แจ้งเพื่อทราบ :
เนื่องจากแฟนเพจเฟสบุ๊ค "ละครออนไลน์" มีปัญหาด้านเทคนิคบางประการ ทีมงาน “ละครออนไลน์” จึงจะทำการปิดภายในวันพรุ่งนี้ (พุธที่ 22 มีนาคม พศ. 2555) และจะดำเนินการเปิดใหม่ให้เร็วที่สุด โดยจะแจ้งให้แฟนๆ ที่ติดตามทราบเป็นระยะ จึงขออภัยมา ณ ที่นี้
ฉันรักเธอนะ ตอนที่ 10
เป็นไทนั่งเหม่ออยู่ในห้องทำงาน องอาจเอาแฟ้มเอกสารวางไว้บนโต๊ะ เป็นไทรู้สึกตัว ถอนหายใจแล้วหันมาเปิดดูงานในแฟ้ม
“เรื่องบัตรมีท แอนด์ กรี๊ด ทางเราได้แจกแฟนคลับไปหมดแล้วนะครับ ในส่วนของสปอนเซอร์ เขาขอรับไปดูแลเอง”
เป็นไทพยักหน้ารับรู้
“อืม เรื่องเตรียมงานไม่ได้มีปัญหาอะไรใช่มั้ย”
“ราบรื่นมาก”
“ก็ดี”
“นี่คุณไทกังวลเรื่องอะไรอยู่รึเปล่าครับ”
“ผมตัดสินใจแล้ว...ผมเชื่อคุณ”
“สบายแล้ว เดี๋ยวนี้เราคุยกันลอยๆโดยไม่ต้องมีหัวข้อเรื่องก็ได้” องอาจประชด
“ก็เรื่องที่เราคุยกัน...เรื่องยูกิ”
“แล้ว...”
“ผมว่า ผมจะไม่สนใจเรื่องไคคุงแล้วล่ะ เพราะตราบใดที่เขาเป็นคนแบบนี้ เขาไม่เหมาะกับยูกิแม้แต่นิดเดียว”
“นั่นแน่...ไหนบอกไม่สนยูกิ”
“ก็...ผมหมายเรื่องงานต่างหาก ผมจะตั้งใจทำงานผมให้สำเร็จโดยไม่กังวลเรื่องเค้า”
องอาจอมยิ้ม
“เหรอ ... เออ พอพูดเรื่องยูกิผมก็นึกได้” องอาจหยิบแฟ้มอีกแฟ้มขึ้นมา “นี่คือประวัติยูกิอย่างละเอียดที่คุณไทให้หา”
“ดีเลย”
“เช็คให้ละเอียดถึงพ่อตาแม่ยายเลยนะครับ”
“ไอ้บ้านี่ ไปไหนก็ไป ไป”
องอาจอมยิ้มแล้วเดินออกไปจากห้อง เป็นไทก็เผลอยิ้มออกมาเหมือนกัน เขาเปิดประวัติยูกิอ่าน พลิกไปดูทีละหน้า
ในห้องจัดงานมีท & กรี๊ดของโรงแรมหรู เป็นไทยืนดูอยู่ด้านล่างของเวที องอาจถือไมค์อยู่บนเวทีกำลังเซ็ตไฟ เทสเครื่องเสียง เช็คของต่างๆวุ่น นับดาวเดินมาหาเป็นไทที่ด้านล่าง
“เป็นไงบ้างคะ ที่โดนฉันล้มทับเมื่อวานมีอาการแทรกซ้อนอะไรรึเปล่า”
“แค่นิดหน่อยครับ ล้มทับอีกรอบยังไหว”
นับดาวยิ้ม
“ตอนเด็กๆนะ ฉันเคยตกต้นไม้มาทับย่าฉันครั้งนึง ย่านี่เดินไม่ได้ไปหลายวันเลย”
“งั้นผมถือว่าโชคดีละสิเนี่ย แต่เอ๊ะ...”
เป็นไทมองหน้านับดาวแล้วนึกถึงสิ่งที่เขาอ่านเกี่ยวกับประวัติของเธอ...
เมื่อองอาจออกไปจากห้องทำงานแล้ว เขานั่งอ่านแฟ้มประวัติยูกิอย่างละเอียด
‘มีประวัติครอบครัวด้วยเหรอ องอาจนี่หาได้ละเอียดจริงๆ พ่อและแม่ของยูกิพบ รักกันจากเหตุแผ่นดินไหว ทั้งคู่ต่างเห็นใจซึ่งกันและกันที่ต่างสูญเสียพ่อและแม่ไปทั้งคู่ ทำให้ทั้งคู่ตัดสินใจแต่งงานกัน และมียูกิในสามปีต่อมา’
เป็นไทนึกถึงสิ่งที่เขาอ่านมาเกี่ยวกับยูกิ ทำให้เขาเริ่มขมวดคิ้ว
“คุณอยู่กับย่ามาตั้งแต่เด็กเหรอ”
“ใช่ค่ะ…ฉันกับย่าสนิทกันมากมีอะไรคุยกันทุกเรื่องเลย”
“แต่เท่าที่ผมรู้มาเนี่ย ย่าคุณตายไปตอนแผ่นดินไหว ตั้งแต่คุณยังไม่เกิด”
นับดาวเหวอ
“เอ่อ…ฉันพูดว่าย่าเหรอ ย่าภาษาไทยแปลว่าอะไรนะ”
“แม่ของพ่อ”
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง ถ้างั้นคนที่ฉันหมายถึงคือยายต่างหาก”
“ยายคุณก็ตายไปตอนแผ่นดินไหว พร้อมย่าคุณนั่นแหละ”
นับดาวเหวอ
“อ๋อ…ตายกันหมดเลย ฉันไม่น่ารอดมาได้เนอะ ว่ามั้ย”
“ผมว่า ผมเหมือนจะรู้ประวัติคุณมากกว่าตัวคุณเองอีกนะ”
“แหะ แหะ ตายแน่ฉัน …ในนี้ร้อนเนอะ เดี๋ยวฉันไปเร่งแอร์หน่อยดีกว่า”
เป็นไทหยิบรีโมทแอร์ขึ้นมา ยัดใส่มือนับดาว จ้องหน้าจับผิดนับดาว
“ไม่ต้องไป ปรับให้เย็นได้ตามใจเลย เราคงต้องคุยกันอีกยาว”
นับดาวแกล้งขำ
“เหอะ เหอะ แหมคุณก็รู้ว่าฉันไม่เก่งภาษาไทย จะเอาอะไรนักหนา บางคำฉันพูดไปก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอก”
“งั้นเราก็คงต้องปรับความเข้าใจกันใหม่แล้วล่ะ”
นับดาวหน้าเสีย เป็นไทหน้าจริงจัง
เป็นไทพานับดาวมาคุยที่ห้องทำงาน ให้เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้ ส่วนเขาก็เดินวนรอบเธอเพื่อซักไซร้
“แหม...ถ้ามีเครื่องจับเท็จมาตั้งด้วยนี่ ฉันคงคิดว่าฉันอยู่ในห้องสอบสวน”
“ผมก็แค่อยากถามคำถามคุณไม่กี่คำถาม ถ้าไม่มีอะไรก็ไม่เห็นต้องกลัวเลยนี่”
นับดาวกลัว
“ฉันไม่ได้กลัว แต่บรรยากาศมันพาไปต่างหาก คุณเล่นทำหน้าจริงจังซะขนาดนั้น”
“คุณจำตอนที่ไปเชียงใหม่ด้วยกันได้มั้ย ที่ผมถามคุณว่าคุณทำหน้าตาตื่นเต้นเหมือนไม่ เคยมาที่นี่ได้ยังไง”
“แล้วยังไง”
“ที่นั่นคุณไม่เคยพูดญี่ปุ่นเลยซักคำ แถมไม่แปลภาษาญี่ปุ่นให้ผมฟังด้วย บอกแต่ว่าไม่มีอะไร”
นับดาวนิ่ง
“คุณเดินหลงในบ้านตัวเอง”
นับดาวแก้ตัว
“ฉันก็แค่มุกเท่านั้นเอง ไม่เห็นจะต้องจริงจังเลย”
“จะมุกไม่มุกคุณก็แค่ตอบผมมา...ผมอยากรู้ว่าคุณกับไคคุงคบกันได้ยังไง...เรื่องแฟนของคุณเอง คุณน่าจะตอบได้นะครับ”
“ฉันกับไคคุง...เอ่อ...”
“ว่ายังไงล่ะ”
“เรารู้จักกันโดยบังเอิญตอน...มหาลัย ใช่มั้ยนะ”
เป็นไทนึกถึง ตอนที่คุยกับไคคุงที่ห้องนอนยูกิที่ญี่ปุ่น ที่ไคคุงเล่าเรื่องเป็นแฟนกับยูกิได้ยังไง พร้อมกับวิธีกำจัดยามาดะ คนที่มายุ่งกับยูกิ
“คุณแน่ใจกับคำตอบตัวเองรึเปล่า”
“ก็...ต้องแน่ใจสิ”
เป็นไทมองนับดาวอย่างจับผิด นับดาวไม่กล้าสบตา
วราพรรณมาหาองอาจที่ร้านอาหารที่เขานัดมาพบ เมื่อมาถึงโต๊ะที่องอาจรออยู่ก็ถามอย่างเว็งๆ
“ตกลงโทรเรียกฉันมีเรื่องอะไร”
“เปล่า แค่อยากชวนมากินข้าว”
วราพรรณมองอย่างไม่เชื่อ
“แค่นี้อะนะ ที่บอกมีธุระสำคัญ”
“แล้วถ้าผมพูดความจริงคุณจะมาหรือเปล่า”
“นายนี่มันแสบจริงๆ”
“ถ้าไม่แสบจะเอาคุณอยู่”
“นี่อย่ามาพูดจาสองแง่สองง่ามกับฉันนะ”
“ผมไม่ได้พูด คุณต่างหากที่คิดสองแง่สองง่ามกับผม”
“ถ้ายังไม่หยุดพูดอีก เจอดีแน่”
องอาจแกล้งหยิบมือถือขึ้นมาโทร
“คุณซีซีคร้าบบบบ”
วราพรรณเจ็บใจ ทันใดนั้นเสียงมือถือวราพรรณก็ดังขึ้นวราพรรณรับสายอย่างไม่สบอารมณ์
“มีอะไร ฉันกำลังอยากจะฆ่าคนอยู่พอดี...ว่าไงนะเรื่องซีซีที่ให้สืบได้แล้ว”
องอาจที่นั่งฟังอยู่ด้วยหูผึ่ง สงสัยว่ามันเรื่องอะไรกันแน่ วราพรรณรีบลุกเดินออกไปคุยอีกมุม
“ตอนนี้ฉันเห็นยัยซีซีอยู่ที่ห้าง...”
เพื่อนนักข่าวสายอาชญกรรมของวราพรรณเล่า วราพรรณรีบบอก
“ได้เดี๋ยวฉันรีบไป แล้วข้อมูลที่ให้หาได้เรื่องมั้ย”
“ได้สิ เห็นว่าตอนที่ยัยซีซีไปอยู่ญี่ปุ่น มีการติดต่อกับยากูซ่าของที่นั่นด้วย เป็นบอดีตบอดี้การ์ดเก่าต้นสังกัดยูกิ ที่หนีมาหลบซ่อนตัวอยู่ในประเทศไทย เดี๋ยวฉันจะส่งรูปไปให้ดู”
วราพรรณกดรับสัญญาณภาพ รูปหน้าจอมือถือค่อยๆ ปรากฏชัดขึ้นแต่ยังไม่ทันเห็นชัดว่าเป็นรูปยามาดะ ก็ได้ยินเสียงองอาจดังมาจากด้านหลัง
“ใครโทรมา”
“เพื่อนนักข่าวสายอาชญากรรม”
วราพรรณลืมตัวตอบ หันไปเห็นองอาจยื่นหน้าเข้ามาพอดีก็ตกใจ
“เฮ้ย! มาได้ไงตกใจหมด”
“ตกลงเธอกับยัยซีซีมีเรื่องอะไรกันแน่”
“จะเรื่องอะไรก็ช่าง แต่ที่แน่ๆ ฉันไม่ได้ทำอะไรไม่ดีก็แล้วกัน”
“ถ้าเธอไม่บอกฉันมาดีๆ ฉันโทรหาซีซีแน่”
“งั้นอยากทำอะไรก็เชิญเลย ไม่ต้องมาขู่ ฉันเบื่อเต็มทีแล้ว”
วราพรรณเดินไปหน้าท่าทางซีเรียส
“แหมซีเรียสเชียว ว่าแต่มีเรื่องอะไรกัน”
องอาจมองตามด้วยความรู้สึกสงสัย
ซีซีเดินคุยโทรศัพท์อยู่ในห้างสรรพสินค้า เธอสั่งเสียงเข้ม
“นี่...เตรียมตัวเอาไว้ ฉันจะไปรับแกกับยายยูกิมากรุงเทพ”
วราพรรณที่แอบฟังอยู่แถวนั้นโผล่หน้าออกมา
“รับมากรุงเทพเหรอ ก็ดีน่ะสิ จะจัดการอะไรๆมันจะได้ง่ายหน่อย”
ซีซียังคงพูดต่อ...
“ตอนนี้ฉันกำลังเตรียมที่ทางอยู่ ยังไงก็อย่าให้มันหนีไปได้ก็ละกัน”
วราพรรณที่แอบฟังอยู่ยิ้มออก
ยามาดะยังคุยโทรศัพท์กับซีซี...
“ทำไมต้องไปกรุงเทพด้วย คุณจะปล่อยยูกิไปแล้วรึไง”
ยูกิเดินมาได้ยินพอดี จึงชะงักฟัง ซีซีตอบกลับมา
“ปล่อยอะไรล่ะ ฉันแค่จะย้ายมันมาทำการทดลองที่กรุงเทพ”
“เค้าเป็นคนนะ ไม่ใช่หนู”
“ฉันรู้แล้ว แต่ตอนนี้มันมียูกิอีกคนขึ้นมาน่ะสิ ฉันอยากจะรู้ว่าใครกันแน่ตัวจริง”
“บ้าไปแล้ว ไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอก”
“ไม่เชื่อก็ตามใจ แต่ฉันเห็นมากับตา แกเตรียมตัวไว้ให้พร้อมแล้วกัน”
ซีซีวางหูโทรศัพท์ ยามาดะไม่ค่อยสบายใจ ยูกิที่แอบฟังอยู่สีหน้าครุ่นคิด
ซีซีเดินออกมาจากห้อง ขับรถออกไป
“คราวนี้แกเสร็จฉันแน่”
วราพรรณที่แอบซุ่มดูอยู่ รีบสวมหมวกกันน็อกขับมอเตอร์ไซด์ตามไป กระทั่งถึงคอนโดที่พักของซีซี
ซีซีเดินกลับเข้ามาในคอนโด ใช้คีย์การ์ดผ่านประตูเข้าไป วราพรรณที่ตามหลังมาห่าง ๆ จะตามไปแต่รปภ.ห้ามไว้
“ติดต่อห้องไหนครับ”
ซีซีหันมามองตาม วราพรรณหันหลังขวับ ซีซีไม่ติดใจเดินไป รปภ.เห็นท่าทางลับ ๆ ล่อของวราพรรณก็ไม่ไว้ใจ
“ติดต่อห้องไหนครับ”
“ยัยซีซีอยู่ห้องไหน”
“ผมคงตอบคุณไม่ได้ ว่าแต่คุณเป็นใครท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ น่าสงสัย”
“ฉันเป็นนักข่าวไม่ใช่โจรหรอกนี่บัตรนักข่าว”
วราพรรณเปิดประเป๋ายื่นบัตรส่วนลดให้รปภ.ดู
“นั่นมันบัตรส่วนลด”
“งั้นใบนี้”
ส่งบัตรเครดิตให้
“นี่มันเครดิต”
“ก็แสดงว่าฉันเป็นคนมีเครดิตไม่ใช่โจรพอใจหรือยัง”
รปภ.มองอย่างไม่เชื่อ
“แล้วทำไมต้องทำลับๆล่อ”
วราพรรณหาข้อแก้ตัว
“ก็ฉันเป็นปาปารัซซี่รู้จักมั้ย”
“รู้จักแต่ริดซี่ดวง”
“ปาปารัซซี่คือคนแอบถ่ายรูปคนดัง ไปลงหนังสือกอซซิปไง คราวนี้รู้จักยัง”
รปภ.กระตือรือร้นทันที
“อ๋อรู้จักครับรู้จัก เมียผมชอบอ่าน มีหนังสือที่บ้านกองเป็นตั้งเลยครับ”
วราพรรณคิดอะไรบางอย่างได้
“เหรอ งั้นฉันมีข้อเสนอสนใจมั้ย”
“ข้อเสนออะไร”
“แอบตามถ่ายรูปยัยซีซี และคอยรายงานความเคลื่อนไหวให้ฉันรู้ แล้วฉันจะจ่ายให้อย่างงาม”
รปภ.ครุ่นคิด วราพรรณยิ้มอย่างมีแผนการอะไรบางอย่าง
เป็นไทยังจ้องจับผิดนับดาวอยู่ เขาเริ่มรู้สึกว่านับดาวไม่ใช่ยูกิแล้ว จับผิดต่อ เริ่มถามจี้ เร็วๆ
“เกิดวันที่เท่าไหร่”
“เอ่อ...21 กันยา”
เป็นไทอ่านในแฟ้ม วันเกิดยูกิ 21 ธันวา
“ที่เมืองอะไร”
“กรุงเทพ เอ้ย โตเกียว”
เป็นไทอ่านในแฟ้ม เกิดที่เมืองชิซึโอกะ
“บ้านเลขที่”
“เอ่อ 12/1”
“พ่อชื่อ”
“...เอ่อ...โนบิตะ”
“แม่ชื่อ”
“...เอ่อ...ชิซูกะ”
“ถ้างั้นคงมีอาเป็นโดเรม่อนสินะ”
“ก็คุณถามเร็วฉันคิดไม่ทัน”
“เรื่องของตัวคุณเอง ต้องคิดด้วยเหรอ”
“เอ่อ...คือ...”
“ผมได้คำตอบแล้ว”
เป็นไทไม่พูดอะไรเดินออกไปจากห้องทันที นับดาวงงๆ ทำตัวไม่ถูก
เย็นวันนั้น...นับดาวนั่งจับเข่าคุยกับวราพรรณ
“เรื่องมันเป็นแบบนี้ มันหมายความว่ายังไง”
วราพรรณซัก
“เค้าเดินออกไปเลยเหรอ”
“ไม่พูดแม้แต่คำเดียวด้วย”
“แล้วที่แกตอบไป มันชัวร์ใช่มั้ย”
“ชัวร์อะไรล่ะ ฉันมั่ว ฉันเคยอ่านประวัติยูกิก็จริง แต่ฉันจำไม่ได้แม่นขนาดนั้นหรอก แถมถามเร็วขนาดนั้น ใครจะไปคิดออก”
“อ้าว งั้นก็ซวยแล้วสิ”
“แปลว่าเค้ารู้ว่าฉันไม่ใช่ยูกิแล้วเหรอ”
“แหงล่ะ เค้าแสดงอาการขนาดนั้น แถมบอกมาเองว่าสังเกตว่าแกน่ะผิดปกติมาตั้งนานแล้ว แบบนี้แปลว่าเขาน่ะ โป๊ะแล้ว”
“โป๊ะอะไร”
“ก็ความลับแตกแล้วไง”
“เฮ้ย จริงเหรอ ทำไงดีล่ะ”
นับดาวหน้าเสีย
เป็นไทเดินเข้ามาในห้องทำงาน เห็นโปสเตอร์คอนเสิร์ตยูกิที่แปะอยู่บนผนัง เขาฉีกมันออกไม่ใยดี เอกสารงานบนโต๊ะ เขากวาดลงเรียบด้วยความโมโห
“ใครกันทำเรื่องเลวๆแบบนี้ ยูกิตัวปลอม เราโดนหลอกตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
เป็นไทกวาดของลงจากชั้นอีก องอาจเปิดประตูเข้ามา
“มาอยู่นี่เอง อยู่ๆก็หายไปจากงานซะงั้น จะปรึกษาเรื่อง…” พอเห็นของระเนระนาด ก็ชะงัก “คุณพระ ออฟฟิศเราโดนปล้นเหรอเนี่ย”
องอาจรีบวิ่งออกไปข้างน้องเพื่อดูห้องตัวเอง เป็นไทยืนสงบสติอารมณ์อยู่ ไม่นานองอาจก็วิ่งกลับเข้ามา หน้าตาตื่น”
“ห้องอื่นดูปกติดี ของอยู่ครบ มันค้นแต่ห้องคุณไทเหรอครับเนี่ย มันต้องการอะไรนะ เราต้องสืบให้รู้ให้ได้”
อาอาจก้มดูแฟ้มที่พื้น เห็นแฟ้มหนึ่งมีรอยนิ้วมืออยู่
“นี่ไงครับ ผมเจอรอยนิ้วมือแล้ว คราวนี้ล่ะ มันหนีไม่รอดแน่ๆ”
เป็นไทเอือมกับองอาจ
“ลายนิ้วมือผมเอง”
“อย่าเพิ่งทำเป็นมั่นใจไป ของแบบนี้ต้องส่งให้ dsi พิสูจน์ มันกล้ามาค้นห้องเราแบบนี้ แปลว่ามันอุกอาจมากนะครับ”
“ผมเป็นคนรื้อห้องนี้เองแหละ จบมั้ย”
“จบครับ ...นี่ดูท่าทางจะอารมณ์ไม่ดีด้วยนะเราน่ะ”
“ใช่”
“งั้นผมไปก่อนดีกว่า”
องอาจรีบปลีกตัวออกจากห้องไปทันที เป็นไทถอนหายใจสงบสติอารมณ์
ในห้างสรรพสินค้า...-แพรวไพลินกดมือถือ แล้วปิดอย่างหงุดหงิดที่เป็นไทไม่ยอมรับสาย
“พี่เป็นไท นะ พี่เป็นไป ทำไมไม่เคยรับโทรศัพท์แพรวเลย...คงไม่ใช่อยู่กับนังยูกิ แล้ว แล้ว มันก็....”
แพรวไพลินจินตนาการขึ้นมาเองว่า...ในห้องหนึ่ง...นับดาวปลดเสื้อตัวนอกออก เสื้อตกไปอยู่กับพื้น เป็นไทมองตะลึง นับดาว ที่ใส่แต่สลิปตัวใน โผเข้ามากอดเป็นไท แล้วมองอย่างยั่วยวน
“เป็นไท...ไอ เลิฟ ยู”
เป็นไทมองอย่างหลงใหล ค่อยๆ ก้มลงไปจูบนับดาว...แพรวไพลินกรี๊ดสนั่นห้างอย่างลืมตัว
“อ๊ายยย”
คนที่อยู่แถวนั้น ชะงักอึ้งมองแพรวไพลินเป็นตาเดียวกัน
“นังสารเลว...ฉันไม่ยอมให้แกแย่งพี่เป็นไทไปหรอก”
แพรวไพลินรู้สึกตัวเห็นคนมองอยู่เต็ม อายหน้าแตก รีบทำฟอร์ม มองไปที่มุมหนึ่ง เหมือนคุยกับผู้กำกับ
“อุ้ย เทคเดียวผ่านเลยใช่มั้ยคะ ผู้กำกับขา” เธอคุยกับผู้คนแบบขอทางออกมา “ถ่ายละครนะคะ ถ่ายละครค้า”
แพรวไพลินรีบเดินหนีออกมาหยุดที่มุมหนึ่งของห้าง
“นังยูกิ เพราะแกคนเดียว ชีวิตฉันถึงมีแต่เรื่อง ฮึ่ยยย แกมันมีดีอะไรนักหนาฮ้า นังยูกิ ฉันสู้แกไม่ได้ตรงไหน...”
แพรวไพลินมองไปเห็นที่ป้ายที่เขียนแปะอยู่หน้าร้านมุมหนึ่ง อ่านอย่างสนใจ
“เชิญชม ชุดปราบกิ๊ก! เปลี่ยนชุดนอนของคุณเสียใหม่ ก่อนที่ผู้ชายจะเปลี่ยนไป!!”
แพรวไพลินมองชุดในหุ่นโชว์แบบเซ็กซี่อย่างสนใจ
“..นับว่าเรายังมีบุญนะเนี้ย ถึงได้รับข้อมูลประเทืองปัญญาแบบนี้ นึกออกแล้ว นี่ล่ะ วิธีดึงพี่เป็นไทกลับมาอย่างแนบเนียนที่สุด”
แพรวไพลินยิ้มอย่างมีความหวัง แล้วรีบเข้าไปในร้าน เธอเลือกชุดอย่างเอาจริงเอาจัง กวาดชุดแบบเซ็กซี่เรียบทั้งแผงส่งให้พนักงานที่มองอึ้งๆ แล้วเดินออกมาจากร้าน พร้อมกับพนักงานที่ช่วยหิ้วถุงชุดที่ซื้อเป็นหอบเยอะมาก แพรวไพลินยกมือถือขึ้นมา ยิ้มกริ่ม
“พี่เป็นไท...คืนนี้เราเจอกันแน่”
แพรวไพลินลงมือกดเขียนข้อความ โดยไม่ได้ดูว่าที่ตัวเขียนส่งอยู่นั้น เป็นชื่อสังวรณ์ แล้วกดส่งออกไป
สังวรณ์กำลังจะเดินมาขึ้นรถ เสียงมือถือสังวรณ์ ดังขึ้นหยิบขึ้นมาอ่านข้อความ
“รีบๆมานะ แพรวรออยู่ที่คอนโดพี่เป็นไทนะคะ”
สังวรณ์งง ปนแปลกใจ
“ฮึ อยู่ๆทำไมนัดที่คอนโดไอ้เป็นไทล่ะ…หรือว่า เจ้แกถือคติที่ว่า…ที่ที่อันตรายที่สุดก็คือที่ที่ปลอดภัยที่สุด....เยี่ยม ฉลาดมาก!!แพรวไพลิน”
สังวรณ์หัวเราะชอบใจ
อ่านต่อหน้า 2
แจ้งเพื่อทราบ :
เนื่องจากแฟนเพจเฟสบุ๊ค "ละครออนไลน์" มีปัญหาด้านเทคนิคบางประการ ทีมงาน “ละครออนไลน์” จึงจะทำการปิดภายในวันพรุ่งนี้ (พุธที่ 22 มีนาคม พศ. 2555) และจะดำเนินการเปิดใหม่ให้เร็วที่สุด โดยจะแจ้งให้แฟนๆ ที่ติดตามทราบเป็นระยะ จึงขออภัยมา ณ ที่นี้
ฉันรักเธอนะ ตอนที่ 10 (ต่อ)
นับดาวกลุ้มใจกับท่าทีของเป็นไท บมาเล่าให้วราพรรณฟังอย่างร้อนใจ
“ทำไงดี ทำไงดี ทำไงดี ช่วยคิดหน่อย”
“ฉันคิดอยู่...”
นับดาวถอนหายใจ
“ฉันว่าตอนนี้เขาต้องกำลังโกรธมากอยู่แน่ๆ”
“แหงล่ะ เป็นฉันก็โกรธ”
“แล้วพอเค้าตั้งสติได้ เขาจะต้องเริ่มคิดหาว่าใครรู้เรื่องนี้บ้าง”
“อืม แล้วเขาจะบอกคนอื่นมั้ย ถ้าเขาสงสัยไปบอกคนอื่น เรื่องไปถึงหูแพรวไพลินกับสังวรณ์ว่าความลับแตกแล้ว เราต้องแย่แน่ๆ”
“ไม่หรอก เขาจะทำแบบนั้นเพื่อทำลายงานตัวเองทำไม ถ้าคนรู้ว่ายูกิตัวปลอม งานเค้าก็ล่มนะ จำไว้”
“งั้นเอาไงต่อล่ะ”
“พอเขาอยากรู้ว่าใครทำ เขาก็ต้องบุกบ้าน มาเพื่อถามแกถึงเรื่องทั้งหมด”
“จริงดิ แล้วฉันต้องทำไง”
“แกต้องสวยสงบสยบเคลื่อนไหว”
“อะไรของแก”
“ผู้ชายน่ะแพ้ผู้หญิงสวย โกรธ 100 เจอสวยๆ ก็ลดเหลือ 50 เจอวาจาออดอ้อนสำนึกผิดอีก ลดไปอีกครึ่ง แค่นั้นเขาก็พร้อมจะเข้าใจเหตุผลของแกแล้ว”
“คือฉันต้องสวยรอเลยใช่มั้ย”
“ถูก”
นับดาวเชื่อวราพรรณหมดใจ เธออยากทำให้เรื่องทุกอย่างดีขึ้น
เป็นไทเดินเรื่อยเปื่อย เหงา เศร้าสร้อยมาตามทาง เหมือนคนอกหัก เด็กขายดอกไม้ วิ่งเข้ามาหาอย่างดีใจ
“พี่...พี่ซื้อดอกไม้ไหมคะ...”
เป็นไทนึกถึงภาพที่นับดาวเคยซื้อดอกไม้ให้ เป็นไทยืนเหม่อเจ็บปวดใจ...
“พี่ๆ”
เป็นไทรู้สึกตัว หันมองเด็ก
“พี่ช่วยซื้อหน่อย”
“ไม่เอาดอกไม้ อยากได้ความจริงใจ มีขายป่ะ”
เด็กเหวอ งงไปเลยตอบไม่ถูก เป็นไทหันเดินต่อไป อย่างเจ็บปวดเพียงลำพัง
เป็นไทเดินมาตามราวสะพานแล้วหยุดเหม่อมองออกไป คิดถีงนับดาวที่หลอกลวงแล้ว
ทนไม่ไหวตะโกนลั่นออกไป ระบายความในใจ
“ทำไมต้องโกหกหลอกลวงกันด้วย ทำไม”
ค่ำนั้น...นับดาวแต่งตัวสวยเช้งรออยู่ที่โซฟา รจนานั่งดูทีวีแต่นับดาวชะเง้อมองที่ประตู วราพรรณเปิดประตูเข้ามา
“มาแล้วเหรอ”
“ยัง”
“แล้วเข้ามาทำไม”
“ยุงกัด”
รจนาที่นั่งดูทีวีอยู่หันมามองหลานตัวเอง
“นี่เล่นอะไรกันอยู่เนี่ย อยู่บ้านเราต้องแต่งตัวบัลเล่ต์ขนาดนี้เลยเหรอนับดาว”
“เดี๋ยวจะมีคนมา”
“แล้วยังไง ฉันต้องเปลี่ยนชุดด้วยงั้นเหรอ”
“ก็ดีนะย่า เสน่ห์จะได้เพิ่มคูณสอง เพื่อการเจรจาที่ง่ายขึ้น” นับดาวมองวราพรรณ “แกก็ด้วยเลยนุ้ย ไปเปลี่ยนชุด”
วราพรรณหน้าเหวอ
“มันเรื่องอะไรล่ะ”
“ทฤษฎีเกิร์ลแก๊งค์ไง ไม่เคยได้ยินเหรอ ผู้หญิงแต่ตัวเอ็กซ์ๆ รวมกันเยอะๆ กระโดดไปกระโดดมา มองผ่านๆมันเร้าใจใช่มั้ย แต่พอสังเกตแต่ละคนจริงๆสิ หน้าตาก็บ้านๆกันทั้งนั้น อาศัยเต้นเร็วๆสะบัดหัวไปมา”
“แล้วไง”
“ถ้าทุกคนแต่งสวยกันหมด มองเผินๆมันก็ยิ่งดูดีไม่ใช่เหรอ ไปเลยไปเปลี่ยนชุด”
รจนาไม่เข้าใจคำพูดของนับดาวนัก วราพรรณก็งงๆกับทฤษฎีของนับดาว
รจนา วราพรรณ นับดาว ยืนแต่งตัวสวย จัดจ้าน แบบไม่เข้ากับตัวเองนัก นับดาวชะเง้อมองหาเป็นไท ส่วนวราพรรณ กับรจนายืนตบยุงกันอยู่เบื่อๆ
“ทำไมไม่มาซักทีนะ” นับดาวบ่น
วราพรรณถอนใจ
“วันนี้เค้าคงไม่มาแล้วล่ะแก”
“ก็แกเป็นคนบอกเองว่าเค้าจะมาเอาเรื่อง”
“อาจจะเป็นวันอื่น”
“แต่ยังไงเราก็ต้องเตรียมพร้อม”
“แล้วนี่แกจะปล่อยให้ย่าแกมานั่งล่อแมลงอยู่ตรงนี้ไปทั้งคืนรึไง”
นับดาวหันไปเห็นสภาพย่าที่น่าเวทนา เหมือนคนแก่หาแมลงกินมากกว่า
ดึกคืนนั้น รจนากับวรพรรณนอนหลับบนโซฟาทับกันไปมา ส่วนนับดาวก็ชะเง้อรอเป็นไทมา เธอหันมองดูย่ากับเพื่อนแล้วก็ถอนหายใจ
ในห้องเป็นไท...แพรวไพลินดึงถุงน่องขึ้นสวมเรียวขา เสร็จพอดี แล้วหมุนตัวชมโฉมตัวเอง ในชุดคล้ายๆนักเรียนญี่ปุ่น เสื้อสั้นเต่อเอวลอย กระโปรงสั้น แบบเซ็กซี่ ถุงเท้ายาว ทำผมคิขุ กำลังหมุนตัวสำรวจ หุ่นตัวเองอยู่หน้ากระจก แล้วโพสท่าเซ็กซี่
“งามมาก แพรวไพลิน...”
ทางด้านเป็นไทเข้ามาในคอนโด กดลิฟท์แล้วเดินเข้าไป สังวรณ์วิ่งตามเข้ามาจะเข้าลิฟท์ด้วยแต่ไม่ทัน ลิฟท์ปิดไปเสียก่อน ทั้งสองไม่เห็นกัน
“รอด้วย...รอด้วย...โธ่เว้ย...จะรีบไปหาป้าแกหรือไงวะ” สังวรรีบกดลิฟท์เรียกใหม่ “คุณแพรว รอซังวอนก่อนนะฮะ”
แพรวไพลินหยิบขวดน้ำหอมมาฉีด แล้วพูดกับตัวเองอย่างมั่นใจ
“คืนนี้แหละ พี่เป็นไทจะต้องตกเป็นของแพรว”
เป็นไทออกจากลิฟท์ แล้วเดินแบบเหม่อๆ ครุ่นคิดแต่เรื่องนับดาว
แพรวไพลินเดินมา ชะเง้อมองไปหน้าประตู รอคอย
“พี่เป็นไท มัวทำอะไรอยู่นะ ป่านนี้ยังมาไม่ถึงอีก”
เป็นไทเดินเข้ามาที่หน้าห้อง แล้วยกมือไปจับลูกบิดประตูห้องคิดว่าเป็นห้องตัวเอง แต่ว่าเขามาผิดชั้น ทอมเปิดประตูห้องออกมาผ่าง เป็นไทสะดุ้งผงะออก
“เฮ้ย! ไม่ใช่ห้องเรานี่”
“เออดิ...เนี่ยห้องอั๊ว เฮียเป้า!”
“โทษทีป้า”
ทอมถลึงตาใส่ เป็นไทรีบแก้ตัวแล้วถอยวิ่งออกไป
“เออ ไม่ใช่ เฮียเป้า...โทษทีผมเข้าห้องผิด”
แพรวไพลินได้ยินเสียงลูกบิดขยับก๊อกแก๊กเหมือนมีคนจะเข้ามา เธอดีใจนึกว่าเป็นไทมารีบถลาเข้าไปหา
“พี่เป็นไท!”
ประตูห้องเปิดออก สังวรณ์ก้าวเข้ามา แพรวไพลินโผเข้าไปกอดหมับทันที
“ที่รัก...มาแล้วหรือคะ”
สังวรณ์สะดุ้งตาโตแล้วหันมาสบตากับ แพรวไพลิน ทั้งสองมองตาค้าง รู้แล้วว่าผิดตัว ต่างร้องตกใจ เสียงลั่นใส่กัน
แพรวไพลินผลักสังวรณ์ไล่ให้ออกไป
“แกมาทำอะไรที่นี่ ไปออกไป”
“นี่คุณ เป็นคนส่งข้อความเรียกผมให้มาที่นี่เองนะ”
“ฉันเนี่ยนะ ประสาทแล้ว”
“คุณนั่นแหละ พฤติกรรมไม่น่าไว้ใจ”
สังวรณ์เดินชี้หน้าเข้ามาหา แพรวไพลิน เดินถอยหลังร่นไปเรื่อยๆ
“บอกผมมาตรงๆ ดีกว่าคุณคิดยังไงกับผมกันแน่”
“บ้า ฉันจะไปคิดอะไรกับแก”
“อย่ามาแก้ตัว” สังวรณ์รุกคืบชะโงกหน้าเข้ามาหา “ต้องเป็นเรื่องลามกแน่ๆ เลยใช่มั้ย!”
แพรวไพลินถอยหนี แล้วเลยทำให้สะดุดหงายหลัง จะล้มลงไป แพรวไพลินคว้าตัวสังวรณ์ดึงตามลงไปด้วย
“ว้าย!”
“โอ้ย”
สังวรณ์กอดแพรวไพลินไว้ แล้วหน้าทิ่มตามลงไปหอมแก้มเธอเข้าพอดี แพรวไพลินกริ๊ดลั่น สังวรณ์ตาเหลือก ทำหน้าขยักขย้อนคลื่นไส้ ไม่ได้พิศวาสเลย แพรวไพลินผลักสังวรณ์ออกไป
“ยี้...ไอ้ชั่ว จะปล้ำฉันเหรอ”
แพรวไพลินยกมือไปตบ สังวรณ์ก้มหลบอย่างรวดเร็ว แพรวไพลินยกอีกมือไปตบ สังวรณ์ก็หลบได้อีกอย่างรวดเร็ว สังวรณ์เยาะเย้ย
“จ้างก็ตบไม่ถูก”
ฉับพลันแพรวไพลินยกเข่าเข้าผ่าหมากเต็มๆ สังวรณ์ร้องจ๊ากหน้าเหยเก งอก่องอขิงไปทันทีแพรวไพลินยกเข่าค้างไว้ พูดอย่างสะใจ
“ถูกหรือยัง”
“เต็มๆ”
สังวรณ์ร้องเจ็บปวด แพรวไพลินผลักสังวรณ์กระเด็นออกไป
“อ๊าก”
“สมน้ำหน้า จำไว้ คนที่มีสิทธิ์แตะต้องตัวฉันได้มีแต่พี่เป็นไทเท่านั้น”
ประตูห้องมีเสียงก๊อกแก๊กดังเข้ามา แพรวไพลินหันขวับไปมอง เสียงเป็นไทดังเข้ามา
“ฮึ...นั่นใครน่ะ...”
แพรวไพลินหน้าเสีย
“พี่เป็นไท!”
แพรวไพลินตื่นตระหนก รีบปิดปากตัวเองไม่ให้เสียงดัง เป็นไทปิดประตูห้อง แล้วชะเง้อมอง สงสัย
“ใครทำอะไรอยู่ตรงนั้น”
แพรวไพลินสะดุ้งโหย่งหน้าตาตื่นตระหนก
“ถ้าพี่เป็นไทเห็นฉันอยู่กับแก ต้องเข้าใจว่าฉันนอกใจเขาแน่ๆเลยนี่ฉันจะทำยังไงดี ตายแล้ว ตายแน่ๆ”
แพรวไพลินลนลานไปมาหน้าเสีย
“ผมจะอธิบายความจริงให้คุณเป็นไทฟังเอง...”
สังวรณ์ทำท่าจะเดินไปหาเป็นไท แพรวไพลินรีบกระชากเสื้อสังวรณ์แล้วดึงออกไปเลย
“ไอ้โง่...มานี่”
เป็นไทเดินเข้ามาในห้อง มองหาไม่เห็นใคร เลยพูดขึ้น
“ใครน่ะ อย่ามาหลบๆซ่อนๆ ออกมาซะดีๆ”
ไม่มีใครตอบ เป็นไทนึกถึงนับดาวขึ้นมา นึกว่านับดาวมาที่นี่
“ยูกิ! หรือว่า คุณมาหาผม...”
เป็นไทวิ่งหน้าตื่นออกไปอีกทาง ออกมาที่ระเบียง แต่ไม่มีใคร เขาพยายามมองหา
“ยูกิ คุณอยู่ที่ไหน...”
แล้วเป็นไทนึกได้ขึ้นมา ว่ายูกิหลอกลวง หน้าเขาเศร้าซึมขึ้นมาทันที ด่าตัวเอง
“ไอ้บ้าเอ๊ย...แกจะไปคิดถึงเขาทำไมอีก...ผู้หญิงหลอกลวงอย่างนั้น ไม่เข็ดหรือไง”
เป็นไทตบมือลงไปกับราวระเบียง ถอนหายใจเฮือกๆ พยายามทำใจไม่คิดถึง เขาเดินไปเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนตัวเอง แล้วต้องตกใจสะดุ้ง เมื่อพบว่า แพรวไพลินในชุดนักเรียนญี่ปุ่น กำลังโค้งคารวะอยู่
“ไฮ้!”
“เฮ้ย!”
“อาริกาโตะ...สวัสดีคะ พี่เป็นไท”
“นี่เธอเองเหรอ อยู่ๆ โผล่เข้ามาในห้องผมได้ยังไง...แล้วนี่ ไปเอาชุดอะไรมาใส่เนี่ย”
“อ่อ พอดีวันนี้มีงานชุมนุมศิษย์เก่าโพไซดอนคอนแว่นต์ค่ะ”
“ฮึ...อะไรนะ”
เสียงสังวรณ์ที่ดัดเสียงเป็นผู้หญิงดังเข้ามา
“คุณแพรวคะ จะไปได้หรือยังคะ...”
เป็นไทกับแพรวไพลินหันมองไปทางประตูห้องน้ำ เห็นสังวรณ์อยู่ในชุดเมดฝรั่ง แบบกระโปรงสั้น บานฟู เซ็กซี่ มีหมวกเข้าเซ็ทกัน เดินออกมา พร้อมถือพัดไว้คอยโบกๆ ปิดหน้า เป็นไทตกใจ
“ผีกระซู่”
สังวรณ์ดัดเสียงหญิง
“ไม่ใช่...คนค่ะ เอ๊ย คนค่ะ ไม่ใช่ผี”
เป็นไทมองดูใหม่แล้วอึ้งๆ รู้แล้วว่าเป็นสังวรณ์ หันไปถามแพรวไพลินนิ่งๆ
“นี่มันเรื่องอะไรกัน”
แพรวไพลินนึกว่าเป็นไทไม่รู้เรื่อง
“อ่อ นี่สัง...” เธอมองเห็นสังวรณ์ ถลึงตาใส่ เลยเปลี่ยนชื่อทันที “สังคัง ค่ะ เป็นเพื่อนของแพรวเอง”
เป็นไทอึ้ง
“ฮึ ! สังคังเหรอ”
แพรวไพลินไม่ตอบรีบวิ่งไปดึงแขนสังวรณ์ ทำท่าจะเดินออกไป
“เราสายมากแล้วนะ สังคัง รีบไปเถอะ” แพรวไพลินหันไปยิ้มแหยๆให้เป็นไท “แพรวไปก่อนนะคะ”
สังวรณ์โบกมือ
“บ๊ายบายค้า”
แพรวไพลินกับสังวรณ์หันเดินออกจากห้อง เป็นไทหยิบกระเป๋าสตางค์ผู้ชายขึ้นมาแล้วเรียกขึ้น
“คุณลืมกระเป๋าตังค์ไว้แน่ะ คุณสังวรณ์”
สังวรณ์ลืมตัว หันกลับไปหา เป็นไทโยนกระเป๋าตังค์ให้ สังวรณ์รับมา ขอบคุณ
“ขอบคุณนะครับ คุณเป็นไท” สังวรณ์นึกได้หน้าเสีย “เฮ้ย !”
แพรวไพลินอึ้ง
“หมดกันแล้ว...ฮือ พี่เป็นไท รู้ได้ยังไงอ่ะ”
“นึกว่าผมโง่นักหรือไง”
แพรวไพลินกับสังวรณ์หน้าเสีย รีบวิ่งเข้ามาแก้ตัว
“ปะ เปล่านะคะ พี่เป็นไท แพรวกับนายสังวรณ์ไม่ได้มีอะไรกันนะคะ”
“จริงๆ ครับ มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด คุณแพรวเค้ากลัวคุณโกรธก็เลยบังคับให้ผมแต่งชุดบ้าๆนี่”
เป็นไทหน้านิ่ง
“ผมรู้น่า ใครจะบ้ามามีอะไรกันที่คอนโดผมล่ะ...แล้วถึงจะมีจริงๆ ผมก็ไม่คิดจะโกรธเลยด้วยซ้ำ”
แพรวไพลินกับสังวรณ์ตะลึง
“อ้าว”
“ผมโกรธที่พวกคุณหลอกผมต่างหาก”
ทั้งสองตะลึงอีก
“ซะงั้น”
“ทำไมไม่พูดความจริงกัน ฮ้า”
แพรวไพลินเข้าไปจะกอด
“พี่เป็นไท แพรวผิดไปแล้ว แพรวไม่ได้ตั้งใจ”
เป็นไทคิดถึงนับดาว เขาต่อว่าแพรวไพลินเหมือนต่อว่านับดาว เขาสะบัดออกมา
“ไม่ต้องมาพูดเลย ผู้หญิงเป็นอย่างนี้เหมือนกันทุกคนใช่มั้ย เห็นผู้ชายเป็นควายหรือไง หลอกได้หลอกเอา ผู้หญิงอะไรใจร้าย ใจดำ เคยนึกถึงคนอื่นบ้างไหมว่าเขาก็มีหัวใจเหมือนกัน”
เป็นไทใส่เป็นชุด จนแพรวไพลินอึ้งหน้าเหวอไป สังวรณ์ก็อึ้ง ยกมือเกาศีรษะมองงงๆ ก่อนจะพูดขึ้น
“อินซะขนาดนี้ ตกลงว่าโดนพวกเราหลอก หรือว่า ไปโดนใครหลอกมาก่อนกันแน่”
เป็นไทอึกอักรู้ว่าผสมโรงด่าเพราะเรื่องนับดาว เขารีบทำเป็นตวาดไล่ลั่น
“พอเลย ไม่ต้องพูดอะไรแล้วทั้งนั้น ผมอยากอยู่คนเดียว”
แพรวไพลินตกใจ
“พี่เป็น...”
เป็นไทสวนทันที
“ออกไปได้แล้ว แพรว ไปเดี๋ยวนี้เลย ไป...ไปให้หมด”
เป็นไทดัน ทั้งสองคนออกจากห้องไป แล้วปิดประตูปัง เขาพิงประตูอย่างเหนื่อยอ่อนใจ
ยามาดะนั่งประดิษฐ์อะไรบางอย่างง่วนอยู่ที่โต๊ะในห้อง เขาเอาพู่กัน จุ่มสีเขียนเป็นชื่อ “ยามาดะ ยูกิ”ที่ก้นนาฬิกาทรายด้านหนึ่ง เขียนเสร็จก็ยกขึ้นมองด้วยความอิ่มเอมใจ
ยามาดะถือนาฬิกาทรายที่ตัวเองทำ เข้ามาที่หน้าห้องยูกิ ยกมือขึ้นเคาะประตู แล้วจับที่ลูกบิดเห็นว่าไม่ได้ล็อกไว้เลยถือวิสาสะเปิดเข้าไปเลย เขานึกว่า หมอนข้างที่คลุมด้วยผ้าห่ม เป็นยูกิ
“ยูกิ...” ยามาดะเขินประหม่า “ผม...ผมมีอะไรจะให้คุณ...”
เขายื่นนาฬิกาทรายออกไปให้ แต่หน้ามองไปอีกทาง แบบว่าเขินมาก
“คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่เราจะอยู่ด้วยกันบนเกาะนี้...ผมอยากให้คุณเก็บเวลานี้ไว้ในความทรงจำของคุณตลอดไป”
แต่ทุกอย่างเงียบ เขาค่อย รู้สึกตัว หันมามองที่เตียง
“ยูกิ”
ยามาดะดึงผ้าห่มขึ้นเห็นว่ามีแต่หมอนข้าง เขาหน้าเครียดขึ้นมาทันที
“แอบหนีไปอีกแล้วเหรอ...”
ยามาดะตื่นตระหนก ถือนาฬิกาทรายติดมือวิ่งออกไปตามหายูกิ
“ยูกิ...ยูกิ อย่าให้จับได้นะ โดนลงโทษจัดหนักแน่”
เขาเหลียวมองไปทางหนึ่ง แล้วได้ยินเสียงหมาหอนดังขึ้นมา ยามาดะ ชะงักอึ้ง
“หมาที่ไหนมา หอนตอนนี้”
ยามาดะไม่สนใจก้าวไปอีกสองสามก้าว หมาหอนขึ้นมาอีก เขาชะงักกึก เริ่มหวั่นระแวง
“ฮึยยย จะหอนอะไรนัก บนเกาะแบบนี้ไม่มีผีหรอก”
ยามาดะหันไปทางหนึ่ง ยูกิที่เอาผ้าขาวคลุมหน้าแล้วเอาไฟฉายส่องคางโผล่พรวดขึ้นมาหลอก ยามาดะกระเด้งออกไปตกใจโยนนาฬิกาทรายทิ้งไป อย่างไม่รู้ตัว
“อ๊าก”
ยามาดะล้มลงไปกองกับพื้น ยูกิทำเสียงยานคางหลอก
“ข้าจะกินตับเจ้า”
ยามาดะ หลับหูหลับตาไหว้ โวยวาย
“อย่า ตับผมไม่อร่อยหรอก มีเชื้อไวรัสบีด้วย กินไปแล้วคุณอาจจะไม่สบายได้นะ”
ยูกิกลั้นขำไม่ไหว หัวเราะออกมา ก๊ากๆ
“ฮ่าฮ่าฮ่า ยากูซ่า...กลัวผี”
ยามาดะรู้สึกตัวลืมตาขึ้นมอง หน้าแตก
“ยูกิ..นี่คุณ...”
ยูกิทำล้อเลียน
“ตับผมไม่อร่อยหรอก มีเชื้อไวรัสบีด้วย กินแล้วไม่สบาย”
ยามาดะทั้งอายทั้งโมโห
“ยายตัวแสบ”
ยามาดะพุ่งเข้าไปหา ยูกิหลบไม่ยอมให้จับพร้อมแลบลิ้นล้อเลียน
“แน่จริงก็จับให้ได้ซี้”
ยูกิจะวิ่งหนี ยามาดะดึงแขน เธอเสียหลักเซมาปะทะอก เขากอดไว้หมับ เธอชะงักมองตาเชา ทั้งสองสบตากันอึ้งไปเลย ต่างคนต่างหลงเสน่ห์ซึ่งกันและกัน ยามาดะก้มลงมาใกล้ เกือบจะจูบปากแล้ว ยูกิได้กลิ่นไหม้ขึ้นมา สะดุ้ง ตื่นจากภวังค์ ยามาดะพลอยชะงักไปด้วย
“กลิ่นไหม้” ยูกินึกถึงมันที่ปิ้งเอาไว้ แล้วรีบผละออกไป “ตายแล้ว ไหม้หมดแล้ว”
ยูกิรีบวิ่งออกไป ยามาดะวิ่งตาม
“ยูกิ...อะไรของคุณน่ะ”
ยูกิวิ่งเข้ามาดูมันเผาที่กองไฟเล็กๆ ก่อไว้ริมทะเลเอาไม้เขี่ยๆมัน
“โอ้ย...อย่าไหม้นะ อย่าไหม้”
ยามาดะวิ่งตามเข้ามา
“นี่คุณทำอะไรของคุณ”
“มันเผาน่ะ อู้ย...นี่อันนี้ยังไม่ไหม้...โอ้ย เยี่ยมไปเลย”
ยูกินั่งยองๆ สาละวนกับการคัดเลือกมันออกมา ยามาดะนั่งมองตามลงมา ดูแบบทึ่ง นึกไม่ถึง
“มันเผา...”
ยูกิเลือกมัน
“ใช่...ไม่มีมันญี่ปุ่น ใช้มันบนเกาะนี้แทนน่าจะได้ ฉันเก็บมากับมือเองเลยนะ”
ยูกิหยิบมันอันหนึ่งขึ้นมา บิออก แล้วยื่นครึ่งหนึ่งให้ยามาดะ
“อะ กินสิ”
ยามาดะยิ่งอึ้ง
“ให้ผม”
“บนเกาะนี้มีนายเป็นคนอยู่คนเดียว ไม่ให้นายแล้วจะให้แมวที่ไหนล่ะ”
“พูดอย่างนี้ก็ ซึ้งเลย”
“อู้ย...รีบๆรับไปสิ มันร้อนนะ”
ยามาดะรับมันไปเป่าๆ ให้เย็นแล้วถามขึ้นอีก
“นึกไง มาเผามัน”
ยูกิแกะๆมันไป คุยไปไม่ทันตั้งตัวตอบออกไป
“ก็ปาร์ตี้อำลาไงล่ะ”
“ฮึ คุณรู้ได้ไงว่าเราจะไม่อยู่ที่นี่อีก”
ยูกิสะดุ้งรีบเปลี่ยนคำพูด
“เออ...เปล่าๆ ฉันหมายถึงว่า ถ้าเกิดเราไม่ได้อยู่ที่นี่อีก ฉันก็อยากทำปาร์ตี้มันเผา เพราะเป็นของที่นายชอบ”
ยูกิสะดุ้งปิดปากตัวเองเผลอหลุดปากพูดออกไป ยามาดะสงสัย
“อะไรนะ รู้ว่าผมชอบกินมันเผาด้วย”
ยูกิรีบแก้ตัว
“เออ คือ...ฉันก็เดาเอาน่ะ คนญี่ปุ่นก็ชอบกินมันเผาทั้งนั้นแหละ”
ยามาดะมองยูกิอย่างเคลือบแคลง
“ผมชักสงสัยแล้วสิ คุณยังมีอะไรปิดบังผมอีกมั้ย”
ยูกิยิ้ม ครุ่นคิดในใจ
‘นายบื้อเอ๊ย...ฉันชอบนายแค่ไหน ไม่รู้ตัวบ้างเลยหรือไงนะ’
ยูกิค่อยพูดออกไปอย่างนางเอกมาก
“คนอย่างนายฉลาดจะตาย ต่อให้ฉันปิดให้มิดยังไง นายก็อ่านฉันออกอยู่แล้วล่ะ...จริงมั้ย”
ยามาดะยิ้มๆ เขินๆ ยกมือแบบไม่ต้องมาชม ยูกิแอบกลอกตา เซ็งผู้ชาย ยามาดะเหลียวหานาฬิกาทรายจะให้ยูกิแต่ไม่เจอพึมพำเบาๆ
“นาฬิกาทราย หายไปไหนนะ”
“หาอะไรเหรอ”
“เออ เปล่าๆไม่มีอะไรหรอก”
“งั้นก็มากินมันเผากันเถอะ” ยูกิชูมันขึ้นเหมือนจะชนแก้ว “ฉันขอให้นาย กินมันเผาใต้แสงจันทร์ อย่างมีความสุขนะ ยามาดะ”
ยามาดะมองยูกิยิ้ม ประทับใจ
“ผมก็ขอให้คุณมีความสุขมากๆ ใต้เงาจันทร์ และมันเผา”
ทั้งสองยิ้มๆให้กันแล้วยกมันมาชนกัน เหมือนชนแก้ว ก่อนจะร้องออกมาพร้อมกัน
“Cheers!”
ทั้งสอง ยกมันชนกัน ยิ้มให้กันตาเป็นประกาย รุ้สึกดีๆต่อกัน ยูกิบิมันยื่นให้ ยามาดะยื่นมือจะรับ แต่เธอดึงออกแล้วยกมันป้อนให้ที่ปากเขา ยามาดะกินมันเคี้ยวตุ้ยมีความสุข
แพรวไพลินนั่งร้องห่มร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ที่ม้านั่งในสวน สังวรณ์ถือแก้วกาแฟกระดาษเดินเข้ามาหา
“เฮ้อ นี่ยังไม่หยุดร้องห่มร้องไห้อีกเหรอ”
แพรวไพลินเงยหน้ามาเห็นสังวรณ์ก็ของขึ้นทันที ตรงเข้าไปบีบคอ
“ไอ้สังคัง ซังกะบ๊วย แกตายเสียเถอะ”
สังวรณ์ตาเหลือก
“โอ้ย...อู้ย...หยุดนะ คุณแพรว เดี๋ยวกาแฟหก เดี๋ยว โอ้ย...ผมเจ็บนะ”
แพรวไพลินบีบคอไม่ปล่อย
“ตายๆๆๆ”
สังวรณ์ตาเหลือก ไม่รู้จะทำยังไง เลยสาดกาแฟใส่เลอะเสื้อผ้าได้ผล แพรวไพลินเลิกบีบคอ ผละออกไป เต้นเร่าๆ
“ไอ้ซังวอน แกกล้าดียังไงมาสาดกาแฟใส่ฉัน”
สังวรณ์ลำคอตัวเองป้อยๆ
“อ๊อย...ก็คุณอยากทำตัวเป็นหมาบ้าทำไมล่ะ”
“แกยังมีหน้ามาพูดอีกเหรอ ทุกอย่างพังหมดแล้ว เพราะแกคนเดียว”
“อย่ามาโทษกันสิคุณ ก็คุณเป็นไทเขาบอกแล้วนี่ ว่าเขาไม่ได้โกรธเลยถึงแม้ว่า คุณจะมีอะไรกับผมก็เถอะ”
แพรวไพลินกรี๊ด
“อ๊าย...พูดทำไม ฮ้า...นั่นแหละ แปลว่าเขาไม่ได้แคร์อะไรฉันเลย เข้าใจไหม”
แพรวไพลินมองหน้าสังวรณ์ แล้วเบะปากปล่อยโฮออกมา สังวรณ์อึ้ง แพรวไพลินหันไปนั่งที่ม้านั่ง แล้วสะอื้นร้องไห้อีก สังวรณ์เห็นแล้วก็ อดสงสารไม่ได้ เดินเข้าไปใกล้
“เอาล่ะคุณ อย่าร้องไห้ไปเลย เก็บน้ำตาของคุณกลั่นให้มันเป็นพลังงาน ต่อสู้ ให้ความรักของคุณสมหวังจะดีกว่า”
“ฮือ...ฉันยังมีหวังว่าจะสมหวังอีกเหรอ”
“มีสิ”
แพรวไพลินหยุดสะอื้นหันมามองหน้าสังวรณ์อย่างสนใจ
“อย่าลืมสิว่าเรายังมีแผนจัดการยูกิ อยู่ในมือ ผมเชื่อแน่ว่า ถ้ายูกิออกไปจากชีวิตคุณเป็นไทเมื่อไร โอกาสที่คุณจะสมหวังก็จะกลับมาหาคุณร้อยเปอร์เซ็นต์”
“นี่นายพูดจริงๆนะ”
“คอยดูต่อไปก็แล้วกัน อีกไม่นานนี้หรอก นังยูกิมีอันเป็นไปแน่”
สังวรณ์มองออกไปมีแผนร้ายในใจ
วราพรรณรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก็เช้าแล้ว เธอมองซ้ายมองขวาไม่เห็นนับดาวเห็นแต่รจนาที่นอนหลับปากหวออยู่ข้างๆ...วราพรรณเปิดประตูออกมาหน้าบ้าน เห็นนับดาวยังนั่งรอตาค้างอยู่สภาพโทรมมาก เหมือนศพมากกว่าคน
“นี่แกยังไม่ได้นอนเลยใช่มั้ยเนี่ย”
“ฉันกลัวไม่สวยพร้อม”
“สภาพตอนนี้แกก็ไม่พร้อมว่ะ น่าไปนอนซักตื่นนะ”
“คุณไทต้องมาสิ ต้องมา ด่าฉันก็ได้ ต่อยฉันก็ได้ แต่เค้าต้องทำอะไรซักอย่างไม่ใช่หายเงียบไปแบบนี้”
“นี่ ฉันก็ไม่มีเวลามาคอยดูแกตลอดหรอกนะ แกต้องหัดใช้สมองคิดเองบ้าง”
“นี่ ฉันไม่ได้โง่นะ...ฉันคิดออกแล้ว ฉันจะไปถามเค้า คุยกันให้รู้เรื่องไปเลยว่าจะเอายังไง”
นับดาวจะเดินออกไปวราพรรณคว้าคอเสื้อไว้
“ไม่ต้องไปเลย...ไปนอนซะไป”
“ไม่”
“งั้นก็ดี ไปสะกดรอยตามซีซีกับฉัน”
“ห๊า...”
"หาอะไรทำ จะได้เลิกฟุ้งซ่าน จะได้ช่วยยูกิได้ด้วย”
นับดาวปฏิเสธไม่ได้ ทั้งที่ใจจริงอยากรอเป็นไทมากกว่า
เสียงมือถือวราพรรณดังขึ้นเธอรับสาย รปภ.คอนโดซีซีพูดสาย
“คุณปาปารัซซี่ครับนี่ผมเอง จำผมได้มั้ยครับ”
“จำได้สิ ว่าไง ได้ข่าวคืบหน้าว่าไงบ้าง”
“เมื่อครู่คุณซีซีให้ผมติดต่อรถตู้ให้บอกจะไป...”
รปภ.บอกชื่อเกาะที่ซีซีจับตัวยูกิไว้ วราพรรณได้ยินเธอก็นึกถึงตอนที่ ซีซีเจอนับดาวโดยบังเอิญ
‘แกจะเป็นตัวจริงไปได้ยังไงล่ะ แล้วที่ฉันจับขังไว้ที่เกาะจะเป็นใคร’
วราพรรณยิ้มออกมาด้วยความดีใจ พูดกับตัวเอง
“ต้องเป็นที่นี่แน่ๆ” เธอพูดสายกับรปภ. “งั้นนายช่วยถ่วงเวลาไว้นะ รอจนกว่าฉันจะไปถึง”
วราพรรณวางสาย หันไปเห็นนับดาวเดินออกมาจากห้องน้ำพอดี
“ได้เรื่องแล้วแก รีบแต่งตัวเร็ว”
วราพรรณฉุดไปแต่งตัว นับดาวยังงง ๆ
อ่านต่อหน้า 3
แจ้งเพื่อทราบ :
เนื่องจากแฟนเพจเฟสบุ๊ค "ละครออนไลน์" มีปัญหาด้านเทคนิคบางประการ ทีมงาน “ละครออนไลน์” จึงจะทำการปิดภายในวันพรุ่งนี้ (พุธที่ 22 มีนาคม พศ. 2555) และจะดำเนินการเปิดใหม่ให้เร็วที่สุด โดยจะแจ้งให้แฟนๆ ที่ติดตามทราบเป็นระยะ จึงขออภัยมา ณ ที่นี้
ฉันรักเธอนะ ตอนที่ 10 (ต่อ)
เช้าวันใหม่...เสียงเคาะประตูดังขึ้นที่ห้องยูกิ แล้วยามาดะก็เปิดประตูเข้ามา
“เก็บกระเป๋าซะ”
“ทำไมต้องเก็บ” ยูกิแปลกใจ
“ไม่อยากกลับบ้านรึไง”
“คุณจะพาฉันกลับบ้านจริงๆเหรอ”
“ไม่ใช่บ้าน แต่ก็น่าจะดีกว่าติดเกาะอยู่นี่”
“ย้ายกรง ไปอยู่กรุงเทพว่างั้น”
“อย่าทำเป็นรู้ดีหน่อยเลยน่า”
“ถ้าต้องไปอยู่บนตึกแล้วมียายซีซีคอยคุม ฉันอยู่ที่นี่กับคุณดีกว่าเป็นไหนๆ”
ยามาดะอึ้งกับสิ่งที่ยูกิพูด ยูกิไม่ค่อยพอใจเดินออกไปที่ชายหาด ไม่อยากไปกรุงเทพ
“ผู้ชายซื่อบื้อเอ้ย ถ้าชอบฉันจริงก็น่าจะทำอะไรซักอย่างให้เราได้อยู่กันสองคนสิ นี่เอาแต่ทำเข้ม ก้มหน้ามองดินไม่ยอมสบตาอยู่นั่น”
ยามาดะเดินตาม ยูกิทำเป็นไม่สนใจ
“คุณลืมไปแล้วรึไงว่าผมเป็นคนจับตัวคุณมาไว้ที่นี่ ไม่ได้พามาพักผ่อน จะได้อยากอยู่ต่อน่ะ”
“นี่คุณอยากให้ฉันไปโดนยายซีซี โขกสับที่กรุงเทพจริงๆเหรอ”
ยามาดะเงียบ ไม่กล้าสบตา ยูกิจับตัวยามาดะ บังคับให้จ้องตา
“มองตาฉันแล้วตอบสิ ว่าอยากให้ฉันโดนแบบนั้นจริงๆรึเปล่า”
ยามาดะหลบตา
“ผมว่าคุณไปเก็บเสื้อผ้าเถอะ”
ยูกิผิดหวัง
“ฉันคิดว่าคุณจะชอบฉันมากกว่านี้ซะอีก ที่แท้คุณก็เหมือนพวกบ้าดาราทั่วไป”
ยามาดะโกรธ
“อย่ามาดูถูกความรู้สึกของผมนะ”
พูดจบก็เดินออกไปนิ่งๆ
“ทำแบบนี้ใช่มั้ย ได้”
ยูกิแกล้งลงไปทรุดกับพื้นทราย
“โอ๊ย...”
ยามาดะจากที่โกรธเดินไป พอได้ยินเสียงยูกิร้องก็หันกลับไปทันที แล้วรีบวิ่งเข้าไปประคอง
“รู้สึกเวียนหัวยังไงก็ไม่รู้ โลกหมุนไปหมดเลย”
ยามาดะเป็นห่วงมาก
“ค่อยๆลุกนะ เดี๋ยวผมพาเดินไป”
ยามาดะค่อยๆประคองยูกิขึ้นยืน แต่เดินไปนิดนึงยูกิก็เซถลามาซบเขาอีกแล้ว ยามาดะทำตัวไม่ค่อยถูกที่ใกล้ชิดยูกิถึงขนาดนี้
“ฉันเดินไม่ไหว”
ยามาดะเป็นห่วงมากขึ้น
“งั้นขี่หลังผมไปก็แล้วกัน”
ยามาดะเอายูกิขึ้นหลัง ยูกิแอบยิ้มที่เห็นท่าทางเป็นห่วงมากของยามาดะ แต่ยามาดะไม่เห็นรอยยิ้มของเธอ ไม่รู้ว่าโดนยูกิแกล้งซะแล้ว
ซีซีทำท่าทางลับๆล่อๆอยู่ที่หน้าคอนโดตัวเอง แล้วซักพักก็มีรถตู้มาจอดรับ ซีซีรีบขึ้นรถตู้ไป พอรถตู้ออก นับดาวกับวราพรรณที่ซุ่มอยู่ก็ออกมามองตามรถตู้ไป
“นั่นไง เห็นมะ ฉันน่ะคาดไม่เคยผิด ว่าวันนี้ยายซีซีต้องไปรับยูกิกลับมาจากเกาะแน่ๆ”
“ซีซีจะปล่อยยูกิแล้วเหรอ” นับดาวสงสัย
“ไม่หรอก ฉันว่ายายซีซีก็แค่อยากรู้ว่าคนไหนตัวจริง ก็เท่านั้น”
“น่าสงสารยูกิจริงๆเลย”
“สงสารตัวเองก่อนเถอะ ได้ข่าวว่าโดนเค้าจับได้แล้วไม่ใช่เหรอ”
“อย่าเพิ่งพูดให้เครียดได้มั้ยเนี่ย”
“ไปเถอะ เดี๋ยวก็ตามมันไม่ทันพอดี”
“หืม”
วราพรรณคว้าหมวกกันน็อคยื่นให้นับดาว พร้อมกับหยิบหมวกสวมหัวตัวเอง ขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์คู่ใจ
“เฮ้ย นี่เราจะไปกันด้วยมอไซค์เนี่ยนะ” นับดาวตกใจ
“แกอย่าดูถูกไอ้แก่ของฉันนะเว้ย”
“แต่นี่เรากำลังจะตามซีซีไปทะเลไม่ใช่เหรอ”
“ก็ใช่ไง อย่าช้าสิ เดี๋ยวก็ไม่ทันพอดี”
วราพรรณสตาร์ทมอเตอร์ไซค์รอ นับดาวหน้าแหยแต่ก็จำใจซ้อนไป มอเตอร์ไซค์ออกตัวตามรถตู้ซีซีออกไป
ริมทะเล...เป็นไทเดินเรี่ยน้ำทะเลที่ซัดเข้าที่เท้าของเขา เขาพยายามจะปลดปล่อยเรื่องวุ่นวายที่เพิ่งจะได้รับรู้ทิ้งทะเล แต่ก็ดูเหมือนมันทำยากเหลือเกิน เพราะคิดถึงตอนที่เขามาทะเลกับนับดาว เขาและเธอเล่นน้ำกันมีความสุข เป็นไทเรียกสติกลับคืน สลัดหัวพยายามจะให้เรื่องของนับดาวออกไป
“เราไม่ได้รู้สึกอะไรกับเค้าซักหน่อย ทั้งหมดมันก็แค่งานเท่านั้น เราไม่ได้รักคนหลอกลวงคนนั้น...”
ซีซีเดินโทรศัพท์หายามาดะ เธอดูวุ่นวายเดินผ่านเป็นไทไปโดยต่างคนต่างไม่เห็นกัน
“นี่...เก็บของหมดรึยัง รีบขับเรือออกมาเลย แล้วไม่ต้องเสล่อไปท่าเรือล่ะ มาหาฉันที่หาดเลย ฉันให้คนเตรียมจัดการเรื่องเรือแล้ว ...เร็วฉันรอที่หาดแล้วนะ”
ยามาดะคุยโทรศัพท์ ขณะที่ยูกินอนห่มผ้าอยู่บนเตียง ทำท่าเหมือนหลับ แต่เธอก็แอบฟังเขาคุย
“วันนี้ไม่ได้”
“อะไรนะ”
“ยูกิป่วย ไม่มีแรง ไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”
“โอ๊ย นี่ฉันเตรียมเรื่องไว้หมดแล้ว ฉันยืนรอแกอยู่ที่หาดแล้วเนี่ย”
“งั้นก็ยืนรอไป บอกว่าไปไม่ได้ก็คือไม่ได้”
“นี่แกกล้าขัดคำสั่งฉัน”
“ผมไม่ยอมให้ยูกิเป็นอะไรไปเพราะความเจ้ากี้เจ้าการของคุณหรอกนะ”
ยามาดะวางหูอย่างไม่พอใจ ยูกิที่แกล้งหลับอยู่แอบอมยิ้ม แต่พอยามาดะหันไปมอง เธอก็แกล้ง
ทำหลับ
ซีซีหงุดหงิดที่ยามาดะวางหูโทรศัพท์ใส่
“นี่แกเป็นแกเป็นนาย หรือฉันเป็นนายกันแน่เนี่ย”
ชาวประมงเดินมาถาม
“ตกลงยังไงครับคุณ ไหนเรือที่จะให้ผมจัดการ”
“ยังไม่ต้อง ฉันจะรอพวกมันจนถึงพรุ่งนี้ ถ้าไม่มากัน ฉันจะไปลากมันมาเอง”
วราพรรณกับนับดาวโผล่มาแอบหลังต้นไม้ริมหาด หัวยังใส่หมวกกันน็อคทั้งคู่ ทั้งคู่หน้ามอม ผมยาวๆลู่ไปตามทรงหมวกกันน็อค รุงรัง แข็งเป็นทรงตามสภาพสมที่ตีมาตลอดทาง คนเดินผ่านก็มอง
“นั่นไง มันอยู่นั่น คงรอเรือมาจากเกาะละสิ” วราพรรณออกความเห็น
“นี่เราต้องไปเกาะอีกเหรอ อย่าบอกนะว่าต้องว่ายน้ำไป”
“ไม่ต้อง...เราแค่นอนอ้าปากเหมือนจรเข้ ให้เหยื่อมันหลงเข้ามาเอง”
“ประเทศเรามีจรเข้น้ำเค็มด้วยเหรอ”
“จะน้ำเค็มน้ำจืดมันก็เหมือนกันแหละ”
“แต่ที่นี่ทะเลนะ ต้องน้ำเค็มสิ อีกอย่างจรเข้น้ำเค็มดุกว่าด้วย”
“แกไปเนชั่นนัลจีโอกราฟฟิกไกลๆเลยไป”
วราพรรณหันไปไล่นับดาว ทั้งคู่เพิ่งสังเกตเห็นหน้ากัน
“เฮ้ย...หน้าแก ไปทำอะไรมาน่ะ”
“แกก็เหมือนกัน เซ็ตผมร้านไหนเนี่ย”
ทั้งคู่ต่างเอามือคลำ สำรวจหน้าตาและทรงผมตัวเอง
“บอกแล้วอย่าขี่มอเตอร์ไซค์มา เป็นไงล่ะ”
ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังสำรวจตัวเองนั้น เป็นไทก็เดินผ่านมาทางนั้นพอดี นับดาวกับวราพรรณยังไม่เห็น
“นี่ถ้าคุณเป็นไทมาเห็นฉันในสภาพนี้นะ ชีวิตฉันคงไม่เหลืออะไรอีกแล้วล่ะ ต่อให้หน้าตาฉันจะเหมือนยูกิก็เถอะ”
เป็นไทที่เดินผ่าน ได้ยินพอดี เลยหันมามอง เห็นด้านหลังนับดาว แต่เขาก็สบตากับวราพรรณพอดี
วราพรรณถึงกับช็อคที่เห็นเป็นไทอยู่ที่นี่ แต่ไม่รู้จะบอกนับดาวยังไง ได้แต่ส่งสัญญาณ
“ใครจะยอมรับได้กับผู้หญิงจนๆ ซ๊กมกๆได้ ต่อให้แต่งสวยแทบตายฉันก็ยังเป็นฉัน ไม่ใช่ยูกิอยู่วันยังค่ำนั่นแหละ”
เป็นไทมองจ้องนับดาวที่หันหลังให้ วราพรรณบอกให้นับดาวหยุด เธอก็ไม่หยุด จนในที่สุดเธอก็เดินถอยหลังชนเข้ากับเป็นไทอย่างจัง
ยามาดะนั่งเฝ้ายูกิอย่างเป็นห่วง ยูกิแกล้งทำเป็นว่าฟื้นขึ้นมา ยามาดะเห็นยูกิรู้สึกตัวก็ดีใจออกนอกหน้า
“เป็นยังไงบ้าง”
“ก็ยังเวียนหัวอยู่นิดหน่อยน่ะ...แต่ฉันยังไม่ได้เก็บของเลย”
“ยังไม่ต้อง พักให้หายดีก่อนดีกว่า”
“ก็ไหนบอกว่า...”
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวผมจัดการเรื่องนี้เอง”
ยูกิทำพยุงตัวลุกขึ้นนั่งแต่ก็ทำเซว่าไม่ไหว ยามาดะรีบมาประคอง ทั้งคู่มองตากันซึ้ง แต่แล้วยามาดะก็เขินรีบหลบตาไปก่อน ยูกิอมยิ้ม
นับดาวหันไปตั้งใจจะขอโทษคนที่เธอชน หันไปเจอกับเป็นไทพอดี นับดาวช็อค เป็นไทก็ช็อคเหมือนกัน นับดาวรีบเอามือสางผมเผ้าที่ชี้โด่เด่ ลูบหน้าลูบตาพยายามทำให้มันดูดีขึ้น
“คุณ...”
“ตอนแต่งเต็มละไม่เจอ ต้องมาเจอตอนนี้ด้วย”
“มาลุคนี้ จะปลอมตัวเป็นใครอีกล่ะ”
เป็นไทเซ็งที่ต้องมาเจอนับดาว ทั้งที่ไม่อยากจะเจอตอนนี้ เขาเดินหนี วราพรรณเห็นรีบรั้งไว้เพื่อเคลียร์ให้รู้เรื่อง
“เดี๋ยวคุณเป็นไท ไม่อยากจะคุยอะไรให้มันรู้เรื่องรึไง”
เป็นไทหยุดชะงัก
“เค้าจะไปจะรั้งไว้ทำมั๊ย กลัวฉันจะมีความสุขรึไง” นับดาวบ่น
“คุณไม่อยากรู้เหรอว่าทำไม” วราพรรณถามเป็นไท
“จะต้องมีเรื่องให้ได้ว่างั้น” นับดาวเซ็ง
เป็นไทหันขวับกลับมา นับดาวสะดุ้ง รีบเออออไปกับวราพรรณ
“ทุกอย่างมันมีเหตุผลของมัน”
“อย่าให้ผมต้องเกลียดพวกคุณไปมากกว่านี้เลย”
เป็นไทพูดจบก็เดินจากไปทันที นับดาวช็อคกับสิ่งที่เป็นไทพูด
ในห้องพักที่วราพรรณเลือกติดกับห้องซีซี เธอเอาหูแนบผนังข้างห้อง ตั้งใจจะแอบฟังบทสนทนา แต่นับดาวก็โวยวายขึ้นมา
“แก เค้าเกลียดฉัน แกได้ยินใช่มั้ย เขาบอกว่าเกลียดฉัน”
“ชู่ววว์ ฉันได้ยินเสียงเหมือนยายซีซีกำลังคุยโทรศัพท์กับใครอยู่”
“แกไม่ฟังฉันเลย เขาเกลียดฉันนะ มีอะไรจะสำคัญไปกว่านี้อีก”
วราพรรณรำคาญ
“นี่ เลิกโวยวายซักทีได้มั้ย อย่าลืมสิว่าเรามาที่นี่เพื่ออะไร เพื่อจะช่วยยูกิออกมาจากยายแม่มดนั่น”
“...แต่คุณไทเค้าเกลียดฉันนี่”
“มันจะสำคัญอะไรล่ะถ้าแกไม่ได้รักเค้า”
นับดาวนิ่ง
“หรือว่าแก...”
วราพรรณจ้องนับดาว
“อย่ามองฉันแบบนี้ ฉันไม่รู้...”
“ไม่รู้...ก็หมายความว่าแกคิด...”
นับดาวอึกอัก
“ยอมรับมาซะดีๆ ไหนๆเรื่องก็มาถึงนี่แล้ว”
“ฉันไม่รู้...”
“ตอบเท่าที่แกรู้ซิ...”
“ฉันก็แค่แคร์เค้า ใจเต้นแรงทุกครั้งที่อยู่กับเขาแค่นั้นเอง”
“นั่นไง เรื่องใหญ่แล้ว”
วราพรรณหน้าเครียดขึ้นมาเลย นับดาวทำหน้าไม่ถูก
ค่ำคืนนั้น...เป็นไทนอนพักอยู่ในโรงแรม เขาคิดถึงสิ่งที่ตัวเองทำไป ที่พูดว่าเกลียดนับดาว
“เกลียดเหรอ…หึ พูดออกไปได้ ถ้ารู้สึกแบบนั้นได้ซักครึ่งก็คงดี”
เป็นไทคิดถึงรอยยิ้มมากมายของนับดาว ที่มักจะยิ้มให้เขาเสมอ พอรู้สึกตัวเขาก็หงุดหงิดตัวเอง พยายามจะไม่คิด
ทางด้านนับดาวหลับอยู่บนเตียง วราพรรณเดินออกมาจากห้องน้ำ จัดแจงตัวเอง แล้วนับดาวก็ละเมอออกมาเป็นชื่อเป็นไท
“คุณไท...อย่าเกลียดฉันเลยนะ”
วราพรรณได้ยินคำพูดเพื่อน ก็ถอนใจ เวทนานับดาว
ซีซีเปิดอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ เห็นข่าวงานมีท & กรี๊ดของยูกิ เธอหงุดหงิดขึ้นมาทันที
“มีคนเดียวไม่พอ งอกมาจากไหนไม่รู้อีกคน กลัวฉันไม่เหนื่อยใช่มั้ยเนี่ย...ถ้าฉันรู้ว่าใครเป็นตัวปลอมเมื่อไหร่ ฉันจะแฉให้หน้าแหกกันหมดเลย คอยดูสิ”
ซีซีสีหน้าเอาจริงเอาจัง โดยไม่สนใจฟังว่าทีวีบอกข่าวว่าพายุจะเข้าวันพรุ่งนี้
วันต่อมา...สปีดโบ๊ทจอดนิ่งอยู่ในทะเล โคลงเคลงไปตามกระแสคลื่น ท้องฟ้าครึ้มยามาดะเดินออกมามองเห็นท้องฟ้าและทะเล เขารู้ทันทีว่าพายุกำลังจะมา ยามาดะรีบวิ่งเข้าไปด้านใน สั่งยูกิทันที
“รีบเก็บของเร็ว”
“แต่ฉันไม่อยากไปนี่”
“ไม่ไปไม่ได้หรอก พายุกำลังจะเข้า เราต้องรีบไปให้ถึงฝั่งก่อน”
“ทำไมเราไม่หาที่หลบที่นี่ อาจจะดีกว่าก็ได้นะ”
“คุณอยากตายรึไง”
ยูกิหน้าบูด ไม่ค่อยพอใจ ยามาดะฉุดมือ
“ไม่ต้องเก็บแล้วของน่ะ ไปกันเดี๋ยวนี้เลย”
“ฉันไม่ไป”
“ผมไม่ยอมให้คุณตายที่นี่หรอก”
ยูกิใจอ่อนลง เดินตามแรงฉุดของยามาดะออกไป
นับดาว วราพรรณเดินอยู่ในทางเดินในโรงแรม นับดาวดูไม่ค่อยมีกะจิตกะใจจะทำอะไรนัก
“ยายซีซีจะตื่นแล้วเหรอ ป่านนี้น่ะ”
“มันมีงานสำคัญ คงไม่มีอารมณ์นอนหรอก”
นับดาวถอนใจ
“แต่ฉันว่าวันนี้อากาศมันแปลกๆนะ เค้าอาจล้มเลิกภาระกิจแล้วก็ได้”
วราพรรณรำคาญ
“นี่ ถ้าแกขี้เกียจนัก ก็ไปนอนไป”
“ไม้ได้ขี้เกียจ แค่ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร”
“อกหักอ่ะดิ”
“เออ พอใจยัง”
“งั้นกลับกรุงเทพไปเลียแผลใจเลยไป”
“นี่ ถ้าฉันจะกลับกรุงเทพ เพราะฉันจะกลับไปซ้อมงานมีท&กรี๊ดหรอก”
“นี่เค้าจับแกได้ขนาดนี้แล้วยังจะทำต่ออีกเหรอ”
“ถ้าฉันไม่ทำ งานก็ล่ม สิ่งที่คุณไทสร้างมาก็สลายหมดน่ะสิ”
“จ้ะ แม่นางเอก เค้าบอกชัดว่าเค้าเกลียดแก แกก็ยังเป็นห่วงเค้า แบบนี้รู้ตัวได้แล้วว่ารัก”
นับดาวอาย พยายามแก้ตัว
“ไม่ใช่ ถ้าฉันหายไป แล้วจะแก้ตัวกับเจ้านายของแก แล้วก็แพรวไพลินว่ายังไง ถ้าพวกเขาไปดูฉันซ้อมน่ะ”
“ก็จริง งั้นแกก็ควรจะรีบกลับไปก่อนเลย ส่วนเรื่องซีซีเดี๋ยวฉันจัดการเอง”
“แล้วให้ฉันกลับไงล่ะ”
“แกเห็นถนนหน้าโรงแรมมั้ย แกเดินไปตามทางนะ จนถึงโค้งน่ะ จะมีโชว์รูมรถอยู่ แกไปถอยออกมาซักคัน แล้วก็ขับกลับกรุงเทพไปเลยไป”
นับดาเซ็ง วราพรรณชำๆ
“ถามได้ ก็หารถกลับไปสิ ขนส่ง บขส. รถตู้มีตั้งเยอะแยะ”
“แต่นี่เหมือนฝนจะตกเลยนะ”
“รถบขส.เค้ามีหลังคา แกไม่รู้เหรอ”
“ไม่ใช่ แล้วฉันจะไปขนส่งยังไง”
“นี่ หัดแก้ปัญหาเองบ้างได้มั้ยเนี่ย ทำตัวเป็นลูกคุณหนูไปได้”
นับดาวเซ็งที่โดนเพื่อนดุ วราพรรณเดินไปอย่างไม่สนใจนับดาว
ซีซียืนอยู่ริมหาดซึ่งลมแรงมาก หมวกซีซีปลิวไปตามลม ซักพักแว่นปลิวไปตามลม
“นี่ลมไม่แรงไปรึไงเนี่ย แน่จริงพัดกระเป๋าฉันไปด้วยเลยสิ”
ลมกรรโชกพัดกระเป๋าถือซีซีปลิวไปจริงๆ ซีซีถึงกับงง
“อะไรกันเนี่ย”
“วันนี้พายุเข้าครับ” ชาวประมงที่ยืนอยู่ด้วยบอก
“เอาเข้าไป กลัวฉันจะทำงานง่ายรึไง”
“ให้เขาออกเรือมาตอนนี้ ไม่อันตรายไปหน่อยเหรอครับ”
“ไม่ต้องห่วงเกินหน้าที่หรอกน่า นายนั่นน่ะ มันเป็นลูกเรือประมงมาก่อน มันเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว”
“มีพวกไต้ก๋งเรือเก่งๆหลายคนก็คิดแบบนี้แหละครับ”
“แล้วเป็นไง”
“ตายทั้งลำ”
ซีซีหันไปมองหน้าชาวประมงดุๆ ชาวประมงเงียบ ไม่กล้าพูดต่อ
เรือแล่นมากลางทะเล กระทบเสียงคลื่นดังตับๆ โคลงเคลงไปตามแรงคลื่น ยูกิร้องกรี๊ดไปตามแรงคลื่นที่มากระทบ
“ฉันว่าเรากลับเถอะ ไปแบบนี้ก็ไม่รอดเหมือนกัน”
“ผมน่ะ เคยเป็นลูกเรือประมงมาก่อน พายุพวกนี้ ผมเจอมานักต่อนักแล้ว” ยามาดะคุยโอ่
“แน่ใจนะ”
“แน่ใจสิ เรื่องเดินทะเลนี่คุณเชื่อใจผมได้”
เขาส่งยิ้มอย่างมั่นใจ พูดยังไม่ทันขาดคำ คลื่นลูกใหญ่ก็พัดทำให้เรือโคลง ยามาดะเซถลาหัวพากกับพวงมาลัยเรือ ล้มนอนแน่นิ่ง ยูกิตกใจ รีบเข้าไปเขย่าตัว
“ยามาดะ...ยามาดะ...ยามาดะฟื้นสิ”
ยามาดะแน่นิ่งไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น ยูกิหวาดกลัวอยู่กลางทะเล หันซ้าย หันขวาไม่เห็นเรือลำอื่น เธอจึงตัดสินใจขับเรือต่อเอง โดยที่ไม่ค่อยจะรู้เรื่องเครื่องยนต์นัก
“ฉันไม่ยอมตายตรงนี้หรอก”
เรือของยูกิค่อยๆแล่นฝ่าพายุออกไป
จากลมที่แรง ฝนเริ่มลงเม็ดแล้ว นับดาวยืนรอรถอยู่หน้าโรงแรม ชะเง้อมองเท่าไหร่ รถก็ยังไม่มาซักที ฝนเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆ
เป็นไทขับรถออกมาจากโรงแรม ฝนเริ่มตกหนัก เห็นนับดาวยืนอยู่ริมถนน เป็นไททำไม่สนใจขับผ่านไป นับดาวเองก็เห็นรถเป็นไท แต่ก็ได้แค่มอง แล้วยืนรอรถต่อไป
ฝนเริ่มตกหนัก นับดาวยืนเปียกมะล่อกมะแล่ก เป็นไทแอบดูเธอจากรถผ่านกระจกหลัง
“ทำไมไม่ไปหาที่หลบฝนซะล่ะ ยืนซื่อบื้ออยู่ได้”
เป็นไทเป็นห่วง ลังเลว่าจะถอยรถไปรับดีมั้ย เสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยง เป็นไทเห็นนับดาวสะดุ้งโหย่งผ่านกระจก
“แล้วนั่นจะยืนเป็นสายล่อฟ้ารึไง”
เป็นไทส่ายหน้าระอาใจ ที่เห็นว่านับดาวไม่ยอมไปหาที่หลบฝนซักที
ฝนตกหนักมาก นับดาวยืนเปียก หนาวสั่น ซักพัก รถของเป็นไทก็มาจอดตรงหน้าเธอ นับดาวงงๆ ไม่แน่ใจนักว่าเป็นไทต้องการอะไร เป็นไทไขกระจกลง
“ขึ้นรถ”
“ห๊า อะไรนะ”
“ขึ้นรถ เร็วเข้า ผมเปียกไปด้วยแล้วเห็นมั้ยเนี่ย”
นับดาวพูดให้ง้อ
“ไม่เอาหรอก เดี๋ยวรถแพงๆของคุณเปียกหมด”
“ตามใจ” เป็นไทไขกระจกจะปิด
“เดี๋ยวๆๆ รอด้วย”
นับดาวรีบวิ่งมาขึ้นรถฝั่งข้างคนขับทันที เป็นไทมองอย่างเวทนา ที่เห็นเธอเปียกโซ่ก
“มายืนทำอะไร ทำไมไม่ไปหลบฝน”
“ห๊า ว่าไงนะ”
“มายืนทำอะไร หลบฝนไม่เป็นรึไง”
“ขอโทษทีนะ ฉันหูไม่ค่อยดีน่ะ” นับดาวชี้หูขวา “ตึงมาตั้งแต่เด็ก เวลาพูดใส่ข้างนี้ไม่ค่อยได้ยินหรอก โดยเฉพาะเวลาโดนน้ำ”
“คำถามน่ะ ได้ยินมั้ย”
“อ๋อ...รอรถสองแถวไปขนส่ง จะกลับกรุงเทพ คุณไปส่งฉันที่ท่ารถก็พอ”
เป็นไทเงียบ
“หูตึงเหมือนกันเหรอ ได้ยินที่ฉันบอกมั้ย”
“ทีเงี๊ยะ พูดไทยชัดเปร๊ยะเชียว...ถ้าอยากกลับกรุงเทพก็นั่งเงียบๆไปจะดีกว่า”
นับดาวงง ตามอารมณ์เป็นไทไม่ทัน ไม่รู้อารมณ์ไหนกันแน่
ซีซียืนท่ามกลางฝน โดยมีชาวประมงกางร่มชายหาดอันใหญ่ให้ จะปลิวแหล่ไม่ปลิวแหล่
“นี่ กางดีๆหน่อยได้มั้ย”
“ไปหลบในตึกก่อนดีมั้ยครับ แบบนี้ผมจะตายเอา”
ซีซีเห็นเงาลางๆของเรือมาที่ชายหาด
“นั่นไงๆ ใช่มั้ย แกไปดูซิ”
“งั้นคุณถือ”
ชาวประมงยื่นร่มให้ซีซี แล้ววิ่งออกไปดูริมทะเล ซีซีแบกร่มแทบไม่ไหว เอาวางกับพื้นแล้วหลบเอา
ยูกิตากฝนลงมาจากเรือ ชาวประมงไปดู ยูกิเห็นชาวประมง รีบวิ่งรี่เข้ามาหา
“ลุงคะ ช่วยด้วยค่ะ มีคนบาดเจ็บอยู่ในเรือ”
“เป็นอะไร”
“หัวกระแทกน่ะค่ะ”
ชาวประมงวิ่งขึ้นไปบนเรือ แบกยามาดะขึ้นหลังทุลักทุเล พอลงจากเรือก็พากันตกน้ำ ยูกิรีบเข้าไปช่วยหิ้วปีกยามาดะกับชาวประมง ยามาดะเหมือนจะเริ่มรู้สึกตัว แต่ชาวประมงก็เซพายามาดะไปกระแทกกับเรืออีก ยามาดะสลบต่อ ทั้งคู่หิ้วปีกยามาดะขึ้นมาบนหาด ยูกิหมดแรงไม่ไหวล้มลงไป ยามาดะหน้าคว่ำกับทรายอีก พอจับหงายหน้ามาทรายเต็มปาก
รถตู้ถูกเปิดออก ยูกิกับชาวประมงหิ้วปีกยามาดะพาขึ้นมาในรถตู้
“เดี๋ยวพาไปโรงพยาบาลด่วนเลยนะคะ” ยูกิสั่งคนขับ
ซีซีวิ่งตามมาที่รถ
“นี่พวกแกจะไปไหน คิดจะร่วมมือกันหนีฉันเหรอ”
ยูกิแว๊ดใส่
“หัดดูซะบ้าง ยามาดะเกิดอุบัติเหตุ จะปล่อยให้เค้าตายรึไง”
“อะไรกันเนี่ย แกทำร้ายเค้าเหรอ”
“แล้วแต่จะคิดก็แล้วกัน...” ยูกิหันไปบอกคนขับ “ออกรถเลยค่ะ”
“เดี๋ยวสิ” ซีซีรีบขึ้นมานั่งบนรถตู้ “นี่ฉันเป็นคนออกคำสั่งนะ ไปฟังมันได้ไง”
ชาวประมงที่ไม่ได้ไปด้วย ปิดประตูให้จากด้านนอก รถเคลื่อนออกไป
นับดาวนอนตัวสั่นอยู่ข้างเบาะเป็นไทที่ขับรถอยู่ เป็นไทหันไปสังเกตเห็นเขาปิดแอร์ในรถ จอดรถเข้าข้างทาง แล้วเอื้อมไปหยิบเสื้อคลุมข้างหลังมาห่มให้
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะหลอกคุณหรอกนะ”
เป็นไทมองนับดาว เข้าใจว่าละเมอ
“ทำเป็นละเมอเหมือนนางเอกละคร พระเอกจะได้เห็นใจละสิ”
“ไม่ได้ละเมอ ฉันยังไม่ได้หลับซักหน่อย”
นับดาวลืมตามองเป็นไท
“ขอบคุณนะที่อุตส่าห์ปิดแอร์แล้วห่มผ้าให้”
เป็นไทอาย ทำอะไรไม่ถูก
“ฉันแค่ไม่อยากให้ใครมาป่วยตายบนรถฉันก็แค่นั้น”
“ขอบคุณอีกเรื่องนะคะที่ให้ฉันติดรถมากรุงเทพด้วย”
เป็นไทเงียบไม่ตอบอะไร ปกปิดอาการเขินของตัวเองไว้
“นี่คุณจะไม่ถามฉันซักคำเลยเหรอว่าฉันหลอกคุณทำไม ใครทำ ยูกิตัวจริงอยู่ไหน หรือคำถามอะไรก็ได้ที่ทำให้ฉันรู้สึกแย่ หรือลำบากใจที่จะตอบ...รู้มั้ย เมื่อคืนก่อนฉันรอคุณที่บ้านทั้งคืน เพื่อจะให้คุณมาด่าฉัน มาว่าฉัน หรือทำอะไรก็ได้ให้ฉันรู้สึกผิด ให้สมกับสิ่งที่ฉันทำลงไป...ที่คุณบอกว่าเกลียดฉัน มันยังน้อยเกินไปด้วยซ้ำ”
“ยูกิตัวจริงสบายดีใช่มั้ย”
“ฉันไม่รู้ ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเธอ ไม่เคยเจอเธอด้วยซ้ำ”
“นี่ไง เรื่องเดียวที่ผมอยากรู้ คุณก็ตอบผมไม่ได้ แล้วจะให้ผมพูดอะไร”
“ด่าฉันก็ได้ ตบฉันก็ได้ ทำอะไรก็ได้ แต่อย่าเฉยๆแบบนี้”
“ผมสนใจแค่เรื่องของยูกิ ส่วนเรื่องของคุณ ไม่ว่าจะเป็นใคร มาจากไหน ใครใช้ให้คุณมา หรือคุณทำแบบนี้ทำไม ผมไม่ใส่ใจหรอก ทำสิ่งที่คุณได้รับมอบหมายต่อไปอย่าให้ใครจับได้ก็แล้วกัน ถ้าอยากให้ผมเล่นเกม ผมก็จะเล่น”
น้ำเสียงของเป็นไทดูเฉยชาซะจนนับดาวพูดอะไรไม่ออกไปพักใหญ่แล้วพูดยิ้มๆแต่เจ็บ
“เจ็บกว่าทุกทางที่ฉันเตรียมใจไว้ซะอีก”
นับดาวกลั้นน้ำตาไม่ไหว หันไปมองนอกรถ เป็นไทก็ออกรถขับต่อไป ไม่สนใจนับดาวอีก
อ่านต่อตอนที่ 11 พรุ่งนี้