xs
xsm
sm
md
lg

เกิดเป็นหงส์ ตอนที่ 1

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ม.ร.ว.มานศรีโสภาคย์ หรือ หญิงมานศรี
เกิดเป็นหงส์ ตอนที่ 1

รถยนต์คันหรูวิ่งตรงเข้าไปตามถนนในอาณาเขตของวังกฤตยา อันกว้างใหญ่ไพศาล ซึ่งสองข้างทางเป็นสวนสวยงามร่มรื่น ที่ได้รับการตกแต่งดูแลเป็นอย่างดี รถคันนั้นเคลื่อนตัวผ่านไปเลี้ยววนรอบวงเวียนน้ำพุด้านหน้าตึกใหญ่ ซึ่งมีรูปปั้นหงส์สีขาวโดดเด่นเป็นสง่าวางอยู่ตรงกลางบ่อน้ำพุสวยแห่งนี้

แม่แล่มคนรับใช้เก่าแก่ ก้าวเดินมายังห้องนอนของ ม.ร.ว.มานศรีโสภาคย์ หรือหญิงมานศรี อย่างเร่งรีบขณะที่พิไลพรลูกสาวของแม่แล่ม ซึ่งมีอาชีพเป็นพยาบาล และเป็นคนสนิทของมานศรีโสภาคย์ ยืนรออยู่ที่หน้าห้องแล้ว
“มากันแล้วเหรอแม่”
“จ๊ะ ไปเรียนคุณหญิงที”
พิไลพรเดินไปเคาะประตูห้องทันที
“ว่าที่คู่หมั้นมาถึงแล้วค่ะ”

รถคันหรูวิ่งมาจอดที่หน้าตึกใหญ่ในวังแล้ว เสกสรรค์ก้าวลงมาจากรถ เขาเป็นชายหนุ่มที่ดูดี หล่อเหลา ใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มยินดี ขณะที่บิดา รัฐมนตรีเสกสิทธิ์ และคุณหญิงพันทิพา ผู้เป็นมารดา ก้าวตามลูกชายลงมา ทุกคนมองเข้าไปด้านในของวัง เสกสรรค์ยิ้มแย้มยินดี
“คุณหญิงมานศรีย์โสภาค ของผม”
เสกสรรค์เดินตรงมายังห้องโถงใหญ่ของวัง เสกสิทธิ์ และพันทิพา เดินตามด้านหลัง ทั้งสามเดินเข้ามาอย่างมีความสุข พร้อมจะทำพิธีหมั้นในวังกฤตยา ขณะเดียวกันนั้นหม่อมสรัสวดีเดินเข้ามารับแขกอย่างไว้ตัว
“สวัสดีค่ะท่านรัฐมนตรีเสกสิทธิ์ และคุณหญิงพันทิพา”
เสกสิทธิ์และพันทิพาไหว้สรัสวดี
“กราบหม่อมสรัสวดีครับ” เสกสรรค์ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
หม่อมสรัสวดีรับไหว้อย่างงดงาม พันทิพามองหาหม่อมเจ้าอมรเทพ ประมุขแห่งวังกฤตยา
“ท่านชายอมรเทพล่ะคะ”
“พอดีท่านติดคุยงานอยู่ด้านบน...อีกสักครู่ก็ลงมาแล้วค่ะ”
พันทิพาไม่พอใจนัก
“ท่านน่าจะแยกแยะได้นะคะ ว่าธุรกิจกับงานหมั้น งานไหนสำคัญกว่ากัน”
ม.ร.ว.คำรณฤทธี เดินเข้ามาอธิบายในเชิงตำหนิพันทิพา
“ท่านพ่อให้ความสำคัญกับคนในครอบครัวเสมอครับ...แต่การที่คุณหญิงกำหนดงานหมั้นอย่างกระทันหัน คงไม่ใช่ความผิดของท่านพ่อใช่ไหมครับ”
สรัสวดีหันไปถาม
“รอได้มั้ยคะ”
พันทิพาอึ้งที่ถูกต่อว่ารีบเปลี่ยนเรื่องทันที
“อีกไม่กี่นาทีจะเริ่มพิธีแล้ว ฉันให้น้องๆนักข่าวเข้ามาสแตนบายเลยนะคะ”
สรัสวดีแปลกใจ
“เราคุยกันว่าจัดงานเป็นการภายใน ไม่ใช่เหรอคะ”
“ลูกชายท่านรัฐมนตรีหมั้นกับธิดาหม่อมเจ้าอมรเทพ นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ จะจัดเงียบๆได้ไงคะ ไม่สมเกียรติค่ะ”
คำรณฤทธี ไม่พอใจนักที่พันทิพาทำทุกอย่างเพื่อเอาหน้า ขณะเดียวกันนั้นนักข่าวเข้ามาในห้อง
“นักข่าวมาพร้อมแล้ว...หญิงมานล่ะคะ”
พิไลพรและแม่แล่มเข้ามาบอกทุกคน
“คุณหญิงมาแล้วค่ะ”
เสกสรรค์และทุกคนหันไปมองที่ตำแหน่งบันไดกลางห้องโถงใหญ่ มานศรีโสภาคย์ในชุดไทยประยุกต์ ซึ่งเป็นชุดหมั้นที่ออกแบบพิเศษสีขาวแปลกตา ที่ไหล่มีเครื่องประดับเพชรรูปหงส์เด่นสง่า
เสกสรรค์ยืนมองหญิงสาวด้วยความตะลึงในความสวยงาม ทุกคนในห้องโถงต่างมองชื่นชม
มานศรีโสภาคย์เดินลงบันได ด้วยท่วงท่าที่อ่อนช้อย แต่แฝงด้วยความสง่างาม บรรดานักข่าวต่างกดชัตเตอร์ถ่ายภาพต่อเนื่อง มานศรีโสภาคย์ยิ้มให้นักข่าวโพสต์ท่าให้ถ่ายภาพ พันทิพาสะกิดบอกเสกสรรค์
“มัวตะลึงพรึงเพริศกับนางหงส์อยู่นั่นล่ะ เข้าไปถ่ายภาพคู่กับน้องสิจ้ะ”
เสกสรรค์เดินเข้าไปยืนคู่กับมานศรีโสภาคย์ ทั้งสองมองหน้ากันด้วยความรัก
“เจ้าสาวผมสวยที่สุดในโลกเลยครับ”
“หมั้นก็ยังไม่ได้หมั้นเลยนะ...ขี้ตู่อย่างนี้...หญิงยกเลิกงานหมั้นดีกว่า”
“ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลาย...ผมก็ไม่มีวันปล่อยให้คุณไปจากชีวิตผม”
มานศรีโสภาคย์หันไปมองเสกสรรค์ ทั้งสองจ้องมองหน้ากัน เสกสรรค์สื่อภาษาทางสายตาบ่งบอกสัญญาใจที่มอบให้หญิงสาวว่าจะรักเธอตลอดไป มานศรีโสภาคย์ยิ้มหวานให้กับคนรัก ที่เธอจะร่วมใช้ชีวิตด้วย บรรดานักข่าวถ่ายภาพคู่รักแสงแฟลชวูบวาบ

มุมหนึ่งในไร่อ้อย...ทิว บรรณา ขี่ม้ามาท่ามกลางไร้อ้อยสูงสล้าง เร่งรีบไปที่โรงงานน้ำตาล ขณะที่ล้วน คนงานในไร่ กำลังเดินตรงไปยังรถบรรทุกน้ำตาล แต่แล้วทิวขี่ม้าเข้ามาขวางไว้
“ฉันไปส่งเอง”
ทุกคนชะงัก ทิวลงจากม้า เข้ม ลูกน้องคนสนิทของทิว มารับม้าจากทิวเอาไปล่ามไว้ ทิวเดินไปหา ล้วนยื่นกุญแจรถให้ ทิวจะรับกุญแจแต่ล้วนดึงกุญแจกลับ ทิวไม่พอใจ
“หมายความว่าไง”
“คุณเป็นหัวหน้าคุมโรงงานน้ำตาลกับไร่อ้อย ส่วนผมมีหน้าที่ควบคุมการขนส่ง อย่าก้าวก่ายกัน”
เข้มวิ่งเข้ามาข้างทิว ต่อว่าล้วน
“พี่ล้วน...ลืมไปแล้วหรือไงว่าคุณทิวก็เป็นเจ้าของที่นี่ด้วยเหมือนกัน”
“ก็แค่หุ้นส่วนเบอร์สอง...แต่ฉันเป็นลูกน้องคนสนิทของหุ้นใหญ่” ล้วนหันไปบอกเข้ม “แกลองใช้สมองชานอ้อยคิดดูว่า ใครใหญ่และฉันควรจะเชื่อฟังใคร...อย่ามาสั่ง”
ล้วนมองเย้ยทิวแล้วควงกุญแจรถด้วยปลายนิ้วชี้เดินผ่านทิวไป...ทิวดึงตัวล้วนกลับมาแล้วต่อยโครม ล้วนล้มลงกับพื้นกุญแจรถเหวี่ยงกระเด็นออกไปห่างพอสมควร ทิวมองเย้ยล้วนที่กล้ามาท้าทายเขา เข้มเดินไปหยิบกุญแจรถ
“ได้กุญแจรถแล้วนาย”
เข้มจะเอากุญแจไปให้ทิวแต่เจอนิค เรือง แก้ว ลูกน้องของล้วนขวางไว้ นิคแย่งกุญแจรถจากมือเข้มไป เข้มจะแย่งคืน แต่เรืองกับแก้วเข้าไปล็อกตัวไว้
“เฮ้ย...ไอ้หมาหมู่ ปล่อยสิวะ”
นิคถือกุญแจรถแล้วโยนไปที่กลางลานใหญ่กุญแจรถตกที่พื้น ทิวมองไปยังกุญแจรถ ล้วนลุกขึ้นมา ทั้งสองยืนห่างจากกุญแจรถในระยะทางที่เท่ากัน กลุ่มคนงานในโรงงานต่างทยอยวิ่งออกมาดูมวยระหว่างทิวกับล้วน กลุ่มคนงานเฮเข้ามามุงล้อมเป็นกรอบวงกลมโดยมีกุญแจรถเป็นจุดศูนย์กลาง ทิวมองไปยังล้วน ตัดสินใจวิ่งตรงไปยังกุญแจรถ ไม่ทันที่เขาจะได้หยิบกุญแจรถ ล้วนเข้ามาออกหมัดใส่ ทิวหลบอย่างมีชั้นเชิง แล้วหาจังหวะสวนกลับทำให้ล้วนโดนหมัดเข้าเต็มหน้า ล้วนไม่ยอมแพ้เข้ามาต่อยต่อสู้ ทิวก็สู้ยิบตา ฝีมือของทั้งสองสูสีกัน แต่ด้วยไหวพริบของทิว ทำให้เอาชนะล้วนได้ ล้วนถูกต่อยจนหน้าแตกเลือดไหลออกมาทรุดตัวล้มลง
กลุ่มคนงานเฮปรบมือเป่าปากให้กับชัยชนะของทิว เข้มดีใจได้จังหวะศอกกลับเรืองกับแก้ว แล้วยกหัวแม่โป้งให้ ทิวจะก้มเก็บกุญแจรถ แต่แล้วนิคเข้ามาเตะกุญแจรถออก ทิวเงยหน้าขึ้นก็โดนนิคเล่นงาน ทิวตั้งท่าจะสู้ ก็เจอเรืองกับแก้วเข้ามา กลายเป็นสามรุมหนึ่ง เข้มเห็นท่าไม่ดีจะวิ่งเข้าไปช่วย แต่ถูกคนงานพวกของล้วนรุมต่อยจนเข้มจุดทรุดตัวลงกองกับพื้น
เสกสรรค์ บุตรชายของ รัฐมนตรีเสกสิทธิ์ และคุณหญิงพันทิพา
ทิวตั้งท่าหมัดพร้อมต่อสู้กับหมาหมู่ นิคพุ่งเข้ามา ทิวออกหมัดต่อสู้ แต่โดนเรืองกับแก้วสวนกลับเข้ามา ในช่วงต้นของการต่อสู้ทิวเหมือนจะเอาอยู่ แต่เมื่อสามคนเข้ามารุมพร้อมกัน ทิวก็เสียท่าถูกต่อยและเตะทรุดตัวลงกองกับพื้น นิค เรืองและแก้วเข้ามาล็อกตัวไว้ เข้มนอนหมอบอยู่กับพื้น มองทิวด้วยความเป็นห่วง
ล้วนเดินตรงมาหาทิวเอามือเช็ดเลือดที่หน้า ซึ่งถูกทิวต่อยจนหน้าแตก
“ตาต่อตา ฟันต่อฟัน”
ล้วนชักมีดออกมา ทิวมอง ล้วนจะปาดมีดลงมาที่หน้าของทิว แต่ทันใดนั้นมือหนึ่งมาจับข้อมือล้วนไว้แล้วหักมือจนมีดร่วงลงพื้น ล้วนถูกชายคนนั้นเตะขาพับทรุดตัวลงกองกับพื้นหมอบอยู่ตรงหน้าทิว ทิวเงยหน้าหันไปมองพบว่าผู้ที่เข้ามาช่วยคืดเทพผู้ที่มีศักดิ์เป็นอา
เทพเป็นอดีตหุ้นส่วนของพ่อ ที่ได้ครอบครองธุรกิจเกือบทั้งหมด ตามพินัยกรรมที่พ่อของทิวได้เขียนเอาไว้ก่อนเสียชีวิต ยกเว้นหุ้นส่วน 40 เปอร์เซ็นต์ที่พ่อโอนให้เป็นชื่อของทิวไว้ก่อนแล้ว ทิวไม่เคยเชื่อข้อความในพินัยกรรม แต่ไม่อาจต่อต้านอะไรได้ที่เทพกลายเป็นเจ้าของเกือบทุกอย่างที่เคยเป็นของทิว และครอบครัว
เมื่อนิค เรืองและแก้วเห็นว่าใครมาช่วยทิว ต่างก็ตกใจ
“นายใหญ่!”
นิค เรืองและแก้วรีบปล่อยตัวทิว ถอยกรูไปยืนอยู่กับล้วน ทิวค่อยๆลุกขึ้นยืนเช็ดรอยเลือด
“ฉันขอโทษแทนทุกคนด้วย”
ล้วนพยายามจะฟ้อง
“แต่นายใหญ่ครับ...”
เทพยกมือห้าม ไม่ต้องการฟัง ล้วนและลูกน้องต่างนิ่ง...เทพหันไปประกาศบอกคนงานทุกคน
“ฉันเคยบอกทุกคนแล้วว่า ฉันไม่ชอบการทะเลาะวิวาททำงานด้วยกันก็ต้องรักกัน...และที่สำคัญ ฉันเกลียดวิธีหมาหมู่และการเอาเปรียบคนไม่มีทางสู้” เทพหันไปบอกพวกล้วน “ขอโทษคุณทิวซะ”
นิค เรืองและแก้วตกใจที่เทพจะให้หัวหน้าอาวุโสระดับล้วนขอโทษทิว ล้วนมองหน้าทิวแล้วเดินตรงเข้าไปยกมือไหว้ขอโทษทิว
“ผมขอโทษครับคุณทิว”
นิค เรืองและแก้วจำต้องเดินเข้ามายกมือไหว้ขอโทษแล้วจะเดินออกไป เทพหันไปสั่งเสียงเฉียบ
“พวกนายย้ายออกจากโรงงาน ไปคุมคนงานตัดอ้อยที่ไร่”
ทั้ง 3 คนตกใจ ที่ถูกลดตำแหน่งทำงานในโรงงาน ต้องไปตากแดดคุมคนงานในไร่อ้อย
“ส่วนนายล้วน...ผมขอพบที่ห้องทำงาน”
“ครับนายใหญ่”
ล้วนกังวลใจกลัวจะถูกลงโทษ เดินออกไป นิค เรืองและแก้วเดินตามล้วนไป เทพก้มเก็บกุญแจรถส่งให้ทิว
“ฉันขอโทษแทนพวกเขาอีกครั้ง”
ทิวรับกุญแจแล้วเดินออกไป ไม่พูดอะไรกับเทพทั้งสิ้น เทพยืนยิ้มไม่ได้โกรธเคือง...ทิวเดินตรงไปที่รถ เข้มวิ่งเข้ามาสมทบชื่นชมเทพ
“นายใหญ่นี่แมนสุดๆเลย ยอมก้มหัวออกรับแทนลูกน้อง ฉันไม่แปลกใจเลย...ทำไมใครๆก็รักนายใหญ่”
“ชื่นชมมันก็ไปเป็นลูกน้องมันซะ”
เข้มจ๋อย แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ว่าทำไมทิวถึงได้โกรธแค้นเทพนัก ขณะเดียวกันนั้น เทพเดินตรงเข้ามาหา เข้มรีบวิ่งอ้อมไปขึ้นรถฝั่งคนนั่งด้านหน้า
“แค่คุมการผลิต ตรวจคุณภาพสินค้า ก็เหนื่อยพอแล้ว ทำไมต้องขับรถไปส่งเองด้วย”
“ผมต้องการพิสูจน์ว่าน้ำตาลที่ออกจากโรงงงานของผมมีคุณภาพ”
“ไม่เอาน่า...อย่าเอาความผิดพลาดที่ผ่านมาทำร้ายตัวเอง”
“ผมต้องการความจริง มันจะเป็นตัวชี้วัดความถูกต้องทั้งหมด...”
“ฉันยินดี...และพร้อมร่วมมือให้นายค้นหาความจริง เพราะอาจทำให้นายมองฉันในแง่ดีขึ้นบ้าง”
เทพมองทิว ยืนยันความบริสุทธิ์ใจ ทิวขึ้นรถ เทพส่งกำลังใจ
“ขอให้นายเดินทางโดยปลอดภัย”
ทิวขับรถออกไป เทพยืนส่งและยิ้ม

ในห้องโถง แสงแฟลชวูบวาบ นักข่าวรุมถ่ายภาพพันทิพาและเสกสรรค์
“บอกได้เลยค่ะ ว่าดิฉันปลื้มลูกสะใภ้คนนี้มาก” พันทิพานึกได้ “ประทานโทษค่ะยังไม่ได้หมั้นเลย ทำไงได้ล่ะคะ คุณหญิงมานศรีโสภาคย์เพียบพร้อมไปทุกเรื่อง ทั้งหน้าตา ฐานะ การศึกษาโดยเฉพาะเชื้อสายของวงศ์ ตระกูลเก่าแก่”
ขณะเดียวกันนั้นนักข่าวคนหนึ่งถามขึ้น
“ไม่ทราบว่าคุณหญิงไปไหนแล้วล่ะคะ”
ทุกคนนึกได้ หันไปมองไม่เจอมานศรีโสภาคย์ สรัสวดีหันไปถามคำรณฤทธี
“ชายคำรณ...น้องไปไหน...”
“บอกว่าจะไปตามท่านพ่อครับ”
สรัสวดีได้ฟังคำตอบก็มีสีหน้ากังวลขึ้นมาทันที

หม่อมเจ้าอมรเทพกำลังคุยโทรศัพท์ หน้าตาเคร่งเครียดอยู่ในห้องทำงาน
“ผมรู้ว่ามันสำคัญ...ผมขอเวลาเพียงสองชั่วโมง...ให้ผมได้ทำหน้าที่ของพ่อ...งานหมั้นเสร็จสิ้นผมจะรีบไปเคลียร์เรื่องหนี้”
อมรเทพจะพูดเรื่องหนี้สิน แต่เห็นมานศรีโสภาคย์เข้ามายืนอยู่ในห้องก็ ปรับเปลี่ยนอารมณ์ ไม่ต้องการให้ลูกสาวรู้ถึงปัญหาทางธุรกิจ
“ครับผม...แล้วเจอกันครับ”
อมรเทพวางสาย แล้วกดปิดเครื่องทันที มานศรีโสภาคย์สงสัย
“ท่านพ่อมีปัญหาอะไรรึเปล่าคะ”
“เปล่าจ้ะ”
“แต่หญิงได้ยินท่านพ่อคุยงานเคร่งเครียด”
“งานก็คืองาน มันก็ต้องเครียดเป็นธรรมดา จะให้มีความสุขเหมือนได้อยู่กับลูกสาวที่รักของพ่อได้ไง”
มานศรีโสภาคย์สังเกตแววตาของอมรเทพ จับผิดบางอย่างได้
“ท่านพ่อกำลังโกหกหญิง”
“แย่จริง...ลูกสาวคนนี้รู้ไปหมดซะทุกเรื่อง พ่อบอกความจริงก็ได้ พ่อเครียดเรื่อง...”
มานศรีโสภาคย์รอฟัง อยากรู้ว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้น แต่อมรเทพเลือกที่จะปิดบัง
“…ที่ต้องยกลูกสาวคนนี้ให้ผู้ชายคนอื่นไปดูแล”
มานศรีโสภาคย์ยิ้ม
“ท่านพ่อ...” เธอโผเข้ามาโอบกอดอมรเทพ “ก็แค่งานหมั้น หญิงยังไม่ไปอยู่ที่อื่นสักหน่อย ถึงแม้ต้องแต่งงาน หญิงก็ขออยู่ที่วัง อยู่กับครอบครัวของเราตลอดไป”
สรัสวดีเข้ามาในห้อง
“หมดเวลาแสดงความรักกันแล้วจ้ะ...ใกล้เวลามงคลแล้ว ลูกหญิงไปเติมหน้าแล้วไปเข้าพิธีได้แล้วจ๊ะ”
“ค่ะ”
มานศรีโสภาคย์ออกไปจากห้อง อมรเทพมองตามด้วยความรัก แต่สีหน้ามีความวิตกกังวลเรื่องงาน สรัสวดีหันไปถามอมรเทพ
“คุณเคลียร์เรื่องนั้นเรียบร้อยรึยังคะ”
อมรเทพยิ้มกลบเกลื่อน
“ไม่มีอะไรน่ากังวล ผมจัดการได้ เราไปทำพิธีกันเถอะ”
สรัสวดียิ้มคลายความกังวล แล้วเดินออกไปกับอมรเทพ
ทิว บรรณา
ในห้องพิธีหมั้น พันทิพาชะเง้อรอคอยมานศรีโสภาคย์ อมรเทพและสรัสวดีเข้ามาทำพิธี พันทิพาหันไปนินทากับเสกสิทธิ์
“ผู้ดีเขาไม่ใส่นาฬิกาใส่กันรึไง ถึงไม่รู้จักเวลา”
เสกสิทธิ์ปราม
“คุณหญิง...ท่านคงติดธุระสำคัญจริงๆ”
“จะมีอะไรสำคัญกว่างานหมั้นครั้งนี้อีก นี่ถ้าไม่เห็นแก่ชื่อเสียงและเกียรติยศของตระกูลกฤตยา ฉันไม่ยอมทนนั่งรอนานสองนานอย่างนี้หรอก”
เสกสรรค์หันไปเห็น
“คุณแม่ครับ ท่านมาแล้วครับ”
พันทิพาหันหน้าไปแล้วเปลี่ยนอารมณ์เป็นยิ้มแย้มต้อนรับทันที
“กราบสวัสดีเพคะท่านชายอมรเทพ...”
อมรเทพควงมานศรีโสภาคย์เข้ามาบริเวณงาน ตามด้วยสรัสวดี ทุกคนยกมือไหว้ อมรเทพรับไหว้อย่างสุภาพ จากนั้นเข้ามานั่งประจำที่
“ผมขอโทษท่านรัฐมนตรี และคุณหญิงด้วยนะครับที่ปล่อยให้รอ”
พันทิพายิ้มแย้ม
“ไม่เป็นไรเพคะ หม่อมฉันทราบดีว่า...”
สรัสวดีแอบเหยียด
“ถ้าคุณหญิงไม่คุ้นกับราชาศัพท์ ก็คุยกับท่านด้วยคำธรรมดาสามัญก็ได้ค่ะ ท่านไม่ถือองค์”
พันทิพาแอบเจ็บใจ
“ดีค่ะ...ดิฉันทราบดีกว่างานของท่านยุ่งมาก เพราะกำลังขยายโรงงาน แค่ท่านปลีกเวลามาร่วมพิธีได้ ถือว่าเป็นเกียรติอย่างสูงแล้วค่ะ”
“งั้นเรามาเริ่มทำพิธีกันเลยครับ”
พิธีหมั้นเริ่มขึ้น เสกสรรค์และมานศรีโสภาคย์เข้าไปกราบเท้าอมรเทพและสรัสวดี จากนั้นก็เข้าไปกราบเท้าพันทิพาและเสกสิทธิ์
“ลูกเสก...สวมแหวนให้คุณหญิงสิ” เสกสิทธิ์บอก
พันทิพายื่นกล่องแหวนเพชรให้ เสกสรรค์จะรับ แต่พันทิพาหยิบแหวนขึ้นมาอวดนักข่าว
“แหวนเพชรเก้ากะรัตค่ะ สั่งทำพิธีสำหรับงานนี้เลยนะคะ มูลค่าเท่าไหร่ ขอไม่พูดดีกว่าค่ะ แต่เลขเจ็ดหลักค่ะ”
นักข่าวฮือฮาถ่ายภาพทันที สรัสวดีตื่นเต้นดีใจ อมรเทพยิ้มรับไม่พอใจกับการอวดร่ำอวดรวยของพันทิพา เสกสรรค์รับแหวนจากแม่แล้วสวมให้หญิงสาว มานศรีโสภาคย์มองหน้าเขาด้วยความรัก สรัสวดียื่นพานใส่แหวนหมั้นอีกวงให้ มานศรีโสภาคย์รับแหวนมาแล้วสวมแหวนให้เสกสรรค์ พันทิพาหันไปบอกนักข่าว
“ภาพนี้ลงหน้าหนึ่งนะคะ งานหมั้นระดับช้าง”
นักข่าวต่างกดชัตเตอร์ถ่ายภาพ ขณะเดียวกันนั้น วิโรจน์เดินเข้ามาในงาน
“ผมพลาดนาทีสำคัญไปรึเปล่าครับ”
อมรเทพหันไปมองวิโรจน์ด้วยความแปลกใจและตกใจ
“คุณวิโรจน์!”
สรัสวดีหันมามองอมรเทพ รู้สึกกังวลที่วิโรจน์บุกมาที่งาน พันทิพาแปลกใจหันไปถามเสกสิทธิ์
“ใครคะ”
เสกสิทธิ์กระซิบ
“นักธุรกิจพันล้าน เจ้าพ่อเงินกู้รายใหญ่”
อมรเทพบอกทุกคน
“ผมขอตัวสักครู่นะครับ เชิญคุณวิโรจน์ทางนี้ดีกว่า”
อมรเทพจะพาวิโรจน์ออกไป แต่วิโรจน์ไม่ยอมไป
“จะไปไหนล่ะครับ ผมยังไม่ได้แสดงความยินดีกับคู่หมั้นเลย” วิโรจน์มองสินสอด “สินสอดทองหมั้นเยอะดี แต่คะเนแล้วไม่น่าพอ”
วิโรจน์จะพูดเรื่องหนี้สิน มานศรีโสภาคย์สงสัยถามขึ้น
“ขอโทษนะคะ คุณอาพูดเรื่องอะไรคะ”
สรัสวดีรีบขัดขึ้นเพื่อพาวิโรจน์ออกไป
“เรียนเชิญคุณวิโรจน์ด้านในดีกว่าค่ะ”
“ไม่ต้องอายหรอกครับ...อีกหน่อยครอบครัวท่านรัฐมนตรีและคุณหญิง ก็ถือเป็นครอบครัวเดียวกัน หนี้สินของคุณก็เหมือนหนี้สินของเขา”
พันทิพาตกใจ
“หนี้สิน...หมายความว่าไงคะ”
“คุณอมรเทพกู้เงินไปขยายโรงงานผลิตอะไหล่พันกว่าล้าน แต่โดนพิษค่าเงินบาท หมดปัญญาหาเงินใช้หนี้ ผมจำเป็นต้องยึดโรงงาน”
ทุกคนรู้ความจริงก็ตกใจ
“แต่ขอประเมินอีกครั้ง ถ้าไม่พอ” วิโรจน์มองรอบๆห้อง “ผมอาจต้องยึดวังนี้ด้วย”
มานศรีโสภาคย์ไม่พอใจ
“ไม่มีทาง หญิงไม่ยอมให้ใครมายึดวังกฤตยาแห่งนี้เด็ดขาด”
วิโรจน์มองหน้า
“รึคุณหญิงจะให้คู่หมั้นใช้หนี้แทน” วิโรจน์หันไปถามอมรเทพ “ผมว่าท่านชายเดินหมากเกมนี้เก่งนะครับ หาทางออกให้ลูกสาวแต่งงานกับเศรษฐีใหม่”
อมรเทพไม่พอใจ
“ผมจะไม่เกรงใจแล้วนะครับ ขอเชิญคุณด้านนอก”
“ผมไม่ได้ตั้งใจมาป่วน” วิโรจน์มองไปทางครอบครัวพันทิพา “แค่มาแจ้งข่าวให้บรรดาลูกหนี้ในอนาคตได้ทราบไว้”
วิโรจน์เดินออกไป อมรเทพรักษาบรรยากาศหันมาคุยเรื่องงานหมั้น
“ผมคิดว่าเรามาทำพิธีต่อเถอะ”
พันทิพาไม่พอใจมาก
“แต่ดิฉันคิดว่าไม่จำเป็นแล้วค่ะ เพราะดิฉันขอถอนหมั้น”
เสกสรรค์ตกใจ
“คุณแม่!”
ทุกคนตกใจ มานศรีโสภาคย์รู้สึกเสียใจและผิดหวังที่พันทิพาประกาศยกเลิกงานหมั้น พันทิพาเดินลิ่วจะออกไปจากวัง เสกสิทธิ์เข้าไปเกลี้ยกล่อม
“คุณหญิงใจเย็นๆก่อน ทำอย่างนี้เท่ากับไม่ไว้หน้าท่านชาย”
“ไม่จำเป็นที่เราต้องเกรงใจผู้ดีตกยาก”
“แต่คุณแม่เป็นคนสนับสนุนให้ผมหมั้นกับคุณหญิงเองนะครับ” เสกสรรค์แย้ง
“สถานการณ์เปลี่ยน ชีวิตลูกก็ต้องเปลี่ยน”
เสกสรรค์วิงวอน
“คุณแม่ครับ แต่ผมรักคุณหญิงนะครับ”
“ความรักมันกินไม่ได้ เดี๋ยวแม่จะหาลูกสาวผู้ดีเก่าที่มีโพร์ไฟล์ดีๆ ไม่มีหนี้มาแนะนำให้ลูกรู้จัก กลับไปได้แล้ว”
พันทิพาและเสกสิทธิ์ออกเดินไป เสกสรรค์หันกลับไปมองยังห้องทำพิธีด้านใน เป็นห่วงความรู้สึกของมานศรีโสภาคย์มาก

มานศรีโสภาคย์ยืนนิ่ง อึ้งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตั้งรับไม่ทัน อมรเทพเข้ามาขอโทษลูกสาว
“ลูกหญิง พ่อขอโทษ”
“ท่านพ่อไม่ต้องขอโทษหญิงหรอกค่ะ ท่านพ่อไม่ได้ทำอะไรผิด”
สรัสวดีเร่งเร้า
“ท่านชายต้องทำอะไรสักอย่าง จะปล่อยให้ลูกเป็นหม้ายขันหมาก ตกเป็นขี้ปากชาวบ้านไม่ได้นะคะ”
อมรเทพหันมาบอกลูกสาว
“พ่อจะไปพูดกับท่านรัฐมนตรี และคุณหญิงให้เข้าใจ”
อมรเทพเดินออกไป สรัสวดีตามไป คำรณฤทธี เข้ามาปลอบน้องสาว
“น้องหญิงใจเย็นๆนะ ทุกอย่างจะต้องลงเอยด้วยดี”
คำรณฤทธี เดินตามอมรเทพและสรัสวดีไป มานศรีโสภาคย์ยืนนิ่ง พยายามตั้งสติ นักข่าวกรูเข้ามาถามมานศรีโสภาคย์ทันที
“คุณหญิงรู้สึกยังไงคะ”
“เสียใจไหมคะ”
มานศรีโสภาคย์ตาแดงๆ
“ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับพวกพี่ พี่จะเสียใจไหมคะ”
มานศรีโสภาคย์ย้อนกลับทำเอานักข่าวอึ้ง
“คุณหญิงหมั้นสายฟ้าแลบ เพื่อเอาสินสอดไปใช้หนี้จริงรึเปล่าคะ”
“ตระกูลของหญิงมีศักดิ์ศรีพอ ไม่แบกหน้าไปขอความช่วยเหลือจากใคร รึขอใครกินค่ะ”
“แล้วคุณหญิงจะทำยังไงต่อ หาแฟนใหม่ รึหนีรักไปมัลด์ดีฟ”
“ขอโทษนะคะ...พวกพี่คิดว่าชาวบ้านอ่านข่าวของหญิงแล้วช่วยเพิ่มรอยหยักในสมองรึเปล่า ถ้าไม่...กรุณาหยุดเขียนข่าวไร้สาระสักที”
นักข่าวอึ้งที่ถูกตอกกลับ มานศรีโสภาคย์เดินออกไปจากห้อง นักข่าวจะเข้าไปถามต่อแต่พิไลพรขวางไว้
“คุณหญิงลืมบอกอีกข้อค่ะ...ถ้ามีสำนึก กรุณากลับไปได้แล้วค่ะ”

โดนเหน็บอีก คราวนี้นักข่าวอึ้งไปทั้งแถบ ต่างยอมถอยทัพกลับออกไปทันที

อ่านต่อหน้า 2
ม.ร.ว.คำรณฤทธี พี่ชายของหญิงมานศรี เพื่อนสนิทของ เสกสรรค์
เกิดเป็นหงส์ ตอนที่ 1 (ต่อ)

พันทิพา เสกสิทธิ์ และเสกสรรค์จะเดินออกไป อมรเทพ สรัสวดี และคำรณฤทธี เดินไปถึงพอดี

“คุณหญิง ได้โปรดฟังผมอธิบายก่อน เรื่องที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องส่วนตัวของผม ไม่เกี่ยวกับความรักของเด็กทั้งสอง”
เสกสิทธิ์เห็นด้วย “ใช่ครับ ผมก็เห็นด้วยว่าเราต้องแยกแยะเรื่องธุรกิจกับเรื่องนี้”
สรัสวดีรีบเสริม “คุณหญิงเองก็ชื่นชอบลูกหญิงไม่ใช่เหรอคะ คุณหญิงต้องการลูกสะใภ้ที่เพียบพร้อม”
พันทิพากลับยิ้มเยาะ
“แต่ตอนนี้บกพร่อง พูดตามตรงนะคะ ที่ดิฉันยอมให้ลูกเสกหมั้นกับคุณหญิง เพราะมองว่าชื่อเสียงของกฤตยา จะช่วยเกื้อหนุนการเมืองและธุรกิจของเราได้ แต่เมื่อทุกอย่างล่ม ก็ไม่มีประโยชน์ที่เราจะดองกันอีกต่อไป”
อมรเทพฟังความจริงก็ยิ่งไม่พอใจ พันทิพามองหน้าพูดอย่างจริงจัง
“ดิฉันขอยืนยันคำเดิม ถอนหมั้น”
มานศรีโสภาคย์เข้ามา
“คุณหญิงไม่มีสิทธิ์พูดอย่างนั้นค่ะ เพราะหญิงต้องเป็นคนพูดประโยคนั้นเอง...หญิงขอถอนหมั้นค่ะ”
มานศรีโสภาคย์ตัดสินใจ จะถอดแหวนหมั้นออกแต่เสกสรรค์เข้ามาห้ามไว้
“ไม่นะ ผมไม่ยอม ผมรักคุณหญิง คุณแม่ครับยังไงผมก็จะแต่งงานกับคุณหญิงมาน”
เสกสรรค์เดินเข้ามายืนเคียงข้างมานศรีโสภาคย์ พันทิพาไม่พอใจ
“แม่บอกให้กลับ”
พันทิพายืนกรานความคิดเดิม จ้องมองเสกสรรค์ด้วยสายตาดุ มานศรีโสภาคย์มองเสกสรรค์ รอคอยการตัดสินใจของเขา เสกสรรค์เดินตรงไปหาแม่ มานศรีโสภาคย์รู้สึกเสียใจมากที่เขาไม่ยอมทำตามความคิดของตัวเอง พันทิพายิ้มอย่างผู้ชนะ เดินเชิดออกไป เสกสิทธิ์และเสกสรรค์เดินตามไป อมรเทพสรัสวดีและคำรณฤทธี เป็นห่วงความรู้สึกของมานศรีโสภาคย์มาก
“ลูกหญิง...”
มานศรีโสภาคย์เดินเสียใจกลับไปในบ้าน ทุกคนมองตามด้วยความเป็นห่วง

มานศรีโสภาคย์เข้ามาในห้องแล้วยืนนิ่งๆอึ้งๆ พิไลพรเข้ามา
“พรว่าหญิงมานกำลังต้องการพารา จะช่วยลดอาการปวดศีรษะ” พิไลพรเปลี่ยนใจ “แต่อย่าเลย...หญิงมานไม่ได้มีไข้ นอนพักดีกว่ามั้ยคะ”
“ฉันไม่ใช่คนไข้ของเธอนะคุณพยาบาล”
มานศรีโสภาคย์หันหน้ามายิ้มให้ พิไลพรแปลกใจ
“หญิงมานไม่เสียใจ”
มานศรีโสภาคย์ส่ายหน้า
“ไม่กังวล”
มานศรีโสภาคย์ส่ายหน้า
“ไม่ช็อก”
“ไม่เป็นอะไรทั้งนั้น...ฉันยังคงเป็นฉัน ไม่มีอะไรมาทำร้ายจิตใจฉันได้”
มานศรีโสภาคย์เริ่มถอดเครื่องประดับหยิบหงส์ที่หัวไหล่มองแล้ววางลง พิไลพรมองๆ
“อาการแบบนี้เรียกว่าช็อก...อีกประมาณหนึ่งชั่วโมงเมื่อได้สติ ความเสียใจจะถั่งโถมยิ่งกว่าเขื่อนแตกซะอีก”
“ฉันจะไม่เสียใจคร่ำครวญทำตัวไร้สติ...ชีวิตต้องเดินต่อไป”
มานศรีโสภาคย์จะเดินเข้าห้องน้ำ พิไลพรจะตามไป มานศรีโสภาคย์หันมามองหน้า
“ฉันจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า”
พิไลพรหยุดตาม มานศรีโสภาคย์เดินเข้าห้องน้ำไป
“อาการเป็นมากกว่าที่คิดไว้อีก” พิไลพรกังวลใจมาก

ขณะที่อมรเทพกังวลใจเรื่องปัญหาธุรกิจ สรัสวดีเข้ามาต่อว่าอมรเทพ
“ไหนท่านชายบอกว่าแก้ปัญหาทุกอย่างเรียบร้อยแล้วไงคะ”
“ผมพยายามที่สุดแล้ว”
“แต่ยังไม่พอค่ะ พรุ่งนี้ข่าวคงพาดหัว ตระกูลกฤตยาสิ้นท่า หาเขยมาใช้หนี้ แล้วเราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
อมรเทพย้อนกลับ
“เราคือคุณ...”
อมรเทพรู้ดีว่าสรัสวดี เป็นคนห่วงหน้าตาของตัวเองมากกว่าสิ่งอื่นใด
“ฉันเป็นห่วงความรู้สึกของลูกหญิง และห่วงเกียรติยศชื่อเสียงของตระกูลกฤตยา ที่สั่งสมมาหลายชั่วอายุคน”
“ผมขอบคุณที่คุณยังตระหนักถึงชื่อเสียงของตระกูลกฤตยา มันจะเป็นการดีมากถ้าคุณระลึกในข้อนี้ และทำตัวให้สมกับใช้นามสกุลกฤตยา”
อมรเทพได้ทีตำหนิสรัสวดี ที่มักสร้างชื่อเสียเพราะไปเล่นการพนัน
“ท่านชาย ท่านกำลังดูถูกว่าฉันทำตัว...”
อมรเทพขัดขึ้น
“นี่ไม่ใช่เวลาที่เราจะมาตำหนิติติงกัน...ผมคิดว่าอาจถึงเวลาที่เราอาจต้องยอมรับความจริง...เราต้องขายวังแห่งนี้”
สรัสวดีตกใจ
“ไม่นะคะ เราจะขายวังแห่งนี้ไม่ได้”
“คุณมีเหตุผลอะไร”
“เพราะวังนี้เป็นมรดกตกทอด...มันคือเกียรติภูมิของกฤตยา...”
อมรเทพยิ้มให้ แล้วเดินมองภาพทศกัณฑ์ที่ประดิษฐ์ด้วยเพชรพลอยสวยงามมาก เป็นของตกแต่งในวัง
“หัวโขนที่ประดับด้วยเพชรพลอยมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งหนัก ถ้าเราเอาหัวโขนออก เลือกใช้ชีวิตที่เรียบง่าย บางทีอาจทำให้เราค้นพบความสุขที่แท้จริง”
สรัสวดียืนยันเสียงแข็ง
“ไม่ได้นะคะ จะให้ฉันกลับไปอยู่บ้านไร่ปลายนาฉันไม่ยอม...หน้าที่ของคุณในตอนนี้คือรักษาโรงงานและกอบกู้ชื่อเสียงของเราคืนมา”
สรัสวดีทะเลาะกับอมรเทพ มานศรีโสภาคย์เดินลงมาได้ยินการสนทนาแล้วเดินหนีออกไป สรัสวดีหันไปบอกอมรเทพ
“และสิ่งสำคัญในตอนนี้คือการไปปลอบใจลูกหญิง”
อมรเทพกลับเดินหนีออกไปที่ห้อง เพราะรู้ดีว่าในเวลานี้มานศรีโสภาคย์ไม่ต้องการการปลอบใจ สรัสวดีไม่พอใจที่อมรเทพไม่ตอบสนองความต้องการของเธอ
พิไลพร ลูกสาวของแม่แล่ม มีอาชีพเป็นพยาบาล และเป็นคนสนิทของหญิงมานศรี
มานศรีโสภาคย์เดินไปที่รถสปอร์ตเปิดประทุนจะขับออกไปข้างนอก คำรณฤทธี เดินเข้ามา เปิดประตูจะเข้านั่งด้วย
“พี่ชายจะไปไหนคะ”
“น้องหญิงไปไหน พี่ชายไปด้วย”
คำรณฤทธี ต้องการอยู่เป็นเพื่อนเพื่อปลอบใจ มานศรีโสภาคย์ยิ้ม
“พี่ชายไม่ต้องห่วง หญิงไม่ทำร้ายตัวเอง...รึคิดสั้นหรอก หญิงขอขับรถรับลมให้สมองปลอดโปร่ง อีกเดี๋ยวหญิงก็กลับ”
“พี่เพิ่งกลับมาจากอังกฤษ ยังไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลย ขอไปด้วยคนสิ”
คำรณฤทธี จะเปิดประตูเข้าไปนั่ง
“ขอหญิงอยู่คนเดียวนะคะ”
“พี่จะนั่งเฉยๆ ทำตัวเป็นคนใบ้ไม่พูดสักคำ”
มานศรีโสภาคย์มองหน้าคำรณฤทธี ด้วยสายตาจริงจัง
“พี่ชายคะ”
คำรณฤทธี รู้นิสัยของน้องดี ยอมลุกจากที่นั่งเปิดประตูออกมานอกรถ
“ขับรถดีๆนะ”
มานศรีโสภาคย์ยิ้มให้ ดีใจที่พี่ชายรู้ใจเธอ
“ค่ะ...พี่ชาย...”
มานศรีโสภาคย์เข้าไปนั่งแล้วขับรถออกไป คำรณฤทธี มองด้วยความเป็นห่วง สรัสวดีวิ่งเข้ามาหาคำรณฤทธี
“ลูกปล่อยให้น้องออกไปได้ยังไง”
“คุณแม่ก็รู้นี่ครับ ถ้าน้องหญิงตั้งใจจะทำอะไรแล้ว ไม่ว่าใครก็ขวางน้องหญิงไม่ได้”
สรัสวดีรับฟังอย่างเข้าใจ เพราะรู้นิสัยใจคอของลูกสาวดี ทั้งสองมองไปอย่างเป็นห่วง

ทิวกำลังขับรถไปตามเส้นทาง เพื่อนำน้ำตาลไปส่งลูกค้า เข้มที่นั่งข้างๆหันมาชวนคุย
“มันก็จริงอย่างที่พี่ล้วนพูดนะนาย หน้าที่ส่งน้ำตาลไม่ใช่หน้าที่ของเรา เราไม่น่าต้องมาเหนื่อยขับรถไปส่งเลย”
“แต่มันเป็นวิธีเดียวที่ฉันจะพิสูจน์ว่า น้ำตาลที่ฉันตรวจสอบผ่านมาตรฐาน ไม่มีของปนเปื้อน”
ทิวคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาที่มีปัญหาเรื่องน้ำตาลไม่ได้คุณภาพ
ในอดีตที่ผ่านมา...นิคยกกระสอบน้ำตาลวางลงตรงหน้าทิว ล้วนเข้ามาต่อว่าทิว
“ลูกค้าตีกลับน้ำตาลล็อตนี้ทั้งหมด เพราะมีเศษอ้อยปนเปื้อน”
ทิวแปลกใจ
“เป็นไปไม่ได้ ฉันตรวจสอบความสะอาดทุกขั้นตอน”
เข้มต่อว่าล้วน
“อย่ามาใส่ความกันดีกว่า”
ล้วนเอามีดปาดกระสอบน้ำตาล แล้วเทน้ำตาลลงกองกับพื้น น้ำตาลทรายขาวที่มีเศษอ้อยปนเปื้อนอยู่จริงๆ ทิวและเข้มแปลกใจ เทพเดินเข้ามากับลูกค้า พยายามต่อรองกับลูกค้า
“ผมยอมรับความผิดพลาดในครั้งนี้ ผมจะส่งของให้เฮียล็อตนี้ฟรี เป็นการชดเชยที่ทำให้เฮียเสียหาย”
“อย่าให้ผิดพลาดบ่อยแล้วกัน อั๊วไม่อยากได้ของฟรี แต่อยากได้ของมีคุณภาพ”
ลูกค้าหันไปมองทิว ไม่พอใจการตรวจสอบคุณภาพของเขา
“ผมขอโทษแทนลูกน้องผมด้วยครับ...ผมสัญญาจะตรวจสอบสินค้าให้ดีกว่านี้ครับ”
ลูกค้ามองทิวไม่พอใจ เดินออกไป ล้วนตามลูกค้าออกไป เทพหันมาบอกทิว
“ฉันเข้าใจ คนเราผิดพลาดกันได้ แต่อย่าให้เกิดขึ้นอีก...มันจะสร้างปัญหาให้กับโรงงานเรา”
เทพเดินตามลูกค้าไป ทิวเดินมาที่กองน้ำตาลเอามือกอบน้ำตาลขึ้นมาดู แปลกใจที่มีเศษปนเปื้อน

ทิวขับรถไป แววตาเชื่อมั่นในข้อสันนิษฐานของตัวเอง
“น้ำตาลล็อตนั้นถูกเปลี่ยน...แล้วโยนความผิดมาให้ฉัน”
เข้มแปลกใจ
“นายใหญ่จะทำอย่างนั้นทำไม โรงงานเสียชื่อ เท่ากับฆ่าตัวตาย”
“ทำลายเครดิตฉัน เพื่อบีบให้ฉันขายหุ้น หลังจากนั้นทุกอย่างในอาณาจักรทิวเทพมิตร ก็จะเป็นของมันอย่างสมบูรณ์”
“ผมว่านายคิดมากเกินไป”
“คิดมากก็ดีกว่าคิดน้อย ถ้ายังไม่เลิกปกป้องมัน ลงไปจากรถ”
เข้มนิ่งเงียบทันที ทิวหน้าเครียด แต่มั่นใจว่าเทพอยู่เบื้องหลังการกลั่นแกล้งเขา
หม่อมสรัสวดี (กลาง) กับบุตรี และบุตรชายคนโต
เทพยืนมองออกไปทางกระจกห้องทำงาน ยืนสั่งการโดยไม่ได้หันไปมองล้วน
“ทำอะไรให้ระวังหน่อย คิดจะกำจัดศัตรูอย่าอยู่ในที่แจ้ง”
ล้วนแปลกใจและยิ้ม ดีใจที่เทพต้องการเล่นงานทิว
“ทำยังไงก็ได้ อย่าให้สินค้าถึงปลายทาง”
ล้วนเข้าใจดีว่าเทพต้องการให้ขัดขวางการส่งน้ำตาลของทิว
“แต่มันจะทำให้โรงงานเรามีปัญหา ลูกค้าอาจยกเลิกการสั่งซื้อสินค้าอีก”
“หาลูกค้าใหม่ไม่ยาก แต่ตอนนี้ฉันต้องกำจัดศัตรูหมายเลขหนึ่ง”
“หมายถึงกำจัดชีวิตมันด้วยหรือเปล่าครับ”
“ให้มันยอมขายหุ้นที่เหลือให้ฉันก่อน ถึงตอนนั้น มันก็ไม่มีค่าอะไรแล้ว”
ล้วนยิ้มรับ
“ครับนายใหญ่”
ล้วนรับคำแล้วเดินออกไปจากห้องทำงานไป เทพยิ้มอย่างพอใจที่หาทางจัดการทิว
“ที่นี่ควรมีเจ้าของเพียงคนเดียว”

มานศรีโสภาคย์ขับรถด้วยความเร็วมาตามถนนบนเชิงเขา เธอขับมาสักครู่ก็จอดรถกะทันหัน มานศรีโสภาคย์ตั้งสติพยายามระงับความรู้สึกภายใน ที่กำลังเสียใจจนน้ำตาจะไหล
“ฉันจะไม่ยอมเสียน้ำตา...ฉันต้องเข้มแข็ง”
มานศรีโสภาคย์พยายามตั้งสติแต่ในใจยังคงคิดถึงเสกสรรค์ ภาพในอดีตแว่บเข้ามา...เสกสรรค์เดินตรงมาหามานศรีโสภาคย์ ที่กำลังชื่นชมดอกกุหลาบในสวนของวังกฤตยา
“คุณหญิงครับ”
มานศรีโสภาคย์หันกลับมา ชายหนุ่มคุกเข่าตรงหน้า
“เสกทำอะไรคะ”
เสกสรรค์หยิบเอาแหวนออกมา
“แต่งงานกับผมนะครับ”
หญิงสาวอึ้งเขินอาย
“เสกแน่ใจแล้วเหรอคะ”
“คุณก็รู้ว่าผมรักคุณมากแค่ไหน ผมพร้อมจะใช้ชีวิตอยู่กับคุณตลอดไป”
“อย่าพูดคำนี้เลยค่ะ อนาคตจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เราไม่มีทางรู้ได้ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ทั้งนั้น แม้แต่ใจคน”
“ผมขอสัญญาครับ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมจะรักคุณ คุณคือดวงใจของผม”
เสกสรรค์ที่คุกเข่าอยู่ เอื้อมมือมาจับมือหญิงสาวสวมแหวนให้ มานศรีโสภาคย์มองอย่างซึ้งๆ

มานศรีโสภาคย์น้ำตาซึมด้วยความเสียใจ ก่อนจะรีบสลัดไล่ความรู้สึก
“ไม่...ฉันต้องเข้มแข็ง ฉันไม่เสียใจ”
มานศรีโสภาคย์เร่งเครื่อง แล้วออกตัวรถพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็ว
ขณะเดียวกัน ทิวขับรถมา แต่แล้วมีรถจากอีกทางพุ่งตรงเข้ามา เข้มตกใจ
“นาย ระวัง!”
ทิวหักรถหลบแล้วขับผ่านไปได้ รถคันนั้นวิ่งหยุดด้วยความตกใจ เข้มมองไปยังกระจกด้านข้าง เห็นรถที่จอดอยู่
“ขับห่วยแบบนี้...ผู้หญิงขับแน่”
ทิวขับรถ แล้วมองไปทางกระจกหลังเห็นรถสิบล้อวิ่งตามหลังมาในระยะกระชั้นชิด ทิวพยายามเบี่ยงหลบ แต่รถสิบล้อกลับไม่แซง และขับจี้ตามหลังพร้อมบีบแตรใส่ ทิวไม่พอใจ เข้มโวยวายเสียงดัง
“เป็นตุ๊ดรึไงวะ ขับจี้ตูดอยู่ได้”
ทิวขับรถ รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล เขาเร่งเครื่องแรงขึ้น...เรืองเป็นคนขับรถสิบล้อคันนั้นโดยมีนิคนั่งคุมอยู่ด้านข้างคนขับ
“ไล่บี้มันไป”
ทิวสังเกตเห็นรถสิบล้อยังคงขับตามหลัง เขาตัดสินใจชะลอรถ นิคคว้าหัวโอ้โม่งขึ้นมาครอบ เรืองก็คว้าหัวไอ้โม่งขึ้นมาใส่เช่นกัน
รถสิบล้อวิ่งตีขึ้นมาด้านข้า ทิวและเข้มหันไปมอง เห็นชายแปลกหน้าใส่หัวไอ้โม่งก็รู้ว่าไม่ปลอดภัย ทิวเรื่องเครื่องแรงขึ้นไปรถสิบล้อตีคู่ พยายามเบียดรถของทิวให้ตกข้างทาง ทิวเร่งเครื่องแล้วปาดหน้า ทำให้รถสิบค้าแซงไม่ได้ ทิวพยายามขับกันไว้แต่แล้วรถสิบล้อก็ตีคู่มาได้แล้วพยายามเบียด ทิวหาจังหวะจะแซงขึ้นไปแต่มีรถวิ่งสวนมาเขาตัดสินใจหักรถหลบลงข้างทาง รถพุ่งเข้าชนต้นไม้อย่างจัง รถสิบล้อวิ่งผ่านไป...เข้มหน้ากระแทกกับด้านหน้ารถหัวโน...เข้มหันไปถามทิว
“นายเป็นยังไงบ้าง”
ทิวได้สติ เปิดประตูกระโดดลงไปจากรถ เข้มแปลกใจรีบลงจากรถ แล้ววิ่งตามไป...ทิววิ่งขึ้นมาบนถนน...เข้มแปลกใจ
“นายจะไปไหน”
ทิวหันมาสั่ง
“โทรให้คนที่โรงงานเอารถมาขนถ่ายสินค้าไปส่ง”
ทิววิ่งตรงไปยังถนน รถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งวิ่งผ่านเข้ามาแวะจอด เพราะเห็นว่ารถของทิวประสบอุบัติเหตุ
“ผมเห็นรถพี่โดนเบียดมา...เป็นไงบ้างครับ”
“ช่วยพาคนเจ็บไปส่งโรงพยาบาลด้วยครับ”
ทิวชี้ไปที่เข้ม เข้มงง ทิววิ่งไปที่รถมอเตอร์ไซค์แล้วขี่รถออกไป ผู้ชายยืนงง
“คุณ...รถผม”
เจ้าของรถจะวิ่งไป เข้มรู้ดีว่าทิวจะขับรถไปเอาเรื่องคนร้ายวิ่งเข้าไปดึงตัวไว้แล้วร้องเสียงดัง
“โอ๊ย...ช่วยด้วย ขาผมหัก”
เข้มทรุดตัวลงกับพื้น ชายคนนั้นจึงวิ่งตามทิวไปไม่ได้

นิคกระชากหัวไอ้โม่งออก ดีใจที่สกัดรถของทิวได้
“สินค้าไปส่งไม่ได้...แค่นี้ก็ทำให้มันถูกถีบออกจากโรงงานแล้ว”
“มันต้องโดนไล่ให้ไปตัดอ้อยในไร่แทนพวกเรา”
นิคและเรืองหัวเราะชอบใจแต่แล้ว เรืองก็ตกใจ เมื่อเห็นทิวขี่มอเตอร์ไซค์ตามหลังมา นิคยิ้มเย้ย
“เนื้อหุ้มเหล็ก รึจะสู้เหล็กหุ้มเนื้อ”
เรืองเร่งเครื่อง ขับกลางถนน ไม่ยอมให้ทิวขับรถแซงขึ้นมาได้ ทิวตัดสินใจชักปืนที่เอวขึ้นมาแล้วยิงใส่ล้อยาง เสียงปืนดังขึ้นนิคและเรืองตกใจ กลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
ทิวพยายามยิงปืนใส่ แต่รถสิบล้อก็เบี่ยงซ้ายขวา ทำให้ยิงได้ยาก ทิวขี่มอเตอร์ไซน์มาถึงสามแยกตัดสินใจหยุดรถแล้วหยิบปืนเล็งไปที่ล้อรถ แต่แล้วรถของมานศรีโสภาคย์พุ่งผ่านมาขวางทางกระสุน ทิวตกใจสะบัดบอกกระปืน กระสุนพุ่งออกไปอีกทาง มานศรีโสภาคย์ได้ยินเสียงปืนตกใจ หักรถเลี้ยวลงไปข้างทาง รถกระแทกต้นไม้ จอดนิ่งสนิท
ทิวมองไปเห็นรถสิบล้อวิ่งผ่านไปจะตามไปแต่หันไปมองรถมานศรีโสภาคย์เห็นเธอฟุบอยู่ในรถ เขารีบเดินเข้าไปเรียก
“คุณ...คุณ!”
มานศรีโสภาคย์ยังคงหมดสติทิวเข้ามาจับตัว เห็นว่าหัวคิ้วมีรอยรอยเลือด เขาเป็นห่วงเปิดประตูรถแล้วอุ้มหญิงสาวเดินออกมาจากรถ มานศรีโสภาคย์รู้สึกตัวลืมตามองเห็นทิวก็ตกใจ
“แก...ปล่อยฉันนะ...ปล่อยฉัน”
ทิวตกใจค่อยๆวางหญิงสาวลง มานศรีโสภาคย์โวยวายลั่น
“แกเป็นใคร ถือดียังไงเข้ามาแตะต้องตัวฉัน...”
มานศรีโสภาคย์มองทิว ก็นึกถึงเหตุการณ์เมื่อสักครู่ เธอขับรถมา ผ่านมากลางสามแยก แล้วหันไป เจอทิวกำลังเล็งปืนมา เธอตกใจ หักรถหลบลงข้างทาง ทำให้หน้ากระแทกกับด้านหน้ารถ...เธอจ้องหน้าเขา ทิวมองเห็นเลือดไหลออกมาจะเข้าไปเช็ดให้
“หยุดนะอย่าเข้ามา นายจะยิงฉัน...นายจะปล้นฉัน”
มานศรีโสภาคย์ตกใจ วิ่งหาไม้หยิบขึ้นมายืนขู่
“อย่าเข้ามานะ ไม่งั้นฉันตะโกนให้คนช่วย”
ทิวหันไปมองรอบๆแถวนี้ไม่มีคน มานศรีโสภาคย์รู้ว่าไม่มีคน คิดหาวิธีใหม่
“ฉันจะโทรเรียกตำรวจมาจับนาย”
มานศรีโสภาคย์จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแต่หาไม่เจอ
“โทรศัพท์ฉันอยู่ไหน นายขโมยไปใช่ไหม”
ทิวมองเอือมๆ
“ถ้าฉันจะปล้นเธอ ไม่ปล่อยให้เธอมายืนด่าอยู่อย่างนี้หรอก...เลิกประสาทสักที”
ชายหนุ่มไม่สนใจหญิงสาวเดินไปที่รถมอเตอร์ไซค์ เธอค่อยโล่งใจถอยห่างไปที่รถ แต่เห็นสภาพรถแล้วก็รู้ว่าใช้การไม่ได้

ทิวเดินมาขึ้นรถมอเตอร์ไซค์จะสตาร์ท แต่แล้วมานศรีโสภาคย์เข้ามาดึงกุญแจรถออก
“นายไปไหนไม่ได้ จนกว่าตำรวจจะมา”
ทิวจะแย่งกุญแจรถ แต่มานศรีโสภาคย์ถอยห่าง ทิวลงจากรถตามไป
“ผมไม่มีเวลามาเล่นกับคนประสาท เอากุญแจรถมา”
“ฉันไม่เอาความเรื่องนายจะยิงฉัน แต่นายต้องรับผิดชอบหาคนมาช่วยฉัน เอางี้...ขอยืมโทรศัพท์หน่อย”
“ไม่มี!”
“โทรศัพท์เครื่องละไม่กี่ร้อย ยังไม่มีปัญญาซื้อ...นายคงเป็นพวกคนงานไร่อ้อยแถวนี้ล่ะสิ รึว่าแรงงานต่างด้าว ไม่ใช่สิ พูดไทยชัด”
ทิวรำคาญแย่งกุญแจรถมาได้ จะเดินกลับไปที่รถมอเตอร์ไซค์ มานศรีโสภาคย์ควักเงินขึ้นมา
“นายต้องการเท่าไหร่”
ทิวมองหญิงสาวที่ถือเงินล่อ
“เงินนี้มากพอจะทำให้นายไม่ต้องตัดอ้อยเป็นปีเลยนะ แถมมีเงินซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆ ซื้อทีวี ซื้อตู้เย็น ซื้อได้ทุกอย่างที่นายต้องการ”
ทิวมองเงินแล้วเดินตรงมาหา มานศรีโสภาคย์ยิ้มเยาะ
“ทำเป็นหยิ่ง...สุดท้ายก็แพ้อำนาจเงิน”
ทิวรับเงินแล้วจับยัดใส่มือหญิงสาว
“เงินซื้อทุกอย่างได้ ยกเว้นศักดิ์ศรีความเป็นคนของผม”
ทิวเดินกลับไปที่รถมอเตอร์ไซค์
“เดี๋ยวก่อน นาย”
มานศรีโสภาคย์หงุดหงิดไม่ได้ดั่งใจ...ทิวขึ้นขี่มอเตอร์ไซค์ขับออกไป มานศรีโสภาคย์วิ่งตาม
“นายไปไหนไม่ได้ นายต้องช่วยฉันก่อน”
ทิวไม่สนใจ ขี่รถออกไปเลย หญิงสาววิ่งตะโกนไล่หลัง
“ไม่ได้ยินรึไง ฉันบอกให้กลับมา”
ทิวไม่สนใจเร่งเครื่องออกไป มานศรีโสภาคย์วิ่งตามหลัง ทิวมองกระจกข้างรถ เห็นหญิงสาววิ่งล้มลงกับพื้น เขาหยุดรถคิดตัดสินใจจะทำอย่างไรดี มานศรีโสภาคย์มองไปรอลุ้นว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไร ทิวตัดสินใจขี่รถออกไป ไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยอีก หญิงสาวรู้สึกผิดหวังและเสียใจกับพฤติกรรมของเขา เธอลุกขึ้นอย่างองอาจ
“นายมันไม่ใช่คน จะชาตินี้หรือชาติไหน ขออย่าให้ฉันได้พบพานคนอย่างนายเลย”

ทิวขี่มอเตอร์ไซค์ห่างออกไป แล้วหยุด เขารู้สึกเป็นห่วงหญิงสาวคิดตัดสินใจจะขับตามพวกสิบล้อหรือกลับไปหาเธอดี
มานศรีโสภาคย์ยืนอยู่กลางถนน มองไปด้านหน้าเห็นแต่ถนน เธอรู้สึกกังวลใจน้ำตาซึม
“แล้วฉันจะกลับยังไง”
หญิงสาวหันหลังกลับไปด้านหลัง แต่แล้วเธอก็ต้องอึ้ง
“เสก!”
เสกสรรค์ยืนอยู่บนถนนที่มุมหนึ่ง วิ่งเข้ามากอดหญิงสาวด้วยความดีใจ
“คุณหญิงไม่เป็นอะไรใช่มั้ย!”
เสกสรรค์กอดมานศรีโสภาคย์ไว้แน่น แต่มานศรีโสภาคย์ยืนนิ่ง แข็งใจ ทิวที่จอดมอเตอร์ไซค์อยู่ที่มุมหนึ่ง มองคู่รักทั้งสอง เขาแสยะยิ้มออกมา ก่อนจะตัดสินใจขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกไป

มานศรีโสภาคย์ผละออกจากอ้อมกอดของเสกสรรค์ทันที
“คุณหญิง...”
เสกสรรค์พยายามจับมือ หญิงสาวปัดออก
“เราสองคนไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันแล้ว ไม่ควรทำแบบนี้ ปล่อยหญิง”
เสกสรรค์เจอสายตาที่เฉียบขาดจริงจังของหญิงสาว ก็ปล่อยมือทันที
“มาเจอหญิงได้ยังไงคะ...หรือว่าตามหญิงมา”
“ใช่ ผมเห็นคุณหญิงขับรถมาคนเดียว ผมเป็นห่วง...ถ้าผมไม่ตามมา จนเจอคุณหญิง ไม่รู้ป่านนี้จะเกิดอะไรขึ้น”
มานศรีโสภาคย์โกรธทิวมาก
“ใช่ค่ะ...ถ้าเสกไม่มา หญิงคงถูกคนใจดำปล่อยทิ้งไว้กลางไร่”
เสกสรรค์แปลกใจ
“คนใจดำ ใครที่ไหนครับ”
“ซาตานค่ะ”
เสกสรรค์หัวเราะออกมา คิดว่าเธอเล่นมุขแกล้งเขา
“คุณหญิงไม่โกรธผมแล้วใช่มั้ย”
มานศรีโสภาคย์ไม่พอใจตัดบท
“หญิงอยากกลับบ้าน ไม่อยากอยู่ที่นี่อีกแม้แต่วินาทีเดียว”
หญิงสาวเดินนำออกไป เสกสรรค์เดินตามหวังง้อคนรักให้ได้

ค่ำนั้น...เสกสรรค์ขับรถเข้ามาจอดหน้าวังกฤตยา แล้ววิ่งมาเปิดประตูรถให้มานศรีโสภาคย์
“ทำไมไม่ให้ผมไปส่งถึงในวังล่ะครับ”
“เสกลืมไปแล้วเหรอ ว่าหญิงสั่งห้ามเสกมาที่นี่อีก”
“คุณยังโกรธผม”
“หญิงไม่อยากให้ใครมาต่อว่าหญิงได้ ว่าหญิงใช้คุณเป็นสะพานเพื่อปลดหนี้”
“คิดมากอีกแล้ว...จำไว้นะคนดีของผม อย่าเอาเรื่องเงินมาปิดกั้นความรักที่เรามีต่อกัน”
“ความรักเหรอคะ คุณรักหญิงพอที่จะขัดคำสั่งแม่ของคุณหรือเปล่า”
เสกสรรค์อึ้งไป
“ผม...”
“แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ...ประเด็นสำคัญที่สุดในตอนนี้คือ หญิงไม่ยอมถูกใครตราหน้าเด็ดขาดว่าหญิงแต่งงานกับคุณเพราะเงิน”
มานศรีโสภาคย์ถอดแหวนหมั้นออกแล้วยื่นให้
“แต่ใจผมให้คุณหญิงไปแล้ว...ผมไม่มีวันรับคืนมา”
“อย่าให้หญิง ต้องถูกดูหมิ่นดูแคลนกว่านี้อีกเลยค่ะ”
หญิงสาวส่งแหวนให้ ชายหนุ่มจำต้องรับแหวนหมั้นคืนมา มานศรีโสภาคย์เดินเข้าไป ประตูวังเปิดออกเธอเดินเข้าไป ประตูวังปิดอีกครั้ง เสกสรรค์มองดูแหวนหมั้นแล้วหันไปมองประตูวัง
“ผมจะพิสูจน์ให้คุณเห็นว่าความรักของผม อยู่นอกเหนือพันธนาการหรือภายใต้อำนาจของใคร”

สีหน้าแววตาเสกสรรค์มุ่งมั่นมากที่จะต่อสู้เพื่อความรัก ไม่ยอมตกอยู่ภายใต้คำสั่งของพันทิมาผู้เป็นแม่อีกต่อไป

อ่านต่อหน้า 3 พรุ่งนี้ (12 พ.ค.) เวลา 9.30 น.
ร.ม.ต.เสกสิทธิ์  กับ เสกสรรค์ บุตรชาย
เกิดเป็นหงส์ ตอนที่ 1 (ต่อ)

ทิวขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดที่มุมหนึ่งแถวๆ หน้าโรงงาน เข้มซึ่งรออยู่นานแล้วรีบวิ่งเข้ามาหา

“นายเป็นไงบ้าง”
ทิวโยนกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ให้เข้ม
“ฝากขอบคุณเจ้าของรถ แล้วเอาน้ำตาลไปสมนาคุณเขาด้วย”
ทิวเดินออกไป เข้มตะโกนบอกด้วยความเป็นห่วง
“นายกลับบ้านเถอะ อย่าเข้าโรงงานเลย พวกมันจ้องเล่นงานอยู่”
ทิวหยุดมองไปทางข้างหน้ามีทางไปยังโรงงานกับทางไปเรือนพัก เขาตัดสินใจก้าวเดินไปยังโรงงาน เข้มเห็นแล้วส่ายหัวเป็นกังวล
“เฮ้อ...ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ”
เข้มเป็นห่วงทิวกลัวจะโดนเล่นงานหนัก

ทิวเดินเข้ามาในเขตโรงงาน เจอล้วนยืนดักรออยู่ โดยมีนิค เรืองและแก้วยืนอยู่ด้านหลัง ล้วนมองเยาะ
“ทำอวดเก่ง...สุดท้ายก็ไปส่งน้ำตาลไม่ทัน ทำงานแบบนี้ขายหุ้นให้นายใหญ่เถอะ อย่าอยู่เป็นตัวถ่วงความเจริญเลย”
เทพเดินเข้ามาต่อว่าล้วน
“นายล้วน!”
ล้วนหันไปเจอเทพหุบปากทันที...เทพเดินเข้ามาบอกทิว
“ฉันเข้าใจดีว่ามันเป็นอุบัติเหตุ”
“มันไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เป็นการฆาตกรรม”
ทิวเพ่งมองไปยังพวกนิค...พวกนิคหลบตา เทพแสร้งตกใจ
“นายคิดว่าเป็นคู่แข่งทางธุรกิจรึปัญหาส่วนตัว...เหตุผลอย่างหลังคงไม่ใช่ ตัวนายไม่เคยสร้างปัญหารึมีศัตรู ทิว ฉันรับปากฉันจะสืบหาตัวการมารับผิดชอบในเรื่องนี้”
“ขอบคุณมากครับ แต่ไม่ต้อง”
ทิวจ้องมองเทพ มีนัยยะบางอย่างในใจ เขาเชื่อว่าเทพเป็นตัวบงการ
“ชีวิตผมผมดูแลตัวเองได้...ผมจะไม่ยอมตกเป็นเหยื่อถูกล่าเพียงฝ่ายเดียว”
ทิวออกไปอย่างหยิ่งทะนง เทพมองตามแล้วยิ้มอย่างผู้ชนะไม่ยี่หระต่อคำพูดของทิว

มานศรีโสภาคย์เดินมามองห้องทำงานของอมรเทพ เห็นไฟเปิดอยู่ เห็นเงาของพ่ออยู่ในห้องก็นึกเป็นห่วง
“ท่านพ่อยังทรงงาน”
ขณะเดียวกันในห้องทำงาน อมรเทพหยิบโฉนดวังออกมาจากลิ้นชักแล้วมองโฉนด สรัสวดีเข้ามา
“ท่านชายขายวังไม่ได้นะคะ”
“ฉันไม่มีทางเลือก มูลค่าของวังจะทำให้เรามีเงินมากู้โรงงานได้”
“แต่ท่านชายไม่ควรขาย”
อมรเทพหยั่งเชิง
“ทำไม”
“จะสูญเสียวังกฤตยาที่มีอายุร่วมร้อยกว่าปี ด้วยมือของท่านชายได้ยังไงคะ วิญญาณของบรรพบุรุษคงจะไม่สงบสุขแน่ ดิฉันในฐานะ ภรรยาจะปกป้องและร่วมดูแล”
“ขอบใจนะที่เธอเตือนสติฉัน...ฉันจะขายได้ไงล่ะในเมื่อเธอเอาวังไปจำนองไว้”
สรัสวดีตกใจ
“ท่านชายทราบเรื่องนี้!”

มานศรีโสภาคย์เดินขึ้นบันได จะเลี้ยวไปทางห้องทำงานของอมรเทพ แม่แล่มเรียกไว้
“คุณหญิงจะไปไหนคะ”
“หญิงจะแวะไปหาท่านพ่อจ้ะ”
“ท่านกำลังทรงงานยุ่ง หม่อมท่านสั่งห้ามใครเข้าไปกวนค่ะ”
“หม่อมแม่ห้ามไว้...อืม” หญิงสาวยิ้มเหมือนน้อมรับ “แต่ท่านพ่อไม่ได้ห้ามนี่นา”
มานศรีโสภาคย์รีบวิ่งไปยังห้องทำงานของอมรเทพทันที แม่แล่มตกใจ
“คุณหญิง!”
แม่แล่มจำต้องยอมในความดื้อและแสนซนของมานศรีโสภาคย์

สรัสวดียกมือไหว้ขอโทษอมรเทพอยู่ในห้อง
“ดิฉันขอโทษ คือ...ดิฉันต้องการเงินไปใช้หนี้การพนัน”
“นี่เธอยังเข้าบ่อนอีกเหรอ!”
“ดิฉันตั้งใจจะเลิก แต่คุณพี่รัชนีกรเป็นคนขอร้องให้ไปเป็นครั้งสุดท้าย...แต่โชคร้ายที่ดิฉันเสียไปห้าสิบล้าน”
อมรเทพได้ฟังก็หัวเสีย เดินหงุดหงิดไม่พอใจ
“แต่ดิฉันก็แก้ปัญหา ไม่อยากมารบกวนท่านชาย”
อมรเทพไม่พอใจ
“โดยการเอาวังของฉันไปจำนอง”
สรัสวดีอึ้งจำต้องรับหน้ายอมรับความจริง เธอนึกถึงเมื่อตอนกลางวันที่ไปขอร้องหม่อมรัชนีกร...
“ฉันไม่รู้จะบากหน้าไปพึ่งใคร ดิฉันตัดสินใจมาพึ่งใบบุญหม่อมรัชนีกร เพราะเห็นว่าเราเป็นเครือญาติ”
สรัสวดีมองไปยังภาพถ่ายในกรอบรูป ระหว่างหม่อมเจ้าอมรเทพกับพลเอกหม่อมเจ้าพหล
“พลเอกหม่อมเจ้าพหลเองก็เป็นถึงพี่ชายของท่านชาย คงไม่ใจดำให้ปล่อยน้องสะใภ้ต้องลำบาก”
รัชนีกรรีบห้าม
“อย่าให้ท่านพี่รู้เรื่องนี้โดยเด็ดขาด เธอก็รู้ว่าท่านพี่เกลียดการพนัน ไม่อย่างนั้น ท่านเล่นงานฉันแน่!”
“ถ้าหม่อมไม่อยากโดนเล่นงาน ก็ต้องช่วยดิฉัน”
รัชนีกรไม่พอใจ
“เธอขู่ฉัน”
“ไม่ได้ขู่นะคะ แต่เราลงเรือลำเดียวกันแล้ว ถ้าท่านชายอมรเทพรู้ ท่านชายพหลก็ต้องทราบว่าเราสองคนเข้าบ่อนด้วยกัน”
“แล้วฉันจะหาเงินที่ไหนให้เธอ...ท่านชายพหลเป็นแค่ทหารเกษียณอายุราชการ ไม่มีเงินถุงเงินถัง”
“แต่น้องชายของหม่อมเป็นถึงเศรษฐีใหญ่ น่าจะช่วยได้”
สรัสวดีเสนอทางออกให้น้องชายของหม่อมรัชนีกรช่วย

เมื่ออมรเทพรู้เรื่องก็ไม่พอใจมาก
“เธอจึงแบกหน้าไปขอความช่วยเหลือ คนที่เธอเคยดูถูกว่าเป็นคนระดับล่างอย่างนั้นเหรอ”
สรัสวดีหน้าสลด
“ดิฉันไม่มีทางเลือก...ดิฉันทำดีที่สุดแล้ว”
“นี่เหรอที่เรียกว่าทำดีที่สุดแล้ว...เธอเอาวังไปจำนองเท่ากับเอาเกียรติภูมิของกฤตยาไปเร่ขาย...เธอเป็นภรรยาที่แย่มาก”
สรัสวดีสวนกลับ
“ท่านชายบริหารกิจการผิดพลาด ท่านชายก็บกพร่องในการเป็นผู้นำเช่นเดียวกัน”
อมรเทพโกรธจัด
“สรัสวดี!”
อมรเทพผิดหวังที่เมียขึ้นเสียง ทั้งสองฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน

มานศรีโสภาคย์ เดินตรงไปที่หน้าห้องทำงานอมรเทพ แต่คำรณฤทธีเข้ามาเรียกไว้
“น้องหญิง...รู้สึกดีขึ้นยัง”
“พี่ชายคิดว่าไงคะ”
“ยียวนอย่างนี้ ถือว่าเป็นปกติ สมกับเป็นน้องสาวที่เข้มแข็งของพี่”
“ชีวิตต้องเดินหน้าต่อไปค่ะ หญิงไปหาท่านพ่อก่อนนะคะ”
มานศรีโสภาคเดินตรงไป คำรณฤทธีพูดขึ้น
“พี่ไม่กลับอังกฤษแล้ว”
มานศรีโสภาคย์ชะงักแปลกใจ หันกลับมามองพี่ชาย
“พี่ชายคิดดีแล้วเหรอคะ”
“มันเป็นทางออกที่ดีที่สุด”
“แต่ปริญญาโทจากอังกฤษเป็นเป้าหมายในชีวิตของพี่ชาย”
“ถึงเวลาที่พี่ต้องเสียสละบ้าง...พี่จะเลิกเรียน เพื่อกลับมารักษาวังของเรา”
มานศรีโสภาคย์โผเข้ากอดพี่ชายด้วยความรัก
“หญิงภูมิใจนะคะที่หญิงเกิดมาเป็นน้องของพี่ชาย...”
“ไป...ไปนอนได้แล้ว”
“ค่ะ”
มานศรีโสภาครอจน คำรณฤทธี เดินไปเปิดประตูเข้าห้องนอน เธอจึงตัดสินใจ เดินไปยังห้องทำงานอมรเทพ

ในห้องทำงาน…สรัสวดียังคงเถียงกับอมรเทพ
“ดิฉันอยากจะรู้...หม่อมรัชนีกรเป็นคนรายงานเรื่องนี้เหรอคะ”
“หม่อมรัชนีกรอ่อนแอเกินกว่าจะเก็บความลับไว้ได้ พี่ชายฉันเป็นคนรายงานเรื่องนี้”
สรัสวดีอึ้ง
“ท่านชายพหล”
“เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ...ฉันจึงรู้ความจริงว่าเธอสร้างเรื่องขึ้นมามากมาย เพื่อแก้ปัญหาหนี้พนันของตัวเอง”
สรัสวดีสำนึกผิด
“ดิฉันขอโทษ...ดิฉันผิดไปแล้ว”
“ทั้งๆที่เธอก็รู้ว่าฉันรักวังนี้มาก แต่เธอยังกล้าทำอย่างนี้...เท่ากับเธอไม่เห็นว่าฉันเป็นสามีเธอ ฉันก็ยินดีที่จะปลดปล่อยให้เธอเป็นอิสระ”
“ดิฉันไม่ยอมหย่า!” สรัสวดียืนกรานเสียงแข็ง “ดิฉันไม่ยอมเป็นหม้าย ตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน ท่านไม่รู้รึไงว่ามันน่าอาย”
อมรเทพอึ้ง
“ท่านแม่เคยให้สติฉัน...ว่ากาไม่มีวันเป็นหงส์ ต่อให้จับใส่ปีกใส่หางสวยงามเพียงใด แต่สักวันปีกขาวก็ต้องร่วงเผยให้เห็นขนสีดำของกา...วันนี้คุณได้แสดงสัญชาติญาณกาออกมาแล้ว”
“เลิกสำบัดสำนวนได้แล้ว จะว่าดิฉันเป็นกาเป็นแร้งก็ช่าง แต่ดิฉันไม่ยอมหย่า”
มานศรีโสภาคย์เดินเข้ามาในห้อง แปลกใจที่ทั้งสองมีปากเสียงรุนแรง
“หม่อมแม่...เกิดอะไรขึ้นคะ”
อมรเทพและสรัสวดีไม่อยากบอกความจริง นิ่งเงียบ กลบเกลื่อน
“เรากำลังคิดหาวิธีกอบกู้ธุรกิจน่ะลูกหญิง”
“หญิงขอโทษค่ะ หญิงมัวแต่จมปลักกับความเสียใจของตัวเอง ไม่เคยคิดช่วยเหลือท่านพ่อเลย”
“ไม่ใช่เรื่องที่ลูกต้องแบกภาระนี้...มันเป็นหน้าที่ของพ่อ”
สรัสวดีเช็ดน้ำตา แล้วเข้ามายืนเคียงข้างอมรเทพ
“เราจะพยายามทำทุกวิถีทางให้ผ่านวิกฤตินี้ไปให้ได้...เพื่อกลับมาเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์เหมือนเดิม”
สรัสวดีมองไปทางสามีแต่ อมรเทพไม่อาจทนเสแสร้งได้ รีบถอยห่าง
“พ่อขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะ ลูกเองก็เหมือนกัน”
อมรเทพเดินออกไป
“แม่ไปดูแลท่านพ่อก่อนนะลูก ราตรีสวัสดิ์จ้ะ”
สรัสวดีเดินตามอมรเทพออกไป มานศรีโสภาคย์เดินตรงมาที่หน้าต่างกระจกในห้องทำงาน แล้วมองไปยังอาณาเขตของวังกฤตยา
“ทุกคนเสียสละ และทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อวังแห่งนี้...หญิงสัญญาค่ะ หญิงจะยอมทำทุกอย่างเพื่อรักษาวังไว้”
มานศรีโสภาคมองไปยังน้ำพุหงส์ด้วยสายตาของความมุ่งมั่น ที่จะรักษาวังกฤตยาไว้ให้ได้

ทิวเดินอารมณ์เสียมาที่บ้านพัก ขวัญตาคนรักของเขาเข้ามาหา
“พี่ทิว...”
“ขวัญตา”
ทิวเข้าไปกอดขวัญตาเอาไว้หลับตานิ่ง เหมือนนี่คือที่พักของหัวใจ
“พี่ทิวไปไหนมา ลืมไปแล้วหรือไงว่าวันนี้พี่สัญญากับฉันว่าจะไปคุยเรื่องของเรากับพ่อกำนัน”
ทิวเพิ่งนึกขึ้นได้ รู้สึกผิด
“พี่ขอโทษ พอดี...มีเรื่องสำคัญที่พี่ต้องไปจัดการ”
“แต่เรื่องแต่งงานของเรา มันไม่เคยสำคัญใช่มั้ย”
“ไม่ใช่นะขวัญตา...”
ขวัญตาไม่ฟังเดินหนี ทิวรีบตามไปง้อไม่อยากให้คนรักเสียใจ...ขวัญตาเดินหนีมา ทิวเข้ามาสวมกอดเอาไว้
“อย่าโกรธพี่สิ พี่ไม่ได้ตั้งใจทำให้ขวัญตาเสียใจ”
“ตกลงพี่ทิวจริงใจกับฉันแน่หรือเปล่า หรือคิดแค่คบไปวันๆ ซื้อเวลาไปเรื่อยๆแบบนี้”
“ทำไมขวัญตาคิดแบบนี้...ไปฟังใครเขามา”
ขวัญตารีบแก้ตัว
“เปล่า...แต่มันอดคิดไม่ได้ พี่ทิวชอบเห็นงานสำคัญกว่าขวัญตา”
“มันเปรียบเทียบกันไม่ได้หรอกนะ งานคือหน้าที่ แต่ขวัญตาคือดวงใจ พี่รักขวัญตาคนเดียว รักมาก แต่เรื่องวันนี้พี่ขอโทษจริงๆ”
ขวัญตาถอนใจ แอบเก็บความเบื่อหน่าย
“แล้วพี่ทิวจะให้ขวัญตารออีกนานแค่ไหน ระวังเหอะ...จะไม่อยู่รอให้ไปขอ”
“ไม่อยู่รอ แล้วขวัญตาจะไปไหน”
ทิวมองขวัญตาด้วยสายตากรุ้มกริ่ม
“ไปอยู่กับคนที่เขารัก และให้ความสำคัญกับขวัญตามากกว่าพี่ทิว”
“ไม่มีใครที่จะรักและให้ความสำคัญกับขวัญตา มากไปกว่าพี่อีกแล้ว พี่สัญญา...พรุ่งนี้ พี่จะไปคุยกับพ่อกำนัน รอพี่นะ”
ขวัญตายิ้มให้ทิวแต่เป็นยิ้มที่แฝงความคิดอะไรบางอย่าง ทิวโอบขวัญตาเข้ามากอด โดยไม่คิดเฉลียวใจใดๆ

วันใหม่...ทิวขี่ม้ามาหยุดหน้าคฤหาสถ์ มองเข้าไปข้างใน ตัดสินใจทำบางอย่างที่ลำบากใจมาก เขาลงจากหลังม้า พวงทองพี่สาวคนโตเดินออกมาจากคฤหาสถ์ยิ้มรับอย่างดีใจ
“ทิว...”
“ผม...จะมาบอกพี่พวงทองว่า ผมจะแต่งงานกับขวัญตา แค่นี้ล่ะ”
ทิวหันหลังเดินออกไปทันที พวงทองรีบพูดขึ้น
“ทิว...จะให้พี่ทำยังไง เราพี่น้องถึงจะกลับมาเหมือนเดิม”
ทิวชะงัก รู้สึกเจ็บปวด หันกลับไปมองพวงทอง
“มันไม่มีวันเหมือนเดิม นับตั้งแต่ที่พี่ยอมเป็นเมียไอ้ฆาตกรนั่น”
“คุณเทพไม่ใช่ฆาตกร เขาเป็นหุ้นส่วน เป็นเพื่อนของพ่อคอยดูแล ช่วยเหลือเราสามคนพี่น้องหลังจากที่พ่อแม่ถูกฆ่าตายนะทิว”
“ผมไม่เคยเชื่อคำพูดของมัน”
ทิวบอกอย่างแค้นใจ

ในอดีตเมื่อ 5 ปีที่แล้ว…ทิว พวงทอง ผ่องทิพย์ นั่งจับมือกันอย่างตื่นกลัว เทพเข้ามาในสภาพมีแผลถูกยิงที่แขน เลือดติดเสื้อเกรอะกรัง ทิวถามทันที
“อาเทพ...พ่อแม่ล่ะ!”
“อาเสียใจ...พวกโจรที่ดักปล้นพวกเราฆ่าพี่ทัด พี่บุษบา และพี่มิตรตาย”
ทิว พวงทอง ผ่องทิพย์ช็อก อึ้ง

หลังจากการจัดงานศพของทัด และบุษบา ทนายความอ่านพินัยกรรม ต่อหน้าทุกคนที่อยู่ในชุดไว้ทุกข์
“ข้าพเจ้าขอโอนหุ้นจำนวน 40 เปอร์เซ็น ที่เป็นของข้าพเจ้ารวมถึงสิ่งปลูกสร้างทรัพย์สินทั้งหมดให้เป็นกรรมสิทธิ์ของนายเทพ ธงธรรม หุ้นส่วนและมิตรของข้าพเจ้า เพื่อเป็นการแสดงถึงน้ำใจที่นายเทพ ธงธรรมได้สละแรงกายและใจช่วยเหลือสนับสนุนข้าพเจ้ามาโดยตลอด”
เทพทำทีเป็นตกใจ
“อารับไม่ได้หรอก...พี่ทัด...ให้อามากเกินไป”

เมื่อนึกถึงอดีต ทิวหน้าเคียดแค้น ในขณะที่พวงทองเก็บความรู้สึกเจ็บปวดบางอย่างเอาไว้
“และผมก็ยิ่งไม่เชื่อว่าสามีคนดีที่พี่บอกว่ารัก...ไปคว้าเอาพี่ผ่องทิพย์น้องสาวแท้ๆของพี่เป็นเมียอีกคน คนดีแบบไหนเขาทำกันอย่างนี้ เผลอๆตอนนี้ บนเตียงเค้าอาจจะมีผู้หญิงที่ไหนนอนอยู่ก็ไม่รู้”
สิ้นเสียงทิว เสียงผ่องทิพย์ดังลั่นมา
“กรี๊ดด”
ทิวและพวงทองตกใจ
ทิวและพวงทองรีบเข้าไปข้างในทันที

ในบ้าน...ผ่องทิพย์จิกหัวขวัญตาที่อยู่ในชุดนอนลงบันไดมา
“แก...ลงมาอีคนสำส่อน หน้าไม่อาย”
“โอ๊ย...คุณเทพคะ ช่วยขวัญตาด้วย โอ๊ย...ขวัญตาเจ็บ”
ทิวกับพวงทองเข้ามาเห็นขวัญตาแล้วตกใจ
“ขวัญตา...นี่มันอะไรกัน เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
ผ่องทิพย์โกรธจัด
“ยังไงไม่รู้ รู้แต่ว่าฉันเข้าไปเห็นแฟนแก นอนอยู่บนเตียงคุณเทพ”
ทิวช็อกตกใจ มองขวัญตาอย่างไม่เชื่อสายตา ขวัญตาไม่สบตาทิว พวงทองเป็นห่วงทิวมาก
“เป็นไปไม่ได้!”
“ฉันเตือนแกแต่แรกแล้วใช่มั้ยไอ้ทิว ว่าอีนี่มันร่าน ไว้ใจไม่ได้”
ผ่องทิพย์ตบหน้าขวัญตาฉาดใหญ่จนล้มลง แทบเท้าของเทพที่เข้ามาพอดี
“หยุดนะ!”
เทพยืนมองผ่องทิพย์ตาเขม็ง ทิวมองขวัญตาและเทพด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะเดินหนีออกไปทันที พวงทองเป็นห่วงน้องชาย ผ่องทิพย์ทนไม่ไหว ปราดเข้าไปตบขวัญตาอีก
“มาให้ตบเดี๋ยวนี้เลย กรี๊ด อีทุเรศ อี!”
พวงทองพยายามเข้าไปห้าม
“หยุด ผ่อง หยุดก่อน”
เทพไม่พอใจ ฟาดหลังมือใส่ผ่องทิพย์ทันทีจนกระเด็นไป
“กรี๊ด!”
เทพตวาดลั่น
“สงบสติอารมณ์แล้วฟัง!”
ทุกคนเงียบกริบ เมื่อเจอท่าทีที่แข็งกร้าวของเทพ

ทิวเดินหน้าเครียด ตรงมาที่ม้า เต็มไปด้วยความแค้น...เข้มเดินเข้ามาอย่างรู้เรื่องดีและเห็นใจนาย
“นาย...รู้เรื่องแล้วใช่มั้ย”
“นานหรือยัง”
“สักพักแล้วครับ”
“มีฉันคนเดียวที่เป็นไอ้โง่ หูหนวก ตาบอดใช่มั้ย แล้วทำไมแกไม่บอกฉัน”
“เข้มไม่กล้า...นาย นายอย่าคิดมากนะ”
ทิวขึ้นม้าทันที ควบออกไป เต็มไปด้วยอารมณ์โกรธแค้น

เทพนั่งดูแลผ่องทิพย์ที่เพิ่งถูกตบเลือดซิบ เอาผ้าเช็ด อย่างเบามือ ผ่องทิพย์มองอย่างระแวง เทพเป่าปากให้อย่างละมุน
“ฉันขอโทษ...ที่ทำรุนแรง...ไม่โกรธนะ”
ผ่องทิพย์ไม่พูด สะบัดหนีออก ขวัญตาเข้ามาเกาะแขนเทพไม่ปล่อย ผ่องทิพย์มองขวัญตาอย่างโกรธแค้น พวงทองยืนนิ่งฟังอย่างสงบที่มุมหนึ่ง
“ฉันจะอุปการะขวัญตาและให้เข้ามาอยู่ที่นี่อีกคน”
ผ่องทิพย์ไม่พอใจ
“คุณคิดอะไรอยู่ นังนี่มันเป็นคนรักของทิว”
ขวัญตาเถียงเสียงแข็ง
“แต่ฉันไม่เคยรักเขา”
“แล้วที๋อ๋อไปไหนมาไหนกับน้องชายฉันเรียกว่าอะไร เพื่อนสนิทหรือไง”
“ฉันแค่สงสารพี่ทิว!”
พวงทองที่ยืนฟังอยู่พูดขึ้น
“แต่ทิวบอกฉันว่า...จะแต่งงานกับเธอไม่ใช่เหรอ”
ขวัญตาอึ้งไป
“เขาก็พูดไปเรื่อย”
ผ่องทิพย์จิกตามองอย่างเกลียดชัง
“แกมันหวังสูงมากกว่า คิดจะเป็นเมียคุณเทพอีกคน เมียเค้ามีตั้งสองแล้วไม่เห็นหรือไง”
ขวัญตาไม่แคร์ตอบกลับกวนๆ
“มีอีกคนจะเป็นไรไป ฉันก็ไม่ได้ไปทำอะไรกับคุณเทพบนหัวเธอสักหน่อย”
“อีนี่!”
ผ่องทิพย์จะเข้าไปตบขวัญตา เทพห้ามไว้
“หยุดนะ!”
“คุณเทพ คุณเชื่อนังนี่เหรอคะ ได้ใหม่แล้วลืมเก่าเหรอ นี่คุณเบื่อผ่องแล้ว ใช่มั้ย ผ่องทำผิดอะไร”
“ผ่อง...ใจเย็นสิฉันไมได้เบื่อใครทั้งนั้น แต่ฉันสงสารขวัญตา ในเมื่อ ขวัญตารักฉันจริง ฉันก็ปฏิเสธความรู้สึกดีๆที่เขามีให้ฉันไม่ได้”
พวงทองยิ้มเยาะกับคำแก้ตัวของเทพ เทพหันมองพวงทองขวับ ไม่อยากต่อปากต่อคำ ผ่องทิพย์อ่อนลง
“เห็นแก่คุณเทพนะคะ...ยอมก็ได้ แต่มันต้องเจียมตัวว่ามาทีหลัง”
เทพหันไปบอกขวัญตา
“ขวัญตา อยู่ที่นี่ก็ต้องเชื่อฟังคุณๆ โดยเฉพาะคุณพวงทอง เพราะเค้ามีหน้าที่ดูแลทุกอย่างในบ้าน”
“แล้วเมื่อไหร่ คุณจะทำตามที่สัญญากับขวัญตาล่ะคะ”
ผ่องทิพย์แหวเสียงดัง
“สัญญาอะไร!”
ขวัญตาถลึงตาใส่
“ไม่ใช่เรื่องของเธอ!”
เทพเสียงแข็งใส่ทุกคน
“ฉันขอร้องนะ...อย่าให้เรื่องทะเลาะเบาะแว้งของพวกเธอเข้าหูฉัน...ไม่อย่างนั้น สัญญาที่ฉันให้ไว้กับใคร ถือว่าเป็นโมฆะ”
พวงทองถอนใจ จะเดินออกไป เทพเรียก
“เดี๋ยวก่อน!”
พวงทองชะงัก หันมา
“เตรียมเสื้อผ้าให้ฉันด้วย ฉันจะไปดูโรงงาน”
“ค่ะ”
พวงทองเดินออกไป เทพจะตาม ผ่องทิพย์เข้าไปควงเทพทันที
“อย่าคิดนะว่าผ่องไม่รู้ทัน ว่าคุณคิดจะเข้าไปทำอะไรกับพี่พวง วันนี้เป็นคิวของผ่อง...ผ่องจะประกบคุณทั้งวัน...ไปค่ะ”
พวงทองถอนใจ ส่ายหน้าระอากับผ่องทิพย์ เดินออกไป ผ่องทิพย์หันไปยิ้มเหยียดให้ขวัญตา ก่อนจะควงเทพเข้าไป ขวัญตาลุกขึ้นมองไปทั่วคฤหาสถ์อย่างพึงพอใจ ก่อนจะหมองลง
“ขอโทษนะพี่ทิว...แต่คุณเทพสัญญาว่าจะให้ขวัญตาเป็นเมียหมายเลขหนึ่ง...ใครโง่ไม่เอาบ้างล่ะ”

ทิวควบม้ามาด้วยความแค้นใจ นึกถึงเรื่องราวอดีตระหว่างเขากับขวัญตาที่ผ่านมา เขากับเธอเคยขี่ม้าตรวจไร่ด้วยกันสองคนอย่างมีความสุข
ทิวล้างมือในลำธาร ขวัญตาย่องมาปิดตา เขารวบมือเธอได้ จับตัวเธอพลิกมาอยู่ในอ้อมกอด ก่อนประคองกอดกันเดินเล่นในไร่ มองดูพระอาทิตย์ตกด้วยกัน

ทิวควบม้ามาหยุดที่เชิงผา ลงจากม้า ผูกม้าติดไว้กับต้นไม้ แล้วเดินมาหยุดที่เชิงผา มองไปข้างล่างเห็นหน้าผาสูงชัน ชายหนุ่มกำมือแน่น ด้วยความแค้น พยายามกลั้นน้ำตาลูกผู้ชาย
“ไม่สำเร็จหรอก ยังไงฉันก็จะไม่ไปไหน ฉันจะกระชากหน้ากากของแกให้ทุกคนเห็นว่าแกมันเป็นคนชั่ว และฉันจะเอาคืนแกอย่างสาสม ไอ้เทพ!”

ทิวบอกตัวเองว่า เขาต้องอดทนกับปัญหาทั้งหมดและผ่านมันไปให้ได้

อ่านต่อหน้า 4 เวลา 17.30 น.

เกิดเป็นหงส์ ตอนที่ 1 (ต่อ)

เทพอยู่ที่ไร่อ้อยอาณาเขตกว้างใหญ่ และยืนหันหลังให้พวกล้วนที่กำลังแจกเงินกันอยู่

“รางวัลสำหรับพวกแก”
ล้วนยื่นเงินให้นิคกับเรือง สองคนรับเงินมาด้วยความพอใจ
“เอ่อ...นายครับ”
นิคจะคุยกับเทพ แต่ล้วนรีบบอก
“กลับไปได้แล้ว!”
นิคไม่สนใจคำเตือนของล้วน แทรกตัวเดินเข้ามาใกล้เทพ
“ผมช่วยทำงานให้นายสำเร็จ...”
เรืองเข้ามาพูดอีกคน
“พวกผมขอกลับไปทำงานที่โรงงานนะครับ”
เทพหันมายิ้มให้นิคและเรืองแล้วควักปืนออกมายิงทั้งสองทันที นิคและเรืองล้มลง นิคยังไม่ตาย เทพเดินเข้ามาเหยียบหน้าอกแล้วเล็งปืน นิคร้องขอชีวิต
“นาย...อย่าฆ่าผม”
เทพลดปืนเดินมาส่งปืนให้ล้วน นิคคลายกังวลรอดตาย
“ฉันไม่ชอบการต่อรอง”
เทพยิ้มแล้วเดินออกไป เสียงปืนดังขึ้นต่อเนื่องอีกสองสามนัด นกบินหนีออกจากไร่อ้อยสู่ท้องฟ้า...

ทิวถือแก้วกาแฟมาลงนั่งที่โต๊ะที่พักคนงาน ด้วยอาการเหม่อลอย เข้มเอาหนังสือพิมพ์มาวางให้ ทิวไม่สนใจ
“นาย ไม่พูดไม่จากับใครมาหลายวันแล้วนะ”
ทิวดื่มกาแฟเงียบๆ เข้มพูดเบาๆกับทิว
“มีแต่คนสาธุนะนายที่เลิกกับนังขวัญตาซะได้...เขาเม้ากันทั้งบางว่ามันมักใหญ่ใฝ่สูง คบกับนายแล้วไม่ถึงไหนสักที แต่เจอเสน่ห์นายใหญ่ ที่ถึงไหนถึงกัน มันก็เลย...”
ทิวตัดบท นิ่งๆ
“ถ้าแกพูดถึงผู้หญิงคนนี้อีก...ฉันจะยิงแกทิ้งหมกไร่อ้อย”
เข้มกลัว รีบกางหนังสือพิมพ์ออกอ่าน ทิวเห็นข่าวหน้าหนึ่งพร้อมภาพของมานศรีโสภาคย์ มีข้อความว่า” งานหมั้นเป็นหมัน” ทิวจำหญิงสาวได้ กระชากหนังสือพิมพ์จากมือเข้มมาอ่านต่อทันที
“ว่าที่แม่เจ้าบ่าวไม่ปลื้ม หลังรู้ว่าตระกูลผู้ดีเก่ามรดกหมดคลังยกเลิกหมั้นทันที”
เข้มแปลกใจที่ทิวสนใจข่าวนี้ ทิวมองดูภาพมานศรีโสภาคย์กับเสกสรรค์ นึกแปลกใจคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อครั้งที่เขา ขี่มอเตอร์ไซค์กลับมา เจอมานศรีโสภาคย์กอดกับเสกสรรกลางถนน เขาแปลกใจมาก เข้มมองทิวอย่างสงสัย
“นายสนใจข่าวไฮโซกับเขาด้วยเหรอ ว่าไปไอ้ผู้ชายคนนี้มันโง่นะ ทิ้งนางฟ้าไปได้”
“จ้างเขียนข่าวสร้างกระแส ยกเลิกหมั้นได้ไงก็ยังรักกันดี”
เข้มสงสัย ”นายรู้จักไฮโซสองคนนี้ด้วยเหรอ”
“ไม่รู้จัก และไม่อยากรู้จัก และไม่อยากเจอด้วย”
เข้มมองทิวจริงจัง
“นายจะเอาผู้ชายแทน เข้มไม่ใช่ อย่าบอกนะ พออกหักแล้วเข็ดผู้หญิง หันมาสนใจ...”
ทิวถีบ เข้มหงายหลังตึง
“โอ๊ย...ทำเข้มทำไม!”
“พิสูจน์ว่าฉันไม่ได้หันมาพิศวาสแก”
“ก็แปลกใจที่นายไม่สนใจคุณหญิงมานศรี ผู้ชายทั้งประเทศอยากตีตราจองหัวใจเธอ ทั้งสวย การศึกษาดีมีตระกูล สมบูรณ์แบบทุกอย่าง”
“สวยแต่รูปจูบไม่หอม”
“นายเคยจูบเธอแล้วเหรอ แน่ะ...ปากบอกไม่ชอบแต่แอบเอาไปฝัน อย่าบอกนะว่านายแอบรัก...หลงรูป...”
เข้มจะพูดต่อแต่ทิวกำหมัดขึ้นมา เข้มรีบวิ่งหนีทันที
ทิวหันกลับมาที่โต๊ะ มองไปเห็นภาพมานศรีโสภาคย์ เขารีบหยิบหนังสือพิมพ์คว่ำปิด ไม่อยากเห็นหน้าหญิงสาวคนนั้น ก่อนจะหยิบแก้วกาแฟขึ้นมาดื่ม

ในห้องอาหารของวังกฤตยา...มานศรีโสภาคย์ยกแก้วกาแฟขึ้นดื่ม ทุกคนนั่งทานอาหารกันอยู่ สรัสวดีตักสลัดผักให้อมรเทพ
“สลัดผักสดค่ะ ของชอบของท่านชาย”
อมรเทพรวบช้อน
“ไม่ล่ะ ฉันอิ่มแล้ว...”
สรัสวดีมองหน้าอมรเทพ รู้สึกเสียหน้า แต่ก็รักษามารยาท ยิ้มไว้ คำรณฤทธีเดินเข้ามา ยื่นตั๋วเครื่องบินให้อมรเทพ
“ท่านพ่อครับ ชายจัดการเรื่องตั๋วเรียบร้อยแล้วครับ”
สรัสวดีแปลกใจ
“ท่านชายจะเดินทางไปไหนคะ”
อมรเทพหันไปบอกมานศรีโสภาคย์
“พ่อจะเดินทางไปอังกฤษ ไปคุยกับเพื่อนสนิทของพ่อ เขาอาจจะช่วยกู้วิกฤตเรื่องโรงงานได้”
“ท่านพ่อเดินทางเมื่อไหร่คะ”
“อาทิตย์หน้าจ้ะ”
สรัสวดีรีบบอก
“ท่านชายเลื่อนไปก่อนได้ไหมคะ อาทิตย์หน้าเราจะจัดงานวันเกิดลูกหญิง”
มานศรีโสภาคย์ขัดขึ้น
“หญิงว่าปีนี้เรายกเลิกการจัดงานเถอะค่ะ หญิงไม่อยากจัดงานให้สิ้นเปลือง”
คำรณฤทธีเห็นด้วยกับน้อง
“ชายเห็นด้วยกับน้องหญิงครับ ในภาวะแบบนี้เราไม่ควรใช้เงินฟุ่มเฟือย”
สรัสวดีไม่ยอม
“ไม่ได้จ้ะ แม่ให้ข่าวไปแล้ว...และที่สำคัญ แม่แจกการ์ดไปแล้วด้วย”
มานศรีโสภาคย์ชะงัก
“แต่วังของเรากำลังมีข่าวไม่ดีนะคะ”
“เพราะเหตุนี้ไง แม่ถึงต้องการจัดงานเพื่อกลบข่าวเสียๆหายๆ ท่านชายมีความคิดเห็นยังไงคะ”
“ในเมื่อเธอตัดสินใจไปแล้ว ฉันคงทำอะไรไม่ได้ ฉันจะไปเคลียร์งานที่โรงงานล่ะ”
“ผมไปช่วยงานท่านพ่อครับ”
อมรเทพและคำรณฤทธีเดินออกไปด้วยกัน สรัสวดีไม่พอใจนักที่อมรเทพปั้นปึงกับเธอหันมาบอกมานศรีโสภาคย์
“ลูกหญิง...เดี๋ยวช่วยแม่ดูว่ามีรายชื่อแขกคนไหนตกหล่นนะจ้ะ”
“ค่ะ...หม่อมแม่”
สรัสวดียิ้มพอใจที่ลูกสาวยอมทำตามใจเธอ...

ที่ห้องรับแขกคฤหาสน์ของเทพ…นพดลซึ่งเป็นสามีของอรอนงค์พี่สาวของเขา ส่งการ์ดเชิญงานวันเกิดของมานศรีโสภาคย์ให้
“อะไรครับพี่นพดล” เทพมองการ์ดอย่างสงสัย
“การ์ดเชิญงานวันเกิดของหม่อมราชวงศ์มานศรีโสภาคย์”
“ธิดาแห่งวังกฤตยา”
นภดลแปลกใจ
“รู้จักด้วยเหรอ”
“ผู้ชายคนไหนจะไม่รู้จักเจ้าหญิงผู้สง่างามราวกับหงส์ มีข่าวลงสื่อแทบทุกวัน”
เทพมองการ์ดเชิญ พลิกเปิดดูด้านในมีภาพมานศรีโสภาคย์เต็มหน้า
“การ์ดเชิญทำยังกับ...”
“เปิดตัวลูกสาว...ก็อย่างว่าล่ะ เพิ่งถูกยกเลิกหมั้นคงใช้งานนี้หาคู่”
เทพคิดๆแล้วเริ่มสนใจขึ้นมาทันที อรอนงค์ถือจานใส่ขนมมาวางไว้ให้ทั้งสอง
“พี่เขยกับน้องชายนินทาผู้หญิงสนุกปาก ไม่เป็นสุภาพบุรุษเลย เทพมาทานวุ้นใบเตยสิ...พี่ทำมาฝาก”
เทพมองภาพหญิงสาวด้วยความสนใจ นภดลเห็นว่าเทพสนใจมานศรีโสภาคย์ก็รีบบอก
“สนใจแต่ตัวนะ...แต่อย่าหวังมรดก เพราะตระกูลนี้กลายเป็นลูกหนี้ของพี่แล้ว”
เทพแปลกใจอยากรู้รายละเอียด

ในอดีตที่ผ่านมา...สรัสวดีมาหานพดลที่ห้องทำงานเพื่อจำนองวังกฤตยา นพดลเซ็นเช็คเสร็จจะยื่นให้ สรัสวดีจะรับแต่นพดลดึงกลับ
“หม่อมคงรู้ดีว่าผมทำธุรกิจ ไม่ได้ทำการกุศล ตอนนี้ผมตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ รับจำนองปากเปล่า ไม่มีสัญญา”
“คุณนพดลก็รู้ว่าฉันไม่อาจเอาโฉนดวังมาจำนองไว้ได้ ท่านชายรู้เรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด”
“ผมทราบดีครับ...ผมเห็นว่าหม่อมสรัสวดีเป็นเพื่อนสนิทพี่สาวผม” นพดลมองไปทางรัชนีกร “ผมไว้ใจครับ”
นพดลยื่นเช็คให้...สรัสวดีรับมาด้วยความดีใจ
“ฉันสัญญาค่ะ ภายในหนึ่งเดือนจะรีบหาเงินมาใช้คืนแล้วคุณนพดล คิดดอกเบี้ยยังไงคะ”
“ผมไม่ซ้ำเติมคนตกยากหรอกครับ เรื่องนั้นค่อยว่ากัน”
“เห็นไหมล่ะ ฉันบอกแล้วว่ามหาเศรษฐีน้องชายฉัน คุยง่าย” รัชนีกรบอกอย่างยินดี
สรัสวดียิ้มดีใจที่ได้เงินไปใช้หนี้พนัน...นพดลยิ้มเจ้าเล่ห์มีแผนจะคิดดอกเบี้ยเต็มที่

เทพฟังเรื่องราว แล้วย้อนถามนภดลอย่างสนใจ
“พี่ให้กู้ตั้งห้าสิบล้าน ไม่ได้ทำสัญญา ไม่กลัวโดนเบี้ยวเหรอครับ”
“คนระดับนี้ไม่กล้าเบี้ยวหรอก...เกียรติยศค้ำคอ เป็นข่าวเสียหายทีแทบกระอักเลือด เทพรู้ไหมคนจำพวกนี้กลัวอะไร”
“กลัวไม่มีกิน”
“ไม่ใช่...แต่กลัวไม่มีเกียรติ”
เทพหันไปบอกอรอนงค์ทันที
“ผมไปงานนี้ด้วย”
อรอนงค์แปลกใจ
“ร้อยวันพันปีพี่ไม่เคยเห็นเทพอยากออกงานสังคม เทพคิดอะไร”
“มนุษย์เราอยู่ได้กับสามอย่าง กิน กามและเกียรติ ตอนนี้ผมมีหนึ่งกับสองเหลือเฟือ...แต่ยังขาดสิ่งสุดท้ายที่สำคัญที่สุด”
เทพมองภาพของมานศรีโสภาคย์ อรอนงค์ตกใจดึงภาพกลับคืนมา
“แต่เทพมีภรรยาแล้ว...ตอนนี้ก็นับได้สามคน เทพยังต้องการอะไรอีก”
เทพหัวเราะ
“ผู้หญิงพวกนั้นเป็นได้แค่นางบำเรอ คนที่จะเป็นภรรยาของผม ต้องเกื้อหนุนและค้ำชู การเป็นเขยแห่งวังกฤตยา จะทำให้ผมเดินไปก้าวไปข้างหน้าอย่างสง่างาม”
นพดลชื่นชมเทพ
“เรานี่มันมีวิสัยทัศน์กว้างไกล มิน่าล่ะ...จากหุ้นเล็กๆในโรงงาน เพียงไม่กี่ปีขยับมาเป็นหุ้นเบอร์หนึ่ง”
อรอนงค์ถอนใจ
“ถ้าได้มาด้วยความสามารถก็คงดี ไม่ใช่ได้มาเพราะ...”
เทพหันมามองอรอนงค์ ทั้งสองต่างรู้ความลับที่เทพได้กิจการมา โดยที่นพดลไม่รู้เรื่องนี้...อรอนงค์บอกนพดล
“รอฉันสักครู่นะ ฉันจะแวะไปหาทิว”
อรอนงค์ลุกออกไป โดยหยิบการ์ดเชิญงานวันเกิดติดไปด้วย...เทพสังเกตเห็นไม่พอใจนัก

ในห้องรับแขกวังกฤตยา มานศรีโสภาคย์ มองรายชื่อแขกที่สรัสวดีจดไว้มากมายก็แปลกใจ
“เราจำเป็นต้องเชิญแขกมามากมายขนาดนี้ด้วยเหรอคะ”
“แม่บอกแล้วไงจ้ะ ว่าเราต้องการแขกวีไอพีมาช่วยกลบข่าว”
มานศรีโสภาคย์ สวนขึ้น
“ไม่ได้มาให้หญิงเลือกคู่”
“อย่ามองแม่ในแง่ร้ายสิจ้ะ แม่ไม่เคยคิดขายลูกสาวกิน...แม่แค่ต้องการให้ทุกคนเห็นว่าลูกหญิงของแม่ดีที่สุด...คุณหญิงพันทิพาคิดผิดที่ยกเลิกงานหมั้น”
สรัสวดียังคงเจ็บใจที่ถูกพันทิพาถอดหมั้น มานศรีโสภาคย์ หยั่งเชิง
“แล้วถ้าเสกสรรค์มาสู่ขอหญิงอีกครั้ง หม่อมแม่จะว่ายังไงคะ”
“แม่รู้ว่าลูกทั้งสองรักกันและคุณเสกดีพอสำหรับหญิง แต่แม่คงต้องคุยเรื่องสินสอดกับคุณหญิงพันทิพาอีกครั้ง ให้เหมาะสมกับสิ่งที่เราต้องสูญเสียไป”
มานศรีโสภาคย์ ค่อยคลายความกังวลที่สรัสวดียังเปิดรับเสกสรรค์...

อรอนงค์กำลังจะเดินออกไปข้างนอก...เทพตามมา
“พี่อรตั้งใจจะทำอะไร”
อรอนงค์ชูการ์ดเชิญขึ้น
“พี่จะชวนทิวไปงานคุณหญิง”
เทพหัวเราะ
“พี่อรเสียสติไปแล้วเหรอ มันไม่ใช่ญาติเรา พี่ควรส่งเสริมน้องชายของพี่ ไม่ใช่มัน”
“แล้วน้องชายของพี่ไปแย่งคนรักของทิวมาทำไม”
“ผมไม่ได้แย่ง ผู้หญิงเต็มใจเอง”
“แต่ก็ดีแล้วล่ะ ที่ทิวไม่ได้ลงเอยกับผู้หญิงแบบนั้น เพราะทิวเป็นคนดี”
“ทำไมพี่ถึงดีกับมันนักหนา”
“พี่จะทำดีกับทิวทุกอย่าง เพื่อลบล้างบาปที่เทพทำไว้กับเขา”
เทพไม่พอใจเสียงแข็ง
“พี่อร !”
อรอนงค์หยุดพูดแล้วเดินออกไป แต่แล้วก็หยุดหันกลับมาบอกเทพ
“อย่างน้อยเป็นการช่วยชำระบาปในใจพี่...เพราะพี่มีส่วนรับรู้บาปกรรมในครั้งนั้น”
อรอนงค์เดินออกไป เทพไม่พอใจที่อรอนงค์คอยช่วยทิวและยังคงพูดเรื่องอดีตในการฆ่าพ่อของทิวอีก

ทิวกำลังทำงานตรวจสอบกระบวนการผลิตอยู่ในโรงงาน โดยมีเข้มเป็นผู้ช่วย เข้มเห็นอนงค์ก็เดินห่างออกไป ทิวหันไปเจออรอนงค์ก็ยกมือไหว้
“สวัสดีครับคุณอรอนงค์”
“สวัสดีจ้ะ...เธอไปงานนี้กับฉันนะ”
อรอนงค์ยื่นการ์ดเชิญงานวันเกิดให้ ทิวรับมาด้วยความแปลกใจ เปิดอ่านการ์ดเจอภาพมานศรีโสภาคย์ เข้มชะโงกหน้ามาดูภาพก็ตื่นเต้นดีใจ
“งานวันเกิดคุณหญิงมานศรีโสภาค”
ทิวส่งคืนให้อรอนงค์
“ผมไม่ว่างครับ ขอบคุณนะครับ”
ทิวรีบเดินหนีไป เข้มบอกกับอรอนงค์
“นายไม่ว่าง แต่เข้มว่างครับ”
อรอนงค์หันกลับไปมองทิว

ทิวเดินตรวจงานมามุมหนึ่งของโงงาน อรอนงค์เดินเข้ามาคุย ทิวไม่สนใจทำงานต่อไป
“ฉันอยากให้เธอเปิดหูเปิดตาบ้าง แล้วก็หาคนมาช่วยทำงานด้วย”
“ผมมีเข้ม มีคนงานช่วยอยู่แล้วครับ”
“คนพวกนี้ช่วยเรื่องงาน แต่เธอต้องการเพื่อนคู่ใจ...ถึงเวลาที่เธอต้องเดินไปข้างหน้า...ฉันเสียใจเรื่องขวัญตาด้วยนะทิว มันไม่น่าเกิดขึ้น...”
ทิวตัดบท
“ผมอยู่คนเดียวได้ครับ โดยไม่จำเป็นต้องมีใครมาดูแล”
“ทิว...อย่าปิดโอกาสตัวเองสิ”
“ผมไม่พร้อมครับ อีกอย่างผมก็เป็นเพียงหนุ่มไร่อ้อยไม่เหมาะที่จะก้าวเท้าเข้าสู่วังผู้ดีหรอกครับ”
ทิวยืนยัน อรอนงค์เอาการ์ดยัดใส่มือ
“แล้วเจอกันที่งาน”
ทิวจะคืนการ์ดให้แต่อรอนงค์เดินหนีไป
“คุณอรอนงค์ครับ...ผมไม่ไป”
อรอนงค์ไม่สนใจ เดินออกไปจากโรงงาน

ทิวกลับมาที่บ้านพักถอดเสื้อเชิร์ตออกแล้วโยนการ์ดเชิญลงที่โต๊ะอย่างไม่สนใจ เดินไปเปิดตู้เย็น หยิบขวดน้ำออกมาแล้วรินใส่แก้ว เดินกลับมาที่โต๊ะ แต่น้ำหก เขาก้มมองเห็นว่าน้ำหกใส่เอกสารรีบปัดน้ำ แล้วเห็นการ์ดเชิญ ทิววางแก้วน้ำแล้วหยิบการ์ดขึ้นมาเปิด มองภาพมานศรีโสภาคย์ เข้มเข้ามาพร้อมยื่นถุงใส่เสื้อผ้าให้
“อะไร”
“คุณอรอนงค์ฝากชุดสูทไปงานมาให้นาย”
ทิวได้ฟังก็รู้สึกดี นึกขอบคุณอรอนงค์ที่คอยช่วยเหลือเขามาโดยตลอด เข้มชื่นชมอรอนงค์
“คุณอรอนงค์นี่แสนดี ไม่ใช่ญาติแต่ดียิ่งกว่าญาติ”
ทิวพยักหน้า
“ใช่...ดีกว่าญาติที่คลานตามกันมาอีก”
“ลูกพี่หมายถึงคุณผ่องทิพย์ใช่ไหม ยกเว้นคุณพวงทองนะ เพราะคุณพวงทองแสนดีพอๆกับคุณอรอนงค์”
“อย่าเอาคุณอรอนงค์ไปเทียบกับพี่พวง ความดีของคุณอรยิ่งใหญ่และบริสุทธิ์ใจกว่า ความดีไม่ได้วัดกันที่สายเลือดหรือชาติกำเนิด แต่วัดกันที่ใจ”
“เหมือนผมใช่ไหม เกิดมาเป็นเด็กกำพร้า แต่ใจผมยิ่งใหญ่ดั่งเจ้าพระยา”
เข้มหันไป ทิวลุกขึ้นเดินหนีเข้าห้อง
“แล้วงานนี้นายจะไปไหม”
ทิวไม่ตอบ เดินเข้าห้องนอนปิดประตู

อาทิตย์ต่อมา...ประตูห้องนอนของมานศรีโสภาคย์เปิดออก พิไลพรเดินเข้าไปถึงกับตกตะลึง
“หญิงมานย์!”
มานศรีโสภาคย์แต่งตัวในชุดสวย หวานน่ารัก เธอแปลกใจกับท่าทีของพิไลพร
“หญิงแต่งตัวไม่เหมาะเหรอ”
“เปล่า...ชุดสวย ดูหวานน่ารัก เหมือนเด็กน้อยเลย”
“วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิด หญิงอยากกลับมาเป็นเด็กน้อยอีกครั้งนึง”
มานศรีโสภาคย์เดินออกไปจากห้อง พิไลพรแปลกใจ
“หญิงมานย์จะไปไหน”
มานศรีโสภาคย์หันกลับมาบอก
“ไปขอพรจากท่านพ่อหม่อมแม่จ้ะ”
หญิงสาวยิ้มแล้วออกไปจากห้องทันที

อมรเทพกำลังนั่งเขียนพินัยกรรมขึ้นมาใหม่อยู่ที่โต๊ะทำงาน สรัสวดีเข้ามายืนตรงหน้าโต๊ะหน้าตาไม่พอใจนัก
“ท่านชายทำอะไรคะ”
“ฉันจะทำทุกวิถีทางในการปกป้องไม่ให้วังนี้ตกเป็นของคนอื่น”
“ท่านชายหมายความว่ายังไง”
“หากเกิดอะไรขึ้นกับฉัน ฉันจะมอบวังนี้ให้ชายคำรณและหญิงมานย์ดูแลเพราะฉันเชื่อมั่นว่าลูกทั้งสองรักวังกฤตยามากกว่าเธอ”
สรัสวดีกลัวจะเกิดปัญหา รีบห้าม
“ดิฉันขอเถอะค่ะ การเขียนพินัยกรรมขึ้นก่อนการเดินทาง มันเป็นลางไม่ดี”
“ถ้าเป็นในอดีตฉันคงคิดว่านี่เป็นการแสดงความรักและความห่วงใยที่เธอมีให้ฉัน แต่วันนี้ฉันรู้ทาสแท้ของเธอแล้วว่า เธอกลัวไม่ได้มรดก กลัวการจำนองวังของเธอจะมีปัญหาตามมา”
สรัสวดีไม่พอใจจะโวยวายแต่มานศรีโสภาคย์เข้ามาในห้องเสียก่อน เธอเลยชะงักไป
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ หญิงมากวนรึเปล่าคะ”
อมรเทพยิ้มให้ลูกสาว
“เปล่าจ้ะ ลูกหญิงมีอะไรเหรอ”
มานศรีโสภาคย์ยิ้มจะพูดขอพร แต่แล้วคำรณฤทธีเข้ามาในห้อง
“รถพร้อมแล้ว...ต้องรีบเดินทางแล้วครับ”
อมรเทพลังเล มองหน้ามานศรีโสภาคย์
“เมื่อกี้ลูกหญิงมีอะไรจะคุยกับพ่อ”
“ไม่เป็นไรค่ะ หญิงรู้ว่าการเดินทางครั้งนี้สำคัญกับครอบครัวของเรา หญิงรอได้ค่ะ”
มานศรีโสภาคย์เข้าไปควงแขนอมรเทพเดินออกไป คำรณฤทธีเดินตามไป สรัสวดีหันไปมองที่โต๊ะทำงาน เห็นพินัยกรรมที่ท่านชายยังไม่ได้เขียนก็ยิ้มอย่างพอใจ
มานศรีโสภาคย์ควงอมรเทพมาถึงบริเวณรถ พิไลพรและแม่แล่มขนกระเป๋าของอมรเทพขึ้นรถ แล้วยืนอยู่มุมหนึ่ง อมรเทพหันกลับมาบอกลูกสาว
“พ่อไปก่อนนะ...แล้วพ่อจะนำข่าวดีจากอังกฤษ มาเป็นของขวัญวันเกิดให้ลูกหญิง”
“หญิงเชื่อว่าท่านพ่อทำได้ หญิงจะรอฟังข่าวดีค่ะ”
“มีความสุขมากๆนะลูก”
มานศรีโสภาคย์เข้าไปกอดพ่อ อมรเทพหอมแก้มลูกสาวด้วยความรัก คำรณฤทธีเข้ามาบอก
“ออกเดินทางได้แล้วครับ ผมไปส่งท่านพ่อที่สนามบินเอง”
คำรณฤทธีเดินเข้าไปนั่งประจำที่คนขับ อมรเทพมองสรัสวดีแล้วจะเดินขึ้นรถ สรัสวดีเข้าไปหา
“ดิฉันพูดกับท่านชายวันนี้ เป็นความปรารถดีจากใจของดิฉัน เดินทางปลอดภัยนะคะ”
สรัสวดียกมือไหว้ อมรเทพมองแล้วยิ้มให้สรัสวดีมีท่าทีที่ดีขึ้นทำให้สรัสวดียิ้มออกมาได้ อมรเทพเข้าไปนั่งในรถ คำรณฤทธีขับรถออกไป มานศรีโสภาคย์โบกมือลาพ่อ...สรัสวดีมองอมรเทพ รถค่อยๆเคลื่อนๆออกไป เธอยืนมองแล้วน้ำตาไหลออกมา มานศรีโสภาคย์หันมาเห็นก็แปลกใจ
“หม่อมแม่ร้องไห้”
“แม่คิดถึงวันที่ครอบครัวเรา จะกลับมามีความสุขด้วยกันอีกครั้ง”
“วันนี้เป็นวันเกิดของหญิง สิ่งดีๆจะต้องบังเกิดอย่างแน่นอนค่ะ”
มานศรีโสภาคย์เข้าโอบกอดแม่ไว้
“อย่ามัวออดอ้อนอยู่เลย...อีกไม่กี่ชั่วโมงจะเริ่มงานแล้ว รีบไปเตรียมตัวได้แล้วจ้ะ”
“ค่ะ”
สรัสวดีโอบกอดลูกสาวกลับเข้าไปในวังที่ได้รับการตกแต่งอย่างสวยงาม

ประตูวังเปิดออก…ทิวขับรถเข้ามาในวัง เขามองไปยังบริเวณวังเห็นความยิ่งใหญ่อลังการแสงไฟประดับประดาไว้อย่างสวยงาม ทิวมองไปยังวงเวียนน้ำพุ มองหงส์สีขาวเด่นเป็นสง่า ทิวขับรถเข้าไปจอดบริเวณงานลงจากรถ แล้วเดินมาเปิดประตูให้อรอนงค์ เทพและนพดลลงตามมา
“ทิว...คืนนี้ฉันขอควงเธอออกงานนะ”
ทิวยิ้มรับแต่เก้อเขิน ไม่กล้าปฎิเสธ เทพเข้ามาคุยด้วยอย่างเป็นกันเอง
“ไม่ดีมั่งครับ...เดี๋ยวคุณหญิงเข้าใจผิดคิดว่าทิวมีคู่แล้ว เท่ากับตัดโอกาสการเลือกคู่ของทิวนะครับ”
ทิวสบตาเทพอย่างชิงชัง อรอนงค์เห็นบรรยากาศไม่ดี รีบตัดบท
“จริงสิ พี่ลืมไปเลย...งานนี้ทิวต้องเดินโชว์ความหล่อคนเดียวแล้วล่ะ”
“ผมขอตัวเอารถไปจอด แล้วรออยู่ด้านนอกนะครับ”
อรอนงค์รีบห้าม
“ไม่ได้นะทิว อุตส่าห์มาแล้ว ยังไงพี่ต้องเปิดตัวหุ้นส่วนทิวเทพมิตรให้ได้”
นพดลไม่พอใจทิว
“เล่นตัวยังไงก็ไม่ช่วยให้นายดูดีมีราคาขึ้นหรอก”
อรอนงค์หันไปสบตาตำหนินพดลเทพตัดบท
“เราเข้าไปด้านในกันเถอะครับ”
นพดลควงอรอนงค์เข้าไปในงาน เทพหันมาคุยกับทิวอย่างเป็นมิตร
“นายมาก็ดีแล้ว ฉันจะได้คุยกับนายเสียที เรื่องขวัญตา ถ้านายรักขวัญตาจริง...นายน่าจะอยากเห็นขวัญตามีความสุขที่ได้อยู่กับคนที่เธอรักนะ”
ทิวยิ้มเยาะ
“คนที่เธอรักเหรอ”
“ขวัญตาบอกฉันอย่างนั้น...ขวัญตาไม่เคยรักนาย ที่ยอมคบกับนายเพราะสงสาร”
ทิวยิ่งเจ็บปวด ตัดบททันที
“ก็เหมาะกันดีนี่ หญิงชั่วกับชายโฉด เชิญคุณเกลือกกลั้วกันเถอะ ต่อไปนี้ ชีวิตผมไม่เคยมีชื่อผู้หญิงคนนั้นอยู่ในความทรงจำ”
“ทิว...ไม่เอาน่า ฉันรู้ว่ามันเจ็บปวด แต่โลกมันก็เป็นอย่างนี้ล่ะนะ ไม่ยุติธรรมเอาซะเลย แต่ฉันสัญญานะว่าจะดูแลขวัญตาอย่างดี”
ทิวตัดบท “ขอตัวเอารถไปจอด”
“นายเอารถไปจอด แล้วรีบกลับมา...ฉันจะรอเข้าไปพร้อมนาย”
ทิวมองเทพแล้วเดินขึ้นรถขับไปจอด
“ชายที่คู่ควรหงส์งามคือเทพบุตรอย่างฉัน ไม่ใช่แก...ไอ้ทิว!”

เทพมองทิวขับรถออกไป แล้วเดินเข้าไปในงานทันที โดยไม่รอทิว

อ่านต่อตอนที่ 2 พรุ่งนี้ เวลา 9.30 น.
ติดตามทุกความเข้มข้นของ "เกิดเป็นหงส์" ทุกวันๆ ละ 2 รอบเวลา 9.30 น. และ 17.00 น. ทางละครออนไลน์
กำลังโหลดความคิดเห็น