ขุนศึก ตอนที่ ๑๔
อำพันกำลังปลอบโยนดวงแขที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ในห้องนอนเมื่อตอนหัวค่ำจนอำพันนึกสงสาร
“แต่เมื่อบ่ายแล้ว ยังไม่หยุดร้องไห้อีกหรือแม่ดวงแข”
“แม่ท่านจะไม่ให้ลูกร้องไห้ได้อย่างไรเจ้าคะ เพียงแต่เรื่องเสมาจักตายจริงหรือไม่ ลูกก็ทุกข์ใจเหลือแล้ว แลหลวงวิเศษยังคิดข่มเหงอีก ลูกอยากตายให้พ้นไปนัก”
“อย่าเชียวแม่ดวงแข คิดกระไรเช่นนั้นบาปหนักหนา ถ้าลูกไม่อยากออกเรือน แม่ไม่ยกให้หลวงวิเศษเสียก็เท่านั้น เหตุใดต้องตายด้วย”
“แต่ศึกครานี้หลวงวิเศษมีความชอบนัก ลูกได้ยินมาว่า หลวงวิเศษคิดจะขอพระราชทานลูกกับพระพุทธเจ้าอยู่หัว หากเป็นเช่นนั้นจักทำฉันใดเล่าเจ้าคะ”
“ขอพระราชทานเชียวรึ”
ดวงแขร้องไห้แล้วเข้าไปกอดแม่
“แม่รักของลูก ช่วยลูกด้วยเถิด นอกจากแม่ ลูกก็ไม่เห็นผู้ใดจะช่วยลูกได้อีกแล้ว”
อำพันคิดอยู่ครู่นึงแล้วบอก
“สิ่งเดียวที่จักล้มล้างพระบรมราชโองการได้ ก็มีแต่พระบรมราชโองการเท่านั้น”
ดวงแขนิ่งคิดตามที่แม่พูดด้วยสีหน้าสงสัยว่าหมายความว่ายังไง
ในเวลากลางคืน สินและสมบุญเดินหน้าเครียดขึ้นมาบนเรือน โดยมีเอื้อยแตง จำเรียง ศรีเมือง และมั่นรอฟังข่าวด้วยความกระวนกระวาย จำเรียงร้อนใจอย่างสุดๆ รีบเข้าไปหาสิน สมบุญทันที
“เป็นกระไรบ้างข่าวเรื่องพี่เสมาเป็นจริงหรือไม่”
“ใจเย็นก่อนเถิด เพลานี้ยังไม่รู้แน่ชัดดอก มีแต่ข่าวจากปากอ้ายพวกไปส่งเสบียงทั้งสิ้นยังเชื่อถือมิได้”
“พวกทหารไปส่งเสบียง ย่อมต้องเห็นการในค่าย แล้วจักผิดได้อย่างไร ป่านฉะนี้ เสมาลูกพ่อ” มั่นพูดด้วยน้ำเสียงในลำคอตีบตันจนพูดไม่ออก ได้แต่น้ำตาคลอ
สินรีบตัดบททันที
“อย่าเพิ่งคิดในทางร้ายเลยพ่อลุง อ้ายพวกไปส่งเสบียงอยู่เพียงคืนเดียว อาจจักไม่รู้จริงก็เป็นได้”
“ถ้ากระนั้น ก็มีแต่ต้องรอให้ทัพชัยขององค์พระพุทธเจ้าอยู่หัววังหน้ากลับมาเท่านั้น จึงจะรู้ว่าพี่เสมาเป็นเช่นใด เคราะห์ซ้ำกรรมซัดโดยแท้ พี่เสมาจักเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็หารู้ไม่ แล้วฉันยังต้องมีพี่เขยเป็นหลวงณรงค์อีกหรือ” เอื้อยแตงบอกพลางถอนใจ
ศรีเมืองตกใจ
“แม่หญิงจักออกเรือนแล้วหรือจ๊ะ จริงซี จักมีเพลาใดเหมาะควรไปกว่านี้อีก เมื่อขาดพี่เสมาเสียคน หลวงณรงค์ก็ไม่ต้องเกรงผู้ใดแล้ว”
แต่ละคนมีสีหน้าเคร่งเครียดไม่รู้จะทำยังไงดี
บริเวณริมสระน้ำภายในวังเมื่อยามเช้า พุฒเดินเข้ามาคุกเข่าถวายบังคมสมเด็จพระนเรศวร โดยมีขุนนเรนทร์ภักดี หรือ หมื่นจิตรเสน่หาคุกเข่าอยู่ใกล้ๆสมเด็จพระนเรศวรอยู่แล้ว
“เจ้าวิเศษสรไกร อยากพบเรามีกระไรรึ”
พุฒพนมมือ
“ขอเดชะพระอาญาไม่พ้นเกล้า ข้าพระพุทธเจ้ามีเรื่องร้อนใจนัก หวังจักพึ่งพระบารมีดับร้อนผ่อนเย็น พระพุทธเจ้าข้า”
“เจรจาเช่นนี้ คงไม่ได้มาขอให้เราประทานนางข้าหลวงตำหนักในคนใดให้ดอกนะ”
ขุนนเรนทร์ภักดีอมยิ้มอายๆก้มหน้าลงเล็กน้อย พุฒยิ้มแย้มขึ้นทันที
“ทรงพระปรีชายิ่งแล้วพระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้ามีใจใฝ่รักแม่หญิงดวงแข น้องสาวหลวงณรงค์วิชิตมานานนัก ขอพระองค์ทรงโปรดเมตตา พระราชทานให้ข้าพระพุทธเจ้าด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า”
สมเด็จพระนเรศวรพระพักตร์เครียด
“อันที่จริงแล้วเป็นเรื่องง่ายดายนัก แต่ครานี้เราคงให้เจ้าไม่ได้ดอก”
“เหตุใดเล่าพระพุทธเจ้าข้า”
“เพราะเจ้านเรนทร์ภักดีก็ขอให้เราประทานหญิงคนเดียวกับเจ้า เมื่อขอพร้อมกันเช่นนี้ หากเราให้ผู้หนึ่งผู้ใดไปก็เป็นการไม่เป็นธรรม เจ้าทั้งสองจงหาทางพิชิตใจหญิงผู้นี้เอาเองเถิด”
พุฒหันไปมองขุนนเรนทร์ภักดีด้วยสายตาเขม่นหมั่นไส้ ขุนนเรนทร์ภักดีอมยิ้มใจเย็นทำไม่รู้ไม่ชี้
ที่มุมหนึ่งในวัง ขุนนเรนทร์ภักดีกำลังคุยกับดวงแขอยู่
“คุณพระคุ้มครองนัก ข้าพระเจ้ารู้ข่าวว่าหลวงวิเศษขอเข้าเฝ้าจึงรีบไปทูลขอตัดหน้าก่อนเพียงชั่วอึดใจ หาไม่แล้ว หากองค์พระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงตรัสประทานผู้ใดก็คงแก้ไขไม่ได้แล้ว”
ดวงแขยิ้มดีใจพลางว่า
“ขอบน้ำใจขุนท่านนัก ฉันจักไม่ลืมคุณของออกขุนครานี้เลย”
ขุนนเรนทร์มองดวงแขด้วยสายตากรุ้มกริ่ม
“แต่ข้าพระเจ้ากลับเสียดายนัก หากองค์พระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงตรัสประทานให้ข้าพระเจ้าก่อน ป่านฉะนี้”
ดวงแขตวาดสวนขึ้นทันที
“นี่ออกขุนคิดฉวยโอกาสรึ อย่าหวังเลย ถึงฉันขัดพระบรมราชโองการไม่ได้ก็ขอยอมตายเสียดีกว่า ให้เหล่าชายเช่นพวกท่านมาฉกฉวยเอาเช่นนี้”
ขุนนเรนทร์หน้าเสียทันที
“มิได้แม่หญิง ข้าพระเจ้าเพียงแต่หยอกเล่นเท่านั้น หาใช่คิดจริงดังนั้นไม่ แม่หญิงอย่าถือโทษโกรธเคืองข้าพระเจ้าเลย”
ดวงแขตามองจิกแล้วทิ้งค้อนด้วยความไม่พอใจ
พุฒยืนแอบมองทั้งคู่สนทนากันอยู่จึงรู้ว่าเป็นอุบายของดวงแข โดยมีขุนนเรนทร์ซึ่งมาหลงรักให้ความร่วมมือก็ยิ่งเจ็บใจมากขึ้น
ขุนนเรนทร์เดินมาที่เรือของตนซึ่งให้ทหารจอดรออยู่ ทันใดนั้นเองก็มีกระบี่พร้อมฝักเล่มหนึ่ง ฟันลงที่ศีรษะขุนนเรนทร์ทันที ทันทีที่ขุนนเรนทร์เหลือบเห็นก็รีบก้มหลบได้หวุดหวิดชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด ที่แท้เป็นพุฒนั่นเองที่ลอบทำร้าย
“กระไรกันนี่คุณหลวง คิดจักทำร้ายกันลับหลังหรือ”
“กระบี่ยังอยู่ในฝัก จักเรียกว่าทำร้ายได้อย่างไร ฉันเพียงแต่มาเตือนออกขุนท่านเท่านั้น ว่าแม่หญิงดวงแขมีเจ้าของแล้ว ออกขุนหาควรยุ่งเกี่ยวด้วยไม่”
“เจ้าของ นี่คุณหลวงกล้าพูดว่าเจ้าของเชียวหรือ หากเป็นจริง คุณหลวงคงออกเรือนกับแม่หญิงดวงแขเสียนานแล้วกระมัง มุสาแล้วยังพูดให้แม่หญิงต้องเสื่อมเสียอีก”
“เมื่อตักเตือนกันดีๆไม่ยอมฟังก็ชักดาบออกมาพิสูจน์กัน ผู้ใดแพ้ก็อย่าได้ข้องเกี่ยวกับแม่หญิงดวงแขอีก”
“แม่หญิงดวงแขหาใช่ของพนันแก่ผู้ใดไม่ แลเราต่างเป็นทหารสู้กันเองก็รังแต่จะเป็นโทษแก่ตัว”
พุฒพูดพลาง ยิ้มเยาะและทำมือประกอบสีหน้าสีหน้าเหยียดหยาม
“กลัวโทษ หรือไม่กล้ากันแน่เล่า หากไม่กล้าก็แล้วกันไปเถิด ฉันจักได้รู้ว่าราชองครักษ์วังหน้ามีหัวใจเพียงแค่นี้เอง”
“นี่กล้าหยามหมิ่นศักดิ์องครักษ์วังหน้าเชียวรึ มากเกินไปเสียแล้ว”
ขุนนเรนทร์ชักดาบออกจากฝักแล้วฟันใส่พุฒทันที พุฒฉากหลบออกมาแล้วชักกระบี่คู่มือออกจากฝัก แล้วเข้าต่อสู้ทันที ทหารซึ่งเป็นลูกน้องขุนนเรนทร์ เมื่อเห็นเจ้านายต่อสู้กับพุฒก็กลัวเรื่องบานปลายเลยรีบหลบออกไปตามคนมาช่วย
ขุนนเรนทร์สู้กับพุฒอยู่พักนึง พุฒฝีมือเหนือกว่าเยอะเลยฟันกระบี่เข้าที่ต้นแขนของขุนนเรนทร์จนได้รับบาดเจ็บแต่ก็ยังบุกสู้ต่อ พุฒได้ใจยั่วโมโหหลอกล่อ แล้วแกล้งฟันกระบี่ใส่ขุนนเรนทร์ทีละแผลๆ แต่ไม่ลึกนัก เพราะต้องการแกล้งทรมานไปเรื่อยๆ ซักพัก ขุนนเรนทร์ก็เลือดโทรมกาย ทั้งเจ็บทั้งอ่อนแรง
พุฒหัวเราะเยาะเย้ยทันที
“ฝีมือราชองครักษ์วังหน้าก็เท่านี้เอง”
ขุนนเรนทร์โกรธจัด ร้องลั่นก่อนจะโถมเอาดาบเข้าฟัน แต่พุฒฉากหลบแล้วเตะจนล้ม แล้วใช้เท้าเหยียบเอาไว้ไม่ให้ลุกขึ้น
“ให้สัตย์มาว่า จะไม่ข้องเกี่ยวกับแม่หญิงดวงแขอีกแล้วข้าจักปล่อยเอ็งไป”
“ข้าไม่พูด เอ็งไม่มีปัญญาให้หญิงรักก็ใช้กำลังเข้าข่มขู่ชายอื่นหาใช่ชายจริงไม่”
พุฒโกรธจัดเงื้อกระบี่ขึ้นจะแทง ทันใดนั้นทหารลูกน้องของขุนนเรนทร์ก็พาทหารอีกกลุ่มหนึ่งมา เมื่อเห็นสภาพเลือดโทรมกายขุนนเรนทร์ก็ตกใจ ตะโกนลั่น
“ท่านขุน”
“ราชองครักษ์วังหน้า สู้ไม่ได้ก็ใช้พวกมากเข้ารุม เอาเถิด ข้าจักปล่อยเอ็งเอาบุญสักครา”
พุฒพูดพลางเบะปากดูถูกแล้วเดินหนีไป พวกทหารรีบตรงเข้าไปช่วยขุนนเรนทร์ที่เจ็บหนักทันที ขุนนเรนทร์มองตามพุฒด้วยความแค้นใจที่ดูถูกเหล่าราชองครักษ์วังหน้า
ยามบ่ายในบริเวณมุมหนึ่งในวัง สินและสมบุญกำลังคุยกับทหารลูกน้องขุนนเรนทร์ภักดีด้วยความตกใจ
“อ้ายหลวงวิเศษน่ะหรือ มันกล้าทำร้ายท่านขุนนเรนทร์ภักดี” สินพูดขึ้น
“ขอรับ เพลานี้ท่านขุนเจ็บหนักได้แผลไปมากโข แต่แผลไม่ลึกนักเพราะหลวงวิเศษคงหมายจะหยามเสียมากกว่า”
“เหิมเกริมนักอ้ายพุฒ แล้วนี่ออกขุนแจ้งผู้ใดไปแล้วหรือไม่จะได้เอาโทษแก่อ้ายพุฒมัน”
“ไม่ได้แจ้งขอรับ ท่านขุนเกรงว่าผู้คนจะเย้ยหยันว่าราชองครักษ์วังหน้าฝีมือสู้ไม่ได้เลยใช้เล่ห์แจ้งเอาโทษ ท่านขุนไม่อยากให้ผู้ใดมาหมิ่นศักดิ์ราชองครักษ์แห่งวังหน้าอีกขอรับ แต่ท่านขุนให้มาแจ้งท่านหมื่นทั้งสองเพราะมีนัดต้องไปราชการด้วยกัน แต่เพลานี้คงไปไม่ไหวขอรับ”
“กลับไปบอกท่านขุนให้พักรักษาตัวเถิด ราชการแต่เพียงนี้ ฉันกับหมื่นทิพย์ไปเองได้” สมบุญบอก
“ขอรับ” ทหารลาแล้วเดินเลี่ยงไป
“ อ้ายพุฒเคยทำร้ายกูยังไม่พอ มึงยังทำร้ายคนดีเช่นขุนนเรนทร์แลหยามหมิ่นเกียรติราชองครักษ์แห่งวังหน้าอีก ต้องมีสักวัน ที่กูเอาเลือดมึงออกให้จงได้” สมบุญบอก
สินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วว่า
“จะต้องรอสักวันทำกระไร คืนนี้เลยเถิด”
“เอ็งว่ากระไรนะอ้ายสิน”
สินยิ้มเจ้าเล่ห์
“ข้าพูดจริง หากแผนข้าสำเร็จ มิเพียงล้างแค้นให้ขุนนเรนทร์แลแก้มือที่เคยถูกทำร้ายเท่านั้น ยังอาจช่วยแม่หญิงเรไรไม่ให้ต้องออกเรือนกับอ้ายขันด้วย”
สมบุญมองหน้าสินแบบไม่อยากเชื่อเพราะปกติสินจะมุทะลุ ไม่มีแผนการอะไรทั้งนั้น
ศรีเมืองยืนร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ที่ชานเรือนพันอินเมื่อตอนหัวค่ำด้วยห่วงทั้งเสมาและห่วงพ่อที่ยังไม่กลับจากศึกตะนาวศรี
ทาสหญิงคนหนึ่งเดินออกมาหาศรีเมืองแล้วคุกเข่าลงแล้วบอกด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“แม่หญิงเจ้าคะ มืดค่ำแล้วกินข้าวปลาเสียหน่อยเถิดเจ้าค่ะ แต่แม่หญิงกลับมายังไม่ได้กินกระไรเลยนะเจ้าคะ”
“ฉันกินไม่ลงดอก ป่านฉะนี้ไม่รู้ว่าพี่เสมาจะเป็นกระไรบ้าง แล้วยังพ่อท่านอีก พ่อท่านสูงวัยแล้วต้องตรากตรำไปศึกฉันห่วงเหลือเกินแล้ว” ศรีเมืองพูดพลางซับน้ำตา
ขณะนั้นเอง ทาสชายที่เดินเวรยามถือคบไฟอยู่ที่หน้าเรือนของพันอินก็ได้ยินเสียงผิดปกติ ทาสชายเสียงดังขู่ตะคอกทันที
“นั่นผู้ใดวะออกมาประเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นกูจะตีให้ตายคามือเลย”
ทันใดนั้นเอง เสมาและพันอินก็เดินออกมาจากมุมมืด พันอินยิ้มขำ
“เอ็งจะตีข้าให้ตายเชียวรึอ้ายนวม อ้ายนี่ ท่าจะเลี้ยงไม่ได้เสียแล้ว”
ศรีเมืองได้ยินเสียงพันอินก็ดีใจสุดๆ
“พ่อท่าน พี่เสมา”
เสมาส่งยิ้มให้ศรีเมืองเป็นการทักทาย
เสมากับพันอินกำลังคุยอยู่กับศรีเมืองอยู่บนเรือน
“พี่ต้องอาวุธจริง แต่ไม่ถูกที่สำคัญจึงรอดมาได้ แต่หาเข้าใจไม่ว่า เหตุใดกองเสบียงจึงเอาไปลือว่าพี่ถึงตายไปได้”
“ชะรอยว่า คงเป็นช่วงที่พ่อเสมาสลบไปเพราะพิษบาดแผลกระมัง อ้ายพวกนี้จึงสำคัญว่าหนักหนานัก จึงเอาไปลือกันปากต่อปากเข้าจากบาดเจ็บก็กลายเป็นถึงตายไปได้” พันอินว่า
“พี่เสมาไม่เป็นกระไรก็ดีแล้วจ้ะ เอ่อ นี่พี่ยังไม่ได้กลับเรือนใช่หรือไม่จ๊ะ แต่มีข่าวลือพ่อลุงมั่นก็เป็นทุกข์นักด้วยกลัวว่า พี่จักตายไปเสีย พี่รีบกลับเรือนเถิดจ้ะพ่อลุงจักได้ดีใจ” ศรีเมืองว่า
“ขอบน้ำใจเจ้านักศรีเมือง นี่ทุกคนคงเป็นห่วงพี่มากกระมัง เออ แล้วระหว่างที่คนลือว่าพี่ตายมีเหตุใดเกิดขึ้นที่เรือนพี่หรือไม่”
“ไม่มีจ้ะ หัวหมื่นทั้งสองช่วยเป็นหูเป็นตาให้ ไม่มีผู้ใดกล้าทำกระไรดอก แต่หลวงณรงค์ฉวยโอกาสนี้ สู่ขอแม่หญิงเรไรแล้ว อีกไม่กี่วันก็คงจัดพิธีจ้ะ”
เสมาหน้าเสียทันทีที่รู้เรื่อง ในที่สุด วันนี้ก็มาถึงจนได้
ขัน พุฒ และบรรดาลูกน้องเดินเมาแอ๋เป๋ไปเป๋มาคุยหัวเราะกันมาตลอดทางในเวลากลางคืน พุฒพูดขึ้น
“นึกแล้วสาแก่ใจนัก หากไม่เกรงอาญา ฉันจะฆ่าอ้ายขุนนเรนทร์ทิ้งเสียเลยจักได้ไม่มีผู้ใดบังอาจมาข้องเกี่ยวกับแม่หญิงดวงแขของฉันอีก”
ขันอยู่ในอาการเมามาย หัวเราะแล้วพูดขึ้น
“ยังมีโอกาสอีกมากนัก ฉันไปคุยกับเหล่าทหารองครักษ์แล้ว เรื่องที่หลวงวิเศษจะย้ายไปสังกัดวังหน้าแทนอ้ายเสมา หาใช่ยากเย็นไม่ เมื่อหลวงท่านเป็นนายอ้ายขุนนเรนทร์แล้วยังกลัวไม่มีโอกาสอีกหรือ”
ขันและพุฒหัวเราะชอบใจ
สินกับสมบุญโกผ้าปลอมเป็นโจรพร้อมอาวุธคู่กายดักซุ่มอยู่ข้างทางรออยู่ เมื่อสบโอกาสก็โผล่เข้ามาทางด้านหลังของพวกลูกน้องขันแล้วลงมือเล่นงานทันที สินใช้ด้ามทวนฟาด ส่วนสมบุญเตะต่อยจนเหล่าลูกน้องสลบเหมือดไปกันหมดทุกคน ขันกับพุฒได้ยินเสียงผิดปกติ หันกลับมาดูก็เห็นลูกน้องโดนเล่นงานจนสลบเหมือดหมดเรียบ
“เฮ้ย อ้ายโจรถ่อย พวกกูเป็นทหารหลวงมึงกล้าแตะต้องเชียวรึ” พุฒพูดขึ้น
สมบุญหันไปกระซิบกับสินว่า
“ข้าโดนอ้ายขันทำร้ายมาหลายครา ครั้งนี้ขอมันให้ข้าเถิด”
“ถ้ากระนั้น ข้าจะล้างแค้นให้ขุนนเรนทร์เอง” สินกระซิบตอบ
สมบุญชักดาบสองมือที่หลังออก ส่วนสินก็ควงทวนคู่มือพุ่งเข้าใส่พุฒทันที
ขันและพุฒชักอาวุธคู่มือออกมาต่อสู้ ช่วงแรกยังผลัดกันรุกรับอย่างดุเดือด แต่ซักพักขันพุฒก็เริ่มเวียนหัวเพราะเมาเหล้าอยู่ก่อนแล้ว สมบุญเห็นขันก็มีอาการเซเพราะฤทธิ์เหล้า เลยควงดาบกระหน่ำไม่ยั้ง ไม่ทันไรก็ฟันขันบาดเจ็บจนได้ เช่นเดียวกับสินที่ใช้เพลงทวนหลอกล่อแทงใส่พุฒหลายแผล แต่ละแผลแทงไม่ลึกนัก เพราะต้องการให้พุฒโดนแบบเดียวกับที่ขุนนเรนทร์โดนนั่นเอง
สมบุญใช้ท่าไม้ตายกระหน่ำใส่ขันจนดาบหลุดจากมือ สมบุญเลยพลิกดาบฟันใส่ต้นขาขันทั้งสองข้างจนขันร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะทรุดลงกับพื้นเพราะสมบุญต้องการให้ขันเจ็บจนแต่งงานไม่ได้นั่นเอง
สินกับสมบุญเล่นงานขันกับพุฒจนเลือดโทรมกาย กลิ้งเกลือกอยู่กับพื้นด้วยความเจ็บปวด ทั้งคู่ยืนมองด้วยความสะใจ
เวลาต่อมา สินและสมบุญเดินคุยกันมาอย่างยิ้มแย้มแจ่มใสหลังจากที่ถอดผ้าคลุมหน้าออกแล้ว
“เสียดายนักที่อ้ายขัน อ้ายพุฒเมา แม้จักชำนะแต่ก็ไม่อาจเปรียบฝีมือกับมันได้” สมบุญบอก
“ถึงอ้ายขันไม่เมา เพลานี้ก็สู้เอ็งไม่ได้ดอกวะ วันทั้งวันมันเอาแต่วิ่งหาออกญาผู้ใหญ่ หรือไม่ก็เมาเหล้าเสียมาก ส่วนเอ็งฝึกปรือดาบจนแก่กล้ากว่าเดิมนักแล้วจะเปรียบกันได้เช่นไร” สินว่า
ขณะนั้นเอง เสมาก็ถือคบไฟออกมาหาทั้งคู่
“เปรียบฝีมือกระไรกัน พวกเอ็งไปทำกระไรมา”
สมบุญดีใจมากที่เห็นเสมา ส่วนสินมีสีหน้าตกใจมาก
“พี่เสมา” สมบุญและสินเรียกขึ้นพร้อมกัน
สินตั้งท่าจะวิ่งหนี เพราะคิดว่าเป็นผีเสมา
“ผีหลอก”
สินหันหลังเตรียมเผ่นแต่สมบุญรีบดึงไว้
“จะไปที่ใดวะอ้ายสิน พี่เสมาจริง หากเป็นผีจักมีเงารึ”
สินตั้งสติได้หันกลับไปมองเห็นเสมาถือคบไฟโดยมีเงาบนพื้นจริง สินยิ้มเขิน
เสมาในอาการหงุดหงิดกำลังบ่นสินกับสมบุญอยู่บนเรือน
“พวกเอ็งทำเช่นนี้ได้อย่างไร หรืออยากถูกใส่กรวนจำคุกกันนัก”
“ไม่มีผู้ใดรู้ดอกพี่ ว่าเป็นฝีมือพวกฉัน อ้ายขันอ้ายพุฒอย่างมากก็สงสัยแต่หามีหลักฐานไม่” สมบุญบอก
“พวกฉันอยากแก้แค้นให้ขุนนเรนทร์ท่าน แลขัดขวางไม่ให้อ้ายขันออกเรือนกับแม่หญิงเรไรเท่านั้น โดนไปครานี้กว่าจักยืนตรงได้ก็แรมเดือนแล้ว อย่าว่าแต่เข้าหอเลย” สินพูดพลางหัวเราะอย่างสะใจ
“ข้ากับแม่หญิง อโหสิกันไปนับแต่วันที่ข้าให้พานดอกจำปีในพิธีหมั้นแล้ว ถึงแม่หญิงจักออกเรือนข้าก็ยุ่งเกี่ยวไม่ได้ดอก”
สินเบะปาก
“ปากแข็งนักหรือพี่ไม่ดีใจที่แม่หญิงยังไม่ได้ออกเรือนเล่า”
เสมาอ้ำอึ้โดนย้อนจนน้ำท่วมปากพูดไม่ออก
“ฉันว่าแม่หญิงเรไรเองก็ดีใจเช่นกัน แลหากรู้ว่าพี่ยังไม่ตาย แม่หญิงยิ่งจักมีสุขมากขึ้น หลังจากทุกข์ด้วยข่าวลือมามากแล้ว” สมบุญบอก
“นี่แม่หญิงทุกข์ใจเพราะคิดว่าข้าตายแล้วกระนั้นหรือ”
“ใช่ซีพี่ วันพรึ่งพี่ไปแจ้งให้แม่หญิงทราบเถิด จักได้ไม่ต้องเสียใจจนตรอมใจอยู่แบบนี้”
เสมาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอก
“ยังก่อน ข้าอยากรู้กับตา แจ้งกับใจว่า หากข้าตายจริงแม่หญิงเรไรจักคิดเช่นใด”
เสมาสีหน้านิ่งใช้ความคิด
กลางดึกที่ห้องนอน เรไรกำลังดูแหวนในมือที่เคยให้กับเสมาเมื่อตอนไปทำศึก ซึ่งเสมาเก็บไว้ที่ตัวตลอดเวลา มอลดูแหวนแล้ว น้ำตาก็คลอเบ้า เอื้อยแตงกับพิณนั่งอยู่ใกล้ๆ เรไร
“มิผิดแล้ว เป็นแหวนที่ฉันให้เสมาไว้จริง ผู้ใดให้เจ้ามาหรือพิณ” เรไรหันไปถามพิณ
พิณหน้าเสียแล้วบอก
“หมื่นเทพ หมื่นทิพเจ้าค่ะนำมาให้บ่าวเมื่อครู่ แล้วให้บ่าวเอามาให้แม่หญิงเจ้าค่ะ”
เรไรร้องไห้ทันที
“ถ้ากระนั้นก็ไม่ผิดแล้ว แหวนนี้เสมาติดตัวไว้ไม่ห่างกาย เมื่อมันกลับสู่มือฉันย่อมแน่แล้วว่าเสมา...
เรไรลำคอตีบตันจนพูดไม่ออก
“เสมาหาชีวิตไม่แล้ว”
เอื้อยแตงร้องไห้เหมือนกัน
“ฉันยังไม่เชื่อดอก หากไม่เห็นศพอย่างไรฉันก็ไม่เชื่อ อ้ายสินยังอยู่หรือไม่แม่พิณ ฉันจะไปคุยกับมัน”
“อยู่เจ้าค่ะ”
เอื้อยแตงออกจากห้องไป โดยมีพิณตามไปอีกคน
เรไรมองแหวนในมือด้วยความเสียใจ
“เสมาสุดรักของฉัน ชาตินี้เราสองอาภัพเหลือ แม้มีใจใฝ่รักกันเพียงใดก็หาสมหวังไม่ มีแต่อุปสรรคขัดขวางอยู่ร่ำไป กรรมเก่าเราคงหนักหนานัก แต่เสมาอย่าได้กังวลเลย อีกไม่ช้านาน ฉันก็จักตามไปอยู่กับเสมาแล้ว”
ขาดคำเสียงเสมาก็ดังขึ้น
“อย่าเชียวแม่หญิง”
เรไรหันไปมองตามเสียง ขณะที่เสมากำลังปีนหน้าต่างเข้ามาในห้องนอน เรไรฉุนขึ้นมาทันทีที่โดนหลอก
“เสมา นี่เสมาหลอกฉันหรือเห็นว่าฉัน”
พูดไม่ทันจบ เสมาก็ดึงเรไรเข้ามากอดด้วยความรักห่วงหวงทันที
“ข้าพระเจ้าขอขมาเถิดแม่หญิง ข้าพระเจ้าเพียงแต่อยากรู้ว่า ใจเราสองจักตรงกันหรือไม่ บัดนี้ข้าพระเจ้าก็ประจักษ์แล้วว่าใจเราไม่ผิดกัน แต่ขอเถิดแม่หญิงอย่าได้คิดฆ่าตัวตายให้เป็นบาปติดตัวเลย”
เรไรนิ่งในอ้อมกอดของเสมาอย่างเป็นสุข แต่ฉุกใจคิดเมื่อได้ยินประโยคท้ายเลยดึงตัวออก
“ผู้ใดว่าฉันจะฆ่าตัวตายเล่า”
“ก็เมื่อครู่ แม่หญิงบอกว่าจักตามไปอยู่ด้วยข้าพระเจ้าไม่ใช่หรือ”
“ฉันหมายถึง ฉันคงตรอมใจจนตายหาได้ฆ่าตัวตายไม่”
เสมาอึ้งไปครู่นึงที่เข้าใจผิด แต่ก็ยังยิ้มแย้ม
“ถึงอย่างไร ในใจเราสองคนก็ยังตรงกันอยู่ดีไม่ใช่รึ”
เรไรสีหน้าเศร้าลง
“แต่ฉันกำลังจะออกเรือนกับหลวงณรงค์แล้ว แม้หัวใจจักคิดเช่นใดก็หาช่วยกระไรได้ไม่”
“การภายหน้าก็สุดที่ข้าพระเจ้าจักหยั่งรู้ได้ แต่ภายในสองสามเดือนนี้ แม่หญิงยังไม่ต้องออกเรือนดอก”
เสมาบอกพลางยิ้มอย่างสบายใจ เรไรมองเสมาด้วยความแปลกใจ
อ่านต่อ หน้า ๒
ขุนศึก ตอนที่ ๑๔ (ต่อ)
ภายในบ้านเมื่อยามเช้า ขันกำลังร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ขณะที่บรรดาทาสกำลังเปลี่ยนยาที่พอกแผลของขันอยู่ โดยมีดวงแข และอำพัน คอยดูแลด้วยความสงสารขันจับใจ พวกทาสต้องคอยจับแขน ขา ของขันไว้ด้วยเพื่อไม่ให้ดิ้นจนพอกยาไม่ได้
“อดทนเถิดพ่อขัน แม่รู้ว่ายานี้เจ็บปวดนัก แต่แผลของพ่อขันฉกรรจ์เหลือต้องพอกทาทุกวันจึงจะหาย” อำพันบอก
“โจรจากที่ใดกันจึงมีฝีมือทำร้ายพี่ขันได้ถึงเพียงนี้” ดวงแขถาม
“มิใช่โจรแต่เป็นหมา หมาลอบกัด คอยดูเถิดหากรู้ว่าเป็นผู้ใด พี่จะฆ่ามันทิ้งเสีย” ขันร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด
“น้องสงสารพี่ขันเหลือ แต่อีกใจก็เสียดายนักที่หลวงวิเศษไม่ตาย”
อำพันรีบปราม
“แม่ดวงแขพูดเช่นนี้ได้กระไร บาปปากนัก”
ขันร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด อำพันเลยรีบไปดูแลเช็ดเหงื่อให้ ดวงแขอดยิ้มอย่างสะใจไม่ได้เมื่อนึกถึงสภาพของพุฒตอนนี้
ภายในวัง เมื่อยามสาย บัวเผื่อนและบรรดาสาวๆข้าหลวงกำลังเลือกผ้าผ่อน เครื่องประดับต่างๆที่เสมานำเป็นของฝากมาจากตะนาวศรี บัวเผื่อนหยิบของมาดูด้วยสีหน้าชอบใจก่อนหันไปยิ้มให้เสมา
“คุณพระนายปลอดภัยกลับมา ฉันก็ดีใจนักไม่ต้องนำของกำนัลมาให้เช่นนี้ดอก”
“ได้กระไรกันแม่หญิงบัวเผื่อน ราชองครักษ์กับข้าหลวงฝ่ายในก็เหมือนดั่งทองเนื้อเดียวกัน ไม่ใช่คนอื่นไกล ข้าพระเจ้าไปศึกถึงตะนาวศรีย่อมต้องมีของติดไม้ติดมือมากำนัลถึงจักถูก”
“คุณพระนายรับราชการมานานปี มาประเดี๋ยวนี้รู้ธรรมเนียมขึ้นมาไม่น้อยเชียว”
เสมายิ้มขำๆไม่พูดอะไร
ขณะนั้นเอง สินหน้าบอกบุญไม่รับและสมบุญก็เดินผ่านมาพอดี
“ออกเวรแล้วหรือ” เมาถาม
“จ้ะพี่เสมา” สมบุญบอก
“อ้ายสินเป็นกระไรหน้าบอกบุญไม่รับเชียว”
“เรื่องเมื่อคืนนั่นหล่ะพี่ แม่เอื้อยแตงตามมาถามเรื่องพี่ พออ้ายสินเล่าความจริงให้ฟัง แม่เอื้อยแตงก็เคืองนัก ด่ามันเสียหลายยกหาว่ามันทำให้ตกอกตกใจ”
“ถึงข้าไม่ทำเรื่องนี้ แม่เอื้อยแตงก็ด่าข้าอยู่ดี ไม่ว่าทำสิ่งใดก็ไม่เคยดีในสายตาแม่เอื้อยแตงดอก”
บัวเผื่อนยิ้มขำ
“แม่เอื้อยแตงก็ติดคำพูดแม่ค้ากลางตลาดเช่นนี้เองหมื่นทิพอย่าได้ใส่ใจเลย ฉันจักพาไปรู้จักแม่ข้าหลวงที่เพิ่งถวายตัวเอาหรือไม่ แต่ละคนกิริยาเรียบร้อยอ่อนหวานกว่าแม่เอื้อยแตงมากนัก”
สินได้ฟังก็ยิ่งหงุดหงิดหนัก เพราะไม่ต้องการผู้หญิงอื่นนอกจากเอื้อยแตงเท่านั้นจึงเดินหน้าหงิกเลี่ยงไปทางอื่น บัวเผื่อนมองตามด้วยความงงๆ ไม่เข้าใจว่าสินเป็นอะไร
“อย่าถือสาหมื่นทิพเลยแม่หญิงบัวเผื่อน อ้ายสินมันใฝ่รักเอื้อยแตงมานานนัก แต่เอื้อยแตงไม่เคยเห็นค่า มันจึงน้อยใจเอาเช่นนี้”
เสมามองตามสินไปด้วยความเห็นใจ
เอื้อยแตงกับศรีเมืองกำลังเดินเลือกซื้อของในตลาดเมื่อตอนบ่าย
“พูดแล้วยังเคืองไม่หาย ฉันนึกว่าพี่เสมาตายจริงจนใจเสียไปหมด อุตริคิดแผนกันดีนักโดนแค่ดุด่ายังน้อยไป” เอื้อยแตงพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“หมื่นทิพใฝ่รักแม่เอื้อยแตงดอกจึงยอมให้ดุด่าเช่นนี้ ฉันเห็นพวกทหารกลัวหมื่นทิพอย่างกับหนูกลัวแมว ถ้าหมื่นทิพไม่ยอมมีหรือแม่เอื้อยแตงจักทำได้ทำเอาเช่นนี้”
“ใฝ่รักกระไรกัน ฉันรำคาญเหลือไม่เคยอยากเห็นหน้าอ้ายสินเลย”
ขาดคำ เอื้อยแตงและศรีเมืองก็เหลือบเห็นสินในสภาพเมาเหล้า กำลังนั่งพูดคุยกับแม่ค้าคนสวยคนหนึ่งอยู่ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนกำลังจีบกันอยู่ ศรีเมืองนึกไม่ถึง
“นั่นหมื่นทิพไม่ใช่หรือ กำลังคุยกับผู้ใดกันท่าทางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียว”
เอื้อยแตงเกิดอาการหึงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“ฉันรู้จัก หญิงชื่อแม่สร้อยขายลูกปัดแลเครื่องประดับ เพิ่งรุ่นสาวได้ไม่เท่าใด อ้ายสินก็คิดเกี้ยวแล้วรึ ชั่วนัก”
ศรีเมืองตกใจ
“พูดแรงเกินไปกระมังแม่เอื้อย แค่เกี้ยวพาราสีจะถือว่าชั่วได้อย่างไร”
เอื้อยแตงเสียงแข็งด้วยอารมณ์หึงขึ้นหน้า
“ได้ซี ผู้อื่นไม่ชั่ว แต่หากเป็นอ้ายสินต้องถือว่าชั่วแท้”
ขณะนั้นเอง สินก็ช่วยหญิงสาวขนห่อผ้าใส่ของสองห่อใหญ่ๆ แล้วเดินตามหลังหญิงสาวไป เอื้อยแตงตาเขียวปั้ดรีบตามไปทันที
“แม่เอื้อยแตง จะไปที่ใด แม่เอื้อย”
ศรีเมืองตกใจเห็นท่าทางเอื้อยแตงแปลกๆ เลยรีบตามไปอีกคน
สินกำลังช่วยหญิงสาวขนห่อผ้าลงเรือที่จอดอยู่ สินจับมือหญิงสาวเพื่อจะช่วยให้หญิงสาวก้าวลงเรือได้ถนัดๆ ทันใดนั้นเอง เอื้อยแตงและศรีเมืองที่เดินตามมาเห็นสินจับมือหญิงสาวเต็มๆตา
“อ้ายสิน” เอื้อยแตงร้องเสียงดังด้วยอารมณ์โมโหหึง
สินหันกลับไปมองเห็นเอื้อยแตงยืนหน้าถมึงทึงอยู่ สินในอาการเมายิ้มแย้มทักทาย
“แม่เอื้อยแตงมาได้อย่างไรกันจ๊ะ”
เอื้อยแตงไม่ฟังเสียงตรงเข้าไปตบหน้าสินทันที
“กลางวันแสกๆ เอ็งยังกล้าจับมือถือแขนไม่อายผีสางเทวดาเสียบ้าง ข้านึกว่าเอ็งเป็นคนซื่อมีใจเดียว ที่แท้เอ็งมันก็ผู้ชายหลายใจ พอเป็นใหญ่เป็นโตเข้าหน่อยก็ทำเจ้าชู้ อ้ายชายอสัตย์คิดชั่ว”
สินหายเมาเป็นปลิดทิ้งด้วยความงงงวย
“กระไรกันแม่เอื้อยแตง พอเจอหน้าก็ด่าฉันไปทำกระไรให้หรือ”
ขาดคำ เอื้อยแตงก็ตบหน้าสินอีกฉาด เอื้อยแตงหันไปจ้องหน้าหญิงสาว หญิงสาวนึกกลัวรีบพายเรือหนีไปทันที เอื้อยแตงหันกลับมาด่าสินต่อ
“ยังจักมาถามอีกว่าทำกระไร หน้าหนานัก ต่อแต่นี้เอ็งอย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีก ไปตายเสียอ้ายสิน”
เอื้อยแตงผลักสินเต็มแรงด้วยความโกรธ สินเสียหลักหงายหลังตกน้ำดัง... โครม!! เอื้อยแตงเดินโมโหกลับไป สินว่ายน้ำกลับมาเกาะตลิ่ง
“นี่มันกระไรกันแม่ศรีเมือง ฉันกระทำชั่วกระไรแม่เอื้อยแตงถึงโกรธเคืองถึงเพียงนี้”
ศรีเมืองยิ้มๆ เหมือนอ่านใจเอื้อยแตงออก
“แล้วแม่น้องสาวที่หมื่นทิพจับมือถือแขนเมื่อครู่เล่าเป็นผู้ใดกัน เหตุใดจึงสนิทสนมนัก”
“แม่สร้อยน่ะหรือ พ่อของแม่สร้อยเป็นคนบ้านเดียวกับฉันรู้จักคุ้นเคยมานานปี วันนี้ฉันรำคาญใจนัก พอออกเวรจึงไปกินเหล้าเสียหน่อย ขากลับเห็นแม่สร้อยขนของจะกลับเรือน ฉันจึงเข้าไปช่วยเพียงนั้น”
“ถ้ากระนั้นก็รีบตามไปบอกกล่าวแก่แม่เอื้อยแตงตามนี้เถิด แม่เอื้อยแตงจักได้เลิกหึงหวงเสียที”
“หึงหวง” สินทวนคำศรีเมืองอย่างงงๆ
ศรีเมืองถอนใจอย่างอ่อนใจในความซื่อของสิน
“จู่ๆแม่เอื้อยแตงก็เป็นฟืนเป็นไฟถึงกับตบตีหมื่นทิพเช่นนี้ จะเป็นเพราะกระไรเล่า ถ้าไม่ใช่หวงหมื่นทิพถึงเพียงนี้แล้วยังดูไม่ออกอีกหรือ”
สินคิดตามอยู่ครู่นึงก็ดีใจสุดขีด รีบปีนขึ้นฝั่งแล้วตะโกนลั่น
“แม่เอื้อยแตงๆ รอฉันด้วยแม่เอื้อยแตง”
สินรีบวิ่งตามไปทันที ศรีเมืองได้แต่มองตามแล้วยิ้มขำๆ
เอื้อยแตงกำลังเดินหงุดหงิดผ่านมาทางตลาดเพื่อจะกลับบ้าน สินตัวเปียกปอนรีบวิ่งตามมา
“แม่เอื้อยแตง แม่เอื้อยแตงจ๋า”
สินรีบเข้าไปจับมือเอื้อยแตงไว้ เอื้อยแตงตวาดแว๊ดขึ้นทันที
“มาจับเนื้อต้องตัวข้าทำกระไร เปียก สกปรก ไป ไสหัวไปอ้ายชายชั่ว”
“แม่เอื้อยแตงโกรธเคืองฉันเช่นนี้ เพราะหึงหวงฉันใช่หรือไม่”
เอื้อยแตงอึ้งไปครู่นึง ครั้นตั้งสติได้ก็ชักจะรู้ตัวว่าหึงสินจึงรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน
“เอ็งพูดกระไรปล่อยข้าประเดี๋ยวนี้”
สินไม่ฟังเสียงจับมือทั้งสองของเอื้อยแตงล็อคไว้ให้จ้องหน้า ยิ้มแย้ม
“หากแม่เอื้อยแตงไม่หึงหวง ถึงฉันจะมีหญิงอื่นหมื่นแสน แม่เอื้อยแตงก็คงไม่โกรธเคืองฉันดอก แล้วเหตุที่แม่เอื้อยแตงหึงหวงก็เพราะแม่เอื้อยแตงมีใจให้ฉันใช่หรือไม่”
เอื้อยแตงพยายามดิ้นให้หลุดแล้วบอก
“อ้ายบ้าสิน เอ็งมันบ้าไปเสียแล้ว”
“ถึงฉันจักบ้าก็บ้ารักแม่เอื้อยแตงจักผิดกระไรเล่า”
ขาดคำ สินก็อุ้มเอื้อยแตงทันที ทั้งๆที่มีคนอยู่เต็มตลาด เอื้อยแตงทั้งโกรธทั้งอาย กรี๊ดลั่น
“ปล่อยข้าอ้ายสิน”
“ไม่ปล่อย แม่เอื้อยแตงปากแข็งนัก หากไม่ยอมรับว่ามีใจให้ฉัน ฉันจะอุ้มแม่อยู่เช่นนี้หรือไม่ก็พาเข้าหอเสียเลย”
เอื้อยแตงกรี๊ดลั่นทั้งทุบตี ด่าสินสารพัด พวกชาวบ้านหันมามอง สินตะโกนบอกชาวบ้าน
“พี่ป้าน้าอา แม่เอื้อยรับรักฉันยอมเป็นเมียฉันแล้ว”
“อ้ายสิน อ้ายปากเสีย ปล่อยข้า”
เอื้อยแตงทั้งทุบ ทั้งหยิก ทั้งบีบคอ จนสินร้องด้วยความเจ็บ จึงยอมปล่อย เอื้อยแตงทั้งเขิน ทั้งอายวิ่ง
ยิ้มม้วนหนีนำกลับไป สินมองตามยิ้มดีใจที่ความรักภักดีต่อเอื้อยแตงท่าจะเป็นผลสำเร็จ
พันอินกำลังพูดคุยกับศรีเมืองด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ที่บ้านเมื่อตอนหัวค่ำ ศรีเมืองกำลังเจียดหมากเป็นคำๆไว้ให้พันอินทาน พันอินถึงกับหัวเราะชอบใจ
“แต่เป็นทหารอาสาวิเศษไชยชาญจนได้ยศเป็นหัวหมื่น หมื่นทิพผู้นี้ก็ไม่เคยแปรเปลี่ยนไปเลยยังคงห่ามอยู่เช่นเดิม”
“แต่หมื่นทิพก็ซื่อตรงแลมีความเพียรนะเจ้าคะพ่อท่าน ควรแล้วที่แม่เอื้อยแตงจักใจอ่อน” ศรีเมืองพูดพลางหัวเราะ
“อย่ามัวแต่ชื่นชมผู้อื่นเลย ตัวเจ้าเองเล่าไม่ใจอ่อนกับผู้ใดบ้างหรือ”
ศรีเมืองหน้าขรึมลงแล้วบอก
“ไม่ดอกเจ้าค่ะ ลูกขออยู่ปรนนิบัติพ่อท่านเช่นนี้ดีกว่า”
“แม่ศรีเมืองเอ๋ย พ่อชราลงมากนักกลับจากศึกตะนาวศรีครานี้ พ่อรู้ตัวว่าไม่แข็งแรงดังเก่าจึงอยากให้เจ้าเป็นฝั่งเป็นฝาเสียทีพ่อจักได้หมดห่วง”
ศรีเมืองหน้าเสียเข้าไปจับขาพ่อ
“อย่าพูดเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะพ่อท่าน พ่อท่านต้องอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ลูกไปอีกนาน ลูกหาจำเป็นต้องออกเรือนให้ใครดูแลไม่”
“แม้ว่าคนผู้นั้นจักเป็นคุณพระนายแสนศึกสะท้านน่ะหรือ”
ศรีเมืองอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเขินอาย
“อย่าพูดเช่นนี้เลยเจ้าค่ะพ่อท่าน หาเป็นไม่ได้ไม่”
“ก็ไม่แน่นักดอกแม่ศรีเมือง ภายหน้าหากคนใกล้ตัวเสมาออกเรือนไปสิ้น เสมาจักทนความเงียบเหงาอยู่คนเดียวได้เช่นไร”
ศรีเมืองอมยิ้มอายๆก้มหน้างุด ลึกๆก็แอบมีความหวังอยู่เหมือนกัน
หลังจากที่กรุงศรีอยุธยามีชัยเหนือเมืองละแวก และปราบกบฏที่เมืองตะนาวศรีได้สำเร็จ ก็ได้มีการสะสมเสบียงและกำลังพลที่เมืองเมาะลำเลิงเพื่อจะทำศึกกับหงสาวดีต่อไป...บรรดาหัวเมืองใหญ่น้อย ทั้งสิบเก้าแคว้นไทยใหญ่ พสิม เมาะตะมะ หรือแม้กระทั่งตองอูต่างเกรงอำนาจของกรุงศรีอยุธยา ต่างพากันเข้ามาสวามิภักดิ์
เวลาผ่านไปหลายเดือน สมเด็จพระนเรศวรกำลังประทับนั่งอยู่บนบัลลังก์ในท้องพระโรงเมื่อยามเช้า ทรงอ่านสารขอสวามิภักดิ์ของเมืองตองอูอยู่ โดยมีสมเด็จพระเอกาทศรถ พระเจ้าเชียงใหม่ และเหล่าขุนนาง เข้าเฝ้าอยู่ใกล้ๆ
สมเด็จพระนเรศวรแย้มสรวลอย่างพอพระทัยแล้วตรัสว่า
“พระเจ้าตองอูลอบส่งสารมาขอสวามิภักดิ์แก่อโยธยาแล้ว หากเราทำศึกกับหงสาวดีเมื่อใดก็จักช่วยเรารบช่างน่ายินดีนัก”
พระเอกาทศรถตรัสว่า
“มาบัดนี้ เมืองใหญ่น้อยล้วนอ่อนน้อมต่ออโยธยาสิ้นเหลือเพียงอังวะกับแปรเท่านั้น แม้ทั้งสองเมืองจะยกทัพมาช่วยเหลือหงสาวดีรบก็ยังไพร่พลน้อยกว่าเรานัก”
“นับแต่เชียงใหม่ล้านนาสวามิภักดิ์ต่ออโยธยาก็ปราศจากศึกมานานปี อาณาประชาราษฎร์ล้วนอยู่เย็นเป็นสุข หากพระองค์มีพระประสงค์จักตีหงสา เชียงใหม่ก็ขอร่วมรบด้วยพระพุทธเจ้าข้า” พระเจ้าเชียงใหม่บอก
“ขอบพระทัยพระองค์นัก ครานี้ อโยธยาจักได้ล้างอายที่หงสาวดีเคยกระทำย่ำยีไว้เสียที” สมเด็จพระนเรศวรตรัส
ในเวลาต่อมา ภายในวัง สมเด็จพระเอกาทศรถพระราชดำเนินมาด้วยพระเจ้าเชียงใหม่
“ไม่คิดเลยว่าหงสาวดีอันยิ่งใหญ่เกรียงไกร เพียงสิบกว่าปีหลังสิ้นแผ่นดินพระเจ้าบุเรงนองจักต้องมีวันนี้”
“แม้สมเด็จพ่อจะเชี่ยวชาญการศึกจนผู้คนกล่าวขานว่าเป็นพระเจ้าชำนะสิบทิศ แต่สมเด็จพ่อเคยตรัสว่า ผู้แตกฉานการศึกที่แท้จริงจักเบื่อหน่ายสงคราม แลชัยชำนะที่ไม่ต้องเสียเลือดเนื้อจึงเป็นยอดแห่งชัยชำนะ น่าเสียดายที่สมเด็จพี่ไม่ได้ทำตามรับสั่ง”
“พระเจ้านันทบุเรงก่อการศึกแทบทุกปีบ้านเมืองจึงอ่อนแอ ที่สุดแล้วแม้แต่หัวเมืองประเทศราชอย่างตองอูซึ่งเป็นวงศ์เดียวกันก็ยังเอาใจออกห่าง”
พระเจ้าเชียงใหม่สีหน้าเครียดขึ้นมาทันที
“มีกระไรหรือพระเจ้าข้า”
“หม่อมฉันทูลตามตรง พระสังกทัตอุปราชแห่งตองอูผู้นี้แม้จะเป็นนัดดาของหม่อมฉัน แต่ก็ไว้ใจได้ยากนัก ศึกหงสาครานี้พระองค์ต้องทรงระวังให้จงดี”
สมเด็จพระเอกาทศรถมีพระพักตร์เคร่งเครียดขึ้นมาทันที เมื่อพระเจ้าเชียงใหม่ทรงเตือนเรื่องของพระสังกทัต
สมบุญพาจำเรียงเดินดูเรือนใหม่ที่เพิ่งปลูกเสร็จ ใหญ่โตโอ่อ่าสมฐานะทีเดียว
“เป็นกระไรบ้างจ๊ะแม่จำเรียง เรือนใหม่ของฉัน”
“งามนัก สมศักดิ์ของหมื่นเทพท่านแล้ว หากภายหน้ามีวาสนาได้เป็นใหญ่กว่านี้ เรือนนี้ก็ยังพอรับรองผู้คนได้ไม่ต้องสร้างใหม่อีก”
สมบุญแสร้งปั้นหน้าเศร้าแล้วบอก
“แต่เรือนนี้ยังขาดไปอีกสิ่ง มิรู้ว่าฉันจักมีวาสนาหามาได้หรือไม่”
จำเรียงเข้าใจในความหมายของสมบุญจึงไม่กล้าสบสายตา
“ขาดกระไรหรือ”
สมบุญยิ้มกรุ้มกริ่มพลางจับมือจำเรียงไว้แล้วบอก
“ขาดนางผู้มาเป็นศรีเรือนกระไรเล่า มิรู้ว่าแม่จำเรียงจักเมตตามาเป็นศรีเรือนของฉันได้หรือไม่”
“หัวหมื่นพูดเช่นนี้หาควรไม่ ฉันเป็นหญิงจักตกปากรับคำได้กระไร ต้องสุดแล้วแต่พ่อท่านเท่านั้น”
“ข้อนั้นไม่ต้องกังวล ฉันจักทำให้ถูกธรรมเนียมบอกกล่าวแก่พ่อลุงมั่นเป็นแน่ สำคัญที่แม่ไม่รังเกียจเดียดฉันข้าทาสเก่าเช่นฉันก็พอ”
“แล้วฉันไม่เคยตกเป็นทาสหรือ เราสองไม่ต่างกันเท่าใด แล้วจักรังเกียจหัวหมื่นได้กระไร”
สมบุญยิ้มกรุ้มกริ่มก่อนจะค่อยๆดึงตัวจำเรียงเข้ามากอดไว้แนบอก จำเรียงอยู่ในอ้อมกอดของ
สมบุญก็เขินอายแต่ก็ไม่ว่าอะไร
“นับแต่ที่ฉันได้กอดแม่จำเรียงไว้แนบอกเป็นคราแรกเมื่อคืนที่บุกไปช่วยแม่กับพี่เสมา ฉันก็เฝ้าฝันมาตลอดว่าจักได้กอดแม่จำเรียงเช่นนี้อีก แลกอดไว้จนสิ้นลมหายใจของอ้ายสมบุญ”
จำเรียงยิ่งเขินอายหนักที่สมบุญพูดถึงความหลัง จนหยิกสมบุญแก้เขินไปหนึ่งที สมบุญสะดุ้งด้วยความเจ็บแล้วกอดจำเรียงแนบแน่นกว่าเดิม
แต้มนอนเมากลิ้งอยู่บนเรือนพระรามเดชะตั้งแต่บ่ายรอบข้างตัวเต็มไปด้วยไหเหล้าเต็มไปหมด สินเดินนำเรไร เอื้อยแตง ลำภู และพิณเข้ามาหาแต้ม
“กระไรกันหมื่นทิพ ตามคนเสียทั่วเรือนเพื่อจักพามาดูพ่อนายแต้มนอนเมากระนั้นหรือ หรือหมื่นทิพจักอวดว่าเหล้าที่นำมากำนัลนั้นแรงจริงไม่เท่าใดก็เมาเสียแล้ว”
“ไม่ใช่ดอก รอประเดี๋ยวเถิด” สินบอกพลางยิ้มเจ้าเล่ห์
เรไร เอื้อยแตง ลำภูและพิณหันไปมองหน้ากันแบบงงๆ ว่าจะให้มาร่วมเป็นพยานเรื่องอะไร สินเข้าไปเขย่าตัวแต้มเบาๆ
“พ่อลุงแต้มๆ”
“มีกระไรวะ คนจะนอน”
“ฉันมีเรื่องอยากจะขอพ่อลุงสักเรื่อง พ่อลุงให้ได้หรือไม่จ๊ะ”
“ได้ซีวะ คนอย่างอ้ายแต้มใจเป็นแม่น้ำอยู่แล้ว เอ็งจะขอกระไรก็ว่ามา”
“ฉันอยากจะขอแม่เอื้อยแตงไปเป็นศรีเรือน พ่อลุงให้ได้หรือไม่จ๊ะ”
เอื้อยแตงและทุกคนตกใจไม่คิดว่า สินจะเล่นอะไรบ้าๆแบบนี้ แต้มสะดุ้งลุกขึ้นจ้องสินตาเขม็ง สินตกใจหน้าเสียนึกว่าผิดแผน แต้มในอาการเมามาย หัวเราะลั่น
“เอ็งจักขอนังเอื้อยแตงได้ซีวะ เอาไปเลย ข้ารำคาญปากมันเต็มทนแล้ว เอ็งเอาไปเลย”
แต้มพูดแล้วก็หัวเราะก่อนจะเอนร่างลงนอนกับพื้นต่อ สินตบเข่าฉาดด้วยความดีใจ เอื้อยแตงท้าวสะเอว จ้องหน้าสิน หมั่นไส้ที่กระล่อนเจ้าเล่ห์นัก เรไรถึงกับหัวเราะแล้วพูดขึ้น
“ เล่นกระไรกัน หมื่นทิพจักสู่ขอน้องสาวฉันทั้งทีถึงกับต้องมอมเหล้าอาแต้มเชียวรึ”
“พ่อลุงแต้มชังน้ำมะหน้าฉันนัก หากไม่ใช้อุบายมีหรือจะยกแม่เอื้อยแตงให้ ครานี้แม่เอื้อยแตงหนีฉันไม่พ้นดอก”
เอื้อยแตงเขินอายแล้วแกล้งดุ
“อ้ายบ้าสิน อุบายบ้าๆเช่นนี้ ใครจักยอมออกเรือนกับเอ็ง”
อื้อยแตงทิ้งค้อนแล้วรีบเดินหนีไปแต่ก็แอบอมยิ้มอายๆ อยู่ในที สินรีบตามไปทันที
“ไม่ได้นาแม่เอื้อยแตงมีคนรู้เห็นอยู่เต็มเรือนแล้ว แม่เอื้อยแตงจักบ่ายเบี่ยงได้อย่างไร”
ทุกคนมองตามสินด้วยความอ่อนใจ ลำภูถอนหายใจแล้วส่ายหน้า
“อุตริผิดคนนัก เคราะห์ดีที่คุณพระท่านไม่อยู่ หาไม่คงไล่เตลิดไปแล้วที่ทำกับน้องชายท่านเช่นนี้”
เรไรยิ้มขำๆ นึกถึงความห่ามของเสมาเลยพูดกับตัวเองเบาๆ
“ศิษย์แลครูไม่ผิดกันเท่าใดเลย”
เมื่อตอนหัวค่ำ ในบ้านใหม่ของเสมา พันอิน มั่น และเสมากำลังสนทนากันอยู่ที่บริเวณชานเรือน
“จริงหรือพ่อ อ้ายสินกับอ้ายสมบุญน่ะหรือจะออกเรือนพร้อมกัน” เสมาพูดอย่างนึกไม่ถึง
มั่นพยักหน้ารับ
“เมื่อเย็นนี้ หมื่นเทพมาเกริ่นกับพ่อไว้แล้วว่าจักพาเจ้าคุณผู้ใหญ่มาสู่ขอจำเรียง แลยังเล่าเรื่องหมื่นทิพว่าได้สู่ขอเอื้อยแตงจากพ่อแต้มแล้ว คาดว่าคงออกเรือนพร้อมกันเป็นแน่”
“อ้ายสองคนนี่เป็นเกลอกันแน่นแฟ้นนัก แม้แต่จะออกเรือนก็ยังพร้อมกันเสียอีก” เสมาบอก
“อย่ามัวแต่ว่าผู้อื่นเลย หัวหมื่นทั้งสองเป็นเสมือนน้องแลลูกศิษย์แต่กลับออกเรือนไปก่อน เจ้าไม่อายบ้างหรือ”
เสมายิ้มแหยๆ ที่เรื่องเข้าตัวจนได้
พันอินหัวเราะแล้วว่า
“อย่าเพิ่งคุยเรื่องนี้เลยพี่มั่น คุณพระนายเพิ่งกลับจากเข้าเวรคงจะหิว ไว้กินกระไรก่อนเถิดแล้วค่อยคุยกัน”
“คุณหลวงก็เข้าข้างเสียเรื่อย” มั่นบอกหันไปพูดกับเสมา
“ประเดี๋ยวพ่อไปบอกบ่าวไพร่ให้จัดหาสำรับให้ รอสักครู่เถิด”
มั่นเดินเลี่ยงไป เสมาหันไปพูดกับพ้นอินด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“พ่อท่านมานานแล้วหรือขอรับ”
“มาแต่เย็นแล้วตั้งใจจะมาหาคุณพระนายนั่นหล่ะ”
“มีกระไรหรือพ่อท่าน”
“พ่อตั้งใจจักมาบอกว่า พ่อออกจากราชการแล้ว”
“พ่อท่าน” เสมาเรียกขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่คาดคิด
พันอินถอนหายใจแล้วว่า
“พ่อรู้ตัวว่า ชราลงมากนัก เจ็บไข้ได้ป่วยอยู่บ่อย คงจักฝืนตามเสด็จไปศึกไม่ไหวแล้ว แลทรัพย์สมบัติที่สะสมไว้ก็มีไม่น้อย เกินพอที่จะเลี้ยงตัวแลบ่าวไพร่ พ่อจึงลาออกเสียจะได้ไม่เป็นภาระแก่ผู้อื่นยามไปศึก”
“เมื่อพ่อท่านตัดสินใจเช่นนั้นก็ตามแต่ใจพ่อท่านเถิด พ่อท่านเหนื่อยยากมามากแล้วควรเป็นสุขในบั้นปลายเสียที”
“แต่พ่อยังมีห่วงอยู่อีกประการไม่รู้ว่าคุณพระนายจักช่วยพ่อได้หรือไม่”
“พ่อท่านบอกมาเถิด บุญคุณพ่อท่านมีท่วมหัวเสมาต่อให้บุกน้ำลุยไฟ เสมาก็จะกระทำให้แก่พ่อท่าน”
“พ่อห่วงศรีเมืองนัก อยากให้ออกเรือนกับคนดีเช่นคุณพระนาย จะได้คุ้มครองปกป้องศรีเมืองต่อไป คุณพระนายช่วยให้พ่อตายตาหลับได้หรือไม่”
เสมาตกใจคิดไม่ถึงว่าพันอินจะยกศรีเมืองให้แบบนี้
อ่านต่อหน้า ๓
ขุนศึก ตอนที่ ๑๔ (ต่อ)
ศรีเมืองกำลังบีบนวดให้พันอินอยู่ที่บ้านในตอนกลางคืน
ศรีเมืองพูดอย่างเขินอายพลางนวดพันอินไป
“พ่อท่านไม่น่าพูดเช่นนั้นเลย แล้วต่อไปลูกจะกล้ามองหน้าพี่เสมาได้กระไร”
“พ่อเป็นฝ่ายพูด ไม่ใช่เจ้าแล้วเจ้าจักไม่กล้ามองหน้าเสมาได้อย่างไรเล่า”
“แล้วพี่เสมาตอบพ่อท่านว่ากระไรหรือจ๊ะ” ศรีเมืองถามอย่างอยากรู้
“นึกว่าเจ้าจะไม่อยากรู้เสียอีก” พันอินตอบพลางยิ้มขำ
พันอินถอนหายใจ หน้าขรึมลงเมื่อนึกถึงคำพูดเสมาเมื่อคืน
เมื่อคืน...เสมากำลังก้มลงกราบแทบตักพันอิน
“ใช่ว่าเสมาจักอกตัญญู หากเป็นเรื่องอื่น แม้ว่าพ่อท่านใช้ให้ไปตาย ข้าพระเจ้าก็จะไปอย่างไม่ลังเล แต่เรื่องแต่งงานกับแม่ศรีเมืองนี้ ข้าพระเจ้าขอเถิด”
“เหตุใดเจ้ารังเกียจศรีเมืองถึงเพียงนี้ หรือศรีเมืองไม่งดงามกิริยามารยาทไม่สมเป็นศรีเรือนหรือกระไร”
“หามิได้เลยพ่อท่าน แม่น้องศรีเมืองงดงามไม่แพ้ผู้ใด กิริยามารยาท งานบ้านงานเรือนก็ไม่ขาดตกบกพร่อง แต่ด้วยข้าพระเจ้าเห็นแม่ศรีเมืองเสมอน้อง แลไม่อาจตัดใจรักจากแม่หญิงเรไรได้ ข้าพระเจ้าจึงไม่คิดมีผู้ใดอีก”
“เหตุเพราะแม่เรไรแท้ๆ ทำให้เจ้าต้องตกยากลำบากมาหลายปี อย่างไรเสีย แม่เรไรก็ต้องตกเป็นเมียหลวงณรงค์เป็นแน่ ถึงขั้นนี้แล้วเจ้ายังตัดใจไม่ได้อีกหรือ”
“มิใช่ว่าข้าพระเจ้าไม่รู้ดอกขอรับพ่อท่าน แต่ปุถุชนใด ถึงมีฤทธิ์ยิ่ง ก็ไม่อาจใช้ดาบตัดสายน้ำไหลให้ขาดได้ ฉันใดนั้น เสมาก็ไม่อาจตัดใจลืมแม่หญิงเรไรได้เช่นกัน”
พันอินมองเสมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ไม่คิดว่าเสมาจะเด็ดเดี่ยวมั่นคงขนาดนี้
เมื่อศรีเมืองได้ฟัง สีหน้าก็สลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด พันอินได้แต่มองศรีเมืองด้วยความสงสาร
“เจ้าอย่าน้อยใจเลยที่เสมาพูดเช่นนี้ จงดีใจจักควรกว่า”
“เหตุใดลูกต้องดีใจด้วยเล่าเจ้าคะ”
พันอินลูบหัวศรีเมือง ยิ้มบางแล้วพูดขึ้น
“อย่างน้อย เจ้าก็ไม่ได้ชอบพอผิดคน เสมาไม่เพียงแต่มีฝีมือแลรุ่งเรืองในยศศักดิ์เท่านั้น ยังมีจิตใจมั่นคงนัก หากหญิงใดได้ชายเช่นนี้ไปก็ไม่ต้องกลัวเลยว่าจะทุกข์ใจในภายหน้า”
“พ่อท่านกล่าวถูกแล้ว เสียแต่ลูกคงไม่ใช่หญิงผู้นั้นดอกเจ้าค่ะ”
ศรีเมืองลุกขึ้นเดินหน้าเศร้าๆเลี่ยงไป พันอินมองตามด้วยความห่วงใยและสงสารลูก พูดพึมพำว่า
“ พ่อจะทำให้เจ้าเป็นหญิงผู้นั้นให้จงได้”
พันอินมีสีหน้ามุ่งมั่นและตั้งใจจะทำให้ได้
เวลาผ่านไปหนึ่งเดือน ภายในวัด สมบุญ จำเรียง สิน และเอื้อยแตงกำลังนั่งพับเพียบพนมมือฟังพระสวดให้ศีลให้พร หลังจากมาทำบุญแต่งงาน ทุกล้วนมีสีหน้ายิ้มแย้ม เปี่ยมไปด้วยความสุข ชำเลืองมองหน้ายิ้มให้กันเป็นคู่ๆ
ภายในบ้านใหม่ของเสมา เมื่อยามบ่าย สิน เอื้อยแตง สมบุญและจำเรียงก้มลงกราบเท้ามั่นและแต้ม โดยมีเสมายืนอยู่ใกล้ๆ มั่นยิ้มแย้มแล้วบอก
“ขอให้พวกเจ้าจงอายุมั่นขวัญยืน จำเริญสุขยิ่งๆขึ้นไป แล้วก็มีหลานให้ข้าอุ้มเร็วๆหล่ะ”
จำเรียงและเอื้อยแตงเขินอาย แต่สินกับสมบุญยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“ข้าก็ไม่รู้จะให้พรกระไร ยิ่งเอ็งด้วยแล้วอ้ายสิน หนอย มอมเหล้าข้าแล้วหลอกขอลูกสาว ข้าควรเตะถวายเสียมากกว่าให้พร” แต้มว่าพลางมองสินตาเขียวปั้ด
สินเข้าไปประจบ นวดขาให้แต้ม
“ โถ พ่อจ๋า อย่างไรเสียก็ล่วงเลยมาถึงป่านฉะนี้ แล้วอย่าถือโทษโกรธเคืองฉันเลยจ้ะ ฉันขอให้สัตย์ว่าจะดูแลพ่อให้มีสุข ริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม มีเหล้าหอมอย่างดีกินทุกวันเลยจ้ะ”
แต้มชักขาออกเพราะยังเคืองๆอยู่
“อย่าเคืองมันเลยอาแต้ม ฉันเชื่อว่าอ้ายสินมันทำจริง ดูแต่เรือนที่มันปลูกให้เอื้อยแตงซี ใหญ่โตไม่แพ้เรือนอ้ายสมบุญเลย มิแน่ว่าเสร็จศึกหงสาครานี้ อ้ายสินได้เป็นถึงขุนขึ้นมา อาแต้มก็ได้ชื่อว่าเป็นพ่อตาขุนเชียวนา” เสมาบอก
แต้มคิดตามก็ชักเห็นด้วยกับเสมา แต่ก็ยังมองสินด้วยหน้าตาหงิกงอ
“เพิ่งแต่งงานกันได้ไม่เท่าใด ก็ต้องไปศึกเสียอีกแล้ว ครานี้ไปไกลถึงหงสาวดีเลยเชียว อีกนานเท่าใดจะเสร็จศึกก็หารู้ไม่” จำเรียงว่า
สมบุญยิ้มแย้มแล้วจับมือจำเรียงไว้
“ทหารก็เป็นเช่นนี้ หากไม่ออกจากราชการก็ต้องไปศึก แต่แม่จำเรียงอย่ากังวลไปเลย ฉันให้สัตย์ว่าจะปลอดภัยกลับมาหาแม่จำเรียงให้จงได้”
จำเรียงยิ้มรับ ใจชื้นขึ้นเยอะ
เอื้อยแตงปั้นยิ้มหวาน
“พ่อสิน พ่อสัญญากระไรไว้กับฉันคงไม่ลืมกระมัง”
“ไม่ลืมดอกจ้ะ หากฉันได้บำเหน็จใดมาจะยกให้แม่เอื้อยแตงทั้งสิ้น แม่อยู่เรือนรอรับได้เลยจ้ะ”
เอื้อยแตงยิ้มดีอกดีใจ
“ไปศึก ใช่แต่จักมุ่งแสวงหาลาภยศดอกนะ ยิ่งศึกครานี้ถือเป็นศึกล้างอายที่อโยธยาเคยเป็นเมืองขึ้นเมืองออกแก่หงสาวดีมาก่อน เป็นศึกที่จักกู้ศักดิ์ศรีของอโยธยาแลไทยทั้งมวลกลับมา” เสมาพูดเสียงจริงจังด้วยสีหน้ามุ่งมั่น
ขันและพุฒยืนพูดคุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดที่สนามหน้าบ้านขันเมื่อตอนหัวค่ำ
“จะเป็นไปได้กระไร พวกเราน่ะหรือไม่มีชื่อในทัพที่บุกตีหงสา หลวงวิเศษเข้าใจกระไรผิดหรือไม่” ขันโวยลั่น
“ไม่ผิดดอก ฉันตรวจทานโดยละเอียดแล้วเป็นเพราะเราสังกัดท่านเจ้าพระยาจักรี ซึ่งถูกคาดโทษไว้ที่ชะล่าใจให้มอญก่อกบฏจึงไม่ได้ตามเสด็จไปหงสาด้วย”
“ศึกนี้สำคัญนัก หากไม่ได้ไปทัพเท่ากับเสียโอกาสทำความชอบครั้งใหญ่น่ะซี”
“ท่านเจ้าพระยาชรามากแล้วคงเป็นหลักให้พึ่งไม่ได้อีก เห็นทีพวกเราต้องหาสังกัดใหม่เสียแล้ว”
ขันเครียดหนักแล้วว่า
“สังกัดอื่นก็มีคนพร้อมแล้วแลจะหาผู้มีอำนาจบารมีเท่าท่านเจ้าพระยาก็ยากนัก”
พุฒคิดอยู่อึดใจแล้วบอก
“มีอยู่ผู้หนึ่ง ที่มีอำนาจบารมีเหนือกว่าเสียอีก”
“ผู้ใดกัน”
“เจ้าพระยามหาเสนาบดี สมุหพระกลาโหม”
“ทหารในสังกัดท่านเจ้าพระยามีมากนัก แล้วจะรับพวกเราอีกหรือ”
“หลวงณรงค์อย่าได้ลืมเทียวว่า ท่านเจ้าพระยานับถือพระรามเดชะนัก เรื่องน้อยใหญ่เป็นต้องหารือเสมอมาผู้อื่นอาจไม่ได้สังกัดท่าน แต่หากเป็นลูกเขยของพระรามเดชะก็ผิดแผกไปแล้ว”
ขันคิดตามแล้วบอก
“แต่ท่านอาต้องไปศึกหงสา มิรู้นานเท่าใดจึงจะกลับ”
พุฒยิ้มเจ้าเล่ห์
“ไปก็ดีแล้ว ท่านอยู่ทางนี้ก็รวบรัดเสียเลย แม่หญิงเรไรจะทำกระไรได้ กว่าพระรามเดชะจะกลับ ท่านก็ได้เป็นเขยสมใจแล้ว”
ขันลังเลปนกลัว
“แต่...”
พุฒพูดสวนทันที
“อ้ายเสมาหาได้ตายจริงตามคำลือ แลกำลังรุ่งเรืองเป็นถึงจมื่นแสนศึกสะท้าน หากท่านไม่มีมูลนาย
ใหม่ที่ดีกว่าเดิม แล้วจักเอากระไรไปสู้กับมัน หรือคิดจะยอมแพ้ก็บอกมา”
ขันเงียบไปถนัดจะยอมแพ้เสมาได้อย่างไร เมื่อฟังพุฒแล้ว สีหน้าของขันก็แสดงเกลียดชังเสมาจนเห็นได้ชัด
เช้าวันรุ่งขึ้น ดวงแขเดินเชิ่ดๆลงเรือนมาหาขุนนเรนทร์ภักดีที่ยืนกระวนกระวายอยู่ที่หน้าเรือน
“แม่หญิงดวงแข สบายดีหรือไม่”
ดวงแขสีหน้าเย็นชาตอบเสียงนิ่ง
“ออกขุนมาหาฉันถึงเรือน เพื่อจักถามเพียงนี้หรือ”
“ไม่ใช่ดอก ข้าพระเจ้าจะไปทัพเพื่อเข้าตีหงสาวดีแล้ว จึงมาลาแม่หญิง”
“ถ้ากระนั้น ก็ขอให้ออกขุนจงโชคดีมีชัยต่อข้าศึก แคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งปวงเถิด”
“ขอบน้ำใจแม่หญิงนัก ข้าพระเจ้ายินดีเหลือในพร...”
ขุนนเรนทร์ภักดียังพูดไม่จบ ดวงแขก็ตัดบททันที
“หากไม่มีกระไรแล้ว ขอเชิญออกขุนกลับไปเถิด ฉันมีงานต้องทำอีกมาก”
ดวงแขเดินกลับขึ้นเรือนไป ขุนนเรนทร์ภักดีคิดไม่ถึงว่าดวงแขจะชาเย็นเช่นนี้ได้แต่มองตามด้วยความน้อยใจ
ดวงแขเดินกลับขึ้นเรือนมา เห็นอำพันกำลังมองตามขุนนเรนทร์ที่เดินซึมๆกลับไป
“แม่ดวงแขชังหลวงวิเศษแม่พอจักเข้าใจอยู่ แต่ขุนนเรนทร์ภักดีผู้นี้ดูกิริยาท่าทางเป็นผู้ดี แลแม่รู้มาว่าฐานะบ้านช่องก็มั่งมีไม่น้อย แม่หาเข้าใจไม่ว่า เหตุใดแม่ดวงแขจึงไม่มองท่านบ้าง” อำพันว่า
“แม่ท่านก็ทราบอยู่ว่า ลูกมีผู้อื่นในใจแล้ว แม้ว่าขุนนเรนทร์จะดีเพียงใดลูกก็หาชื่นชอบไม่”
อำพันถอนหายใจ
“จมื่นแสนศึกสะท้านน่ะหรือ ดูดู๋ แม่ดวงแขร้องไห้ทุกข์ใจนักเพราะหลงเชื่อคำลือที่ว่าตาย แทนที่ปลอดภัยกลับมาจะมาหาลูกให้คลายกังวลก็หามาไม่ จนต้องไปรู้ข่าวจากแม่บัวเผื่อนแทน แล้วคนเช่นนี้ แม่ดวงแขยังจะปักใจรักภักดีอยู่อีกหรือ”
ดวงแขหน้าขรึมลงแล้วแก้ตัวแทนเสมา
“คุณพระนายมีราชการรัดตัวนัก จึงไม่ได้มาหาลูก แลเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ ลูกไม่อยากคิดให้กลัดกลุ้ม แต่แม่ท่านวางใจเถิด ลูกเชื่อว่าคุณพระนายต้องคิดตรงกับลูกเช่นกัน”
ดวงแขเดินเลี่ยงไป อำพันได้แต่มองตามแล้วส่ายหน้าถอนใจในความดื้อรั้นของดวงแขที่ไม่ยอมรับความจริง
สมเด็จพระนเรศวรทรงประทับที่ท้องพระโรงในเพลากลางวัน แวดล้อมด้วยเหล่าขุนนางที่มาเข้าเฝ้า ทรงตรัสว่า
“นับแต่อโยธยาเสียกรุงเป็นเมืองขึ้นแก่หงสาวดี ไม่เพียงแต่จักเสียศักดิ์ แต่อาณาประชาราษฎร์ สมณะชีพราหมณ์ยังเดือดร้อนถ้วนทั่วทุกตัวคน กระทั่งเรายังต้องตกเป็นตัวประกันโดยไม่อาจหลีกเลี่ยง นานหนักหนา
ที่ต้องกล้ำกลืนฝืนอัปยศ แต่ถึงเพลาแล้วที่เราจักกู้ศักดิ์ ล้างอัปยศให้แก่อโยธยา พวกเจ้าจงออกรบพร้อมกับเรา ร่วมกันทวงเกียรติแห่งอโยธยากลับมา”
ขุนนางทุกคน ถวายบังคมพร้อมกัน
“ปวงข้าพระพุทธเจ้า ขอสละชีวิตเป็นราชพลี พระพุทธเจ้าข้า”
นับแต่เสียกรุงศรีอยุธยา เมื่อปีพุทธศักราช 2112 สมเด็จพระนเรศวรทรงตรากตรำทำศึกสงครามอยู่นานหลายปี รวมทั้งฟื้นฟูกรุงศรีอยุธยาจนมีความมั่นคงเข้มแข็งพร้อมที่จะยกทัพบุกเข้าตีกรุงหงสาวดีได้...แต่ไม่คาดคิด กลับเกิดเหตุการณ์เหนือความคาดหมายขึ้นจนได้
สามเดือนต่อมา ทหารพม่าจำนวนมากกำลังช่วยกันขนของมีค่า อาวุธต่างๆ ทั้งใส่เกวียน ทั้งหอบถือไว้เต็มไปหมด พระสังกทัตกำลังยืนดูทหารขนของมีค่าจำนวนมากด้วยความพึงพอใจ
พระสังกทัตหันถามทหารคนสนิท
“ทรัพย์สมบัติของมีค่าทั้งหมด ขนออกมาสิ้นหงสาวดีแล้วหรือไม่”
ทหารถวายบังคมแล้วกล่าวว่า
“ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า สมบัติมีค่าทั้งมวลได้ขนออกมาจนหมดสิ้นแล้ว แลชาวประชาหงสาก็ถูกกวาดต้อนกลับตองอูไปสิ้นแล้วเช่นกันพระพุทธเจ้าข้า”
พระสังกทัตยิ้มพอใจ
“ดีมาก ต่อให้องค์พระนเรศยึดหงสาวดีได้ ก็ได้แต่เพียงเมืองร้างเท่านั้น แต่ความมั่งคั่งแลกำลังพลทั้งหมดต้องเป็นของตองอู”
ขณะนั้นเอง ทหารพม่ากลุ่มหนึ่งก็หามเสลี่ยงคานหามซึ่งมีพระเจ้านันทบุเรงนอนประทับเพราะเจ็บป่วยหนักมาด้วย พระสังกทัตแปลกใจถาม
“นั่นผู้ใดกัน”
พวกทหารหามเสลี่ยงมาให้ พระสังกทัตทอดพระเนตรเห็นพระเจ้านันทบุเรงนอนป่วยอยู่ก็ตกใจ
“สมเด็จลุง”
พระเจ้านันทบุเรงไข้ขึ้นสูง เพ้อด้วยพิษไข้จนเห็นภาพหลอน
“ลูกพ่อ อภัยให้พ่อเถิด พ่อไม่ได้ตั้งใจฆ่าเจ้า สุพรรณกัลยาอภัยให้พี่ด้วย”
“นี่มันกระไรกัน เหตุใดพระเจ้านันทบุเรงทรงเป็นเช่นนี้”
ทหารทูลรายงานว่า
“นับแต่พระมหาอุปราชาสิ้นพระชนม์ พระเจ้าหงสาวดีทรงตรอมพระทัยทรงประชวรบ่อยครั้ง หลายคราก็มีอาการเพ้อ เห็นแต่เหล่าคนที่ตายไปแล้วพระพุทธเจ้าข้า”
พระเจ้านันทบุเรงสะลืมสะตื่นขึ้น พอเห็นพระสังกทัตก็ดีใจคิดว่าเป็นพระมหาอุปราชาจึงจับมือพระสังกทัตไว้)
“มังกะยอชวาลูกกลับมาแล้ว พ่อคิดถึงเจ้านักมังกะยอชวาลูกพ่อ”
พระสังกทัตหัวเราะลั่น
“พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรง ผู้ออกศึกฆ่าขุนพลศัตรูแต่พระชนมายุเพียงสิบเอ็ดพระชันษา ทหารกล้าแห่งทัพพระเจ้าชำนะสิบทิ กลับมีบั้นปลายเช่นนี้เอง”
พระสังกทัตหันไปสั่งทหาร
“เชิญเสด็จพระองค์ไปตองอู พระองค์ยังต้องประทับอยู่ที่นั่นเพื่อเป็นข้ออ้างในการรวมแผ่นดินของข้า”
พระสังกทัตกระชากมือออกไม่ให้พระเจ้านันทบุเรงจับ พวกทหารช่วยกันหามพระเจ้านันทบุเรงไป พระองค์ได้แต่เพ้อเรียกชื่อพระมหาอุปราชามังกะยอชวาตลอดเวลา อย่างน่าเวทนา
พระสังกทัตยิ้มยืด สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน
พระสังกทัตทรงเชื่อคำมหาเถรเสียมเพรียม ส่งสารไปหาสมเด็จพระนเรศวรว่าจะขอสวามิภักดิ์ แล้วจะยกทัพเข้าช่วยเมื่อทัพกรุงศรีอยุธยาบุกเข้าตีหงสาวดี แต่แล้วก็ลอบไปยุแหย่หัวเมืองมอญให้ทรยศแก่สมเด็จพระนเรศวร จนสมเด็จพระนเรศวรต้องทำสงครามปราบปรามอยู่นาน
ระหว่างนั้นทหารตองอูได้ลอบเข้าไปขนของมีค่าและกวาดต้อนผู้คน รวมทั้งนำตัวพระเจ้านันทุเรงไปตองอู เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการระดมพลสู้ศึก ซ้ำยังจุดไฟเผาเมืองหงสาวดีจนพินาศย่อยยับ
สมเด็จพระนเรศวรทรงพิโรธมาก ที่พระสังกทัตตระบัดสัตย์เพราะพระองค์ตั้งพระทัยจะทำสงครามครั้งนี้ ให้เป็นพระเกียรติยศจึงยกกองทัพทั้งหมด หันไปตีเมืองตองอูแทนทันที
ยามบ่ายวันหนึ่ง เรไรกำลังป้อนข้าวต้มให้ลำภูที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงด้วยอาการป่วยหนัก
“แม่กินไม่ไหวแล้ว” ลำภูบอก
“อีกสักคำนะเจ้าคะแม่ท่าน”
ลำภูส่ายหน้า
“ไม่ไหวจริงๆ แม่เรไรเอ๋ย ป่วยครานี้ไม่คิดเลยว่าจะหนักถึงเพียงนี้”
เรไรวางชามข้าวต้มลง
“ไม่ใช่แต่แม่ท่านดอกเจ้าค่ะ เห็นแม่ศรีเมืองบอกว่าท่านหลวงพิมานก็เจ็บหนักเช่นกัน ไข้ปีนี้ดุเหลือมีผู้เจ็บไข้มากมายนัก”
ขณะนั้นเอง พิณก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามารายงาน
“แม่หญิงเจ้าขา เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ”
ขัน และพุฒกำลังคุมลูกน้องขนย้ายข้าวของออกจากห้องภายในบ้านของพระรามเดชะ พวกทาสได้แต่มองตามตาปริบๆ ไม่กล้าขวาง เรไรและพิณ เดินออกมาจากข้างใน
“นี่กระไรกันหลวงณรงค์ ถือดีกระไร ถึงได้ย้ายข้าวของในเรือนผู้อื่นตามใจชอบเช่นนี้” เรไรถาม
ขันสีหน้ายิ้มแย้มแล้วว่า
“แม่หญิงอย่าเพิ่งถือโทษเลย ข้าพระเจ้าได้ยินว่าท่านอาหญิงเจ็บไข้ จึงใคร่มาช่วยดูแลให้คนย้ายข้าวของออกไปเสียบ้าง จะได้จัดห้องใหม่เพื่อความเหมาะควร”
“แต่ฉันไม่ได้ร้องขอ หลวงณรงค์กลับไปเถิด”
พุฒยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วพูดขึ้น
“จะร้องขอหรือไม่ ก็ค่าเทียมกัน ในเมื่ออีกไม่กี่วัน ก็ต้องทำพิธีแต่งงานกันแล้ว”
เรไรตกใจสุดๆ
“แต่งงานกระไรกัน ฉันหารู้เรื่องไม่”
“นี่หลวงท่านเห็นว่าคุณพระไปศึกจึงคิดข่มเหงกันกระนั้นหรือเจ้าคะ” พิณถาม
ขันตะคอกใส่ทันที
“หุบปากนังทาสใต้ถุนหาใช่เรื่องของเอ็งไม่”
ขันหันไปพูดกับเรไรต่อ
“เราหมั้นกันมานานเกินไปเสียแล้วแม่หญิง แลข้าพระเจ้าก็ได้ฤกษ์ยามมาแล้ว หากต้องรอท่านอากลับจากศึกก็คงเสียฤกษ์อีก”
เรไรตกใจไม่เห็นด้วย ขันไม่สนใจรีบตัดบท
“ฉะนั้นแม่หญิงทำพิธีแต่งงานกับข้าพระเจ้าก่อนเถิด ท่านอากลับจากศึกเมื่อใด ข้าพระเจ้าจะขอขมาท่านเอง”
เรไรอึ้งไปถนัด ขันยิ้มกวนประสาทก่อนจะเดินลงจากเรือนไป เรไรมองตามแล้วขบกรามแน่นด้วยความเจ็บใจที่ขันฉวยโอกาสที่ไม่มีใครอยู่มามัดมือชกเช่นนี้
ภายในบ้านขัน อำพันทราบเรื่องจึงโกรธขันเป็นอย่างมาก
“พ่อขันทำเช่นนี้ เหมือนจักแกล้งให้แม่อกแตกตาย มีอย่างหรือบุกขึ้นเรือนแล้วยังบังคับแต่งงาน กระทำเช่นนี้ไม่ได้ต่างจากโจรเล”
“ลูกรู้ว่าลูกผิดนัก แต่พิธีแต่งของลูกกับแม่หญิงเรไรเลื่อนมาหลายคราแล้ว หากไม่ทำเช่นนี้แล้วเมื่อใดจะได้แต่งเล่า”
“ก็แล้วรอให้คุณพระรามเดชะกลับมาก่อนไม่ได้หรือไร คราก่อนก็กระทำหยามหมิ่นด้วยการคิดข่มเหงน้ำใจแม่เรไรมาครั้งหนึ่งแล้วยังจักกระทำซ้ำอีกรึ”
“รอหรือแม่ท่าน อ้ายเสมาได้ไปศึกแต่ลูกหาได้ไปไม่ มันกลับมาอาจได้ขึ้นถึงพระยาก็เป็นได้ แล้วลูกจะเอากระไรไปสู้มัน หากไม่ชิงทำเช่นนี้คงไม่แคล้วถูกถอนหมั้นเป็นแน่”
“คุณพระรามเดชะเป็นคนมีสัตย์ ไม่ทำเช่นนั้นดอก”
ขันเบะปากดูถูก
“อำนาจวาสนามากองอยู่ตรงหน้า มีหรือยังจักทนรักษาสัตย์อยู่ได้”
“ที่แท้เจ้าคิดเช่นนี้เองจึงไม่เห็นแก่ศักดิ์ตระกูล แลความชอบพอกันของคนรุ่นพ่อแม่ ผีร้ายตนใดสิงสู่พ่อขันกันถึงได้คิดชั่วเช่นนี้ หากพ่อขันยังเห็นว่าแม่เป็นแม่ แม่ขอสั่งให้พ่อขันไปพาคนออกมาจากเรือนพระรามเดชะเสียเดี๋ยวนี้”
ขันขบกรามแน่น แต่ทิฐิมีมากกว่าเลยก้มลงกราบเท้าแม่
“ลูกขอขมาแม่ท่านเถิด แม่ท่านอย่าถือโทษโกรธลูกเลย แต่ลูกทำตามคำสั่งแม่ท่านไม่ได้จริงๆ แล้วสักวันแม่ท่านจะเข้าใจสิ่งที่ลูกทำ”
ขันลุกขึ้นแล้วเดินหนีออกจากเรือนไปเลย อำพันนึกไม่ถึงว่าลูกจะทำแบบนี้
“พ่อขัน กลับมาหาแม่ก่อน พ่อขัน”
อำพันได้แต่ร้องเรียกด้วยความเสียใจจนน้ำตาคลอเบ้า
อ่านต่อ หน้า ๔
ขุนศึก ตอนที่ ๑๔ (ต่อ)
ในเวลากลางคืน ขันกินเหล้าย้อมใจจนเมาแอ๋มาถึงหน้าห้องนอนเรไรในบ้านของพระรามเดชะ ขันไป เคาะประตูห้องเรียก
“แม่หญิงเรไร แม่หญิง”
เงียบ ไม่มีเสียงตอบ
“เปิดประตูห้องเถิดแม่หญิง คุยกันสักคำสองคำก็ยังดี แม่หญิงรู้หรือไม่ ว่าเพื่อแม่หญิงแล้ว ข้าพระเจ้าต้องยอมเป็นลูกอกตัญญูเชียว แม่หญิงๆ”
ขันลองผลักประตูดูปรากฏว่าประตูเปิดออก แต่เรไรไม่ได้อยู่ข้างใน
“ให้มันรู้กันไป ว่าจะพ้นเงื้อมมือข้าไปได้”
ขันเสียงอ้อแอ้พูดด้วยความหงุดหงิดแล้วเดินโซซัดโซเซออกมาจากห้องอย่างหัวเสีย
เรไรกำลังปูฟูกนอนข้างๆเตียงลำภูที่ยังป่วยหนักอยู่ ลำภูนึกสงสารเรไรจับใจ
“แม่เรไร กลับเข้าวังไปพึ่งบารมีเสด็จท่านเถิด ไม่ต้องอยู่กับแม่ที่นี่ดอก”
“ไม่ได้ดอกเจ้าค่ะ แม่ท่านป่วยหนักนัก ลูกทิ้งไปไม่ได้ดอก แลเพลานี้คนของหลวงณรงค์ก็คุมอยู่ ลูกคงไม่มีทางได้ออกจากเรือนดอกเจ้าค่ะ”
“หลวงณรงค์เสียแรงที่รักใคร่เอ็นดูมาแต่เล็กแต่น้อย กลับสนองคุณด้วยการหักหาญน้ำใจกันเช่นนี้ คุณพระกลับมาเมื่อใด ต้องให้ท่านชำระความให้จงได้”
เรไรถอนใจ
“ศึกครานี้ใหญ่หลวงนัก มิรู้ว่าอีกนานเท่าใดพ่อท่านจะได้กลับ ลูกเกรงว่าหลวงณรงค์จะข่มเหงน้ำใจลูกเสียก่อน หากถึงเพลานั้นลูกมีแต่ต้องยอมตายเพื่อรักษาศักดิ์ไว้”
ลำภูตกใด้วยความเป็นห่วง
“อย่าเชียวแม่เรไรอย่าคิดเช่นนั้น เราเป็นหญิงแม้จักสู้ชายไม่ได้แต่ความเป็นหญิงก็ทำให้ชายประมาทได้ แม่เรไรมีสติปัญญา จงคิดหาทางรอดเอาเถิด อย่าได้สละชีวิตเยี่ยงคนเขลาเลย”
เรไรฟังแม่พูดแล้วก็ได้คิดตามเพื่อหาทางรอดจากขัน
เสียงของขันดังขึ้นที่หน้าประตูห้องนอนของลำภู
“หลบข้าได้อีกไม่นานดอกแม่หญิง”
เรไรมีสีหน้าตกใจจับมือแม่เอาไว้แน่น
“วันมะรืนคือฤกษ์วันแต่งของเรา”
เรไรเหลืออดฮึดสู้ ลุกเดินไปพูดที่หน้าประตูห้อง ลำภูตกใจด้วยความเป็นห่วง
“อย่าเปิดประตูออกไปเชียวนะแม่เรไร” ลำภูพูดเตือน
เรไรเสียงแข็งพูดเสียงดังออกไป
“จะแต่งงานมะรืนนี้ได้อย่างไรกัน ฉันไม่ยอมดอก”
ที่หน้าห้อง...ขันพูดตอบ
“ยอมหรือไม่ แม่หญิงก็ต้องเข้าพิธีกับข้าพระเจ้าเพราะได้ฤกษ์มาแล้ว ออกญาผู้ใหญ่โดยมากก็ไปศึก ไม่ต้องเชื้อเชิญผู้ใดดอกทำพิธีให้ถูกตามธรรมเนียมก็พอ”
“ไม่ หากพ่อท่านไม่กลับมา ฉันไม่ยอมออกเรือนเป็นอันขาด”
“ รอท่านอากลับ หรือรออ้ายเสมากลับกันแน่ อย่านึกว่าข้ารู้ไม่ทันหน่อยเลย หากแม่หญิงไม่ยอมเข้าพิธีกับข้าพระเจ้า ข้าพระเจ้าจะประจานให้ทั่วอโยธยาว่า บุตรีพระรามเดชะยังพะวงถึงชู้รัก จนไม่ยอมเข้าพิธีกับคู่หมั้นตัวเอง”
เรไรโมโหสุดขีด
“ใจชั่วแล้วยังปากชั่วอีก ฉันกับเสมาไม่เคยกระทำบัดสี อย่ามาใส่ความกันเช่นนี้”
ขันยิ้มเจ้าเล่ห์
“ถึงข้าพระเจ้าจักใส่ความ แต่เชื่อเถิด ว่าต้องมีคนเชื่อครึ่งค่อนอโยธยาเป็นแน่ แล้วคนรักหน้าตาเช่นท่านอากับท่านอาหญิงจักทำฉันใดกัน แม่หญิงลองตรองดูเถิด”
ขันโกรธอยากเอาชนะเรไร แต่ยามนี้จำต้องเดินเป๋กลับไปก่อน เรไรหันกลับไปมองลำภูที่นอนน้ำตาท่วม เพราะรู้สึกผิดและเสียใจที่เป็นต้นเหตุให้ลูกสาวต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
“แม่เสียใจเหลือเกินเรไร”
เรไรน้ำตาคลอเดินเข้าไปจับมือแม่เอาไว้ สีหน้าแววตาครุ่นคิดหาทางเอาตัวรอดจากขัน
เรไรส่งจดหมาย 4 ซองยื่นให้พิณและทาสหญิงอีกสามคน
“พวกเจ้าจงนำความนี้ไปให้แต่แม่เอื้อยแตง แม่จำเรียง แม่บัวเผื่อนแลแม่ศรีเมืองให้ครบถ้วนทุกคน ระวังให้จงดี อย่าให้คนของหลวงณรงค์จับได้เป็นอันขาด”
“เจ้าค่ะแม่หญิง พวกบ่าวจะระวังเท่าชีวิตเลยเจ้าค่ะ” พิณบอก
พิณและพวกทาสต่างลุกขึ้นแยกย้ายกันไป
เรไรสีหน้านิ่งขรึมกับการวางแผนเล่นงานขันเพื่อให้พ้นจากถูกจับแต่งงาน
ยามเที่ยงวัน แต้มนอนเมาหลับคาอยู่หน้าห้องและได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังแว่วมา แต้มงัวเงีย ค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น
“ผู้ใดมาร้องไห้แถวนี้กันวะ”
แต้มหันไปมองปรากฏว่าเรไรนั่งพับเพียบร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ใกล้ๆ แต้มหน้าเสียรีบลุกขึ้นแล้วปั้นยิ้ม
“หลานเรไรเองหรือ เกิดกระไรขึ้นถึงได้ร้องห่มร้องไห้เช่นนี้”
เรไรบีบน้ำตา
“หลวงณรงค์เจ้าคะอาแต้ม ข่มเหงน้ำใจจะให้หลาน เข้าพิธีแต่งงานวันมะรืนนี้ หลานไม่อยากออกเรือน จึงมาขอบารมีอาแต้มช่วยเจ้าค่ะ”
แต้มสงสารหลานแต่ลึกๆแล้วแต้มกลัวขันมากกว่า
“อาก็เห็นใจเจ้าดอกนะ แต่หลวงณรงค์มีอำนาจ แลคนของเขาก็เข้ามาคุมเรือนไว้สิ้นแล้ว พวกเราก็เหมือนลูกไก่อยู่ในกำมือจะหนีไปพ้นได้อย่างไร แล้วเจ้าเองก็เป็นคู่หมั้นของหลวงณรงค์เข้าพิธีแต่งงานกันก็ควรแล้ว อย่าบิดพลิ้วอีกเลย”
เรไรชะงักไปครู่ ไม่คิดว่าแต้มจะเอาตัวรอดแบบนี้จึงแกล้งร้องไห้เสียงดังกว่าเดิม
“แต่หากหลวงณรงค์ออกเรือนกับหลาน ทรัพย์สมบัติทุกอย่างในเรือนก็ต้องตกเป็นของหลวงณรงค์สิ้น”
แต้มผู้ละโมบชะงักหยุดกึกไปทันที
“แลหากภายหน้าหลวงณรงค์ได้ปกครองเรือนแทนพ่อท่าน ยังมิรู้ว่าบ่าวไพร่จะเดือดร้อนเพียงใด แม้แต่อาแต้มก็ต้องพลอยมีทุกข์ไปด้วย หลานจึงวิตกนัก”
แต้มหน้าเสียพลางว่า
“อาน่ะหรือจะเดือดร้อนเหตุใดกัน อาไม่เคยทำร้ายกระไรหลวงณรงค์แล้วจะเดือดร้อนได้กระไร”
“อาแต้มตรองดูเถิด พ่อท่านรักอาแต้มที่เป็นน้องจึงให้เบี้ยใช้ไม่ขาดมือ แลอยู่ที่เรือนก็มีข้าทาสรับใช้ ข้าวปลาอาหารก็บริบูรณ์ แล้วหลวงณรงค์จะทำเช่นนี้สืบไปหรือ มีแต่จะขับไล่อาแต้มออกไปให้พ้นเพื่อไม่ให้สิ้นเปลืองเท่านั้น”
แต้มตกใจหน้าซีดเผือดเมื่อ คิดตามที่เรไรพูดก็มีเหตุผล
“ไม่ได้เสียแล้ว เห็นทีต้องคุยกันให้รู้เรื่อง”
แต้มรีบตาลีตาเหลือกเดินไปหาขันทันที เรไรยิ้มเล็กน้อยที่ดึงแต้มเป็นพวกสำเร็จจึงรีบเดินตามไป
ขันและพุฒกำลังยืนดูลูกน้องเปิดหีบใส่เครื่องประดับอยู่ พอเปิดออกก็เห็นข้าวของทองหยองเต็มหีบไปหมด
“พระรามเดชะมั่งมีไม่น้อยจริงๆ” พุฒพูดยิ้มแย้ม
“ยังสู้ที่เรือนฉันไม่ได้ดอก แลหากพ่อฉันไม่สิ้นบุญไปก่อนคงมีมากกว่านี้นัก”
ขันหันไปสั่งลูกน้อง
“เฮ้ย ย้ายไปเก็บที่ห้องข้า”
พวกลูกน้องกำลังจะขนไป แต้มก็รีบเข้ามาในห้องพอเห็นกำลังขนของมีค่าก็โวยลั่นทันที
“ทำกระไรกันวะ นี่สมบัติของพี่ชายข้า พวกเอ็งคิดขโมยกันรึ”
“ระวังปากไว้อ้ายเฒ่าแต้ม พวกข้าหรือจะลักขโมยให้เสียศักดิ์” พุฒว่า
“ก็เห็นอยู่ตำตายังจักมุสาอีก”
“ฉันไม่ได้มุสา แต่ฉันจะให้คนของฉันเข้ามาอยู่ในเรือนเพิ่มขึ้น จึงต้องย้ายของมีค่าไปเก็บไว้ที่ห้องฉัน เพื่อใช้ห้องนี้เป็นที่พักแลจักได้ป้องกันไม่ให้ของหายถึงผิดใจกัน” ขันว่า
“ถ้ากระนั้นก็เอาไปเก็บไว้ที่ห้องข้า สมบัติของพี่ชายข้า ข้าดูแลเองได้”
“พูดเช่นนี้ ก็เหมือนหยามว่าฉันไม่ต่างจากขโมย ฉันเห็นแก่ว่าอาเป็นน้องชายพระรามเดชะดอก จึงยอมลงให้ แต่อย่าให้เกินเลยไปนัก” ขันว่า
“เกินเลยแล้วจะทำกระไร หนอย คิดจะยึดเรือนยึดสมบัติ พอจับได้ก็ข่มขู่ หากภายหน้าได้ปกครองเรือนแทนพี่ชายข้า เห็นทีจะไล่ส่งข้าออกจากเรือนเป็นแน่ ไป ไสหัวไป ข้าไม่ให้เอ็งแต่งงานกับหลานสาวข้าแล้ว” แต้มพูดแล้วก็เข้าไปผลักอกขัน
ขันโมโหมาก ผลักอกแต้มกลับไปเพื่อตอบโต้
“อ้ายเฒ่า”
ขันผลักเต็มแรง แต้มแก่แถมเมาไม่สร่างเลยเสียหลักล้มหัวฟาดกับขอบตู้จนหัวเลือดไหลออกมา
ทันใดนั้น เรไร เอื้อยแตง จำเรียง ศรีเมือง และบัวเผื่อนก็มาถึงตามแผนที่เรไรวางไว้
เรไรตกใจด้วยนึกไม่ถึงจึงร้องขึ้น
“คุณพระช่วย อาแต้ม”
เอื้อยแตงห่วงพ่อ รีบเข้าไปดูทันที
“พ่อ”
เอื้อยแตงเห็นพ่อหัวแตกก็โมโหมากหันไปด่าขันทันที
“อ้ายคนใจทรามรังแกได้กระทั่งคนแก่”
“ฉันแค่ผลักนิดเดียว ตาเฒ่าแต้มล้มลงไปเองต่างหาก” ขันว่า
“เห็นคาตายังจะปดอีกรึ แม่เอื้อยแตงอย่าช้าอยู่เลย แจ้งนครบาลเถิด” จำเรียงว่า
“มันเรื่องกระไรของเอ็งวะนังจำเรียง แส่เช่นนี้ คงอยากโดนดีกระมัง” พุฒว่า
“แล้วหลวงวิเศษท่านเล่ามีดีกระไร แม่เอื้อยแตงแม่จำเรียงเป็นเมียหมื่นทิพหมื่นเทพ ฉันก็เป็นบุตรหลวงพิมานมงคลนอกราชการ นึกว่าจะรังแกกันได้ง่ายดายเหมือนแต่ก่อนหรือ” ศรีเมืองว่า
บัวเผื่อนยิ้มเยาะแล้วพูดขึ้น
“ยังมีฉันอีกคน ฉันจะรีบกลับเข้าวังไปกราบทูลเสด็จว่ามีทหารถืออำนาจบาตรใหญ่รังแกผู้คน คอยดูเถิด ว่าองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวเสด็จกลับมาเมื่อใด จะเกิดกระไรขึ้น”
ขันและพุฒหน้าเสียกลัวเรื่องบานปลายจะไปกันใหญ่ขันเสียงอ่อนลงทันที
“ ไปกันใหญ่แล้ว เพียงฉันไม่ตั้งใจผลักเฒ่า เอ่อ อาแต้มล้มลงจักต้องถึงพระเนตรพระกรรณกันเชียวหรือ”
“หลวงท่านบอกเองไม่ใช่หรือว่าถึงเป็นเรื่องใส่ความก็อาจมีคนเชื่อครึ่งค่อนอโยธยา แล้วเรื่องอาแต้ม เหตุใดจะไม่ถึงพระเนตรพระกรรณได้บ้างเล่า”
ขันอึ้งไปเมื่อเจอเรไรย้อน ได้แต่เก็บความเจ็บใจไม่กล้าทำอะไรมากไปกว่านี้
เวลาต่อมา ภายในห้องนอน เอื้อยแตงกำลังทายาให้แต้มที่นั่งร้องโอดโอยอยู่บนเตียง โดยมีเรไร จำเรียง ศรีเมือง บัวเผื่อน ยืนอยู่ใกล้ๆ
เรไรก้มลงกราบแทบตักแต้ม
“หลานต้องขอขมาอาแต้มด้วย แต่เดิมเพียงแค่อยากให้อาแต้มออกหน้าจะได้ฉวยโอกาสไล่หลวงณรงค์ออกจากเรือนเท่านั้น ไม่คิดว่าจะทำให้อาแต้มต้องบาดเจ็บเช่นนี้เลย”
แต้มร้องโอยเพราะเจ็บแผลแล้วบอก
“ไม่เป็นกระไรดอก อ้ายสองหลวงนั่นชั่วนัก แม่เรไรไล่พ้นเรือนเสียก็ดีแล้ว”
“แต่ฉันเกรงว่าสองหลวงจักยังไม่ยอมเลิก ยิ่งหลวงรงค์ด้วยแล้ว อย่างไรก็ต้องบีบให้แม่หญิงเรไรออกเรือนด้วยเป็นแน่” จำเรียงว่า
“ถ้ากระนั้นแม่หญิงก็ต้องกลับเข้าวังเสีย มีแต่พึ่งบารมีของเสด็จท่านจึงจักรอดพ้นได้” ศรีเมืองว่า
“แต่แม่ท่านป่วยหนักนัก ฉันเป็นห่วงเหลือ แล้วจะไปได้อย่างไร” เรไรบอก
“ฉันจะย้ายกลับมาที่เรือนเองเพื่อดูแลป้าท่านให้ แม่หญิงวางใจเถิด” เอื้อยแตงบอก
“ฉันก็จะไปทูลเสด็จให้เรียกหลวงณรงค์ หลวงวิเศษมาปรามอีกที อย่างไรเสียก็คงไม่กล้าข่มเหงกันมากไปกว่านี้ดอก” บัวเผื่อนว่า
“ขอบน้ำใจทุกคนมากนัก หากไม่ได้ทุกคนช่วยไว้ ครานี้ฉันคงไม่รอดเงื้อมมือหลวงณรงค์เป็นแน่”
ศรีเมืองได้แต่บีบแขนเรไรให้กำลังใจ เรไรมีรอยยิ้มบางๆ สีหน้าผ่อนคลายมีความสบายใจมากขึ้นที่จัดการเรื่องขันไปได้
บ่ายวันนั้น ดวงแขกำลังต่อว่าขันด้วยความโกรธจัดที่หน้าบ้าน
“แล้วพี่ขันยอมออกจากเรือนทำกระไร เมื่อลงมือทำแล้วก็ต้องทำถึงที่สุด ออกมาเช่นนี้คงไม่มีทางได้กลับเข้าไปอีกแล้ว”
“แม่ดวงแขก็พูดได้ หากพี่ไม่ออกมาแล้วถูกจับตีกรวนใส่คุก แม่ดวงแขจักว่ากระไร”
“แล้วพี่ขันคิดว่าทำเช่นนี้จักพ้นผิดหรือ ช้าเร็วเรื่องนี้ก็ต้องถึงเสด็จครานี้อย่าหวังเลย ว่าพี่ขันจะกระดิกตัวทำกระไรได้อีก รอแต่ท่านอากลับจากศึกแล้วตัดสินโทษพี่เถิด”
“แม่ดวงแขจักให้พี่ทำอย่างไรก็ว่ามา พี่คิดกระไรไม่ออกแล้ว”
ดวงแขคิดอยู่ครู่นึงแล้วบอก
“ฉันจำต้องเข้าเฝ้าพระอัครชายา เพื่อทูลขอแม่เรไรแทนพี่เสียแล้ว หากรอท่านอากลับมา ทุกอย่างที่เพียรทำมาคงล้มเหลวเป็นแน่”
อำพันเดินลงมาจากเรือนด้วยน้ำตาคลอเบ้า เสียใจกับสิ่งที่ลูกทำ
“ที่แล้วมายังไม่ได้สำนึกอีกรึ หรือต้องให้แม่ช้ำใจตายต่อหน้า พ่อขันแลแม่ดวงแขถึงจะหยุดได้”
ขันและดวงแขอึ้งไป
“แม่ท่านฟังลูกก่อน...” ขันว่า
อำพันพูดสวนทันที
“แม่ฟังมามากพอแล้ว รู้สิ้นทุกสิ่งจึงเสียใจอยู่เช่นนี้ ลูกชายที่หมายจะให้เป็นศักดิ์แก่ตระกูล ก็มัวเมาในยศศักดิ์จนไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ลูกสาวที่หวังจะให้เป็นศรีก็หักหลังเพื่อนที่คบกันมาแต่เล็กได้ลงคอ จนแม่ไม่กล้ามองหน้าแม่ลำภูแล้ว เอาเลย อยากจะทำกระไรก็ทำเลยออกจากเรือนไปทำให้สมใจ แล้วไม่ต้องมาเรียกแม่ว่าแม่อีก” อำพันน้ำตาไหลออกมาด้วยความช้ำใจก่อนหันเดินกลับขึ้นเรือนไป
ขันและดวงแขมองตามอำพันไปด้วยน้ำตาคลอเบ้าต่างรู้สึกผิดมากที่ทำให้แม่เสียใจขนาดนี้
สี่เดือนผ่านไป สมเด็จพระเอกาทศรถทรงประทับนั่งอยู่ในกระโจม โดยมีพระเจ้าเชียงใหม่ พระรามเดโชซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งนั่งอยู่ใกล้ๆ
สมเด็จพระเอกาทศรถทรงเป็นประธานในการไกล่เกลี่ยคู่ขัดแย้งทั้งสองฝ่ายไม่ให้ทำสงครามกัน ก่อนจะทรงให้ทั้งสองฝ่ายรวมทั้งตัวพระองค์เองดื่มเหล้าเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี
กองทัพของสมเด็จพระนเรศวรทรงล้อมเมืองตองอูอยู่นานหลายเดือน แต่เมืองตองอูมีชัยภูมิที่ดี ประกอบกับขาดแคลนเสบียงจึงต้องยกทัพกลับ ระหว่างทางได้ข่าวว่าเมืองเชียงใหม่กับหัวเมืองล้านนาผิดใจกันถึงขั้นจะทำสงคราม สมเด็จพระนเรศวรจึงทรงให้สมเด็จพระเอกาทศรถเสด็จไปห้ามทัพ สมเด็จพระเอกาทศรถทรงไกล่เกลี่ย และระงับศึกครั้งนี้ได้ โดยไม่สูญเสียทหารแม้แต่นายเดียว จนเป็นที่เลื่องลือไปทั่วถึงพระปรีชาสามารถในครั้งนี้
จำเรียงออกมาจากในบ้านใหม่ของสมบุญด้วยความดีใจที่สมบุญกลับจากสงคราม
“พี่หมื่นเทพ”
สมบุญดึงจำเรียงเข้ามากอดด้วยความคิดถึง แต่ซักพัก จำเรียงก็ต้องรีบดึงตัวออกมาด้วยความเขินอาย
“อายบ่าวไพร่มันบ้างเถิด พี่หมื่นเทพ”
สมบุญยิ้มกรุ้มกริ่ม
“ก็ฉันคิดถึงแม่จำเรียงนัก มันสุดจะหักห้ามใจแล้วนี่จ๊ะ”
จำเรียงทิ้งค้อนด้วยความเขินอาย
“กระไรก็ไม่รู้พี่หมื่นเทพ”
“หมื่นเทพกระไรกัน ขุนจงใจรบต่างหาก”
“ขุนจงใจรบ นี่พี่ได้เป็นถึงขุนเชียวหรือ”
“ถูกแล้ว นับแต่นี้ แม่จำเรียงจักได้ชื่อว่าเป็นเมียของขุนจงใจรบ ไม่ต้องน้อยหน้าผู้ใดอีกแล้ว”
จำเรียงดีอกดีใจที่สมบุญปลอดภัยแถมยังได้เป็นใหญ่เป็นโตอีก
ในเวลาเย็น สินและเอื้อยแตงกำลังยืนดูบรรดาทาสขนของมากมาย ทั้งถือมา ทั้งขนใส่เกวียนซึ่งล้วนแต่เป็นของที่สินซื้อมาฝากเอื้อยแตงทั้งนั้น สินยิ้มแย้มแล้วว่า
“เป็นกระไรบ้างแม่เอื้อยแตง ถูกใจหรือไม่ ฉันรู้ว่าแม่เอื้อยแตงชอบค้าขาย จึงซื้อมาฝาก ครานี้คงได้กำไรโขหล่ะ”
เอื้อยแตงยิ้มพอใจ
“ต้องเช่นนี้ซี ขุนแกล้วกลางณรงค์ จึงค่อยสมเป็นพ่อเรือนของนังเอื้อยแตง พ่อได้ตำแหน่งขุน ฉันยังไม่ดีใจเท่าได้ของฝากพวกนี้เลย”
สินโอบบ่าเอื้อยแตงไว้แล้วยิ้มกรุ้มกริ่ม
“ถ้ากระนั้น คืนนี้แม่เอื้อยแตง อย่าลืมตบรางวัลให้ฉันเสียเล่า”
เอื้อยแตงหยิกสินเบาๆ ก่อนจะทิ้งค้อนด้วยความเขินอาย สินกระหยิ่มยิ้มย่องยิ่งโอบกอดเอื้อยแตงแนบแน่นกว่าเดิม
เสมาก้มลงกราบแทบตักของมั่นเมื่อตอนหัวค่ำ มั่นดีใจและปลาบปลื้มใจจนน้ำตาคลอเบ้าพลางลูบหัวเสมาด้วยความรักและเอ็นดู
“เสมาเอ๋ย เจ้าช่างเป็นเกียรติยศแก่ตระกูลเหลือ ปู่เจ้าเป็นขุนชำนะพลแสนก็ว่ามีศักดิ์ไม่น้อยแล้ว แต่เจ้ากลับได้เป็นถึงพระยา พ่อดีใจจนพูดกระไรไม่ออกแล้ว เสียดายที่แม่เจ้าไม่มีวาสนาได้เห็นความจำเริญของเจ้าในวันนี้”
เสมายิ้มบางๆ เข้าไปกอดพ่อ
“ที่ฉันเป็นเช่นนี้ได้ ก็เพราะพ่อทั้งสิ้น หากพ่อไม่สั่งสอนแลให้ฉันไปเรียนวิชาที่วัดพุทไธสวรรย์กับพระครูขุนท่าน ไหนเลยฉันจะเป็นถึงพระยาได้ ศักดิ์พระยานี้ก็เป็นของพ่อกึ่งหนึ่งเช่นกันจ้ะ”
“พูดกระไรเช่นนั้น เจ้าลำบากตรากตรำออกศึกแลเอาเลือดเนื้อแลกมาต่างหาก ศักดิ์พระยานี้เป็นของเจ้าโดยภาคภูมิแล้ว พระยามหาสงครามลูกพ่อ”
เสมากอดพ่อด้วยความดีใจแล้วนึกขึ้นได้
“เอ่อ พ่อ ระหว่างที่ฉันไปศึก เกิดกระไรขึ้นทางนี้บ้างหรือไม่ ฉันไม่รู้ข่าวกระไรเลย”
มั่นถอนหายใจ
“หลายเรื่องเชียวเสมาเอ๋ย แต่เรื่องที่ใหญ่ที่สุด คงไม่พ้นเรื่องของหลวงณรงค์ดอก”
เสมาหน้าขรึมลงตั้งใจฟังมั่นเล่าให้ฟังว่าขันทำอะไรไว้บ้าง
เช้าวันรุ่งขึ้น ขันก้มลงกราบพระรามเดชะ แล้วปั้นยิ้มประจบประแจง
“ข้าพระเจ้าแจ้งว่า ท่านอาได้เลื่อนเป็นพระยาศรีพิชัยสงคราม ให้ดีใจนัก จึงเร่งมาแสดงความยินดีกับท่านอาขอรับ”
รามเดชะปั้นยิ้มแล้วตอบ
“ขอบน้ำใจหลวงณรงค์นัก อาเองก็มีเรื่องอยากพูดกับหลวงณรงค์อยู่เหมือนกัน”
“ท่านอามีกระไรให้ข้าพระเจ้ารับใช้หรือขอรับ”
“รับใช้กระไรกัน อาเพียงแต่ต้องการถอนหมั้นระหว่างหลวงณรงค์กับแม่เรไรเท่านั้น” พระยาศรีพิชัยสงครามพูดหน้านิ่ง
ขันตกใจทันที
“ท่านอา...นี่ท่านอาโดนเป่าหูมาใช่หรือไม่ขอรับ ผู้ใดกันที่มันพูดชั่วให้ท่านอาโกรธเคืองข้าพระเจ้าเช่นนี้”
“ลูก เมียแลน้องชายของอาเอง หลวงณรงค์เห็นคนเหล่านี้พูดยุแยงหรือไม่เล่า”
พระยาศรีพิชัยสงครามชี้หน้าขัน
“เจ้าฉวยโอกาสตอนอาไปศึก ถึงกับขึ้นเรือนมากระทำการบังอาจ แล้วยังจะให้อายกลูกสาวให้อีกหรือ”
“ท่านอาฟังก่อนขอรับ เพลานั้น ข้าพระเจ้าเห็นว่าป้าท่านป่วยหนัก แลทั้งเรือนไม่มีชายคอยปกป้อง จึงเพียงแต่คิดจะดูแลป้าท่านกับแม่หญิงเรไรเท่านั้น หาได้คิดล่วงเกินท่านอาไม่ขอรับ”
“แล้วที่ทำร้ายพ่อแต้มเล่าจะว่าอย่างไร เสียแรงอาเห็นเจ้าเป็นลูกหลาน แต่กลับหยามน้ำมะหน้าไม่เกรงใจกัน แม้แต่น้องชายอาเจ้ายังกล้า ภายหน้าหากอาสิ้นวาสนาลงก็คงโดนดุจเดียวกันกระมัง”
“ไม่จริงดอกขอรับ ข้าพระเจ้าไม่...”
พระยาศรีพิชัยสงครามพูดสวนขึ้นทันที
“พอเถิด คราก่อนอาก็ให้อภัยมาหนหนึ่งแล้ว แต่เจ้ากลับไม่สำนึก ยังทำผิดร้ายกว่าเก่าถือว่าเราไม่มีบุญที่จะดองกันเถิด”
ขันเห็นพระยาศรีพิชัยสงครามไม่อภัยแน่ก็ยิ่งโกรธจัด
“ไม่มีบุญ หรือท่านอาคิดจะดองกับผู้อื่นกันแน่ ออกญามหาสงครามกระไรเล่าขอรับ ได้ดี จำเริญถึงเพียงนี้ ท่านอาคงอยากได้เป็นเขยกระมัง ออกญาช่างตีเหล็กคงสมใจท่านอามากกว่าข้าพระเจ้า”
ขันลุกขึ้นแล้วสะบัดหน้าลงจากเรือนไป โดยไม่ยอมไหว้ลาพระยาศรีพิชัยสงครามแม้แต่น้อย
พระยาศรีพิชัยสงครามมองตามขันด้วยสายตาโกรธจัดที่ขันดูถูกถึงเพียงนี้
เวลาต่อมา ลำภูกำลังคุยอยู่กับพระยาศรีพิชัยสงครามอยู่ในห้องนอน โดยเปิดประตูห้องไว้
“ตายแล้ว พูดถึงเพียงนี้เชียวหรือ ไม่คิดเลยว่าจักพาลร้ายกาจเช่นนี้ เคราะห์ดีนักที่ถอนหมั้นเสียได้” ลำภูว่า
“หลวงณรงค์ดูแคลนฉันนัก หาว่าฉันถอนหมั้นเพื่อจะยกแม่เรไรให้อ้ายเสมา ถึงมันจะเป็นพระยาเช่นกัน ฉันก็ไม่เคยหลงยศศักดิ์ของมัน ไม่มีวันที่ฉันจะยกแม่เรไรให้เป็นอันขาด”
“แต่จักว่าไป ออกญามหาสงครามผู้นี้ก็เก่งกาจนัก จากทหารอาสาไร้ยศ กลับกินตำแหน่งพระยาได้รวดเร็วถึงเพียงนี้”
“นี่แม่ลำภูชื่นชมมันหรือ ลืมไปแล้วกระมังว่า อ้ายเสมามันเคยมีศักดิ์ไม่ต่างจากข้ารับใช้ในเรือนนี้ ฉันยังเคยตีกรวนจำคุกมันเสียด้วยซ้ำ แล้ววันหนึ่งพอมันรุ่งเรืองเป็นพระยา ก็จะให้รับมันเป็นเขยกระนั้นหรือ รอฉันตายเสียก่อนเถิด”
เมื่อพระยาศรีพิชัยสงครามหันกลับไปที่หน้าห้องก็ต้องตกใจเมื่อเห็นเรไรยืนหน้าเศร้าๆอยู่
“นี่แม่เรไรออกจากวังตั้งแต่เมื่อใด แม่ไม่เห็นรู้เลย” ลำภูพูดขึ้น
“ลูกได้ยินว่าพ่อท่านกลับจากศึกแล้ว จึงตั้งใจจะมากราบเจ้าค่ะ” เรไรพูดแล้วก็นั่งพับเพียบลงกราบรามพระยาศรีพิชัยสงครามผู้เป็นพ่อด้วยน้ำตาคลอเบ้า
พระยาศรีพิชัยสงครามมองลูกด้วยความกระอักกระอ่วนไม่สบายใจ ลำภูได้แต่มองลูกสาวพร้อมทอดถอนใจยาวออกมาด้วยความสงสาร เรไรนึกสมเพชตัวเองที่ความรักกับเสมาคงไม่มีวันสมหวัง
อ่านต่อ ตอนอวสาน วันพรุ่งนี้