ขุนศึก ตอนที่ ๑๕ ตอนอวสาน
ดวงแขกำลังจัดดอกไม้ลงแจกันเพื่อถวายพระ ในขณะที่อำพันกำลังควบคุมบ่าวไพร่ทำความสะอาดเรือนอยู่ ทาสคนหนึ่งคลานเข่าเข้ามาหาอำพันแล้วบอกว่า
“แม่นายเจ้าคะ พระยามหาสงครามมาขอพบเจ้าค่ะ”
อำพันแปลกใจ
“พระยามหาสงคราม ออกญาผู้ใหญ่เช่นนี้จะมาขอพบข้าทำกระไร มาพบหลวงณรงค์กระมัง เอ็งเร่งให้คนไปตามคุณหลวงที่สำนักอาจารย์บ่ายทีเถิด”
“มิได้เจ้าค่ะแม่นาย ท่านออกญาต้องการพบแม่นายจริงๆ เจ้าค่ะ”
อำพันยิ่งแปลกใจหันไปมองหน้าดวงแข
“ลูกก็ไม่รู้จักท่านออกญาเช่นกันเจ้าค่ะ แต่เมื่อท่านมาถึงเรือนชานแล้ว อย่างไรเราก็ต้องไปพบพระคุณท่าน”
อำพันพยักหน้าเห็นด้วยกับดวงแข
เสมา กับหลวงนเรนทร์ภักดีกำลังกราบอำพัน โดยมีดวงแขนั่งยิ้มแย้มอยู่ใกล้ๆ อำพันยิ้มแย้ม
“พิโธ่พิถัง นึกว่าผู้ใดกันเป็นพระยามหาสงคราม ที่แท้ก็พ่อเสมานี่เอง พ่อนี่ช่างเก่งกล้านัก อายุไม่เท่าใดก็ได้เป็นถึงพระยาแล้ว”
“เพราะพระเมตตาขององค์พระพุทธเจ้าอยู่หัวดอกขอรับแม่นาย ลำพังตัวข้าพระเจ้าคงไม่มีวาสนาถึงเช่นนี้ดอกขอรับ”
ดวงแขยิ้มแย้มภูมิใจในตัวเสมาสุดๆ
“อย่าถ่อมตัวเลยเจ้าค่ะท่านเจ้าคุณ ผู้ใดก็รู้ว่า ดาบสองมือของท่านเจ้าคุณถือเป็นเอกในอโยธยา แลมีความชอบในราชการสงครามมากนัก เมื่อได้ยศถึงพระยาก็ควรยิ่งแล้ว”
เสมายิ้มรับ ไม่พูดอะไร
“แล้วที่ท่านเจ้าคุณมาหาฉันวันนี้ มิทราบมีกิจกระไรหรือ” อำพันถาม
“ข้าพระเจ้าตั้งใจจะมากราบเรียนแม่นายเรื่องแม่หญิงดวงแขขอรับ”
อำพันและดวงแขหันมาสบตากันด้วยความแปลกใจ
“แม่ดวงแขมีกระไรรึ” อำพันถาม
“อันที่จริง ข้าพระเจ้าไม่เคยพูดเรื่องเช่นนี้มาก่อน ไม่ใคร่ถนัดนักจึงขอกราบเรียนแม่นายโดยไม่อ้อมค้อม ข้าพระเจ้าตั้งใจมาพูดเรื่องสู่ขอแม่หญิงดวงแขขอรับ”
ดวงแขดีใจสุดๆนึกว่าเสมาจะมาสู่ขอ แววตาเต็มไปด้วยความดีใจจนปิดไม่มิด ฝ่ายอำพันก็คิดเช่นเดียวกันยิ่งตอนนี้เสมาเป็นพระยาแล้วก็ยิ่งดีใจเข้าไปใหญ่
“เรื่องนี้ฉันไม่ขัดข้องกระไรดอก ท่านเจ้าคุณก็หาฤกษ์ยามแลทำตามธรรมเนียมเถิด คนของฉันก็คงไม่ได้รังเกียจกระไรท่านเจ้าคุณอยู่แล้ว”
ดวงแขเขินอายที่โดนแม่แซว เสมตกใจเล็กน้อยแล้วว่า
“มิได้ขอรับ ข้าพระเจ้าไม่ได้สู่ขอแม่หญิงดวงแขให้ตนเอง”
ดวงแขชะงักยิ้มค้างไปทันที
“แต่เป็นผู้ใหญ่มาสู่ขอแม่หญิง ให้หลวงนเรนทร์ภักดีต่างหากขอรับ”
ดวงแขทั้งตกใจ ทั้งผิดหวังและเสียใจยิ่งกว่าโดนตบหน้าซ้ำๆซะอีก
หลวงนเรนทร์ภักดีส่งยิ้มไปให้ดวงแข ดวงแขกำหมัดจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อด้วยความแค้นใจสุดขีด ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินหนีเข้าข้างในไปทันที
“แม่หญิงดวงแข แม่หญิง” หลวงนเรนทร์ภักดีร้องเรียกแล้วรีบเดินตามไปทันที
อำพันตั้งตัวไม่ทัน ไม่รู้จะทำไงดี ได้แต่อึกๆอักๆ งงไปหมด เสมามองตามดวงแขไปด้วยสีหน้าเครียดขรึม รู้ดีว่าดวงแขคงโกรธมากทีเดียว
ดวงแขเดินลิ่วมาด้วยความโกรธโดยมีหลวงนเรนทร์ภักดีเดินตามหลังมาแล้วคว้าข้อมือดวงแขไว้
“ช้าก่อนแม่หญิง แม่หญิงโกรธเคืองกระไรฉันหรือ”
ดวงแขสะบัดมือออกทันที
“อย่ามาแตะต้องตัวฉัน”
หลวงนเรนทร์ภักดีแปลกใจ
“นี่ฉันทำกระไรผิดหรือ แม่หญิงถึงโกรธเกรี้ยวเพียงนี้”
“ไม่ผิดดอก แต่ฉันรังเกียจเดียดฉันท์คุณหลวง ได้ยินหรือไม่ว่ารังเกียจนัก แล้วอย่าได้คิดมาสู่ขอฉันอีก เพราะฉันจักไม่มีวันออกเรือนกับคนเช่นคุณหลวงเป็นอันขาด”
หลวงนเรนทร์ภักดีอึ้งไปจนพูดไม่ออก ไม่เข้าใจว่าทำไมดวงแขเกลียดรุนแรงขนาดนี้ ทั้งงุนงง ทั้งผิดหวังเสียใจประดังเข้ามาเต็มไปหมด
ขณะนั้นเอง ดวงแขก็เหลือบไปเห็นเสมา ดวงแขมองเสมาด้วยสายตาแข็งกร้าว ทั้งโกรธแค้น
ทั้งเสียใจ ทั้งตัดพ้อ
“คุณหลวง ออกไปรอฉันก่อนเถิด ฉันขอพูดคุยกับแม่หญิงดวงแขสักครู่”
“ขอรับ”
หลวงนเรนทร์ภักดีรับคำแล้วเดินเลี่ยงกลับออกไป เสมาเดินเข้ามาหาดวงแข
“แม่หญิง”
ดวงแน้ำตาคลอเบ้าต่อว่าทันที
“ฉันคงเลวเหลือในสายตาเสมาถึงได้ยัดเยียดฉันให้ชายอื่นเช่นนี้”
“หามิได้เลย แม่หญิงยังคงเป็นดอกฟ้าในใจข้าพระเจ้าเสมอมา แต่ข้าพระเจ้าเห็นหลวงนเรนทร์เป็นคนดีคู่ควรด้วยแม่หญิงทุกประการ จึงอยากให้แม่หญิงได้คู่ที่ดีเช่นนี้”
“น่าฟังนัก ช่างพูดเรื่องร้ายกาจได้น่าฟังยิ่ง หากฉันเป็นดอกฟ้าจริง เสมาจักทิ้งขว้างฉันแลผลักให้ชายอื่นกระนั้นหรือ” ดวงแขพูดน้ำตาคลอ
เสมาถอนหายใจแล้วหน้าขรึมลง
“นับแต่แม่หญิงเผยความนัยให้ข้าพระเจ้าได้รู้ มิใช่ข้าพระเจ้าจักไม่เคยคิดเปลี่ยนใจมาหาแม่หญิง แต่มิว่าจักผ่านไปนานเท่าใด ข้าพระเจ้าก็มีแต่ความนับถือแลสำนึกในน้ำใจบุญคุณเท่านั้น หามีความคิดชู้สาวแต่แม่ไม่ ข้าพระเจ้าไม่อยากให้แม่หญิงต้องรอไปเปล่า แลอยากให้ได้คู่ครองที่ดีคอยปกป้อง จึงกระทำเช่นนี้”
ดวงแขน้ำตาคลอ ขบกรามแน่นด้วยความแค้นใจ
“เพราะแม่เรไรดอกกระมัง เสมารักฝังใจแต่แม่เรไรเท่านั้น จึงไม่เห็นฉันอยู่ในสายตา”
เสมาอึ้งไปครู่นึง ก่อนจะพยักหน้ารับช้าๆ ดวงแขช้ำใจถึงที่สุดเดินปรี่ไปเข้าห้องแล้วปิดประตูลงโดยไม่พูดอะไรอีก เสมาได้แต่มองตามด้วยความเสียใจ
บรรยากาศในตลาดตอนบ่าย มีผู้คนไม่มากนัก ขันนอนเมาอยู่ในร้านเหล้า ผิดหวังเสียใจที่ถูกถอนหมั้นจากเรไร ขณะนั้นเองก็มีน้ำสาดเข้ามาเต็มๆหน้าขัน จนขันสะดุ้งตกใจตื่น
“ผู้ใดวะ”
ขันมองไปเห็นพุฒเป็นคนถือถังน้ำสาดใส่
“ท่านเป็นบ้าหรือหลวงวิเศษถึงมาสาดน้ำใส่ฉัน”
พุฒตะคอกสวนทันที
“ท่านต่างหากที่บ้า ไฟลามมาถึงตัวแล้วยังไม่สำนึกอีก”
“ไฟกระไร”
“เจ้าพระยาจักรีนายเราออกจากราชการเพื่อรับผิดครากบฏมอญแล้ว บัดนี้เราไม่มีสังกัดสิ้นศักดินาไว้เก็บกินยังไม่รู้ตัวอีกรึ”
ขันตกใจสุดๆ ไม่คิดว่าเคราะห์ซ้ำกรรมซัดขนาดนี้
ตอนหัวค่ำ สินตบเข่าฉาดหัวเราะลั่นด้วยความสะใจ ขณะกำลังล้อมวงกินเหล้ากับพวกทหารลูกน้องอยู่ในสวน
“สาแก่ใจข้านัก อ้ายขันอ้ายพุฒเที่ยวกลั่นแกล้งพวกข้ามานานปี ในที่สุดกรรมก็ตามสนองพวกมันจนไร้ซึ่งศักดินา” สินพูดด้วยอาหารเมามายแล้วหัวเราะลั่น
“ฉันดีใจกับพี่จริงๆ จ้ะพี่ขุน ต่อแต่นี้ พี่ก็ไม่ต้องกลัวผู้ใดมากลั่นแกล้งอีกแล้ว” คนในวงเหล้าคนหนึ่งพูดขึ้น
“เอ็งพูดถูกแต่ถูกกึ่งเดียว ข้าไม่มีศัตรูมาให้รำคาญใจจริง แต่ข้าหาเคยกลัวพวกมันไม่ คนอย่างขุนแกล้วกลางณรงค์ไม่เคยกลัวผู้ใดดอกโว้ย”
ขาดคำ เอื้อยแตงก็โยนสากอันหนึ่งก็ลอยปลิวลงมาตกที่กลางวงเหล้าจนวงแตกกระเจิงกันไปหมด
“เอ็งจักเมาไปถึงเมื่อใดอ้ายสิน มืดค่ำแล้วเหตุใดยังไม่กลับขึ้นเรือน”
“พิโธ่แม่เอื้อยแตงที่นี่เป็นเรือนเรา ฉันไม่ได้ไปเมาที่อื่น แม่เอื้อยมาตามเช่นนี้ ฉันเสียหน้านักรู้หรือไม่”
“เสียหน้ารึ ถ้ากระนั้นก็อย่าเก็บหน้าเอ็งไว้อีกเลย”
ขาดคำเอื้อยแตงก็หยิบไหเหล้าฟาดใส่หัวสินเต็มๆ จนสินสลบเหมือดคาที่เลือดไหลโกรกท่ามกลางความตกใจของพวกทหารที่สร่างเมากันเป็นปลิดทิ้ง
เอื้อยแตงตาเขียวปั้ดมองพวกทหารที่รีบยกมือไหว้กันเป็นแถวด้วยกลัวเอื้อยแตงจับใจ
เช้าวันรุ่งขึ้น สมบุญหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็งที่เห็นสินโดนเอื้อยแตงตีหัวจนหัวแตกต้องใช้ผ้าพันหัวไว้ สมบุญหัวเราะไม่หยุดจนสินโมโห
“อ้ายสมบุญ เอ็งชักดาบของเอ็งออกมา ... โอ้ย หัวเราะเยาะกันเช่นนี้ อย่าเป็นเพื่อนกันอีกเลยวะ...โอ้ย”
“แล้วเอ็งจะไม่ให้ข้าหัวเราะได้กระไรวะ ข้าเคยบอกเอ็งแล้วว่าแม่เอื้อยแตงนั้นดุนัก เอ็งก็หาฟังไม่ ครานี้คงเชื่อข้าแล้วกระมัง”
“ถึงดุอย่างไร ข้าก็รักของข้าโว้ย เอ็งไม่ต้องมาซ้ำเติมข้า..โอ้ย”
“เห็นเช่นนี้แล้ว ข้ารักแม่จำเรียงขึ้นอีกโข แม่จำเรียงทั้งอ่อนหวาน ทั้งเรียบร้อย ไม่มีทางทำกับข้าเช่นนี้ดอก”
ขณะนั้นเอง จำเรียงก็เดินยิ้มแย้มมาหาสมบุญ โดยถือตะกร้าใส่อาหารกับกระบอกน้ำมาด้วย
“พี่ขุนจง”
สมบุญดีใจ หันไปพูดกับสินแบบเย้ยๆ
“เป็นกระไรเล่า”
สินเบะปากด้วยความหมั่นไส้
จำเรียงยื่นตะกร้าให้สมบุญ
“ฉันเอาข้าวปลาแลน้ำมาให้จ้ะ”
“ขอบน้ำใจแม่จำเรียงนัก แต่เรื่องเพียงนี้ใช้บ่าวไพร่มาก็ได้ ฉันเกรงแม่จำเรียงจักลำบาก”
“ไม่เป็นกระไรดอกจ้ะ ฉันต้องมารับเบี้ยหวัดของพี่ขุนอยู่แล้ว”
สมบุญตกใจมาก
“ว่ากระไรนะ แม่จำเรียงมารับเบี้ยหวัดแทนฉันหรือ แล้วฉันจักใช้กระไรเล่า”
“พี่ขุนจักใช้เบี้ยไปทำกระไร ข้าวปลาก็มีให้กินแล้ว เบี้ยหวัดแลค่าเช่าที่ดินก็เก็บไว้ที่ฉันเถิด ฉันจะดูแลให้งอกเงยขึ้นเอง”
สมบุญอึ้งไป ถึงจะคนละแบบแต่ก็โดนหนักไม่แพ้สินเลย สินหัวเราะเยาะสมน้ำหน้าเสียงดังลั่น สมบุญไล่เตะสินไป จำเรียงได้แต่มองตามงงๆ
เสมาขำๆ ในขณะที่สินและสมบุญหมดอาลัยตายอยาก
“พี่จักหัวเราะทำกระไร พวกฉันมาขอให้พี่ช่วย หาใช่ให้พี่มาหัวเราะเยาะซ้ำไม่” สมบุญว่า
“ ข้าช่วยพวกเอ็งไม่ได้ดอก หรือไม่เคยฟังที่โบราณว่า แม้ชำนะศึกอื่นหมื่นแสน ก็อย่าได้คิดรบกับแม่เรือนเป็นอันขาด”
“แล้วจักทำเช่นใดดี นี่เราไปศึกเสี่ยงตาย ได้ลาภยศมาเพื่อให้เมียข่มเหงเอาอีกกระนั้นหรือ” สินว่า
“ถ้าเช่นนั้นพวกเอ็งก็เลิกกับเมียเป็นไร จักได้สบายเสียที”
“ไม่” สินกับสมบุญพูดขึ้นพร้อมกัน
“เป็นตายเยี่ยงไร ฉันก็ไม่เลิกกับแม่เอื้อยแตงเป็นอันขาด”
“ฉันยอมยกทรัพย์สมบัติให้แม่จำเรียงจนสิ้น ก็ไม่ยอมพรากจากแม่จำเรียงดอก พี่เสมาไม่เคยออกเรือน หารู้ถึงความสุขในการครองเรือนไม่”
คำพูดของสมบุญกระทบใจเสมาเข้าเต็มๆ หรือชาตินี้ ชีวิตเสมาจะหมดหวังในตัวเรไรแล้วจริงๆ เสมาซึมสนิท สินเขกกบาลสมบุญเต็มแรง พร้อมส่งสายตาด่าที่ปากเสีย เสมาได้แต่ทอดถอนใจออกมาด้วยความรู้สึกท้อใจในโชคชะตา
เมื่อเวลาบ่าย เรไรนั่งพับเพียบร้อยมาลัยดอกจำปีอยู่ โดยมีพิณคอยช่วยอยู่ใกล้ๆ ขณะที่พิณร้อยมาลัยอยู่ก็อดพูดไม่ได้
“แม่หญิงเจ้าคะ”
“ไม่ต้องพูดดอกพิณ” เรไรพูดตัดบททันที
“แม่หญิงรู้หรือเจ้าคะ ว่าบ่าวจะพูดกระไร”
“รู้ แต่ฉันไม่อยากฟัง”
พิณอดไม่ได้ทนไม่ไหว
“ฟังหน่อยเถิดเจ้าค่ะ บ่าวอยากรู้เหลือ ในเมื่อแม่หญิงถอนหมั้นกับหลวงณรงค์แล้วก็น่าจักไม่มีกระไรมาขวางแม่หญิงกับออกญามหาสงครามได้อีกไม่ใช่หรือเจ้าคะ แล้วเหตุใด”
เรไรหน้าบึ้งตึงแล้วพูดสวนขึ้น
“พูดมากเสียจริงพิณ ที่แท้ฉันหรือเจ้าผู้ใดเป็นนายเป็นบ่าวกันแน่”
พิณหน้าสลดไป
“ขอขมาเถิดเจ้าค่ะ”
เรไรถอนหายใจแล้วบอก
“พ่อท่านรังเกียจเสมานักด้วยเกิดในตระกูลต่ำ แลฉันเองก็ไม่อยากขัดใจพ่อแม่ท่านอีกแล้ว ที่แล้วมา ฉันทำให้พ่อแม่ท่านทุกข์ใจมามาก จึงไม่อยากกระทำอีก”
“แม่หญิงจึงเลือกที่จักทุกข์ใจแทนน่ะหรือเจ้าคะ”
เรไรสีหน้าเศร้าลงแต่ก็ไม่ยอมพูดอะไรอีก นั่งร้อยมาลัยไปทั้งน้ำตาคลอ
พระยาศรีพิชัยสงครามยืนแอบฟังอยู่เมื่อได้ยินเรื่องทั้งหมดจากปากเรไรก็รู้สึกไม่สบายใจที่ทำให้ลูกทุกข์ใจเพราะทิฐิของตนเอง
พระยาศรีพิชัยสงครามเดินหน้าเครียดมาที่ศาลาท่าน้ำด้วยความหนักใจ รู้ทั้งรู้ว่าเรไรทุกข์ใจ แล้วเสมาก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นมากกว่าแต่ก่อน แต่พอนึกถึงชาติกำเนิดของเสมาขึ้นมาทีไรก็รู้สึกรับไม่ได้ และไม่อยากกลืนน้ำลายตัวเอง
ขณะนั้นเอง รามเดชะก็เหลือบเห็นพระภิกษุรูปหนึ่งยืนอยู่ในศาลา ในขณะที่ลูกศิษย์กำลังวิดน้ำออกจากเรือที่รั่วอยู่ พระยาศรีพิชัยสงครามไม่เคยเจอและรู้จักพระภิกษุรูปนั้นมาก่อนจึงเดินเดินเข้าไปหา และภิกษุรูปนั้นคือ พระครูขุนของเสมานั่นเอง
พระยาศรีพิชัยสงครามพนมมือ
“พระคุณเจ้าขอรับ เกิดกระไรขึ้นขอรับ”
“เรือของอาตมารั่วจึงต้องขออาศัยศาลาของโยมสักครู่”
“ไม่เป็นกระไรดอกขอรับพระคุณเจ้า พระคุณเจ้าจักอยู่นานเท่าใดก็ได้ขอรับ”
พระยาศรีพิชัยสงครามหันไปมองที่เรือ
“แต่ดูทีเรือของพระคุณเจ้าต้องซ่อมอีกนาน ถ้าอย่างไร ให้ข้าพระเจ้าไปส่งพระคุณเจ้าก่อนดีหรือไม่ขอรับ เรือซ่อมเสร็จเมื่อใดจึงค่อยพายกลับไป”
พระครูขุนคิดอยู่ครู่นึงแล้วบอก
“ขอบน้ำใจโยมนัก อาตมาจำวัดอยู่ที่วัดพุทไธสวรรย์คงต้องรบกวนโยมแล้วหล่ะ”
พระยาศรีพิชัยสงครามรู้สึกแปลกใจที่บังเอิญมาเจอพระที่วัดพุทไธสวรรย์ซึ่งเกี่ยวข้องกับเสมาขึ้นมา
ท่ามกลางบรรยากาศกลางคลอง ทาสชายกำลังพายเรือให้พระครูขุนกับพระยาศรีพิชัยสงครามนั่ง
“ที่แท้พระคุณเจ้าคือท่านพระครูขุนนี่เอง ข้าพระเจ้าได้ยินชื่อเสียงเลื่องลือของพระคุณเจ้ามานาน ทั้งเพลงอาวุธแลวิทยาอาคม เพิ่งจักด้เห็นตัวจริงก็วันนี้เอง”
พระครูขุนยิ้มเล็กน้อย
“ล้วนแต่คำลือทั้งสิ้น เชื่อถือไม่ได้ดอกโยม อาตมาไม่ได้มีคุณวิเศษขนาดนั้นดอก”
“คนจริงมักไม่โอ้อวดกระมังขอรับ”
“โยมเจ้าคุณกระเซ้าอาตมาเล่นเช่นนี้ก็ดีแล้ว จักได้คลายทุกข์ในใจลงไปเสียบ้าง”
พระยาศรีพิชัยสงครามตกใจ
“พระคุณเจ้ารู้ได้อย่างไรขอรับว่า ข้าพระเจ้ามีความทุกข์ใจอยู่”
“ก็สีหน้าแลแววตาของโยมกระไรเล่า โยมเพิ่งกลับจากศึก ได้ความดีความชอบเป็นถึงพระยา ควรจักมีสีหน้าเบิกบานแจ่มใส แต่คราแรกที่โยมเข้ามาหาอาตมา แววตากลับเต็มไปด้วยความเศร้าหมองนัก อาตมาพูดถูกหรือไม่เล่า”
พระยาศรีพิชัยสงครามหน้าเครียดขรึมไป เพราะพระครูขุนก็พูดถูกทั้งหมด พระครูขุนยิ้มบางๆ เหมือนหยั่งรู้เหตุการณ์ได้ถูกต้อง
พระยาศรีพิชัยสงครามเดินคุยและมาส่งพระครูขุนถึงบริเวณวัดพุทไธสวรรย์
“อ้ายเสมาเป็นศิษย์เอกของอาตมา พูดกระไรมากไปก็เหมือนเข้าข้างมัน แต่อาตมาอยากรู้สักข้อว่าที่โยมรังเกียจเดียดฉันท์อ้ายเสมาเป็นเพราะชาติกำเนิดของมันกระนั้นหรือ”
พระยาศรีพิชัยสงครามหน้าเครียดแล้วบอก
“ขอรับ อ้ายเสมาเป็นไพร่ต่ำสกุล แลเคยอยู่ในเรือนของข้าพระเจ้าเสมือนหนึ่งข้ารับใช้ แล้ววันหนึ่งจักให้รับเป็นเขย ข้าพระเจ้าก็อายเหลือ ผู้คนคงติฉินนินทา ว่าข้าพระเจ้าเห็นแก่ยศศักดิ์ของอ้ายเสมามากกว่าศักดิ์ตระกูลของตนขอรับ”
พระครูขุนพยักหน้ารับแล้วบอก
“ตระกูลของโยมเป็นทหารมาหลายชั่วคน แต่คราเสียกรุง น้องชายโยมต้องไปขายเศษเหล็กไม่ใช่หรือ หากผู้อื่นรังเกียจว่าต่ำสกุลบ้าง โยมจะว่ากระไร”
“หาเหมือนกันไม่ขอรับ พ่อแต้มทำเช่นนั้นเพื่อเลี้ยงชีวิต แต่อย่างไรเสียบิดาของข้าพระเจ้ากับพ่อแต้ม ก็เป็นขุนทหารมาก่อน”
“แต่อาตมารู้มาว่า ปู่ของอ้ายเสมาเป็นถึงขุนชำนะพลแสนเช่นกัน แต่คราเสียกรุง เจ้ามั่นต้องตีเหล็กเลี้ยงชีวิต อ้ายเสมาจึงเกิดมาเป็นลูกของช่างตีเหล็ก”
พระยาศรีพิชัยสงครามอึ้งไปเพราะเถียงไม่ออก
“ผิดของอ้ายเสมาคือชาติกำเนิด แล้วมีผู้ใดในแผ่นดินเลือกกำเนิดได้บ้างเล่าโยม หากแต่อ้ายเสมาพากเพียรแลถือกตัญญู จนได้เป็นถึงพระยามหาสงครามเช่นทุกวันนี้มิควรชื่นชมมากกว่าหรือ”
ในใจของพระยาศรีพิชัยสงครามยอมรับว่าพระครูขุนพูดถูก แต่ก็ยังอดตะขิดตะขวงใจอยู่
“แต่หากข้าพระเจ้ายอมยกแม่เรไรให้ ผู้คนจะมิติฉินนินทาว่า หลงยศศักดิ์ของเสมาดอกหรือขอรับ”
พระครูขุนหัวเราะเล็กน้อย
“องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ประเสริฐกว่ามนุษย์ทุกผู้ ยังไม่พ้นคำนินทาไปได้ แล้วโยมเจ้าคุณเป็นผู้ใดกันจึงจักพ้นปากคน แลโยมจักเห็นแก่คำนินทาสำคัญกว่าความสุขของคนที่โยมรักกระนั้นหรือ”
พระยาศรีพิชัยสงครามคิดตามที่พระครูขุนพูด ตาเริ่มสว่างคิดอะไรได้มากขึ้น
เวลาผ่านไป 2-3 เดือน เจ้าพระยามหาเสนาบดี หรือพระราชมนูยืนอ่านพระบรมราชโองการอยู่ที่หน้าเรือนของพระยาศรีพิชัยสงคราม ทุกคนก้มหมอบกราบรอรับพระราชโองการ
“เมื่อได้ทราบความตามที่กราบบังคมทู จึงมีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานนางข้าหลวงเรไร บุตรีพระยาศรีพิชัยสงครามกับคุณหญิงลำภู ให้เป็นศรีเรือนแก่พระยามหาสงคราม แลขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย จงโปรดดลบันดาลให้มีแต่ความสุขความจำเริญ ครองคู่กันเป็นสุขสืบไป รับพระบรมราชโองการ”
“ขอพระองค์จงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน พระพุทธเจ้าข้า” เสมาถวายบังคมก้มลงกราบ
ทุกคนก้มลงกราบพร้อมกัน
เสมายื่นมือไปรับพระบรมราชโองการก่อนจะลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ข้าพระเจ้าดีใจนักที่ท่านเจ้าพระยาเมตตาอัญเชิญพระบรมราชโองการมาด้วยตนเองเช่นนี้”
“ฉันจักไม่มาได้อย่างไร ท่านเจ้าคุณศรีพิชัยก็อยู่ในสังกัดฉัน แลตัวท่านเจ้าคุณเองก็เป็นเพื่อนร่วมรบกันมาแต่ก่อน อย่างไรเสียฉันก็ต้องมา” เจ้าพระยามหาเสนาบดีบอก
เจ้าพระยามหาเสนาบดีว่า
“ถ้ากระนั้น ขอเรียนเชิญท่านเจ้าพระยาขึ้นบนเรือนก่อนเถิดขอรับ จักได้พูดคุยกันระหว่างรอฤกษ์ยาม”
เจ้าพระยามหาเสนาบดียิ้มรับแล้วเดินตามพระยาศรีพิชัยสงครามขึ้นเรือนไปพร้อมกับทุกคน
อ่านต่อหน้า ๒
ขุนศึก ตอนที่ ๑๕ ตอนอวสาน (ต่อ)
บนเรือนเจ้าพระยามหาเสนาบดี มโหรีปี่พาทย์กำลังบรรเลงเพลงมงคล เสมากับเรไรกำลังต้อนรับแขกเหรื่อที่มางาน โดยมีจำเรียง เอื้อยแตง สิน สมบุญ บัวเผื่อน พิณคอยช่วยงานอยู่
ในขณะที่มั่น แต้ม เจ้าพระยามหาเสนาบดี ลำภู เจ้าพระยามหาเสนาบดีกำลังพูดคุยกับแขกเหรื่อผู้หลักผู้ใหญ่ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
แต้มสังเกตเห็นสีหน้ามั่นเคร่งเครียด
“เป็นกระไรหรือพี่มั่น” แต้มถามขึ้น
“มีแต่ผู้บุญหนักศักดิ์ใหญ่ทั้งสิ้น ฉันไม่เคยเจอกระไรเช่นนี้เลยทำตัวไม่ถูกแล้ว”
“พี่เป็นพ่อของออกญามหาสงครามเชียวนา มัวแต่ตื่นกลัวเช่นนี้ จะใช้ได้กระไร มาๆ ประเดี๋ยวฉันพาไปพูดคุยให้ทั่ว จะได้หายตื่นกลัว”
แต้มจับแขนมั่นแล้วพาไปราวกับเป็นเจ้าของงานซะเอง
เรไรยิ้มแย้มต้อนรับแขกอยู่..ขณะที่เสมามีสีหน้าไม่สบายใจ กวาดสายตามองหารอคอยการมาของใครบางคนอยู่
“เป็นกระไรหรือเจ้าคะท่านเจ้าคุณ” เรไรถามด้วยความแปลกใจ
เสมาหน้าขรึมลงแล้วว่า
“ฉันคิดถึงพ่อหลวงพิมานนัก วันมงคลเช่นนี้ท่านกลับไม่ได้เห็น ฉันไม่สบายใจเลย”
สินมีสีหน้าดีใจรีบเข้ามาหาเสมาทันที
“แม่หญิงศรีเมืองกับหลวงพิมานมงคลมาแล้วจ้ะ”
เสมาและเรไรได้ยินดังนั้นก็ดีใจมากรีบเข้าไปหาทันที พระยาศรีพิชัยสงครามและลำภูก็รีบตามเข้าไป
สมบุญรีบเข้าไปประคองพันอิน
“ฉันช่วยจ้ะ”
“ฉันไหว้จ้ะพ่อหลวงพิมาน ฉันเห็นว่าพ่อได้ไข้หนักไม่คิดว่าจักมางานได้”
“พ่อท่านเพิ่งฟื้นไข้วันนี้เองจ้ะ แต่ท่านอยากมางานมงคลของท่านเจ้าคุณเลยให้ฉันพามา” ศรีเมืองบอก
พันอินยิ้มบางๆแล้วบอก
“นี่ถ้าผิดจากเสมาพ่อก็คงไม่มาดอก แต่เมื่อเป็นงานมงคลของเจ้า ไม่ว่าอย่างไรพ่อก็ต้องมาให้จงได้”
เสมาและเรไรคุกเข่าก้มลงกราบเท้า
“เป็นพระคุณนักเจ้าค่ะ เพียงแค่เมตตาจากท่านพ่อหลวงพิมานก็เป็นมงคลยิ่งกว่าสิ่งใดแล้ว”
เสมาซาบซึ้งใจสุดๆ
“บุญคุณของพ่อหลวงพิมานนี้สุดใจอ้ายเสมาแล้ว ดูหรือได้อุปการะอุ้มชูมาจนได้ดีเพียงนี้ก็เพราะพ่อท่าน อ้ายเสมาจะรำลึกคุณไปจนวันตายไม่ลืมเลย”
พันอินยิ้มบางๆด้วยความสุขใจลูบหัวเสมาและเรไรด้วยความเอ็นดู
“คุณหลวงยังไม่ใคร่แข็งแรง เชิญนั่งด้านในก่อนเถิดจ้ะ” ลำภูว่า
“ขอบน้ำใจนักแม่ลำภู”
เสมาและเรไรรีบลุกขึ้นช่วยประคองพันอิน โดยคนอื่นๆต่างห้อมล้อมพาพันอินเข้าข้างใน ศรีเมืองยืนมองเสมาและเรไรที่ช่วยกันประคองพันอินด้วยสายตาเศร้าสร้อย ถึงจะศรีเมืองจะทำใจมาบ้างแล้ว แต่ก็ยังอดเสียใจไม่ได้อยู่ดี
ขัน และดวงแขสีหน้าเต็มไปด้วยความเคียดแค้น แต่นิ่งเงียบไม่พูดอะไร ทั้งคู่ต่างเจ็บช้ำกับ
การแต่งงานของเสมาและเรไรในวันนี้เป็นที่สุด อำพันยืนดูลูกทั้งสองคนด้วยความเศร้าใจ
“ถึงขั้นนี้แล้ว พ่อขันแลแม่ดวงแขจักไม่ไปงานแต่งงานของพระยามหาสงครามกับแม่เรไรจริงรึ” อำพันพูดด้วยความไม่สบายใจ
ดวงแขขบกรามแน่นด้วยความเคียดแค้น
“แม่ท่านจักให้ลูกไปเพื่อถูกเย้ยหยันกลับมาหรือเจ้าคะ ให้ลูกไปตายเสียยังจักง่ายดายกว่า”
“ที่ลูกต้องเป็นเช่นนี้ เพราะชายหญิงสองคนนั้นเป็นเหตุ หากอ้ายเสมาไม่คิดแข่งกับลูก ลูกคงไม่ก่อเรื่องมากมายจนผิดใจกับท่านอาดอก ยามที่ลูกตกต่ำในเพลานี้ท่านอาก็คงช่วยลูกได้ ไม่ต้องทนเป็นทหารไร้สังกัดอยู่เช่นนี้”
สีหน้าของขันและดวงแขเต็มไปด้วยอารมณ์เจ็บแค้นชิงชัง อำพันน้ำตาคลอเบ้าพลางคิดว่า ถึงขั้นนี้แล้ว ลูกทั้งสองคนก็ยังไม่สำนึกเอาแต่โทษคนอื่น อำพันได้แต่เดินส่ายหน้าเลี่ยงไปเงียบๆ
บนเรือนของพระยาศรีพิชัยสงคราม เรไรเปลี่ยนชุดใหม่เพื่อมาเข้าพิธีในชุดไทยเต็มยศ สวยงามไร้ที่ติ เรไรค่อยๆเดินออกมาพร้อมกับจำเรียงและพิณ ทุกคนหันไปมองเรไรเป็นตาเดียว โดยเฉพาะเสมาถึงกับตะลึงตาค้างในความสวย มั่นยิ้มบางๆแล้วบอก
“ช่างมีวาสนานักเสมาเอ๋ย ไป ไปรับแม่หญิงจะได้เริ่มพิธีกัน”
เสมาหายตะลึงเดินยิ้มกริ่มเข้าไปหาเรไร ทั้งคู่มองตากันด้วยความหมายที่ลึกซึ้งแทนคำพูดมากมายที่อยากจะกล่าวต่อกัน
เสียงฆ้องย่ำเป็นจังหวะสัญญาณช้าๆ พราหมณ์หลวงเป่าสังข์เพื่อความเป็นสิริมงคลเพื่อแสดงว่าได้
ฤกษ์ยามงามดีแล้ว พอสิ้นเสียงสังข์ วงมโหรีปี่พาทย์ก็บรรเลงเพลงมงคล เจ้าพระยามหาเสนาบดีเดินนำพระยาศรีพิชัยสงคราม ลำภู มั่น แต้ม และแขกเหรื่อต่างๆมาที่หอนั่ง
ภายในหอนั่ง เสมาและเรไรนั่งพับเพียบพนมมือ หมอบเรียงเคียงกันด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม โดยมีสิน สมบุญ จำเรียง เอื้อยแตง ศรีเมือง บัวเผื่อน และเหล่าเพื่อนบ่าวสาวห้อมล้อมอยู่ใกล้ๆ
เจ้าพระยามหาเสนาบดีพนมมือให้พร
“ขอออกญามหาสงครามเพื่อนทหารเรา จงจำเริญสถาพรยิ่งๆขึ้นไปด้วยลาภยศ แลจงครองคู่กันเป็นสุขสืบไปเถิด”
เสมารับไหว้
“พระคุณล้นหัวใจแล้วขอรับ ท่านเจ้าพระยา”
เจ้าพระยายิ้มรับก่อนจะเดินเลี่ยงไป พระยาศรีพิชัยสงครามและลำภูเดินเข้ามาให้พรเป็นคู่ต่อไป
พระยาศรีพิชัยสงครามยิ้มบางๆ อย่างมีความสุข
“ขอให้ลูกทั้งสอง จงมีแต่ความสุขความจำเริญ เภทภัยใดก็อย่าได้กล้ำกราย ผู้ใดปองร้ายก็ขอให้พ่ายแพ้ไปสิ้น”
“จงครองคู่จวบจนแก่เฒ่า มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมืองนะลูกนะ” ลำภูว่า
พระยาศรีพิชัยสงครามพูดกับเสมา
“ฝากแม่เรไรด้วยเถิด ออกญามหาสงคราม”
“พระคุณวางใจเถิดขอรับ แม่หญิงสำคัญกว่าชีวิตของข้าพระเจ้ามานานหนักหนาแล้ว”
เรไรมองเสมาด้วยตาซาบซึ้ง น้ำตาคลอด้วยความปลาบปลื้มใจ พระยาศรีพิชัยสงครามเอามือลูบหัวทั้งคู่ด้วยความเมตตา ก่อนจะพาลำภูเดินเลี่ยงไป
มั่นประคองพันอินที่มีท่าทางอ่อนแรง แต่สีหน้าเต็มไปด้วยความสุขใจเข้ามาอวยพรคู่บ่าวสาว
เรไรซึ้งใจสุดๆแล้วพูดขึ้น
“ลูกซาบซึ้งพระคุณพ่อท่านนัก พรึ่งนี้เย็น ลูกกับท่านเจ้าคุณจะไปกราบเท้าพ่อท่านถึงเรือนนะเจ้าคะ”
“เรือนพ่อก็เป็นดั่งเรือนของลูกทั้งสองเช่นกัน ลูกจะมาเมื่อใดก็ตามแต่ใจเถิด” พันอินว่า
“พ่อท่านก็ได้ไข้อยู่ ยังอุตส่าห์มาให้พรแก่เสมา”
“พ่อเต็มใจนัก มหาสงครามลูกพ่อ แม้จักป่วยหนักยิ่งกว่านี้ ถึงต้องใส่แคร่หามมาเพียงเห็นหน้าลูกแล้ว พ่อก็ยอม” พันอินพนมมือให้พร
“ขอให้ลูกทั้งสอง จงอยู่เย็นเป็นสุข มิว่าคิดสิ่งใดก็ขอให้สมดังปรารถนา”
เสมาและเรไรนั่งพนมมือรับพรจากพันอินด้วยสีหน้ามีความสุข
พระครูขุนและพระสงฆ์กำลังสวดให้ศีลให้พรคู่บ่าวสาว โดยมีบาตรน้ำมนต์วางอยู่ตรงหน้า
เสมา และเรไรสวมมงคลแฝดหมอบกราบอยู่ที่พื้น พระสงฆ์สวดมนต์เสร็จ ทุกคนก็ไหว้จบหัวรับพร
สมบุญยิ้มแย้มสนุกสนานบอกหมู่มวลเพื่อนบ่าวสาวให้เตรียมตัว
“หลวงพ่อท่านจะซัดน้ำแล้ว”
มั่นช่วยยกบาตรน้ำมนต์ ให้พระครูขุน พระครูขุนเดินมาซัดน้ำมนต์จากบาตรให้พรคู่บ่าวสาว
สิน สมบุญ และเหล่าเพื่อนเจ้าบ่าวก็ขยับตัวเบียดเสมา ส่วนจำเรียง เอื้อยแตง ศรีเมือง บัวเผื่อน และเพื่อนเจ้าสาวอื่นๆก็ขยับตัวเบียดเรไร จนเสมาและเรไรถูกเบียดมาแนบชิดกันอยู่ตรงกลาง พระครูขุนใช้น้ำมนต์ในบาตรพรมใส่เพื่อความเป็นสิริมงคลอย่างต่อเนื่อง
เพื่อนเจ้าบ่าว-เจ้าสาวเบียดกันไปดันกลับกันมา บรรยากาศเต็มไปด้วยความรื่นเริง แขกผู้ใหญ่ก็มองดูยิ้มแย้มมีความสุข เสมาและเรไร เนื้อตัวเปียกปอนเบียดจนชิดแนบเนื้อยืนเหล่มองกันด้วยสีหน้าเขินอาย แต่ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข
ยามค่ำในเรือนหอที่บ้านฝ่ายหญิง เรไรกำลังยืนเปิดหน้าต่างชมพระจันทร์อยู่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มปลาบปลื้มใจอย่างมีความสุข เสมาเดินเข้ามาโอบกอดและจับมือเรไรไว้แล้วยิ้มกรุ้มกริ่ม
“ทำกระไรอยู่หรือแม่หญิง”
เรไรเขินอายแล้วบอก
“ดูจันทร์อยู่เจ้าค่ะท่านเจ้าคุณ ดูซีเจ้าคะ คืนนี้จันทร์ช่างสุกสกาวสวยงามนัก”
“สวยงามเพียงใด ก็สู้แม่หญิงเรไรของข้าพระเจ้าไม่ได้ดอก “
เสมาจะหอมแก้ม เรไรเอียงหน้าหลบ แล้วเดินเลี่ยงออกมาด้วยความเขินอาย
“ท่านเจ้าคุณก็พูดเกินเลยไป หากผู้ใดมาได้ยินเข้าคงน่าอายนัก”
“ต่อหน้าผู้อื่น แม่หญิงจักเรียกฉันว่าท่านเจ้าคุณก็หาเป็นกระไรไม่ แต่ยามอยู่กันสองต่อสอง ฉันขอเถิด แม่หญิงโปรดเรียกเสมาดังเก่า เพราะข้าพระเจ้าคือเสมา ช่างตีเหล็กผู้ใฝ่รักแม่หญิงเรไรผู้สูงศักดิ์ ไม่เคยแปรเปลี่ยน”
“แต่เพลานี้ ท่านจ้าคุณหาใช่ช่างตีเหล็กแล้วนะเจ้าคะ แต่เป็นพระยามหาสงครามต่างหาก” เรไรพูดพลางยิ้มอย่างปลื้มใจ
“ยศศักดิ์ของข้าพระเจ้านี้มีไว้เพื่อแม่หญิงเท่านั้น แต่ใจของข้าพระเจ้ามิเคยปรารถนาสิ่งใดมากไปกว่าหัวใจรักของแม่หญิงเลย”
“คำพูดนี้เสมาพูดกับฉันไว้เมื่อสิบกว่าปีก่อน ยังจำได้อีกหรือ”
“ข้าพระเจ้ามีกระไรจะให้แม่หญิงดู”
เสมาจูงมือเรไรที่มีสีหน้าไปนั่งที่เตียงแล้วเดินไปหยิบกล่องใบหนึ่งมาให้ เรไรรับกล่องแล้วเปิดออก ข้างในมีทั้งแหวนที่เรไรให้เสมาตอนไปศึก ดอกจำปีดอกแรกที่ให้เสมา ซึ่งตอนนี้เหี่ยวแห้งจนแทบดูไม่ออกว่าเคยเป็นดอกจำปีมาก่อน แล้วยังมีอีกหลายอย่างเต็มไปหมด ซึ่งแต่ละอย่างล้วนเป็นสิ่งเล็กๆน้อยๆที่เสมาเก็บเอาไว้อย่างดี
“แม่หญิงเห็นแล้ว คงจำได้กระมังว่า ของแต่ละชิ้นนี้มีที่มาอย่างไรบ้าง”
เรไรปลื้มใจจนน้ำตาคลอ
“เสมาจำได้ แล้วมีหรือที่ฉันจักจำไม่ได้ เสมาเก็บไว้เถิด ของในกล่องนี้มีค่านัก ฉันไม่อยากให้มันหายไป”
เสมายิ้ม รับกล่องมาวางที่หัวเตียงก่อนจะดึงตัวเรไรมานั่งกอดข้างๆ
“สิบกว่าปีแล้ว นับแต่วันที่ข้าพระเจ้าเชิญขอนให้แม่นั่งจนถึงวันนี้ ผ่านลำเค็ญมานักหนาแทบเอาชีวิตไม่รอด ด้วยเฝ้าใฝ่รักกันมายิ่งกว่าหญิงชายคู่ใดทั้งอโยธยา ชีวิตนี้ข้าพระเจ้าให้แผ่นดิน แต่หัวใจรักนี้เป็นของแม่หญิงเรไรเท่านั้น”
เรไรซบอกเสมาแล้วกอดแนบแน่นด้วยความรักที่มีให้ไม่ต่างกัน เสมาค่อยๆ พาเรไรนอนลงบนเตียง พร้อมรอยยิ้มเสน่หา เรไรขวยอายไปมา เสมาค่อยๆ ขยับตัวไปดับตะเกียง
สามเดือนต่อมา เสมาวิ่งขึ้นเรือนพันอินมาด้วยสีหน้าตื่นตกใจ ศรีเมืองรีบเข้าไปรับเสมาด้วยน้ำตานองหน้า
“พ่อท่านเป็นกระไรบ้าง” เสมาถาม
ศรีเมืองร้องไห้
“อาการหนักมากแล้วจ้ะ เพลานี้รอพี่เสมาแต่ผู้เดียว”
เสมาเครียดหนักรีบเดินเข้าข้างในไปทันที เสมาเปิดประตูเข้าห้องนอนเห็นพันอินนอนป่วยหนัก ใกล้หมดลมอยู่บนเตียง เสมารีบเข้าไปหาพันอินทันที
“พ่อท่าน”
พันอินดีใจสุดๆที่ได้ยินเสียงเสมา เวลานี้พันอินมองอะไรไม่เห็น ได้แต่ใช้มือควานหาเสมา “เสมามาแล้วหรืออยู่ที่ใด ลูกอยู่ที่ใดกัน”
เสมาจับมือพันอินไว้แล้วเอามาลูบคลำที่ใบหน้า
“อยู่นี่จ้ะ พ่อหลวงพิมาน”
พันอินยิ้มดีใจแล้วบอก
“เสียดายนักที่พ่อไม่เห็นหน้าเจ้า แต่บุญเก่าพอคงพอมีจึงได้หายใจอยู่จนเจ้ามา”
“พ่อท่านเข้มแข็งไว้ขอรับ ข้าพระเจ้าจะหาหมอที่เก่งที่สุดในอโยธยามาช่วยพ่อท่านให้จงได้”
“ไม่ว่าหมอจักเก่งเพียงใดก็เอาชำนะความตายไม่ได้ดอก ฟังพ่อเถิดเสมา พ่อมีเรื่องจะขอร้องเจ้าเป็นคราสุดท้าย”
“พ่อท่านบอกมาเถิด ข้าพระเจ้าจักกระทำตามประสงค์ของพ่อท่านทุกเรื่อง มิมีผัดผ่อนเลย”
พันอินเสียงอ่อนแรงเต็มทน
“พ่อเป็นห่วงศรีเมืองนัก ขอร้องเจ้า จงรับศรีเมืองเป็นเมียรองจากเรไรเถิด”
เสมาตกใจมากกับคำสั่งเสีย
“แต่ข้าพระเจ้าไม่เคยคิดกับศรีเมืองเป็นเช่นอื่น นอกจากน้องเลย แลโดยศักดิ์แล้ว ศรีเมืองมิควรเป็นรองของหญิงใด”
พันอิน หลับตานิ่งอยู่ครู่หนึ่งเหมือนรวบรวมแรงครั้งสุดท้าย ก่อนจะลืมตาขึ้นพูด
“พ่อรู้ว่าเจ้ามีใจเดียวต่อแม่เรไรใช่ว่าพ่อจักไม่เข้าใจ เสมา เจ้ารู้หรือไม่ว่าพ่อไม่เคยออกเรือนเลย เพราะหญิงเดียวที่พ่อรักก็คือแม่แท้ๆ ของศรีเมือง”
เสมาอึ้งไปเพราะคิดไม่ถึง พันอินค่อยๆเล่าความหลัง
“แต่เพลานั้น พ่อยากจนเหลือ เป็นเพียงทหารไร้ยศศักดิ์ ตายายของศรีเมืองรังเกียจนัก จึงยกแม่ของศรีเมืองให้ผู้อื่น”
พันอินเหนื่อยหอบมากขึ้น
“พ่อท่านไม่ต้องเล่าแล้ว พักผ่อนเถิด”
“ให้พ่อเล่าเถิด จากนั้นผ่านไปนานปี พ่อแม่ของศรีเมืองถูกโจรฆ่าตายจนสิ้น เหลือศรีเมืองรอดมาเพียงผู้เดียว พ่อจึงเลี้ยงดูไว้ ครานี้เจ้าคงเข้าใจแล้วกระมังว่า เหตุใดพ่อจึงห่วงศรีเมืองนัก”
เสมาพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
“ขอรับ ที่แท้ข้าพระเจ้ากับพ่อท่านก็มีชะตาคล้ายคลึงกันนัก”
พันอินในอาการเหนื่อยอ่อนบีบมือเสมาแน่น
“แต่เจ้ายังโชคดีกว่าพ่อมากนัก..เสมา เจ้ารับปากพ่อ รับศรีเมืองเป็นเมียลูกอีกคน แลดูแลปกป้องศรีเมืองได้หรือไม่”
เสมาเห็นพันอินใกล้ตายแล้วและเมื่อเข้าใจในเหตุผลของพันอินก็ยิ่งสงสารมากขึ้น เสมาตัดสินใจทันที
“ข้าพระเจ้า...รับปากขอรับ”
พันอินยิ้มดีใจอย่างหมดกังวล ก่อนที่เรี่ยวแรงครั้งสุดท้ายจะหมดลง มือของพันอินที่จับมือเสมาไว้ก็คลายออก แล้วปล่อยตกลง พร้อมๆกับดวงตาที่ปิดลงและหมดลมหายใจไปในที่สุด
เสมาเห็นพันอินตายต่อหน้าก็อึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนน้ำตาจะเริ่มเอ่อคลอด้วยความเศร้าเสียใจแล้วสำนึก
ในบุญคุณ เสมาค่อยๆก้มลงกราบที่เท้าของพันอินทั้งน้ำตาเป็นครั้งสุดท้าย
ที่บ้านใหม่ของเสมา เรไรรับฟังเสมาด้วยสีหน้านิ่งขรึม ใช้ความคิด ไม่พูดอะไร นั่งร้อยพวงมาลัยไปเนิบๆ ในขณะที่เสมาคอยมองเรไรด้วยท่าทางหวาดๆและเกรงใจ
“พ่อหลวงพิมานก็สิ้นบุญแล้ว หากฉันไม่รับปากก็อกตัญญูนัก แม่หญิงอย่าถือโทษเลย ฉันให้สัตย์ว่า
จะให้ศรีเมืองอยู่ที่เรือนเดิม แลเป็นอนุแต่เพียงได้ชื่อเท่านั้น แต่ฉันจักไม่ข้องเกี่ยวกับแม่ศรีเมืองเป็นอันขาด”
เรไรเงยหน้ามองเสมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม)
“เหตุใดต้องทำเช่นนั้น เสมาก็รับแม่ศรีเมืองเป็นอนุจริงๆ แลให้ย้ายมาอยู่เรือนเดียวกันเสียก็สิ้นเรื่อง”
เสมานึกไม่ถึง
“แม่หญิงพูดจริงรึ”
“เห็นฉันเป็นคนช่างประชดประชันหรือกระไร ฉันเห็นศรีเมืองมานาน ประจักษ์ในน้ำใจมาหลายครา ว่า แม่ศรีเมืองเป็นคนดีแลมีรักแท้ต่อเสมา ฉันเองก็เอ็นดูประหนึ่งน้อง หากมาเป็นอนุฉันก็หารังเกียจไม่”
“แต่แม่หญิงเคยถือสานัก เรื่องชายเจ้าชู้หลายเมียไม่ใช่หรือ”
เรไรคิดอยู่ครู่นึงแล้วบอก
“แต่ก่อนก็ใช่ แต่หลังจากตรากตรำได้ทุกข์มานาน ฉันเห็นควรว่าต้องแยกแยะ เหตุนี้เกิดจากเสมาขัดพ่อหลวงพิมานไม่ได้ แลเป็นคำขอสุดท้ายก่อนตาย แม่ศรีเมืองเองก็เป็นคนดีแล้วฉันจักถือโทษโกรธเคืองได้อย่างไร”
เสมาค่อยยิ้มออกมาอย่างโล่งใจที่ทำตามคำสั่งเสียของพ่อพันอินได้
“เอาไว้สิ้นงานศพพ่อหลวงพิมานแล้วค่อยพาแม่ศรีเมืองมาหาฉันตามธรรมเนียมเถิด”
“ขอบน้ำใจแม่หญิงนัก สมแล้วที่เป็นศรีภรรยาเอกของเสมา แม่ได้ปลดเปลื้องความหนักใจให้เสมาจน
สิ้น”
เรไรยิ้มใจดี เสมาอดไม่ได้ที่จะสวมกอดภรรยารักกลางเรือน เรไรได้แต่ยิ้มแย้มมีความสุขที่เข้าใจสามีทุกอย่าง
เวลาผ่านไป 7-8 วัน เมื่อเวลาบ่าย ทาสหญิงกำลังคล้องโซ่ปิดประตูเรือนของพันอิน ศรีเมืองในชุดดำกับเสมากำลังดูทาสปิดประตูทุกบานในเรือนอยู่ ศรีเมืองร้องไห้สะอึกสะอื้นที่ต้องจากเรือนนี้ไป ในใจคิดถึงพันอินสุดๆ
“แม่หญิงไม่ต้องห่วงดอกขอรับ พวกบ่าวจักดูแลเรือนแลเทือกสวนไร่นาทั้งหมดเองขอรับ”
ศรีเมืองร้องไห้สะอึกสะอื้นพยักหน้ารับ
“ฝากพวกเจ้าด้วยเถิด”
“ไปกันเถิดแม่ศรีเมือง” เสมาบอก
“พี่เสมาจ๋า ฉันคิดถึงพ่อท่านนัก แลใจหายเหลือที่ต้องจากเรือนนี้ไป”
เสมาจับมือศรีเมืองไว้
“พ่อท่านไปสบายแล้ว เจ้าอย่าทุกข์ใจให้วิญญาณพ่อท่านต้องมีห่วงอีกเลย แลเรือนนี้ก็ยังเป็นของเจ้าจักกลับมาเมื่อใดก็ย่อมได้ อย่ากังวลไปเลย
เสมาจับมือศรีเมืองแน่นขึ้นเป็นเชิงให้กำลังใจ
“แต่นี้สืบไป พี่จะดูแลปกป้องเจ้าเอง”
ศรีเมืองพยักหน้ารับทั้งน้ำตา ก่อนที่เสมาจะจูงมือศรีเมืองลงจากเรือนไป
ภายในหอนั่งบนเรือนใหม่ของเสมา ศรีเมืองกำลังก้มลงกราบเรไรที่นั่งพับเพียบอยู่ โดยมีเสมาอยู่ใกล้ๆ เรไรยิ้มบางๆ จับมือศรีเมือง
“แต่นี้ก็ถือเสมือนหนึ่งว่าเราเป็นพี่น้องกันแล้วนะแม่ศรีเมือง”
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะคุณหญิง”
“คุณหญิงกระไรกันเรียกพี่เรไรเถิด เราหาใช่คนอื่นไกลกันไม่”
ศรีเมืองยิ้มเขิน
“เจ้าค่ะ พี่เรไร”
เสมายิ้มสบายใจที่ภรรยาเอกและอนุปรองดองกัน เรไรเหล่มองเสมานึกหมั่นไส้ขึ้นมากระทันหัน
“ยิ้มกระไรเจ้าคะ ท่านเจ้าคุณ”
“ไม่มีกระไรดอกคุณหญิง” เสมาตอบด้วยสีหน้าเกรงๆ
เรไรหน้าบึ้งตึงบอก
“ไม่มีแล้วจักยิ้มหรือเจ้าคะ มุสานัก”
เสมาทิ้งค้อน แล้วหันไปพูดกับศรีเมือง
“ไปกันเถิดแม่ศรีเมือง พี่จะพาเจ้าไปดูห้อง หากขาดเหลือกระไรเจ้าจะได้บอกพี่”
“แล้วฉันเล่าคุณหญิง” เสมาถาม
“ท่านเจ้าคุณจะไปทำกระไร ก็ตามใจซีเจ้าคะมาถามฉันทำกระไร”
เรไรเดินนำศรีเมืองที่หันมายิ้มขำกับเสมาก่อนจะเดินตามเรไรเข้าไปข้างใน เสมาได้แต่ชะเง้อมองตามเรไรไปหน้าแหยๆ
หมายเหตุ อยู่ต่อหน้าคนอื่นเสมาจะเรียกเรไรเป็นคุณหญิง เรไรเรียกเสมาท่านเจ้าคุณเพื่อเป็นการให้เกียรติ
อ่านต่อหน้า ๓
ขุนศึก ตอนที่ ๑๕ ตอนอวสาน (ต่อ)
ในเวลาเย็น ขันยืนกระวนกระวายอยู่ที่หน้าบ้านพุฒ ขันชะเง้อมองหลายครั้ง แต่พุฒก็ไม่มาซักทีจนขันหงุดหงิด
สักครู่หนึ่ง ทหารกลุ่มหนึ่งก็หามเสลี่ยงพาพุฒมา พอถึงหน้าบ้าน ทหารก็วางเสลี่ยงลงให้พุฒลง ขันดีใจรีบเข้าไปหาพุฒทันที
“หลวงวิเศษไปที่ใดมา ฉันรอท่านจนร้อนใจนัก”
“มีกระไรหรือ”
ขันสีหน้าเครียดหนัก
“จวนจะกึ่งปีแล้ว เรายังหาสังกัดใหม่ไม่ได้ ฉันได้ยินมาว่าพิษณุโลกสองแคว กำลังฟื้นฟูบ้านเมืองจึงจะชวนหลวงท่านไปเข้าสังกัดพระยาพิษณุโลก”
“เป็นทหารเมืองหลวงแล้วจะให้ลดศักดิ์ไปเป็นทหารหัวเมืองกระนั้นหรือ สิ้นคิดเสียแล้วหลวงณรงค์” พุฒพูดพลางหัวเราะเยาะ
“ฉันมาชวนท่านเพราะเห็นเป็นเกลอกัน เหตุใดมาเยาะกันเช่นนี้ แลทุกวันนี้เราสองไร้สังกัด ไม่มีศักดินาเก็บกิน แม้จักยังมีสมบัติอยู่ แต่ก็ไม่มีหน้าไปสู้ผู้ใดได้ ไปเป็นทหารหัวเมืองแม้มีศักดินาน้อย แต่ก็ยังดีกว่าทนอยู่อย่างนี้”
“อย่าใช้คำว่าเราสอง ท่านผู้เดียวต่างหากที่ไร้สังกัด”
พุฒชี้ไปที่เสลี่ยงและทหาร
“ไม่เห็นหรือว่านี่กระไร ฉันอยู่สังกัดทหารล้อมวังของพระพิเดชสงครามมานานเดือนแล้ว ท่านไม่รู้ดอกรึ”
ขันตกใจและน้ำเสียงเดือดดาลขึ้น
“นี่มึงหลอกกูหรืออ้ายพุฒ กูเห็นมึงเป็นเพื่อนจึงมาชักชวนไปเข้าสังกัดใหม่ แต่มึงมีอยู่แล้วกลับไม่บอกกู แลแล้งน้ำใจหาได้ชักชวนกูไม่ อ้ายเพื่อนชั่ว”
พุฒตะคอกสวนทันที
“มึงอย่ามาใช้คำว่าเพื่อนกับกู มึงเอาน้องสาวมึงมาล่อเพื่อหลอกใช้กู แล้วมึงก็บิดพลิ้วไม่เคยช่วยกูจริง แล้วเหตุใดกูต้องชี้ทางให้มึงกลับมารุ่งเรืองด้วย”
พุฒหันไปสั่งลูกน้อง
“เฮ้ย ไล่อ้ายทหารไร้สังกัดผู้นี้ไปให้พ้นเขตบ้านกู อย่าให้มันมาขโมยของได้เชียว”
“อ้ายพุฒ”
พวกทหารที่ตามมาชักดาบออกมาเตรียมพร้อม ขันชะงัก เพราะตนมาคนเดียวทั้งยังไม่ได้เอาอาวุธมาด้วย พุฒเดินหัวเราะอย่างสะใจขึ้นเรือนไป ขันได้แต่มองตามด้วยความเคียดแค้นสุดๆ
ในเวลากลางคืนที่บริเวณหน้าเรือนของขัน ขันชักดาบคู่มือออกมาแล้วมองดาบคู่ในมือด้วยสายตาเหี้ยมเกรียม แต่มือที่ถือดาบกลับสั่นเทา เพราะความหวาดกลัวในจิตใจ
ขณะที่ขันตัดสินใจไม่ถูกว่าจะฆ่าตัวตายให้พ้นความตกต่ำดี หรือเอาดาบไปฆ่าเพื่อนทรยศอย่างพุฒดี
ดวงแขเดินประกบอำพันออกมาจากห้องพระ เห็นเงาขันตะครุ่มๆอยู่ที่หน้าเรือน
“ทำอะไรน่ะพ่อขัน”
ขันจะรีบเก็บดาบ แต่ไม่ทัน ดวงแขเห็นขันถือดาบอยู่ จึงรู้สึกแปลกใจและสงสัย
“พี่ขันถือดาบทำกระไรหรือ”
“เอ่อ ไม่มีกระไรดอก พี่เอามาขัดถูเท่านั้น” ขันพูดอึกๆอักๆ
ดวงแขชักเอะใจและระแวง
“มืดค่ำเช่นนี้น่ะหรือ นี่พี่ขันคงไม่ได้คิด..”
ขันจนแต้มโพล่งเสียงดังแล้ว ปาดาบทิ้งลงบนพื้น
“เอ็งอย่ามาสู่รู้ใจข้าหน่อยเลย ... โว้ย”
ทั้งดวงแขและอำพันตกใจมาก อำพันน้ำตาคลอ เสียใจสุดๆ
“พ่อขัน นี่ใจพ่อขันจะทิ้งแม่กับน้องได้ลงคอเชียวหรือ”
“ลูกยังไม่ได้คิดถึงขั้นนั้นดอกขอรับ ลูกเพียงแต่หมดอาลัยในชีวิต แต่เกิดมาไม่เคยตกต่ำถึงเพียงนี้เลย แลอ้ายพุฒยังทุรยศหักหลังลูกอีก ลูกแค้นจนอยากจะฆ่ามันเหลือ”
“ถึงพ่อขันจะเป็นทหารไร้สังกัด แต่เราก็ยังมั่งมีศรีสุข พ่อขันจะทุกข์ใจไปทำไม”
“แม่ท่านไม่เข้าใจดอก ลูกคุ้นเคยกับอำนาจยศศักดิ์มานานนัก หากต้องอยู่โดยไม่เหลือกระไรเช่นนี้ ก็ไม่ต่างจากเป็นคนครึ่งคน ตายเสียยังจักดีกว่า”
“แล้วแม่กับน้องเล่า พ่อขันตาย แล้วแม่กับน้องจะอยู่กับผู้ใด”
ขันรู้สึกผิดและเสียใจที่เห็นแม่ร้องไห้จึงซึมๆไป ดวงแขนึกขึ้นได้
“พี่ขันบอกว่าจะไปเป็นทหารพิษณุโลกไม่ใช่หรือ ไปเถิดอย่าเพิ่งท้อแท้เลย”
ขันเครียดจนน้ำตาเริ่มคลอเบ้า
“ไปเป็นทหารหัวเมืองก็ต้องโดนอ้ายพุฒมันเย้ยหยันอีก คิดแล้วก็ไม่ต่างกันเท่าใด
ขันเข้าไปกอดอำพัน
“ลูกคงอับจนหนทางแล้วจริงๆ แม่ท่าน”
“ยังมีอยู่ผู้หนึ่งที่ช่วยพี่ขันได้” ดวงแขน้ำตาคลอพูดขึ้น
ขันผละจากกอดแม่หันไปมองดวงแขด้วยสีหน้าสงสัย ดวงแขจ้องหน้าขันนิ่ง
“ขึ้นอยู่กับพี่ขันจะยอมเสียศักดิ์หรือไม่”
อำพันในสีหน้าร้อนใจปนมีความหวัง
“ใครกันที่จักช่วยพ่อขันได้ แม่ดวงแข”
ขันจ้องดวงแขด้วยความสงสัยอยากรู้ รอคำตอบจากปากดวงแข
เช้าวันรุ่งขึ้น อำพันกำลังคุยกับเสมา โดยมีขันนั่งหน้าเครียดอยู่ใกล้ๆ
“ฉันได้ยินมาว่าวังหน้าจะเพิ่มราชองครักษ์ จึงอยากฝากฝังพ่อขันกับท่านเจ้าคุณ มิทราบว่าท่านเจ้าคุณเห็นควรประการใดบ้างเจ้าคะ”
เสมาคิดหนักแล้วบอก
“ เรื่องนี้มีข้อยุ่งยากอยู่บ้าง ขอข้าพระเจ้าไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนเถิดขอรับแม่นาย”
อำพันถึงกับหน้าเสียในทันที
“ยุ่งยากในที่ใดกันเจ้าคะ”
“หลวงณรงค์ไม่ใช่ทหารวังมาแต่ก่อน การย้ายมาเป็นองครักษ์ดูจักไม่งามนัก”
ขันโมโหขึ้นทันที พลางคิดว่าเสมาหาเรื่องเพราะความเกลียดชังส่วนตัว
“พอเถิดแม่ท่าน ลูกรู้ว่าพระยามหาสงครามคิดเช่นไร ผู้ใดจะอยากช่วยศัตรูกันเล่า เราไม่ควรมาขอความช่วยเหลือให้เค้าเยาะเล่นแต่ต้นแล้ว กลับกันเถิดแม่ท่าน”
ขันลุกขึ้นจะกลับ แต่เสมารีบเรียกไว้
“ช้าก่อนเถิดหลวงณรงค์ ฉันไม่ได้หมายความเช่นนั้น”
อำพันกระตุกชายเสื้อขันไม่อยากให้ลูกวู่วาม
“พ่อขัน”
ขันขัดแม่ไม่ได้เลยยอมนั่งลง
“ที่ฉันว่าไม่งาม เพราะผู้หวังเป็นราชองครักษ์มีมากนัก หากหลวงณรงค์ท่านได้ตำแหน่งเกินหน้า ย่อม
เป็นที่ริษยาแลเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจในหมู่ทหารวังได้ เอาเช่นนี้เถิด หลวงณรงค์ไปเป็นทหารรักษาพระราชมณเฑียรแลประตูกำแพงชั้นนอกก่อน หากมีโอกาสเมื่อใด ค่อยย้ายมาเป็นราชองครักษ์ จะได้สิ้นครหา”
ขันและอำพันนึกไม่ถึงว่า เสมาจะรับปากง่ายดายขนาดนี้ แถมยังคิดเผื่อขันไว้อีกต่างหาก
“นี่แสดงว่าท่านเจ้าคุณ รับพ่อขันเข้าสังกัดแล้วหรือเจ้าคะ” อำพันพูดด้วยน้ำเสียงดีใจสุดๆ
เสมายิ้มบางๆ
“หลวงณรงค์มีฝีมือลือเลื่องอยู่แล้ว ข้าพระเจ้าจักไม่รับคนมีฝีมือได้กระไรเล่าขอรับแม่นาย”
ขันไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
“แล้วข้อบาดหมางของเราเล่า”
“เรื่องมันผ่านไปแล้ว ฉันไม่ได้ถือสาเอามาเป็นข้อเจ็บแค้นแต่อย่างไรแลไม่มีความสนใจ จนลืมเสียด้วยซ้ำ หลวงท่านอย่ากังวลไปเลย”
ขันยังรู้สึกคลางแคลงใจ
“แต่ฉันกระทำกับออกญาไว้หนักนัก ออกญาท่านไม่คิดแค้นหรือ”
เสมาถอนหายใจพลางว่า
“ข้ออาฆาตของเราสองเกิดจากรักหญิงคนเดียวกัน จึงได้ต่อสู้ทำร้ายกัน แต่โดยน้ำใจแล้ว ฉันชอบในฝีมือแลปัญญาของหลวงท่านนัก”
ขันฟังเสมาและยอมรับในคำพูดนั้น
“ ฉันเองก็ยอมรับในฝีมือออกญาเช่นกัน”
เสมาจ้องหน้าขันแล้วว่า
“หากเราแค้นแลแก้แค้นกันอยู่เช่นนี้ ย่อมผูกเวรกันไม่จบสิ้น ไม่เป็นคุณแก่ผู้ใดเลย จงหยุดด้วยการสิ้นพยาบาทกัน
เสียแต่ตรงนี้เถิด”
ขันซึ้งใจในน้ำใจของเสมาจนน้ำตาคลอ
“แพ้แล้ว อ้ายขันแพ้แล้วจนหมดสิ้นจริงๆ แต่หาได้แพ้ในฝีมือของออกญาท่านไม่ หากแต่แพ้ในน้ำใจของท่าน แลไม่มีวันที่จักคิดเป็นศัตรูกับท่านอีก”
ขันยอมรับจากใจจจริงแล้วยกมือไหว้เสมา เสมายิ้มแย้มรับไหว้อย่างให้อภัย อำพันปลื้มปีติจนน้ำตาคลอเบ้า
ดวงแขกำลังยืนคอยขันกับอำพันอยู่ในสวนหลังบ้านเสมา เพราะไม่อยากขึ้นไปบนเรือน ขณะที่กำลังกระวนกระวายฟังข่าวอยู่ เสียงเรไรดังขึ้น
“เหตุใดไม่ขึ้นไปรอบนเรือนเล่าแม่ดวงแข”
ดวงแขหันกลับไปเห็นเรไรยืนมองอยู่
“จะให้ขึ้นไปเพื่อให้โดนเย้ยเล่นว่า สิ้นท่าหมดปัญญาแล้วจึงต้องซมซานมากราบกรานขอร้องกระนั้นหรือ” ดวงแขพูดด้วยสีหน้าขรึม
“อย่างไรเราก็เป็นเพื่อนกันมาเก่าก่อนจะถืออาฆาตกันไปเพื่อกระไร ต่างอโหสิให้แก่กันเสียเถิด” เรไรพูดสีหน้านิ่ง
ดวงแขยิ้มเยาะ
“แม่เรไรชำนะแล้วก็ย่อมพูดคำว่าอโหสิได้ แต่แม่เรไรก็ไม่ได้วิเศษกว่าฉันสักเท่าใดดอก ออกเรือนกันไม่กี่เดือน ผัวก็มีเมียรอง นี่หรือชายผู้มีหัวใจเดียวของแม่”
“แม่ดวงแขพูดให้ฉันเจ็บช้ำแล้วตัวเองมีสุขขึ้นกระนั้นหรือ”
ดวงแขชะงักเบือนหน้าไปทางอื่น น้ำตารื้นๆ ขึ้นมา เรไรเข้าไปจับมือดวงแขไว้
“เราอย่าทำร้ายกันเองอีกเลยแม่ดวงแข รู้หรือไม่ว่า ทุกคราที่ฉันนึกถึงยามที่เราสองยังเป็นเด็กวิ่งเล่นกัน ฉันเจ็บช้ำมากเพียงไร หรือแม่ดวงแขลืมวันวานสิ้นจากใจหมดแล้ว”
ดวงแขค่อยๆ ดึงมือออกแล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ไม่ให้เรไรเห็นน้ำตาของตนที่ท่วมคลอเบ้า เพราะความเสียใจไม่ต่างจากเรไร ดวงแขพยายามกลั้นน้ำตาสะกดเสียงให้เป็นปกติ
“ป่วยการที่จักคิด อย่างไรก็ย้อนกลับไปไม่ได้อีกแล้ว”
เรไรสีหน้าเศร้าลงที่ไม่สามารถเปลี่ยนใจดวงแขได้
“แต่ฉันก็ขอบน้ำใจแม่เรไรนักที่ยังระลึกถึงกันอยู่ ฉันขออวยพรให้แม่เรไรจงจำเริญสุข ด้วยลาภยศยิ่งขึ้นไปเถิด”
เรไรยิ้มดีใจ การที่ดวงแขพูดเช่นนี้ย่อมแสดงว่าได้ลืมเรื่องร้ายๆไปได้เยอะแล้ว
“ฉันเองก็ขอให้แม่ดวงแขจำเริญสุขขึ้นเช่นกัน แท้จริงแล้ว ยังมีชายอีกมากที่แอบปองรักแม่ดวงแขอยู่ แม่ดวงแขจักไม่ลองชายตามองบ้างเชียวหรือ”
ดวงแขยิ้มเศร้าพลางยกมือขึ้นไหว้แล้วพูดขึ้น
“ฉันขออยู่คนเดียว โดยมีพระบารมีของเสด็จเป็นที่พึ่งเช่นนี้ต่อไปจักดีกว่า”
“ชาตินี้ ฉันไม่ต้องการผู้ใดอีกแล้ว” ดวงแขยืนยัน
เรไรมองดวงแขด้วยความสงสารเห็นใจ แต่ก็รู้ดีว่า คนอย่างดวงแขเมื่อตัดสินใจแล้วไม่มีทางเปลี่ยนใจเด็ดขาด ดวงแขเก็บความรู้สึก เชิ่ดหน้าอย่างมุ่งมั่นเดินเลี่ยงออกไปโดยไม่สนใจสนทนากับเรไรอีก
เวลาผ่านไปเจ็ดแปดวัน เสมากับขันเดินคุยกันมาในวัง
“หากหลวงท่านมีกระไรติดขัดก็ถามคุณหลวงนเรนทร์ภักดีได้ ในวังหน้านี้ จักหาผู้ใดชำนาญงานเท่าหลวงนเรนทร์เป็นไม่มี”
ขันยิ้มแย้มแล้วบอก
“ท่านเจ้าคุณไม่ต้องกังวล ข้าพระเจ้าจักตั้งใจเรียนงาน ไม่ให้ท่านเจ้าคุณเสียชื่อเป็นอันขาด”
“ถ้ากระนั้น ฉันไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าอยู่หัวพระองค์น้อยก่อน ออกเวรเมื่อใดเราค่อยเจอกัน”
เสมาเดินเลี่ยงไป ขันเดินตรวจตราความเรียบร้อย ขณะกำลังมองเพลินๆ ก็เกือบชนกับบัวเผื่อนที่เดินถือพานดอกไม้สวนมา ขันตกใจเล็กน้อย
“แม่หญิงบัวเผื่อน ฉันไม่ทันระวังขออภัยเถิด”
“หลวงณรงค์เริ่มงานแล้วหรือ ฉันยินดีกับคุณหลวงด้วยที่ได้กลับมารับราชการอีกครา”
“ขอบน้ำใจแม่หญิงนัก”
“คุณหลวงเคยเป็นแต่ทหารศึก ไปค่ายไปทัพมาประจำการเช่นนี้คงไม่คุ้นเคยนัก เดี๋ยวฉันจะแนะนำสหายใหม่ให้”
“รู้จักแม่บัวเผื่อนคนเดียวก็คงพอแล้วกระมัง” ขันเย้า
บัวเผื่อนค้อนใส่แล้วจะเดินไป
“ประชดกันรึ ไม่คุยด้วยแล้ว”
“ประเดี๋ยวซี”
บัวเผื่อนหันมามองขันด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“กระไรอีก”
“หากว่างก็แวะมาคุยเป็นเพื่อนฉันอีกซี”
บัวเผื่อนค้อนใส่แล้วเดินสะบัดสะบิ้งกลับไป
ขันมองตามบัวเผื่อนไปพลางนึกในใจว่า บัวเผื่อนสวยดีถึงจะปากมากเจ้าเล่ห์ไปบ้าง แต่ฉลาดทันคน บัวเผื่อนรู้สึกว่ามีคนมองตามอยู่ก็หันกลับไปมองขันอีกครั้ง ขันหลบสายตาไม่ทันก็เลยส่งยิ้มสมทบไปให้อีก บัวเผื่อนค้อนใส่ให้อีกขวับก่อนจะมุ่งหน้าเดินต่อไปพร้อมอมยิ้มดีใจแอบมีความหวัง
“ทำมาเย้าหยอก รู้จักแม่น้อยไปเสียแล้ว” บัวเผื่อนพูดพึมพำแล้วอมยิ้มแบบเจ้าเล่ห์
สมเด็จพระนเรศวรทรงประทับอยู่บนบัลลังก์ในท้องพระโรง โดยมีเจ้าเมืองต่างพากันเข้าเฝ้าถวายดอกไม้เงิน ดอกไม้ทอง แสดงการยอมเป็นเมืองขึ้น
หลังจากการล่มสลายของกรุงหงสาวดี กรุงศรีอยุธยาก็ขึ้นมาเป็นศูนย์กลางความเจริญในภูมิภาคแทนที่ สมเด็จพระนเรศวรไม่เพียงแต่ทรงกอบกู้เอกราชเท่านั้น ยังทรงปกปักรักษาประเทศชาติ ตลอดจนแผ่ขยายอาณาเขตจนกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งกว่ายุคใดๆ ในสมัยอยุธยา จนผู้คนยกย่องทั้ง ในฐานะที่เป็นนักรบและพระเจ้าแผ่นดิน นับเป็นมหาราชที่ประชาชนรักยิ่งพระองค์หนึ่ง ซึ่งปรากฏมาในโลกใบนี้
หกปีผ่านไป เสมา สิน สมบุญและทหารจำนวนมากยืนล้อมอยู่ที่หน้ากระโจมค่ายสมเด็จพระนเรศวร อย่างเคร่งครัด แต่ละคนมีสีหน้าเคร่งเครียดจนเห็นได้ชัด
วันนั้น ตรงกับวันที่ “25 เมษายน พ.ศ. 2148”
ช่วงปลายรัชกาล กรุงศรีอยุธยามีศึกกับกรุงอังวะ สมเด็จพระนเรศวรทรงยกทัพไปตีอังวะ
ระหว่างเดินทัพไปถึงเมืองหาง สมเด็จพระนเรศวรทรงประชวรเป็น “ละลอก” หรือที่สามัญชน เรียกว่า “ฝี” ขึ้นที่พระพักตร์ แล้วกลายเป็นบาดทะพิษ
สมเด็จพระเอกาทศรถน้ำพระเนตรคลอเบ้าทรงเสด็จออกมาจากกระโจม เสมาและเหล่าทหารทั้งหมดพากันคุกเข่าลง
“สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว ทรงเสด็จสู่สวรรคาลัยแล้ว”
ขาดคำ เสมา สิน สมบุญ และเหล่าทหารก็ถวายบังคมลา เหล่าทหารถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร
เสมาน้ำตาไหลอาบแก้มกราบลาส่งเสด็จพระองค์อยู่กับพื้นอยู่แบบนั้น
ภายในวัง ดวงแขและเหล่านางข้าหลวงพอทราบข่าวการเสด็จสวรรคต ต่างกอดกันร้องไห้ด้วยความเสียใจก่อนจะค่อยๆ นั่งพับเพียบลงแล้วพนมมือกราบถวายบังคมลา
ภายในตลาด ชาวบ้านเดินร้องไห้กันเต็มตลาดหลังทราบข่าวการสวรรคต ชาวบ้านบางคนกอดกันร้องไห้ด้วยความเสียใจสุดๆ ขนาดคนเลวอย่างพุฒยังอดเสียใจไม่ได้ พุฒคุกเข่าลงถวายบังคมลาทั้งน้ำตา
ภายในบ้านพระยาศรีพิชัยสงคราม ท่านพระยา ลำภู พิณและบรรดาทาสต่างพากันร้องไห้กันทั้งเรือน พระยาศรีพิชัยสงครามพนมมือขึ้น
“หากไม่มีองค์พระพุทธเจ้าอยู่หัว ไทยคงไม่ได้เป็นไท ขอดวงพระวิญญาณจงสถิตย์อยู่ในสวรรคาลัย ปกป้องปวงข้าพระพุทธเจ้าด้วยเถิด”
ภายในบ้านของขัน อำพันและบัวเผื่อนกำลังกอดกันร้องไห้ ขันเดินอย่างอ่อนแรงเข้ามากอดอำพัน และบัวเผื่อนร้องไห้อีกคน อำพันเป็นลมล้มพับทั้งยืนจนบัวเผื่อนและขันต้องช่วยกันประคอง
ภายในบ้านใหม่ของเสมา เรไร ศรีเมือง จำเรียง เอื้อยแตงกำลังก้มลงกราบถวายบังคมลาด้วยน้ำตานองหน้า
“ดวงพระประทีปแห่งอโยธยาดับแล้ว แต่พระเกียรติยศของพระองค์จะจารึกไว้ในดวงใจปวงข้าพระพุทธเจ้า แลปรากฏไว้ในแผ่นดินตราบสิ้นดินฟ้า” เรไรกล่าวขึ้น
เรไรหันกอดศรีเมือง จำเรียงหันกอดเอื้อยแตง ต่างร่ำไห้สะอึกสะอื้นปริ่มขาดใจ
ภายในเมือง เพลากลางวัน สมเด็จพระเอกาทศรถทรงประทับอยู่บนหลังช้างพร้อมด้วยกองทหารพร้อมพรั่ง เหล่าชาวบ้านต่างคุกเข่า ก้มลงถวายบังคม ขณะที่ขบวนเสด็จผ่านไป
หลังจากสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงเสด็จสวรรคต สมเด็จพระเอกาทศรถได้ทรงขึ้นครองราชย์สืบต่อ ซึ่งผลจากการทำศึกของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทำให้แผ่นดินเป็นปึกแผ่นมั่นคง สมเด็จพระเอกาทศรถจึงทรงหันมาเน้นด้านการปกครองบ้านเมืองแทน ทำให้ยุคนี้เป็นยุคที่กรุงศรีอยุธยามีความเจริญรุ่งเรือง และมั่งคั่งร่ำรวยที่สุดยุคหนึ่ง
แปดปีผ่านไป ตอนนี้เสมาอายุห้าสิบปีแล้ว ขณะที่สินกับสมบุญอายุราวสี่สิบแปดปี
สินและสมบุญกำลังเดินคุยกับเสมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดที่ลานซ้อมดาบ
“พี่ไม่ได้ถวายรับใช้พระมหาอุปราชเจ้าฟ้าสุทัศน์มาแต่ต้นจึงไม่ได้คิดกระไร แต่ฉันสองคนถวายรับใช้มาแต่พระองค์ยังทรงพระเยาว์ แล้วจะไม่ให้โกรธเคืองแทนได้เยี่ยงไร” สมบุญว่า
“อย่างไรเสีย เจ้าฟ้าสุทัศน์แลพระอินทราชาก็ล้วนทรงเป็นพระราชโอรสของพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสิ้น เพียงแต่ต่างพระราชมารดากันเท่านั้น เรื่องที่จะถึงขั้นแย่งราชสมบัติกันเองนั้น ข้าไม่เชื่อเป็นอันขาด” เสมาว่า
“พระอินทราชาท่านอาจไม่มีกระไร แต่คนใกล้ชิดที่หวังลาภยศนั้น ก็ไม่แน่ดอกพี่”
สมบุญมองไปที่จมื่นศรีสรรักษ์ ชายหนุ่มรูปงาม รูปร่างล่ำสันวัยสิบเจ็ดปีที่กำลังซ้อมดาบสองมืออยู่ที่กลางลานซ้อมดาบอย่างแคล่วคล่องว่องไว
“ผู้ใดรึ” เสมาถาม
“จมื่นศรีสรรักษ์ ข้ารับใช้สนิทของพระอินทราชาท่าน”
“ยังเด็กนัก ได้เป็นถึงจมื่นเชียวหรือ”
“เพียงสิบเจ็ดเท่านั้น แต่เป็นหัวเรือสำคัญซื้อน้ำใจเหล่าขุนนาง จนแปรพักตร์มาอยู่ข้างพระอินทราชากันเสียมาก เป็นเหตุให้ฉันกับอ้ายสมบุญขุ่นเคืองอย่างไรเล่า” สินพูดขึ้นอย่างหงุดหงิด
จมื่นศรีสรรักษ์ซ้อมดาบเอาชนะคู่ซ้อมได้อย่างง่ายดาย ก่อนจะเหลือบมาเห็นพวกสิน เลยเดินเข้ามาหาจึงยิ้มทักทาย
“นึกว่าผู้ใดมาดูซ้อมดาบ ที่แท้ก็หลวงวิสูทธ์โยธามาตย์กับหลวงราชโยธาเทพนี่เอง วันนี้ข้าพระเจ้าช่างมีบุญนัก แม้แต่ออกญารามจตุรงค์แม่ทัพใหญ่ผู้มีศักดินาหมื่นไร่ยังมาดูข้าพระเจ้าซ้อมดาบด้วย มิทราบท่านเจ้าคุณจักเมตตาซ้อมเพลงดาบกับข้าพระเจ้าบ้างได้หรือไม่”
สมบุญโมโหที่จมื่นศรีสรรักษ์กล้ามาท้าเสมา
“มากไปเสียแล้วคุณพระนาย มาซ้อมกับฉันก่อนเถิด”
เสมายกมือห้ามสมบุญแล้วยิ้มรับ
“ฉันไม่ได้ซ้อมดาบมานานนัก นานทีก็ดีเหมือนกัน”
ทั้งคู่เดินไปที่กลางลานซ้อม ก่อนจะรับดาบสองมือมาจากทหารที่ซ้อมกันอยู่ ทหารทุกคนหยุดซ้อมหันมาดูทั้งคู่เป็นตาเดียว เพราะโอกาสที่จะได้เห็นเพลงดาบของเสมานั้นไม่ง่ายนัก สินหมั่นไส้สุดๆ
“ลูกวัวไม่กลัวเสือเอาให้คลานกลับเรือนไปเลยพี่เสมาฆ”
เสมาและจมื่นศรีสรรักษ์เตรียมพร้อมประลอง
“ฟังว่าเพลงดาบวัดพุทไธสวรรย์ของท่านเจ้าคุณเป็นเอกในแผ่นดินครั้งแผ่นดินพระพุทธเจ้าอยู่หัวพระองค์ก่อน ได้ตัดหัวแม่ทัพข้าศึกมามากนัก วันนี้ช่างเป็นบุญของข้าพระเจ้าเหลือ”
จมื่นศรีสรรักษ์ควงดาบบุกจู่โจมเสมาทันที เสมาบุกสู้ไม่ถอย ต่างฝ่ายต่างต่อสู้กันอย่างดุเดือด เสมาใช้ท่าไม้ตาย จมื่นศรีสรรักษ์รับได้แล้วใช้ท่าไม้ตายบุกกลับจนเสมาต้องคอยตั้งรับบ้าง ทั้งคู่ยิ่งสู้ยิ่งสูสีจนมองไม่ออกว่าใครจะชนะ
สินและสมบุญถึงกับตกใจ ไม่คิดว่าจมื่นศรีสรรักษ์จะเก่งขนาดนี้
“เด็กผู้นี้น้ำนิ่งไหลลึกนัก ไม่น่าเชื่อฝีมือจะสูงส่งถึงเพียงนี้” สมบุญว่า
“แย่เสียแล้ว พี่เสมาสูงวัย กำลังข้อกำลังกายถดถอย หากสู้นานไปย่อมพลาดท่าเป็นแน่” สินว่า
“ไม่ดอก อย่างไรพี่เสมาก็เหนือกว่า พี่เสมาต้องเป็นฝ่ายมีชัย” สมบุญพูดด้วยสีหน้ามั่นใจ
ขาดคำ เสมาก็พลิกตัวหลบดาบ แล้วใช้ด้ามดาบของตนทุบใส่ข้อมือจมื่นศรีสรรักษ์จนดาบหลุดมือ ก่อนจะใช้ดาบอีกเล่มฟันใส่กะเอาดาบจ่อคอเพื่อให้ยอมแพ้
อ่านต่อหน้า ๔
ขุนศึก ตอนที่ ๑๕ ตอนอวสาน (ต่อ)
แต่ทันใดนั้น ขณะที่ดาบของเสมากำลังจะถึงคอของจมื่นศรีสรรักษ์ ก็หักสะบั้นลงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยสร้างความฉงนให้กับเสมายิ่งนัก จมื่นศรีสรรักษ์รีบพลิกตัวหลบฉากออกมาได้ แม้จมื่นศรีสรรักษ์จะรู้ตัวว่าแพ้ แต่กลบเกลื่อน
“ดาบซ้อมนี่ช่างเปราะนัก หากเป็นดาบแสนศึกพ่ายของท่านเจ้าคุณ เราสองคงสนุกกันได้มากกว่านี้”
จมื่นศรีสรรักษ์รีบเดินเลี่ยงไปด้วยสีหน้าเจ็บใจอยู่ในทีที่เสียเชิงแก่เสมา สินกับสมบุญและพวกทหารคนอื่นเข้ามาแสดงความยินดีชื่นชมกันเต็มไปหมด เสมายิ้มรับก่อนจะมองดาบหักในมือด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ในเวลาเย็นที่บ้านของเสมา ลูกชายวัยสิบขวบของเสมากำลังขี่ม้าก้านกล้วย ควงดาบไม้วิ่งไปทั่ว โดยมีพิณคอยไล่ตาม ส่วนลูกสาวในวัยเจ็ดขวบกำลังเล่นหม้อข้าวหม้อแกงกับศรีเมืองอยู่ใกล้ๆ ในขณะที่เสมากำลังทานอาหารอยู่กับเรไร แล้วดูลูกๆเล่นไปอย่างมีความสุข พิณวิ่งไล่จับลูกชายเสมา
“คุณแสนเจ้าคะ รอบ่าวด้วยเจ้าค่ะ คุณแสน รอบ่าวด้วย” พิณร้องเรียกอย่างเหนื่อยหอบ
“แม่ศรีเมือง พาเด็กๆ ไปอาบน้ำเถิด ประเดี๋ยวจะมืดค่ำเสียก่อน” เรไรบอก
ศรีเมืองร้องเรียก
“เจ้าค่ะพี่เรไร ... พ่อแสน มาหาน้าเถิดจ้ะ”
ลูกชายวิ่งเข้ามาหาศรีเมือง ก่อนที่ศรีเมืองจะจูงลูกสาวและลูกชายของเสมาและเรไรออกไป โดยมีพิณเดินกระย่องกระแย่งเหนื่อยหอบตามไป พวกบ่าวไพร่ก็เข้ามาเก็บของเล่นของเด็กๆ แล้วเดินเลี่ยงไปเพื่อเอาไปเก็บ
พอเสมาอยู่กับเรไรสองคน เสมาก็มีสีหน้าเครียดขรึมขึ้นมาทันทีจนเรไรสังเกตได้
“เสมาไม่ได้ทำหน้าเช่นนี้มานานนัก จมื่นศรีสรรักษ์ผู้นี้ร้ายกาจนักหรือ”
เสมาถอนหายใจหน้าเครียด
“ไม่มีสิ่งใดปิดแม่หญิงได้จริงๆ จมื่นศรีสรรักษ์ผู้นี้ มีทั้งฝีมือ ปัญญาแลความกล้า ผิดผู้คนทั้งปวง แต่อายุเพียงสิบเจ็ดยังขนาดนี้ ข้าพระเจ้าไม่กล้าคิดเลยว่าเติบใหญ่ขึ้นจะเป็นเช่นไร”
“แล้วเสมาว่าจะดีหรือร้ายเล่า”
เสมาคิดอยู่ครู่นึงก่อนจะส่ายหน้าเบาๆอย่างกังวล
“ข้าพระเจ้าคาดเดาไม่ได้เลย แต่ข้าพระเจ้าสังหรณ์ใจนักว่า สักวันจมื่นศรีสรรักษ์ผู้นี้จะกุมชะตาสำคัญของบ้านเมืองไว้เป็นแน่”
ขันโอบเอวบัวเผื่อนเดินออกมาส่งพุฒซึ่งกำลังจะกลับ พุฒปั้นยิ้ม
“ฉันดีใจนักที่คุณพระกับฉันสิ้นข้อกินแหนงแคลงใจ กลับมาเป็นเกลอกันเช่นเดิม เราจะได้ร่วมกัน ถวายรับใช้พระอินทราชาท่าน”
“เพราะคุณหลวงชักชวนดอก ฉันจึงได้มีโอกาสถวายงานพระองค์ท่าน บุญคุณของคุณหลวงครานี้ฉันจักไม่ลืมเลย”
“ไม่เป็นไรดอก เกลอเก่าย่อมไม่ทิ้งกัน”
พุฒตบบ่ากอดคอขัน เหล่มองบัวเผื่อนแล้วแขวะทันที
“ยังมีศรีภรรยาเดียวอยู่อีกรึ”
บัวเผื่อนถลึงตาใส่พุฒ พุฒหัวเราะชอบใจก่อนเดินลงเรือนไป บัวเผื่อนมองตามพุฒไปด้วยสายตาเกลียดชัง
“แม้จักผ่านไปสิบกว่าปี แต่คุณพระก็หาควรลืมไม่ว่า หลวงรามพิชัยผู้นี้เคยทุรยศต่อคุณพระมาก่อน”
ขันยิ้มเจ้าเล่ห์
“ฉันไม่ลืมดอกแม่บัวเผื่อน แต่ฉันคิดจะร้อยไว้ใช้งานจึงต้องแสร้งทำเป็นดีด้วยดอก”
“แล้วคุณพระคิดจะเข้าสังกัดพระอินทราชาท่านจริงหรือ”
“จริงซี พระอินทราชาท่านมีน้ำพระทัยกว้างขวางนัก ผู้ใดภักดีก็จะได้ลาภยศมากโข แล้วฉันจะไม่ถวายรับใช้ท่านได้อย่างไร”
“แต่อย่างไรเสีย เจ้าฟ้าสุทัศน์มหาอุปราชท่านก็ต้องได้ขึ้นครองราชย์ตามกฎมณเฑียรบาล แล้วพระอินทราชาท่านจะกล้าแย่งราชสมบัติเชียวหรือ”
“นั่นเป็นเรื่องอีกนานนัก เพลานี้คิดถึงแต่ลาภยศตรงหน้าไว้ก่อนเถิด หากถึงเพลานั้นจริง ฝ่ายใดชำนะ เราค่อยเข้าข้างฝ่ายนั้นก็ยังไม่สาย”
บัวเผื่อนยิ้มดีใจ
“คุณพระช่างเฉลียวฉลาดมีปัญญานัก ทำเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรเราก็ยังรุ่งเรืองเช่นเดิม”
ขันหัวเราะชอบใจโอบบ่าบัวเผื่อนไว้ สมกับเป็นสามีภรรยากันจริงๆเพราะทั้งคู่มีนิสัยไม่ผิดกัน เห็นแต่ลาภยศโดยไม่มีความซื่อสัตย์แม้แต่น้อย
หลายวันต่อมา สินและสมบุญเดินหน้าหงิกเข้าไปในแผงขายเหล้าในตลาด
“เฮ้ย ตวงเหล้ามาให้ข้าชั่งหนึ่ง” สินบอก
“นี่ยังเช้าอยู่ เอ็งจะกินเหล้าแล้วรึอ้ายสิน หากแม่เอื้อยแตงรู้เข้า ได้โดนเพ่นกบาลอีกแน่” สมบุญว่า
“ก็ข้าทนไม่ไหวนี่หว่า แค้นใจอ้ายพวกอกตัญญูนัก เพียงแค่เขาเอาทรัพย์สมบัติ ยศศักดิ์มาล่อก็แห่กัน
ไปรับใช้ ช่างไม่คิดถึงพระมหากรุณาธิคุณของเจ้าฟ้าสุทัศน์มหาอุปราชบ้างเลย”
“สมเด็จเจ้าฟ้าท่านทรงพระปรีชาสามารถก็จริง แต่ทรงมีพระเมตตาเกินไป ผู้ใดทูลเตือนก็ไม่ทรงเชื่อว่าพระอนุชาท่านคิดการใหญ่ แล้วจะให้ข้ารับใช้อย่างเราทำเช่นไร”
ขณะนั้นเอง ขันและพุฒก็เดินคุยกันมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส โดยมีลูกน้องติดตามมาสาม - สี่คน เดินล้อมหน้าล้อมหลังอยู่
พุฒเหลือบเห็นสินและสมบุญเลยเดินเข้าไปหาพร้อมขันพลางยิ้มทักทาย
“ร่ำสุราแต่เช้าเลยหรือสองหลวงท่าน”
สินตะคอกเพราะว่าเกลียดเป็นทุนอยู่แล้ว
“ ไปให้พ้นหน้าข้า ข้าไม่อยากคุยกับพวกอกตัญญู”
“กระไรวะ ข้าทักทายโดยดีเพราะเห็นว่าคุ้นเคยกันมานานกลับมาด่ากันเช่นนี้ เป็นถึงออกหลวงแล้ว แต่ยังไม่ทิ้งสันดานไพร่” พุฒว่า
“ถึงกูเป็นไพร่ ก็ยังซื่อสัตย์มีนายเดียว ไม่คิดคดกบฏเหมือนมึงดอกโว้ยอ้ายพุฒ” สมบุญว่า
ขันรีบปราม
“ปรามเพื่อนเสียบ้างเถิดหลวงวิสูทธ์ อย่ามาเที่ยวปากพล่อยกล่าวหาคนเป็นกบฏเช่นนี้”
สมบุญเบะปากดูถูก
“กลัวรึ คนเราทำกระไรย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ ซ่องสุมผู้คนเกลี้ยกล่อมเหล่าขุนนาง มีหรือจักคิดดีได้”
“ไปกันเถิดหลวงราม อย่าต่อล้อต่อเถียงกับอ้ายพวกต่ำช้าเช่นนี้เลย อีกไม่นานเท่าใดเงาหัวพวกมันก็ไม่มีแล้ว”
ขัน และพุฒจะเดินเลี่ยงไป สินไล่ด่าตามหลัง
“กว่าเงาหัวพวกกูจะไม่มี ก็ยังอีกหลายปีนัก แต่หากพวกมึงยังอยู่ให้กูเห็นหน้า เงาหัวพวกมึงจะขาดประเดี๋ยวนี้”
พุฒโมโหมากหันกลับมาเอาเรื่องทันที
“มึงกล้าท้ากูหรืออ้ายสิน”
“ไม่ใช่แค่ท้า แต่กูยังทำมาแล้ว จำไม่ได้แล้วหรือ เมื่อสิบกว่าปีก่อนที่พวกมึงโดนโจรซุ่มทำร้ายจนสาหัสต้องรักษาตัวอยู่นานเดือน”
ขันนึกขึ้นได้
“นี่ฝีมือพวกมึงเองรึ”
สินหัวเราะเยาะ)แล้วบอก
“จำรสดาบของอ้ายสมบุญ แลรสทวนของกูได้แล้วหรืออ้ายขันอ้ายพุฒ”
ขาดคำ พุฒก็ต่อยเข้าไปเต็มหน้าสินทันที พุฒจะเข้าไปซ้ำแต่สมบุญเตะสวนออกมาจนพุฒกระเด็นไป
ขันกระโจนเข้าถีบสมบุญ แต่สินก็เข้ามาเตะขันอีกที ก่อนจะเกิดการตะลุมบอนกันเกิดขึ้น
สมบุญจับคู่ต่อยกับพุฒ ส่วนสินต่อยกับขัน พวกลูกน้องขันชักดาบตรงเข้ารุมทำร้าย ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของชาวบ้านที่เผ่นหนีกันเป็นแถว
สินและสมบุญใช้ข้าวของต่างๆที่พอหาได้เป็นอาวุธสู้กับดาบของลูกน้องขัน
พุฒเข้าไปต่อยสมบุญจนเลือดกบปาก แต่ขณะจะซ้ำสมบุญก็ใช้แม่ไม้มวยไทย ศอกกลับเข้าเต็มหน้าพุฒจนพุฒร่วง
พุฒเหลือบไปเห็นดาบของลูกน้องที่ตกอยู่บนพื้นเลยคว้าดาบขึ้นมาแทง สมบุญฉากหลบแต่ก็ไม่พ้น ดาบแทงถูกสีข้างจนเลือดสาด
พุฒเงื้อดาบแทงซ้ำ แต่สมบุญจับข้อมือพุฒไว้ได้ทัน
สมบุญโมโหสุดขีดเลยมีเรี่ยวแรงมากกว่าปกติ ในที่สุดก็จับข้อมือพุฒบิด แล้วเอาดาบในมือพุฒ แทงใส่ท้องของพุฒเอง พุฒตาเหลือกค้าง โดนดาบแทงใส่ท้องจนมิดด้าม ก่อนจะทรุดลง ชักกระตุกไม่กี่ทีก็ขาดใจตายไป
ขันเห็นพุฒตายคาตาก็ตกใจที่สุด จังหวะนั้นเอง สินก็เล่นงานพวกลูกน้องจนกระเจิง แล้วต่อยเข้าเต็มๆ หน้าขัน โดยขันไม่ทันระวัง
ขันโดนเข้าไปเต็มหมัดจนล้มทั้งยืน หัวฟาดพื้นแน่นิ่งไปทันที
สินตามขึ้นไปนั่งคร่อมร่างขันแล้วรัวหมัดใส่ชนิดไม่นับ จนหน้าตาขันแตกยับแทบจำไม่ได้ พวกลูกน้องขัน เห็นเจ้านายตัวเองเป็นแบบนี้ก็ตกใจกลัว รีบหนีเอาตัวรอดทันที
สินต่อยขันจนหมดแรงก่อนจะทรุดลงนั่ง เมื่อหายโกรธก็พบว่า ขันแน่นิ่งไปนานแล้ว หน้าแตกยับ
สมบุญที่บาดเจ็บและสินได้สติหันมองหน้ากัน ก่อนจะมองชาวบ้านที่ล้อมดูห่างๆ
“ครานี้เราสองคนท่าจะแย่แล้วอ้ายสิน” สมบุญพูดอย่างหวั่นใจปนกลัวด้วยหน้าซีดเผือด
ภายในบ้านขันตอนหัวค่ำ เสมาเดินตามทาสหญิงบ้านดวงแขมาถึงหน้าห้องนอนขันที่บรรดาทาสกำลังวิ่งกันวุ่นวายไปหมด หอบผ้าที่เปรอะเลือดของขันออกไป
เสียงบัวเผื่อนเอ็ดดังอย่างร้อนใจปนเสียงสะอึกสะอื้นลั่นเรือน
“เชื่องช้าเหลือนังพวกนี้ หากคุณพระของข้าเป็นกระไรไป ข้าจะเฆี่ยนให้หลังขาดทั้งเรือน..ยาเล่า ยายังไม่ได้อีกหรือ”
เสมามองเข้าไปในห้องนอนเห็นขันนอนตาเบิกโพลง ชักกระตุกเป็นระยะๆ แต่ขยับร่างกายไม่ได้ พูดไม่ได้ ศีรษะของขันพันผ้าพันแผล ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยแผลจากการชกของสินเต็มไปหมด
ภายในห้อง ดวงแขยืนมองพี่ชายด้วยสีหน้าเศร้าเสียใจ บัวเผื่อนนั่งร้องไห้เสียใจอยู่ข้างๆขัน โดยมีหมอคอยดูแลรักษา
ดวงแขหันเจอเสมาก็ชะงักไปเล็กน้อย
“ท่านเจ้าคุณ”
บัวเผื่อนมองเสมาแล้วส่งเสียงพาล
“ดูเสียให้เต็มตา ฝีมือศิษย์คนโปรดของท่านเจ้าคุณทั้งสิ้น สมแก่ใจแล้วซี”
“แม่บัวเผื่อนสงบจิตสงบใจเสียบ้างเถิด ท่านเจ้าคุณมิได้เกี่ยวข้องกระไรด้วย มาพาลเช่นนี้ควรแล้วหรือ” ดวงแขพูดปราม
“ไม่เป็นกระไรดอก แม่บัวเผื่อนกำลังเสียใจ อย่าตำหนิเลย”
เสมาหันไปพูดกับบัวเผื่อน
“แม่บัวเผื่อน ฉันกับคุณพระคืนดีกันมานับสิบปีไม่เคยมีเหตุให้หมางใจกัน แต่การกลับเป็นเช่นนี้ฉันเองก็เสียใจนัก แต่แม่บัวเผื่อนวางใจเถิด ฉันไม่เข้าข้างออกหลวงทั้งสองดอก ทุกประการต้องเป็นไปตามอาญาบ้านเมือง”
บัวเผื่อนมองขันอย่างเวทนา
“ต่อให้ได้รับโทษตามอาญา แล้วคุณพระของฉันจักหายรึ ตายไม่ตายเป็นไม่เป็น ทรมานไปจนตาย” บัวเผื่อนพูดแล้วก็ปล่อยโฮ
เสมาหน้าเสียด้วยความตกใจ
“จริงหรือท่านหมอ”
เสมาหันไปพูดกับดวงแข
“แม่ดวงแข”
ดวงแขน้ำตาคลอเบ้า สงสารขันจนพูดอะไรไม่ออก
“คุณพระสาหัสนักขอรับ เกรงว่าถึงหายก็คงไม่พ้นพิการขอรับ” หมอพูดขึ้น
เสมาสลดใจสุดๆ พูดอะไรไม่ออก ดวงแขเองร้องไห้ บัวเผื่อนปล่อยโฮลั่นอย่างไม่อายใคร
ขันน้ำตาคลอเบ้าค่อยๆไหลลงอาบแก้มกับสิ่งที่ได้ยิน แต่ไม่สามารถขยับร่างกายได้แม้แต่น้อยมีเพียงอาการชักกระตุกเป็นระยะๆเท่านั้น
เสมากับดวงแขสีหน้าสลดเดินคุยกันมากับดวงแขด้วยสีหน้าเศร้าสลด
“หลังจากที่คุณพระกับฉันคืนดีกัน หลวงทั้งสองกับคุณพระก็มิเคยผิดใจกันอีก ไม่คิดเลย ว่าเพียงเพราะภักดีกันคนละนาย จักก่อเป็นเหตุร้ายถึงเพียงนี้”
“พี่ขันแลหลวงทั้งสอง คงทำกรรมร่วมกันมา จึงเป็นเหตุให้ต้องตามมาล้างผลาญกันกระมังเจ้าคะ” ดวงแขพูดพลางถอนหายใจ
เสมาหันมองหน้าดวงแขด้วยความแปลกใจ
“เหตุใดมองฉันเช่นนั้นเล่าเจ้าคะ”
“ขอขมาเถิด ฉันไม่ได้คิดกระไรไม่งามดอก เพียงแต่แปลกใจนักที่ได้ยินแม่ดวงแขพูดเช่นนี้”
“ท่านเจ้าคุณเห็นฉันเป็นคนถือพยาบาทนักหรือเจ้าคะ”
“ไม่ถึงขั้นนั้นดอก แต่แม่ดวงแขที่ฉันรู้จักเป็นคนใจคอแข็งนัก แลไม่ใช่คนยอมแพ้กระไรโดยง่าย ดังเช่นที่แม่ครองตัวอยู่คนเดียวจนถึงบัดนี้อย่างไรเล่า”
“ที่ฉันครองตัวไม่ได้ออกเรือนหาใช่เพราะยังฝังใจเรื่องท่านเจ้าคุณกับแม่เรไรอยู่ดอกเจ้าค่ะ หากแต่อยู่เช่นนี้ฉันสุขสบายนักจึงไม่อยากออกเรือนไปหาความลำบาก” ดวงแขพูดพลางยิ้มบาง
“แม่ดวงแขรู้หรือไม่ ว่าฉันรอคำพูดนี้มาสิบกว่าปีแล้ว เพราะฉันสำนึกตนว่ากระทำผิดต่อแม่ดวงแขเป็นเหตุให้แม่ไม่ยอมออกเรือน พอได้ยินจากปากแม่เช่นนี้ ไม่ต่างจากได้ฟังคำอโหสิเลยเทียว”
“ฉันขอส่งท่านเจ้าคุณเพียงนี้แล้วกัน” ดวงแขพูดตัดบทแล้วยกมือไหว้
เสมารับไหว้ ยิ้มให้ดวงแขก่อนเดินกลับออกไป ดวงแขมองตามเสมาไปด้วยสีหน้าขรึมลงแล้วพึมพำน้ำตาคลอกับตัวเอง
“ฉันไม่ได้ผูกใจเจ็บแล้วก็จริง แต่ใจฉันยังไม่เคยลืมเลือนท่านได้เลย”
ภายในบ้านของเสมา ในเวลากลางคืน เรไรและศรีเมืองกำลังช่วยกันปลอบเอื้อยแตง และจำเรียงที่ร้องไห้เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น โดยมีพิณ และบรรดาทาสคอยดูแล
เสมาเดินหน้าเครียดกลับขึ้นมาบนเรือน พิณเหลือบเห็นเสมา
“ท่านเจ้าคุณกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
เรไร ศรีเมือง เอื้อยแตง จำเรียง รีบเข้าไปหาเสมาทันที
จำเรียงร้องไห้แล้วถาม
“เป็นอย่างไรบ้างพี่เสมา คุณหลวงของฉันเป็นกระไรบ้าง”
“อ้ายสมบุญถูกแทงที่สีข้างเพลานี้ปลอดภัยแล้ว แต่เรื่องคดีความ แม้จะมีพยานเห็นกันทั้งตลาดว่าวิวาทกันเองแลอ้ายขันใช้พวกมากกว่าเข้ากลุ้มรุม แต่ด้วยอ้ายพุฒถูกแทงจนตาย อย่างไรเสียก็คงต้องถูกถอดจากตำแหน่งหลวงแลจำคุกไม่ต่ำกว่าสามปีเป็นแน่”
“ถูกถอดจากยศหลวงก็หาเป็นกระไรไม่ ฉันกับแม่จำเรียงมีเงินทองมากโขอยู่ แต่ลูกฉันเล่า ลูกจะไม่ได้เห็นหน้าพ่ออีกนานปีเชียวหรือ” เอื้อยแตงปล่อยโฮลั่น
“หลวงรามพิชัยก็ตายแล้ว พระพิเดชสงครามเล่าเจ้าคะ เพลานี้เป็นกระไรบ้าง ท่านเจ้าคุณไปเยี่ยมมาแล้วหรือไม่” เรไรถามขึ้น
เสมาพยักหน้ารับแล้วว่า
“ ไปมาแล้ว อ้ายขันสาหัสนักแม้จักไม่ตายก็ต้องพิการเป็นแน่”
เรไรสลดใจ
“เวรกรรมแท้”
“เหตุวิวาทครานี้ยังลุกลามไปอีกมากนัก จนความทราบไปถึงพระเนตรพระกรรณแล้ว”
“ถึงพระพุทธเจ้าอยู่หัวเชียวหรือเจ้าคะแล้วเป็นกระไรบ้างเจ้าคะ” ศรีเมืองพูดขึ้นอย่างตกใจ
“พระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่า เหตุเกิดจากพระอินทราชากระทำการไม่บังควร เหล่าขุนนางจึงแตกแยกกัน เลยมีรับสั่งให้พระอินทราชาทรงผนวชเป็นภิกษุสงฆ์แล้ว”
เรไรและศรีเมืองพากันสลดใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ฝ่ายเสมาทั้งสงสารสินและสมบุญ ทั้งสลดใจกับการแย่งชิงอำนาจจนอดเบื่อหน่ายชีวิตราชการไม่ได้
ผู้คุมพาสินและสมบุญที่ถูกตีตรวนล่ามมือเท้าออกมาหาเอื้อยแตงกับจำเรียงที่มาเยี่ยม เอื้อยแตงและจำเรียงรีบเข้าไปกอดสามีด้วยน้ำตานองหน้าทันที สมบุญน้ำตาคลอ สงสารจำเรียง
“เหตุใดแม่จำเรียงมาที่นี่ รู้หรือไม่ว่าในคุกมีเสนียด มันจะติดตัวแม่จำเรียงไปไม่เป็นมงคลเลย”
“ยังจักพูดเช่นนี้อีก เมื่อคืนฉันข่มตานอนไม่หลับเลย รอแต่ว่าเมื่อใดจะรุ่งสางจะได้มาเห็นหน้าพี่”
สมบุญร้องไห้กอดจำเรียงแน่นด้วยความรักและเป็นห่วงสุดๆ
“ฉันขอขมาเถิดแม่เอื้อยแตง เพราะโทสะชั่ววูบเป็นเหตุให้แม่ต้องเสียศักดิ์มีผัวที่ถูกถอดยศเช่นนี้” สินว่า
“ยศศักดิ์จักสำคัญกระไร ขอเพียงเอ็งปลอดภัย ข้าก็ดีใจหนักหนาแล้ว” เอื้อยแตงร้องไห้แล้วลูบคลำใบหน้าสิน
“นี่ข้าแลลูกจักอยู่โดยไม่มีเอ็งกี่ปีกัน”
สินร้องไห้พยายามฝืนยิ้มปลอบใจเอื้อยแตง
“ปีหนึ่งผ่านไปเร็วนัก ไม่กี่อึดใจดอกเราจะได้กลับไปอยู่ด้วยกันอีก”
“ช่วยกันทำสวนทำไร่ ค้าขายเหมือนก่อน เราไม่อับจนดอกอ้ายสิน” เอื้อยแตงบอกแล้วสวมกอดสิน
แน่น ร้องไห้สะอึกสะอื้น
สมบุญปาดน้ำตาแล้วบอกกับจำเรียง
“คราวนี้ฉันขอให้สัตย์ ต่อไปภายหน้าฉันจะอดกลั้นระงับโทสะให้อยู่ ฉันจะไม่ยอมให้สิ่งใดมาพรากฉันไปจากแม่จำเรียงแลลูกได้อีกเป็นอันขาด”
ทั้งสองคู่กอดกันแน่นทั้งน้ำตาเสียใจที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แต่ก็ยังมีความหวังที่จะมาอยู่ด้วยกันอีกในไม่ช้า
เทียนไขในโบสถ์วัดพุทไธสวรรย์กำลังส่องสว่างท่ามกลางความมืดมิด เสมากำลังนั่งสมาธิอยู่ในโบสถ์ โดยได้ยินคำสอนของพระครูขุน
“เสมาเอ๋ย โลกเรานี้ไม่มีกระไรเที่ยงแท้ดอก ดูแต่ตัวเจ้าเถิด แต่เล็กก็มาอยู่ที่วัด แล้วก็จากไปเป็นทหาร มีอำนาจวาสนารุ่งเรือง แต่ยามเกิดทุกข์เจ้าก็ยังกลับมาที่วัดอีก ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่หมุนเวียนเปลี่ยนไป ไม่มีกระไรแน่นอน ดุจดังดวงตะวันที่ลับหายไปจากขอบฟ้า แลรอคอยเพลารุ่งอรุณอีก วนเวียนอยู่เช่นนี้ เช่นเดียวกับชีวิตของมนุษย์”
บรรยากาศบริเวณบึงบัว ดอกบัวออกดอกบานสะพรั่ง สวยงาม เสมากำลังพายเรือให้เรไรเก็บดอกบัวอยู่
“ใช้บูชาพระไม่กี่ดอกก็พอแล้ว แม่หญิงจะเก็บดอกบัวไปทำกระไรมากมาย”
“ไม่ได้ดอก นานปีนักกว่าออกญาแม่ทัพใหญ่จะพายเรือให้ฉันนั่ง ฉันต้องเก็บเสียให้คุ้ม”
“แม่หญิงไม่บอกก่อน ข้าพระเจ้าเต็มใจพายเรือให้แม่หญิงทุกเมื่อเชื่อวันอยู่แล้ว” เสมาบอกพลางยิ้มขำ
“ฉันไม่ใช่รุ่นสาวแล้วยังจะเรียกแม่หญิงอีกหรือ”
เสมายิ้มกรุ้มกริ่ม
“ไม่ใช่รุ่นสาวกระไรกัน วันที่แม่ทำจำปีพลัดมือให้เสมาเก็บมาดมเป็นเช่นไร วันนี้แม่ก็งามไม่ต่างกันเลย”
เรไรทิ้งค้อน
“ปากหวานนัก มีหญิงใดเคยบอกหรือไม่ว่า หนึ่งปากของออกญาท่านยังร้ายกาจกว่าดาบสองมือเสียอีก”
“หากจะมีก็มีแม่ศรีเมืองคนเดียวเท่านั้น หญิงอื่นไม่มีแล้ว เสมาไม่กล้า”
เรไรมองหน้าเสมาต่างฝ่ายต่างหลุดหัวเราะออกมา เสมาหน้าขรึมลงแล้วบอก
“แม่หญิง หากสิ้นพระบารมีขององค์พระพุทธเจ้าอยู่หัวแล้ว ข้าพระเจ้าจะลาออกจากราชการเสีย แม่หญิงเห็นเป็นเช่นไร”
“เหตุใดมากล่าวถึงเรื่องนี้เล่า” เรไรถามอย่างแปลกใจ
“พระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงมีบุญคุณท่วมหัวเสมา แม้นตายแล้วเกิดใหม่ก็ทดแทนไม่หมด แต่ข้าพระเจ้าเบื่อหน่ายการช่วงชิงอำนาจนัก อ้ายสิน อ้ายสมบุญต้องเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ใช่เพราะการช่วงชิงอำนาจดอกรึ ช่วงชิงในสิ่งที่ตายไปก็เอาไปไม่ได้ เห็นแล้วให้สลดใจนัก”
“เสมาใจตรงกับฉัน ฉันเองก็อยากให้เสมาออกจากราชการเช่นกัน บัดนี้เราไม่ต้องการกระไรอีกแล้ว จะวนเวียนกับกิเลสให้เกิดทุกข์ไปทำกระไร สู้อยู่เป็นสุขเช่นนี้ไม่ได้”
เสมายิ้มบางๆอย่างสุขใจที่เรไรมีความเห็นตรงกัน ทั้งคู่พายเรือ เก็บดอกบัวหยอกล้อกันไป
ช่วงปลายรัชกาล เจ้าฟ้าสุทัศน์พระมหาอุปราชสิ้นพระชนม์ ทำให้สมเด็จพระเอกาทศรถทรงเสียพระทัยมากจนเสด็จสวรรคต เหล่าขุนนางจึงทูลเชิญเจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์ขึ้นครองราชย์ แต่จมื่นศรีสรรักษ์ได้นำกำลังทหารบุกเข้าปลงพระชนม์แล้วทูลเชิญพระอินทราชาลาผนวชมาขึ้นครองราชย์แทน ทรงพระนามว่า “พระเจ้าทรงธรรม” หลังจากพระเจ้าทรงธรรมเสด็จสวรรคต จมื่นศรีสรรักษ์ได้ปลงพระชนม์พระราชโอรสของพระเจ้าทรงธรรม แล้วปราบดาภิเษกตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์ ทรงพระนามว่า “พระเจ้าปราสาททอง”
เสมาเดินจูงมือเรไรกลับมาที่บ้านด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส โดยที่หน้าบ้าน ศรีเมืองกับลูกๆของเสมากำลังยืนรออยู่..เห็นบ่าวไพร่ถือกระจาดใส่ดอกบัวรั้งท้ายมา
ลูกๆก็วิ่งเข้าไปหาเสมากับเรไรทันที เสมาอุ้มลูกสาวเอาไว้ ส่วนเรไรโอบบ่าลูกชายพูดคุยก่อนจะจูงมือลูกชายพาเดินขึ้นบ้าน
ลูกชายยื่นมืออีกข้างไปจูงมือศรีเมืองพาเดินไปพร้อมๆ กัน
เรไรและศรีเมืองหันมายิ้มแย้มให้กัน ทุกคนจะพากันขึ้นเรือนไปอย่างมีความสุข
หลังจากสมเด็จพระเอกาทศรถเสด็จสวรรคต เสมาได้ลาออกจากราชการแล้วบวชตามที่ตั้งใจไว้เป็นเวลา 2 ปี จึงได้สึกออกมาใช้ชีวิตกับครอบครัวอย่างมีความสุขตลอดบั้นปลายชีวิตที่เหลืออยู่
จบบริบูรณ์