้วก็เช็คถังน้ำมัน
“ก็ยังเต็มถังอยู่นี่หว่า”
สยุมภูว์พยายามสตาร์ทมอร์เตอร์ไซค์อีกครั้ง ก่อนจะสังเกตเห็นใครบางคนในร้านที่ทำให้เขาต้องหยุดทำภารกิจทุกอย่าง
สยุมภูว์เห็นนิติภูมิยกแก้วกาแฟขึ้นมาจิบก่อนที่จะดูเวลาแล้วมองไปทั่วร้านเหมือนรอใครบางคน ศักดาเพิ่งเดินเข้าร้านและไปนั่งใกล้ๆกับนิติภูมิ แม้ทั้งสองจะไม่ได้คุยกันตรงๆ แต่สยุมภูว์ก็จับสังเกตคนทั้งสองได้ว่ากำลังคุยกัน
สยุมภูว์ทำหน้าสงสัย เขาหยิบมือถือขึ้นมาแล้วแอบถ่ายวีดีโอของทั้งสองไว้ นิติภูมิกับศักดายังนั่งคุยกันในร้าน
ที่คอนโดของสยุมภูว์ สยุมภูว์กับเพิ่มพงษ์กำลังนั่งดูวีดีโอที่สยุมภูว์บันทึกตอนที่นิติภูมิคุยกับศักดาอยู่
“นิติภูมิเขาน่าจะอยู่ที่หาดใหญ่ไม่ใช่เหรอคุณเพิ่มพงษ์ ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้” สยุมภูว์แปลกใจ
“เป็นไปได้ครับว่าเขาจะจัดการงานที่นั่นเรียบร้อยแล้ว ถ้าให้ผมเดาเขาคงมาที่นี่เพื่อที่จะเจอ...”
สยุมภูว์มองหน้าเพิ่มพงษ์ “เขาจะมาหาแวว”
“แล้วไอ้หน้าโหดนี่ล่ะครับ” เพิ่มพงษ์ก้มดูวีดีโอ “คุยกันซีเรียสเชียวนะ”
“คิดจะทำอะไรกัน”
สยุมภูว์เปรยแล้วก็ครุ่นคิดอย่างหนัก
นิติภูมินัดศักดามาคุยเรื่องสยุมภูว์ที่ร้านกาแฟกลางเมืองเชียงใหม่
“ฉันจะเข้าไปหาแววที่ไร่ก่อน ให้แน่ใจว่ามันคือสยุมภูว์ตัวจริง แล้วเราค่อยมาวางแผนจัดการมันอีกที”
“แล้วเราจะแน่ใจได้ยังไงครับว่านั่นคือสยุมภูว์ตัวจริง ผมว่าคุณนิติธรอาจจะช่วยยืนยันได้” ศักดาเสนอ
นิติภูมิตัดบท “มันเป็นเรื่องของฉันกับไอ้สยุมภูว์ พ่อไม่จำเป็นต้องเข้ามายุ่ง ถึงฉันจะเจอมันตอนเด็ก แต่มันก็ทำให้ฉันจำมันได้ไม่ลืม”
นิติภูมินึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ในวัยเด็ก...
เตียงพยาบาลถูกเข็นออกมาจากห้องพักคนไข้ สยุมภูว์วัย 12 ขวบถูกครอบหน้าด้วยหน้ากากออกซิเจน นิติธรเดินตามออกมาจากห้องพักด้วยสีหน้าร้อนใจ
หมอพูดกับนิติธร “อาการเด็กไม่ดีเลยครับ ต้องรีบผ่าตัดด่วน..แต่ว่า”
นิติธรรีบถาม “อะไรครับหมอ”
“ถ้าพ่อของเด็กไม่เซ็นอนุญาต หมอก็ผ่าตัดให้ไม่ได้” หมอบอก
“ครับ..คุณสีหราชกำลังเดินทางมาครับ อีกไม่กี่นาทีก็ถึง”
“งั้น คุณเร่งให้พ่อเด็กมาด่วนเลยได้ไหมครับ”
นิติธรมองสยุมภูว์ที่นอนนิ่งไม่ไหวติงด้วยสีหน้าสงสารจับใจ แล้วเขาก็พยายามกดโทรศัพท์หาสีหราช
“คุณสีหราช..ทำไมไม่รับโทรศัพท์นะ”
ทันใดนั้น นิติภูมิวัย 12 ขวบก็วิ่งหน้าตื่นมามองหานิติธร พอเห็นว่านิติธรคุยโทรศัพท์อยู่ เขาก็รีบวิ่งตรงไปหา
“พ่อครับ..พ่อ...”
“ภูมิ..พ่อกำลังยุ่ง อย่าเพิ่งกวน” นิติธรปัด
“แม่...ไอออกมาเป็นเลือดครับ”
นิติธรตกใจ “อะไรนะ !”
นิติธรมองที่เตียงสยุมภูว์อย่างจะตัดสินใจ
“แกไปอยู่เป็นเพื่อนแม่ก่อน เดี๋ยวพ่อจะตามหมอไปที่ห้อง” นิติธรบอก
นิติภูมิไม่สนใจ เขาพยายามจะดึงนิติธรไปที่ห้องของแม่ให้ได้
“ไม่..พ่อต้องไปหาแม่”
นิติธรดุ “ภูมิ..เห็นมั้ยว่าตอนนี้คุณสยุมภูว์ไม่มีใครดูแล แกกลับไปอยู่เป็นเพื่อนแม่ เดี๋ยวพ่อจะรีบตามหมอไปดูแม่ที่ห้อง เข้าใจไหม”
“ไม่..พ่อต้องไปที่ห้องตอนนี้” นิติภูมิดื้อดึง
นิติธรพูดด้วยเสียงเด็ดขาด “ภูมิ !!!...แกพูดไม่รู้เรื่องหรือไง”
นิติภูมิชะงักเมื่อโดนดุ บุรุษพยาบาลเข็นเตียงของสยุมภูว์เข้าไปในห้องผ่าตัด นิติธรยังกดโทรศัพท์ติดต่อสิงหราชโดยไม่สนใจนิติภูมิที่กำลังยืนร้องไห้อยู่
เวลาผ่านไป สยุมภูว์ที่มีหน้ากาออกซิเจนครอบอยู่ค่อยๆลืมตาขึ้นมา พอเห็นว่ามีสายตาคู่หนึ่งจับตามองเขาอยู่ สยุมภูว์ก็ยิ้มให้ สายตาคู่นั้นเป็นของนิติภูมิที่มายืนอยู่ข้างเตียงของเขา นิติภูมิสวมชุดสีดำล้วน สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดเมื่อเห็นสยุมภูว์ยิ้มให้
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต สีหน้าของนิติภูมิก็ยังเจ็บแค้นไม่หาย
“ฉันไม่มีทางลืมหน้ามันได้ง่ายๆ วันที่มันฟื้นขึ้นมา..แต่กลับเป็นวันที่แม่จากไป ...ฉันจะต้องได้เห็นวันที่มันตอบแทนชีวิตของแม่ฉันด้วยชีวิตของมัน”
แล้วนิติภูมิก็เดินออกไปจากร้านด้วยท่าทีที่เหมือนไม่รู้จักกับศักดามาก่อน
เอกรินทร์ ชลธิชา และเริงใจเดินออกมาจากร้านอาหาร โดยที่เอกรินทร์หน้าแดงก่ำ
เอกรินทร์พูดเสียงมึนๆ “คืนนี้ผมคงกลับไปนอนฝันดีแน่ๆ ได้มาออกเดทกับคุณสองคนพร้อมๆกัน”
ชลธิชากับเริงใจมองหน้ากัน
“เริง...ฉันว่าเราไปส่งคุณเอกที่บ้านเถอะ ขี่มอร์เตอร์ไซค์กลับไปในสภาพนี้เดี๋ยวได้ลงข้างทางก่อนแน่ๆ” ชลธิชาเสนอ
“คุณเอกคะ..เริงไปส่งคุณที่บ้านดีกว่าไหมคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมกลับเองได้..ดูนะ”
เอกรินทร์เดินเป๋ๆ ไปที่มอร์เตอร์ไซค์คันหนึ่ง เขาพยายามไขกุญแจแต่ก็ไขไม่ได้สักที
“อ้าว..นี่มันไม่ใช่มอร์เตอร์ไซค์ผมนี่” เอกรินทร์พูดออกมา
เอกรินทร์มองหามอร์เตอร์ไซค์ของตัวเอง
“แล้วมอร์เตอร์ไซค์ผมล่ะ”
“อาการอย่างนี้ กว่าจะเจอก็คงเช้ามั้งคะ” เริงใจบอก
“แล้วจะได้กลับบ้านไหมคะเนี่ย คุณเอก” ชลธิชาถามด้วยความเป็นห่วง
เอกรินทร์ทำตาเยิ้มแล้วยิ้มให้ทั้งสองคน
ชลธิชาขับรถมาจอดรถที่หน้าบ้านของเอกรินทร์ ทั้งสองเปิดประตูลงมาจากรถแล้วจะประคองเอกรินทร์ที่หลับอยู่เบาะหลังลงมา แต่แล้วชลธิชาก็ชะงัก
“เดี๋ยว ยัยเริง...แล้วเราจะพาคุณเอกเข้าบ้านยังไงล่ะ กุญแจก็ไม่มี”
“ลองดูในกระเป๋าสิ” เริงใจเสนอ
“ขอโทษนะคะคุณเอก” ชลธิชาหยิบกระเป๋าของเอกรินทร์มาเปิดดู “ไม่มีเลยยัยเริง”
“หรือว่าอยู่ในกระเป๋ากางเกง” เริงใจเดาอีก
“แล้วจะให้ฉันล้วงกระเป๋ากางเกงเหรอ...บ้าน่ายัยเริง”
“ไม่กล้าใช่มั้ย..งั้นชั้นเอง”
เริงใจหาทางที่จะล้วงกระเป๋ากางเกงเอกรินทร์ให้ถนัด แล้วเธอก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าช้าๆ แล้วควานหา ชลธิชารีบหันหลังให้
“โอ๊ะ...เจอแล้วล่ะ” เริงใจพูดขึ้นมา
ชลธิชาถาม “กุญแจเหรอ”
ชลธิชาหันกลับมาดูเห็นเริงใจทำหน้าเคลิ้ม
“ไม่ใช่..อะไรไม่รู้..นิ่มๆ” เริงใจบอก
“เธอนี่..ลามก !” ชลธิชาว่าเพื่อน
“ลามกอะไรยะ”
เริงใจหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาให้ชลธิชาดู
เริงใจทำหน้ารู้ทันเพื่อน “ผ้าเช็ดหน้า..คิดอะไรน่ะ ข้างนี้ไม่มี...งั้นต้องอยู่อีกข้างนึงแน่ๆ เธอจัดการเลย ยัยธิชา”
“จะบ้าเหรอ...ไม่เอาอ่ะ”
ชลธิชาทำหน้ากล้าๆกลัวๆ
เริงใจเร่ง “เร็วสิ...จะได้กลับบ้าน ฉันง่วงจะแย่แล้วเนี่ย”
ชลธิชาหลับตาปี๋แล้วทำท่าเก้ๆกังๆ ก่อนจะล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของเอกรินทร์ เริงใจยืนขำชลธิชา
ประตูบ้านเปิดออก เริงใจกับชลธิชาที่ยังล้วงกระเป๋ากางเกงของเอกรินทร์อยู่หันไปดูก็เห็นแป้งร่ำยืนอยู่ที่หน้าประตู
“เธอทำอะไรคุณเอกน่ะ” แป้งร่ำถาม
“เปล่านะ” ชลธิชาตอบ
แป้งร่ำมองไปที่กระเป๋ากางเกงของเอกรินทร์ก็เห็นชลธิชายังล้วงกระเป๋าเอกรินทร์อยู่ เมื่อชลธิชารู้ตัวก็รีบดึงมือออก
“จะลักหลับคุณเอกเหรอ” แป้งร่ำถาม
“พูดดีๆนะ ฉันหากุญแจเข้าบ้านย่ะ” เริงใจบอก
“หากุญแจแล้วทำไมต้องล้วงกางเกงด้วย...เธอสองคนนี่มันโรคจิตชัดๆ”
“แล้วที่ใส่ชุดนอนมารอผู้ชายหน้าบ้านล่ะ...เรียกอะไรไม่ทราบ” เริงใจสวนกลับ
“ไม่ใช่บ้านฉัน..แต่เพื่อนฉันก็ให้มาดูแลที่นี่...มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“แล้วฉันพาเพื่อนมาส่งที่บ้านเนี่ย มีปัญหาอะไรหรือเปล่า นี่..เธอออกมาก็ดีแล้ว...ฉันจะได้พาคุณเอกไปส่งที่ห้องนอน” เริงใจบอก
“ฉันไม่ให้เธอเข้ามาเหยียบที่นี่หรอก”
“เหรอ..ก็ดี..ชั้นจะได้พาคุณเอกไปนอนโรงแรม..ไปกันเถอะธิชา”
พูดจบเริงใจก็ปิดประตูรถ ชลธิชากับเริงใจขึ้นรถขับออกไป แป้งร่ำร้องกรี้ดด้วยความเจ็บใจ
เช้าวันใหม่ เพิ่มพงษ์นั่งคุยกับสยุมภูว์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ในคอนโดในเชียงใหม่
“ผมส่งวีดีโอที่คุณสยุมภูว์ถ่ายไว้ให้สายของผมดูแล้วนะครับ บ่ายนี้เราน่าจะรู้ว่าไอ้หน้าโหดคนนั้นคือใคร แล้วมันเกี่ยวข้องกับนายนิติภูมิยังไง” เพิ่มพงษ์รายงาน
“แล้วเรื่องที่เราส่งเขาไปทำงานที่หาดใหญ่ล่ะครับ” สยุมภูว์ถาม
“นิติภูมิทำหน้าที่ของเขาได้ดีเกินคาดครับ”
“งั้นก็แปลว่าผมตัดสินใจไม่ผิดใช่มั้ยที่รับเขามาทำงาน”
“เรื่องงานไม่มีปัญหาครับ แต่จะไว้ใจเรื่องอื่นได้หรือเปล่านั่นอีกเรื่อง...คุณสยุมภูว์ก็เห็นกับตัวเองแล้วว่าเขาทำตัวน่าสงสัยแค่ไหน..ถ้าเขาแค่จะมาหาแวว ผมก็พอจะรับมือได้ แต่ถ้ามันเป็นเรื่องอื่น”
สยุมภูว์รีบตัดบท “สายคุณว่ายังไง...รีบโทรบอกผมด้วยก็แล้วกัน”
“ครับ..คุณสยุมภูว์”
สยุมภูว์เดินออกไปจากห้อง เพิ่มพงษ์มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความวิตก
สยุมภูว์กำลังจะเดินออกไปจากคอนโด ในขณะที่ไลลาก็เดินมาพอดี ไลลามองเห็นสยุมภูว์
ไลลายิ้มออก “คุณจักรนี่นา”
ไลลาจะรีบเข้าไปทักแต่ก็ชะงักไว้แล้วคิดแผน เธอยิ้มออกมาแล้วเดินตามไปห่างๆ โดยที่สยุมภูว์ไม่รู้ตัว
สยุมภูว์ขี่มอร์เตอร์ไซค์ผ่านป้ายไร่ทศพลเข้าไป สักพักรถของไลลาก็แล่นตามเข้าไป
แววกำลังถ่ายรูปต้นไม้แล้วจดบันทึกในสมุด เธอวาดรูปต้นไม้เป็นรูปการ์ตูนแล้วระบายสีสดใส ตั้งแต่ต้นไม้แบบมีใบไปจนถึงตอนที่ถูกตัดแต่งกิ่ง เธอวาดรูปด้วยสีหน้ามีความสุข
“ตัดแต่งกิ่ง ใส่ปุ๋ยรอบต้น ไม่มีแมลงรบกวน” แววพูดกับตัวเอง
แววกวาดเศษใบไม้ใต้ต้นสักพักก็รู้สึกว่ามีคนมายืนอยู่ข้างหลัง เธอจึงพูดขึ้น
“นายจักร...วันนี้สายนะยะ”
แววเงยหน้าขึ้นจากการกวาดพื้นแล้วจึงเห็นว่าเป็นนิติภูมิ
“ผิดหวังไหมครับที่ไม่ใช่คนที่คุณอยากเจอ” นิติภูมิถาม
“คุณนิติภูมิมีธุระที่นี่หรือคะ” แววแปลกใจ
“พอดีงานที่หาดใหญ่เสร็จก่อนกำหนดน่ะครับ มีเวลาว่างอีกวันสองวัน ก็เลยมาหาคุณที่นี่”
แววงง “มาหาแวว..แววนึกว่าคุณอยากจะเจอคุณสยุมภูว์เสียอีก”
นิติภูมิเริ่มระแวง “ทำไมคิดอย่างนั้นละครับ”
“ก็ที่เราเคยคุยกันไงคะ แววเห็นคุณนิติภูมิตื่นเต้นที่รู้ว่าคุณสยุมภูว์อยู่ที่นี่...แล้วได้พบหรือยังคะ”
นิติภูมิรีบเปลี่ยนเรื่อง “ผมตื่นเต้นที่ได้เจอคุณแววมากกว่า”
แววนิ่งไปเพราะไม่รู้ว่านิติภูมิรู้สึกยังไงกับเธอกันแน่
ทันใดนั้นเสียงสยุมภูว์ก็ดังขึ้น “ความจริงก็ไม่ได้อยากมาขัดจังหวะหรอกนะ”
แววกับนิติภูมิหันไปเห็นสยุมภูว์ปรากฏตัวขึ้น
“นายนี่เอง..มีเงินซื้อตั๋วตามแววมาถึงนี่เลยเหรอ” นิติภูมิประหลาดใจ
สยุมภูว์ยิ้ม “ก็ถ้าไม่ได้ตั๋วฟรีจากบริษัทคุณผมก็คงไม่ได้มาหรอกครับ ไม่นึกว่ามาแล้วจะได้เจอกันอีกที่นี่...มันช่างบังเอิญเหลือเกิน”
สยุมภูว์มองแววแล้วยิ้มๆ
“เธอคงดีใจมากสิ ได้เจอคนคุ้นเคย” สยุมภูว์ประชด
“คุณนิติภูมิแวะมาเยี่ยม ฉันก็ต้องดีใจสิ นายนี่พูดแปลกๆ” แววพูดกับนิติภูมิ “ให้แววพาไปพบคุณสยุมภูว์ไหมคะ”
“ได้ทำหน้าที่เลขาฯจริงๆเสียที...มาเป็นคนสวนอยู่ตั้งนาน” สยุมภูว์แซว
แววทำหน้าหมั่นไส้สยุมภูว์ ขณะที่ไลลาที่มองหาสยุมภูว์อยู่ก็เดินเข้ามาหา
“คุณจักร !!! มาอยู่ที่นี่เอง” ไลลาทำน้ำเสียงดีใจ
สยุมภูว์หันไปเห็นไลลาก็เหวอไป ไลลาเดินเข้ามาเห็นว่าสยุมภูว์อยู่กับแววก็เลยขยับเข้าไปยืนใกล้ๆสยุมภูว์ให้แววเห็น แววเห็นเช่นนั้นก็ยิ่งหมั่นไส้
แววพูดกับนิติภูมิ “ไปหาคุณสยุมภูว์กันดีกว่านะคะ คงมีคนอยากอยู่กันตามลำพังสองต่อสอง”
“แน่นอนค่ะ..ความจริงไลลาก็ไม่จำเป็นต้องมาตากแดดตากลมที่นี่หรอกนะคะ เพราะเราพักอยู่ที่คอนโดเดียวกัน” ไลลาบอก
แววมองสยุมภูว์อย่างต้องการคำอธิบาย สยุมภูว์อึ้งเพราะเพิ่งรู้เรื่องนี้
“คุณคงเข้าใจอะไรผิดแล้วละครับ” สยุมภูว์บอก
“ผิดอะไรกันคะ ก็ไลลาตามคุณออกมาจากคอนโดเลยนะ”
แววยิ้มเยาะเมื่อเห็นสยุมภูว์จนมุม นิติภูมิมองสยุมภูว์ด้วยความสงสัย
“ผมไม่ได้ฟังอะไรผิดไปใช่ไหมครับ” นิติภูมิเอ่ยถาม
“ไม่ผิดหรอกค่ะ..คุณนิติภูมิ เราอยู่ที่คอนโดเดียวกัน” ไลลาย้ำ
นิติภูมิมองสยุมภูว์ด้วยสายตาจ้องจับผิด
“ถ้าไม่ได้คุณสยุมภูว์จัดหาที่พักให้ ผมก็คงไม่ได้ไปอยู่ที่นั่นหรอกครับ” สยุมภูว์แก้ตัว
“ยังไงก็ช่างเถอะค่ะ..ต่อไปเราคงเจอกันได้ง่ายขึ้น จริงไหมคะ” ไลลาถาม
แววหมั่นไส้มากขึ้น “แววว่าเราไปหาคุณสยุมภูว์กันเถอะค่ะ เสร็จแล้วแววจะได้กลับมาทำงานต่อ”
ไลลาพูดกับสยุมภูว์ “ถ้าคุณไม่มีอะไรต้องทำที่นี่ ไลลาว่าเราไปหาร้านกาแฟน่ารักๆ นั่งทานกาแฟกันไปคุยกันไปดีไหมคะ”
แววหมั่นไส้ไลลา ขณะที่ไลลาพยายามจะก้อร้อก้อติกสยุมภูว์ แล้วแววก็เดินจากไป
นิติภูมิพูดกับสยุมภูว์ “โชคดีจังนะครับ มีแต่คนเอ็นดูสงสาร” นิติภูมิพูดกับไลลา “โชคดีนะครับ”
นิติภูมิเดินตามแววไป สยุมภูว์มองทั้งสองไปอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะหันไปมองไลลาอย่างเบื่อหน่าย
ชุดอาหารเช้าหน้าตาน่ากินถูกนำเข้ามาเสิร์ฟให้เอกรินทร์ที่นั่งอยู่ที่ร้านกาแฟของชลธิชา
“ช่วงนี้ผมคงต้องอาศัยอาหารเช้าที่ร้านคุณธิชาบ่อยๆนะครับ” เอกรินทร์บอก
ชลธิชาตอบรับ “ยินดีค่ะ”
“อย่าเพิ่งเบื่อลูกค้าหน้าเดิมๆอย่างผมซะก่อนนะครับ”
“ธิชาเป็นแม่ค้านะคะ จะเบื่อลูกค้าได้ยังไง”
เสียงเริงใจดังขึ้น “แต่ถ้าคุณเอกอยากเปลี่ยนสเตตัสลูกค้าเป็นอย่างอื่นก็บอกเริงนะคะ”
เริงใจเดินเข้ามานั่งท้าวคางมองเอกรินทร์กินมื้อเช้าแล้วยิ้มให้
“คงไม่ต้องบอกนะคะว่าเริงอยากเป็นอะไร” เริงใจพูดต่อ
ชลธิชาดุ “ยัยเริง !”
“มาทุกวันก็ต้องเป็นลูกค้าวีไอพีไงเธอ คิดอะไรน่ะ” เริงใจบอก
“ชั้นรู้ทันนะ”
“รู้ทันแล้วไงล่ะ”
เอกรินทร์มองทั้งสองคนแล้วยิ้ม “อาหารเช้าผมอร่อยขึ้นเยอะเลยครับที่เห็นคุณสองคนคุยกัน..อยากทำรายการโทรทัศน์เมื่อไรบอกผมนะครับ ผมจะลองเสนอให้หัวหน้าทำรายการให้ เดี๋ยวนี้คนดูเขาชอบเห็นคนมาทะเลาะกันออกทีวี”
“อย่าเลยค่ะ..คุณเอก..สงสารคนดู” เริงใจบอก
“เมื่อเช้านี้คุณเอกคงแปลกใจนะคะที่ตื่นมาแล้วอยู่ที่โรงแรม แทนที่จะอยู่ที่บ้าน” ชลธิชาพูด
“โชคดีครับที่คุณทิ้งโน้ตไว้ ไม่อย่างนั้นผมคงงงกว่านี้...เมื่อคืนนี้ผมเมามากสินะ”
เริงใจหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาส่งคืนให้เอกรินทร์
“ก็จำได้ไหมละคะ ว่าผ้าเช็ดหน้าคุณมาอยู่ที่เริงได้ยังไง”
เอกรินทร์ส่ายหน้าด้วยความร้อนใจ “ผมไม่ได้ทำอะไรน่าเกลียดกับคุณสองคนใช่ไหม”
“ค่ะ..คุณไม่ได้ทำอะไรอย่างนั้นเลย” ชลธิชาบอก
“แล้วผ้าเช็ดหน้าผมไปอยู่กับคุณเริงได้ยังไงล่ะครับ” เอกรินทร์พยายามนึก
“อย่านึกดีกว่านะคะ...เดี๋ยวคดีจะพลิก” เริงใจบอก
เอกรินทร์พยายามนึกต่อแต่ก็นึกไม่ออก ชลธิชากับเริงใจมองหน้ากันแล้วยิ้มๆ
อ่านต่อหน้าที่ 2
แววมยุรา ตอนที่ 7 (ต่อ)
แววเข้ามาที่ห้องทำงานของสยุมภูว์ ซึ่งนำพลกำลังนั่งหันหลังให้แวว
“คุณสยุมภูว์คะ คุณนิติภูมิต้องการพบค่ะ” แววบอก
“เชิญเข้ามาได้เลย คุณแวว” นำพลบอก
นิติภูมิเข้ามานั่งฝั่งตรงกันข้ามด้วยสีหน้าอยากรู้ว่าสยุมภูว์หน้าตาเป็นอย่างไร
“เราน่าจะได้เจอกันนานแล้วนะ” นำพลบอก
นำพลหันหน้ามาหานิติภูมิแต่ก็ยังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออยู่ ทำให้นิติภูมิยังเห็นหน้าเขาไม่ชัดแล้วนำพลก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้นิติภูมิ นิติภูมิจ้องหน้านำพลแล้วพยายามเรียกความทรงจำ
“สวัสดีครับ คุณสยุมภูว์” นิติภูมิทัก
“งานที่หาดใหญ่เป็นยังไงบ้าง” นำพลถาม
“ไม่ต้องห่วงครับ...วางใจได้ แต่ทางโน้นเขาอยากเจอคุณสยุมภูว์มาก คงอยากเจอทายาทคุณสีหราชที่จากเมืองไทยไปเป็นสิบๆปีเต็มทีแล้ว”
แววสะดุดกับคำพูดของนิติภูมิ เธอจึงหันไปมองนิติภูมิด้วยความสงสัยแต่ก็ยังไม่พูดอะไร
สยุมภูว์ยกถุงปุ๋ยสองสามถุงมาวางที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในไร่ทศพล ไลลามองสยุมภูว์แล้วทำหน้างอนๆ
“จะให้ฉันทำจริงๆหรือ ไม่ได้แต่งตัวสวยๆมาทำงานเลอะเทอะๆอย่างนี้นะ...ออกไปเที่ยวกับไลลาดีกว่านะคะ เดี๋ยวค่อยกลับมาทำงานก็ได้”
“ผมสัญญากับแววไว้แล้วครับว่าจะมาช่วยทำงาน ก็อยากทำงานให้เสร็จ” สยุมภูว์บอก
“ผู้หญิงคนนั้นสำคัญกับคุณมากกว่าไลลาหรือคะ”
“ขอโทษนะครับ ผมคิดว่าคุณเป็นลูกค้าของผม...คงไม่จำเป็นที่ผมต้องอธิบายเรื่องนี้ให้คุณฟัง”
“แต่ฉันไม่ได้ตามคุณมาที่นี่ในฐานะลูกค้าร้านต้นไม้ของคุณนะคะ” ไลลาบอก
“ขอบคุณที่ให้เกียรติครับ แต่ผมก็เป็นได้แค่พ่อค้าที่ดีของคุณเท่านี้ล่ะครับ”
สยุมภูว์โกยปุ๋ยจากถุงใส่ต้นไม้โดยไม่สนใจ ไลลาจึงได้แต่ยืนเจ็บใจ
มาลตีเดินออกมาที่สวนหน้าบ้านแล้วเห็นใบไม้หล่นเต็มสนาม
“โรส...นังโรส...” มาลตีตะโกนเรียก
โรสเดินเซ็งๆออกมาหาพร้อมกับเป่าเล็บตัวเองไปด้วย
“อะไรกันคะคุณมาลตี โวยวายแต่เช้าเชียวนะคะ...โรสกำลังลองสีเล็บเพลินๆอยู่เลย”
วัณณรีเดินตามออกมาด้วยท่าเดียวกัน
“เป็นทั้งนายทั้งบ่าวเชียวนะ” มาลตีว่า
“นั่นสิคะคุณแม่ โวยวายอะไรก็ไม่รู้” วัณณรีเซ็ง
“แกรดน้ำทำสวนบ้างหรือเปล่านังโรส ทำไมปล่อยสวนรกอย่างนี้” มาลตีถาม
“คุณมาลตีขา..แค่ทำงานบ้าน โรสคนเดียวก็แทบจะเอาไม่อยู่แล้ว ยังจะใจร้ายให้โรสทำสวนอีก แล้วโรสจะเอาเวลาที่ไหนไปดูแลตัวเองล่ะคะ”
“ดูแลตัวเอง...สภาพอย่างหล่อนน่ะเสียเวลาเปล่า” มาลตีว่า
โรสพูดกับวัณณรี “ดูสิคะคุณวัณ...คุณมาลตีทำร้ายจิตใจโรสอีกแล้ว”
“แม่คะ..โรสเขาก็เป็นผู้หญิงเหมือนเรานะคะ” วัณณรีบอก
“แล้วจะให้แม่ไปทำงานแทนมันใช่ไหม ยัยวัณ...หรือแกอยากจะทำเอง”
“ไม่นะคะ...เดี๋ยวเล็บเสีย” วัณณรีรับปฏิเสธ
วัณณรีเดินหนีเข้าไป โรสจะตามไปด้วย
“แกจะไปไหน นังโรส” มาลตีถาม
“ก็ไปลองสีเล็บสิคะ” โรสบอก
“เอาสีเลือดมั้ย..เดี๋ยวฉันจัดให้...ไม่เปลืองยาทาเล็บด้วย” มาลตีชี้ไปที่สวน “ไปจัดการให้เสร็จเดี๋ยวนี้เลย”
โรสอิดออด “ไหนๆคุณแววก็ไม่อยู่แล้ว ดอกไม้มันจะหุบจะบานก็ไม่มีใครดู โรสว่าเราโละออกดีกว่าค่ะ เสียเวลารดน้ำ เสียค่าปุ๋ยอีกต่างหาก”
“ฉันว่าโละหล่อนออกจะง่ายกว่า..เอามั้ย”
โรสชักสีหน้าแล้วไปทำงานอย่างไม่มีทางเลือก มาลตีมีสีหน้าเหนื่อยหน่ายใจ
วัณณรีนั่งลองสีเล็บใหม่อยู่ในห้องรับแขก มาลตีเดินเข้ามานั่งมองลูกสาว
“แล้วนี่แกยังไม่แต่งตัวออกไปบริษัทอีกเหรอ” มาลตีถาม
“วัณไม่ไปแล้วล่ะแม่” วัณณรีบอก
“แต่แกยังฝึกงานไม่เสร็จนี่นา เดี๋ยวก็เรียนไม่จบหรอก”
“จบช้าหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไรนี่”
“แกถามพี่แววหรือยัง ว่าเขาอยากออกค่าเทอมให้แกหรือเปล่า”
“วัณก็ไม่เห็นจะต้องพึ่งพี่แววเลย คุณคำรพเขาเต็มใจจะออกให้วัณอยู่แล้ว แค่วัณเอ่ยปาก เงินก็มา”
“กับญาติกับเชื้อฉันยังเกรงใจ..แล้วนี่ คุณคำรพเขาไม่ได้เป็นอะไรกับเราแกก็ไม่ควรไปเอ่ยปากขอเงินเขา”
“แล้วที่แม่กับวัณออกไปกับเขาบ่อยๆล่ะ...แม่ลืมไปแล้วหรือไง”
“นั่นเราไม่ได้ขอเขานะ...ยัยวัณ อะไรที่เราไม่ได้ขอ เวลาที่ไม่สนองเขา เราก็ไม่ต้องรู้สึกผิด...แต่เมื่อไรที่แกเป็นฝ่ายขอแกจะปฏิเสธเขาไม่ได้เลย...เข้าใจไหม”
“หืมม์...เรื่องต่อรองนี่ต้องยกให้แม่เลย แต่ยังไงวัณก็ไม่ไปทำงานหรอก เบื่อจะเห็นหน้าพี่เอก”
“นี่แกกำลังต่อรองกับแม่อยู่ใช่ไหม ยัยวัณ”
“ก็ถ้าแม่มีข้อเสนอดีๆ วัณก็ยอมอยู่แล้ว”
มาลตีโกยขวดยาทาเล็บลงถังขยะแล้วถือถังขยะออกไป วัณณรีถึงกับเหวอไป
“แม่...!!! แม่จะทำอะไรน่ะ”
“ก็จะเอาไปทิ้งน่ะสิ”
“นั่นของแบรนด์เนมทั้งนั้นเลยนะแม่ไม่รู้หรือไง”
“รู้สิ..เพราะฉันเป็นคนซื้อให้แกเอง แล้วก็ไม่เสียดายด้วย ถ้าแกไม่แต่งตัวไปฝึกงาน ณ บัดนาวก็อย่าหวังว่าฉันจะซื้อยาทาเล็บใหม่ให้แก”
วัณณรียอมอย่างไม่มีเงื่อนไข เธอเดินงอนๆขึ้นไปแต่งตัว มาลตีมองตามอย่างเหนื่อยหน่ายแล้วมองยาทาเล็บในถังขยะ
“ของแพงๆอย่างนี้ ใครจะทิ้งลง เก็บไว้ใช้เองดีกว่า”
มาลตียิ้มแล้วเก็บยาทาเล็บทั้งหมดขึ้นมาจากถังขยะ
แววออกมายืนรอนิติภูมิที่หน้าห้องทำงานของสยุมภูว์ พอนิติภูมิออกมา แววก็ถามทันที
“ตกลงว่าคุณสยุมภูว์เพิ่งกลับมาเมืองไทยเหรอ”
แววนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต ตอนที่เธอคุยกับตงตงทันที...
“แล้วทำไมเขาไม่ให้พี่ไปอยู่บ้านพนักงานกับแม่ตงตงล่ะ ให้มาอยู่บ้านเขาทำไม หรือว่ากลัวจะเป็นบ้านร้าง..” ตงตงถาม
“บ้านร้างอะไร..คุณสยุมภูว์เขาอยู่ที่นี่ไม่ใช่เหรอ” แววงง
“ปลูกไว้ตั้งนานแล้วก็ไม่เห็นจะเคยมาอยู่เล้ย” ตงตงบอก
ตงตงรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไปเลยหยุดพูด เขาหันมามองหน้าแววแล้วยิ้มเจื่อนๆ แววมองหน้าตงตง ตั้งท่าจะถามต่อ แต่ตงตงเอามือปิดปากตัวเองเหมือนซ่อนความลับไว้...
แววยังยืนอยู่ที่หน้าสำนักงานพร้อมกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เธอนึกถึงคำพูดของนำพลที่เธอเข้าใจว่าคือสยุมภูว์...
“ผมก็อยู่ที่ไร่นี่ตลอดล่ะครับ...ตงตงเขาพูดอะไรให้คุณแววสงสัยหรือเปล่า”
แววครุ่นคิดอย่างหนัก
เสียงนิติภูมิดังขึ้นทำลายความเงียบ “คิดอะไรอยู่หรือครับ”
แววสะดุ้ง พอมองไปก็เห็นว่านิติภูมิยิ้มให้อยู่
แววรีบยิ้มกลบเกลื่อน “เรียบร้อยแล้วใช่ไหมคะ”
“ครับ...” นิติภูมิมองกลับไปในห้อง “คุณสยุมภูว์เขาก็ไม่ได้ดูเป็นคนแปลกๆ อย่างที่คุณแววเล่าให้ผมฟังจริงๆด้วย”
“ค่ะ...แววก็คิดอย่างนั้น...แต่แววก็เพิ่งรู้เหมือนกันนะคะว่าคุณสยุมภูว์เพิ่งจะกลับมาเมืองไทย แววพลาดเรื่องสำคัญเรื่องนี้ของเจ้านายไปได้ยังไงก็ไม่รู้”
“อ๋อ..ครับ เขาไปอยู่เมืองนอกตั้งแต่ยังเด็กแล้ว ผมยังเกือบจะจำหน้าเขาไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ..เขาดูเปลี่ยนไปเยอะเลยครับ”
“งั้นเหรอคะ”
แววยิ้มให้นิติภูมิ แต่สักพักสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นสงสัยขึ้นมา
มีไมโครโฟนติดอยู่ที่ข้างหูของนำพลซึ่งนั่งอยู่ในห้องทำงาน นำพลมองไปที่จอมอร์นิเตอร์แล้วเขาก็เห็นเพิ่มพงษ์ปรากฏในจอ
“ผมไม่ได้ทำอะไรพลาดไปใช่ไหมครับ” นำพลถาม
“คุณทำดีแล้ว” เพิ่มพงษ์ชม
“ขอบคุณครับคุณเพิ่มพงษ์”
“ผมอยากให้คุณจับตาดูนิติภูมิด้วยนะ”
“คุณเพิ่มพงษ์กลัวว่าเขาจะมาวุ่นวายกับแววเกินไปหรือครับ”
“นั่นก็เรื่องหนึ่ง..แต่มันอาจมีเหตุผลอื่นอีกที่เขามาที่นี่”
เพิ่มพงษ์บอกแล้วก็ออฟไลน์ไป นำพลมีสีหน้าโล่งอกที่ภารกิจเสร็จสิ้นไปด้วยดี
ไลลาใช้พลั่วตักปุ๋ยใส่ต้นไม้ต้นใหญ่พร้อมกับบ่นไปด้วย
“เห็นมั้ยว่าไลลายอมทำทุกอย่างที่คุณเรียกร้อง เกิดมาชีวิตนี้ไม่เคยต้องทำสวนพรวนดิน ฉันก็ทำได้เพื่อคุณ...”
“ขอบคุณนะคะที่มาช่วย” แววพูดขึ้น
ไลลาหันไปเห็นแววกับนิติภูมิเดินมาด้วยกันก็รีบทิ้งพลั่วทันที
“ฉันไม่ได้ช่วยเธอ ฉันช่วยคุณจักร” ไลลาบอก
“ก็ได้ค่ะ จักรก็จักร” แววเข้าไปจับต้นไม้ “ได้คนใส่ปุ๋ยระดับวีไอพีอย่างนี้ ต้นไม้ของแววคงจะโตเอาๆแน่ๆ”
ตงตงเข็นรถใส่ปุ๋ยเดินเข้ามา
ไลลามองหาสยุมภูว์ “อ้าว...แล้วคุณจักรล่ะ”
“พี่จักรกลับไปแล้ว บอกให้ตงตงช่วยดูแลพี่สาวคนสวยด้วย” ตงตงบอก
“หืมม์...ทิ้งกันง่ายๆอย่างนี้เนี่ยนะ...คิดว่าจะหลบไลลาพ้นเหรอ”
ไลลาหงุดหงิด นิติภูมิหันไปชวนแวว
“คืนนี้คุณแววว่างไหมครับ ผมจะชวนไปทานข้าวด้วยกัน”
“แววขอตัวดีกว่าค่ะ มีนัดกับหนุ่มอีกคน” แววบอก
นิติภูมิถึงกับเครียด “ใครเหรอครับ”
“ตงตงค่ะ..วันนี้แววจะไปทานข้าวที่บ้านตงตง”
ตงตงหน้าเหวอ แววขยิบตาให้ ตงตงรับมุกรีบพยักหน้าทันที
“ขอบคุณนะคะคุณนิติภูมิที่ชวน” แววบอก
“คุณคงให้โอกาสผมสักครั้งนะครับ” นิติภูมิพูด
“งั้นเราจะอยู่ทำไมล่ะค่ะ ดูเหมือนว่าคนแถวนี้เขาไม่ค่อยจะต้อนรับแขกเท่าไร ไลลาว่าเราไปหาอะไรเพลินๆทำในเมืองดีกว่าค่ะ คุณนิติภูมิ”
พูดจบไลลาก็เดินออกไป นิติภูมิยิ้มให้แววแล้วเดินตามออกไป
แววพูดกับตงตง “วันนี้พี่ไปกินข้าวด้วยนะ”
เสียงสยุมภูว์ดังขึ้น “รู้ไหมว่าคุณแย่งคิวผม”
แววหันไปเห็นสยุมภูว์ “ไหนตงตงบอกว่าคุณกลับไปแล้วไง”
“กลับได้ยังไงล่ะ งานผมยังไม่เสร็จ”
“อ๋อ จะหาเรื่องหนีคุณไลลาล่ะสิ เขาอุตส่าห์ตามคุณมาจากกรุงเทพเชียวนะ ไม่ใจอ่อนเลยเหรอ”
สยุมภูว์ส่งสายตาหวานซึ้งให้แวว “ผมมีคุณอยู่แล้วนี่”
“ฝันไปเถอะย่ะ...คุยกับนายก็เสียเวลาเปล่า ฉันไปดูแปลงดอกไม้กับพี่หลินดีกว่า”
แววเดินสะบัดไปอย่างงอนๆ ตงตงกับสยุมภูว์มองตาม
ดอกไม้ไฟปักอยู่ที่พื้น สยุมภูว์ยื่นไม้ขีดเข้ามาจุดแล้ววิ่งออกไปหาตงตงที่ยืนอุดหูรอดูดอกไม้ไฟที่ถูกจุดจะพุ่งขึ้นไปแตกบนฟ้าด้วยสีหน้ามีความสุข
“พี่จักร..ตงตงขอไปจุดที่บ้านมั่งได้มั้ย” ตงตงถาม
“มันไม่ใช่ของเล่นนะตงตง...พี่จักรเอาพลุมาจุดไล่นก” สยุมภูว์บอก
“ตงตงก็ไม่ได้จะเอาไปจุดเล่นสักหน่อย แม่ใช้แต่ปะทัดจุดไล่นกที่ไร่ข้าว นกมันไม่ตกใจแล้ว”
“เหรอ...” สยุมภูว์คิดสักพักแล้วยื่นพลุให้ส่วนหนึ่ง “พี่แบ่งให้ก็ได้”
สยุมภูว์ส่งพลุที่เหลือให้ตงตง ตงตงยิ้มรับแล้วแอบทำหน้าเจ้าเล่ห์โดยไม่ให้สยุมภูว์เห็น
ตงตงออกอุบาย “พี่จักร ไปหาพี่แววกันเถอะ พี่ต้องตื๊อบ่อยๆ เดี๋ยวพี่แววก็ใจอ่อนเองแหละ”
“รู้ใจกันขนาดนี้ พี่ให้เป็นลูกสมุนมือขวาดีมั้ยเนี่ย”
ตงตงทำท่ากวน “ตงตง..ขอคิดดูก่อนนะ”
ตงตงยักคิ้วให้สยุมภูว์แบบกวนๆ สยุมภูว์อดหมั่นไส้ไม่ได้
เพิ่มพงษ์นัดคุยกับสายในโบสถ์ของวัดแห่งหนึ่ง
“ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเหรอ” เพิ่มพงษ์ถาม
สายอู้คำเมืองตอบ “ครับ ไม่ใช่คนในพื้นที่แน่ๆ ลูกน้องผมไม่รู้จักมันเลย”
เพิ่มพงษ์ยิ่งหนักใจ “ฉันไว้ใจนายได้ใช่ไหม”
“อยู่ต่อหน้าพระ ผมไม่กล้าโกหกหรอกครับ” สายบอก
“ฉันอยากให้นายสะกดรอยตามมันต่อ มีอะไรผิดปกติรีบส่งข่าวฉันด่วน เข้าใจมั้ย”
เพิ่มพงษ์เลื่อนซองสีน้ำตาลให้ สายรับมา
“นี่ก้อนแรกตามที่ตกลงกันไว้..แบ่งไปทำบุญทำทานบ้างนะ”
เพิ่มพงษ์กราบพระแล้วออกไปจากโบสถ์
นำพลยืนคุมคนงานที่ขนกล่องส่งชาพร้อมส่งเข้ามาเรียงในโกดัง เขาเห็นหัวหน้าคนงานเลยเดินเข้าไปคุยด้วย
“กว่าของล็อตนี้จะถึงลูกค้า เราคงจัดการเรื่องไร่ชาทันเวลาสต็อกออร์เดอร์ใหม่นะ” นำพลถาม
“ผมก็ยังไม่อยากรับปากหรอกครับ” หัวหน้าคนงานมองไปรอบๆให้แน่ใจ “คุณนำพล แต่ถ้าพ้นช่วงนี้ไปแล้วเราก็ต้องรออีกเกือบเดือนเลยครับ กว่าจะเก็บชาใหม่ได้”
“อยู่ๆไอ้โรคนี่มันมาระบาดอีกได้ไงก็ไม่รู้...ยอดชาเน่าทั้งไร่อย่างนี้ จะเก็บที่ไหนมาทำสต็อกอีกเนี่ย”
หัวหน้าคนงานเสนอ “ให้ผมไปตามอาฟงมาช่วยดูเรื่องนี้มั้ยครับ”
“ลองดูก็ได้..แต่ผมว่าคุณจะไปเสียเที่ยวน่ะสิ”
นำพลมีสีหน้าหนักใจ
นำพล หัวหน้าคนงาน และคนงานทยอยออกไปจากโกดังแล้วล็อคประตูโกดัง ตงตงแอบย่องมาที่หลังโกดังเหมือนหลบใครมา ตงตงหยิบพลุในย่ามออกมาดู เขามองไปรอบๆ แล้วทำสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง“ตรงนี้แหละ..ปลอดคน..ทางสะดวก” ตงตงพูดกับตัวเอง
ตงตงเอาพลุปักที่พื้น เขาเอาไม้ขีดจ่อที่ชนวนแล้ววิ่งไปดูไกลๆ ลุ้นให้พลุระเบิดแต่เมื่อไฟลนจนถึงตัวพลุ พลุกลับไม่ระเบิด ตงตงจึงทำหน้าผิดหวัง
“ทำไมไม่ระเบิดอ่ะ”
ตงตงล้วงพลุอีกดอก เขาเอาพลุไปปักที่พื้นแล้วทำท่าจะจุดพลุดอกใหม่
แววทำงานอยู่ที่แปลงดอกไม้กับหลิน หลินมองหาตงตงด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“บอกแม่ว่าจะไปฉี่ ทำไมหายไปนานจังนะ” หลินบ่น
“คงจะเถลไถลตามประสาเด็กมั้งคะ” แววบอก
สยุมภูว์เข็นรถปุ๋ยเข้ามาในแปลงดอกไม้ที่หลินกับแววกำลังทำงานอยู่พอดี
“นี่..นายจักร นายไปตามลูกสมุนของนายหน่อยสิ แม่เขาเป็นห่วง” แววบอก
หลินเกรงใจ “คุณแววอย่าไปใช้คุณจักรอย่างนั้นสิคะ”
“ทำไมล่ะพี่หลิน ใช้งานให้หนักๆเลย อยู่แถวนี้ก็เกะกะสายตาเปล่าๆ”
“แต่คุณจักรเขาไม่ใช่...” หลินจะพูดต่อ
สยุมภูว์รีบดักคอ “ไม่เป็นไรครับ ผมเต็มใจทำตามคำสั่งของคุณแววเสมอ”
“เห็นมั้ยคะว่าเขาเต็มใจ” แววยิ้ม
สยุมภูว์เข็นรถผ่านทั้งสองจะตรงออกไปที่หน้าประตู แต่ตงตงเดินสวนเข้ามาพอดี
“หายไปไหนมาล่ะเรา แม่เขาเป็นห่วง” สยุมภูว์ถาม
ตงตงแก้ตัว “ตงตงไปฉี่น่ะสิ”
สยุมภูว์เห็นตงตงมีพิรุธเลยจ้องหน้าตงตงเหมือนจะจับผิด
“ไปฉี่หรือไปทำอะไร”
ตงตงยืนยันเสียงแข็ง “ไปฉี่”
“แน่ใจนะ”
“ไม่โกหกหรอกน่า”
ตงตงยิ้มยืนยัน สยุมภูว์ทำเป็นพยักหน้าเหมือนเชื่อใจ เขามองตามตงตงที่วิ่งตรงไปหาหลิน
“เชื่อดีมั้ยเนี่ย” สยุมภูว์พึมพำ
ที่ร้านอาหาร นิติภูมิกำลังคุยโทรศัพท์กับศักดา
“ฉันจะเข้าไปคุยกับมันอีกครั้งให้แน่ใจจริงๆเสียก่อน แล้วเราค่อยวางแผนจัดการมัน” นิติภูมิบอก
“ครับ.ผมจะรอ”
นิติภูมิเห็นไลลาเดินตรงมาหาจึงรีบตัดบท
“เดี๋ยวเราค่อยคุยกัน”
นิติภูมิวางสาย ศักดาลุกขึ้นจากโต๊ะที่อยู่ไม่ไกลจากโต๊ะที่นิติภูมินั่งอยู่ พนักงานร้านเอาค็อกเทลมาเสิร์ฟให้นิติภูมิ
“ไลลาสั่งซิกเนเจอร์ของที่ร้านมาเผื่อคุณนิติภูมิด้วยนะคะ แต่ไม่รู้ว่าคุณนิติภูมิชอบค็อกเทลแบบเข้มๆหรือเปล่า” ไลลาบอก
นิติภูมิมองที่แก้วค็อกเทล “อะไรครับเนี่ย”
“บลัดดี้ บอมม์ ค่ะ” ไลลาบอก
นิติภูมิยิ้ม “บลัดดี้ บอมบ์...น่าสนใจนะครับ”
นิติภูมิยิ้มให้ไลลาแล้วยกแก้วขึ้นชน ไลลาชนแก้ว แล้วทั้งสองก็ดื่มพร้อมกัน
แจ๊คยืนอยู่หน้าห้องทำงานลับในร้านต้นไม้ เขาเปิดกระเป๋าเครื่องมือช่างออกมาแล้วก็ทำหน้างงๆ
“จะใช้อันไหนดีวะเนี่ย..เต็มไปหมด” แจ๊คมองประตู “สว่านก่อนแล้วกัน”
แจ๊คหยิบสว่านออกมาแล้วโยงสายเสียบปลั๊กก่อนจะเปิดสวิทช์ สว่านทำงาน แจ๊คกำลังจะเจาะประตูแต่เสียงของเพิ่มพงษ์ดังขึ้นก่อน
“ไอ้แจ๊ค รับสายโว้ย”
แจ๊คหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับ
“แกจะทำอะไรของแก” เพิ่มพงษ์ถาม
แจ๊คตกใจแล้วมองไปรอบๆ “เปล่า..”
“ปฏิเสธตั้งแต่คำถามแรก...แกต้องแอบทำอะไรลึกลับซับซ้อนอยู่แน่ๆ…ใช่ไหม”
แจ๊คโล่งอกและเริ่มกวนประสาท “ใช่..แจ๊คกำลังจะทลายห้องลับของน้า…เชื่อป่ะล่ะ”
“เชื่อก็โง่แล้วเว้ย”
แจ๊คขำเบาๆกับตัวเอง “ด่าตัวเองก็เป็น”
“เอาดิ..เปิดเลย..เปิดให้ได้นะ...จะรีบกลับไปกราบแทบเท้าพ่อเจ้าประคุณเลยเนี่ย”
“น้าพูดแล้วนะ...ห้ามคืนคำนะ”
“ก็ลองดู..เปิดเข้าไปมั่วๆเดี๋ยวตัวอะไรมันโผล่มากัดคอ ข้าไม่รับผิดชอบนะเว้ย”
“ไม่ต้องมาขู่แจ๊คหรอก”
“อยากลองก็เอาดิ...แค่นี้นะเว้ย...ระวังศพไม่สวยนะเอ็ง”
เพิ่มพงษ์ตัดสายไป แจ๊คเริ่มลังเล
คนงานคนหนึ่งขับรถของไร่ทศพลมาจอดที่หน้าโกดัง เมื่อเปิดประตูรถออกมาเขาก็ทำจมูกฟุดฟิด แล้วเดินตามหาที่มาของกลิ่นจนถึงด้านหลังโกดังแล้วก็ต้องตะลึงไป
คนงานตกใจสุดขีด “เวรแล้วไง…!!”
กลุ่มควันลอยออกมาจากโกดัง คนงานรีบวิ่งออกไปตามคนมาช่วยดับไฟโดยไม่ได้สังเกตเห็นเศษที่เหลือของพลุที่ตงตงจุดเล่นหล่นกระจายอยู่ในบริเวณนั้น
อ่านต่อหน้าที่ 3
แววมยุรา ตอนที่ 7 (ต่อ)
แวว หลิน และสยุมภูว์กำลังช่วยกันเคลียร์งานที่แปลงดอกไม้ สักพักได้ยินเสียงสัญญาณเตือนภัยดังขึ้น หลินวางมือจากการเก็บอุปกรณ์แล้วมองหน้าแวว
หลินตกใจ “เกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
คนงานคนหนึ่งวิ่งมาจากข้างนอกแล้วตรงเข้ามาบอกทุกคนที่กำลังทำงานอยู่
“ไฟไหม้ โกดัง...ออกไปช่วยกันดับไฟเร็ว!”
หลิน แวว และสยุมภูว์วางมือจากงานทันที
“ตงตง รอแม่อยู่ที่นี่นะลูก อย่าไปไหนนะ” หลินกำชับ
ตงตงพยักหน้ารับ หลิน แวว และสยุมภูว์รีบตามคนงานเก็บดอกไม้ออกไปทันที
หน้าโกดังเต็มไปด้วยความโกลาหล คนงานช่วยกันไลน์สายดับเพลิงเข้าไปดับไฟในโกดัง ควันไฟยังกระจายเต็มพื้นที่ คนงานบางส่วนช่วยกันลำเลียงกล่องชาออกมา แวว หลิน เข้าไปช่วย นำพลเห็นสยุมภูว์ สยุมภูว์พยักหน้าส่งสัญญาณว่าอยากคุยกับนำพล สยุมภูว์เดินหลบแววกับหลินออกมา นำพลเดินตามสยุมภูว์ไป นำพลมองซ้ายมองขวาก่อนจะเข้าไปหาสยุมภูว์
“ไม่มีใครเป็นอะไรใช่มั้ย” สยุมภูว์ถาม
“ไม่มีครับ..คุณสยุมภูว์” นำพลตอบ
“รู้หรือยังว่าเกิดจากอะไร”
นำพลยื่นเศษพลุที่เก็บได้จากด้านหลังโกดังให้สยุมภูว์ดู สยุมภูว์ถึงกับอึ้งไป
“คนงานเราเจอเศษพลุที่ด้านหลังโกดังครับ...น่าจะเพิ่งถูกจุดใหม่ๆ” นำพลรายงาน
“นี่..คุณจะบอกว่าไฟไหม้โกดังเพราะพลุนี่เหรอ”
“แค่สันนิษฐานน่ะครับ”
สยุมภูว์มองเศษพลุนั้น “งั้นก็ขอให้ไม่ใช่อย่างที่คุณสันนิษฐานแล้วกัน” สยุมภูว์รีบเปลี่ยนเรื่อง “ของเราเสียหายมากหรือเปล่า”
“เรื่องนี้ล่ะครับที่ผมกังวล ขอผมเช็คอีกครั้งแล้วผมจะรีบรายงานให้ทราบครับ”
สยุมภูว์พยักหน้ารับแล้วเดินแยกออกไป
ตงตงมองไปรอบๆ ด้านนอกแปลงดอกไม้ เมื่อเห็นว่าปลอดคนเขาก็ยิ้มออก ตงตงหยิบพลุออกมาวางที่พื้นแล้วเตรียมจะจุดไม้ขีดโดยไม่เห็นว่าสยุมภูว์เดินมาข้างหลัง ตงตงจ่อไม้ขีดกับชนวนแล้ววิ่งถอยหลังมารอดูผลงาน พลุระเบิดดังปังแต่ไม่แรงมาก
“ไม่เห็นแรงเหมือนที่โกดังเลย..เอาใหม่ดีกว่า” ตงตงพูดกับตัวเอง
ตงตงควานหาย่ามที่บรรจุพลุแต่ไม่เจอเลยหันมาดู ทำให้เห็นว่าสยุมภูว์ถือย่ามอยู่ ตงตงหน้าเจื่อน
“เผ่นละเว้ย !”
ตงตงวิ่งหนี สยุมภูว์วิ่งไล่ตาม
“ตงตง..หยุดเดี๋ยวนี้...มาคุยกับพี่ก่อน”
“ไม่เอาอ่ะ..เดี๋ยวพี่จักรเตะตงตง”
“มาคุยกันดีๆ...พี่ไม่ทำอะไรตงตงหรอก”
“ไม่เชื่ออ่ะ..ขอหนีก่อนนะ”
สยุมภูว์ยิ่งหงุดหงิด เขาเร่งฝีเท้าตามตงตงไปจนทันแล้วจับตงตงที่ดิ้นพล่านจะหนีไปให้ได้มากอดไว้ไม่ให้หนีไปอีก
“บอกพี่มาเดี๋ยวนี้ว่าเราเอาพลุไปเล่นที่โกดังใช่มั้ย”
ตงตงยืนยัน “ไม่บอก”
แววกับหลินเดินมาที่แปลงดอกไม้ ทั้งสองเห็นตงตงกับสยุมภูว์ก็คิดว่ากำลังล้อเล่นกันอยู่
“พี่หลินดูสิคะ..เราไปช่วยกันขนของเหนื่อยจะแย่ ตานั่นแอบมาเล่นกับตงตงอยู่ได้” แววบอก
หลินเพ่งดู “เอ..พี่ว่าคงไม่ได้เล่นกันมั้งค่ะ”
หลินรีบเข้าไปหาสยุมภูว์กับตงตง แววเดินตามไป
สยุมภูว์แกล้งบีบปากตงตงเพื่อให้คายความลับออกมา
“อย่าให้พี่ต้องบังคับนะ บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าเราไปเล่นตอนไหน”
ตงตงพูดออกมาแต่ไม่ชัด “ตอนไหนก็ไม่บอกหรอก”
“ถ้าไม่บอก..พี่จักรจะเรียกตำรวจมาจับว่าตงตงทำไฟไหม้โกดัง”
หลินโผล่เข้ามาได้ยินพอดี
“คุณจักรว่าอะไรนะคะ”
สยุมภูว์เห็นหลินกับแววเลยหยุดบีบปากตงตง
“ตงตงเป็นคนทำโกดังไฟไหม้เหรอคะ” หลินถาม
สยุมภูว์กำลังจะอธิบายแต่ก็ไม่ทัน เพราะหลินเข้ามาดึงตงตงออกมาแล้วจ้องหน้าตงตงด้วยความโกรธจัด
“ตงตงเปล่านะแม่”
หลินดุ “อย่าโกหกแม่นะ”
“อย่าเพิ่งดุตงตงนะพีหลิน...ผมแค่อยากรู้ว่าตงตงอยู่ที่นั่นตอนไหน”
หลินพูดกับตงตง “บอกคุณจักรไป”
ตงตงกลัวเลยปิดปากเงียบก็ยิ่งทำให้หลินโมโหจะเข้าไปตีลูก สยุมภูว์เข้าไปห้าม ตงตงไปหลบหลังสยุมภูว์แล้วร้องไห้สะอึกสะอื้น
“ค่อยๆพูดเถอะค่ะ พี่หลิน” แววบอก
หลินร้องไห้เสียใจที่ตงตงสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นอีก แววลูบหลังลูบไหล่ปลอบใจหลิน สยุมภูว์ทรุดตัวลงนั่งคุยกับตงตงแล้วช่วยเช็ดน้ำตา
สยุมภูว์ปลอบตงตง “ไม่ร้องไห้นะ..ตงตง เรามาคุยกันดีๆนะ..บอกพี่สยุมภูว์ได้มั้ยว่าเราไปเล่นพลุตอนไหน”
ตงตงยังสะอึกสะอื้นไม่หาย สยุมภูว์ดึงตงตงเข้ามากอดปลอบ ทำให้แววเห็นด้านอ่อนโยนของสยุมภูว์ที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน
ณ สำนักงานไร่ทศพล นำพลนั่งทำหน้ายิ้มกริ่มหลังจากอธิบายถึงที่มาของไฟไหม้โกดัง หลินกับแววงงกับสิ่งที่ได้ยิน
“อะไรนะคะ..ไฟช็อตเหรอคะ คุณสยุมภูว์” แววแปลกใจ
“ใช่ แวว ตอนแรกเราก็คิดว่าเกิดจากพลุ แต่ตำรวจพิสูจน์หลักฐานเขาดูที่เกิดเหตุเทียบกับเวลาที่ตงตงมาเล่นพลุแล้วก็เลยตัดประเด็นนั้นออกไป” นำพลบอก
หลินถอนใจ “เฮ้อ...โล่งอก”
สยุมภูว์พูดกับหลิน “ถ้าอย่างนั้นเราต้องไปปรับความเข้าใจกับตงตงกันยกใหญ่เลยล่ะครับ”
“ป่านนี้คงน้อยใจแย่แล้วเนี่ย” แววบอก
แววกับหลินมองหน้ากันด้วยความหนักใจ
ตงตงนั่งซึมอยู่ที่หน้าบ้าน สยุมภูว์เข้ามานั่งใกล้ๆแล้วยื่นไฟเย็นให้ตงตง ตงตงมองสยุมภูว์ด้วยท่าทางที่ยังงอนๆ และยังไม่ยอมรับของที่สยุมภูว์ยื่นให้
“ไม่อยากเล่นก็ตามใจ พี่จักรเล่นคนเดียวก็ได้”
สยุมภูว์จุดไฟเย็นแล้วแกว่งไปแกว่งมา ตงตงมองด้วยความสนใจ สยุมภูว์เห็นก็ยื่นให้ ตงตงรับไปถือไว้
“หายโกรธพี่จักรหรือยัง” สยุมภูว์ถาม
ตงตงพยักหน้าน้อยๆ สยุมภูว์ยิ้มเพราะรู้ว่าตงตงไม่หายโกรธ
“ยิ้มให้พี่ดูหน่อย..จะได้รู้ว่าหายโกรธจริงๆ”
ตงตงแสยะยิ้มให้
“แล้วตงตงจะขอโทษพี่ยังไง ให้พี่หายโกรธ” สยุมภูว์ถามกลับ
ตงตงโวยวาย “ตงตงไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”
“แน่ใจนะ...ว่าไม่ผิด..ใครนะบอกพี่ว่าจะเอาพลุไปจุดไล่นก”
ตงตงหันไปมองหน้าสยุมภูว์
“ก็ได้..ตงตงยอมรับผิด”สยุมภูว์ส่ายหน้าแล้วยิ้ม “ให้ตงตงทำไง”
“รับปากกับพี่ก่อนว่าจะไม่โกหกใครอีก”
“ไม่ได้อยากโกหกสักหน่อย”ตงตงจ๋อย “ตงตงแค่อยากเล่นพลุ”
“นี่ก็อีกเรื่องหนึ่ง ตงตงรู้มั้ยว่าเด็กๆเล่นพลุคนเดียว..อันตรายแค่ไหน ถ้าตงตงนิ้วขาดขึ้นมาพี่จักรไม่รู้ว่าจะทำใช้แม่ตงตงยังไง”
ตงตงตกใจ “นิ้วขาดเลยเหรอ...ไม่เห็นรู้เลย”
“ก็ใช่สิ..พลุไม่ใช่ของเล่นของเด็กๆ จำไว้นะตงตง”
“ครับ..พี่จักร”
สยุมภูว์ยิ้มแล้วลูบหัวตงตงอย่างเข้าใจ เขาจุดไฟเย็นยื่นให้ตงตงอันหนึ่ง ตงตงรับมา
“เล่นอันเล็กๆ ไปก่อนนะ” สยุมภูว์บอก
สยุมภูว์จุดไฟเย็นของตัวเอง หลินกับแววจุดไฟเย็นเดินเข้ามาหาตงตง
“แม่ขอเล่นด้วยนะ”
“พี่แววด้วย”
หลินกับแววเดินเข้าไปเล่นกับตงตง สยุมภูว์แอบดูแวว แววหันมายิ้มให้สยุมภูว์
สยุมภูว์จอดมอร์เตอร์ไซค์ที่หน้าบ้านพักของแวว ทั้งสองยืนคุยกันอยู่ที่หน้าบ้าน
“เรื่องแม่-ลูกจบลงด้วยดี แต่ฉันว่าคุณสยุมภูว์คงจะปวดหัวเรื่องสต็อกชาแน่ๆ” แววพูด
สยุมภูว์เผลอหงุดหงิดในฐานะเจ้าของไร่ “แน่นอน...ของเสียหายขนาดนี้ ไม่ปวดหัวได้ไง”
แววมองสยุมภูว์ด้วยสีหน้างงๆ สยุมภูว์รู้ตัวว่าทำให้แววสงสัย
“ใครมาเห็นสภาพของในโกดังก็คงปวดหัวทั้งนั้นล่ะ...เสียหายขนาดนี้” สยุมภูว์แก้ตัว
“ฉันยังไม่ได้ว่าอะไรสักคำ..นายร้อนตัวเรื่องอะไร”
สยุมภูว์ตอบเสียงสูง “ไม่มี้”
แววยังสงสัย “ไม่มี”
“แล้วคุณจับผิดผมเรื่องอะไรล่ะ...ผมอยากรู้”
“ใครบอกว่าจับผิด”
“ถ้าคุณสงสัยอะไรก็ว่ามาตรงๆดีกว่าน่า”
แววยิ้ม “ฉันเก็บไว้สงสัยคนเดียวดีกว่า..ขอบใจนะที่มาส่ง”
แววเดินเข้าบ้านไป สยุมภูว์ขี่มอร์เตอร์ไซค์ออกไป แววมองตาม
“ขอให้ฉันคิดมากไปเองเถอะ” แววพูดกับตัวเอง
สยุมภูว์มีสีหน้าเป็นกังวล เขามองที่กระจกมองข้างและเห็นว่าแววยังยืนอยู่หน้าบ้านพักพร้อมกับมองมาทางเขา
“เกือบไปแล้วเรา..!” สยุมภูว์พูดกับตัวเอง
สยุมภูว์คุยกับเพิ่มพงษ์ที่คอนโดที่เขาพัก
“สายของผมยังสืบเรื่องไอ้หน้าโหดนั่นไม่ได้เลยครับ คุณสยุมภูว์” เพิ่มพงษ์รายงาน
“เราก็เลยยังไม่รู้ว่ามันกำลังทำอะไรกันอยู่...แต่แน่ๆมีคนอยากรู้เรื่องของเรานะคุณเพิ่มพงษ์”
เพิ่มพงษ์ร้อนใจ “ใครครับที่อยากรู้เรื่องคุณสยุมภูว์”
สยุมภูว์ยิ้ม “ก็คนที่อยู่ใกล้ตัวเราที่สุดไง”
“คุณหมายถึง คุณแวว”
สยุมภูว์พยักหน้า “แต่คุณเพิ่มพงษ์ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้หรอกนะ ผมว่ามันไม่น่าจะเกี่ยวกับเรื่องที่เราตามกันอยู่หรอก เพราะตอนนี้มันมีเรื่องน่ากังวลกว่านั้น”
“เรื่องอะไรครับ คุณสยุมภูว์”
เพิ่มพงษ์มีสีหน้าสงสัย แต่สยุมภูว์มีสีหน้าเหนื่อยใจ
สยุมภูว์เข้ามาคุยกับนำพลที่ห้องทำงานของเขาในไร่ทศพลตั้งแต่เช้า
“ของในสต็อกที่เราเตรียมส่งลูกค้าเสียหายเกือบทั้งหมดเลยครับ คุณสยุมภูว์” นำพลรายงาน
“แล้วชาที่ยังไม่ได้เก็บล่ะ พอจะทำส่งลูกค้าได้หรือเปล่า” สยุมภูว์ถาม
“ถ้าเราแก้ปัญหาโรคยอดเน่าได้ในหนึ่งอาทิตย์ แล้วเพิ่มคนงานเก็บชาอีกเท่าตัว ก็ไม่น่าจะมีปัญหาครับ” นำพลบอก
“งั้นเราก็เริ่มทำตั้งแต่วันนี้ได้สิ”
“ผมพร้อมจะเริ่มอยู่แล้วครับ แต่ว่าโรคระบาดคราวนี้มันไม่ได้จัดการง่ายๆเหมือนทุกครั้ง...ตอนนี้ผมให้คนงานไปปรึกษาอาฟง หัวหน้าคนงานเก่าของเราดูว่าจะมีทางช่วยอะไรเราได้หรือเปล่า ก็คงได้คำตอบวันนี้ล่ะครับ”
“อาฟงเหรอ” สยุมภูว์นิ่งคิด
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
นำพลยิ้ม “สงสัยคำตอบจะมาเร็วกว่าที่คิดนะครับ”
ประตูเปิดออก แววเดินเข้ามา
นำพลตกใจ “คุณแวว..”
นำพลมองไปทางสยุมภูว์ สยุมภูว์รู้ตัวว่าต้องเปลี่ยนตัวเองเป็นจักรทันที สยุมภูว์จะหันไปทักทายแววแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นนิติภูมิเข้ามาในห้องด้วย
“คุณนิติภูมิทราบข่าวเรื่องที่โกดังถูกไฟไหม้น่ะค่ะ เลยอยากมาคุยกับคุณสยุมภูว์ด้วยตัวเอง” แววบอก
นำพลรับคำ “อ๋อ..ครับ..”
“งั้นผมขอตัวนะครับ” สยุมภูว์พูดกับนำพล “คุณสยุมภูว์”
นำพลพยักหน้า สยุมภูว์เดินออกไปสวนกับคนงานที่เพิ่งเดินเข้ามา เขามองสยุมภูว์เหมือนจะเคารพ แต่สยุมภูว์ทำหน้าเข้มเป็นเชิงสั่งไม่ให้คนงานพูดอะไร คนงานจึงเดินตรงไปหานำพล
“คุณสยุมภูว์ครับ ผมคุยกับอาฟงแล้ว” คนงานรายงานกับนำพล
นำพลถาม “เขาว่าไงบ้างล่ะ”
“อาฟงจะมาช่วยเราครับ..ถ้าคุณสยุมภูว์ยอมไปขออาฟงด้วยตัวเองภายในเย็นวันนี้เท่านั้นครับ”
นำพลอึ้งไป เขาหันไปมองสยุมภูว์ที่ยืนอยู่ที่ประตู สยุมภูว์เปิดประตูออกไปทันทีโดยไม่ให้ผิดสังเกต นิติภูมิมองหน้านำพลเหมือนต้องการจับผิด
หลินที่ทำงานอยู่ที่แปลงดอกไม้ฟังเรื่องจากแววแล้วก็มีสีหน้าหนักใจ
“ถ้าอย่างนั้น...คุณสยุมภูว์ก็คงหนักใจหน่อยล่ะค่ะ” หลินบอก
แววกับนิติภูมิมีสีหน้าสงสัย
“ทำไมล่ะ หลิน” นิติภูมิถาม
“นั่นสิคะ..แค่ไปหาอาฟง ไม่เห็นจะยากตรงไหน” แววสงสัย
“อาฟงเคยมีเรื่องเข้าใจผิดกับคุณสีหราชน่ะค่ะ ก็เลยลาออกจากที่นี่ไปแล้วก็ไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีกเลย” หลินอธิบาย
“เรื่องมันก็นานมาแล้วนะคะ” แววบอก
“แต่ท่าทางอาฟงจะไม่ลืมง่ายๆสิคะคุณแวว ไม่อย่างนั้นคงไม่เรียกร้องให้คุณสยุมภูว์ไปง้อถึงที่บ้าน”
แววเริ่มเข้าใจ “อย่างนี้นี่เอง”
“ถ้าผมเป็นคุณสยุมภูว์ ผมคงต้องยอมแลกล่ะครับ..แค่ยอมเสียหน้าสักหน่อยดีกว่าจะปล่อยให้ไร่ชาและทศพลกรุ๊ปเสียหายมากไปกว่านี้” นิติภูมิบอก
“ก็ไม่รู้สิคะ..คุณนิติภูมิ หลินก็เดาใจคุณสยุมภูว์ไม่ออกเหมือนกัน”
เพิ่มพงษ์คุยโทรศัพท์กับสยุมภูว์ด้วยสีหน้าเครียดอยู่ในคอนโด
“คุณสยุมภูว์อย่าเพิ่งไปเลยนะครับ ระวังตัวไว้ก่อนดีกว่า” เพิ่มพงษ์เสนอ
“แล้วจะให้คุณนำพลไปหรือไง อาฟงรู้อยู่แล้วว่าคุณนำพลเป็นใคร อีกอย่างนะ..พวกนั้นมันไม่รู้ว่าผมคือสยุมภูว์”
“ถึงมันจะไม่รู้ ผมว่าคุณสยุมภูว์ก็ไม่ควรเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงนะครับ..ผมขอไปคุยกับอาฟงเองดีกว่า” เพิ่มพงษ์อาสา
“ผมว่าอาฟงยื่นคำขาดมาแล้ว คุณเพิ่มพงษ์ไปก็เสียเวลาเปล่าๆ...แล้วที่เขายื่นข้อเสนอนี้มา มันแปลว่าเขาคงมั่นใจมากว่าช่วยเราได้จริง”
“ถ้ามันเกิดเหตุสุดวิสัยขึ้นมาล่ะครับ..คุณสยุมภูว์คิดว่ามันคุ้มหรือครับที่จะแลกชีวิตตัวเองกับไร่ชาที่เราพร้อมจะทำขึ้นมาใหม่เมื่อไรก็ได้”
สยุมภูว์นิ่งไปโดยยังไม่ได้ให้คำตอบเพิ่มพงษ์
ศักดาขี่มอร์เตอร์ไซค์มาจอดบนถนนเปลี่ยวสายหนึ่งแล้วจึงเดินไปหานิติภูมิที่ยืนรออยู่
“คุณนิติภูมิจะให้ผมตามไปจัดการมันเลยหรือเปล่าครับ” ศักดาถาม
“ยังไม่ใช่ตอนนี้..สยุมภูว์มันต้องรู้ดีว่าอาฟงเป็นคนเก่าคนแก่ที่รู้จักมันดี ถ้ามันไปหาอาฟง ก็เท่ากับว่ามันยอมเปิดเผยตัวเอง”
“แต่ถ้าไม่ไป...”
“เราก็แน่ใจได้ว่า สยุมภูว์ที่อยู่ที่ไร่นั่นแหละคือไอ้สยุมภูว์ เป้าหมายของเรา”
นิติภูมิยิ้มกริ่มกับความคิดของตัวเอง
นำพลกำลังคุยโทรศัพท์กับเพิ่มพงษ์อยู่ในห้องทำงาน
นำพลพูดด้วยสีหน้าโล่งอก “ขอบคุณมากเลยครับคุณเพิ่มพงษ์ ถ้าไม่ได้คุณเพิ่มพงษ์ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน...อาฟงต้องคิดว่าผมเสียสติที่อ้างตัวเองเป็นคุณสยุมภูว์ แล้วก็คงไม่ยอมคุยกับผมแน่ๆ”
เสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะ แววเดินเข้ามา
“แค่นี้ก่อนนะครับ..เลขาผมมาหา” นำพลวางสายแล้วพูดกับแวว “มีอะไรหรือแวว”
“คือแววทราบจากพี่หลินว่าคุณสยุมภูว์อาจจะอึดอัดใจที่จะไปหาอาฟงเย็นนี้ แววเลยอยากจะขออนุญาตเป็นคนไปกล่อมอาฟงก่อนดีมั้ยคะ เผื่อว่าอาฟงจะใจอ่อน”
“คุณมั่นใจว่าจะกล่อมอาฟงได้ยังงั้นเหรอ” นำพลถาม
“มันอาจจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จนะคะ แต่แววก็ไม่อยากอยู่เฉยๆ ทั้งที่ตัวเองเป็นเลขาของคุณสยุมภูว์แท้ๆ”
นำพลนิ่งคิดสักพัก “ผมขอคิดดูก่อนนะ”
“ค่ะ..คุณสยุมภูว์”
แววยิ้มให้แล้วออกไปจากห้อง นำพลมองตามแล้วกดโทรศัพท์หาใครบางคน
แจ๊คกระโดดเอาเท้าถีบประตูห้องทำงานลับที่ร้านต้นไม้
“อ๊ากซ์...”
ประตูไม่ขยับแม้แต่น้อย แจ๊คยังไม่ยอมแพ้กระโดดถีบในท่าเดิมแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“นี่มันประตูหรือกำแพงเมืองจีนวะเนี่ย”
แจ๊คตัดสินใจใช้วิธีสุดท้าย เขาถอยไปตั้งหลักแล้ววิ่งเอาตัวกระแทกประตูแต่ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น แจ๊คทรุดตัวลงนั่งหมดสภาพที่หน้าประตูห้อง
เริงใจโบกมือไปมาที่หน้าชลธิชาซึ่งกำลังนั่งเหม่ออยู่ ชลธิชาสะดุ้ง เริงใจทำหน้ารู้ทันแล้วพูด
“ชงไปเสิร์ฟให้ที่ออฟฟิศเลยมั้ยจ้ะ จะได้ไม่ต้องนั่งรอ”
“เออ..ไอเดียดีนี่นา ทำไมฉันคิดไม่ได้นะ…เผื่อจะได้ลูกค้าออฟฟิศคุณเอกเพิ่มด้วย” ชลธิชาเห็นด้วย
“บรรเจิดมากไปละ...ฉันประชด” เริงใจบอก
“ก็ฉันจะทำจริงๆ นี่”
“งั้นฉันไปสตาร์ทรถรอเลยก็แล้วกัน…อีกนาทีเดียวก็รอไม่ได้แล้วเนี่ย”
ชลธิชาหันไปเห็นแป้งร่ำจึงเปรยขึ้น “แต่คนนี้เราไม่ได้รอใช่ไหม”
แป้งร่ำเห็นชลธิชากับเริงใจก็ทำเหมือนจะเดินมาหา สองสาวตั้งป้อมรอแต่แป้งร่ำเดินเฉียดไปนั่งที่โต๊ะ พนักงานเดินเข้าไปรับออร์เดอร์
“อย่าบอกนะว่าไม่ได้ตั้งใจจะมา” เริงใจบ่น
“แต่ฉันว่าตั้งใจ...มารอคุณเอก” ชลธิชาบอก
“กล้ามาเหยียบถ้ำแม่เสืออย่างนี้ ต้องต้อนรับให้ประทับใจแบบไม่ลืม”
ชลธิชาดึงเริงใจไว้ “พอเลยยัยเริง..ฉันขี้เกียจแต่งร้านใหม่”
“งั้น ฉันโทรไปเตือนคุณเอกดีกว่าว่าไม่ต้องมา ขี้เกียจจะดูละครดรามาบีบน้ำตาแถวนี้”
พูดจบเริงใจก็ผละออกไป ชลธิชาจับตาดูแป้งร่ำเพราะเดาใจไม่ถูกว่าแป้งร่ำจะมาไม้ไหน
ที่ออฟฟิศของเอกรินทร์ วัณณรีเอาแต่ดูเล็บของตัวเอง จนเอกรินทร์สงสัย
“เป็นไรน่ะวัณ พี่เห็นเราเอาแต่นั่งจ้องเล็บทั้งวันเลย”
วัณณรีหยุดดูเล็บแล้วหันไปสนใจงานที่กำลังทำอยู่ตรงหน้า
“วัณ คุยกับพี่แววบ้างหรือเปล่า” เอกรินทร์ถาม
“พี่แววไม่โทรมา ก็แปลว่าเขาสบายดี” วัณณรีตอบห้วนๆ
“แล้ววัณไม่คิดจะโทรหาแววบ้างเหรอ”
“จะโทรไปให้เสียอารมณ์ทำไมล่ะ...พี่เอกคิดถึงก็โทรไปหาเขาสิ แล้วก็อย่าฉวยโอกาสฟ้องเรื่องคุณคำรพล่ะ มันไม่ได้ทำให้พี่ดูดีในสายตาพี่แววหรอกนะ”
“ถ้าพี่อยากฟ้อง พี่คงไม่ต้องถามวัณณรีก่อนมั้ง”
“พี่เอก !”
เอกรินทร์ยิ้มกวน “อย่าเพิ่งโกรธสิ..ทำงานต่อไปเถอะ วันนี้ไม่เสร็จงานพี่ไม่ให้กลับบ้าน”
“พี่เอกห้ามวัณไม่ได้หรอก ถ้าวัณอยากกลับตอนนี้ วัณก็จะกลับ”
“ได้...”
เอกรินทร์ลุกขึ้นบอกทุกคนในที่ทำงาน
“เพื่อนๆครับ...วันนี้น้องวัณจะกลับบ้านแล้ว จะมีใครไปส่งน้องวัณบ้าง”
วัณณรีมองทุกคนและเริ่มอาย เธอจึงก้มหน้าก้มตาทำงานเหมือนเดิม
“นับจากวันนี้พี่จะไม่ปล่อยให้วัณทำตัวเหลวไหลอีกแล้ว ถ้าวัณดื้อ พี่ก็มีวิธีของพี่สั่งสอนวัณ...เข้าใจไหม”
วัณณรีอึดอัดใจที่ทำอะไรเอกรินทร์ไม่ได้เลยกระแทกแป้นพิมพ์แรงๆเป็นการระบายอารมณ์
ชลธิชาคิดเงินลูกค้าอยู่ที่หน้าเครื่องเก็บเงินก่อนจะหันไปมองที่โต๊ะที่แป้งร่ำนั่งอยู่เมื่อครู่ แต่เธอเห็นว่าแป้งร่ำไม่ได้นั่งอยู่ที่โต๊ะแล้ว
“อ้าว..หายไปไหนแล้ว..คิดจะเบี้ยวค่ากาแฟหรือยะ” ชลธิชาบ่น
ชลธิชารีบไปตามหาทันที
ที่มุมหนึ่งในร้านกาแฟ เริงใจกำลังคุยโทรศัพท์กับเอกรินทร์อยู่
“ไม่มาก็ดีแล้วค่ะ..เพราะมีคนรอจะกินเลือดกินเนื้อคุณเอกอยู่ที่ร้านเริง...แต่ไม่รู้นะคะว่าไปตามล้างตามเช็ดยัยวัณมันน่าสนุกกว่ามาแถวนี้หรือเปล่า”
แป้งร่ำเดินมาข้างหลังเริงใจ โดยที่เริงใจยังไม่รู้ตัว
เสียงแป้งร่ำดังขึ้น “ฉันว่าแล้วเชียวว่าทำไมวันนี้คุณเอกไม่มาที่นี่”
เริงใจหันกลับไปมองก็เห็นแป้งร่ำกำลังยืนเขม่นอยู่
“แค่นี้ก่อนนะคะ” เริงใจพูดเน้นเสียงให้แป้งร่ำได้ยิน “คุณเอกรินทร์”
เริงใจวางสายแล้วยิ้มให้แป้งร่ำแล้วจะเดินเข้าร้านพร้อมทำท่าไม่แยแสแป้งร่ำที่ยืนขวางอยู่
“หลบหน่อย” เริงใจบอก
“แผนชั่วของหล่อนหยุดฉันไม่ได้หรอกนะ สุดท้ายคุณเอกก็ต้องมาจบที่ฉัน” แป้งร่ำโว
เริงใจสวนกลับ “เพราะแผนเธอมันชั่วกว่าใช่มั้ย”
แป้งร่ำถลึงตาใส่ด้วยความโกรธ
“อ๊ะๆๆๆ..อย่าโกรธใครบ่อยๆล่ะ..เดี๋ยวลูกตามันจะหลุดออกมาซะก่อน” เริงใจยั่ว
เริงใจเดินเบียดแป้งร่ำออกไป แป้งร่ำโกรธจึงดึงแขนเริงใจไว้ ทั้งสองทำท่าจะมีเรื่องกัน แต่ชลธิชาเข้ามาห้ามไว้ได้ทัน
“เริง...อย่า!!...”
เริงใจชะงัก แป้งร่ำจึงฉวยโอกาสผลักเริงใจจนล้มลงแล้วจะเข้าไปซ้ำ ชลธิชามาดึงแป้งร่ำออกไป เริงใจจะเข้าไปซ้ำ แต่ชลธิชาร้องห้าม
“อย่างน้อยเขาก็เป็นลูกค้า เริง”
“ต้องไปเกรงใจทำไม ดูเขาทำฉันสิ” เริงใจโมโห
“ฉันจะทำมากกว่านี้ก็ได้นะ” แป้งร่ำบอก
“ขอโทษนะคะ..คุณคงลืมไปว่านี่คือร้านของดิฉัน..อย่าคิดว่าฉันไล่เลยนะคะ” ชลธิชาพูด
แป้งร่ำฮึดฮัดชักสีหน้าแล้วเดินออกไป
“เดี๋ยวค่ะ” ชลธิชาเรียก
“เปลี่ยนใจจะหาเรื่องฉันหรือ” แป้งร่ำถาม
“ช่วยจ่ายค่ากาแฟก่อนนะคะ แล้วค่อยไป”
แป้งร่ำสะบัดหน้าเดินหนีไปทันที
อ่านต่อหน้าที่ 4
แววมยุรา ตอนที่ 7 (ต่อ)
วัณณรีรีบเดินออกมาจากลิฟท์ในออฟฟิศเหมือนหนีใครบางคนมาโดยคุยโทรศัพท์มาด้วย
“วัณลงมาแล้วค่ะ ขับมาจอดรอที่หน้าตึกเลยนะคะ”
วัณณรีตัดสายแล้วยิ้มออกมา
“โธ่เอ๊ย...นึกว่าจะเก่ง ยังไงก็ตามวัณณรีไม่ทันหรอกพี่เอก ไปลั้ลลากับอีตาคำรพดีกว่า”
วัณณรีเปิดประตูออกไป รถคันหนึ่งเข้ามาจอดเทียบพอดี วัณณรีรีบขึ้นรถไปโดยไม่ได้สังเกต วัณณรีปิดประตูแล้วหันไปมองคนขับ
เอกรินทร์นั่งอยู่หน้าพวงมาลัยหันมาถาม “จะให้พี่ไปส่งที่ไหนเหรอวัณ”
“พี่เอก !”
“ว่ามาสิ...จะให้พี่ไปส่งที่ไหน”
วัณณรีชักสีหน้า เธอเปิดประตูรถแล้วเดินเข้าตึกไป เอกรินทร์เลื่อนกระจกรถลงแล้วมองตามพร้อมกับยิ้มอย่างสะใจ
ณ หมู่ล้านเล็กๆ ของอาฟงบนภูเขา หลินกำลังเดินนำแววเข้าไปในหมู่บ้าน
“คุณสยุมภูว์เขาอนุญาตให้แววมาก็แปลว่าเขาไว้ใจแววมากเลยนะ” หลินบอก
“หวังว่าอาฟงจะยอมใจอ่อนคุยกับแววนะคะพี่หลิน” แววหวั่นใจ
“งั้นเราเข้าไปในหมู่บ้านเถอะค่ะ เดี๋ยวดึกดื่นจะกลับบ้านลำบาก”
หลินกับแววเดินเข้าไปในหมู่บ้านด้วยกัน
นิติภูมิกำลังจับตาดูคนทั้งสองผ่านกล้องส่องทางไกลที่บนเขาแห่งหนึ่งไม่ไกลจากหมู่บ้านนัก เขาวางกล้องส่องทางไกลลง
“มันคงไม่ปล่อยให้แววมาคนเดียวแน่ๆ” นิติภูมิยิ้ม “ไอ้สยุมภูว์”
นิติภูมิยกกล้องขึ้นส่องต่อแล้วเขาก็ทำหน้าแปลกใจเพราะเห็นแววกับหลินเข้าไปในหมู่บ้าน แต่ไม่เห็นนำพลปรากฏตัวขึ้นตามที่เขาคาดหมายไว้ แต่กลับเห็นสยุมภูว์โผล่เข้ามาเดินประกบสองสาวแทน นิติภูมิวางกล้องลง
“ไอ้จักร!!!..โผล่มาได้ไงวะเนี่ย”
แววกับหลินก็ทำหน้างงที่เห็นสยุมภูว์
“คุณสยุมภูว์เห็นว่าคุณสองคนน่าจะคุยกับอาฟงจนดึก ก็เลยขอให้ผมมาช่วยดูแลคุณสองคนน่ะ” สยุมภูว์อธิบาย
หลินมองสยุมภูว์เหมือนจะพิจารณาอะไรบางอย่าง
สยุมภูว์เอ่ยถาม “อะไรติดหน้าผมเหรอ”
“เปล่าค่ะ..เปล่า” หลินตอบ
สยุมภูว์เริ่มผิดสังเกตกับท่าทีของหลินแต่ก็ยิ้มกลบเกลื่อน แววที่จับตาดูอยู่ก็สงสัยกับท่าทีของหลิน เช่นกันแต่ยังไม่พูดอะไร
“เราไปหาอาฟงกันเถอะค่ะ น่าจะรออยู่ที่บ้านแล้ว” หลินชวน
แล้วหลินก็เดินนำทั้งสองคนไป
กองไฟถูกจุดขึ้นที่ลานกลางหมู่บ้าน ลูกบ้านในชุดชาวเขากำลังเต้นรำเฉลิมฉลองการเก็บเกี่ยวผลผลิตอยู่รอบกองไฟ หลิน แวว และสยุมภูว์เดินเข้ามาในหมู่บ้าน แววเห็นลุงแก่ๆ คนหนึ่งนั่งอยู่ที่เก้าอี้ด้วยท่าทางเหมือนเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน แววจึงชี้ให้หลินดู
“นั่นต้องเป็นอาฟงแน่ๆเลยใช่ไหมคะ”
หลินมองตามแต่ยังไม่ทันเห็นว่าเป็นใครเพราะคนเยอะ แววก็เข้าไปหาลุงคนนั้นเสียแล้ว
หลินร้องเรียก “คุณแวว...รอก่อนสิคะ”
หลินและสยุมภูว์เดินตามแววไปห่างๆ สยุมภูว์ส่ายหน้าแล้วแอบยิ้ม
แววเข้ามากล่าวทักลุงแก่ๆ คนนั้น
“สวัสดีค่ะ..อาฟง”
ลุงแก่ๆ หันมามองแววกับหลิน ก่อนจะมาหยุดที่สยุมภูว์แล้วก็ทำหน้างง ๆ
“หนูชื่อแววนะคะ...แววเป็นเลขาคุณสยุมภูว์ค่ะ” แววแนะนำตัว
ทันใดนั้นทุกคนก็ได้ยินเสียงอาฟงดังขึ้น “เลขาสยุมภูว์...มากันแล้วเหรอ”
แววชะงักมองหน้าลุงแก่แบบงงๆ ก่อนจะหันไปมองตามเสียงนั้น อาฟงปรากฏตัวขึ้นในชุดชาวเขาเผ่าหนึ่งแบบเต็มยศ เขาถือไปป์ยาสูบออกมาด้วย อาฟงมีท่าทางน่าเกรงขาม เขามองหาสยุมภูว์จนสายตาไปหยุดอยู่ที่สยุมภูว์ ทั้งสองมองหน้ากัน สยุมภูว์พยายามไม่แสดงพิรุธ
“นั่นน่ะเหรอ..สยุมภูว์” อาฟงถาม
“ไม่ใช่ค่ะ..นั่นเพื่อนแววเอง..ชื่อจักร”
“แล้วคุณสยุมภูว์ล่ะ” อาฟงถาม
“เจ้านายแววไม่สะดวกมาน่ะค่ะ...อาฟงคุยกับแววก่อนได้มั้ยคะ”
อาฟงสวนขึ้นทันที “เขาเห็นอาฟงเป็นอะไร ถึงได้ส่งเลขาหน้าเซ่อ ๆ ทักคนผิดๆถูกๆมาคุยด้วย”
แววจ๋อยเมื่อโดนอาฟงดุ หลินเห็นแววจ๋อยก็เลยช่วยพูด
“แหม..อาฟงคะ..คุณแววน่ะเพิ่งมาทำงานกับคุณสยุมภูว์นะคะ”
“เอาเหอะ..เรื่องเลขาอาฟงไม่สน ถ้าเจ้านายเขาไม่กล้ามาเจออาฟง อย่าคิดว่าอาฟงจะคุยด้วยนะ”
“ไม่คุยก็ได้ค่ะ แต่ขอนั่งพัก จิบชาร้อนๆสักแก้วก่อนกลับได้มั้ยคะ กว่าจะขึ้นมาถึงที่นี่ได้ แววเมื่อยจะแย่แล้ว” แววต่อรอง
“นั่นสิ...อาฟงคงไม่ใจร้าย คิดจะไล่เรากลับทั้งที่เราเพิ่งจะมาถึงหรอกนะ”
หลินกับแววส่งสายตาอ้อนวอน อาฟงมองทั้งสองอย่างเริ่มจะใจอ่อน
ณ บ้านไม้หลังเล็กๆ ของอาฟง เหมย ลูกาวของอาฟงเอาชาร้อนเข้ามาเสิร์ฟ แวว หลิน และสยุมภูว์ที่นั่งอยู่ตรงข้ามอาฟง
“ทานชาร้อนๆก่อนนะคะ” เหมยบอก
“ขอบใจมากนะเหมย ไม่เจอกันตั้งนาน โตเป็นสาวแล้วนะเรา” หลินว่า
เหมยยิ้มให้หลินอย่างเป็นมิตร อาฟงกระแอมอย่างดุๆแต่เหมยท่าทางไม่แคร์อาฟงนัก
แววจิบชา “หอมจังเลยนะคะ..นี่ชาอะไรคะเนี่ย”
“หอมหมื่นลี้ค่ะ คุณแวว” เหมยตอบ
“ที่ไร่คุณไม่มีอย่างนี้หรอกนะ ไร่คุณน่ะปลูกได้แต่ชาราคาถูก” อาฟงแขวะ
“อาฟงคงไม่ได้กลับไปที่ไร่เสียนาน...เลยไม่รู้ว่าที่ไร่เราทำชาตัวนี้ส่งนอกด้วย” หลินบอก
“เหรอคะ...ดีจังเลยนะพี่หลิน เห็นมั้ยป๊ายังไงคุณสีหราชเขาก็ทำตามคำแนะนำของป๊าอยู่ดี ถึงจะช้าหน่อยแต่ก็ทำ”
อาฟงเสียงดุ “เหมย...ใครสั่งให้พูด” อาฟงหันไปพูดกับแววและหลิน “อาฟงไม่ได้อยากรู้สักกะนิด”
“อาฟงคะ..ตอนนี้ที่ไร่ทศพลต้องการความช่วยเหลือจากอาฟงมากนะคะ” แววกล่าว
“ถ้าจะมาขอสูตรยาแก้โรคยอดเน่าล่ะก็..ไปบอกเจ้านายคุณว่าเขาต้องมาขออาฟงด้วยตัวเอง”
สยุมภูว์อึดอัดใจแต่ก็พูดไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร
“อาฟงยังโกรธเรื่องที่คุณสีหราชไม่ยอมปลูกชาหมื่นลี้ตามคำแนะนำของอาฟงอยู่ใช่มั้ยคะ” แววถาม
อาฟงพูดกวนๆ “อาฟงก็ไม่ได้แค้นฝังหุ่นขนาดนั้นหรอกนะ”
“อย่าไปเชื่อป๊านะคะ..ป๊าน่ะพูดแต่เรื่องนี้จนเหมยเบื่อจะแย่ เรื่องนี้ทำให้ป๊าเสียหน้ามากเลยค่ะ” เหมยรีบบอก
อาฟงเหวี่ยงถ้วยชาใส่เหมยแต่เหมยหลบทัน
เหมยรีบแขวะ “ป๊า..มือตกนะ”
“เหมย..จะไปไหนก็ไป ไปให้พ้นๆหน้าเลย” อาฟงไล่
เหมยยิ้มที่ยั่วโมโหอาฟงได้แล้วจึงเดินออกไปจากห้องตามคำสั่ง
“อาฟงลองคิดดูนะว่าถ้าตอนนั้นคุณสีหราชยอมปลูกชาตามใจอาฟงแล้วขายไม่ได้เพราะไม่มีตลาด อาฟงจะเสียหน้ายิ่งกว่าการที่ท่านปฏิเสธหรือเปล่า” สยุมภูว์พูดขึ้น
“ไอ้นี่เป็นใคร...ทำมาเป็นรู้ดี..คุณสีหราชน่ะกลัวว่าถ้าขายดีขึ้นมา อาฟงจะได้หน้ามากกว่าตะหาก”
สยุมภูว์จะแก้ต่างให้พ่อแต่แววส่งสายตาดุๆ ให้ สยุมภูว์จึงหยุดพูด
“แปลว่าที่แววได้ยินคนที่ไร่พูดกันว่าอาฟงลาออกเพราะทนเสียหน้าไม่ได้ก็ผิดสิ” แววถาม
อาฟงโกรธ “ก็ผิดน่ะสิ...ผิดเต็มๆ”
สยุมภูว์รีบเสริม “แต่จะให้คนอื่นไปแก้ต่างแทนอาฟงก็คงไม่มีใครเชื่อหรอก จริงมั้ยล่ะ”
“ก็ช่างปะไร” อาฟงพูดกับแวว “คุณเลขากลับไปบอกนายสยุมภูว์ด้วยว่าถ้าไม่อยากให้ชาตายหมดไร่ ก็มาหาอาฟงเสียดีๆ”
“ถ้าเขามาแล้วอาฟงจะทำอะไรเขา” สยุมภูว์ถาม
“จะอยากรู้ทำไมล่ะ...แกคือนายสยุมภูว์เหรอ” อาฟงถามกลับ
สยุมภูว์ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง อาฟงจึงจ้องมองสยุมภูว์อย่างจะรอคำตอบ แต่สยุมภูว์ก็ไม่พูด อาฟงเลยเดินหงุดหงิดออกไป ทั้งสามมองหน้ากันอย่างหมดหวัง
“นี่..แววช่วยคุณสยุมภูว์ไม่ได้จริงๆเหรอเนี่ย” แววท้อใจ
หลินได้แต่ส่งสายตาปลอบใจแวว ขณะที่เหมยแอบย่องเข้ามาหาทั้งสามแล้วยิ้มให้อย่างมีไมตรี
เหมยกระซิบ “ไม่เป็นไรนะคะ เดี๋ยวเหมยจะช่วยอ้อนให้”
หลินลำบากใจ “ท่าทางจะยากนะเหมย”
“ถ้ายากขนาดนั้น เหมยก็มีวิธีของเหมยค่ะพี่หลิน”
“วิธีอะไรคะเหมย” แววนิ่งคิด “อย่าบอกนะคะว่าจะขโมย”
“โอ๊ย...พี่แววนี่รู้ทัน..แต่ได้ไม่ได้ก็อีกเรื่องนะคะ..พรุ่งนี้เหมยจะไปส่งข่าวที่ไร่นะ”
“ขอบใจมากนะเหมย..พี่เอาใจช่วยนะ” แววบอก
เหมยพยักหน้าให้อย่างมั่นใจ
หลินกำลังหั่นผักเตรียมทำอาหารอยู่ในบ้านพักของเธอ แววช่วยล้างผักที่เหลือ
“ถ้าเหมยขโมยสูตรยามาได้ แววก็คงไม่ต่างจากคนรับซื้อของโจรนะคะเนี่ย” แววพูด
“แต่ถ้าไม่ได้สูตรยานั้นมา คุณสยุมภูว์คงจะหนักใจมากกว่านะคะ..ถึงจะมีเงินทำไร่ชาขึ้นมาใหม่แต่ก็คงทำใจยากมากที่ต้องทำลายไร่ชาที่คุณสีหราชสร้างมาด้วยมือของตัวเอง” หลินบอก
“แต่ถ้าไปหาอาฟงด้วยตัวเองก็ต้องทนให้เขาเยาะเย้ยจนหนำใจเสียก่อน”
“ไม่ว่าจะเลือกทางไหน ก็มีแต่เสียทั้งนั้น” หลินสรุป
“แววเป็นเลขาที่แย่จังนะคะ..ช่วยอะไรเจ้านายไม่ได้เลย”
แววนิ่งไปสักพัก หลินจึงพูดปลอบใจแวว
“อย่าโทษตัวเองเลยนะคุณแวว คุณสยุมภูว์น่ะเก่งเหมือนคุณพ่อ ยังไงก็ต้องหาทางออกได้อยู่แล้ว”
“ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะค่ะ”
“จะว่าไปนะคะ คุณสีหราชเป็นยังไง คุณสยุมภูว์ก็เป็นอย่างนั้น อ่านคนออก เป็นห่วงคนรอบข้าง อยู่ด้วยแล้วก็มีความสุข แถมยังเป็นขวัญใจเด็กอีกต่างหาก”
แววนิ่งคิดตามคำพูดของหลิน แล้วเธอก็นึกถึงเหตุการณ์ในอดีต ตอนที่สยุมภูว์ที่เธอรู้จักในนามของจักรกำลังคุยกับตงตง...
“ก็มันปวดฉี่นี่นา..ใครจะอั้นไหวล่ะ” ตงตงบอก
“เออ..ก็ถูกของตงตงนี่คุณ ปวดฉี่ก็ต้องฉี่ จะอั้นทำไม” สยุมภูว์บอก
“เห็นมั้ยพี่จักรยังรู้เลย”
แววนึกถึงเหตุการณ์อีกหนึ่งเหตุการณ์ตอนที่เธอคุยกับตงตง
แววยิ้มออกเมื่อตงตงรับปากว่าจะไม่มาปัสสาวะรดต้นไม้อีก แต่แล้วก็ต้องหุบยิ้มเมื่อได้ยินตงตงพูด
“เห็นแก่พี่จักร”
แววเหวอไป “เฮ้ย...อะไรล่ะ...ตกลงว่าที่พี่ยกมือไหว้นี่ไม่มีความหมายเลยสิ”
แววนิ่งคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านั้นแล้วก็พูดกับตัวเองเบาๆ
“คนเรามันก็เหมือนกันได้นี่นา”
เสียงสยุมภูว์ดังเข้ามาในครัว “เด็ดผักจนหลับเลยเหรอคุณ..แล้วเมื่อไรจะได้กินข้าวเย็นล่ะเนี่ย”
แววสะดุ้งเมื่อเห็นหน้าสยุมภูว์โผล่มายิ้มให้ แววสะบัดหัวให้ความคิดนั้นหายไปแล้วพูดเบาๆกับตัวเอง “แต่ถ้าบอกว่าปากเสียด้วย ก็จะเชื่อเลยเนี่ย”
สยุมภูว์มองหน้าแววอย่างงงๆ
หมอกหนายามเช้าปกคลุมทั่วดอย เพิ่มพงษ์ทำหน้าเครียดเดินตามสยุมภูว์ไปหาอาฟงที่หมู่บ้าน
“ทั้งๆที่รู้ว่าอาฟงเขาจะพูดอะไร แล้วคุณสยุมภูว์จะมาให้เจ็บใจเล่นทำไมล่ะครับเนี่ย” เพิ่มพงษ์ถาม
“แค่เจ็บใจผมพอทนได้ แต่อาฟงต้องได้รู้ว่าพ่อไม่ได้ต้องการทำให้อาฟงเสียหน้า” สยุมภูว์บอก
“ลองเขาปักใจเชื่ออย่างนั้น เราพูดอะไรไปเขาคงไม่ฟัง เปลืองน้ำลายเปล่าๆครับคุณสยุมภูว์”
“อย่างน้อยผมก็ได้พูดแทนพ่อนะครับ”
สยุมภูว์เดินต่อไปเรื่อยๆอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย เพิ่มพงษ์เดินตามแทบไม่ทัน
นิติภูมิวางถ้วยกาแฟลงแล้วคุยกับศักดาที่นั่งอยู่ตรงข้ามในร้านกาแฟที่เงียบสงบเพราะไม่ค่อยมีลูกค้า
“มันส่งแววไปคุยกับอาฟงแทน แปลว่ามันไม่อยากไปเผชิญหน้าด้วยตัวเองจริงๆ” นิติภูมิบอก
ศักดาสรุป “งั้นเราก็แน่ใจได้แล้วสิครับว่ามันคือสยุมภูว์ตัวจริง”
นิติภูมิพยักหน้า “ถ้ามันเอาแต่เก็บตัวในไร่ เราคงทำอะไรมันไม่ได้ง่ายนัก..แก Standby ไว้ก็แล้วกัน เมื่อไรที่ฉันรู้ว่ามันจะออกจากไร่ แกค่อยไปจัดการกับมัน”
“ครับ คุณนิติภูมิ” ศักดารับคำ
“อะไรต่ออะไรมันเริ่มจะเข้าที่เข้าทางของมันแล้วสินะ”
นิติภูมิยิ้มอย่างเยือกเย็น
อาฟงเปิดประตูบ้านออกมาพร้อมกับไปป์ยาสูบที่คาบอยู่ในปาก เพิ่มพงษ์กับสยุมภูว์ยืนรออยู่ที่หน้าบ้าน
เพิ่มพงษ์เอ่ยถาม “จำผมได้ใช่มั้ย อาฟง”
อาฟงคิดสักพักแล้วก็พยักหน้า “เจ้านายแกใช้ให้มาเหรอ..อาฟงบอกเลขาเขาไปแล้วว่าถ้าสยุมภูว์ไม่มาด้วยตัวเองก็อย่าหวังว่าจะคุยด้วย พูดภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง”
“โอ๊ย..เจอหน้ากันก็ใส่ซะไฟแลบเลยนะ ฟังกันหน่อยดิ” เพิ่มพงษ์บอก
“ไม่มีการต่อรองใดๆทั้งสิ้น..เข้าใจ๊” อาฟงปัด
“แหม...ใครจะกล้ากะพี่ล่ะครับ”
อาฟงไล่ “งั้นก็กลับไปซะ”
“อ๊าว..ไม่อยากเจอคุณสยุมภูว์แล้วเหรอ” เพิ่มพงษ์ถาม
อาฟงมองทั้งสองคนอย่างไม่แน่ใจ “อย่ามาตลก”
สยุมภูว์เดินเข้าไปแนะนำตัวเองกับอาฟงที่ยืนงงอยู่
“จำผมไม่ได้จริงเหรออาฟง”
อาฟงมองสยุมภูว์แล้วจะยกไปป์ขึ้นสูบ เขาพยายามนึกว่าผู้ชายตรงหน้าคือสยุมภูว์ตัวจริงใช่หรือไม่
“พ่อผมคงดีใจนะ ที่อาฟงยังไม่เกลียดท่านถึงกับจะเลิกใช้ไปป์อันนั้น” สยุมภูว์บอก
อาฟงมองเพิ่มพงษ์ “เตี๊ยมกันมาดีเชียวนะ”
“แต่คุณเพิ่มพงษ์คงไม่รู้มั้งครับว่าผมเป็นคนทำไปป์อันเก่าอาฟงหักกับมือ แถมยังช่วยปิดบังเรื่องนี้ไม่ให้พ่อผมรู้อีก” สยุมภูว์พูดต่อ
อาฟงนิ่งไปแล้วมองสยุมภูว์แบบตะลึง “คุณจริงๆ”
“ขอบคุณครับที่ทำให้ผมไม่ถูกพ่อดุ” สยุมภูว์กล่าว
สยุมภูว์ยิ้มให้อาฟง อาฟงนิ่งไป
อาฟงรินน้ำชาให้สยุมภูว์และเพิ่มพงษ์ เพิ่มพงษ์จิบชาร้อนด้วยสีหน้ามีความสุข
“อาฟงโกรธที่พ่อผมไม่ยอมปลูกชาตามคำแนะนำของอาฟงจริงๆเหรอครับ” สยุมภูว์เอ่ยถาม
“ใครจะไม่โกรธมั่ง..อาฟงอุตส่าห์เอาเมล็ดพันธุ์อย่างดีมาจากเมืองจีน จะให้ไร่ทศพลเป็นที่แรกในเมืองไทยที่ปลูกชาพันธุ์นี้ได้ แต่ถูกปฏิเสธไม่มีดี”
เพิ่มพงษ์สวน “แค่ถูกปฏิเสธไม่เห็นต้องลาออกเลย”
“อาฟงจะอยู่ให้ขายหน้าทำไมไม่ทราบ...คิดดูบ้างสิว่าถ้าอาฟงเดินไปไหนต่อไหนในไร่ แล้วมีแต่คนเยาะเย้ยว่ากล่อมคุณสีหราชไม่สำเร็จ อาฟงจะอายแค่ไหน”
“แต่ตอนนี้ไม่มีใครพูดอย่างนั้นแล้วนะอาฟงเพราะเราก็เห็นแล้วว่าพ่อก็พลาด ที่ปลูกชาพันธุ์นี้ช้าไปหน่อย”
“แต่คุณสีหราชไม่เคยมาบอกเรื่องนี้อาฟง”
“ผมก็มาบอกอาฟงแทนพ่อแล้วไง” สยุมภูว์กล่าว
อาฟงมองสยุมภูว์อย่างเริ่มใจอ่อนแต่ก็ยังปากแข็งอยู่
“แค่นี้...อาฟงไม่หายโกรธง่ายๆหรอก”
“ต้องให้ไร่ชาทศพลเจ๊งไปต่อหน้าหรือไงถึงจะหายโกรธน่ะ” เพิ่มพงษ์พูด
อาฟงนิ่งไปแล้วมองหน้าสยุมภูว์กับเพิ่มพงษ์
เหมายยื่นสมุดเก่าๆ เล่มหนึ่งที่หน้าปกเขียนว่า “คัมภีร์ชา” ให้นำพล
“เหมยไม่กล้าฉีกมาให้น่ะค่ะเพราะมันมีสูตรยาหลายสูตร ไม่รู้ว่าสูตรไหนที่คุณสยุมภูว์ต้องการ ก็เลยหยิบมาทั้งเล่มอย่างนี้” เหมยบอก
สยุมภูว์พลิกดูด้านในแล้วยิ้มด้วยสีหน้ามีความหวัง
“เหมยว่าคุณสยุมภูว์ถ่ายสำเนาไว้ทั้งเล่มเลยก็ได้นะคะ...คราวหน้าคราวหลังจะได้ไปต้องเสียเวลาไปง้อพ่ออีก”
นำพลยื่นสมุดให้แวว “จัดการให้หน่อยนะ”
สยุมภูว์ยื่นสมุดเล่มนั้นให้แวว
“ค่ะ..คุณสยุมภูว์” แววรับไป
แล้วแวว หลิน และเหมยก็ออกไปจากห้อง สยุมภูว์โล่งอก
สยุมภูว์กับเพิ่มพงษ์เดินออกมาจากบ้านอาฟงอย่างหงอยๆ
“ปล่อยมุกก็แล้ว กล่อมก็แล้ว อาฟงยังไม่ใจอ่อนอีก” เพิ่มพงษ์บ่น
“ไม่เป็นไรครับ...อย่างน้อยผมก็ได้พูดแทนพ่อผมแล้ว” สยุมภูว์บอก
“แปลว่าเราต้องรื้อไร่ชาเก่าออกแล้วปลูกใหม่ทั้งหมดใช่มั้ยครับเนี่ย”
“เราไม่มีทางเลือกนี่ครับ” สยุมภูว์บอก
สยุมภูว์กับเพิ่มพงษ์เดินพ้นบริเวณบ้านอาฟงไปแล้ว อาฟงจึงค่อยๆโผล่จากหน้าต่างมาดู เขามีสีหน้าคิดหนักและเริ่มใจอ่อน
อาฟงเรียกเสียงดัง “อาเหมย...!”
ไม่มีเสียงตอบจากเหมย อาฟงสงสัยเลยลุกออกไปตามหา
อาฟงเดินเข้ามามองหาเหมยในห้องเก็บของ
“เหมย..หายหัวไปไหนโว้ย”
อาฟงทำหน้าสงสัยก่อนจะเดินตรงมาที่หีบเก่าใบหนึ่งที่ใส่กุญแจอยู่ เขามองที่หีบนั้นพร้อมกับทำสีหน้าว่ากำลังใช้ความคิดอย่างหนัก ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจไขกุญแจเปิดหีบออกแต่ในหีบมีแต่ความว่างเปล่า
อาฟงตกใจแทบหงายหลัง “เฮ้ย..!!! คัมภีร์ของอาฟง” อาฟงตะโกนเรียก “อาเหมย !”
ไม่มีเสียงตอบจากเหมย อาฟงคิดสักพักแล้วก็ถึงบางอ้อ
“อาเหมย...ไม่นะ...!” อาฟงทำหน้าสะพรึงกลัว
แววพลิกดูหนังสือที่ถ่ายเอกสารไว้ทั้งหมดแล้วก่อนจะยื่นต้นฉบับคืนให้เหมย
“ขอบใจนะเหมย” แววบอก
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณแวว..แค่เสี่ยงนิดๆหน่อยๆ” เหมยบอก
“งั้นพี่ว่าเหมยรีบเอากลับไปคืนเถอะ เดี๋ยวป๊าเขาจะสงสัย” แววแนะนำ
“เรื่องโดนจับได้น่ะไม่เท่าไรหรอกค่ะ มีเรื่องอื่นที่เหมยต้องเสี่ยงมากกว่านั้น”
แววงง “เรื่องอะไรคะ”
เหมยแกล้งทำเสียงหลอนๆ “ป๊าเคยบอกว่าคัมภีร์เล่มนี้มีคำสาป ใครขโมยไปต้องมีอันเป็นไป”
แววมองคัมภีร์ที่ยังอยู่ในมือเธอก่อนจะยื่นคืนให้เหมยแบบกลัวๆ เหมยรับคืนมาแล้วยิ้มให้แวว กับหลิน
“ ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเหมยนะคะ” เหมยพูด
แววพูดอย่างกลัวๆ “คงไม่มีอะไรมังคะ”
เหมยมองหน้าแววกับหลินที่เริ่มกลัวแล้วก็ยิ้มขำๆ
“โอ๊ย..ตายแล้ว พี่สองคนเชื่อด้วยเหรอคะเนี่ย”
หลินรู้ตัวว่าโดนอำ “อ้าว...ไม่ใช่เรื่องจริงหรือเนี่ย”
“นั่นสิ..ยังไงกันแน่เหมย” แววถาม
“ป๊าเขาก็ขู่ไปอย่างนั้นล่ะค่ะ จริงไม่จริงใครจะรู้ล่ะคะ เหมยเพิ่งเคยลองเป็นครั้งแรกเสียด้วย เหมยยิ้มขำๆ แววกับหลินทำหน้าโล่งอก
แป้งร่ำถือแก้วน้ำส้มเดินจิบไปคุยโทรศัพท์ไปกับไลลาที่กำลังออกกำลังกายอยู่ในฟิตเนสหรูที่เชียงใหม่
“ถ้าวันนี้คุณเอกยังไม่กลับมา ฉันก็จะไม่อยู่แล้วนะไลลา” แป้งร่ำบอก
“อะไรกัน...นี่..เธอจะยอมแพ้ง่ายๆไม่ได้นะ” ไลลาท้วง
“ฉันเบื่อที่จะรอแล้ว คุณเอกก็ไม่มีทีท่าจะให้ความหวังอะไรฉันเลย”
“เธอจะยกให้สองสาวนั่นง่ายๆก็ตามใจ แค่นี้นะ” พูดจบไลลาก็ตัดสายทันที
แป้งร่ำด่า “ยัยเพื่อนบ้า !!”
แป้งร่ำหงุดหงิดจึงวางโทรศัพท์ไว้ที่โต๊ะใกล้ๆ แล้วจะเดินไปนั่งที่โซฟารับแขก แต่เอกรินทร์เปิดประตูเข้ามาในห้องพอดี แป้งร่ำเข้าไปหาเอกรินทร์ด้วยความดีใจ โดยไม่ได้ระวังจึงทำน้ำส้มหกใส่เสื้อเอกรินทร์
แป้งร่ำตกใจ “อุ๊ย...ขอโทษนะคะคุณเอก”
แป้งร่ำพยายามช่วยเช็ดน้ำส้มที่เปื้อนเสื้อให้เอกรินทร์ เอกรินทร์ขยับออกเล็กน้อย แป้งร่ำชะงัก
“ไม่ต้องครับคุณแป้ง...ผมจะกลับมาเปลี่ยนเสื้อไปทำงานอยู่แล้ว” เอกรินทร์บอก
“รังเกียจแป้งมากหรือคะ” แป้งร่ำถาม
“ผมต้องรีบไปทำงานนะครับ คงไม่มีเวลาต่อปากต่อคำกับคุณ”
“แป้งรอคุณเอกเป็นวันๆได้ แต่คุณกลับไม่ให้เวลาแป้งสักนาทีที่จะคุยกับคุณ”
“แล้วคุณจะรอทำไมล่ะครับ” เอกรินทร์สวน
“คุณเอก !”
เอกรินทร์ไม่สนใจรีบเดินขึ้นชั้นสองไปทันที
แป้งร่ำเจ็บใจ “จะเอาใจผู้ชายสักคน ทำไมมันถึงยากเย็นแสนเข็นอย่างนี้นะ..ฉันทรมานตัวเองมากเกินไปมั้ยเนี่ย”
จบตอนที่ 7
ติดตามอ่านแววมยุรา ตอนต่อไป เวลา 12.00 น.