ASTVผู้จัดการรายวัน-“ยิ่งลักษณ์” ลงตรวจพื้นที่มาบตาพุดหลังเกิดเหตุระเบิดและเพลิงไหม้โรงงานบีเอสที สั่งตั้ง คกก.ไตรภาคี ก.ทรัพย์ฯ ร่วมภาคประชาชนดูสภาพอากาศ สั่งสธ. ตั้งหน่วยแพทย์ฉุกเฉิน สำรวจรอบชุมชนมั่นใจไม่มีสารตกค้าง เผยยอดผู้เสียชีวิต 12 ศพ บาดเจ็บ 142 ราย ยัน "สารโทลูอีน" ไม่ใช่สารอันตรายหรือสารก่อมะเร็ง สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ออกโรงจี้ กนอ.เพิกถอนใบอนุญาต ผงะ ก๊าซพิษรั่วซ้ำอีกแห่ง ห่างที่แรก 4 ก.ม. เป็นบริษัทผลิตโซดาไฟ
เมื่อเวลา 09.00 น.วานนี้ (6 พ.ค.55) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รมว.มหาดไทย และ ม.ร.ว.พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์ รมว.อุตสาหกรรม ขึ้นเฮลิคอปเตอร์จากกองบินตำรวจเดินทางไปตรวจพื้นที่นิคมอุสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง หลังเกิดเหตุระเบิดและเพลิงไหม้โรงงานบริษัทบีเอสที อิลาสโตเมอร์ส ในเครือบริษัท กรุงเทพ ซินธิติกส์ จำกัด (BST) ซึ่งเป็นโรงงานผลิตยางสังเคราะห์ ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด เมื่อวันที่ 5 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยมีนายเสนีย์ จิตตเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง พล.ต.ท.ปัญญา มาเม่น ผบช.ภ.2 พร้อมข้าราชการฝ่ายปกครอง และข้าราชการตำรวจมารอรับ
จากนั้นนายกรัฐมนตรี และคณะเดินทางต่อไปยัง โรงพยาบาลมาบตาพุด เพื่อเยี่ยมผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ระเบิด และเพลิงไหม้ โรงงานบีเอสที ซึ่งนายกฯ ได้สอบถามอาการผู้ได้รับบาดเจ็บ ให้กำลังใจ รวมถึงมอบกระเช้าของขวัญ และเงิน เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้ พร้อมยืนยันจะรักษาอย่างดีที่สุด
น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวภายหลังประชุมเร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่สำนักงานนิคมฯมาบตาพุด จ.ระยองว่า ขณะนี้ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบความเสียหายทั้งหมดทั้งภายในโรงงานและโรงงานใกล้เคียง เพื่อสร้างความมั่นใจและความเชื่อมั่นแก่ประชาชน จะมีการทบทวนพระราชบัญญัติ ภาษีปล่องควัน สนับสนุนกองทุนให้กับชุมชน ปรับปรุงแผนการสื่อสารและแผนเตือนภัย ตลอดจนให้ไตรภาคี คือ ภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนในการลงพื้นที่ตรวจวัดสารเคมีตกค้างโดยเร็ว เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน
ส่วนเรื่องการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบแบ่งเป็น 2 ส่วน 1 การนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด 2 บริษัทต้นเพลิง จะต้องเข้ามาดูแลทั้งหมด รัฐบาลขอแสดงความเสียใจกับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ
" ต้องวางแผนไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำ และเพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่าจะกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการในลักษณะไตรภาคี มอบให้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ นิคมอุตสาหกรรมฯ และภาคประชาชน ขึ้นมาทำงาน และไปร่วมกันดูแลสภาพอากาศในพื้นที่ดังกล่าว และหากมีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้น จะต้องรายงานโดยตรงต่อรัฐบาล เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องตรงกัน และให้กระทรวงสาธารณสุข ตั้งหน่วยแพทย์ฉุกเฉิน สำรวจรอบชุมชน เพื่อให้มั่นใจว่าประชาชน จะได้รับอากาศบริสุทธิ์ไม่ตกค้าง โดยจะนำเรื่องดังกล่าว ไปประเมินร่วมกับผู้ว่าการนิคมอุตสาหกรรมฯและจะประเมินทุก 3 เดือน" นายกรัฐมนตรีกล่าว
** กนอ.สั่งรง.หยุดการผลิต
ทั้งนี้ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ได้สั่งให้ บริษัทหยุดการผลิตยางสังเคราะห์ทันที เพื่อตรวจสอบหาสาเหตุของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งประเมินความเสียหายที่อยู่ในบริเวณพื้นที่ใกล้เคียง
นอกจากนี้ กนอ. ได้สั่งให้ติดตามคุณภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ โดยจัดส่งรถตรวจวัดคุณภาพอากาศ ในชุมชน รวมถึงให้สถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศด้วยระบบอัตโนมัติอย่างต่อเนื่อง พร้อมจัดส่งทีมลาดตระเวน โดยรอบชุมชนทุก 1 ชั่วโมง ซึ่งข้อมูลคุณภาพอากาศล่าสุด พบว่า บรรยากาศบริเวณนิคมฯ อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ส่วนน้ำที่ใช้ในการดับเพลิง ที่พบว่ามีสารปนเปื้อน ทางกนอ. จึงสั่งไม่ให้มีการระบายออกสู่สาธารณะ โดยให้นำน้ำดังกล่าวกลับเข้าสู่ระบบบำบัดภายในโรงงาน ก่อนนำไปตรวจวัดคุณภาพน้ำต่อไป
**ผวจ.ระยองเผยตาย12เจ็บ142
นายเสนีย์ จิตตเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง เปิดเผยว่า ขณะนี้ยอดผู้เสียชีวิต 12 ราย บาดเจ็บ 142 ราย ตอนนี้แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้แล้วเหลือพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลอีก 24 ราย สำหรับผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บ ทางโรงงานให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่
รายนามผู้เสียชีวิตจากการเกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้ทั้งหมด 12 ราย จากบริษัท บีเอสที อิลาสโตเมอร์ส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทต้นเหตุที่ทำเกิดเพลิงไม้ โดยเป็นบริษัทในเครือของ บริษัทกรุงเทพ ซินธิติกส์ ผู้ผลิตสารปิโตรเคมี มีดังนี้ นายชัยโย อักษรศรี นายหัสนัย จันทร์เศรษฐี นายนพพล รุ่งระวี นายมานพ กูลไข่ นายขวัญประชา ชาติไทย นายธีรยุทธ จันทรสิงห์ นายวัชรกร บุญทวีตระกูล ผู้รับเหมาจาก ไทยวูรี มีนายสมพงษ์ พรมขำ นายสรายุทธ อุทายา นายสนม น้อยจำนง ไม่ทราบชื่อ 1 ราย และนายเอกสิทธิ์ บุพโกสุม
นายแพทย์พินิจ อัศวแสงรัตน์ หัวหน้าศูนย์ส่งเสริมสุขภาพอาชีวเวชศาสตร์ โรงพยาบาลกรุงเทพระยอง กล่าวว่า ขณะนี้มีผู้เสียชีวิต 12 ราย ผู้ได้รับบาดเจ็บ 142 ราย ซึ่งผู้ได้รับบาดเจ็บทุกรายถูกนำส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน และอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ขอยืนยันว่า สารโทลูอีนที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ครั้งนี้อยู่ในระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ทั้งยังไม่ได้เป็นสารก่อมะเร็ง แต่อาจจะทำให้เกิดการระคายเคือง เกิดผื่นคัน
** เร่งตรวจสอบระบบรง.
ด้าน ม.ร.ว.พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัฒน์ รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า ได้สั่งการให้ปิดโรงงานของบริษัท บีเอสทีในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดแล้ว พร้อมสั่งการตรวจสอบระบบรักษาความปลอดภัยของทุกโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด เนื่องจากกว่าร้อยละ 50 เป็นโรงงานเกี่ยวกับสารเคมี แต่ก็มีมาตรฐานความปลอดภัย และดูแลระบบสิ่งแวดล้อมสูงสุดในภูมิภาคเอเชีย โดยจะเปิดอีกครั้งหลังตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยโรงงานโดยรอบทั้งหมดแล้ว
ทั้งนี้ จากการตรวจวัดคุณภาพอากาศ พบสารไฮโดรคาร์บอนยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่เป็นอันตราย และไม่พบสารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง จึงไม่น่าเป็นห่วง คาดว่าประชาชน จะสามารถกลับเข้าบ้านเรือน และชุมชนได้ภายในวันที่ 6 พ.ค.
ส่วนสาเหตุที่เกิดขึ้น เชื่อว่าไม่ได้มาจากสภาพอากาศ แต่น่าจะเกิดจากความผิดพลาดของพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งก็ต้องมีการสอบสวนต่อไป เพราะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการซ่อมบำรุง ไม่ใช่การปฏิบัติการตามปกติของทางโรงงาน และต้องปรับปรุงระบบการแจ้งเตือนไปยังชุมชนโดยรอบนิคม โดยเฉพาะระบบของหอกระจายข่าว ที่ต้องปรับระดับเสียงให้ดังขึ้น เนื่องจากขณะเกิดเหตุมีฝนตก ทำให้ประชาชนไม่ได้ยินเสียงแจ้งเตือน
**บีเอสทียันรับผิดชอบทั้งหมด
นายไชยยศ วงศ์พยัต กรรมการผู้จัดการบริษัท บีเอสที อิลาสโตเมอร์ส จำกัด ชี้แจงกรณีเพลิงไหม้โรงงานในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง เมื่อวันที่ 5 พ.ค. เวลา 15.20 น.ว่า ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ถังบรรจุสารโทลูอีน ทำให้เกิดเพลิงลุกไหม้ภายในบริเวณโรงงานบริษัท บีเอสที อิลาสโตเมอร์ส จำกัด ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ซึ่งบริษัทได้เร่งระดมกำลังอย่างเต็มที่เพื่อควบคุมเพลิง และสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ภายในเวลา 18.00 น.
สำหรับสาเหตุเพลิงไหม้นั้นอยู่ในขั้นตอนของการตรวจสอบ ทั้งนี้ ในขณะที่เกิดเหตุมีฝนฟ้าคะนอง และเป็นช่วงที่โรงงานได้หยุดสายการผลิตทั้งหมด เพื่อเตรียมเปลี่ยนชนิดผลิตภัณฑ์ โดยได้มีการล้างทำความสะอาดสายการผลิตเรียบร้อยแล้ว และไล่ความชื้นด้วยสารโทลูอีนเป็นขั้นตอนสุดท้าย
"สารโทลูอีน (Toluene) เป็นตัวทำละลายในกระบวนการผลิตยางสังเคราะห์ ไม่ใช่สารอันตรายและไม่ได้เป็นสารก่อมะเร็ง ควันที่เกิดจากการลุกไหม้ มีผลทำให้เกิดการระคายเคืองบริเวณตา ผิวหนัง ระบบทางเดินหายใจ และอาจทำให้เกิดอาการง่วงนอน เวียนศีรษะและอาเจียนได้"
นายไชยยศ กล่าวว่า บริษัทฯรู้สึกเสียใจอย่างยิ่งต่อเหตุสุดวิสัยที่เกิดขึ้น ขอยืนยันในความรับผิดชอบต่อผู้ได้รับผลกระทบเต็มที่ โดยดูแลรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลทั้งหมด รวมทั้งได้ดูแลผลกระทบกับชาวบ้านในชุมชนอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ บริษัทได้เปิดสายด่วน โทร 038-698-698 กด 5 สำหรับช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งจะมีหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ให้บริการชุมชนในบริเวณใกล้เคียง
"บริษัทให้ความช่วยเหลือแก่พนักงานของบริษัทฯที่เสียชีวิตนอกเหนือจากประกันชีวิตที่บริษัทฯทำคุ้มครองให้ 36 เท่าของเงินเดือน โดยจ่ายเงินพิเศษให้รายละ 1 ล้านบาท และช่วยด้านการศึกษาบุตรจนจบการศึกษาชั้นสูงสุด ส่วนภรรยาผู้เสียชีวิตจะหางานให้ด้วย ส่วนผู้รับเหมาที่เสียชีวิตนั้น ทางบริษัทฯจะช่วยเหลือรายละ 5 แสนบาท ส่วนชุมชนจะส่งแพทย์เคลื่อนที่เข้าตรวจอาการและรับข้อร้องเรียนต่างๆ ทั้งนี้บริษัทฯ ประเมินค่าเสียหาย 1,500 - 1,700 ล้านบาท อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนี้คาดว่าจะใช้ระยะเวลาซ่อมปรับปรุงประมาณ 6 เดือนกว่าจะกลับมาเดินเครื่องอีกครั้งได้ " นายไชยยศกล่าว
** จี้ถอนใบอนุญาตบีเอสที
ด้านนายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ได้ออกแถลงการณ์ จี้ กนอ. เพิกถอนใบอนุญาตโรงงาน บีเอสที ของ บริษัท กรุงเทพซินธิติกส์ ที่ระเบิดในครั้งนี้ เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มิใช่เป็นเหตุครั้งแรกของบริษัทนี้ เพราะเมื่อวันที่ 5-6 มี.ค.52 ก็เคยเกิดสารเคมีรั่วไหล ขณะขนถ่ายสารเคมีขึ้นมาจากท่าเรือมาบตาพุดมาแล้วครั้งหนึ่ง
บริษัทดังกล่าวได้ขอขยายโรงงานและการผลิตเพิ่มเติมโดยได้จัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นไปเมื่อวันที่ 9 มี.ค. 55 ที่ผ่านมานี้เอง ซึ่งจากเอกสารรายงาน EHIA ดังกล่าว ถูกคณะกรรมการองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (กอสส.) ได้ท้วงติงความไม่สมบูรณ์หลายประการ และรูปธรรมที่เกิดขึ้นจากการระเบิด และไฟไหม้ จนทำให้คนงานต้องมาเสียชีวิต และบาดเจ็บเป็นจำนวนมากนี้ ชี้ให้เห็นว่าโรงงานดังกล่าวไม่มีความเหมาะสมที่จะก่อสร้างหรือขยายกิจการในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดได้อีกต่อไป
ดังนั้น สมาคมฯจะยื่นหนังสืออย่างเป็นทางการ และจี้ให้ กนอ. และรมว.อุตสาหกรรมเพิกถอนใบอนุญาตโรงงานดังกล่าวต่อไป รวมทั้งจะยื่นเรื่องต่อศาลปกครองสูงสุด ในคดีที่สมาคมร่วมกับชาวบ้าน 43 ราย ได้ฟ้องร้องหน่วยงานรัฐดังกล่าว ต่อศาลปกครองแล้วต่อไปด้วย
***ก๊าซพิษรั่วเพิ่มอีก
เมื่อเวลาประมาณ 19.00 น. วันที่ 6 พ.ค. ที่นิคมอุตสาหกรรมเหมราช อ.มาบตาพุด จ.ระยอง เกิดเหตุก๊าซพิษมีกลิ่นฉุนรั่วอีก ที่บริษัทอดิตยาเบอร์ล่าเคมีคัลส์(ประเทศไทย) ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากโรงงานบีเอสทีที่เกิดไฟไหม้เมื่อวันที่ 5 พ.ค.ที่ผ่านมาระยะทาง 4 ก.ม. ทั้งนี้ เหตุสารเคมีรั่วไหลที่บริษัทอดิตยาฯเกิดจากโรงงานหยุดเดินเครื่องฉุกเฉิน ทำให้ตัวปล่องของโรงงานปล่อยสารเคมีออกมา สารที่รั่วออกมาเป็นสารโซเดียมไฮโปคลอไรด์ ที่เป็นสารตั้นต้นทำโซดาไฟ ส่งผลให้คนงานสูดดมเข้าไปหลายคน ทำให้เกิดอาการอ่อนแรง อ่อนเพลีย และแสบคอ เจ้าหน้าที่ของบริษัทปิดกั้นบริเวณไม่ให้บุคคลภายนอกเข้าไป โดยผู้ที่จะเข้าไปได้ต้องสวมชุดและหน้ากากป้องกันเนื่องจากเป็นสารเคมีอันตราย เบื้องต้นมีการทะยอยนำผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากการสูดดมสารพิษประมาณ 50 รายนำส่งโรงพยาบาลมาบตาพุด โรงพยาบาลบ้านฉาง และโรงพยาบาลระยอง ทั้งนี้บริษัทอดิตยาฯเป็นผู้ผลิตโซดาไฟ คลอรีน และอีพ็อกซี่เรซิ่น