ขุนศึก ตอนที่ ๑o
สมเด็จพระนเรศวรได้ทรงจัดทัพถึงหนึ่งแสน โดยให้พระราชมนูคุมไพร่พลห้าพันเป็นทัพหน้า บุกเข้าตีเมืองละแวก เมื่อพระยาละแวกทราบข่าว ก็ได้ส่งกองทัพหนึ่งหมื่นมารักษาเมืองโพธิสัตว์และส่งกองทัพอีกหนึ่งหมื่นห้าพันไปรักษาเมืองปัตบอง ซึ่งทั้งสองเมืองล้วนเป็นเมืองสำคัญ ก่อนเข้าสู่เมืองหลวงของละแวก
บรรยากาศในค่ายทหารของพระราชมนูตอนกลางคืน ทหารบางคนก็เดินเวรยาม บางคนก็นอน
บางคนก็จับกลุ่มคุยกัน ฝ่ายสินกำลังนั่งลับมีดอยู่คนเดียวด้วยสีหน้าบึ้งตึง ไม่พูดไม่จากับใคร สมบุญเดินเข้ามาหาสินพร้อมไก่ย่างหอมฉุย สมบุญยื่นไก่ให้สิน
“ข้าไปลาดตระเวนได้ไก่ป่ามากินเสียซี”
“ข้าอยากกินเหล้าเอ็งมีหรือไม่เล่า”
“เอ็งก็รู้ว่า ยามศึกห้ามกินเหล้าเป็นอันขาด ถามเช่นนี้เพราะเอ็งจะประชดรึ”
สินหน้าหงิกหันไปลับมีดต่อ
“เอ็งรู้หรือไม่ ว่าตั้งแต่เกิดเรื่องแม่เอื้อยแตงก็ไม่มีผู้ใดเป็นสุขเลย เมื่อใดเอ็งจะหายโกรธเคืองพี่เสมาเสียทีวะ”
“แล้วหากข้าล่วงเกินแม่จำเรียงบ้าง เอ็งจะหายเคืองข้าหรือไม่เล่า” สินถามย้อน
“แต่แม่เอื้อยแตงหามีใจให้เอ็งไม่ แล้วมันคุ้มกันหรือวะ ที่เอ็งจะเคืองแค้น คนที่เอ็งนับถือเป็นเพื่อนเป็นพี่แลร่วมเป็นร่วมตายกันมาเพื่อหญิงที่ไม่เคยรักเอ็งเลย”
“เอ็งก็ต้องเข้าข้างพี่เสมาอยู่แล้วก็เอ็งหวังในตัวน้องสาวเค้าไม่ใช่รึ จำไว้นะ อ้ายสมบุญที่ข้าเจ็บก็เพราะข้ารักนับถือพี่เสมาดอก แต่ต่อไปจะไม่มีอีกแล้ว เพราะเสร็จศึกละแวกเมื่อใด ข้าจะขอย้ายกรมกองสังกัด จะได้ไม่ต้องเห็นหน้าคนทุรยศเช่นนี้อีก”
สินเดินหงุดหงิดเลี่ยงไป สมบุญได้แต่มองตามด้วยความอ่อนใจ เสมายืนแอบมองอยู่ด้วยความกลุ้มใจมาก ผิดหวังในความรักซ้ำต้องผิดใจกับสินที่ตนรักเหมือนเพื่อนเหมือนน้องอีก
สมบุญเดินเข้ากระโจมมา พอเข้ามาก็เห็นเสมาแต่งตัวสะพายดาบเพื่อจะไปอยู่เวรต่อ
“ตื่นแล้วรึพี่ เหตุใดตื่นเร็วนักเล่ายังไม่ถึงเวรพี่เลยไม่ใช่รึ”
“ข้ายังไม่ได้นอนต่างหาก แล้วก็คงนอนไม่หลับแล้วด้วย เอ็งไปนอนเถิด ข้าอยู่เวรแทนเอง”
“พี่ทุกข์เรื่องอ้ายสินรึ”
“มันเป็นเสมือนน้องชายข้าอีกคน ไม่ควรผิดใจกันเลย ยิ่งคิดข้าก็ยิ่งชั่วนัก”
“ก็พี่เมา แลไม่ได้ล่วงเกินร้ายกาจอันใด อย่าโทษตัวเองถึงเพียงนี้เลย”
“เช่นนั้นข้าก็ไม่ควรอยู่ดี นอกจากเรื่องอ้ายสิน ข้ายังทุกข์อีกสองเรื่อง”
“เรื่องแม่หญิงเรไรฉันพอรู้อยู่ แล้วอีกเรื่องเล่า”
เสมาสีหน้าหนักใจสุดๆ
“แม่หญิงดวงแข แจ้งเป็นนัยว่าชอบข้า ใช่ข้าจักถือสาเรื่องอ้ายขันดอกนะ แต่ใจข้ายังคงยึดมั่นกับแม่หญิงเรไร หากรับรับไปก็เหมือนมุสาหลอกลวงแม่หญิงดวงแข ข้าจึงหนักใจนัก”
“แม่หญิงเรไรตัดขาดพี่แล้ว พี่จักปักใจให้ทุกข์ไปเพื่อกระไร หากพี่ไม่ถือสาที่แม่หญิงดวงแขเป็นน้องอ้ายขัน ก็รับรักไปเถิด ครานี้อ้ายขันคงแค้นแทบกระอักเลือดเป็นแน่”
“เอ็งหาเข้าใจไม่ รักที่ข้ามีให้แม่หญิงเรไร ก็เหมือนน้ำค้างยามเช้า แม้สายจะเหือดแห้งไป แต่เช้าวันใหม่ก็จะกลับมีขึ้นมาอีกหาจบสิ้นไม่ แม้ตาย ข้าก็คงไม่อาจตัดรักนี้ได้ดอก”
เสมาสีหน้าซึมเศร้า ก่อนเดินเลี่ยงออกไป สมบุญมองตามเสมาออกไปพร้อมถอนใจออกมาด้วยความรู้สึกสงสารเห็นใจ
ภายในกระโจม พระราชมนูกำลังดูแผนที่ด้วยสีหน้าครุ่นคิดโดยมีเสมา สิน สมบุญ และทหารคนอื่นอีกห้าหกคนร่วมประชุมกันอยู่
“ศึกครานี้ กำลังเราเหนือกว่าละแวกมากนัก ขอเพียงตีเมืองปัตบองแลโพธิสัตว์แตก ละแวกหนีไม่พ้นมือเราแน่ สำคัญที่เสบียงด้วยเป็นหนทางไกล ลำเลียงเสบียงไม่สะดวก ไม่อาจรบยืดเยื้อ เราจึงต้องเผด็จศึกให้เร็วที่สุด” พระราชมนูว่า
“ท่านแม่ทัพขอรับ ข้าพระเจ้าขอเป็นกองหน้าออกหยั่งเชิงข้าศึก หากได้ทีท่านแม่ทัพก็ยกทัพหนุนเข้าไป ก่อนที่ทัพหลวงของพระพุทธเจ้าอยู่หัวจะมาถึงเราอาจตีได้สักเมือง” เสมาพูดขึ้น
“ออกหลวงพูดต้องใจเรานัก พันเทพศักดิ์ พันทิพศักดิ์ เจ้าทั้งสองจงไปช่วยหลวงโจมจัตุรงค์รบเถิด”
สินกับสมบุญยกมือไหว้ขึ้นพร้อมกัน
“ขอรับท่านแม่ทัพ”
สินเหล่มองไปยังเสมา แม้จะไม่ค่อยพอใจแต่เป็นคำสั่งก็ต้องทำตาม
“ฝีมือออกหลวง ฉันเห็นมาหลายคราแต่ครั้งยังเป็นนายหมู่ แต่ศึกครานี้ต่างจากทุกคราว ด้วยเราเป็นฝ่ายบุกตี ไม่ชำนาญชัยภูมิ หลวงโจมพ่อจักทำการใด ขอจงอย่าดูเบาแก่ข้าศึกเป็นอันขาด”
“ขอรับ ท่านแม่ทัพ”
ในป่า เสมา สินและสมบุญขี่ม้านำกองทหารเดินทัพมา เสมามีท่าทางใจลอยดูเหม่อๆตลอดเวลา สมบุญมองไปรอบๆอย่างระแวง
“ชัยภูมิแถบนี้คับขันนัก หากซุ่มทัพไว้คงยากที่เราจะดูออก ถ้าอย่างไรส่งทหารออกไปสืบดูก่อนดีหรือไม่พี่เสมา”
เสมาเหม่อลอย มัวแต่คิดเรื่องที่เกิดขึ้นจนไม่ได้ยินที่สมบุญพูด
“พี่เสมา” สมบุญรียกดังขึ้น
เสมาเพิ่งรู้สึกตัว
“มีกระไรรึ”
“ฉันถามว่า เราจะส่งทหารออกไปสืบดูโดยรอบดีหรือไม่”
เสมากำลังใช้ความคิด ทันใดนั้น ทหารละแวกกลุ่มหนึ่งก็ส่งเสียงโห่ร้องยกพวกบุกเข้าตีกองทัพเสมาทันที เสมาชักดาบออก สั่งเสียงดังลั่น
“ทัพละแวกบุกแล้วโจมตีกลับไป”
สินร้องลั่นแล้วขี่ม้าควงทวน คุมทหารออกไล่ตีทหารละแวกทันที แต่รบกันได้นิดเดียวทัพละแวกก็ถอยหนีทันที จนสมบุญแปลกใจ
“เหตุใดถอยหนีง่ายดายนัก”
เสมาตะโกนสั่ง
“อ้ายข้าศึกหนีแล้ว ตามตีพวกมัน”
เสมาขี่ม้านำเหล่าทหารออกไปพร้อมกับสิน
“ประเดี๋ยวพี่เสมา...”
สมบุญจะห้ามก็ไม่ทัน เสมาและสินนำทหารตามไล่ตีไปแล้ว สมบุญจึงจำใจต้องตามไปด้วย
เสมา สิน และสมบุญนำทหารไทย บุกไล่ตีทหารละแวก ฝ่ายทหารละแวกหนีตายกันอย่างไม่คิดชีวิต ทหารไทยกำลังได้ใจ รุกคืบหน้าอย่างฮึกเหิม แต่ทันใดนั้น ก็มีทหารละแวกอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งซุ่มอยู่ในป่าโผล่ออกมายิงปืนใส่ทหารไทยทันที ทหารไทยโดนปืนยิงใส่โดยไม่ทันตั้งตัว ล้มตายเป็นใบไม้ร่วง เสมาตกใจ ตะโกนสั่ง “อุบายข้าศึก รีบถอยเร็ว”
ขาดคำ ทหารละแวกคนหนึ่งก็ยิงปืนใส่เสมาจนเสมาตกจากหลังม้า พวกทหารละแวกเห็นแม่ทัพฝ่ายไทยถูกยิงตกม้าก็ได้ใจ โห่ร้องเสียงดังบุกเข้าตีทหารไทยทันที สินตะโกนลั่น
“อย่ากลัวพวกมัน ค่อยๆถอย อย่าแตกตื่น”
สินและสมบุญคุมทหารบุกเข้าสู้กับทัพละแวกอย่างดุเดือด
เสมาเลือดออกที่หัวไหล่ แต่ก็พยายามยันกายลุกขึ้น ทันใดนั้นเองก็มีทหารไทยคนหนึ่งถูกฟันตายคาที่ ล้มลงต่อหน้า เสมาเห็นลูกน้องตัวเองตายกับตาก็ร้องลั่น ควงดาบออกไล่ต่อสู้ด้วยความแค้น เพราะรู้สึกผิดอยู่ในใจว่า เป็นความผิดของตัวเอง
เสมา สิน และสมบุญ คุมทหารไทยสู้กับทหารละแวกที่มีจำนวนมากกว่าเยอะ ตะลุมบอนกันอย่างดุเดือด จนไม่รู้ใครเป็นใคร
ผ่านเวลาการสู้รบมาสักพักหนึ่ง เสมาคุกเข่าใช้ดาบยันพื้นอย่างเหนื่อยหอบอยู่ริมลำธาร ทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือด ทั้งเลือดตัวเองและเลือดข้าศึกเต็มไปหมด
สินกำลังดื่มน้ำในลำธารแก้กระหายอยู่ สภาพสินก็โทรมไม่ต่างจากเสมาเลย สินมองไปรอบๆ
“ไม่รู้อ้ายสมบุญตีฝ่าออกไปได้หรือไม่ ตั้งแต่ทำศึกมาไม่เคยพ่ายแพ้ยับเยินถึงเพียงนี้เลย”
สินเหล่มองเสมาด้วยสายตากล่าวโทษจนเสมาพูดไม่ออก
“เพราะข้าเอง ข้าทำศึกโดยประมาท จึงพาพี่น้องเราไปล้มตายมากมายพึงเพียงนี้ มิรู้ว่าป่านฉะนี้ ทัพของท่านแม่ทัพพระราชมนู จักเป็นเช่นใดบ้าง” เสมาพูดแล้วก็ใช้ดาบยันตัวลุกขึ้น แต่เจ็บแผลที่โดนปืนยิงจนทรุดลงอีก
“โอ๊ย”
สินเห็นสภาพเสมาก็เบะปากสมน้ำหน้า
ขณะนั้นเอง สินก็ฉุกคิดถึงคำพูดขันขึ้นมาได้ ...
“ข้าน่ะรึ หัวอกเดียวกับพวกเอ็ง” สินว่า
“แล้วไม่ใช่รึ ฉันกับแม่หญิงเรไรรักกันมาก่อน อ้ายเสมาก็มาแย่งไปเช่นเดียวกับพันทิพท่าน ที่ถูกอ้ายเสมาแย่งแม่เอื้อยแตงไปอย่างไรเล่า” ขันบอก
สินขบกรามแน่น เพราะขันจี้ใจดำจนจุดไฟแค้นคุขึ้นมาอีก ขันเดินเข้าไปโอบบ่าสิน
“ฉันแค้นจนใคร่อยากฆ่าอ้ายเสมาเสีย ท่านไม่คิดเช่นเดียวกับฉันรึ”
สินอึ้งไป แม้สินจะโกรธเสมาสุดๆ แต่ไม่คิดจะฆ่าแกงกันให้ถึงตาย
…...........................
“ไล่ฉันกลับ เพื่อจะมีสุขกับพี่เสมาสองคนหล่ะซี ฉันรู้ดี ว่าแม่เอื้อยวางแผนย้ายมาอยู่ที่เรือนนี้ เพื่อจะเสนอตัวให้พี่เสมา ฉันไม่คิดเลยว่าแม่เอื้อยจะไร้ยางอายเพียงนี้” สินพูดขึ้น เอื้อยแตงแค้นสุดๆ ตบหน้าสินทันที
เอื้อยแตงแค้นจนน้ำตาคลอ
“อ้ายปากชั่ว เออ ข้าชอบพอพี่เสมา แต่พี่เสมาหาได้ชอบข้าไม่แต่ข้าก็ไม่เคยคิดเสนอตัวให้ผู้ใดทั้งสิ้น ข้าเพียงแต่อยากอยู่ใกล้คนที่ข้ารักเท่านั้น หัวใจชั่วเช่นเอ็งไม่มีวันเข้าใจดอก” เอื้อยแตงน้ำตาไหลซึมออกมา
สินหันไปมองเสมาตาเขม็ง ในมือจับทวนแน่นด้วยความแค้นใจเสมาสุดๆที่มาแย่งเอื้อยแตงไปจนอยากจะลอบฆ่าเสมา เพราะเป็นช่วงจังหวะและโอกาสที่ดีที่สุดที่สินสามารถทำได้อย่างง่ายดาย
ขณะที่กำลังจะลงมือ เสียงสมบุญที่พูดเตือนสติสินดังก้องเข้ามา
“ แต่แม่เอื้อยแตงหามีใจให้เอ็งไม่ แล้วมันคุ้มกันหรือวะ ที่เอ็งจะเคืองแค้น คนที่เอ็งนับถือเป็นเพื่อนเป็นพี่แลร่วมเป็นร่วมตายกันมา เพื่อหญิงที่ไม่เคยรักเอ็งเลย”
สินหน้าเสียไปทันที เมื่อนึกถึงความดีของเสมาที่ร่วมฝ่าฟันร่วมเป็นร่วมตายกันมาก็ตัดใจทำร้ายเสมาไม่ลง สินยิ่งคิดก็ยิ่งสับสนหนัก ไม่รู้จะทำยังไงดี
“อ้ายสิน” เสมาเรียกขึ้น
สินตกใจ อึกอักกับความคิดที่กำลังสับสนอยู่
“จ้ะ พี่...พี่เสมามีกระไรรึ” สินถาม
“เรื่องที่ข้าทำให้เอ็งเสียน้ำใจ ขอเอ็งจงอโหสิกรรมให้ข้าด้วยเถิด ต่อจากนี้ หากมีกระไรเกิดขึ้นกับพ่อแลน้องข้า ถ้าเอ็งช่วยได้ ก็ขอให้เอ็งเมตตาช่วยนึกว่าเอาบุญเถิด”
“เหตุใดพี่พูดเช่นนี้เล่า พี่พูดเหมือน...” สินถามอย่างแปลกใจ
สินพูดไม่ทันจบก็ตกใจสุดๆเมื่อเสมาเงื้อดาบจะแทงท้องตัวเองแต่สินใช้ทวนปัดดาบของเสมากระเด็นไปเลยรอดหวุดหวิด สินโวยลั่น
“พี่ทำเช่นนี้ได้กระไร บ้าไปแล้วรึ”
เสมามองสินด้วยน้ำตาคลอเบ้า
“ให้ข้าทำเถิดอ้ายสิน ข้ามันชั่วนักทำให้ทัพชัยขององค์พระเจ้าอยู่หัวต้องพ่ายศึก มีทหารศึกล้มตายมากมายอยู่ไปก็ไม่มีหน้าไปสู้ผู้ใดแล้ว”
“แต่พี่ต้องอยู่ พี่รู้หรือไม่ว่าฉันรักนับถือพี่เพียงใด พี่ไม่เพียงแต่มีฝีมือสูงอย่างที่ฉันไม่เคยพบในผู้ใดมาก่อน พี่ยังมีน้ำใจต่อฉันนัก แม้พี่จะผิดเรื่องแม่เอื้อยจนฉันแค้นพี่เหลือ แต่หากให้เลือกฉันก็ยอมเสียแม่เอื้อยแตงดีกว่าให้พี่ตาย”
สินน้ำตาคลอซึ้งใจ
“อ้ายสิน”
สินเองก็น้ำตาคลอ
“ฉันพูดไม่เก่งอย่างอ้ายสมบุญ แต่หากพี่ยังนับฉันเป็นน้อง เราก็กลับด้วยกันเถิด มิว่าจะได้โทษใดเราก็จะช่วยเหลือกัน”
เสมาพยักหน้ารับซึ้งใจในน้ำใจสินจนยอมแบกหน้ากลับไปรับโทษ เสมายื่นมือมาไปตบบ่าสินแรงๆ เป็นการขอบใจและซึ้งใจ สินยิ้มรับให้เสมาทั้งน้ำตาคลอ
สมเด็จพระนเรศวรกำลังพิโรธใส่พระราชมนู และเสมา ที่นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น ในขณะที่สมเด็จพระเอกาทศรถ ประทับนั่งอยู่ใกล้ๆ
“ทัพอโยธยามีมากกว่าทัพละแวกมากนัก แต่เอ็งยังแพ้ให้เสียปฐมฤกษ์ได้ สมควรที่จะบั่นคอหรือไม่ อ้ายราชมนู”
พระราชมนูถวายบังคมแล้วทูลว่า
“ข้าพระพุทธเจ้าเคยลั่นวาจาไว้ ว่าหากแพ้ก็ให้ประหาร บัดนี้ทัพของข้าพระพุทธเจ้าแตกพ่ายกลับมา ขอให้พระองค์ทรงลงอาญาเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างสืบไปเถิดพระพุทธเจ้าข้า”
เสมาถวายบังคมแล้วทูลว่า
“การนี้เป็นเพราะข้าพระพุทธเจ้าทำศึกโดยประมาท ดูเบาข้าศึกหาเกี่ยวกับท่านพระราชมนูไม่ ขอพระองค์จงทรงลงโทษข้าพระพุทธเจ้าแต่เพียงผู้เดียวเถิดพระพุทธเจ้าข้า”
“เอ็งเป็นรองแม่ทัพ ส่วนอ้ายราชมนูเป็นแม่ทัพแตกพ่ายกลับมาก็ต้องรับโทษเสมอกัน”
สมเด็จพระนเรศวรหันไปมีรับสั่งกับทหาร
“ทหารเอาอ้ายสองคนนี่ไปตัดหัว”
สินและสมบุญตกใจสุดๆตั้งท่าจะขอร้อง แต่สมเด็จพระเอกาทศรถทรงตรัสขึ้นก่อน
“ช้าก่อน เพลานี้เป็นยามศึก ตามธรรมเนียมไม่ควรลงโทษนายทหารผู้ใหญ่ถึงประหาร เพราะจะเสียน้ำใจแก่ไพร่พล รอเสร็จศึกก่อนแล้วค่อยพิจารณาโทษเถิดพระพุทธเจ้าข้า”
ในพระทัยของสมเด็จพระนเรศวร ไม่อยากทำ แต่เนื่องด้วยกฎต้องเป็นกฎ เมื่อสมเด็จพระเอกาทศรถทูลทัดทานจึงรีบรับคำโดยทันที
“ก็ได้ ถ้าเช่นนั้น ก็จำมันสองไว้ก่อน”
เสมากับพระราชมนูถวายบังคมขึ้นพร้อมกัน
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณพระพุทธเจ้าข้า”
สินและสมบุญยิ้มดีใจ ที่เสมารอดไปได้อีกเฮือก
“ละแวกชำนะศึกครานี้ คงฮึกเหิมนัก ขอสมเด็จพี่จงนำทัพหลวงออกศึกด้วยพระองค์เองเถิดพระพุทธเจ้า จักได้เรียกขวัญทหารให้กลับมาดังเดิม”
“มีพระบรมราชโองการลงไป จงยกทัพทั้งหมดบุกเข้าตีเมืองปัตบองแลโพธิสัตว์ บัดเดี๋ยวนี้”
สมเด็จพระนเรศวร ได้ทรงยกทัพหลวงบุกเข้าตีเมืองปัตบองและเมืองโพธิสัตว์แตกได้อย่างง่ายดาย จากนั้นได้ทรงยกทัพบุกเข้าตีเมืองละแวกต่อ แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อเมืองละแวกสามารถรบพุ่งป้องกันได้อย่างเข้มแข็ง จนล้อมอยู่ถึงสามเดือนเศษ ก็ไม่สามารถตีให้แตกได้ ทำให้เกิดการขาดเสบียงอาหารขึ้น จนต้องยกทัพกลับในที่สุด
สามสี่เดือนต่อมา เวลาเย็น ภายในตำหนักในวัง เรไร ศรีเมืองและข้าหลวงคนอื่นๆกำลังช่วยกันแกะสลักผักผลไม้อยู่ แล้วบัวเผื่อนก็เดินหน้าตาตื่นเข้ามาหาเรไรและศรีเมือง
“แม่เรไรๆ เหล่าทหารที่ไปศึกละแวกกลับมาแล้ว”
เรไรชักสีหน้าเบื่อๆ เพราะคิดว่าบัวเผื่อนคงจะล้อเล่นเรื่องเสมาให้เป็นที่สาแก่ใจอีก
“แล้วแปลกตรงที่ใดรึ ทหารออกรบเสร็จศึกก็ต้องกลับ แม่บัวเผื่อนทำราวกับมีเหตุสำคัญหนักหนา”
“พูดเช่นนี้รึ ฉันตั้งใจจะมาบอกเรื่องหลวงโจมจัตุรงค์ เช่นนั้นก็อย่าได้รู้เลย” บัวเผื่อนพูดพลางทิ้งค้อน
“ไม่รู้สิดี ฉันเกลียดเหมือนจะตาย รู้ไปก็รังแต่จะอัปมงคลเสียเท่านั้น”
ศรีเมืองยิ้มดีใจ
“แต่ฉันอยากรู้จ้ะ พี่เสมาเป็นกระไรบ้าง ครานี้ทำความดีความชอบได้เลื่อนเป็นถึงคุณพระหรือหาไม่”
บัวเผื่อนยิ้มๆแล้วบอก
“อย่าหวังถึงคุณพระเลย รักษาคอบนบ่าให้ได้เสียก่อนเถิด”
เรไร และศรีเมืองตกใจกับคำพูดของบัวเผื่อน
“เหตุใดพูดเช่นนี้เล่า แม่หญิงบัวเผื่อน” ศรีเมืองถามด้วยความตกใจ
“ก็ฉันพูดจริง หลวงโจมจัตุรงค์ทำศึกแพ้เพราะประมาทแก่ข้าศึก เพลานี้ถูกจำอยู่ในคุกหลวง อีกไม่กี่วัน คงถูกประหารเป็นแน่”
ศรีเมืองตกใจจนหน้าซีดจนพูดอะไรไม่ออก เรไรตกใจมากไม่แพ้กันที่รู้ว่าเสมาต้องโทษประหาร
ในเวลากลางคืน ภายในคุกหลวง พระราชมนูที่ต้องโทษ นั่งรออยู่ก่อนแล้ว พักครู่เดียว ตำรวจก็เปิดประตูคุกให้เสมาเดินเข้าไป ก่อนจะปิดประตูลงแล้วล่ามโซ่ขังไว้ พระราชมนูเห็นเสมาก็เบือนหน้าหนีด้วยความโกรธที่ทำให้ต้องโทษประหาร เสมากข่าลงกราบพระราชมนูที่นั่งอยู่ พระราชมนูแปลกใจ
“เจ้าทำกระไรกันหลวงโจม”
“ข้าพระเจ้ากราบขอขมาพระคุณ ที่เป็นเหตุให้พระคุณต้องโทษประหารไปกับข้าพระเจ้าด้วย ข้าพระเจ้าไม่หวังให้พระคุณอภัยให้ดอก เพราะผิดนี้หนักหนานัก แต่ข้าพระเจ้าก็อยากกราบขมาเพื่อแสดงการสำนึกผิดขอรับ”
พระราชมนูอึ้งไปครู่ เห็นเสมาสำนึกผิดจากใจจริง
“เมื่อเจ้าสำนึกผิดแล้วก็ช่างมันเถิด เกิดเป็นทหารยอมพร้อมตายทุกเมื่อ อีกไม่กี่วันเจ้ากับข้าก็ต้องเป็นเพื่อนร่วมตายกันแล้ว จะโกรธกันไปไย”
เสมาไหว้แล้วยิ้มรับบางๆ
“ขอบพระคุณขอรับพระคุณ”
พระราชมนูได้แต่ถอดถอนใจยาวออกมาอย่างทำใจ
ภายในวัง สมเด็จพระนเรศวรกำลังสั่งงานขุนรามเดชะกับพันอิน
“อโยธยากรำศึกมานาน ข้าอยากให้อาณาประชาราษฎร์ได้พักผ่อนบ้าง ปีนี้เรียกเกณฑ์น้อยลงกึ่งหนึ่งเถิด หากรายจ่ายส่วนใดไม่พอก็ให้มาเอาที่ข้า”
ขุนรามเดชะถวายบังคม
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณพระพุทธเจ้าข้า”
“ขุนพิมานมงคล งานประเพณีปีนี้ เจ้าจงคอยควบคุมจัดให้เป็นงานใหญ่ทุกงาน ข้าอยากให้พวกชาวบ้านรื่นเริงกันได้เต็มที่”
พันอินยิ้มแย้มแล้วถวายบังคม
“รับด้วยเกล้าพระพุทธเจ้าข้า”
ขณะนั้นเอง สมเด็จพระเอกาทศรถก็เดินเข้ามาหาสมเด็จพระนเรศวร
“สมเด็จพี่”
สมเด็จพระนเรศวรผินพระพักตร์ไปนังสมเด็จพระเอกาทศรถก็เดาใจออก
“น้องคงมาพูดเรื่องเจ้าราชมนูกับเจ้าโจมจัตุรงค์กระมัง”
ขุนรามเดชะและพันอินหันไปสบตากัน เมื่อรู้ว่าทั้งสองพระองค์จะพูดเรื่องเสมา
“พระราชมนูกับหลวงโจมจัตุรงค์มีฝีมือกล้าแข็ง พระพุทธเจ้าเสียดายนักหากต้องประหาร อีกทั้งการสงครามมีแพ้แลชำนะ หากพ่ายแพ้แล้วต้องประหารเสียหมดต่อไปผู้ใดจะอาสาทำศึกเล่าพระพุทธเจ้าข้า”
“พี่กับเจ้าราชมนู ร่วมเป็นร่วมตายกันมานานนัก พี่ไม่เสียใจกว่าน้องรึ แต่เหตุที่ต้องประหารเพราะเจ้าราชมนูมันลั่นวาจาไว้ แลธรรมเนียมการทำศึก หากสู้สุดฝีมือแล้วยังแพ้ก็หามีผู้ตำหนิไม่ แต่นี่กลับแพ้เพราะประมาท หากพี่ละไว้ต่อไปจะบังคับบัญชาผู้ใดได้”
สมเด็จพระเอกาทศรถทรงยอมรับว่าที่สมเด็จพระนเรศวรตรัสถูกทั้งหมด
“พี่ได้ฤกษ์ประหารแล้วเป็นวันมะรืน อย่างไรเสีย ก็คงไม่ทันแล้ว”
ขุนรามเดชะ และพันอินต่างมีสีหน้าตกใจ เมื่อรู้ว่าเสมาจะตายวันมะรืนนี้แล้ว
ขันกับพุฒกำลังคุยกับขุนรามเดชะและพันอินที่โถงบ้านขัน ฝ่ายขันกำลังสะใจสุดๆ กับข่าวประหารเสมา
“จริงรึขอรับท่านอา วันมะรืนนี้ข้าพระเจ้าก็ไม่ต้องเห็นหน้าอ้ายเสมาอีกแล้วหรือขอรับ”
พันอินได้ยินดังนั้นก็ไม่พอใจ
“เหตุใดพูดเช่นนั้น ยามที่พวกเราต้องโทษประหาร เสมาก็ดีกับพวกเรานัก หาได้เย้ยหยันกระไรไม่ แต่ขุนณรงค์กลับพูดเหมือนสมน้ำมะหน้ากระนั้น”
พุฒยิ้มเยาะแล้วว่า
“ท่านลุงขุนพิมาน คงยังมีเยื่อใยกับบุตรบุญธรรมอยู่กระมัง เลยลืมไปเสียแล้วว่า อ้ายเสมามันหยามกระไรไว้บ้างจนท่านลุงต้องส่งแม่ศรีเมืองเข้าวังไงเล่า”
พันอินไม่พอใจ ถลึงตาจะเอาเรื่องพุฒ
“พอเถิดๆ อย่ามาทะเลาะเบาะแว้งกันเองเลย ที่ฉันมาแจ้งข่าว ก็เพื่อที่ขุนณรงค์กับขุนวิเศษจักได้ไปขออโหสิกรรมกับเสมาเสียเท่านั้น” ขุนรามเดชะรีบพูดตัดบท
“อโหสิหรือขอรับ ข้าพระเจ้าไม่มีวันขออโหสิอ้ายเสมาเป็นอันขาด หากทำได้อยากจะฟันคอมันด้วยมือข้าพระเจ้าเสียด้วยซ้ำ”
ขาดคำทันใดนั้น ทุกคนก็ได้ยินเหมือนเสียงคนล้มลงกับพื้น เมื่อเข้าไปดูก็พบว่า ดวงแขเป็นลมล้มลงอยู่ที่มุมหนึ่งของบ้าน
“แม่ดวงแข” ขันเรียก
พุฒยิ้มสะใจที่เห็นดวงแขเป็นลมเพราะได้ยินข่าวเสมาถูกประหาร
ภายในบ้าน จำเรียงกอดมั่นร้องไห้ เช่นเดียวกับเอื้อยแตงที่นั่งร้องไห้อยู่ที่มุมห้องโดยที่มีสินและสมบุญ นั่งหน้าเครียดอยู่ใกล้ๆ
“หากพี่เสมาตาย แล้วต่อไปฉันกับพ่อจะอยู่กับใครเล่า คงไม่มีผู้ใดรักฉันกับพ่อเหมือนพี่เสมาอีกแล้ว” จำเรียงว่า
มั่นน้ำตาคลอ ลูบหัวจำเรียงด้วยความสงสารพลางปลอบ
“พี่เอ็งทำบุญมาเท่านี้ จึงบันดาลให้ทำศึกโดยประมาทจนต้องโทษ ทุกอย่างเป็นไปตามกรรม เอ็งอย่าเสียใจเลยจำเรียง”
สมบุญหน้าเศร้าๆแล้วบอก
“ก่อนศึกครานี้ พี่เสมามีเรื่องกลัดกลุ้มมากนัก คงเป็นเพราะเหตุนี้ เลยขาดความระวังจนต้องแตกพ่าย”
สินกับเอื้อยแตงเหล่มองกันรู้สึกผิดที่เป็นสาเหตุหนึ่งให้เสมาต้องรับโทษ แต้มถอนใจแล้วพึมพำว่า
“แต่บุญข้ายังมีที่ไม่ได้ยกนังเอื้อยแตงให้อ้ายเสมามิเช่นนั้น ลูกข้าคงเป็นหม้ายไปเสียแล้ว”
เอื้อยแตงโมโหขึ้นทันที
“พ่อ เหตุใดพ่อพูดเช่นนั้นเล่า”
“ก็ข้าพูดจริง นึกว่าจะพึ่งพาอ้ายเสมาเสียหน่อย ที่ไหนได้”
แต้มเดินหงุดหงิดออกจากเรือนไป อื้อยแตงมองตามด้วยความไม่พอใจที่มีพ่อเห็นแก่ตัว สินขบกรามแน่น สายตามุ่งมั่นเอาจริงแล้วบอก
“ถึงอย่างไร ฉันก็ต้องช่วยพี่เสมาให้จงได้ต่อให้ต้องบุกปล้นลานประหาร ฉันก็จะทำ”
ยามเย็น ภายในคุกหลวง ผู้คุมกำลังเก็บสำรับกับข้าวของเสมา สำรับนั้นมิได้พร่องลงแม้แต่น้อย เพราะเสมากินไม่ลง เสมานั่งหน้าซึมเศร้าอยู่ที่มุมคุก
“กินไม่ลง ก็ต้องฝืนใจบ้างนะคุณหลวง กลัดกลุ้มไป ก็ไม่มีกระไรดีขึ้นดอก” ผู้คุมว่า
“อ้ายน้องชาย ข้าอยากได้แหวนที่สวมติดนิ้วสักหน่อย เอ็งคืนให้ข้าได้หรือไม่” เสมาว่า
“ไม่ได้ดอก แล้วคุณหลวงจะเอาแหวนไปทำกระไร สำคัญนักรึ”
เสมาหน้าซึมลงไปอีก เพราะแหวนที่อยากได้คือ แหวนที่เรไรให้ไว้ตั้งแต่คราวออกศึกครั้งแรก ซึ่งเสมาพกติดตัวมาตลอดนั่นเอง
ฝ่ายเรไรเดินซึมอยู่ที่นอกชานบ้าน คิดถึงแต่เรื่องที่เสมาจะถูกประหารตลอดเวลา เรไรมองไปที่ต้นจำปีต้นเดิม ที่เป็นความรักความหลังอยู่ เรไรเอื้อมมือไปเด็ดดอกจำปีออกมาหนึ่งดอก เรไรมองดอกจำปีในมือ แล้วหลั่งน้ำตาลงมาอาบแก้ม แม้เรไรจะโกรธเสมาเพียงไหน แต่พอรู้ข่าวว่า เสมาจะตาย หัวใจของเรไรก็เหมือนถูกบีบราวกับจะตายตามเสมาเช่นกัน
เสมาใช้เศษฟาง เศษหญ้าในคุกมาผูกร้อยทำเป็นแหวน เพื่อแทนแหวนของเรไรที่ถูกริบไป
เสมาเอาแหวนเศษฟางสวมนิ้วตนแล้วมองดูต่างแหวนของเรไรวงนั้น เสมาสีหน้าเศร้าใจได้แต่เพียงพูดกับแหวนหญ้าฟางวงนั้น
“แม่หญิงเรไร สุดรักของเสมา ชาตินี้คงหมดบุญ สิ้นวาสนา จะได้พบหน้ากันอีกแล้ว”
เสมากุมมือที่สวมแหวนหญ้าฟางไว้แนบอก น้ำตาคลอขึ้นมาท่วมตา
อ่านต่อหน้า ๒ วันพรุ่งนี้
ขุนศึก ตอนที่ ๑o
ผู้คุมเดินนำเสมาที่ถูกล่ามโซ่ที่มืออยู่ออกมาจนถึงหน้าคุกหลวงตอนกลางคืน เสมาถามขึ้น
“น้องชาย เอ็งพาข้าออกมาที่นี่ทำกระไร”
ผู้คุมพูดไปขณะกำลังไขโซ่ที่ล่ามมือเสมา
“ประเดี๋ยวก็รู้เอง คุณหลวงอย่าถามกระไรมากเลย”
ผู้คุมไขโซ่เสร็จก็เก็บโซ่เดินเข้าข้างในไป เสมามองตามผู้คุมด้วยความแปลกใจ พอมองไปรอบๆก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งคลุมหน้ายืนหันหลังให้เสมา เสมาดีใจพลางคิดว่าเรไรแอบมา
“แม่หญิงเรไร”
เสมารีบเข้าไปหาผู้หญิงคนนั้นทันที
แต่ยังไม่ทันที่เสมาจะถึงตัว ผู้หญิงคนนั้นก็หันกลับมา ปรากฏว่าเป็นดวงแขนั่นเอง สีหน้าของเสมาผิดหวังเล็กน้อย
“แม่หญิงดวงแข เอ่อ แม่หญิงมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
ดวงแขยิ้มรับแล้วบอกว่า
“ฉันรู้ข่าวว่าออกหลวงต้องโทษ แต่เกรงว่าพี่ขันกับแม่ท่านจะไม่ให้มาพบ เลยแกล้งเป็นลมแลป่วยไข้ พอมืดค่ำจึงลอบออกมา ออกหลวงอย่าเพิ่งถามกระไรเลย รีบหนีก่อนเถิด”
“หนีรึ เราจะหนีได้อย่างไร”
“ฉันติดสินบนผู้คุมคุกไว้ ประเดี๋ยวจะเกิดเพลิงไหม้ขึ้น แล้วทำทีเป็นว่าออกหลวงใช้ความวุ่นวายหลบหนีไป อย่าช้าเลย หากมีผู้ใดมาเห็นเข้าจักลำบาก”
เสมาหน้าขรึมลง
“ขอบน้ำใจแม่หญิงนัก แต่ข้าพระเจ้าหนีไปไม่ได้ดอก”
“ไม่หนี แล้วจะยอมถูกประหารรึ” ดวงแขพูดอย่างร้อนใจ
“ข้าพระเจ้าทิ้งชีวิตไปแต่เมื่อแพ้ศึกแล้ว ที่ยอมกลับมารับโทษก็เพื่อดำรงความศักดิ์สิทธิ์ของอาญาทัพไว้เท่านั้น แล้วแม่หญิงจะให้ข้าพระเจ้าหนีอีกรึ”
“แล้วเสมาไม่ห่วงฉันบ้างรึ หากเสมาตายไป แล้วฉันจะอยู่ต่อได้กระไร”
เสมายิ้มบางๆ จับมือดวงแข
“น้ำใจแม่หญิงครานี้ เสมาจักจำไว้จนลมหายใจสุดท้าย แต่หากให้หนีโทษ ข้าพระเจ้าขอยอมตายลงในบัดเดี๋ยวนี้เสียดีกว่า”
เสมาปล่อยมือดวงแขแล้วเดินกลับไปเข้าคุก ดวงแขมองตามด้วยความขุ่นเคือง ไม่เข้าใจว่าทำไมเสมาถึงทำแบบนี้
ผู้คุมเปิดประตูคุกแล้วพาเสมากลับเข้าไปในคุก ภายในคุกมีพระราชมนูนอนหลับอยู่ ผู้คุมหงุดหงิดเพราะอดเงินสินบนพลางบ่น
“มีแต่คนเค้าอยากหนี แต่นี่กลับอยากตายเป็นบ้าไปรึคุณหลวง...”
ขาดคำ เสมาก็กระชากคอเสื้อผู้คุมมาขู่ตะคอกเสียงเหี้ยมทันที
“เอ็งรับสินบาดคาดสินบนยังกล้าพูดเช่นนี้อีกรึ สาบานมาว่าต่อไปจะไม่ทำเช่นนี้อีก มิเช่นนั้น ข้าจะกล่าวโทษเอ็งให้โดนตัดคอเช่นข้า”
ผู้คุมกลัวลนลาน
“สาบานจ้ะ ฉันจะไม่ทำอีกแล้วจ้ะ”
เสมายอมปล่อย ผู้คุมรีบกลัวลนลานหนีไป พระราชมนูที่นอนอยู่ลืมตาตื่นขึ้นแอบมองเสมา พร้อมกับยิ้มเล็กน้อย พอใจในความซื่อสัตย์ของเสมา
เวลาเช้า … ขัน และพุฒ พร้อมทหารอาวุธครบมือบุกขึ้นเรือนเสมา ท่ามกลางความตกใจของสิน เอื้อยแตงและแต้มที่กำลังกินอาหารเช้ากันอยู่ แต้มโวยวายลั่น
“เฮ้ยๆกระไรกันวะ เกรงอกเกรงใจกันบ้าง คนกำลังกินข้าวกินปลาไม่เห็นรึ”
ขันตะคอก ชี้หน้าแต้ม
“หุบปากอ้ายเฒ่า อ้ายเสมาจะถูกฟันคอวันพรึ่งแล้ว ทั้งเรือนแลข้าวของทั้งหมดต้องถูกริบเป็นของหลวง ข้ากับขุนวิเศษเป็นแม่กองรับผิดชอบเรื่องนี้เอง” ขันหันไปสั่งลูกน้อง
“เฮ้ย ค้นให้ทั่ว”
พวกทหารลุยค้นเรือนเสมาทันทีเพื่อหาของมีค่า …
สินมองหน้าขันด้วยสายตาเกลียดชัง
“นี่ถึงขั้นเสนอตัวเป็นแม่กองริบเรือนเองเลยรึ หากรู้อย่างนี้ วันที่เอ็งต้องโทษ ข้าคงฉวยโอกาสกำจัดไปแล้ว ไม่ปล่อยให้คนเนรคุณเช่นเอ็งขึ้นค้นเรือนเช่นนี้ดอก”
“เอ็งอย่าปากดีนักอ้ายพันทิพ หากข้ารู้ว่าเอ็งจงใจช่วยเหลืออ้ายเสมาเอ็งไม่รอดแน่”
พวกทหารค้นจนทั่วก็เดินออกมาหาขันและพุฒ
“ว่าอย่างไร พวกเอ็งเจอกระไรบ้าง” พุฒถามขึ้นอย่างร้อนใจ
“ไม่เจอเลยขอรับ ไม่มีผู้ใดอยู่ ข้าวของก็มีแต่ถ้วยหักกะลาบิ่นหาค่ามิได้เลยขอรับ” ทหารคนหนึ่งพูดขึ้น
“ผู้ใดก็รู้ ว่าหลวงโจมจัตุรงค์ยากจนนัก เงินทองที่ได้เป็นบำเหน็จศึกก็เอาไปไถ่ตัวน้องจนสิ้น หากผู้ใดยังคิดริบของมีค่าอีกก็โง่เต็มทนแล้ว” เอื้อยแตงพูดยิ้มเยาะ
ขันหันมาตะคอกเอื้อยแตง
“พวกเอ็งเอาพ่อกับน้องอ้ายเสมาไปซ่อนไว้ที่ใด”
สินตะคอกสวนทันที
“แล้วเอ็งจักอยากรู้ไปหากระไร แพ้ศึกไม่ได้เป็นกบฏ โทษไม่ถึงพ่อถึงน้องดอกโว้ย เว้นแต่เอ็ง จะหาเรื่องใส่ไคล้ก็บอกมา”
ขันขบกรามแน่น แต่ก็ไม่กล้าเถียงมากเพราะสินรู้ทัน พุฒมีสีหน้าติดใจสงสัยปนเสียดาย
“ไม่อยู่บนเรือน แล้วอยู่ที่ใดวะ”
สมบุญกำลังพายเรือให้จำเรียงกับมั่นนั่ง
“เมื่อโทษทัณฑ์ไม่ถึงข้ากับนังจำเรียง แล้วเราต้องหนีด้วยรึพ่อพันเทพ” มั่นพูดขึ้น
“กันไว้ก่อนเถิดจ้ะ อ้ายขันเป็นคนพาลสันดานหยาบ หากไม่มีพี่เสมาแล้ว มันอาจจะหาเรื่องกลั่นแกล้งเอาได้” สมบุญบอก
“หากพี่เสมาโดนประหาร แม้ศพฉันก็ยังไม่ได้เห็นอีกรึ” จำเรียงถาม
“มันเป็นคราวจำเป็น แม่จำเรียงกับพ่อมั่นเอาตัวรอดก่อนเถิด เรื่องที่เหลือฉันกับอ้ายสินจัดการเอง”
“แม้เรือนก็ยังไม่มีอยู่ ไม่รู้จะตามทำร้ายกันไปถึงเพียงไหน”
“ถึงไม่มีเรือนแลของมีค่า แต่พี่เสมายังมีของสำคัญอีกอย่าง หากผู้ใดเป็นทหาร ย่อมอยากได้ไว้ทั้งสิ้น ฉันจึงเกรงว่าพ่อกับแม่จำเรียงจะพลอยเดือดร้อนไปด้วย”
“ของสำคัญ อ้ายเสมาน่ะรึ มีของสำคัญ หรือพ่อพันเทพหมายถึง...” มั่นพูดค้างไว้
ขุนรามเดชะกำลังพูดคุยกับพันอินด้วยสีหน้าเคร่งเครียดที่บ้านพันอิน
“ดาบแสนศึกพ่ายของอ้ายเสมา นับเป็นยอดศาตราวุธที่หายากยิ่ง”
ศรีเมืองถือถาดใส่ขันน้ำลอยดอกมะลิ กับขนมทานเล่นออกมาให้
“อ้ายมั่นพ่ออ้ายเสมาเป็นช่างตีดาบที่หาตัวจับยาก เมื่อตีดาบคู่มือให้ลูกชาย ย่อมต้องตีให้ดีกว่าทุกคราว แลได้พระครูขุนวัดพุทไธสวรรย์ปลุกเสกอีก ฉันจึงเสียดายนักหากต้องถูกริบไป” ขุนรามเดชะว่า
“แต่วันพรึ่ง พี่เสมาก็ต้องถูกประหารแล้ว คงช่วยกระไรไม่ได้แล้วกระมังจ๊ะ”
“ไม่ดอก ลุงให้คนตรวจดูแล้ว หามีดาบแสนศึกพ่ายในรายชื่อของที่ถูกริบไม่ หากอ้ายเสมาไม่ซ่อนไว้ก็คงยกให้ผู้อื่นไปแล้ว” ขุนรามเดชะหันไปเลียบเคียงถามพันอิน
“เอ่อ มิทราบว่าเสมาบอกกระไรท่านขุนบ้างหรือไม่ อย่างไรเสีย ท่านขุนก็เป็นพ่อบุญธรรมน่าจักฝากฝังกระไรไว้บ้าง”
พันอินยิ้มบางๆแล้วว่า
“ฉันรับเจ้าเสมาเป็นลูกบุญธรรมมานานปี เพิ่งรู้วันนี้เองว่าดาบคู่มือมันชื่อดาบแสนศึกพ่าย นับแต่ฉันกับเสมาผิดใจกันเรื่องแม่ศรีเมือง ก็ไม่ใคร่ได้พูดจากันเท่าใดดอก ออกหลวงลองถามผู้อื่นเถิด”
ขุนรามเดชะผิดหวังมาก
“ถ้ากระนั้นก็ช่างเถิด ฉันลาก่อนนะท่านขุน”
พันอิน และศรีเมืองไหว้ลาขุนรามเดชะ รามเดชะเดินเซ็งๆกลับไป ศรีเมืองมองตามด้วยความไม่พอใจ “เห็นชังน้ำมะหน้าพี่เสมานัก แต่กลับไม่รังเกียจดาบของไพร่ต่ำสกุล อย่างนี้เค้าเรียก...”
“แม่ศรีเมือง” พันอินปรามไม่อยากให้ลูกก้าวร้าว
“ขอประทานอภัยเจ้าค่ะพ่อท่าน”
พันอินมองตามรามเดชะไป ไม่พอใจเหมือนกันที่ขุนรามเดชะเป็นคนแบบนี้
ภายในห้องนอนของดวงแข ขันกำลังทะเลาะกับดวงแขโดยมีอำพันนั่งหน้าเครียดอยู่ใกล้ๆ
“วันพรึ่งมันก็จะโดนบั่นคอแล้ว แม่ดวงแขยังจะให้พี่ช่วยมิเท่ากับให้พี่ไปตายแทนอ้ายเสมารึ” ขันว่า
“ฉันไม่ได้หมายความเช่นนั้น แค่อยากให้พี่ขอร้องบรรดาออกญาผู้ใหญ่ ให้ช่วยกราบบังคมทูลขอโทษตายเท่านั้น เพียงเท่านี้ไม่มีผู้ใดเดือดร้อนดอก”
“ช่วยน้องสักคราเถิดพ่อขัน แม่ดวงแขรับกับแม่แล้วว่ามีใจให้หลวงโจม หากหลวงโจมตายเสียน้องจะอยู่อย่างไรเล่า” อำพันว่า
“เงินทองเรามีออกพะเนิน จะอยู่ไม่ได้เพราะอ้ายช่างตีเหล็กก็ให้มันรู้ไป ลูกจะไม่ช่วยมันเป็นอันขาด เพราะลูกไปขอออกญายมราชให้ลูกคุมการประหารแล้วด้วย ครานี้ลูกได้เห็นคอมันขาดคาตาแน่” ขันยิ้มเหี้ยม
“พี่ขัน นี่ทำถึงเพียงนี้เชียวรึ ถ้ากระนั้นฉันจะบอกแม่เรไรให้หมดว่า แม่เรไรหลงโกรธเสมาเพราะอุบายของฉันกับพี่”
“นี่เจ้าสองคนทำกระไรกัน” อำพันถามอย่างตกใจ
“ก็ตามใจแม่ดวงแขเถิด หากอ้ายเสมาตายจากไปแล้ว อย่างไรเสียแม่หญิงเรไรก็ไม่พ้นมือพี่เป็นแน่ ถึงจักโกรธเกลียดพี่ แม่หญิงก็ขัดใจท่านอาขุนรามไม่ได้ดอก”
ขันเปิดประตูเดินหงุดหงิดออกจากห้องไป ดวงแขได้แต่มองตามด้วยความแค้นใจขันที่ไม่ยอมช่วยเหลืออะไรเลย
เวลาเย็น ภายในบ้านขุนรามเดชะ พิณกำลังคุกเข่ารายงานให้เรไรฟัง
“วันพรึ่งหลังจากหลวงโจมโดนประหารแล้ว ก็คงริบเรือนแลของมีค่าทั้งหมด”
เรไรตกใจจนหน้าซีดเผือด
“แต่บ่าวรู้มาว่า พ่อเฒ่ามั่นกับแม่จำเรียงหลบหนีไปแล้ว คงเกรงว่าหลังจากหลวงโจมตาย ขุนณรงค์จะกลั่นแกล้งกระมังเจ้าคะ”
“นี่ถึงขั้นบ้านแตกสาแหรกขาดกันเชียวรึ” เรไรพูดอย่างเศร้าใจจนพิณนึกสงสาร
“แล้วแม่หญิงจะไปเยี่ยมหลวงโจมหรือไม่เจ้าคะ หากไม่ไปก็คงไม่มีโอกาสอีกแล้วนะเจ้าคะ”
เรไรลังเลสุดๆ ไม่รู้จะเอายังไงดี ขณะนั้นเอง ลำภูก็เดินออกมาจากข้างในและพูดขึ้นอย่างรู้ทัน
“จะชวนลูกข้าออกไปที่ใดรึนังพิณ”
พิณ รีบก้มหน้าหลบตาทันที
“เปล่า เปล่าเจ้าค่ะ”
ลำภูเหล่มองพิณแบบระแวง ก่อนจะหันไปพูดกับเรไร
“แม่เรไรคงไม่ลืมว่า คราก่อนพ่อของลูกต้องโทษเพราะผู้ใดปรักปรำ หวังว่าแม่เรไรคงไม่กระทำ
การใดให้เสื่อมเสียไปกว่านี้อีก”
เรไรหน้าขรึมลง
“แม่ท่านวางใจเถิดเจ้าค่ะ ลูกลั่นปากว่าตัดเป็นตัดตายกับชายผู้นั้นแล้ว ลูกก็ไม่คิดจะไปพบหน้าให้ถูกติฉินนินทาดอกเจ้าค่ะ”
สายตาเรไรดูแข็งกร้าว เด็ดเดี่ยวกับการตัดสินใจ
ผู้คุมเดินนำเสมาซึ่งถูกล่ามโซ่ที่มือออกมาจากคุกในเวลากลางคืน ผู้คุมหันไปไขโซ่ที่มือให้เสมา พอโซ่หลุด เสมาก็กระชากคอเสื้อผู้คุมทันทีแล้วตะคอกใส่ทันที
“เอ็งสาบานแล้วไม่ใช่รึ ว่าจะไม่รับสินบนอีก แล้วนี่หมายความว่ากระไร”
“หามิได้ ฉันไม่ได้รับสินบนจริงๆ เพียงแต่มีคนอยากพบคุณหลวง เลยขอให้ฉันช่วยเท่านั้นจ้ะ”
“ผู้ใดอยากพบข้า”
ผู้คุมชี้นิ้วให้เสมาดู เสมามองตาม เห็นผู้หญิงคนหนึ่งคลุมผ้ายืนหันหลังให้เสมาอยู่ห่างออกไป เสมาถอนใจแล้วพึมพำขึ้น
“แม่หญิงดวงแข”
ผู้คุมปล่อยเสมาให้แล้วเดินเข้าไปหาแล้วรีบเดินหนีไปทันที
“แม่หญิง...”
ผู้หญิงคนนั้นหันกลับมา ปรากฏว่าเป็นเรไรนั่นเอง เสมานึกไม่ถึงก่อนจะยิ้มดีใจสุดๆ แต่ยังไม่ทันพูดอะไร เรไรก็โผเข้ากอดเสมาทั้งน้ำตาคลอ เสมาอึ้งไปคิดด้วยไม่ถึง เสมากอดเรไรตอบด้วยความรักสุดหัวใจ เรไรน้ำตาคลอ ทั้งรักทั้งแค้น
“ฉันชังท่านนัก ฉันเคยลั่นปากตัดเป็นตัดตายจะไม่พบหน้าท่านอีก แต่ท่านก็ทำให้เสียสัตย์ครั้งแล้วครั้งเล่า”
เสมายิ้มบางพลางว่า
“นั่นแม้เพราะถึงเราโกรธเคืองกัน แต่ไม่ได้เกลียดกัน แม่หญิงถึงตัดข้าพระเจ้าไม่ขาดไงเล่า”
เรไรผละจากกอด มองหน้าเสมาด้วยความรักและเศร้าเสียใจพร้อมๆกัน
“แต่ครานี้คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่เราสองจะได้เจอหน้ากัน ไม่ว่าแต่ก่อนเกิดเรื่องกระไรขึ้น ฉันก็ขออโหสิให้ทั้งสิ้น”
เสมามองเรไรด้วยความรักเต็มเปี่ยม
“แต่ข้าพระเจ้าไม่ยอมอโหสิให้แม่หญิงเป็นอันขาด เพื่อที่ข้าพระเจ้าจะได้ตามพบเจอแม่หญิงทุกชาติทุกชาติไป”
เรไรน้ำตาคลอเบ้าท่วมขึ้นมาอีก เสมาดึงเรไรกลับเข้ามากอดไว้แนบแน่น ไม่ว่าจะโกรธกันแค่ไหน แต่ตอนนี้มีแต่ความรักเท่านั้นที่มอบให้กัน
พระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า ผู้คุมเปิดประตูคุกให้เสมาเดินออกมาหาพุฒซึ่งจัดอาหารอย่างดีทั้งหมูเห็ดเป็ดไก่เต็มโต๊ะเพื่อเอาใจเสมา
“คงเห็นว่าฉันใกล้จักตายแล้วกระมัง ขุนวิเศษจึงจัดอาหารคาวหวานอย่างดีให้ฉันเช่นนี้” เสมาว่า
พุฒยิ้มประจบแล้วว่า
“ฉันเพียงแต่เห็นว่าเราเป็นอริกันมานานนัก จึงอยากขออโหสิกับคุณหลวงเสีย แลใคร่จะทำคุณกับหลวงท่านสักครั้งหนึ่งพอเป็นเครื่องขมาลาโทษ”
เสมาหัวเราะ
“ยังจะมีสิ่งใด พอจะเป็นคุณแก่ข้าพระเจ้าในขณะจะตายนี้พอให้ท่านสนองได้อีกรึ” เสมาว่า
“ก็เรื่องพ่อท่านกับแม่จำเรียงกระไรเล่า หรือคุณหลวงไม่รู้ ว่าขุนณรงค์นั้นถืออาฆาตนัก แม้ท่านตายไปก็ยังไม่วายกลั่นแกล้งพ่อแลน้องท่านอีก คุณหลวงคงไม่อยากให้พ่อกับน้องต้องคอยหลบหนีลำบากได้ยากกระมัง”
“อีกไม่นานนัก คอเสมาก็จะไม่อยู่บนบ่าแล้ว ขุนวิเศษอย่ามัวอ้อมค้อมอยู่เลย ท่านต้องการสิ่งใดแลกเปลี่ยนก็บอกมาเถิด”
พุฒยิ้มเจ้าเล่ห์
“ดาบแสนศึกพ่ายของคุณหลวงอยู่ที่ใดรึ”
เสมามองพุฒแล้วยิ้มบางๆ เพราะเดาไว้ไม่ผิดจึงแกล้งถอนใจ
“ฉันใกล้ตายแล้วใช่จะหวงสมบัตินอกกาย แต่หลวงรามเดชะมีพระคุณเคยอุปการะฉันมาแต่ก่อน จึงตั้งใจจะยกดาบคู่นี้ให้”
พุฒรีบยุแยงทันที
“หลวงรามเค้าชังท่านนักสารพัดจะดูถูก ไม่เช่นนั้นจะกีดกันท่านกับแม่หญิงเรไรรึ แลหลวงรามมีคุณแค่รับท่านเป็นทหารเท่านั้น ถึงท่านไม่สังกัดหลวงรามก็ไปสังกัดผู้อื่นได้ จะถือเป็นคุณกระไรนัก เชื่อฉันเถิดคุณหลวง หากคุณหลวงบอกที่ซ่อนดาบ ฉันให้สัตย์ว่าจะดูแลพ่อกับน้องท่านอย่างดี”
เสมาแกล้งทำเป็นกลัดกลุ้ม ลังเลว่าจะเอาไงดี ผู้คุมแอบฟังการสนทนาด้วยสีหน้าแววตาเจ้าเล่ห์
ที่หน้าบ้าน ขุนรามเดชะกำลังตื่นเต้นขณะคุยกับผู้คุมของเสมา
“จริงรึ หลวงโจมเอาดาบไปซ่อนถึงป่าโตนดเชียวรึ”
“ไม่ผิดดอกขอรับ ข้าพระเจ้าได้ยินมาเต็มสองหู ว่าซ่อนดาบไว้ใต้ไม้ใหญ่ในป่าโตนดก่อนข้ามลำน้ำขอรับ”
“ไม่เสียแรงที่ข้าไหว้วานให้เอ็งคอยสืบข่าวให้”
ขุนรามเดชะหยิบถุงใส่เงินยื่นให้ผู้คุม ผู้คุมยกมือไหว้แล้วรับถุงใส่เงินมาด้วยความดีใจ
“มีอีกข้อขอรับ ทีแรกหลวงโจมตั้งใจจะยกดาบให้พระคุณ แต่ขุนวิเศษให้สัตย์ว่าจะปกป้องพ่อแลน้องของหลวงโจมไว้ หลวงโจมจึงได้เปลี่ยนใจขอรับ”
ขุนรามเดชะมีสีหน้าไม่พอใจ
“หลวงโจมคงรำลึกถึงคุณที่ข้ารับเป็นทหาร จึงจะยกดาบให้ แต่ขุนวิเศษทำเช่นนี้ก็เหมือนตัดหน้าข้า แลตัวเองก็ใช้กระบี่เป็นอาวุธ แล้วจักอยากได้ดาบไปเพื่อกระไร ช่างโลภมากนัก”
“ถ้ากระนั้นพระคุณรีบไปเถิดขอรับ ทางไปป่าโตนดไกลนัก หากช้าขุนวิเศษจะชิงดาบไปเสียก่อน”
ขุนรามเดชะ สีหน้าขึงขังไม่พอใจ ยังไงก็ไม่ยอมให้คนอื่นแย่งดาบไปแน่
ยามเช้า … สินกำลังเช็ดถูเรือนบ้านเสมาอยู่ เอื้อยแตงเดินหงุดหงิดออกมาจากข้างใน พอเห็นสินเช็ดถูเรือนอย่างไม่มีท่าทีเดือดร้อนอะไร เอื้อยแตงก็ยิ่งหงุดหงิด
“เอ็งเป็นสุขเหลือเกินนะอ้ายสิน อีกไม่กี่ชั่วยามพี่เสมาก็จะถูกประหารแล้ว คงดีใจล่ะซี”
สินชักไม่พอใจขึ้นมาทันที
“แม่เอื้อยแตงเห็นข้าเลวถึงเพียงนี้เชียวรึ ถ้าข้าคิดชั่วจริงอย่างใจแม่คิด คราวที่พี่เสมาจะฆ่าตัวตาย ข้าจะช่วยไว้รึ เหตุใดไม่คิดบ้างเล่า”
เอื้อยแตงเห็นสินโกรธก็เสียงอ่อยลง
“ก็ข้าเห็นเอ็งเย็นใจหามีท่าทีเดือดร้อนกระไรไม่ ก็ต้องเข้าใจเช่นนั้นซี”
“ฉันห่วงพี่เสมาไม่น้อยกว่าแม่เอื้อยแตงดอก แต่แรกคิดจะปล้นลานประหารเสียด้วยซ้ำ แต่อ้ายสมบุญเตือนฉันว่า อ้ายขันต้องให้ทหารล้อมไว้แน่นหนาคงยากที่จักทำการสำเร็จ ฉันจึงคิดหาทางอื่นจนไม่ได้นอนทั้งคืน เพิ่งจักหาทางได้เมื่อรุ่งสางนี้เอง”
“ทางกระไรรึ” เอื้อยแตงน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ
สินเห็นเอื้อยแตงตื่นเต้นก็มีท่าทีกระหยิ่มยิ้มย่อง อยากอวดความสามารถให้เอื้อยแตงเห็น
ยามเช้าที่วัดพุทไธสวรรย์ พระครูขุนกำลังรินน้ำชาร้อนๆขึ้นจิบด้วยสีหน้าครุ่นคิด โดยมีสิน สมบุญและเอื้อยแตงนั่งพับเพียบอยู่ใกล้ๆ
“เอ็งจักให้ข้าบิณฑบาตชีวิตอ้ายเสมาเช่นเดียวกับที่สมเด็จพระพนรัตน์ท่านทำไม่ได้ดอก เพราะข้าไม่ได้มีบรรดาศักดิ์สงฆ์ ผู้ใดจะยอมให้ข้าเข้าเฝ้าองค์พ่ออยู่หัวกัน”
“อ้าว” สินร้องขึ้นอย่างหน้าเสีย
เอื้อยแตงเซ็งสุดๆ
“ข้ามันโง่เองที่หลงเชื่อปัญญาเอ็ง นี่รึ คิดจนไม่ได้นอนทั้งคืน แต่แรกที่ข้ารู้ว่าพี่เสมาต้องโทษ ข้าก็มาหาหลวงตาท่านแล้ว แต่ท่านช่วยไม่ได้ดอก ข้าจึงกลุ้มใจนัก”
สินกลายเป็นโง่ไปซะอีก
“ฉันจะไปฉลาดเหมือนแม่เอื้อยแตงได้กระไรล่ะจ๊ะ”
เอื้อยแตงทิ้งค้อน ถ้าไม่ใช่ต่อหน้าพระคงด่าแหลกไปแล้ว
สมบุญหน้าเครียดขึ้นทันที
“แล้วเราไม่มีหนทางอื่นใดที่จักช่วยพี่เสมาได้เลยหรือขอรับ ข้าพระเจ้าเที่ยวขอความเมตตาจากออกญาผู้ใหญ่หลายท่าน แต่ก็ไม่มีผู้ใดช่วยได้เลย”
“ผู้อื่นช่วยไม่ได้ดอก แต่มีอยู่ผู้หนึ่งที่ช่วยได้ แล้วหากชะตาอ้ายเสมายังไม่ถึงฆาต วันนี้ ข้าก็อาจจะได้พบท่านผู้นั้น”
ทั้งสิน สมบุญและเอื้อยแตงตื่นเต้นมากถามขึ้นพร้อมกันด้วยสีหน้าอยากรู้มาก
“ผู้ใดกันขอรับ / ผู้ใดกันเจ้าคะ”
พระครูขุนมีสีหน้านิ่งขรึมไป
ในโบสถ์วัดพุทไธสวรรย์ พระวิสุทธิกษัตรีย์ทรงก้มลงกราบพระประธานในโบสถ์ หลังกราบเสร็จพระองค์พีราชดำเนินออกมาจากโบสถ์ โดยหน้าโบสถ์มีข้าหลวงคอยต้อนรับ และมีโขลน (ตำรวจวังหญิง) คอยให้ความคุ้มกัน
ขณะนั้นเอง พระครูขุนก็เดินเข้ามาพระวิสุทธิกษัตรีย์
“โยมจะเสด็จกลับแล้วรึ”
“เจ้าค่ะ หลวงพ่อมีกระไรหรือเจ้าคะ”
“อาตมามีเรื่องทุกข์ใจ ใคร่อยากจะขอพระเมตตาจากโยม ช่วยอาตมาสักหน่อย”
“บอกมาเถิดเจ้าค่ะ การทำให้สมณะชีพราหมณ์ปฏิบัติธรรมโดยเป็นสุขเป็นหน้าที่ผู้เกิดในตระกูลกษัตริย์อยู่แล้วเจ้าค่ะ”
พระครูขุนยิ้มบางๆ เริ่มมีความหวังที่จะช่วยเสมาได้แล้ว
ยามเช้า ภายในห้องนอนของดวงแข ขันให้ทาสหญิงช่วยกันจับดวงแขเข้าไปขังในห้องนอน ดวงแขพยายามดิ้น
“ปล่อยข้า พวกเอ็งกล้าเหิมเกริมจับข้ารึ ปล่อยข้า พี่ขัน ทำกับน้องถึงเพียงนี้เชียวรึ”
“หากแม่ดวงแขไม่ดื้อกับพี่ ไหนเลยพี่จะทำเล่า”
ขันหันไปสั่งทาสหญิง
“เอาตัวแม่หญิงดวงแขไปไว้ในห้อง”
พวกทาสช่วยกันพาดวงแขไปไว้ในห้องนอน แล้วปิดประตูลงกลอนล่ามโซ่ขังดวงแขไว้ ดวงแขทุบประตูไม่ยั้งด้วยความโมโหมาก
“เปิด เปิดซีเปิดประตูให้น้องออกไปประเดี๋ยวนี้ พี่ขันๆ”
อำพันได้ยินเสียงลูกสาวเอะอะ ก็รีบเดินเข้ามาดู
“นี่ทำกระไรน่ะพ่อขัน เป็นบ้าไปแล้วรึ ปล่อยน้องประเดี๋ยวนี้นะ” อำพันว่า
“แม่ท่านรู้หรือไม่ขอรับ ว่าแม่ดวงแขยังคิดขัดขวางไม่ให้ลูกประหารอ้ายเสมา แม่ท่านก็รู้ว่าขัดพระบรมราชโองการมีโทษสถานใด ถ้าแม่ท่านอยากให้ปล่อยแม่ดวงแข เพื่อให้แม่ดวงแขไปตาย ก็ตามแต่ใจเถิดขอรับ”
ขันพูดจบก็เดินเลี่ยงไป อำพันอึ้งทำอะไรไม่ถูก ไม่ปล่อยก็สงสาร แต่ปล่อยก็กลัวดวงแขไปตายจริงๆ
ตำรวจคุมตัวเสมากับพระราชมนูที่ถูกล่ามโซ่ทั้งมือทั้งเท้าออกจากคุกเพื่อจะเอาไปประหาร
พระราชมนูยิ้มๆแล้วว่า
“คงถึงคราวของเราสองแล้วคุณหลวง ฉันสั่งเสียลูกเมียไว้สิ้นแล้ว คุณหลวงเล่า”
“ข้าพระเจ้าไม่มีสิ่งใดจักสั่งเสียดอกขอรับ เพียงแค่ได้ร่วมตายกับทหารกล้าเช่นพระคุณ ก็เป็นเกียรติสูงสุดแล้วขอรับ”
พระราชมนูยิ้มพอใจ ก่อนจะหันไปพูดกับตำรวจ
“เอ็งรู้หรือไม่ ว่าผู้ใดจะมาคุมการประหารข้าจักได้ขออโหสิกรรมเสียแต่เพลานี้”
ตำรวจยังไม่ทันตอบ ขันก็เดินยิ้มสะใจเข้ามาหา
“ข้าพระเจ้าเองขอรับคุณพระ ข้าพระเจ้าก็ตั้งใจจะขออโหสิกรรมกับคุณพระอยู่แล้ว”
ขันหันไปจ้องหน้าเสมาด้วยสายตาเหี้ยมเกรียม
“แต่กับบางคน ข้าพระเจ้าไม่เคยคิดอโหสิให้ หากจะจองเวรกันต่อไป ข้าพระเจ้าก็พร้อมจะจองเวรด้วย”
เสมาจ้องขันนิ่ง แล้วยิ้มเยาะ
“คงจะติดใจรสดาบของข้ามากกระมังขุนณรงค์ ชาตินี้โดนไปหลายแผลยังไม่พอจึงอยากโดนในชาติหน้าด้วย”
ขัน และเสมา จ้องหน้ากันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ต่างฝ่ายต่างไม่ลงให้กัน
เรไรเดินซึมๆออกมาที่นอกชานเรือน โดยมีพิณเดินตามรับใช้มาติดๆ เรไรเหม่อมองไปที่ต้นจำปีต้นเดิม ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นความรัก ขณะที่เรไรกำลังมองต้นจำปีด้วยสายตาเศร้าสร้อย พลันได้ยินเสียงกลองตีดังนำมา เรไรก็ใจหายวูบวาบ
“เสียงกลองกระไรเจ้าคะแม่หญิง สายป่านฉะนี้ ยังมีวัดใดตีกลองอีก” พิณถามขึ้น
เรไรหน้าเสียแล้วตอบ
“ไม่ใช่วัดดอก แต่เป็นเสียงกลองบอกว่าจะมีการประหารต่างหาก”
“แม่หญิงจะไม่ไปหาหลวงโจมจริงหรือเจ้าคะ ครั้งสุดท้ายแล้ว”
เรไรน้ำตาคลอเบ้า ความกดดันโศกเศร้าที่เก็บกดไว้ด้วยทิฐิ พังทลายลงจนหมด
“แล้วเจ้าจะให้ฉันไปดูคนที่ฉันรักตายต่อหน้ารึ”
พิณนิ่งไป รู้ว่าเรไรเสียใจมากขนาดไหนเลยไม่กล้าพูดอีก เรไรน้ำตาไหลซึมออกมา นับจากนี้เรไรจะไม่ได้เห็นหน้าเสมาอีกแล้ว
อ่านต่อหน้า ๓ วันพรุ่งนี้
ขุนศึก ตอนที่ ๑o (ต่อ)
ยามบ่ายในท้องพระโรง สมเด็จพระนเรศวรกำลังคุยกับพระวิสุทธิกษัตรีย์ โดยมีพระเอกาทศรถประทับยืนอยู่ใกล้ๆ ในขณะที่สิน สมบุญ และมหาดเล็กคนอื่นๆนั่งคุกเข่าเข้าเฝ้าอยู่ใกล้ๆ
“แม่เห็นว่าศึกละแวกครานี้ ใช่ว่าเราจะพ่ายแพ้ก็หาไม่ แม้จะตีเมืองละแวกไม่แตก แต่ก็ยังได้เมืองปัตบองแลโพธิสัตว์ หากยังลงโทษถึงตายอีกก็หาควรไม่”
“ใช่ว่าลูกจะมีใจคอโหดร้าย แต่อาญาทัพ แม้เป็นพ่อลูกก็เว้นไม่ได้ ไม่เช่นนั้นเหล่าทหารจะไม่ยำเกรงจนทำศึกย่อหย่อนให้เป็นอันตรายต่อบ้านเมืองได้”
พระเอกาทศรถคิดอยู่ครู่นึง
“ถ้ากระนั้นก็เว้นโทษตายแต่ให้คงโทษเป็นไว้ โดยให้พระราชมนูไปรบศึกอื่นเพื่อแก้ตัว ส่วนหลวงโจมก็ให้ปลดไปเป็นตะพุ่นหญ้าช้างเสีย เห็นเป็นเช่นไรพระพุทธเจ้าข้า”
“แม่เห็นด้วยกับองค์ขาว แลแม่ตั้งใจจะสร้างพระที่พิษณุโลกสองแควจึงอยากให้ลูกประทานชีวิตให้เป็นทานเพื่อเป็นกุศลในการสร้างพระของแม่ด้วย”
“เมื่อสมเด็จแม่ตรัสเช่นนั้น ลูกก็ขอถวายเป็นกุศลด้วย”
สมเด็จพระนเรศวรหันไปสั่งสินและสมบุญ
“พวกเจ้าจงเร่งไปเอาธงห้ามการประหารไปโดยเร็ว เพราะใกล้ถึงฤกษ์ประหารแล้ว”
สินกับสมบุญดีใจสุดๆ ถวายบังคมขึ้นพร้อมกัน
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณพระพุทธเจ้าข้า”
มหาดเล็กคนหนึ่งกำลังไขโซ่เพื่อเปิดประตูห้อง โดยมีสินและสมบุญยืนลุ้น กระวนกระวายอยู่ใกล้ๆ
“ธงมีหลายผืน แต่ละผืนจะแจ้งสัญญาณต่างกัน หัวพันจงไปหยิบธงขลิบขาวที่แขวนไว้บนผนัง แล้วรีบไปเถิด”
สินยิ้มแย้มดีใจ
“ขอบน้ำใจมากจ้ะพ่อ”
สินรีบเข้าไปในห้อง ซักพักก็กลับออกมาพร้อมธงขาวผืนใหญ่
“ข้ารีบไปก่อนนะอ้ายสมบุญ”
สินรีบวิ่งนำธงขาวไปทันที
มหาดเล็กมองตามแล้วฉุกคิดขึ้นแล้วร้องขึ้นอย่างตกใจมาก
“ประเดี๋ยวก่อน กลับมาก่อน กลับมา”
“มีกระไรรึ” สมบุญถามอย่างแปลกใจ
“ข้าบอกให้เอาธงขลิบขาว หมายถึงธงแดงขลิบขาวที่แขวนบนผนัง ไม่ใช่ธงขาวทั้งผืน นั่นมันธงเร่งประหาร จะเอาไปทำกระไร”
สมบุญตกใจสุดๆ รีบวิ่งเข้าห้องแล้วออกมาพร้อมธงแดงขลิบขาวก่อนจะวิ่งตามสินไปทันที
บริเวณลานประหาร ชาวบ้านต่างทยอยมามุงดูการประหาร ตำรวจนำตัวเสมาและพระราชมนูมาถึงลานประหาร โดยมีขันเป็นหัวหน้าควบคุมการประหาร พร้อมทหารจำนวนมากคอยล้อมอยู่
“เหตุใดต้องใช้ทหารจำนวนมากคอยคุ้มกันด้วยเล่าขุนณรงค์ เพียงแค่คุมการประหารนักโทษสองคนเท่านั้น”
ขันเหล่มองเสมา
“ข้าพระเจ้าต้องกันไว้ เผื่อมีคนชั่วชิงนักโทษประหารขอรับ”
เสมามองหน้าขันด้วยสายตาถมึงทึง
“คนอย่างอ้ายเสมา หากผิดแล้วคิดหนีจะยอมนิ่งให้น้ำมะหน้าอย่างมึงเย้ยเล่นเช่นนี้รึ”
ขันยิ้มเหี้ยมแล้วว่า
“ปากกล้านักนะ เอาไว้กูฟันคอมึงลงมาเมื่อใด กูจะฟันปากมึงออกมาด้วย”
ขันหันไปสั่งเพชฌฆาต
“เตรียมการประหารได้”
ขันเดินไปนั่งที่นั่งสำหรับผู้ควบคุมการประหาร เสมามีสีหน้าเรียบเฉยไม่สะทกสะท้าน แต่แววตาเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว
สินควบม้าถือธงสีขาวมาตามทางเพื่อจะไปยับยั้งการประหารเสมา โดยไม่รู้ว่าธงนั้นเป็นการเร่งประหารแทน สินพูดกับม้า
“เร่งฝีเท้าอีกหน่อยโว้ย อ้ายทองลูกพ่อ ประเดี๋ยวไปไม่ทันพี่เสมา”
สินควบม้าเต็มที่ตั้งใจไปช่วยเสมาโดยไม่รู้อะไรเลย
บริเวณลานประหาร เพชฌฆาตตอกหลักประหารเสร็จแล้วหันไปหยิบพานที่ใส่เชือก ดอกไม้ธูปเทียนตามธรรมเนียม ตำรวจไขโซ่ที่มือและขาให้เสมา ก่อนที่ตำรวจจะพาตัวเสมาไปที่หลักประหาร เพื่อจับเสมามัดกับหลักแล้วผูกตาและผูกมือ
“ไม่ต้องดอก ข้าไม่ใช่คนกลัวตาย ไม่ต้องปิดตาแลมัดมือมัดเท้าข้า”
เสมาหันไปหยิบดอกไม้ธูปเทียนในพาน แล้วไปนั่งคุกเข่าพนมมือ เพื่อรอการประหาร
ขันหมั่นไส้สุดๆหันไปสั่งเพชฌฆาต
“ใกล้ตายแล้วยังอวดกล้า...เอ้าจะช้าอยู่ไย รีบฟันคออ้ายคนเก่งกล้านี่เสียที”
เพชฌฆาตเดินเข้าไปคุกเข่าขอขมาเสมา
“หลวงโจมจัตุรงค์ ฉันขอขมาเถิดอย่าเป็นเวรเป็นกรรมต่อกันเลย”
“เจ้าทำตามหน้าที่ ฉันไม่ถือโทษดอก เริ่มพิธีเถิด”
เพชฌฆาตก้มลงกราบเสมา พวกทหารที่คอยเล่นปี่กลองเพื่อสร้างจังหวะก่อนลงดาบก็เริ่มบรรเลงทันที เพชฌฆาตเริ่มรำดาบก่อนประหาร
เอื้อยแตงแหวกฝูงชนเข้ามาพอเห็นเสมานั่งคุกเข่าพนมมือด้วยอาการนิ่งสงบ เอื้อยแตงก็หวาดกลัวจับใจยกมือขึ้นพนม น้ำตาท่วมตา
สินกำลังเร่งควบม้าโดยมีสมบุญควบม้าถือธงแดงขลิบขาวตามหลังมาแต่อยู่ห่างจากกันค่อนข้างมาก
“ทำไมม้ามันฝีเท้าจัดเช่นนี้วะ อ้ายสิน หยุดก่อนโว้ย หยุดอ้ายสิน” สมบุญตะโกนลั่น
สินยังคงควบม้าต่อ ไม่ได้ยินเสียงสมบุญแม้แต่น้อย สมบุญเร่งควบม้าตามต่อด้วยสีหน้าเคร่งเครียดสุดๆ
เพชฌฆาตกำลังรำดาบอยู่ เพื่อรอฤกษ์และหาจังหวะฟันคอเสมา เสมามีสีหน้าสงบนิ่งเรียบเฉย ปราศจากความกลัวแม้แต่น้อย ขันยิ่งเห็นเสมาสงบนิ่งก็ยิ่งเจ็บใจเพราะคิดว่า เสมาจะกลัวตัวสั่นเพื่อจะได้เยาะเย้ยถากถางให้สาแก่ใจ ขันหันไปตะคอกทหารที่อยู่ใกล้ๆ
“กระไรวะ นานแล้วยังไม่ลงดาบอีก”
ทหารคนหนึ่งเงยหน้ามองพระอาทิตย์ ก่อนจะตอบขัน
“รอสักครู่เถิดขอรับ ยังไม่ได้ฤกษ์ประหาร ของเช่นนี้ต้องทำให้ถูกพิธีนะขอรับ”
ขันยิ่งหงุดหงิดหนัก จนทนไม่ไหว ความเกลียดชังพุ่งถึงขีดสุด
“หยุด พวกเอ็งไม่ต้องประหารแล้วข้าจะเป็นคนลงดาบเอง”
เพชฌฆาตและเหล่าทหารพากันตกใจ ไม่คิดว่าขันจะทำแบบนี้
เพชฌฆาตคุกเข่าพนมมือไหว้ขัน
“ไม่ได้ขอรับพระคุณของเช่นนี้ต้องทำให้ถูกพิธี ไม่เช่นนั้นจะเป็นเวรกรรมผูกพันกันไปขอรับ”
“เป็นก็เป็นซีวะ นึกว่าข้ากลัวมันรึ”
“พวกเจ้าอย่าขวางขุนณรงค์ท่านนี้เลย หากเขาไม่ได้ประหารข้ากับมือ คงอกแตกตายก่อนคอข้าขาดเป็นแน่” เสมาเยาะเย้ย
ขันเจ็บใจ แต่ขณะนั้นเองก็เหลือบไปเห็นธงขาวที่สินควบม้าถือมา
ขันยิ้มเหี้ยมชี้นิ้วให้ดู
“พวกเอ็งดูโน่นปะไร”
ทุกคนหันไปมองตามเห็นสินขี่ม้า โบกธงขาวมาแต่ไกลตามที่ขันบอก
“ธงขาวเร่งรับสั่งประหารของพระพุทธเจ้าอยู่หัวมาโน่นแล้ว พวกเอ็งกล้าขัดรับสั่งรึ”
ทุกคนพากันสลดลง ไม่มีใครกล้าขัดรับสั่ง เอื้อยแตง ตกใจแทบสิ้นสติ งงไปหมดว่าเกิดอะไรขึ้น ในเมื่อพวกตนพยายามขอชีวิตเสมา แต่กลับมีธงเร่งประหารมาแทน
บรรยากาศตลาดริมทางมีผู้คนเดินกันเต็มไปหมด สมบุญควบม้าถือธงแดงขลิบขาวมาถึง
“ขอทางหน่อย จะรีบไปช่วยชีวิตคน ขอทางหน่อย”
พวกชาวบ้านต่างรีบยกของหลบให้ม้าของสมบุญควบผ่านไป บางรายที่หลบไม่ทัน โดนม้าของ
สมบุญชนจนข้าวของเสียหายจนโดนด่าตามหลังเป็นทิวแถว สมบุญหน้าเสีย แต่ตอนนี้โดนด่าแค่ไหนก็ยอม เลยรีบหลับหูหลับตาควบม้าลูกเดียว
ขันแย่งดาบจากมือเพชฌฆาตมาแล้วตะคอกใส่
“พวกเอ็งมัวแต่ชักช้าร่ำไร จนธงเร่งรับสั่งตกมาถึง กลัวจะไม่โดนประหารหรือกระไรวะ”
ขันเดินเข้าไปหาเสมาด้วยสายตาเหี้ยมเกรียม เงื้อดาบจะฟันเสมา
“ครานี้มึงตายคามือกูแน่ อ้ายเสมา”
ทันใดนั้น เอื้อยแตงก็พยายามฝ่าทหารที่คอยล้อมอยู่เข้าไปช่วยเสมา เอื้อยแตงตะโกนลั่น
“อย่าเพิ่งฆ่าพี่เสมา”
พวกทหารรีบเข้ามาจับตัวเอื้อยแตงไว้ ไม่ให้เอื้อยแตงเข้าไปถึงตัวเสมา เสมาตกใจไม่คิดว่าเอื้อยแตงจะบุกเข้ามาแบบนี้
“นั่นปะไร อ้ายพวกปล้นลานประหารมาแล้ว” ขันว่า
“มึงอย่าใส่ไคล้ หญิงตัวคนเดียวจะปล้นลานประหารได้กระไร”
“พวกฉันทูลขอพระราชทานอภัยโทษแล้ว อีกไม่ช้า คงมีรับสั่งมาถึงอย่าเพิ่งประหารพี่เสมาเลย”
“มุสาแล้วอีไพร่ เอ็งไม่เห็นรึว่าธงเร่งประหารมาโน่นแล้วยังจักกล้าบอกว่ามีรับสั่งอภัยโทษอีกรึ เอาไว้ข้าประหารอ้ายเสมาเมื่อใด เอ็งถูกจับส่งนครบาลโทษฐานแอบอ้างรับสั่งแน่” ขันตะคอกใส่
“ฉันพูดจริง พระครูขุนท่านขอบิณฑบาตกับสมเด็จพระราชมารดาแล้ว พระองค์ท่านรับปากว่าจะทูลขอให้ แต่ฉันก็หาเข้าใจไม่ว่า เหตุใดจึงมีธงเร่งประหารมาอีก ถ้าอย่างไรรออีกสักครู่เถิด ผู้ถือธงสัญญาณมาเมื่อใดก็จะได้แจ้งกัน”
“กูไม่รอ เหตุใดกูต้องเชื่อมึงด้วย”
ขันหันกลับไปฟันดาบใส่คอเสมาทันที ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของเอื้อยแตง แต่เสมาระวังอยู่แล้ว เลยก้มหลบแล้วม้วนตัวหลบดาบได้หวุดหวิด ชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด ขันโมโหมาก
“อ้ายเสมา มึงคิดขัดขืนรึ”
เสมาลุกขึ้นยืน
“กูไม่ได้ขัดขืน แต่กูเชื่อคำเอื้อยแตง กูจึงจะรอผู้นำธงก่อนเพียงแค่ไม่กี่อึดใจ มึงทนไม่ได้เชียวรึอ้ายขัน”
ขันโมโหมากตะโกนสั่งทหาร
“ทหาร จับอ้ายกบฏนี่บัดเดี๋ยวนี้”
พวกทหารชักดาบ เตรียมรุมเสมาทันที
พระราชมนูตะโกนลั่น
“หยุด หากมีรับสั่งอภัยโทษตกมาจริง ผู้ใดทำร้ายหลวงโจม กูจะทูลให้ตัดคอเสียทั้งโคตร”
พวกทหารตกใจเห็นคนระดับแม่ทัพอย่างพระราชมนูสั่งเองก็เลยละล้าละลังไม่กล้า ขันโกรธจัดจนมือเท้าเกร็ง แต่ก็ไม่กล้าหุนหันด้วยเห็นว่าพระราชมนูเอาจริง
สมบุญควบม้าเร่งฝีเท้าสุดชีวิตกวดไล่หลังม้าสินมา สมบุญตะโกนเรียก
“อ้ายสิน อ้ายสิน”
สินเหลียวมอง
“หยุดม้าประเดี๋ยวนี้ เอ็งหยิบธงผิด”
ขันกำลังแค้นใจ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงชาวบ้านตะโกนขึ้น
“ธงมาแล้ว ธงสัญญาณมาแล้ว”
พวกชาวบ้านเริ่มหลีกทางทุกคนหันไปจับจ้องเป็นตาเดียวกัน สิน และสมบุญเดินฝ่าฝูงคนเข้ามา พร้อมกับธงแดงขลิบขาวในมือ สมบุญชูธงขึ้น
“มีพระบรมราชโองการให้ละเว้นโทษตายพระราชมนูแลหลวงโจมจัตุรงค์ ธงแดงขลิบขาวนี้ คือสัญญาณแทนรับสั่งของพระพุทธเจ้าอยู่หัว”
สินตะคอกใส่ทันที
“รีบปล่อยตัวพระคุณทั้งสองซีวะ พวกเอ็งจะขัดรับสั่งรึ”
พวกทหาร ตำรวจหน้าตาเลิ่กลั่กรีบไขโซ่ให้พระราชมนูทันที ในขณะที่ชาวบ้านต่างเฮกันลั่น เอื้อยแตง สิน และสมบุญดีใจกันสุดๆ ขันขบกรามแน่นด้วยความแค้น โอกาสฆ่าเสมาอยู่แค่เอื้อมแล้วแต่ก็พลาดไปจนได้
เสมาหันมายิ้มเย้ยใส่ขัน ขันโกรธอย่างเดือดดาล
พระราชมนูกำลังก้มลงกราบสมเด็จพระนเรศวร และสมเด็จพระเอกาทศรถ
“อ็งไม่ต้องมาขอบคุณข้าดอก คนที่เอ็งควรจักขอบพระคุณคือสมเด็จแม่ข้าต่างหาก”
พระราชมนูยิ้มแย้มอย่างโล่งอกที่รอดตาย
“ข้าพระพุทธเจ้าตั้งใจว่าเสร็จจากเข้าเฝ้าใต้ฝ่าพระบาท ก็จะขอเข้าเฝ้าสมเด็จพระราชมารดาพระพุทธเจ้าข้า”
“สมเด็จแม่ข้าเมตตาที่เอ็งติดตามข้ามานาน แต่คราหน้าเอ็งต้องทำศึกโดยรอบคอบ อย่าได้ปากพล่อยแลประมาทเช่นนี้อีก มิเช่นนั้น แม้สมเด็จแม่ข้าจะขอ ข้าก็คงอภัยให้เอ็งไม่ได้อีก”
พระราชมนูถวายบังคม
“รับด้วยเกล้าพระพุทธเจ้าข้า”
พระเอกาทศรถแย้มพระสรวลแล้วกล่าวว่า
“หากภายหน้ามีศึกเมื่อใด เจ้าก็จงออกศึกไถ่โทษเสีย เพลานี้ไม่มีกระไรแล้ว เจ้าไปเข้าเฝ้าสมเด็จแม่เถิด”
พระราชมนูถวายบังคม
“ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า มีเรื่องจะกราบบังคมทูลพระพุทธเจ้าข้า”
“เรื่องกระไรรึ”
“ในคืนแรก ที่ข้าพระพุทธเจ้าถูกขังในคุกหลวง ได้เห็นการกระทำบางประการของหลวงโจมจัตุรงค์ อันเป็นการสำคัญ ผิดจากที่ได้ยินมาพระพุทธเจ้าข้า”
สมเด็จพระนเรศวร กับ สมเด็จพระเอกาทศรถทรงมองพระราชมนูด้วยความสนใจว่า เสมาไปทำพฤติกรรมอะไรไว้
หน้าบ้านเสมาตอนหัวค่ำ เอื้อยแตงกำลังถือไม้ไล่ตีสินโดยสินวิ่งหัวซุกหัวซุนด้วยความกลัว ในขณะที่คนอื่นๆ กำลังล้อมวงคุยกันด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส มีเพียงแต้มที่นั่งหน้าหงิกกินเหล้าอยู่คนเดียว
“มาให้ข้าเอาเลือดหัวเอ็งออกเสียดีๆอ้ายสินหนอย มาก็ช้า แล้วยังหยิบธงมาผิดอีก จนพี่เสมาเกือบโดนประหารเสียแล้ว”
สินพูดหลบไปพูดไป
“แม่เอื้อยแตงอภัยให้ฉันเถิดจ้ะ ฉันไม่ได้แกล้งแต่ยามนั้นฉันดีใจที่จะได้ช่วยพี่เสมา จึงไม่รอบคอบ เช่นนี้ต้องถือว่ามีความชอบกึ่งหนึ่งนะจ๊ะ”
“ความชอบกึ่งหนึ่งรึ ได้ จากที่ข้าจะตีเอ็งสิบแผลเหลือสักห้าแผลก็แล้วกัน”
เอื้อยแตงไล่ตีสินต่อ สินวิ่งหลบจนวุ่นวายไปหมด
“เบาๆโว้ย ประเดี๋ยวเรือนข้าก็พังกันพอดี” มั่นบอกแล้วหันไปพูดกับเสมา
“หมดเคราะห์เสียทีนะเสมา พ่อดีใจเหลือ ที่เราได้กลับมาอยู่พร้อมหน้ากันอีก”
“ฉันก็ดีใจเช่นกันจ้ะ”
แต้มกำลังเมา ค่อยๆพยุงตัวลุกขึ้น
“ไม่ตาย แต่ถูกปลดจากคุณหลวงไปเป็นตะพุ่นหญ้าช้าง เฮอะ ช้างศึกมีเป็นพันเป็นหมื่น ต้องไปเกี่ยวหญ้าให้ช้างกินเท่าใดจึงพอวะ หนักหนากว่าเป็นทาสเสียอีก”
แต้มเดินเมาเซเข้าข้างในไปเล่นเอาทุกคนหน้าเจื่อนกันไปหมด จนจำเรียงปั้นยิ้ม เปลี่ยนบรรยากาศ “เอ่อ พี่เสมาเหน็ดเหนื่อยมามากแล้ว ประเดี๋ยวฉันจัดที่หลับที่นอนให้ พี่จักได้พักผ่อน”
จำเรียงเดินเลี่ยงเข้าข้างในไป สมบุญเข้ามาหาเสมาที่มองด้วยความสงสัย
“เอ่อ พี่เสมา แหวนพี่ที่ถูกริบ ฉันรับคืนมาแล้วจ้ะ”
สมบุญหยิบแหวนส่งให้ เสมารับแหวนมาดูด้วยสายตาเศร้าสร้อย
แม้ว่าเสมากับเรไรจะกลับมาพูดกัน แต่ก็รู้ว่าคงยากที่จะได้แต่งงานกันแล้ว
ภายในบ้าน เรไรกำลังคุยกับพิณ โดยมีลำภูนั่งหน้าบึ้งตึงอยู่ใกล้ๆ
“ไม่ผิดแน่นะพิณ ไม่มีการประหารเกิดขึ้นแน่นะ”
“เจ้าค่ะ บ่าวสืบมาอย่างดีแล้ว ไม่มีผู้ใดถูกประหารทั้งนั้น เพียงแต่หลวงโจมถูกปลดต้องไปเป็นตะพุ่นหญ้าช้างเท่านั้นเจ้าค่ะ”
“เอาเถิด อย่างไรก็ยังดีกว่าตายมากนัก”
“เป็นตะพุ่นน่ะรึดี ที่แม่เรไรเคยมีใจให้ช่างเหล็กแม่ก็แทบอกแตกตายมาคราหนึ่งแล้ว นี่คงไม่คิดมีใจให้ตะพุ่นหญ้าช้างอีกดอกนะ” ลำภูปรามเล่นเอาเรไรหน้าเสีย
“ไม่ดอกเจ้าค่ะแม่ท่าน ลูกเพียงแต่ดีใจที่ไม่มีใครต้องตายเพียงนั้น แต่ลูกรับปากแม่กับพ่อท่านแล้ว ว่าจะหมั้นกับขุนณรงค์ ลูกไม่ผิดคำพูดดอกเจ้าค่ะ”
ลำภูยิ้มอารมณ์ดีขึ้นแล้วพลางนึกขึ้นได้
“ได้เช่นนั้นก็ดี เอ๊ะ พูดถึงพ่อเจ้าแล้วเหตุใด ป่านฉะนี้พ่อเจ้ายังไม่กลับ มีผู้ใดรู้บ้างว่า คุณหลวงไปที่ใด”
เรไรหันไปมองพิณ พิณส่ายหน้า
“ไม่ทราบได้เจ้าค่ะ” เรไรว่า
ลำภูแปลกใจ ที่จู่ๆสามีก็หายไป
บริเวณกลางป่า ลูกน้องของพุฒกับลูกน้องของขุนรามเดชะกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด พุฒยืนคุมเชิงดูลูกน้องอยู่ แต่เนื่องจากพวกพุฒมีคนน้อยกว่าสู้กันได้ซักพักก็เริ่มเสียเปรียบ พุฒคุมเชิงทนไม่ไหวเลยชักกระบี่คู่มือออกไล่ฟาดฟันลูกน้องขุนรามเดชะ ขณะนั้นเอง รามเดชะกับลูกน้องอีกกลุ่มก็เดินเข้ามาสมทบแล้วตวาดลั่น
“หยุดประเดี๋ยวนี้ ล้วนเป็นทหารสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งสิ้น ห้ามสู้กันเองเป็นอันขาด”
ลูกน้องทั้งสองฝ่ายได้ยินรามเดชะตวาดห้าม เลยต่างถอยออกมาคุมเชิง
“นึกว่าโจรจากที่ใด ที่แท้ ก็ออกหลวงรามเดชะนี่เอง” พุฒว่า
ขุนรามเดชะไม่พอใจที่พุฒพูดเช่นนั้น
“ระวังปากไว้บ้างขุนวิเศษ อย่านึกว่าฉันไม่รู้ว่าอ้ายเสมามันตั้งใจยกดาบแสนศึกพ่ายให้ฉันเพื่อสนองคุณอยู่แล้ว แต่เจ้ากลับใช้เล่ห์ชิงตัดหน้าไปเยี่ยงนี้ ผู้ใดเป็นโจรกันแน่”
“ออกหลวงกล่าวอ้างเอง มีพยานรึ แต่อ้ายเสมายกดาบให้ฉัน คนในคุกหลวงเห็นกันทั้งสิ้น”
“เจ้าใช้กระบี่เป็นอาวุธ แล้วจะเอาดาบสองมือไปทำกระไร”
“ออกหลวงก็ใช้ดาบมือเดียว แล้วจะเอาไปทำกระไรเล่า”
ขุนรามเดชะและพุฒต่างมองหน้ากันด้วยความโมโหแบบไม่มีใครยอมใคร ขุนรามเดชะพยายามสงบสติอารมณ์
“พูดกันเช่นนี้ ก็รังแต่จะวิวาทกันเปล่าๆ เอาเช่นนี้เถิด เราแบ่งดาบกันคนละเล่ม เจ้าเห็นเป็นเช่นไร” ขุนรามเดชะว่า
พุฒไม่พอใจ แต่รู้ว่าทะเลาะกันไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
“เช่นนั้นก็ได้ ต่างเป็นทหาร ฉันก็ไม่อยากทะเลาะกันให้มีผิดติดตัวดอก”
ขุนรามเดชะยิ้มพอใจก่อนจะเดินไปที่หลุมซึ่งพวกพุฒขุดค้างไว้อยู่
“เฮ้ย พวกเอ็งเร่งมาช่วยขุนวิเศษขุดหาดาบซีวะ”
ลูกน้องรามเดชะ ลูกน้องพุฒรีบเข้ามาช่วยกันขุด
พุฒ และขุนรามเดชะมองดูลูกน้องช่วยกันขุดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มมีความหวัง อยากได้ดาบแสนศึกพ่ายสุดๆ
พันอินกำลังหัวเราะชอบใจและกำลังคุยกับเสมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“สมน้ำมะหน้านัก ต้องตรากตรำไปไกลถึงป่าโตนดแล้วยังต้องขุดดินกันเสียทั้งคืนอีก สงสัยป่านฉะนี้หลวงรามเดชะกับขุนวิเศษ คงเอวยอกเอวเคล็ดไปแล้วกระมัง”
“เป็นเพราะพ่อท่านเตือนข้าพระเจ้าไว้ก่อน ข้าพระเจ้าจึงคิดแผนนี้ขึ้นดัดหลัง แต่แรกกะจะแกล้งอ้ายพุฒเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าออกหลวงรามจักต้องมาลำบากไปด้วย”
พันอินยิ้มแย้มแล้วว่า
“ดีแล้ว เสียทีเป็นผู้ใหญ่กลับไม่ละความโลภ ต้องโดนเสียบ้าง”
ศรีเมืองเดินยิ้มแย้มถือดาบแสนศึกพ่ายมาให้เสมา
“นี่จ้ะพี่เสมา ดาบแสนศึกพ่ายของพี่”
เสมารับดาบมา
“ขอบน้ำใจเจ้านัก แม่ศรีเมือง”
เสมาดึงดาบออกมาดู แล้วยิ้มพอใจที่ดาบคู่มือได้กลับมาสู่มือตนอีกครั้ง
เสมา นึกถึงเหตุการณ์เมื่อสองวันก่อน ...
เสมาก้มลงกราบพันอิน โดยมีศรีเมืองยืนหน้าเศร้าๆอยู่ใกล้ๆ
“บาปกรรมอันใดที่ข้าพระเจ้าได้ล่วงเกินพ่อท่านไว้ ขอจงเมตตาอภัยให้เสมาเถิด”
พันอินเศร้าใจลูบหัวเสมาด้วยความเอ็นดู
“พ่ออโหสิสิ้นแล้ว ไม่เช่นนั้น คงไม่มาหาเจ้าถึงในคุกดอก เสมาเอ๋ย แต่เดิมเรารักใคร่นับถือกันดีแต่ต้องมาผิดใจกันเพราะเรื่องเจ้าศรีเมือง หากไม่นับเรื่องนี้ เจ้าเป็นบุตรที่นำแต่ความปีติมาให้พ่อโดยแท้ ไม่ควรต้องจบชีวิตลงเช่นนี้เลย”
ศรีเมืองดินเข้าไปคุกเข่าไหว้เสมา น้ำตาคลอ
“พี่เสมาจงเป็นสุขด้วยใจสงบเถิด ศรีเมืองนี้หาคาดไม่ จึงอนาถนักว่าพี่จะต้องมาด่วนตาย” ศรีเมืองร้องไห้สะอึกสะอื้น
เสมายิ้มบางๆ แล้วว่า
“แม่อยู่หลังจนจำเริญยิ่งๆเถิด อนึ่ง พ่อท่านนับวันจะชรานักแลว้าเหว่ขาดผู้ปรนนิบัติอยู่ พี่คงต้องฝากเจ้าดูแลแล้ว หากสองเราจักเคยขุ่นข้องหมองใจอยู่ด้วยสถานใดก็อโหสิเสีย”
“น้อยหนึ่งก็หามีมิได้นะพี่เสมาเอ๋ย ขอพี่วางใจเถิด”
เสมาหันไปพูดกับพันอิน
“พ่อท่าน ฉันไม่มีสมบัติใด นอกจากดาบแสนศึกพ่าย จึงอยากจะยกให้พ่อท่าน”
พันอินรีบปรามและมองไปรอบๆ จนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่จึงพูดเบาๆกับเสมา
“อย่าอึงไปเสมา พ่อมีเรื่องจะบอกเกี่ยวกับดาบแสนศึกพ่าย”
เสมาแปลกใจว่า พันอินจะบอกตนเรื่องอะไร
เสมายิ้มแย้มเก็บดาบเข้าฝัก แล้วยื่นดาบให้พันอิน
“ข้าพระเจ้าต้องไปเป็นตะพุ่นหญ้าช้าง ไม่รู้อีกนานเท่าใดจะได้ใช้ดาบคู่นี้อีก รบกวนฝากไว้กับพ่อท่านก่อนเถิด”
พันอินรับดาบมาสีหน้าเครียด
“ตะพุ่นหญ้าช้างเป็นงานหนักนัก เจ้าเองอดทนให้มากไว้ หากยังไม่สิ้นวาสนาคงได้กลับมาเป็นทหารฉลองคุณชาติอีก”
“ข้าพระเจ้าไม่หวังกระไรมากแล้วด้วยผิดที่นำไพร่พลไปตายนั้นหนักนัก เพียงแต่เป็นตะพุ่นหญ้าช้างก็ถือว่าดีมากแล้ว” เสมาพูดหน้าเศร้า
“แต่ขุนณรงค์ยังไม่ละอาฆาต ขนาดพี่เสมามีศักดิ์เหนือกว่ายังจ้องทำร้ายเช่นนี้ แล้วเป็นตะพุ่นหญ้าช้างจะโดนเพียงใด นี่ฉันก็ได้แต่ภาวนาว่าหากขุนณรงค์หมั้นกับแม่หญิงเรไรแล้ว จะลดริษยาลงได้บ้าง”
เสมามีสีหน้าเศร้าสลดขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึงเรื่องนี้
อ่านต่อหน้า ๔ พรุ่งนี้
ขุนศึก ตอนที่ ๑o (ต่อ)
ภายในบ้านขุนรามเดชะ ลำภูกับทาสหญิงคนหนึ่งกำลังช่วยกันประคองขุนรามเดชะที่อยู่ในอาการเอวเคล็ดเนื่องจากการไปขุดดินหาดาบคู่ของเสมา เดินออกมาหาขันและอำพันที่นั่งรออยู่
“ออกหลวง นี่เจ็บป่วยได้ไข้รึ เป็นกระไรเล่า” อำพันพูดด้วยน้ำเสียงตกใจ
“เอวเคล็ดน่ะแม่อำพัน ฉันขุดดินมากไปจนทั้งยอกทั้งได้ไข้”
“แปลกนัก ขุนวิเศษก็ขุดดินจนได้ไข้เช่นกัน มิรู้ว่าเหตุใดต้องมาขุดดินพร้อมกันเพลานี้” ขันพูดขึ้นอย่างแปลกใจ
ขุนรามเดชะหน้าเจื่อนไปก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่องพูดคุย
“เอ่อ แล้วพ่อขันกับแม่อำพันมีกระไรรึ ถึงมาเยือนฉันถึงเรือน”
อำพันสีหน้ายิ้มแย้ม
“ฉันได้ฤกษ์หมั้นของพ่อขันกับแม่เรไรมาแล้ว จึงมาถามความเห็นออกหลวงกับแม่ลำภูว่าเห็นควรประการใด”
“จะต้องมาถามกระไรอีก ฉันอยากให้หมั้นวันนี้ พรุ่งนี้เสียด้วยซ้ำ” ลำภูพูดแล้วยิ้มแย้ม
ขันมีสีหน้าลุ้นยิ้มดีใจ
“แล้วแม่หญิงเรไรเล่าขอรับ ท่านอาหญิงพอจะรู้หรือไม่ ว่าแม่หญิงเรไรคิดเห็นเช่นไร
ยามบ่าย เรไรนั่งอยู่ที่ท่าน้ำบ้านขุนรามเดชะ สีหน้าดูเศร้าสร้อยคุยกับพิณอยู่
“ฉันจะคิดเช่นไรได้ เมื่อรับปากพ่อท่านแล้วฉันก็คงต้องหมั้น”
“แต่แม่หญิงไม่ได้รักขุนณรงค์ไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
“ฉันเคยตามใจตัว ดื้อรั้นกับพ่อแม่ท่าน เพื่อชายที่ฉันรักมามากแล้ว แต่สุดท้าย มิเพียงได้ชั่วติดตัวยังชักนำภัยมาสู่พ่อท่านอีก แล้วฉันยังจะดื้อรั้นได้อีกรึพิณ”
“แม่หญิงอโหสิให้หลวง... เอ่อ ตะพุ่นเสมาแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ แล้วเหตุใดยังคิดถึงเรื่องเก่าอีกเล่าเจ้าคะ”
“อโหสิคือไม่เคียดแค้นชิงชัง แต่ไม่ใช่ลืมนะพิณ อย่างไรเสีย เสมาก็เป็นคนให้ร้ายพ่อท่านให้ต้องโทษ พ่อท่านก็ยืนยันเอง แลเสมายังทำตัวเจ้าชู้หลายใจอีกแล้วจะให้ฉันไว้ใจได้อีกรึ”
“แต่...”
“พอเถิด ฉันรู้ว่าเจ้ารักฉัน ไม่อยากให้ฉันออกเรือนกับคนที่ไม่ได้สมัครใจรักใคร่ แต่ฉันทำให้พ่อแม่ท่านได้ทุกข์มามากแล้ว ขอให้ฉันได้แสดงกตัญญูด้วยการออกเรือนกับคนที่พ่อแม่ท่านเห็นควรเถิด” เรไรพูดตัดบท
พิณไม่เห็นด้วย แต่เห็นเรไรแน่วแน่ก็ได้แต่นิ่งเงียบไป สีหน้าเห็นอกเห็นใจนายหญิงมาก เรไรมีสีหน้าเศร้าหมองลงไปอีก แต่เรไรตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว
ในเวลาเดียวกันที่วัดพุทไธสวรรย์ เสมา สินและสมบุญ กำลังก้มลงกราบพระครูขุน
“ขอบพระคุณหลวงตาเหลือเกินขอรับ หากไม่ได้หลวงตาช่วย ป่านฉะนี้อ้ายเสมาคงหัวขาดไปแล้ว” เสมาพูดขึ้น
“มิใช่เพราะข้าคนเดียวดอก แต่เพราะพระเมตตาของสมเด็จแต่ละพระองค์ด้วย เออ แล้วเอ็งยังผูกสมัครรักใคร่กับบุตรสาวหลวงรามเดชะอยู่อีกหรือไม่”
“คงไม่แล้วขอรับ” เสมาหน้าเศร้าลง
“อ้าว ก็พี่บอกว่าแม่หญิงอโหสิให้แล้วไม่ใช่ว่าคืนดีกันแล้วรึ” สินถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
“เปล่าดอก เพียงแต่ไม่ติดใจอาฆาตกันแล้ว แต่คงกลับไปเป็นเช่นเดิมไม่ได้อีก ยิ่งเพลานี้ข้าเป็นเพียงตะพุ่นหญ้าช้างศักดิ์เสมอทาส แล้วยังจะกล้าใฝ่ปองแม่หญิงให้มัวหมองได้กระไร”
พระครูขุนพยักหน้ารับ
“เอ็งรู้การควรแลไม่ควรเช่นนี้ก็ดีแล้ว ถึงเอ็งจะเป็นตะพุ่นหญ้าช้าง แต่ก็ใช่จะร้ายไปเสียหมดด้วยเอ็งทำงานเพียงกึ่งเดือน เพลาว่างมีมากขึ้น ถ้าอย่างไรก็มาฝึกปรือเพลงอาวุธเพิ่มกับข้าเถิด จะได้ชำนาญยิ่งขึ้น”
“อย่างพี่เสมา ยังต้องฝึกอีกหรือขอรับหลวงตา”
“นอกจากดาบสองมือแล้ว อาวุธอื่นเพียงนับว่าเข้าขั้น แต่ยังไม่นับว่าเจนจบดอก ครานี้ข้าจะได้ถ่ายทอดให้สิ้นความรู้เสียที”
“ถ้ากระนั้น ข้าพระเจ้ากับอ้ายสิน ขอฝึกปรือเพิ่มได้หรือไม่ขอรับหลวงตา” สมบุญว่า
“ได้ซี แต่เอ็งสองต้องฝึกอาวุธคู่มือให้ลึกซึ้งกว่านี้เสียก่อน ข้าถึงจะถ่ายทอดวิชาอาวุธอื่นให้”
เสมา สิน และสมบุญดีใจรีบก้มลงกราบพระครูขุน
เวลาผ่านมา .เสมาฝึกปรือการใช้อาวุธต่างๆ ทั้งดั้ง เขน ทวน กระบี่ ฯลฯ แม้กระทั่งมวยไทยก็มีทบทวนฝึกปรือเพิ่มเติม โดยเสมาฝึกต่อหน้าพระพุทธรูปใหญ่ ดูเข้มขลัง จริงจัง
เสมา สิน และสมบุญหาบน้ำไปเทใส่โอ่งของวัดเพื่อฝึกความแข็งแรงของร่างกาย โดยมีพระครูขุนคอยดูแล
เสมาฝึกกระบอง สินฝึกทวน สมบุญฝึกดาบสองมืออยู่ที่หน้าน้ำตก
ที่ลานวัด เสมาใช้ผ้าปิดตา แล้วให้สิน สมบุญรุมเข้ามาเป็นการฝึกต่อสู้ในที่มืดซึ่งไม่เห็นคู่ต่อต่อสู้
เสมา สิน และสมบุญ ฝึกวิชามวยกับครูมวยพร้อมศิษย์จำนวนมากที่ลานศักดิ์สิทธิ์สวยงามของวัดอย่างตั้งอกตั้งใจ โดยมีพระครูขุนยืนดูการฝึกอย่างพอใจ
เจ็ดแปดวันผ่านไป ในเวลากลางวันที่ท้องพระโรงหงสาวดี มีพระเจ้าแปร และขุนนางสำคัญเข้าเฝ้าเต็มไปหมด บนบัลลังก์กลับว่างเปล่า เพราะพระเจ้านันทบุเรงไม่ได้ออกว่าราชการ พวกขุนนางต่างมองหน้ากัน ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ยิ่งพระเจ้านันทบุเรงไม่ออกว่าราชการ หงสาวดีก็ยิ่งตกต่ำลงทุกที
ขุนนางคนหนึ่งทนไม่ไหวกล่าวว่า
“นี่พระพุทธเจ้าอยู่หัวยังไม่เสด็จออกว่าราชการอีกรึ หงสาวดีจะลุกเป็นไฟอยู่แล้ว”
“ท่านอย่ากล่าวเช่นนั้นเลย พระองค์ทรงพระประชวร การสิ่งใดอดทนได้ก็อดทนไปก่อน” ขุนนางคนที่สองเอ่ยขึ้นอย่างหน้าเครียด
“แต่เพลานี้อำนาจของอโยธยากล้าแข็งขึ้นทุกที ทั้งหัวเมืองล้านนา สิบเก้าเจ้าฟ้าไทยใหญ่ แม้กระทั่งพระเจ้าเชียงใหม่ก็ยังหันไปพึ่งพระบารมีขององค์สมเด็จพระนเรศ หากปล่อยไว้หงสาวดีต้องมีภัยเป็นแน่” ขุนนางอีกคนบอก
พระเจ้าแปรลุกขึ้น ปรามทุกคนว่า
“ พวกท่านไม่ต้องกังวล เรายังอยู่ ไหนเลยจะยอมให้ราชบัลลังก์ของสมเด็จพ่อมีอันตราย นับแต่นี้ต่อไป หากมีเรื่องเร่งด่วนกระไร จงมาบอกเรา”
พวกขุนนางหันไปมองหน้ากันต่างดีใจที่พระเจ้าแปรออกหน้าแทน ขุนนางทุกคนต่างถวายบังคม
“รับด้วยเกล้าพระพุทธเจ้าข้า”
พระเจ้าแปรทรงแย้มสรวลพอใจที่เรียกความเชื่อมั่นของเหล่าขุนนางได้
หมายเหตุ พระเจ้าแปรเป็นลูกภรรยาน้อยของพระเจ้านันทบุเรง อายุน่าจะน้อยกว่าพระนเรศวร
ภายในห้องพระบรรทม พระเจ้านันทบุเรง ทรงประชวรหนักจนเพ้อเพราะพิษไข้
“ลูกพ่อ...อย่าเพิ่งไป รอพ่อด้วย...เจ้า เจ้าทำร้ายลูกข้า ข้าจะฆ่าเจ้า ฆ่าให้หมดสิ้น”
หลังจากที่พระมหาอุปราชาสิ้นพระชนม์ พระเจ้านันทบุเรงทรงเสียพระทัยมาก ทรงประชวรต่อเนื่อง ขาดการออกว่าราชการ จนเป็นเหตุให้อำนาจของหงสาวดีตกต่ำลงไปเรื่อยๆ บรรดาเมืองขึ้นต่างคิดตั้งตนเป็นอิสระ จนนำความแตกแยกครั้งใหญ่มาสู่อาณาจักรพุกามอีกครั้ง
พระเจ้าแปรกำลังเดินคุยมากับสมิงมะตะเบิดอยู่ภายในสวนของกรุงหงสาวดี
“สมเด็จพ่อทรงรักเจ้าพี่มังกะยอชวามาก ถึงกับส่งข้าไปปกครองเมืองแปร เพื่อไม่ให้เป็นเสี้ยนหนามกับเจ้าพี่ แต่เพลานี้ไม่มีเจ้าพี่แล้ว สมเด็จพ่อก็ทรงประชวรบ่อย แล้วแผ่นดินจะควรเป็นของผู้ใด ถ้าไม่ใช่ข้า” พระเจ้าแปรว่า
สมิงมะตะเบิดยิ้มเห็นด้วย
“แต่ข้าพระพุทธเจ้าได้ยินมาว่า เมืองอังวะกับเมืองตองอูก็คิดตั้งตนเป็นใหญ่เช่นกัน ดูท่า หมดอำนาจหงสาเมื่อใดคงไม่มีผู้ใดยอมอยู่ใต้อำนาจผู้อื่นเป็นแน่”
“ถ้ากระนั้น ข้าก็ต้องมีชัยเหนือองค์พระนเรศแห่งอโยธยาให้จงได้ ด้วยทุกผู้คนต่างหวาดกลัวองค์พระนเรศเหมือนหนูกลัวแมว ถ้าข้าเอาชำนะองค์พระนเรศได้ ทุกเมืองย่องต้องอยู่ภายใต้พระราชอำนาจแห่งข้า”
“ข้าพระพุทธเจ้าขออาสา ลอบปลงพระชนม์องค์พระนเรศ เมื่ออโยธยาสิ้นองค์พระนเรศเมื่อใด พระองค์ก็ทรงกรีธาทัพบุกอโยธยา ย่อมเอาชัยได้อย่างง่ายดาย”
พระเจ้าแปรหัวเราะชอบใจ
“สมิงมะตะเบิดเจ้าเป็นทหารเอกคู่บารมีข้า เมื่อเจ้าอาสาข้าก็หมดห่วงด้วยแผ่นดินนี้จะหาผู้ใดมีฝีมือเสมอด้วยเจ้าเป็นไม่มี”
สมิงมะตะเบิดยิ้มภูมิใจ เพราะตั้งแต่ออกศึกมายังไม่เคยแพ้ใครมาก่อนเหมือนกัน
เสมาพร้อมด้วยตะพุ่นหญ้าช้างคนอื่นๆ กำลังช่วยกันเกี่ยวหญ้าให้ช้างกิน ท่ามกลางแดดร้อนเปรี้ยงๆ งานตะพุ่นหญ้าช้างเป็นงานหนัก เพราะช้างศึกมีนับพันเชือก และช้างแต่ละเชือกก็กินเยอะ ตะพุ่นแต่ละคนจึงต้องทำงานหนักมาก
เสมาเกี่ยวหญ้า เหงื่อโทรมกาย แต่ก็ไม่ได้หยุดพักผ่อน
เสมาเอาหญ้า กล้วย อ้อยที่หาได้จำนวนมากแบกใส่บ่ามาให้ช้างกิน ขณะกำลังดูแลช้างก็เห็นทหารกลุ่มหนึ่งกำลังฝึกเพลงดาบกันอยู่
เสมายืนมองทหารด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย คิดถึงชีวิตทหารสุด แต่คงยากที่จะกลับไปเป็นทหารอีกครั้ง
เสมากำลังขี่ช้างพาไปอาบน้ำ ขณะนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นตะพุ่นหญ้าช้างคนอื่นมีคนรัก ลูกเมีย เอาข้าวห่อใบตองมาให้กินด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เสมามองคนอื่นมีความสุข แต่ตนเองกลับอ้างว้างเดียวดาย ไม่มีใครข้างกาย
ที่โรงเลี้ยงช้างตอนกลางคืน เสมานอนเฝ้าช้างศึกสีหน้าเต็มไปด้วยความทุกข์ใจกับชะตาชีวิตที่็ตกต่ำ เสมาน้อยใจในวาสนาของตัวเอง ความอัดอั้นตั้นใจที่มีอยู่ทำให้น้ำตาลูกผู้ชายไหลซึมออกมา เสมาปาดน้ำตาออกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนหนุนกองหญ้ากองฟางด้วยสีหน้าหม่นหมองอมทุกข์
ผ่านเวลาไปอีกเจ็ดแปดวัน ระหว่างที่เสมากำลังขนหญ้ามาให้ช้างกินอยู่ก็มีคนๆหนึ่งมายืนตรงหน้าตน
เสมาเงยหน้าขึ้น ดวงแขยืนอยู่ตรงหน้านั่นเอง ดวงแขพูดอย่างน้อยใจสุดๆ
“รู้หรือไม่ว่าฉันดีใจเพียงใดที่รู้ว่าเสมารอดตายมาได้ แล้วเหตุใด เสมาถึงปล่อยให้ฉันรอเกือบกึ่งเดือน ยังไม่ยอมมาให้เห็นหน้ากันบ้าง”
เสมาหน้าจ๋อยๆไป
“ขอบน้ำใจแม่หญิงนักที่เมตตาข้าพระเจ้า แต่เพลานี้ข้าพระเจ้าเป็นเพียงตะพุ่นหญ้าช้าง หาใช่หลวงโจมจัตุรงค์ดังแต่ก่อนไม่ แม่หญิงอย่ามาใกล้ชิดข้าพระเจ้าให้มัวหมองเลย”
“นี่เสมาเห็นฉันเป็นคนถือยศถือศักดิ์ ดูถูกเสมาในคราตกต่ำรึ เมื่อเสมามองฉันเป็นคนเช่นนั้น ฉันจักได้รู้ไว้” ดวงแขพูดน้ำตาคลอเบ้า
“หามิได้แม่หญิง ข้าพระเจ้าไม่เคยคิดชั่วเช่นนั้น แต่ข้าพระเจ้าทูนแม่หญิงไว้ในที่สูงมาแต่ไหนแต่ไร จึงไม่อยากให้เสื่อมเสีย”
“หากคิดแต่ร่วมสุขแล้วทอดทิ้งกันยามทุกข์ ยังจะถือว่าจริงใจต่อกันได้รึ ฉันเกิดเป็นหญิงจะพูดสิ่งใดจากปากก็ยากนัก แม้จะแย้มให้เป็นนัยก็ยังอายเหลือ แต่ขอให้เสมารู้ไว้เถิด ว่าฉันมีแต่ใจที่จริงแท้ให้เสมา”
เสมาซึ้งใจ ค่อยๆจับมือดวงแขไว้
“เป็นบุญของข้าพระเจ้านัก ในยามที่ข้าพระเจ้าสิ้นยศศักดิ์มีแต่คนดูแคลน ยังมีแม่หญิงดวงแขอีกหนึ่งคนที่เป็นดั่งดวงประทีปให้ข้าพระเจ้า”
เสมาค่อยๆดึงดวงแขเข้ามากอดอย่างทะนุถนอม ดวงแขซบออกเสมาด้วยความสุขใจ ดวงแขคิดว่า ความเพียรพยายามมานานในที่สุดก็ได้ใจเสมามาเป็นของตัวเองเสียที รอยยิ้มเจือบนริมฝีปากดวงแขอย่างมีความสุข
“เสมาไม่ต้องกลัว ฉันจะไม่ทำเช่นแม่เรไรเป็นอันขาด”
เสมาชะงักไป
“ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น ฉันก็จะไม่มีวันทอดทิ้งเสมาเป็นเด็ดขาด”
พอดวงแขพอพูดถึงเรไร เสมาก็หน้าเสียทันที เพราะถึงอย่างไรก็ยังไม่อาจตัดใจจากเรไรได้ เสมาผละออกจากกอดดวงแข ยิ้มขอบคุณบางๆก่อนเลี่ยงไปขนหญ้าให้ช้างกินต่อด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ดวงแขมองตามเสมาไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้มปลาบปลื้มใจ
เอื้อยแตงเก็บของกำลังจะลงจากเรือนโดยมีแต้มยืนซึมๆอยู่ที่หน้าเรือน
“เหตุใดยืนตัวเปล่า ไม่มีข้าวของรึพ่อ”
“ข้าวของข้ามีไม่กี่ชิ้น ทยอยขนไปเรือนอ้ายเสมาจนสิ้นแล้ว จักเหลืออะไรอีกวะ”
แต้มถอนหายใจแล้วพูดต่อ
“แต่แรก หวังจะพึ่งพาอ้ายเสมา แต่มันกลับตกไปเป็นตะพุ่นหญ้าช้างยังต่ำกว่าข้าเสียอีก ไม่รู้เวรกรรมกระไรของข้า”
“เหตุใดพูดเช่นนี้เล่าพ่อ ถึงเค้าจักตกต่ำปานใด แต่เราก็เป็นฝ่ายไปอาศัยเรือนเค้าอยู่ แล้วดูถูกเจ้าเรือนเช่นนี้จะถูกรึ”
แต้มหงุดหงิดที่เอื้อยแตงขัดคอเลยเดินเลี่ยงไปด้วยความไม่พอใจ
แต้มเดินมาถึงหน้าบ้าน เห็นชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกำลังจับกลุ่มคุยกันจึงเดินเข้าไปหา
“มีกระไรกันรึ” แต้มถามขึ้นอย่างสนใจ
“ก็คุณหลวงที่ได้พระราชทานที่ดิน จนพวกเราต้องย้ายออกจากเรือนน่ะซี มาเดินตรวจตราที่ดิน” ชาวบ้านคนหนึ่งบอก
แต้มมองตามอย่างไม่พอใจ เห็นรามเดชะกับลูกน้องกำลังเดินตรวจตราที่ดินซึ่งได้พระราชทานมาเป็นศักดินา
“อ้อ อ้ายนี่เองรึ ที่ทำให้ข้าต้องย้ายออกจากเรือน ขอดูหน้าให้เต็มตาทีเถิดวะ”
แต้มเดินเมียงๆมองๆเข้าไป จังหวะนั้นเอง รามเดชะหันมามองแต้ม ทั้งคู่ต่างชะงักไปคลับคล้ายคลับคลาว่า เคยเห็นอีกฝ่ายที่ไหน
แต้มชะงักหยุดกึก ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าใครแล้วมองขุนรามเดชะด้วยสีหน้าโกรธเคือง ก่อนจะรีบเดินหนีไปทันที ขุนรามเดชะมองตามด้วยความแปลกใจปนคลับคล้ายคลับคลา ขุนรามเดชะหันไปสั่งลูกน้อง
“พวกเอ็งรอข้าอยู่ที่นี่ ประเดี๋ยวข้ามา”
ขุนรามเดชะรีบเดินตามแต้มไปทันทีด้วยมีเรื่องความติดใจสงสัยค้างคาใจ
แต้มเดินหนีมาที่ท้ายสวน น้ำตาคลอเบ้าด้วยความคับแค้นใจสุดๆ ขุนรามเดชะเดินตามหลังมา
“ประเดี๋ยวก่อน เอ็งเป็นผู้ใดกัน กลับมาคุยกับข้าก่อน” เสียงขุนรามเดชะดังขึ้น
แต้มขบกรามแน่นด้วยความคับแค้น ก่อนจะหันกลับมาจ้องหน้าขุนรามเดชะด้วยตาแดงกล่ำ ขุนรามเดชะเพ่งมองหน้าแต้ม แล้วก็ต้องตกใจสุดๆ เมื่อจำได้ว่าแต้มเป็นใคร
“พ่อแต้ม นี่พ่อแต้มเองรึ”
“ออกหลวงยังจำข้าพระเจ้าได้อีกรึ ช่างเป็นบุญของข้าพระเจ้าหนักหนา” แต้มพูดน้ำตาคลอด้วยความแค้นใจ
ขุนรามเดชะถึงกับหน้าเสีย
“พ่อแต้มอย่าประชดประชันพี่เลย น้องคงโกรธที่พี่ทิ้งเจ้าไปกระมัง”
แต้มถอนใจแรงๆ พร้อมเบี่ยงหน้าหนี ขุนรามเดชะพยายามอธิบาย
“เพลานั้น พี่ออกรบจนบาดเจ็บ พอรักษาตัวหายพี่ก็รีบกลับเรือน แต่เรือนเราก็ไหม้เป็นเถ้าไปแล้ว พี่เพียรหาเจ้ากับพ่อแม่ท่านอยู่หลายปีจนนึกว่าพวกเจ้าตายไปหมดสิ้นแล้ว”
“ออกหลวงท่านนึกไม่ผิดดอก ตอนกรุงแตก ฉันต้องพาพ่อแม่ท่านหลบหนี ทั้งลำบากทั้งหวาดกลัวเหลือ พ่อแม่ท่านล้มป่วยฉันก็หาหยูกยาไม่ได้จนพ่อแม่ท่านต้องตาย เหลือเพียงฉันที่ต้องเร่ขายเศษเหล็กเลี้ยงตัวทำเสื่อมเสียศักดิ์ตระกูลเพียงนี้ก็ไม่ต่างจากตายดอก”
ขุนรามเดชะพูดน้ำตาคลอด้วยสงสารน้องกับพ่อแม่จับใจ
“พี่ขอขมาเถิดพ่อแต้ม พี่รู้ตัวว่าชั่วนักที่ปล่อยให้เจ้ากับพ่อแม่ท่านต้องลำบากได้ยาก แล้วเพลานี้น้องอยู่ที่ใดรึ พี่จะได้ดูแลเจ้าเป็นการไถ่โทษ”
“เรือนข้าพระเจ้าก็ถูกยึดเป็นบำเหน็จศึกของออกหลวงนั่นปะไร ออกหลวงเดินตรวจตราที่ดินเป็นนาน ยังไม่เห็นอีกรึ” แต้มพูดด้วยความเจ็บใจ
ขุนรามเดชะถึงกับหน้าเสียแล้วรีบปั้นยิ้ม
“ถ้ากระนั้น น้องก็ย้ายไปอยู่ที่เรือนพี่ซี บ้านพี่มีเรือนหลายหลัง น้องไปเลือกเอาสักเรือนเถิด ต่อไปภายหน้า พี่จะดูแลน้องให้อยู่สบายสมกับที่น้องต้องลำบากยากเข็ญมานาน”
แต้มชะงักไป พอเห็นความสุขสบายอยู่แค่เอื้อมก็เริ่มโลภ จงใจมองข้ามความโกรธ ความน้อยใจในตัวขุนรามเดชะไป
ภายในบ้านของเสมา ทุกคนกำลังคุยกันระหว่างกินข้าวกันเมื่อตอนเที่ยง สินตกใจที่รู้ข่าวจากเอื้อยแตง
“แม่เอื้อยแตงน่ะรึ เป็นหลานของหลวงรามเดชะ”
สิน สมบุญ จำเรียง และมั่นทุกคนคิดไม่ถึง
“ฉันเองก็เพิ่งรู้เมื่อครู่นี้เอง ถึงตอนนี้ยังไม่อยากจะเชื่อเลย” เอื้อยแตงบอก
“ถ้ากระนั้น แม่เอื้อยก็เป็นลูกผู้พี่ผู้น้องกับแม่หญิงเรไรน่ะซี” จำเรียงว่า
เอื้อยแตงถอนหายใจอย่างเซ็งๆ ไม่รู้ว่าเรื่องราวของพลิกไปเป็นอย่างงี้ได้ไร ขณะนั้น แต้มก็เดินวางมาดขึ้นเรือนมาแล้วพูดเสียงดัง
“นังเอื้อยแตงใช้ให้มาเก็บข้าวของแค่นี้ เหตุใดนานนักวะ”
เอื้อยแตงเดินเข้าข้างในไปอย่างเซ็งๆ แต้มหันมามองมั่น แล้ววางมาดข่ม
“อ้อ อยู่ด้วยรึพี่มั่น ฉันนึกว่ายังไม่กลับมาจากโรงเหล็กเสียอีก ที่แล้วมาฉันขอบน้ำใจพี่มากนะ”
“ไม่เป็นกระไรดอก แล้วนี่เอ็งจะย้ายไปอยู่เรือนหลวงรามวันนี้เลยรึ” มั่นถามขึ้น
“วันนี้ซีพี่ พี่หลวงของฉันท่านใจร้อนอยากให้มาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันเร็วๆ บ้านพี่หลวงรามมีเรือนหลายหลัง ท่านยกให้ฉันอยู่ต่างหากหลังหนึ่ง แล้วยังมีข้าทาสให้ใช้สอยอีก แหม ถ้ารู้ตัวเร็วกว่านี้ ฉันคงไม่ทนอยู่เรือนเก่าๆ แล้วก็เร่ขายเหล็กขึ้นสนิมพวกนี้ดอก” แต้มบอก
มั่น จำเรียง สมบุญ และสินแทบกินข้าวไม่ลงเมื่อเห็นนิสัยของแต้มที่เริ่มเชิ่ดใส่ทุกคน กร่างเต็มที่และมองไปรอบๆเรือนของมั่นด้วยสายตาดูถูก ก่อนจะลงจากเรือนไป สมบุญคันปากหันไปพูดกับสิน
“ขนาดยากจนต้องพึ่งพิงคนอื่น ปากคอยังร้ายกาจแล้วร่ำรวยขึ้นมาเช่นนี้ จะเป็นเช่นไรวะอ้ายสิน”
สินรู้สึกกระอักกระอ่วนสุดๆ แต่อีกใจก็...
“แต่ฉันสงสารแม่เอื้อยแตงมากกว่า เคยอยู่อย่างใจทำกระไรก็ได้ แล้วต้องไปอยู่ในบ้านเจ้าบ้านนาย พิธีรีตรองมากมายเช่นนั้นจะมีความสุขรึ”
สินพูดแล้วก็ถอนใจเฮือก
จบตอนที่ ๑o
อ่านต่อตอนที่ ๑๑ พรุ่งนี้