xs
xsm
sm
md
lg

แก้วกลางดง ตอนที่ 9-10

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


แก้วกลางดง ตอนที่ 9

ทรงเผ่าฝังปลาทองไว้ใต้ต้นไม้ ขณะที่ชวนอัญชิสาคุยไปด้วย

“ผมไม่เคยรู้ว่าคุณหวานเลี้ยงปลาทองมาก่อน”
อัญชิสารีบหลบตาเพราะไม่เคยเลี้ยงจริงๆ
“หวาน...เลี้ยงในห้องนอนนะคะ มิกกี้เค้าน่ารักมากเลยนะคะ เวลาหวานเหงาๆ ก็จะมาดูเค้าว่ายน้ำเล่น”
“อ๋อ ครับ...เอาล่ะ” ทรงเผ่ากลบดินเสร็จพอดี “ทีนี้มันก็จะกลายเป็นปุ๋ยต้นไม้ มีประโยชน์สองต่อ”
“เค้าค่ะ ไม่ใช่มัน อย่าเรียกมิกกี้ว่ามัน เค้าเป็นเหมือนเพื่อนคนหนึ่งของหวาน”
ทรงเผ่าชะงักไป
“เอ่อ ครับ มัน...เอ๊ย เค้าก็เค้า เราฝังศพเค้าเรียบร้อยแล้ว”
“หวานขอเก็บดอกไม้มาวางหน่อยได้มั้ยค่ะ คุณเผ่าคงไม่คิดว่ามันไร้สาระเกินไป”
ทรงเผ่าชะงักไปอีกที เพราะคิดอยู่ว่าเยอะไป
“เชิญเลยครับ”
อัญชิสาเดินไปเก็บดอกไม้ ที่อยู่แถวนั้นมาวางบนหลุมศพ...ฟ้าลั่นเดินผ่านมา เห็นเดินถอยกลับมายืนดูอีกที งงๆ กับการกระทำของอัญชิสา เธอเอาดอกไม้มาวางบนดินที่ฝังปลาทองบีบน้ำตาอีกรอบ ก่อนจะเอนหัวซบบนไหล่ทรงเผ่า

ฟ้าลั่นเข้ามาเท้าคางส่ายหน้างงอยู่ในครัว วงศ์กำลังเช็ดจาน สอนเมียวดีเช็ดไปด้วย
“คนในเมืองนี้ประหลาดดีนะ ปลาตายตัวเดียวทำเหมือนพ่อตาย” ฟ้าลั่นเปรยออกมา
เมียวดีเฉย รู้แต่ไม่พูดอะไร
“เค้าคงรักมันมาก เลี้ยงมานานก็คงผูกพัน” วงศ์ออกความเห็น
“แต่ ทีไอ้เหินฟ้ามันเอาหมูที่เลี้ยงไว้ใต้ถุนมาต้มกิน ไม่เห็นมันร้องไห้เสียใจเลย เรียกฟ้าลั่นไปกินอีก” ฟ้าลั่นหันมาหาเมียวดี “ปลามันไม่ได้มีไว้กินเหรอวะอีเมียว”
“สัตว์อะไรกินได้ ก็กินทั้งนั้นแหละ ขืนเลือกก็อดตาย”
“เออ นั้นซิวะ”
“แต่คนในเมืองคงมีเหลือกินมั่ง เราไม่ใช่คนในเมืองบอกแทนไม่ได้หรอก”
วงศ์มองเมียวดีที่พูดนิ่งๆ อย่างรู้ทัน
“ใครกันนะบอกว่าคนบ้านป่าบ้านดอยไม่รู้เรื่องอะไร”
เมียวดีเฉยอีก ไม่ต่อความ ฟ้าลั่นยังสงสัยไม่หาย
“แล้วตกลง คนในเมืองเค้าต้องทำศพปลากันทุกคนเหรอคุณแม่บ้าน”
วงศ์ยังไม่ทันพูด เชอรี่ก็เข้ามาพอดี ส่งเสียงมาก่อน
“กระแดะ แบบนี้เค้าเรียกว่ากระแดะนะซิพี่ฟ้าลั่น เลี้ยงไว้ดูเล่นนะพอเข้าใจได้ แต่เลี้ยงไว้ประหนึ่งญาติผู้ใหญ่เนี่ยเค้าเรียกกระแดะ ใครกันเหรอที่ทำแบบนี้”
“คุณหวาน”
เชอรี่นิ่งไปพักใหญ่ ก่อนจะเปลี่ยนเสียงทันที
“เหรอ เออ...ต๊าย ดูดีจริงๆ คนที่เค้ามีวัฒนธรรมเค้าก็ทำแบบนี้แหละ”
ฟ้าลั่นมองหน้า
“เมื่อกี้ น้องเชอรี่ไม่ได้พูดแบบนี้นะ”
เชอรี่รีบแก้
“ฉันก็พูดแบบนี้ ปลามันก็มีชีวิตเหมือนกัน เราทำศพให้มันก็ถูกแล้วนี่”
ฟ้าลั่นอ้าปากจะพูด เชอรี่ก็ขัดขึ้นอีก
“หยุด! พี่ฟ้าลั่นนะ ไม่เข้าใจวิถีชีวิตคนในเมืองแท้ๆไม่ต้องพูดหรอก”
ฟ้าลั่นจำต้องรับคำ
“จ๊ะ”
เชอรี่ทำท่าเคลิ้มฝัน
“สงสัยต้องไปซื้อปลามาเลี้ยงบ้างแล้ว”
“เอาเป็นปลาช่อน หรือปลาสลิดก็ดีนะเชอรี่ พอมันตายจะได้เอาขึ้นเมรุเผา กลายเป็นปลาเผาจิ้มแจ่วไง” วงศ์แดกดัน
ฟ้าลั่นขำเสียงดังทันที
“ฮะๆๆๆดี ฟ้าลั่นชอบกินปลาเผา”
เชอรี่หันควับส่งสายตาเขียวปัดใส่ ฟ้าลั่นหยุดทันที วงศ์ถอนหายใจ
“จะทำอะไรก็เอาแต่พอดี ดูบ้างว่าเราเป็นใคร เห็นช้างขี้อย่าไปขี้ตามช้าง”
“คุณแม่บ้านอ่ะ คุณแม่บ้านไม่เข้าใจเชอรี่”
เชอรี่ได้แต่ฮึดฮัด เมียวดีแค่ยิ้มขำๆแต่ไม่พูดวิจารณ์อะไร

วันใหม่...อัญชิสาสบายใจทิ้งตัวลงนอนบนที่นอนคุยกับจินนี่
“ลงทุนแวะซื้อปลาทองแค่ตัวเดียว ก็ไม่ต้องอธิบายอะไรอีก”
จินนี่แปลกใจ
“จริงเหรอ แล้วคุณเผ่าเค้าไม่ถามอะไรแกเลยเหรอ เรื่องคุณสาทิศ”
“โน”
“ไม่โกรธ ซักนิดเดียว”
“ใช่...บอกแล้วไงมันเป็นแค่เรื่องไร้สาระ ทุกอย่างหายไปเมื่อน้ำตาฉันหยด หึ หึ”
“อ๋อ แกงัดมารยาหญิงมาใช้นี้เอง คุณเผ่าเค้าถึงเงียบกริบไม่มีคำถาม เล่มที่เท่าไหร่กันล่ะ เนี่ย”
“ไม่ใช่ย่ะ เค้าเรียกว่าเสน่ห์ของผู้หญิงต่างหาก พวกผู้ชายนะบ้าอำนาจชอบเป็นผู้นำ แค่ทำให้เค้ารู้สึกว่าเราอ่อนแอ เราต้องการการดูแลจากเค้า แค่นี้ทุกอย่างก็จบ อะไรที่ไม่ควรพูดก็ไม่ต้องพูด ไม่ต้องรื้อฟื้นดีที่สุด”
“ฉลาดเลิศที่สุดเพื่อนฉัน”
จินนี่หยิบครีมทาผิวจะเอามาทา แต่เพิ่งสังเกตเห็น
“อุ๊ย...ครีมนี้แกได้มาเมื่อไหร่ มันหมดอายุแล้วนะ”
อัญชิสาหยิบมาดูวันหมดอายุ
“ไปงาน เค้าให้มา ฉันก็โยนๆ ไว้งั้นแหละ ไม่กล้าใช้หรอก ไม่เป็นไรเดี๋ยวเอาไว้ให้ยายเด็กคนใช้บ้านคุณเผ่าก็ได้ เป็นค่าปิดปากที่มันคาบข่าวมาบอก”
จินนี่หน้าเหวอ
“แต่ มันหมดอายุไปตั้งหลายเดือนแล้วนะ”
“โอ๊ย...หนังหน้าคนพวกนั้นนะหนาจะตาย ฉันให้บ่อยๆ ไม่เห็นมันจะว่าอะไรชอบเสียอีก”
“แกนี่...”
จินนี่ยิ้มให้อย่างพอใจ สองสาวหัวเราะกันชอบใจ

เชอรี่เปิดถุงที่ได้รับมาจากอัญชิสา เอาครีมออกมาทาหน้าอย่างมีความสุข ทาไปพูดไปดูตัวเองในกระจก
“ขาวๆๆเด้งๆๆๆ ของฟรีของดีแบบนี้ต้องโป๊ะเข้าไปเยอะๆ เธอช่างสวยจริงๆ เชอรี่จ๋า”
ฟ้าลั่นแอบเปิดหน้าต่าง เกาะขึ้นมา เชอรี่มองตัวเองในกระจกอยู่ ขยับซ้ายขวา แล้วก็เลยออกสเตปซ้อมร้องเพลงพร้อมเต้นอย่างเต็มที่
“ตั๋วน้องเป็นสาวรุ่นราวเอ๊าะๆ หุ่นฮ่างก็เหมาะ บ่าวมาเกาะมาต๋อม”
เธอเหลือบมองไป เห็นฟ้าลั่นเกาะหน้าต่างอยู่ฟังอย่างชื่นชม เชอรี่อายม้วน
“พี่ฟ้า...บ้า มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ไม่ให้สุ่มให้เสียงกันเลย เค้าอายนะ”
“ถ้าไม่แอบมา พี่ฟ้าจะเห็น คนสวยเสียงดีแบบนี้เหรอ”
“พูดจากใจจริงใช่มั้ย”
“แน่นอน เสียงน้องเชอรี่เพราะจับใจ จริงๆนะ เหมือน นก...นก...”
เชอรี่ลุ้น
“นก...ปิ๊ดจะลิว”
เชอรี่งงๆ
“นกอะไรของพี่อ่ะ ชื่อประหลาด”
“อ้าว...ก็แถวบ้านพี่ฟ้าถ้าใครเสียงดี เค้าก็ชมแบบนี้กันทั้งนั้น”
เชอรี่ค่อยยิ้มออก
“เหรอ...งั้น ถ้าเชอรี่จะไปประกวดร้องเพลงเป็นนักร้องล่ะ พอจะไหวมั้ย”
“โอ๊ย ขึ้นเวทีไหน ก็ชนะ ได้ขันได้ถ้วย แน่น้องเชอรี่”
“เชอรี่ก็ว่างั้นแหละ” เชอรี่เริ่มจริงจัง “และในเมื่อพี่ฟ้าเชื่อในความสามารถของเชอรี่แบบนี้ เชอรี่ก็มีความลับบางอย่างจะบอกให้พี่ฟ้าได้รู้”
ฟ้าลั่นตื่นเต้น
“เดี๋ยว น้องเชอรี่ พี่ของทำใจก่อน...นี่น้องเชอรี่คือ เจ้าของบ้านแต่ปลอมตัวมาทวงสมบัติใช่มั้ย”
เชอรี่ถลึงตาใส่
“เพ้อเจ้อไปถึงไหนเนี่ยพี่ฟ้าลั่น”
ฟ้าลั่นอ้อมแอ้ม
“ก็พี่ฟ้าดูในหนังขายยา...”
“นี่มันคือชีวิตจริง ไม่ใช่หนัง ชีวิตที่ต้องต่อสู้เพื่ออนาคตในวันหน้า ต่อไปเชอรี่จะต้องดังเหมือนน้องกระแต อาร์สยาม และการที่เชอรี่มาเป็นคนใช้แบบนี้ ก็เพื่อที่จะเรียนรู้ชีวิต ให้เหมาะสมกับการเป็นคนลูกทุ่ง พี่ฟ้ารู้มั้ยคนลูกทุ่งเค้าจะต้องสู้ชีวิตแบบนี้กันทั้งนั้น”
เชอรี่สายตามุ่งมั่น ฟ้าลั่นพลอยชื่นชมไปด้วย
“ทั้งเก่งและสวยแบบนี้ สมแล้วที่เป็นนางฟ้าของพี่ฟ้าลั่นจริงๆ”

ที่ห้องรับแขก...วงศ์กับบัวคลี่สอนให้เมียวดีไหว้
“เป็นผู้หญิงต้องไหว้สวยๆ ไหว้ทั้งใจและกาย ในใจก็ต้องไหว้ด้วยไม่ใช่แค่ยกมือเป็นฝักถั่ว ค่อย ไหว้ช้า ๆ ๆ สวยมากจ๊ะแม่วงศ์”
วงศ์ทำตามที่บัวคลี่สอนเป็นตัวอย่างให้เมียวดีดู ซาบซึ้งกันอยู่สองคน เมียวดีนั่งฟัง นั่งหาวไม่สนใจนัก ทรงเผ่าเดินมา
“อ้าวเมียวดี หาวอ้าปากกว้างแบบนั้น แมลงวันเข้าไปในปากแล้ว”
“ถ้ามันเข้าไปจริงเราก็ต้องรู้แล้วซิ นาย”
“หรือไม่...เราก็กลืนไปแล้ว ฮะ ๆๆ”
วงศ์กับบัวคลี่เพิ่งรู้ว่าเมียวดีไม่ได้ดู บัวคลี่หันมาดุ
“ตายจริง นี่ไม่ได้ฟังที่สอนเลย แถมยังนั่งหาวอีกเหรอ”
“เป็นผู้หญิงเวลาหาวต้องปิดปากนะคะ คุณเหมียว อ้าปากกว้างๆมันไม่สุภาพ” วงศ์สอน
ทรงเผ่าขำ
“โอโห้ เห็นลิ้นไก่เลยละครับ ฮะๆ”
เมียวดีหัวเราะล้อเลียนทรงเผ่า หมั่นไส้นิดๆ
“ฮะ ฮะ...ดูนายอารมณ์ดีเหลือเกินนะวันนี้ มีอะไรน่าขำนักเหรอ แค่คนหาว”
“ก็ฉันอยากขำ แล้วฉันก็อารมณ์ดีเหมือนทุกวันด้วย”
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ทรงเผ่าเดินไปคุยโทรศัพท์อีกมุม ปล่อยให้บัวคลี่กับวงศ์สอนเมียวดีต่อ
“ว่าไง เจ้าอั๋น...จะชวนฉันไปยิงปืนอีกเหรอ”
“โอ๊ย เสียงใสแบบนี้ แสดงว่าหายอกหักแล้วใช่มั้ยครับพี่เผ่า”
“ฉันนะเหรอ”
“ใช่ครับ...แหม ได้ยาดีแก้ตรงจุดมันก็รักษาไวแบบนี้ ไม่ต้องใช้วิธียิงปืนคลายเครียดแล้วละครับ”
ทรงเผ่ายังงงอยู่
“เครียด...ฉันเครียดงั้นเหรอ”
“โธ่พี่เผ่า กับน้องกับนุ่งไม่ต้องฟอร์มมากนักหรอก พี่เข้าใจกับคุณหวานก็ดีแล้ว ผมนึกแล้ว ว่ายังไงคุณหวานก็ต้องเลือกพี่”
“แล้ว แก รู้ได้ยังไง”
“เมียวดีไงครับ เมียวดีให้ป้าวงศ์ต่อสายให้โทรมาหาผม”
ทรงเผ่าเหลือบมองเมียวดีประมาณว่ายายตัวดี เดี๋ยวเถอะ...เมียวดีมองมาเขาอยู่เหมือนกันอย่างอยากรู้เธอรีบหลบตา ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้สนใจที่บัวคลี่

เมียวดี เดินเลี้ยวมามุมหนึ่งของบ้าน ทรงเผ่าดักรออยู่ เธอรีบทำเป็นเดินเลี้ยวกลับ
“จะไปไหนเมียวดี”
“เรามีเรื่องอยากคุยกับป้าวงศ์”
ทรงเผ่ารีบก้าวยาวมาดักไว้
“ร้ายนักนะเรา นี่ถึงขนาดไปรายงานเจ้าอั้นเชียวเหรอ”
“หมวดเพื่อนนายเค้าถาม เราก็ตอบตามที่เห็น”
“ว่าฉันอกหัก นะเหรอ”
“แล้วมันถูกมั้ยล่ะ พอคุณหวานมา นายก็หน้าบานเท่ากระด้ง เส้นตื้นเหมือนคนเมาฝิ่น”
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรซักหน่อย”
เมียวดีชักรำคาญ
“ไม่เป็นก็ไม่เป็น เราขี้เกียจเถียงกับนายแล้ว เอาเป็นว่าหมวดเพื่อนนาย กลัวนายนอนไม่หลับแล้วลุกขึ้นมาผูกคอตายละมั่ง”
ทรงเผ่าคิดได้
“อ๋อ...นี่ แปลว่า การที่เราสองคนพาฉันไปยิงปืน เพราะคิดว่าฉัน...ฮะ ๆ ๆ เข้าใจแล้ว งั้นเธอก็ห่วงฉันเหมือนกันนะซิ ถึงได้ร่วมมือกับเจ้าอั๋น”
“ก็เราบอกแล้วไง เพื่อนกัน ไม่ตายจะทิ้งกันได้ไง”
ทรงเผ่าพูดด้วยความคะนอง
“แล้วถ้าฉันตาย เธอจะร้องไห้ให้ฉันมั้ย”
เมียวดีนิ่งไปนิด ก่อนจะตอบเรียบๆ
“ตายก็ฝัง”
“งั้นเอาไปฝังในป่าได้มั้ย ที่ๆเธอฝังตาจั่นก็ได้ เธอจะได้มาเยี่ยมง่ายๆพร้อมกันทีเดียวเลย”
เมียวดีหน้าตาจริงจังขึ้น
“เราเก็บไว้ให้คนในครอบครัวเท่านั้น”
“เมียวดี ฉันขอโทษ ฉันล้อเล่น”
เมียวดีพูดเน้นหนักแน่น
“แต่เราพูดจริง”
ทรงเผ่ายังไม่รู้ว่าเมียวดี หมายความยิ่งกว่านั้น
“ไปกันใหญ่แล้ว คือฉันหมายถึง...ฉันแค่พูดล้อเธอเล่น แต่ไม่ได้ตั้งจะล้อความเชื่อของเธอ”
เมียวดีพยักหน้ารับ แต่ไม่พูด
“พูดจริงๆวันนั้นฉันก็สนุกมาก เอางี้ ในเมื่อเธอทำให้ฉันสนุก ฉันก็จะให้รางวัลเธออย่างหนึ่ง ว่ามาเลยอยากได้อะไร”
เมียวดีตาเป็นประกายขึ้นมา
“จริงเหรอนาย เราคิดถึงบ้าน เราขอกลับบ้านได้มั้ย”
“อันนั้นไม่ได้ ก็เราตกลงกันแล้วไง อยู่เที่ยวป่าของฉันก่อนนะเมียวดี”
“งั้นเราก็ไม่อยากได้อะไร”
“เฮ้ย...นี่งอนเหรอ มีอารมณ์งอนแบบผู้หญิงตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย”
“เราเป็นผู้หญิงอยู่แล้ว แต่เราไม่เคยงอน”
“เธองอน”
“ไม่ได้งอน”
“งอน”
“ไม่”
“แบบนี้เค้าเรียกว่างอนชัดๆ” ทรงเผ่าชี้นิ้วใส่หน้าเมียวดี “ฮะๆๆ”
เมียวดีโมโห แล้วก็เลยตัดสินใจกัดนิ้วของเขาที่ชี้อยู่เต็มๆ ทรงเผ่าดิ้นพลาด
“โอ๊ยย”
เมียวดียิ้มออกทันที
“เราอารมณ์ดีจะตายเห็นมั้ยนาย” เมียวดีหัวเราะปากกว้างเยาะเย้ย “ฮะๆๆ”
เมียวดีแลบลิ้นใส่ วิ่งหนีไป
“ยายเด็กตัวแสบ”
ทรงเผ่าจะไล่ตาม แต่อัญชิสาเดินมาพอดี
“คุณเผ่า!”

ทรงเผ่ากับ อัญชิสาเข้ามานั่งคุยกันในห้องรับแขกโดยมีบัวคลี่กับทนงนั่งอยู่ด้วย เชอรี่เอาน้ำมาเสิร์ฟ อัญชิสาเอากิ๊ฟเซ็ทส่งให้
“พอดีฉันไปงานมา คิดขึ้นได้ว่าเธอน่าจะชอบ เลยเอามาฝากจ๊ะ”
เชอรี่ยิ้มอย่างดีใจ รีบยกมือไหว้ เปิดดู เห็นครีม
“ของแพงนี่ค่ะ คุณหวาน เชอรี่เห็นในโฆษณาทีวี”
“เล็กๆน้อยๆจ๊ะ รับไปเถอะจ๊ะ”
เชอรี่ออกไป อัญชิสาหันมาหาบัวคลี่
“คุณน้าคงไม่ว่านะคะที่หวานให้ของเด็ก”
“จะว่าทำไมหนูหวานน่ารักจริงๆ มีน้ำใจกับคนโน้น คนนี่ไปทั่ว”
“นี่คุณหวานมาหาผมเหรอครับ มีอะไรหรือเปล่า” ทรงเผ่าถาม
“ไม่ใช่ค่ะ วันนี้หวานไม่ได้มาหาคุณเผ่า แต่ตั้งใจมาหาเมียวดีต่างหาก”
ทรงเผ่าแปลกใจ
“เมียวดี!”
“หวาน นัดกับเพื่อนๆไปทานข้าว แล้วก็จะไปเดินเล่นกันประสาผู้หญิงนะคะ เลยคิดว่าจะชวนเมียวดีไปด้วย ก็คุณเผ่าเคยบอกให้หวานช่วยดูแลแกไม่ใช่เหรอคะ”
บัวคลี่เห็นดีด้วย
“ดีค่ะ ยายเหมียวจะได้ไปเปิดหูเปิดตาบ้าง แต่ว่า น้าเป็นห่วงกลัวหนูหวานจะเอายายเหมียวไม่อยู่ซิคะ”
“ไปกันกับผู้หญิงด้วยกัน วัยก็ไม่ห่างกันมาก ยายเหมียวอาจจะสนุกกว่าไปกับคนแก่ๆ ก็ได้นะคุณ” ทนงออกความเห็น
“คุณพี่...นี่คุณพี่ว่าดิฉันแก่คุยกับยายเหมียวไม่รู้เรื่องเหรอคะ”
“ไม่ใช่จ๊ะ...โธ่ ผมจะว่าคุณได้ยังไง ถึงคุณจะแก่แต่ก็ยังสวยอยู่นะ สาวๆบางคนยังสู้ไม่ได้เลยนะ”
“แล้วแคดดี้สนามกอล์ฟ ที่คุณพี่ติ๊บไปทีละพันล่ะคะ”
“อันนั้นผมไม่ได้คิดอะไรเล้ย สงสารเด็กมันเท่านั้น มันทำงานหาเงินเรียน ก็เลยให้เป็นทุนการศึกษาเด็กไปเท่านั้น”
“ค่ะ อย่าสงสารจนถึงขนาดช่วย สมบททุนสร้างบ้านให้ก็แล้วกัน”
ทรงเผ่าฟังแล้วก็ขำไปด้วย ทนงโวย
“อ้าว เฮ้ยเจ้าเผ่ามัวแต่ขำอยู่นั้นแหละ ช่วยออกความเห็นหน่อยซิ”
“ผมว่าคงไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ ผมพาไปก็ไม่เห็นมีอะไร หรือถ้ากลัวนัก ก็ให้แม่วงศ์หรือใครไปด้วยอีกคนก็ได้”
“นั้นซิ แล้วพ่อว่า ดีเสียอีกนะ หนูหวานกับเจ้าเหมียวจะได้สนิทสนมกันไว้ เผื่อวันหน้าหนูหวานคงต้องช่วยเจ้าเผ่าดูแลเจ้าเหมียวต่อไปอีก”
“ประโยคหลังนี้ คุณพี่พูดจาดี ถูกใจดิฉันเหลือเกิน ถูกต้องเลยนะคะ”
บัวคลี่หันมายิ้มให้ อัญชิสาเขินไป แต่ทรงเผ่าไม่ค่อยมั่นใจ
“แต่ผมไม่แน่ใจหรอกนะครับ ว่าเมียวดีจะไปหรือเปล่า”
อัญชิสาหมั่นไส้ที่ทรงเผ่าดูใส่ใจเมียวดีเหลือเกิน แต่ก็ต้องยิ้มแย้มเหมือนเดิม
“คุณเผ่าก็ช่วยพูดซิค่ะ ถ้าคุณเผ่าเอ่ยปากแกคงอยากไป”
อัญชลีพยายามชวน อย่างมีแผนในใจ

วงศ์มาบอกกับเมียวดีว่าทรงเผ่าให้เธอไปเที่ยวกับอัญชิสา เมียวดีถามอย่างไม่เข้าใจ
“ให้ไปกับคุณหวานเหรอ ไปทำไม”
เชอรี่เบ้หน้า
“โอ๊ย...เรื่องมากจริงเค้าให้ไปก็ไปเถอะ ถ้าคุณหวานชวนฉัน ฉันจะไปทันทีเลย ให้ฉันไปแทนมั้ยล่ะ”
“คุณเผ่าไม่ได้บังคับนะคะให้คุณเหมียวตัดสินใจเอง แต่ป้าว่าคงอยากให้คุณหวานกับคุณเหมียวคุ้นเคยกันไว้” วงศ์ออกความเห็น
เชอรี่นึกออก
“อ๋อ...เพราะอีกไม่นาน คุณหวานจะมาเป็นคุณผู้หญิงของบ้านนี้ใช่มั้ย แหมแทบอดใจรอให้คุณหวานแต่งงานกับคุณเผ่าไม่ไหวเลยล่ะค่ะคุณแม่บ้าน”
เมียวดีได้ยินอย่างนั้นตัดสินใจได้ทันที
“ตกลง ถ้านายอยากให้ไปเราก็จะไป”


อัญชิสากับจินนี่พา เมียวดีมาที่ร้านอาหารในมอลล์ เมียวดียืนมองสถานที่ ที่ไม่เคยมาแต่ไม่ได้กลัว ค่อนข้างนิ่ง จินนี่หันไปกระซิบกับอัญชิสา
“นี่แกนึกยังไง ถึงชวนยายเด็กเถื่อนนั้นมากินข้าว”
“ก็เพราะฉันเป็นนางงามรักเด็กนะซิย่ะ หึ หึ” อัญชิสาหันไปเรียกเมียวดี “มาจ๊ะเมียวดี นี่เพื่อน ของฉัน...นี่ เด็กที่บ้านคุณเผ่าจ๊ะ เพื่อนๆ ที่เคยเล่าให้ฟังนะ” อัญชิสาแนะนำกับเพื่อนๆ
เมียวดีเฉย ไม่ไหว้ใคร จินนี่เหยียดปากดูถูก
“อุ๊ยตาย คนป่าของจริงเลยนะ ดูซิยังไหว้ก็ไม่เป็นเลย”
อัญชิสาหันไปยิ้มให้เมียวดี
“เมียวดี สวัสดีเพื่อนๆ ฉันซิจ๊ะ”
“เมียพ่อนายบอกว่า เวลาไหว้คนต้องไหว้จากใจ อย่าแค่ยกมือ เรายังไม่รู้จักเพื่อนคุณหวานเลย”
ทุกคนหน้าแตกไปตามๆกัน
“ต๊าย อันศิวิไลเซชั่นมากๆ มารยาทพื้นๆยังไม่รู้จัก” จินนี่โวย
“เอาน่า เด็กเพิ่งลงมาจากป่า จากดอย จะถือมารยาทอะไรนักหนา จินนี่” อัญชิสาปราม
เพื่อนแปลกใจ
“จริงเหรอ งั้นก็คนป่าตัวจริงนะซิ ขอถ่ายรูปอัพลงเฟสหน่อยนะ”
เพื่อนคว้าตัวเมียวดีมาถ่ายรูปทันทีโดยที่เมียวดีไม่ทันตั้งตัว อีกคนก็ลากไปถ่ายอีกมุม เมียวดีหงุดหงิด
“ต๊าย ได้ข่าวว่าคนป่ากินคนด้วยใช่มั้ย”
“บ้า คนป่าแบบนั้นนะมันอยู่ป่าในหนังแถวแอฟริกาย่ะ ไม่มีหรอก จริงมั้ยจ๊ะ เมียวดี” อัญชิสาพูดหวานๆใส่ แต่เหน็บในที “เมียวดี เค้าอยู่ป่าเมืองไทย อย่างมากก็คงกินแค่สมองลิงเท่านั้น”
เพื่อนๆทำท่าขยะแขยง
“อี๋ย์”
เมียวดีพยายามกลั้นความโกรธ นึกถึงก่อนหน้านี้ที่เธอเดินมากับวงศ์จะไปขึ้นรถ วงศ์ดึงแขนเธอไว้แล้วกำชับ
“คุณเหมียวขา ถ้าคุณเหมียวรักและเคารพคุณเผ่า คุณเหมียวคงไม่อยากให้คุณเผ่าผิดใจกับคุณหวานใช่มั้ยค่ะ”
“เรื่องของสองคนมาเกี่ยวอะไรกับเรา”
“โธ่ คุณเหมียวนี่ป้าพูดจริงนะคะ”
เมียวดีอึ้งไปนิด ก่อนจะตัดสินใจพูด
“อยากให้เราทำอะไรบอกมาเลยดีกว่า”
“วันนี้อย่าไปมีเรื่องนะคะ มีอะไรก็ต้องอดทนไว้”
“เราไม่เคยหาเรื่องใครก่อน”
วงศ์ถอนหายใจ ที่เมียวดีไม่ยอมรับปาก
“ดีแล้วค่ะ แต่จำไว้นะคะ ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น นับ1 ถึง10ไว้นะคะ คุณเหมียวนับเลขได้ใช่มั้ยค่ะ”

เมียวดีพยักหน้า

อ่านต่อหน้า 2 พรุ่งนี้

แก้วกลางดง ตอนที่ 9

อัญชิสายังคงพูดจาเยาะหยันเมียววดีต่อ

“ฉันพูดเล่นนะจ๊ะ เมียวดีคงไม่ถือสานะ เอ๊ะ ไม่ตอบสงสัยจะกินจริงๆ”
เมียวดีพึมพำนับ1ถึง 10 เบาๆ ก่อนจะหันหน้าไปพูดกับหวาน หน้าเฉยๆ
“สมองลิงไม่อร่อย กินตุ๊กแกดีกว่า เอามาดองกับเหล้านะ อย่างงี้เลย...อย่างงูเห่าก็ไม่ต้องควักไส้ หรือเครื่องในออก เอามาสับๆก็พอ พวกหนอนก็อร่อยดี นิ่มๆลื่นๆใส่ปากแล้วก็กลืนได้เลย แล้วก็มีอีกนะ...”
เพื่อนหวานมองเส้นสปาเก็ตตี้ในจานตัวเอง แล้วนึกตามก็กินไม่ลงตามๆกัน อัญชิสารีบห้าม
“พอๆแล้วล่ะจ๊ะ เมียวดี ที่นี่เค้าไม่กินอาหารป่าพวกนั้นกันหรอก”
บริการเอาน้ำมาเสิร์ฟใหม่ ให้อัญชิสาแล้วก็จะวางอีกแก้วให้เมียวดี จินนี่รีบบอก
“เดี๋ยว...ไม่ใช่โต๊ะนี้”
บริกรชะงัก จินนี่หันไปหาอัญชิสา
“ใช่มั้ยหวาน”
อัญชิสารู้กันหันไปบอก
“อ๋อ...ขอโทษทีนะ พอดี โต๊ะมันเต็ม เมียวดีเธอนั่งทานกับเด็กๆโต๊ะโน้นก็แล้วกันนะจ๊ะ คงไม่เป็นไรนะ”
เมียวดี มองไปเห็นโต๊ะ ข้างๆห่างออกไปจะเป็นเด็กคนใช้ที่คอยเลี้ยงลูกเจ้านาย ป้อนข้าวให้เด็กอยู่ เธอเดินไปนั่งปนกับพวกเด็กๆ บริกรตามไปวางแก้วน้ำ คนใช้ชวนคุยเป็นภาษาอีสาน
“ตามคุณนายมาถือของเหรอ อีหล้า”
เมียวดีรู้ทันทีว่าอัญชิสาแบ่งชั้นชัน หันไปมองอัญชิสาที่คุยอยู่กับเพื่อนๆ อัญชิสาหันมายิ้มให้หวานๆเหมือนไม่รู้เรื่องอะไร ก่อนจะแอบหันไป ยิ้มอย่างเหยียดๆกับเพื่อนๆ

หลังจากทานอาหารเสร็จ เพื่อนอัญชิสาพร้อมเด็กรับใช้ที่อุ้มเด็กโบกมือลากัน เหลืออัญชิสากับจินนี่และเมียวดีที่ยืนห่างออกมาหน่อย จินนี่ถามเบาๆ
“หวานฉันขอถามแกอีกที แกคิดจะพามันเป็นปลิงเกาะเราไปช้อปปิ้งจริงๆเหรอ”
อัญชิสานยิ้ม ๆ
“ก็บอกแล้วว่าสงสารเด็กมัน ฉันเลยพามาเปิดหูเปิดตา ถ้าไม่พาชอปปิ้งด้วยจะพาไปไหน”
“แต่น้ำเสียงแกมันตรงข้ามนะฉันว่า”
“แกคิดมากไปได้ จินนี่”
อัญชิสามองไป เห็นลานโปรโมชั่นไม่ไกลนัก จัดเป็นซุ้ม แจกนมอยู่ มีตัวแมสคอท ถือพวงลูกโป่งอยู่คนเริ่มกรูเข้าไปดู
“ต๊าย ตรงนั้นมีอะไร น่าสนุกจังไป ไปเถอะเมียวดี จินนี่ไปดูกัน”
อัญชิสาคล้องแขนเมียวดีกึ่งเดินกึ่งลากที่ซุ่มจัดโปรโมท จินนี่ตามมาด้วยแบบเซ็งๆ อัญชิสาร่าเริงเต็มที่
“รู้มั้ย ว่าการดื่มนมมีประโยชน์มากนะจ๊ะ เมียวดี”
“นมวัวนมควาย กินแล้วก็นิสัยเหมือนวัวควาย สู้กินนมแม่ไม่ได้แล้วเราก็โตแล้ว ไม่ใช่เด็กแดงๆ”
จินนี่หน้าเหวอ
“ต๊าย...นี่ด่าพวกฉันเหรอย่ะ ยายเด็กป่าเถื่อน”
จินนี่จะเอาเรื่อง อัญชิสาดึงไว้ส่ายหน้าห้าม ก่อนจะหันมาหวานต่อ
“อย่าถือสาเลยน่าจินนี่ ก็เมียวดีเค้าไม่มีความรู้เหมือนเรานี่น่า...ฮะๆ นึกแล้วว่าเธอต้องตอบแบบนี้ รู้มั้ยจ๊ะนมอะไรก็มีประโยชน์ทั้งนั้น ไม่งั้นเค้าจะรณรงค์ดื่มนมกันเหรอ”
เมียวดีงงๆ
“รณรงค์”
“เอ่อ...ขอโทษนะ คงยากไป สำหรับเธอ คือ...ชักชวนให้ดื่มนมเยอะๆ โตแล้วก็กินได้จ๊ะ”
คนเริ่มเข้ามาล้อมเยอะอัญชิสาเข้าหยิบตัวอย่างแก้วเล็ก ที่ใส่นมอยู่มาสองแก้ว ส่งให้ เมียวดีถือไว้ ไม่ยอมกิน
“นี่ไม่เชื่อกันเหรอ มาฉันกินให้ดูก่อนก็ได้”
อัญชิสายกขึ้นกินจนหมด ประมาณว่าบริสุทธิ์ใจ เมียวดีเลยกล้ากินแต่เธอพ่นทันที โดนหน้าจินนี่ไปเต็มๆจนนี่เตรียมกรี๊ดเมียวดีเบ้หน้า
“นมเสียแล้ว เปรี้ยว”
อัญชิสาแอบขยิบตาไม่ให้จินนี่ร้อง จินนี่เลยต้องกลั้นไว้ ง่วนหาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ด
“ไม่ได้บูด นะ...เค้าเรียกว่านมเปรี้ยวต่างหาก เป็นนมอีกอย่างหนึ่งนะดูซิ ไม่งั้นคนอื่น คงไม่มาต่อแถวลองชิมกันแบบนี้ ถ้าเธอไม่ชอบรสนี้ก็มีรสอื่นให้ชิมอีกนะ ไปซิลองดู”
“ไม่ต้องเสียตังค์เหรอ”
“ไม่ต้องจ๊ะ อันนี้เค้าให้ชมฟรี”
อัญชิสารีบดันหลังเมียวดี ให้เข้าไปในหมู่คนเมียวดีถูกเบียดไปมา เธอยังงงๆ อยู่ อัญชิสาถอยออกมา แอบดึงเข็มกลัด ที่ติดเสื้อออกมาเข้าไปยืนใกล้ ๆ ตัวแมสคอทที่ถือพวงลูกโป่ง ก่อนจะเอาแทงไปที่ลูกโป่ง เสียงลูกโป่งแตก โพล๊ะ! อัญชิสาก็ร้องโวยวายทันที
“ว๊าย...ระเบิด!”
เท่านั้นเอง ทุกคนที่รุมล้อมรับแจกนมอยู่ตกใจ กรีดร้อง
“กรี๊ด!”
ต่างพาวิ่งหนีกันไปทั่วอลหม่านกันไปใหญ่ เมียวดีซึ่งไม่รู้เรื่องตั้งตัวไม่ทันกับเหตุการณ์ ก็งงๆมองภาพผู้คนที่วิ่งหนีกันอลหม่านก่อนจะเริ่มจับได้ว่าเกิดอะไร เธอเห็นเด็กน้อย ร้องไห้อยู่เพราะหลงกับแม่เมียวดีรีบเข้าไปกอดไว้พาไปนั่งหลบ
อัญชิสากับจินนี่วิ่งมา ก่อนจะดึงจินนี่หยุด
“หยุดทำไม ไปต่อซิ แถวนี้ยังไม่พ้นรัศมีระเบิดเลยนะ”
“แค่นี้ก็พอแล้ว”
จินนี่ยังตกใจ
“บ้านะซิ จะรู้ได้ไงว่าไม่มีลูกต่อไป เราต้องออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุดรู้มั้ย ฉันยังไม่อยากนอนหน้าเละเป็นข่าวหน้าหนึ่งบนหนังสือพิมพ์ฉบับพรุ่งนี้หรอก”
จินนี่จะฉุดวิ่งต่อ
“ระเบิดลูกโป่ง คงไม่เท่าไหร่มั่ง”
จินนี่เริ่มเข้าใจ
“ฝีมือแกเหรอ ยายหวาน”
อัญชิสาหยิบเข็มกลัดให้ให้ดู ยิ้มเป็นนัย สองคนก็หัวเราะกับคิกคัก

เจ้าหน้าที่รีบเข้ามาเคลียร์ ร้องบอก
“แค่ลูกโป่งแตกครับ ไม่มีอะไร ไม่ใช่ระเบิด”
ผู้คนเริ่มหายตื่นตระหนก และแล้วก็กลับมาเดินกันเหมือนเดิม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมียวดีที่อยู่กับเด็กน้อย เริ่มปลอบเด็ก
“ไม่ต้องร้องนะ ไม่มีอะไรแล้ว ไม่ต้องกลัวนะ”
“แม่...ฮือๆ หนูจะหาแม่”
“อย่าร้องซิ...ดูนี่นะ”
เมียวดีพยายามทำหน้าตลกๆ เพื่อปลอบ เด็กค่อยๆ หยุดร้อง หันมามอง แม่เด็กวิ่งมาหาลูก
“ชมพู่!”
เด็กเห็นแม่รีบวิ่งไปหาทันที
“แม่!”
แม่เด็กมองเมียวดี หัวจรดเท้า เพราะเห็นการแต่งตัวก็ไม่ไว้ใจ ดุเมียวดีเสียงเขียว
“จะเอาลูกฉันไปไหน”
“เราไม่ได้เอาไปไหน เด็กร้องจะหาแม่”
“ไม่ต้องเข้ามา อย่ามายุ่งกับลูกฉันอีกนะ คอยดูนะจะแจงตำรวจจับให้หมด แค่แต่งตัวก็ดูรู้แล้ว...”
เมียวดีงงๆ ที่โดนด่าดูเสื้อผ้าตัวเองว่าแสดงตรงไหนว่าไม่ดี แม่เด็กรีบพาเด็กเดินออกไป พลางสั่งสอนลูก
“คราวหลังอย่าไปเที่ยวคุยกับคนแบบนี้อีกนะชมพู่ เดี๋ยวมันจับไปเป็นขอทานแม่ช่วยไม่ได้นะ”
เมียวดีเพิ่งเข้าใจว่าเขากลัวเธอเรื่องอะไร
“มองแค่หน้าก็รู้แล้วเหรอว่าเป็นคนไม่ดี”
เมียวดีส่ายหน้ากับความคิดของคนกรุงแล้วก็นึกขึ้นได้
“เฮ้ย แล้วคุณหวานล่ะ!”
เมียวดีเหลียวมองไปรอบๆแต่ไม่มี ทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิม เห็นคนเดินกันควักไขว่แต่เธออยู่คนเดียว ไม่รู้จะไปทางไหน

อัญชิสากับจินนี่เลือกเสื้อผ้าอยู่ใน ร้านเสื้อผ้า จินนี่มองซ้ายมองขวา
“แกหาอะไรอีกจินนี่”
“โอมายก็อต เราลืมนังเด็กคนป่านั้นไว้”
อัญชิสาเลือกเสื้อผ้าไปตามปกติ ไม่ตื่นเต้น
“ก็ทิ้งมันไว้ซักสามสี่ชั่วโมง ช้อปปิ้งให้เสร็จแล้วค่อยกลับไปดู หมั่นไส้นักต้องสั่งสอนมันให้รู้เสียบ้างว่าที่นี่ถิ่นใคร ใครคือนางพญาตัวจริง”
“แต่ว่า...ถ้าเกิดมันหายไปล่ะ”
“ก็ยิ่งดี คุณเผ่าจะได้ไม่ต้องเลี้ยงดูมันอีก กะอีแค่เด็กบ้านป่าที่เก็บมาเลี้ยง มีข้าวให้กินก็บุญแล้ว นี่ต้องดูแลยังกับ...”
อัญชิสานิ่งไม่พูดต่อ
“กับอะไร พูดต่อสิ...อย่าบอกนะว่าแกหึงนังเด็กนั้น ไหนว่าไม่สนไง แต่จะว่าไป มันก็หน้าตาดีนะ ผิวพรรณก็ดี จับมาแต่งตัวอีกหน่อยใช้ได้เลย”
อัญชิสามองหน้า จินนี่ก็เลยหยุดไป แล้วก็อดไม่ได้ต้องพูดอีก
“แล้วแกไม่กลัวคุณเผ่าเค้าจะว่าเหรอ ว่าแกทิ้งเด็กเค้า”
“ก็มันเป็นเรื่องฉุกเฉิน เกิดระเบิดขึ้นมา แกจะให้ฉันทำยังไงหรือถ้ามันเก่งนัก ก็ให้มันแกะรอยกลับบ้านเองก็แล้วกัน”
หวานเดินถือเสื้อเข้าไปห้องลองเสื้อ ไม่สนใจอีก

เมียวดีเดินสะเปะสะปะอยู่ในท่ามกลางผู้คน เธอก้มลงดูพื้นซีเมนถอนหายใจ
“ไม่มีพื้นดินให้เยียบเลย แล้วจะหารอยตีนได้ยังไง”
คนเดินผ่านไปมากระแทกเธอทำให้เธอต้องลุกขึ้น พยายามหาทิศทาง ช่วยตัวเอง...เมียวดีเดินมาถึงถนน รถราขวักไขว่เสียง ต่างๆ เสียงแตรรถดูหนวกหู ตึกระฟ้าที่เบียดเสียดขึ้นแข่งกัน...เมียวดีเดินมาที่ป้ายรถเมล์เหลียวหน้าเหลียวหลัง ร้อนก็ร้อน เห็นผู้หญิงอายุประมาณ 40 ดูเหมือนคนใจดีนั่งปะปนอยู่กับผู้คน มองเมียวดีอย่างสังเกต เมียวดีเดินเลยไป ผู้ชายคนหนึ่งข้ามถนนเมียวดีเห็นด้านหลังเหมือนทรงเผ่าก็ดีใจรีบเรียก
“นาย ๆ ๆ”
เมียวดีรีบข้ามถนนตามทันที แต่ไม่ดู รถวิ่งมาเบรคเอี๊ยด จังหวะเดียวกับหญิงคนนั้นที่ป้ายรถเมล์ ดึงเธอกลับมาบนฟุตบาท
“ระวัง! หนู”
คนขับรถยกนิ้วกลางให้ แล้วขับต่อไป เมียวดียังชะเง้อมองผู้ชายอีกฝั่งให้ชัด เห็นว่าไม่ใช่ทรงเผ่า
“ไม่ใช่นาย นี่”
“ใครเหรอหนู คนรู้จักเหรอ เวลาข้ามถนนต้องระวังหน่อยนะ”
เมียวดีหันมาดูหญิงตรงหน้า
“ขอบใจนะ”
“มาจากไหนเรา”
“บ้านนาย เราจะกลับบ้าน”
หญิงคนนั้นมองการแต่งตัวและเผ้าผมของเธอ
“ดูท่าทางคงไม่ใช่คนในเมืองใช่มั้ย หลงทางใช่มั้ยเนี่ย น่าสงสารจริงๆ”
เมียวดียังไม่ตอบ ระวังตัวอยู่
“น้าเห็นหนูแล้วก็คิดถึงตัวเอง สมัยเข้ากรุงเทพใหม่ๆรถรา ผู้คนโอ๊ย มันเยอะไปหมด อากาศก็ทั้งร้อนทั้งอบ ไม่เหมือนตอนอยู่บ้านนอก ตื่นเช้าขึ้นมาหายใจโล่งอก”
เมียวดีค่อยคลายความระแวง
“ใช่...บ้านน้าอยู่ไหน”
“อยู่สุพรรณ ทางสามชุกนั้นแหละ แต่พอหมดหน้านาก็ต้องเข้ามาหางานในกรุงเทพ ดูซิเหงื่อเต็มเชียว ร้อนมากใช่มั้ย”
หญิงกุลีกุจอ ค้นกระเป๋าหยิบขวดน้ำเล็กๆให้
“เอาๆกินเสีย”
เมียวดีรับมากินแค่จิบเดียว หญิงคนนั้นยิ้มรับ
“อ้าวแล้วทำไมล่ะกินเยอะๆล่ะ กินให้หมดขวดก็ได้ไม่ต้องเกรงใจ”
“เหนื่อยๆ แค่จิบก็พอ กินเยอะเดี๋ยวไม่สบาย คนในเมืองก็มีน้ำใจเหมือนกันนะ”
เมียวดียื่นขวดน้ำส่งให้ทันใดนั้นขวดน้ำหล่นตกพื้น เมียวดีสลบ หญิงคนนั้นเช้าไปประคองทันที
รถตู้เข้ามาจอด ประตูรถเปิดออก หญิงคนนั้นประคองเมียวดีที่สลบอยู่ โยนขึ้นไปในรถตู้ซึ่งมี ผู้หญิงวัยรุ่นอยู่ในรถ ถูกมันมือมัดเท้า อัดกันอยู่ในรถ หญิงคนนั้นหันไปสั่งคนขับ
“เฮ้ยออกรถซิว่ะ รอพ่อเอ็งมาสอยหรือไง”
รถตู้ปิดประตูขับกระชากออกไป

เย็นนั้น ทรงเผ่าเริ่มชะเง้อมองหน้าบ้าน ซึ่งเหมือนกันกับ บัวคลี่และทนง
“เย็นแล้วทำไม คุณหวานกับเมียวดียังไม่มาอีกก็ไม่รู้นะครับ” ทรงเผ่าถามอย่างกังวลใจ
“ก็คงช็อปปิ้งกันเพลินประสาผู้หญิง นั้นแหละค่ะ”
ทนงขำๆ
“หรือไม่เจ้าเหมียวมันก็ออกฤทธิ์จนหนูหวานเป็นลมไปแล้ว”
บัวคลี่หน้าตื่น
“นั้นซิค่ะ ดิฉันก็หวั่นใจเหลือเกิน คุณหวานจะเจอฤทธิ์เดชยายเหมียวเข้าไป จะถอดใจจนไม่กล้าพาไปไหนอีก”
“ก็ ถ้าหนูหวานใจเสาะขนาดนั้น ต่อไปจะคุมเจ้าเหมียวไหวได้ยังไง เอาไงดีล่ะที่นี้ ฮึ...เจ้าเผ่า หรือว่า หาคนคุมคนใหม่ดี”
ทรงเผ่ารับมุกต่อ
“อืม...ก็น่าสนใจนะครับพ่อ ผมจะรับหลักการของพ่อไว้พิจารณาก็แล้วกัน”
สองคนพ่อลูกหัวเราะกันขำๆ บัวคลี่มองอย่างไม่ชอบใจ ยกมือไหว้ทนง
“ขอโทษนะคะ คุณพี่...นี่แน่ะ...”
บัวคลี่ตีเพี้ยะเข้าให้ ไม่ได้จริงจัง
“โอ๊ย อะไรกันคุณ”
“ก็คุณพี่นะมายุคุณเผ่าทำไมล่ะคะ” บัวคลี่หันไปหาทรงเผ่า “หนูหวานนี่แหละค่ะ น่ารักที่สุดแล้ว คุณเผ่าอย่าไปเชื่อคุณพ่อนะคะ หาทางมีใหม่อยู่เรื่อย”
ทรงเผ่ากับทนงยิ้มขำกัน ทนงหันไปอ้อนบัวคลี่
“ผมนะแก่แล้ว คงตายอยู่ในอ้อมอกคุณนี่แหละ ไม่มีใหม่อีกแล้วล่ะ”
บัวคลี่ยิ้มออก วงศ์เข้ามา
“คุณหวานมาแล้วค่ะ”
อัญชิสามาถึง ก็พุ่งเข้ากอดทรงเผ่า
“คุณเผ่า ฮือๆๆ”
ทนงงง มองหน้ากับบัวคลี่ จินนี่รีบยกมือไหว้ บอกทนง
“ยายเด็กคนป่า...เอ๊ย เมียวดีหายไปค่ะ!”

ค่ำนั้น...รถตู้เลี้ยวเข้าจอดที่ปั้ม หญิงคนนั้นโวยวาย
“จอดทำไมวะ ทางโน้นเค้ารอรับของอยู่นะโว้ย”
“ขอเข้าห้องน้ำหน่อย...ไม่เสียเวลาเท่าไหร่หรอกน่า”
ชายคนขับรถลงไปเตร็ดเตร่ สักครู่รถกระบะมาจอด ชายคนขับรีบขึ้นรถไป หญิงคนนั้นมองดูอยู่
“โธ่เอ่ย...ทำเป็นปวดขี้ปวดเยี่ยว ที่แท้ก็แวะซื้อยา”
ชายคนขับรับยาบ้าใส่ในกระเป๋า
“ขอบใจนะพี่ ถ้าไม่ได้ของ คงไม่มีแรงขับรวดเดียวถึงชายแดน”
ส่วยเป็นคนเอายามาส่งใส่หมวกบังไว้
“ขาดเมื่อไรก็โทรมาแล้วกัน แล้วของเอ็งล่ะ เที่ยวนี้แจ่มมั้ยวะ”
“ใช้ได้เลย พี่ ขาวๆ อวบๆ ทั้งนั้น แถมเพิ่งตกมาได้เพิ่มอีกคน พี่จะเก็บไว้ลองก่อนซักคนก็ได้นะ เดี๋ยวค่อยเอาไปส่งงวดหน้าก็ได้”
“จะดีเหรอ”
ส่วยคิดๆเริ่มหื่น ลูบคาง
“คนกันเอง สบายพี่”
ส่วยยิ้มอย่างถูกใจ

ส่วยเปิดประตูรถตู้ขึ้นมา ผู้หญิงบนรถต่างตกใจ ขยับตัวหนี เมื่อส่วยเข้ามาบีบแก้มดูหน้าตา หญิงที่คุมเด็กมาโวยวาย
“เฮ้ย อะไรว่ะ”
“ให้พี่เค้าเลือกเด็กไปกก ซักคนน่า”
ส่วย ชะงักเมื่อเห็นเมียวดี นอนสลบอยู่ เขาจำได้
“เอ็งเอาอีนี่มาจากไหน!”

อั๋นในชุดกีฬาถือกระเป๋าเข้ามาในสปอร์ตคลับ ผู้หญิงสองคน ใส่ชุดรัดรูปเดินผ่านคุยกันไป อั๋นถึงกับชะงักต้องแอบเหลือบมองบันท้ายแสกนอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยวมีคลาสโยคะ เข้าคลาสนี้ดีกว่านะ ปุ๊กกี้”
“ดีๆเอาซิ”
หญิงสองคนเดินผ่านไป อั๋นแอบ ว๊าว!
“ผมก็ชอบโยคะ เหมือนกันครับปุ๊กกี้”
อั๋นยักคิ้วกับตัวเอง มีแผนทันที

ทรงเผ่าคุยโทรศัพท์อยู่ด้านนอกบ้าน บัวคลี่ปลอบใจอัญชิสาโดยมีจินนี่นั่งอยู่ข้างๆ
“เป็นความผิดของหวานเอง ที่ดูแลแกไม่ดี หวานน่าจะจับมือแกไว้ให้แน่นกว่านี้”
จินนี่รีบเสริม
“โธ่ หวาน ตอนนั้นนะทุกคนต่างเอาตัวรอด หวานเอง ก็โดนคนวิ่งมาชนจนล้มไปเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”
บัวคลี่เห็นใจ
“ตายจริง โถ แม่คุณ”
ทรงเผ่าเดินกลับเข้ามา ทนงรีบถาม
“ได้เรื่องยังไงบ้าง อั๋นว่าไง ขอกำลังตำรวจออกช่วยตามได้มั้ย”
“ยังติดต่อเจ้าอั๋นไม่ได้เลยครับ ไม่รู้มันหายหัวไปอยู่ที่ไหน”

ในห้องโยคะ...อั๋นเป็นผู้ชายคนเดียว อยู่ท่ามกลางสาวๆ ครูสอนไปเรื่อยๆ อั๋นตื่นตาตื่นใจ ไม่มีสมาธิ มองไปทั่วเห็นสาวๆใส่ชุดโยคะ
“จดจ่ออยู่กับตัวเอง และลมหายใจเข้าและออก” ครูสอน
อั๋นหายใจเข้าอย่างกรุ่มกริ่มมีความสุขมองซ้ายที ขวาที กับหุ่นของสาวๆ
“หายใจเข้าค่อย ๆ ยกขาขึ้นช้า”
ครูสอนให้ทำท่าต้นไม้ยืนขาเดียวยกมือขึ้นประกบกันเหนือศีรษะ อั๋นทำไปก็สอดส่ายสายตามองหาปุ๊กกี้ที่เป็นเป้าหมาย ก่อนจะกระโดดเขยกไปยืนใกล้ แล้วชวนคุย
“ขอฝึกตรงนี้นะครับ ตรงนั้นมองไม่ค่อยเห็น”
ปุ๊กกี้ หันมามองยิ้มให้ตามมารยาท อั๋นได้ที ชวนคุยต่อแบบเบาๆ
“ผมอั๋นครับ ท่านี้ยากจังนะครับ คุณเอ่อ ปุ๊กกี๊ใช่มั้ยครับ ผมได้ยินเพื่อนคุณเรียก”
ปุ๊กกี้เอามือลงหันมายิ้มให้ เสียงดังชัดเจน
“มีอะไรสงสัย ถามครูดีมั้ยคะ”
ทุกคนในห้องรวมทั้งครูหันมาดูอั๋นเป็นตาเดียว

อั๋นถอยหลังออกมาจากห้องโยคะ ขอโทษขอโพยใหญ่
“ขอโทษครับ ขอโทษจริงๆครับ”
ขาดคำประตูปิดใส่หน้าเขาทันที

สาทิศกำลังไดกอล์ฟอยู่กับ ผู้ใหญ่ในสนามกอล์ฟ
“โอ้โห้ คนหนุ่มนี้แรงดี เหลือเกินนะ วงสวิงก็สวย แบบนี้ต้องไปออกรอบด้วยกันหน่อยแล้ว” ผู้ใหญ่ชม
สาทิศยิ้มแย้ม
“ผมยังต้องเรียนรู้อีกเยอะ แต่เป็นเกียรติมากครับที่ท่านเอ่ยปากชวน”
ลูกน้องสาทิศเข้ามากระซิบบอกบางอย่าง
“ขอตัวซักครู่นะครับท่าน พอดีผมมีด่วน ต้องจัดการนิดหน่อย”
“ตามสบายเลย”
“ขอบคุณครับ อ๋อ...ได้ข่าว ว่าลูกสาวท่านเพิ่งเรียนจบ ขอแสดงความยินดีด้วยครับ”
ลูกน้องยื่นกล่องของขวัญให้ สาทิศรับมาส่งให้ ท่านแง้มฝากล่องดูเห็นเงินวางเรียงกันอยู่เต็มกล่อง
“ไม่น่าลำบากเลย”
“ของขวัญเล็กๆน้อยๆ เท่านั้นเองครับ”
สาทิศก้มหัวเชิงลา แล้วเดินออกไปพร้อมลูกน้องหน้าตาเครียด ตรงไปยังห้องน้ำชาย ทั้งสองเดินมาถึงหน้าห้องน้ำมองซ้ายมองขวาว่าปลอดคนหรือเปล่า
“คุมให้ดี อย่าให้ใครเข้าไป”

ลูกน้องเปิดประตูให้สาทิศเข้าไปแล้วยืนคุมอยู่หน้าห้องน้ำ

อ่านต่อตอนที่ 10 พรุ่งนี้

แก้วกลางดง ตอนที่ 10

สาทิศมองเมียวดีที่ยังสลบอยู่ในห้องน้ำ

“แกไปเจอมันที่ไหน” สาทิศถาม
“พวกแกงค์ส่งผู้หญิงขายชายแดน เจอมันเดินอยู่ริมถนน เลยสอยตัวมันมา” ส่วยเล่า
สาทิศนิ่งคิด
“ฉันคิดว่ามันคงแกล้งให้โดนจับมากกว่า แล้วคอยส่งข่าวให้ตำรวจรวบแกงค์พวกนั้น อีนี่มันร้ายจริงๆ”
“ไอ้พวกนั้นมันไม่ดูตาม้าตาเรือเสียเลย เกือบซวยแล้วมั้ยล่ะ” ส่วยกังวล
“แบบนี้ ก็แสดงว่ามันคงเป็นสายให้ตำรวจจริงๆ เรื่องโรงงานของเรามันคงตามสืบมานาน ไม่ใช่ไปเจอโดนบังเอิญอย่างที่มันให้ข่าว”
ส่วยชักปืนออกมา เล็งไปที่เมียวดี
“งั้นจะเอามันไว้ทำไมอีกล่ะนาย”

อั๋นเดินมาที่ห้องน้ำ ลูกน้องเห็นอั๋นเดินมา พยักหน้าให้อีกคนเข้าไปบอกสาทิศในห้องน้ำ
“มีคนมาครับ นาย” ลูกน้องเข้ามาบอก
สาทิศปัดปืน
“เอ็งจะทำบ้าอะไร เสือกยิงตรงนี้ คนได้แห่กันมาหรอก เก็บปืนไว้ก่อน”
“แต่ว่า...”
ส่วยลังเล
“ฉันบอกให้เก็บไปก่อนไง ทำอะไรอย่าบุ่มบ่ามนักเดี๋ยวได้ซวยกันไปหมดหรอก”
“มันจะรู้สึกตัวแล้วนะนาย”
หนังตาเมียวดีเหมือนค่อยๆกระตุก พยายามจะลืมแต่ลืมไม่ขึ้น

ลูกน้องเดินมาดักไม่ให้อั๋นเข้าห้องน้ำ อั๋นจะไปซ้ายก็ดักซ้าย อั๋นจะไปขวาก็ดักขวา อั๋นมองหน้า
“เฮ้ย เอาไงวะ”
ลูกน้องตวาด
“ห้องน้ำไม่ว่าง ไปเข้าที่อื่น”
“อ้าว ห้องน้ำนี่ของพี่เหรอครับ แหมใหญ่จริงๆ แล้วถ้าผม” อั๋นตะโกนใส่บ้าง “เป็นตำรวจเนี่ย จะเข้าไปฉี่จะได้มั้ยครับ”
สาทิศมองหน้ากันกับส่วย ตกใจที่ได้ยินคำว่าตำรวจ
“ตำรวจมา!”
ลูกน้องถอยไม่กล้า อั๋นผลักประตูเข้าไปเห็นสาทิศประคองเมียวดีอยู่ ลูกน้องเหมือนโดนต่อยตัวงอหมอบอยู่อีกมุม ส่วยไม่ในนั้นอยู่แล้ว สาทิศเขย่าตัวเมียวดี
“หนูๆ”
สาทิศทำเป็นหันไปเจออั๋น จำกันได้
“อ้าว คุณ!”
“หมวด! มาได้จังหวะเลย”
“นี่เกิดอะไรขึ้น”
“ผมกับลูกน้องเข้ามาเจอหนูคนนี้สลบอยู่ มีคนกำลังคิดจะทำ...เอ่อ ไม่ดีกับแก”
“แล้วคนร้ายล่ะ”
“มันหนีไปทางนั้นแล้ว”
สาทิศชี้ไปทางช่องหน้าต่างเล็กๆ ที่ระบายอากาศในห้องน้ำ อั้นเข้าไปดูแต่ไม่เห็นอะไร ส่วยนั่งนิ่งแอบอยู่บนโถชักโครกในห้องน้ำ เมียวดีรู้สึกตัวดี เห็นหน้าสาทิศชัด
“เป็นไงบ้างหนู ฟื้นแล้วเหรอ”
โดยสัญชาตญาณเมียวดีรีบผงะหลบ อั๋นรีบเข้าไปดูเห็นว่าเป็นเมียวดี
“เมียวดี”
“หมวด!” เมียวดีดีใจมากที่เห็นอั๋น

ทรงเผ่าเดินมาที่รถ ทุกคนตามมา บัวคลี่ถามอย่างกังวล
“คุณเผ่าจะไปตามยายเหมียวที่ไหนค่ะ”
“ไม่ทราบเหมือนกันครับ แต่คิดว่าจะขับรถหาดู ก่อนที่แกจะหลงไปไหนต่อไหน”
ฟ้าลั่นวิ่งมากับเชอรี่
“นาย! อีเมียวหายเหรอนาย ขอฟ้าลั่นไปตามมันด้วยนะ”
บัวคลี่รีบห้าม
“เรารอฟังข่าวอยู่ทางนี้ดีกว่ามั่ง ไปก็คงช่วยไม่ได้หรอก เรารู้จักกรุงเทพซะที่ไหน”
“ถึงฟ้าลั่นจะไม่รู้จักป่าของนาย แต่อีเมียวมันเป็นเพื่อนฟ้าลั่น มันหายไป ฟ้าลั่นก็ต้องออกตาม”
ทนงเข้าใจความรู้สึกของฟ้าลั่น
“เออ มันต้องแบบนี้ซิ ถึงจะเป็นเพื่อนกันจริง ให้มันไปด้วยเถอะเจ้าเผ่า”
จินนี่เข้ามาแทรก
“เดี๋ยวนะคะ เราจะตื่นตูมมากไปหรือเปล่า ไหนว่า เด็กนั้นนะเป็นพรานเก่งมากไม่ใช่เหรอค่ะ งั้นแกก็น่าจะหาทางกลับมาเอง บ้านคุณเผ่าหาง่ายจะตาย”
ทุกคนอึ้งไป ทนงเลยตอบเรียบๆ
“ป่ากับเมืองมันไม่เหมือนกันหรอกหนู”
จินนี่เหยียดปากหยาม
“อุ๊ย...งั้นก็ไม่เก่งจริงนะซิคะ แค่ราคาคุย”
ทรงเผ่าชักฉุน
“เอางี้มั้ยครับ กลับกัน ผมจะปล่อยคุณจินนี่ไปไว้กลางป่าคนเดียวบ้าง คุณคิดว่าคุณจะหาทางออกมาได้หรือเปล่า”
ฟ้าลั่นทนไม่ไหว
“โอ๊ย...เดินไม่เกินสิบก้าว ก็ตกหลุมขวางแทงตายแล้วนาย แต่ถ้าโชคดีไม่ตกก็เจอไอ้ลายคาบไปกินตั้งแต่ย่างลงป่าเหมือนกัน”
จินนี่ได้แต่ถลึงตา หมั่นไส้ แต่ไม่กล้าว่าอะไร เชอรี่รีบเตือนฟ้าลั่น
“พี่ฟ้าลั่น! ว่าคุณเค้าทำไม เค้าเป็นเพื่อนคุณหวานนะ”
“พี่ฟ้าพูดเรื่องจริง อีเมียวก็เหมือนกัน ถ้าอยู่ในป่านะ คนอย่างมันปิดตาเดินยังได้เลย”
ทรงเผ่ากังวลใจ
“เมียวดีไม่คุ้นกับเมือง ก็เหมือนกับเราที่ไม่คุ้นกับป่าของแกนั้นแหละ”
อัญชิสาหมั่นไส้ แต่ต้องทำหวานต่อ
“น่าปลื้มใจแทนเมียวดีนะคะ ที่มีแต่คนเป็นห่วงเป็นใย งั้นหวานขอไปด้วยนะคะคุณเผ่า เพราะหวานก็มีส่วนต้องรับผิดชอบเรื่องนี้เหมือนกัน”
บัวคลี่ซาบซึ้งในน้ำใจของอัญชิสามาก ทรงเผ่าพยักหน้าอัญชิสาขึ้นรถ ขณะเดียวกันโทรศัพท์ทรงเผ่าดังขึ้นเขาหยิบขึ้นดู
“เจ้าอั๋นโทรกลับมาแล้วครับ”
ทุกคนตื่นเต้น

อั๋นพาเมียวดีมานั่งพักที่สปอร์ตคลับ ทรงเผ่าเดินเข้ามาอย่างร้อนใจ ตามมาด้วยอัญชิสา ฟ้าลั่น เมียวดีดีใจ
“นาย”
ทรงเผ่าเองก็ดีใจรีบเดินเข้าไป แต่ฟ้าลั่นถลาเข้ามาหาเมียวดีก่อนใคร
“อีเมียว!”
ฟ้าลั่นตรงเข้าอ้าแขนถลาจะกอด เมียวดียกเท้าขึ้นห้าม
“ถ้าเข้ามา ข้าถีบจริงๆนะโว้ย”
ฟ้าลั่นชะงัก
“อ้าวอีเมียว ทำไมทำหมาๆ แบบนี้ล่ะ ข้าอุตส่าห์เป็นห่วงเอ็ง ขอนายตามมาด้วย”
“ห่วงก็ส่วนห่วงข้าซึ้งน้ำใจเอ็ง แต่ห้ามกอดโว้ย”
ทรงเผ่าดีใจแต่ทำได้แค่จ้องหน้าเมียวดี
“เธอปลอดภัยดีนะเมียวดี”
เมียวดีมองหน้าเขายิ้มให้อย่างสดใส
“ฮือ...เราดีใจที่ได้เจอนายอีก”
“ฉันก็เหมือนกัน”
ทรงเผ่าจับหัวเมียวดี อัญชิสายืนมองอยู่ รู้สึกขวางตา
“โถ...น่าสงสารเหลือเกิน ขวัญเอ๋ยขวัญมา ไม่เป็นไรแล้วนะจ๊ะ นี่คงตกใจมากซินะ ทำไมถึงไม่รอฉันอยู่ที่เดิมล่ะ ฉันกลับไปหาเธอตั้งหลายรอบนะ แต่ก็ไม่เจอ”
“เรารออยู่จนเกือบค่ำแต่ไม่เห็น...ถึงออกเดิน”
อัญชิสาแอบหลบตา
“แหมลานก็มีอยู่แค่นั้นเอง หากันไม่เจอได้ยังไง แต่พอรู้ว่าเธอหายไปฉันก็เป็นห่วงเธอมากนะรู้มั้ย”
“คนในเมืองไว้ใจไม่ได้”
อัญชิสาสะดุ้งเหมือนเมียวดีด่าตัวเอง
“ถ้าไม่กินน้ำนั้น เราคงหาทางกลับได้”
ทรงเผ่าหันไปหาอั๋นอย่างสงสัย
“น้ำอะไร”
“เท่าที่สอบถามดู เมียวดีคงถูกหลอกให้กินยาสลบที่ผสมในน้ำ”
อัญชิสาทำหน้าตื่นเต้น
“อุ๊ย...ที่เค้าเรียกกันว่ายาเสียสาวใช่มั้ยค่ะ หวานเคยได้ยินในข่าว มีผู้หญิงโดนยาแบบนี้ สลบไปไม่รู้เรื่อง ตื่นมาอีกที ก็รู้แค่ว่าตัวเองโดนข่มขื่น แล้วก็โดนถ่ายรูปแบล็คเมล์ไว้”
ฟ้าลั่นสงสารเมียวดีโวยทันทีด้วยความโกรธ
“พวกมันต้องเอาผ้านุ่งมาใส่หัวถึงทำแบบนั้นได้ ผู้ชายแท้ๆ ไม่ทำแบบนั้นหรอก”
“ตายแล้ว แล้วที่บอกว่าปลอดภัย...” อัญชิสาทิ้งให้คิดเอง
อั๋นเซ็งๆ
“เอ่อ...คุณหวานครับ เมียวดีโชคดีครับ ไม่ได้โชคร้ายแบบนั้น เพราะมีคนเจอแล้วก็ช่วยไว้เสียก่อน”
“แน่ใจเหรอคะ แล้วคนช่วยนะเชื่อถือได้แค่ไหน”
สาทิศเดินเข้ามา
“อ้าว อยู่กันพร้อมหน้าเลย”
ทรงเผ่าแปลกใจ
“คุณสาทิศ!”
สาทิศยิ้มให้
“คุณทรงเผ่า เจอกันอีกแล้วนะครับ นี่ คุณหวานก็มาด้วยเหรอครับ”
อัญชิสา ทรงเผ่า อั๋น กระอักกระอ่วน เมียวดีสังเกตอาการ อั๋นหันไปแนะนำ
“นี่ไงครับ คุณสาทิศ เป็นคนช่วยเมียวดีไว้”

วันใหม่...เมื่ออยู่กันสองคนฟ้าลั่นกระซิบบอกเรื่องราวกับเชอรี่ ทำให้เชอรี่ตกใจมาก
“คุณหวานมีชู้!”
“อย่าเสียงดังซิน้องเชอรี่”
เชอรี่พยักหน้ารับ ฟ้าลั่นเมาท์ต่อ
“แล้วรู้มั้ยชู้คุณหวานคือคนที่ช่วยอีเมียวไว้”
“โลกกลมจริงๆ โอ๊ยๆ ตื่นเต้นๆ แล้วคุณเผ่ารู้มั้ยพี่”
“รู้...หมวดเพื่อนนายก็รู้ ขนาดอีเมียวมันยังรู้แต่มันไม่ยอมพูด”
“โห แบบนี้ใช้ไม่ได้นะ ไหนว่าเป็นเพื่อนกัน รู้อะไรแล้วทำไมไม่เล่าให้ฟัง ยิ่งเรื่องแซ่บๆ แบบนี้ยิ่งต้องเล่าเลยล่ะ แต่ เดี๋ยว คุณหวานยังไม่ได้แต่งงานกับคุณเผ่า จะเรียกชู้ได้ยังไง”
“อ้าว...ก็น้องเชอรี่บอกไม่ใช่เหรอ ว่าคุณหวานจะมาเป็นเมียนาย”
เชอรี่เถียงไม่ถูกเลยมั่วไป
“นั้นแหละแต่คำว่าชู้มันดูรุนแรงไป ที่นี่เค้าเรียกกิ๊กต่างหาก”
ฟ้าลั่นงงๆ
“กิ๊กเหรอ ฟังดูจั๊กกะจี้นะน้องเชอรี่ คำเรียกก็ดูน่ารัก น่าเอ็นดู เหมือนไม่ใช่เรื่องสำคัญ”
“แน่นอน! โดยเฉพาะคนในเมืองสมัยนี้การคบผู้ชายซ้อนกันเป็นเรื่องธรรมดามาก”
“งั้นเหรอ แถวบ้านพี่ฟ้า มีแต่ผู้ชายที่มีเมียได้หลายคน แต่ถ้าผู้หญิงมากผัว หลายใจ เค้าเรียก อีร่าน”
ฟ้าลั่นพูดใส่หน้าเชอรี่เต็มๆ เชอรี่ตาเขียวใส่
“คำว่าร่านนี้ หันไปทางอื่นได้มั้ยพี่ฟ้า! ไม่ต้องหันทางนี้...เอ๊ะๆ เดี๋ยวนะ ในเมื่อ ยายเหมียวไม่บอก แล้วพี่รู้ได้ยังไง”
“โอ๊ย...น้องเชอรี่ คนอย่างพี่ฟ้าลั่น ไม่ต้องมีใครมาบอก มองเอาก็รู้”
ฟ้าลั่นนึกถึงเรื่องราวเมื่อคืนนี้ที่สปอร์ตคลับ สาทิศถามทรงเผ่าเรียบๆ
“บังเอิญจังนะครับ...เด็กเมียวดี เป็นเด็กคุณทรงเผ่าเหรอครับ”
“ใช่ครับ...โลกนี้มันช่างมีเรื่องบังเอิญอย่างไม่น่าเชื่ออยู่เสมอ แต่ยังไงก็ขอบคุณคุณสาทิศมากนะครับ ที่ช่วยเมียวดีไว้”
“เรื่องเล็กน้อย ครับ อ๋อ...ผมนึกออกแล้ว ผมเคยเห็นในข่าว เด็กคนนี้หรือเปล่าครับที่เป็นข่าวโด่งดังพร้อมกับคุณเผ่า ตัวเล็กๆแบบนี้ไม่น่าเชื่อ ว่าจะกล้านำทางไปจับคนร้ายได้”
สาทิศหันไปยิ้มกับเมียวดี แต่เมียวดีไม่ค่อยชอบ
“คนเราไม่ควรดูกันแค่ภายนอกไม่ใช่เหรอครับ ถึงจะเป็นเด็กผู้หญิง แต่เมียวดีก็เป็นพรานป่าที่เก่งทีเดียว”
“อืม...วันหลังสงสัย จะต้องชวนคุณเผ่า กับหนูคนนี้ไปเที่ยวป่ากันบ้าง ผมเองก็ชอบล่าสัตว์เล่นเหมือนกัน”
เมียวดีขยับอ้าปากจะพูดเพราะไม่ชอบใจเหมือนกัน แต่อั๋นสะกิดห้ามไว้
“ขอโทษนะครับ ผมไม่ได้เข้าป่าเพื่อไปล่าสัตว์เล่น ผมไปเพื่อทำงาน” ทรงเผ่าพูดเรียบนิ่ง
บรรยากาศมาคุ สองคนพูดจาสุภาพ แต่ไม่ถูกกันในที อัญชิสารีบแทรกขึ้น
“คุณเผ่าเป็นช่างภาพอิสระ ถ่ายรูปให้กับนิตยสารต่างประเทศนะคะ”
“โอ้เหรอครับ ไม่เห็นคุณหวานเคยเล่าให้ฟัง ทั้งๆที่ปกติเราก็คุยกันเกือบทุกเรื่อง แต่ยิ่งรู้แบบนี้ ชักอยากเห็นฝีมือ ถ่ายรูปของคุณเผ่าเสียแล้ว ฮะๆ”
“ยินดีครับ ถ้ามีโอกาส”
อั๋นแอบกระซิบกับเมียวดี
“ถ้าฉันเป็นพี่เผ่า ฉันต่อยหน้ามันไปแล้ว ฟังเสียงมันหัวเราะซิ เยาะเย้ยกันชัดๆ”
“ต่อยทำไมล่ะหมวด”
“อ้าว ก็เจ้านี้ไง ที่คุณหวานควงออกงานวันก่อน ที่ฉันเคยเล่าให้เธอฟังไง”
เมียวดีพยักหน้ารับเข้าใจแล้ว ฟ้าลั่น ยืนอยู่ข้างหลังเงี่ยหูฟังเมียวดีกับอั๋นเมาท์อีกทีตาโต

เมื่อฟังจบ เชอรี่ยันป้าบเข้าให้ที่หลังฟ้าลั่น
“โธ่เอย ที่แท้ก็ไปแอบฟังขี้ปากเค้ามา”
“แต่มันก็เป็นเรื่องจริงน่าจริงๆแล้ว พี่ฟ้าก็ไม่อยากเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังหรอก เพราะถ้าอีเมียวมันรู้ว่าพี่ฟ้าพูดมาก มันต้องเอาเรื่องพี่ฟ้าแน่ แต่พี่ฟ้าเห็นว่าเป็นน้องเชอรี่ คนสวยของพี่ฟ้า เราสองคนไม่ควรมีความลับต่อกัน”
“พี่ฟ้าทำถูกแล้วจ๊ะ เพราะเชอรี่นี่แหละคือคนที่เก็บความลับได้ดีที่สุด ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้เชอรี่ไม่บอกใครแน่นอน”

เมื่อแยกจากฟ้าลั่น เชอรี่เมาท์ให้วงศ์ฟังอย่างเมาท์มันอยู่ในครัว
“นี่เป็นความลับเลยนะคะ คุณแม่บ้าน พี่ฟ้าลั่นย้ำหนักย้ำหนาไม่ให้เชอรี่บอกใครเด็ดขาด”
“แล้วเธอมาเล่าให้ฉันฟังทำไม”
“แหม...คุณแม่บ้านอ่ะ เชอรี่ก็ไม่ได้ไปเมาท์ที่ไหนนี่ค่ะ เชอรี่เห็นคุณแม่บ้านรักคุณเผ่ามาก ถึงมาบอก แต่บอกตามตรงนะคะ ยังไงเชอรี่ก็คิดว่าคุณหวานเธอไม่ได้ผิดอะไร เป็นคนสวยก็ต้องเสน่ห์แรงเป็นธรรมดา คุณเผ่าของเราต่างหากที่ต้องเร่งเครื่อง ใส่เกียร์เดินหน้า ก่อนที่จะโดนคนอื่นคาบไปกิน”
บัวคลี่เข้ามา
“ถูกต้อง ฉันเห็นด้วยกับเธอเชอรี่”
“อุ๊ย...คุณบัวคลี่”
“ไหนเล่าเรื่องทั้งหมดโดยละเอียดให้ฉันฟังอีกซิ”
“แต่ว่า เชอรี่รับปากพี่ฟ้าลั่นไว้แล้ว ว่าจะเก็บไว้เป็นความลับ” เชอรี่ส่ายหน้า “เชอรี่ต้องรักษาสัญญาค่ะ”
“หมั่นไส้ เรื่องมากนักไม่พูดก็ไม่ต้องพูด งั้นฉันจะไปถามคุณเผ่าเองก็ได้จะได้สิ้นเรื่องสิ้นราวไป ฟังเรื่องจริงไปเลย ไม่ใช่แค่ข่าวเมาท์”
“ไม่ได้นะคะ เรื่องแบบนี้ผู้ชายเค้าไม่พูดกันหรอกค่ะ มันเสียหน้า”
วงศ์เห็นด้วยในข้อนี้
“เชอรี่พูดก็ถูกนะคะคุณบัวคลี่ แล้วยิ่งนิสัยคุณเผ่านะ ยิ่งไปไล่ก็จะยิ่งหนี พูดจริงๆ ถ้าผู้หญิงเราหนักแน่น ใครก็เข้ามาวอแวไม่ได้หรอกค่ะ”
บัวคลี่คิดหนักแล้วก็ตัดสินใจ
“งั้นฉันคงต้องไปพูดกับหนูหวานเองซินะ”

เมียวดีนั่งอยู่บนต้นไม้ ทรงเผ่าเดินเข้ามาหา
“คิดแล้วว่าต้องอยู่ตรงนี้ หาเสียรอบบ้านไม่เห็น”
“หาทำไมเหรอนาย”
“ฉันมีของมาให้ ลงมาก่อนซิ ขี้เกียจแหงนคอพูดด้วย เมียวดียอมกระโดดลงมา ทรงเผ่ายื่นโทรศัพท์มือถือให้
“เอาไว้ทำอะไรเหรอนาย”
“คราวหลังเวลาหลงทางอีก เธอจะได้โทรกลับมาหาฉันได้ไง ฉันนี่ก็แย่จริง ไม่ได้สอนให้เธอใช้โทรศัทพ์ ทั้งๆที่ตอนนี้ โทรศัพท์เป็นปัจจัยที่ 5 ของคนเมืองไปแล้ว นี่กดตรงนี้นะ”
เมียวดีไม่ได้สนใจดู กลับบ่น
“ตอนนี้ เราได้รู้จักป่าของนายขึ้นมาอีกหน่อย ถึงจะไม่มีไอ้แมวยักษ์แต่ป่าของนายก็มีสิ่งน่ากลัวเหมือนกันนะ”
“คนอย่างเมียวดีกลัวด้วยเหรอ”
“เราไม่ได้กลัว แต่ต่อไปเราควรรู้จักระวังตัว นายรู้มั้ย นอกจากผู้หญิงที่ดูเหมือนใจดีเอาน้ำใส่ยาให้เรากิน มีผู้หญิงคนหนึ่งบอกว่าเราเป็นคนร้าย เพราะเราแต่งตัวไม่ดี ตกลงคนดีคือคนร้าย คนร้ายคือคนดี อย่างงั้นใช่มั้ยนาย”
“มันก็ไม่เสมอไปหรอก”
“แต่บางคน แค่เห็นหน้าเราก็รู้ว่าคือคนร้าย อย่าง...เพื่อนคุณหวานคนนั้น”
“เธอรู้ได้ยังไง”
“บางอย่างมันก็อธิบายไม่ได้หรอก แต่เรารู้ก็แล้วกันน่า นายน่าจะเตือนคุณหวานบ้างนะ”
“รู้สึกอย่างเดียวกับฉันเป๊ะเลย”
เมียวดีมองหน้า ทรงเผ่ารีบอธิบาย
“เฮ้ย...ไม่ใช่เพราะเค้ามาจีบคุณหวานหรอกนะ ฉันถึงไม่ชอบหน้า แต่...มันบอกไม่ถูกเหมือนที่เธอว่า”
“แต่เราว่าจริงแล้ว เค้าก็คงไม่ชอบนายเหมือนกัน แต่สองคนเจอกันก็ต้องทำเป็นดีกัน ทำไมคนที่นี่ ถึงไม่ชอบพูดความจริงกันล่ะนาย รักกันก็บอกว่ารัก เกลียดกันก็บอกว่าเกลียดไม่ได้เหรอนาย”
“เพราะเราต้องรักษามารยาททางสังคมเอาไว้นะซิ”
“ด้วยการโกหกกันนะเหรอนาย”
“คนที่นี่เค้าเรียกว่ามารยาท เมียวดี เอาล่ะตอนฉันอยู่ในป่า ฉันก็ปฎิบัติตามกฎของเธอ ตอนนี้เธออยู่ป่าของฉัน เธอก็ต้องปฎิบัติตามกฎของที่นี่ซิ”
“เราจะพยายาม แต่เราไม่เอานี่ได้มั้ย เราไม่จำเป็นต้องใช้หรอก”
“เก็บไว้เถอะน่า ถ้าเธอหลงทางอีกล่ะ”
“นายก็หาเราให้เจอซิ”
“กรุงเทพมันไม่ได้หากันง่ายๆขนาดนั้นหรอกนะ”
“ก็คงไม่ยากไปกว่าตามหาไอ้แมวยักษ์มั่งนาย”
เมียวดีโยนโทรศัพท์ให้ ทรงเผ่ารับเกือบไม่ทัน
“เฮ้ย...อย่าโยนซิ เครื่องหนึ่งไม่ใช่บาทสองบาทนะ”
เมียวดีถือโอกาสเผ่น แต่ยังวิ่งไปด้วยพูดไปด้วย
“ถ้าตามไม่เจอจริงก็ดีซินาย เราจะได้กลับบ้านของเรา”
ทรงเผ่าตะโกนตาม
“ไม่ได้ ใครผิดสัญญาเป็นหมา เธอพูดเองไม่ใช่เหรอ”
เมียวดีไม่ตอบ แต่แกล้งส่งเสียงเห่าเสียงดัง
“โฮ่งๆๆ”

ทรงเผ่าส่ายหน้าเหนื่อยใจกับความทะเล้นของเมียวดี

อ่านต่อหน้า 4 ตอนจบ พรุ่งนี้

แก้วกลางดง ตอนที่ 10

เช้าวันใหม่...บัวคลี่คุยกับน้อยอยู่ที่ประตูรั้วบ้านของอัญชิสา โดยมีคอยวงศ์กางร่มให้

“หนูหวานไม่อยู่งั้นเหรอจ๊ะ แล้วคุณหญิงล่ะอยู่มั้ย”
“คุณหญิงยิ่งไม่อยู่ใหญ่เลยค่ะ” น้อยรายงาน
“อ้อ มิน่าบ้านช่องถึงดูเงียบเชียบเหลือเกิน ประตูหน้าต่างก็ไม่เปิด” บัวคลี่หันมาปรึกษากับวงศ์ “เอาไงดีล่ะ”
“ไหน ๆ ก็ตั้งใจมาแล้วรอมั้ยค่ะ คุณบัวคลี่ จะได้คุยกับคุณหวานให้รู้เรื่อง”
บัวคลี่ พยักหน้าเห็นด้วย วงศ์หันไปหาน้อย
“แล้วจะให้คุณยืนคุยแบบนี้เหรอ ขอเข้าไปนั่งรอในบ้านได้มั้ย”
น้อยส่ายหน้า
“ไม่ได้ค่ะ คุณหญิงสั่งห้ามเด็ดขาด ถ้าคุณหญิง หรือ คุณหวานไม่อยู่ห้ามไม่ให้ใครเข้าบ้าน”
“แต่นี่คุณบัวคลี่นะ มาบ้านนี้ออกบ่อยๆไปเธอจำไม่ได้เหรอ”
“จำได้ค่ะ” น้อยยกมือไหว้ “แต่หนูเป็นแค่ลูกจ้าง ต้องทำตามคำสั่งของเจ้านาย”
“เอาเถอะ ช่างเถอะ ถ้าคุณหวานกลับมา บอกคุณหวานนะ ว่าฉันมาหา”
“ค่ะ” น้อยรับคำอย่างไม่ค่อยสบายใจ

อัญชิสาลงมาเห็นบ้านปิดม่านมืดก็แปลกใจ
“ทำไมยังไม่เปิดม่าน เปิดหน้าต่างอีก สายขนาดนี้แล้ว น้อยๆ”
อัญชิสาเรียกน้อย แต่ไม่มี เดินไปรูดม่านได้นิดหนึ่ง มองออกไปหน้าบ้านเห็นบัวคลี่ กับวงศ์กำลังขึ้นรถ
“เอ๊ะ นั้นคุณน้าบัวคลี่นี่” อัญชิสาเปิดหน้าต่างจะเรียก “คุณน้า อุ๊บ...”
ทันใดนั้นรำพาเอามือมาปิดปากไว้ อัญชิสาตกใจดิ้นหนี
“อย่าค่ะลูกหวาน อย่าออกไป”
อัญชิสาแกะมือแม่
“คุณแม่...มาปิดปากหวานทำไมคะ เล่นอะไรอยู่คะเนี่ย”
“ไม่ได้เล่นค่ะ อย่าเรียกเด็ดขาดนะคะ ลูกหวาน”
“ทำไมค่ะ”
“อ๋อ...ก็คุณบัวคลี่ จะมาตามแม่ไปประชุมสมาคมนะคะ แต่แม่ไม่อยากไป”
“เรื่องแค่นี้เอง แล้วมันเกี่ยวอะไรกับหนูคะ”
รำพาหลบตา
“เอ่อ...คือ แม่...แม่บอกว่าแม่ไปต่างประเทศนะคะ ไม่อยากให้เค้าจับได้ มันเสียผู้ใหญ่นะคะลูก”
น้อยวิ่งเข้ามา
“คุณผู้คะ หนูใส่กุญแจด้านนอกรั้วหน้าบ้านเพื่อไม่ให้ใครรู้มีคนอยู่ตามที่คุณหญิงสั่งแล้วค่ะ”
อัญชิสาอึ้ง
“มันจะเยอะไปไหมคะ คุณแม่”
รำพาหน้าตาเฉย
“ไม่นี่ค่ะลูก”
ขณะเดียวกันนั้นเสียงกริ่งดังขึ้นอีก รำพาตกใจสะดุ้ง อัญชิสามองอยู่เริ่ม แปลกใจเรื่อยๆ
“คุณน้าคงวกกลับมา ถ้าคุณแม่ไม่อยากเจอก็ไม่ต้องออกไปก็แล้วกัน งั้นเดี๋ยวหนูออกไปเอง”
“อย่าค่ะ ลูกหวาน”
อัญชิสาไม่เชื่อ เดินออกไปหน้าบ้านแต่ปรากฏว่ามีผู้ชาย 2 คนนั่งซ้อนมอร์เตอร์ไซค์ใส่หมวกกันน็อคไม่เห็นหน้าจอดอยู่หน้าบ้าน
“บ้านคุณหญิงรำพาใช่มั้ย”
“ใช่ มีอะไร!”
“มีคนฝากของมาให้”
คนที่นั่งซ้อนหลังขว้างไข่ใส่โดนหน้าอัญชิสาพอดี
“แก!”
รำพากับน้อยที่แอบดูอยู่ในบ้าน ทั้งตกใจ ทั้งอี๋ย์

อัญชิสาเช็ดหน้าเช็ดตาอยู่ น้อยเข้าช่วยเช็ดผม อัญชิสาหงุดหงิดมาก รำพาค่อยเป็นลูกคู่ให้ลูกสาว ไม่ให้อารมณ์เสียพาลมาถึงตัวเอง
“โอ๊ย...เช็ดเบาๆซิ ฉันไม่ได้กะโหลกหนาอย่างพวกแกนะ”
“นั้นซิ เบาๆมือหน่อยซิย่ะ นังน้อย”
“โอ๊ย ไม่ได้เรื่อง ไป...ไป...ฉันเช็ดเอง”
“ใช่ๆ ไม่ได้เรื่องจริงๆ จะไปไหนก็ไปเลย”
น้อยหน้าจ๋อยออกไป รำพาได้ทีเดินตามน้อยไปด้วย
“คุณแม่จะไปไหนคะ”
รำพาสะดุ้ง แล้วก็เนียนต่อ
“อ้าว แม่ก็คิดว่าหนูให้แม่ออกไปด้วย”
“ไม่ต้องค่ะ เรายังคุยกันไม่จบ คุณแม่รู้มั้ยคะ ว่าทำอะไรลงไป หนูเตือนตั้งกี่ครั้งแล้ว เรื่อง เล่นไพ่ ไหนว่าเล่นกันในหมู่เพื่อน ๆสนุกๆ แล้วเข้าไปเล่นในบ่อนได้ยังไง”
“ก็เพื่อนๆ เค้าชวนเข้าไปนะลูกจ๋า ไอ้เจ้ามือนั้นนะมันโกงแม่ แม่ถึงได้เสียขนาดนี้ มันต้องมีเครื่องมือโกงสารพัดเลยนะลูก แม่รู้นะ แต่จับมันไม่ได้ แบบนี้มันเป็นพวกต้มตุ๋น หลอกหลวงชัด ๆ”
“งั้นแจ้งตำรวให้จัดการดีมั้ยคะ” อัญชิสาประชด
“ดีจ๊ะ...ว๊าย ไม่ได้นะคะ ลูกหวาน ทำแบบนั้นคุณแม่ก็โดนจับด้วยนะซิ”
“มันจะได้ไม่มาทวงหนี้เราไงคะ ไอ้พวกนี้นะมันเป็นพวกผิดกฏหมายนะคะคุณแม่ มีทั้งนักเลง ทั้งมือปืน ครั้งนี้มันเอาไข่มาปา ครั้งหน้าจะเป็นอะไร”
รำพาหน้าเสีย
“แม่ขอโทษแม่ผิดไปแล้ว”
“เอาเถอะค่ะ จ่ายเงินให้ก็จบกันใช่มั้ย เท่าไหร่คะ”
“ก็เช็คสองใบ แค่10 ล้านเท่านั้นจ๊ะ”
อัญชิสาอึ้งตะลึงตกใจมาก ไม่รู้ว่าจะพูดว่ายังไง
“หนูจะหาเงินที่ไหนมาให้ คุณแม่ก็รู้สถานะการเงินของเรามันไม่เหมือนเดิม”
“แม่ก็เห็นหนูรับจ็อบออกงานตั้งเยอะแยะ”
“แต่คุณแม่เล่นหนักขนาดนี้ จะมีเงินเหลือได้ยังไง แค่เชิดหน้าอยู่ในสังคมได้ หนูก็จะแย่อยู่แล้ว”
“เอาล่ะ ๆ ไม่ต้องพูดมาก” รำพาเล่นบทโศก “ทีแม่ส่งลูกไปเรียนเมืองนอก หมดไปไม่รู้กี่ล้าน แม่ไม่เคยบ่น หนี้ก้อนนี้หนูไม่ต้องมายุ่ง แม่จะหาทางจัดการเอง อย่างมากก็ให้มันตัดแขนตัดขาแม่ไปก็แล้วกัน ฮือๆ”
อัญชิสาเซ็งเจอไม้นี้
“คุณแม่ขา อย่าร้องไห้เลยนะคะ หนูจะหาทางดูก็แล้วกัน”

เชอรี่จูงจักรยานออกประตูเล็กด้านหลังบ้าน แล้วสั่งฟ้าลั่น
“รีบไปรีบมานะพี่ฟ้า จำได้ใช่มั้ยฉันฝากซื้ออะไร”
“น้ำตาลทราย หนึ่งกิโล”
“ใช่ ร้านอยู่เลยโค้งไปนิดเดียว ไปเร็วๆ เลยนะ คุณแม่บ้านรออยู่ อ้อแล้วก็ ซื้อยาสระผมกับครีมนวดมาให้ฉันด้วย เอาจักรยานนี่ไป จะได้รีบไปรีบมา”
ฟ้าลั่นอึดอัดใจ ไม่กล้าบอกว่าขี่ไม่เป็น
“เอ่อ คือว่า...”
“โอ๊ย...คืออะไรอีก ชักช้าอยู่นั้นแหละ ก็บอกอยู่ว่าคุณแม่บ้านต้องการใช้ด่วน อ๋อหรือว่าเดี๋ยวนี้ฉันใช้นิดใช้หน่อยแล้วไม่พอใจ”
“ไม่ใช่จ๊ะ น้องเชอรี่จะให้พี่ฟ้าลั่นคนนี้ทำอะไร พี่ฟ้าลั่นเต็มใจทำ และทำให้ได้เสมอ”
“งั้นก็รีบไปซิ เอ๊า”
เชอรี่ส่งจักรยานให้

ฟ้าลั่นยืนอยู่พักข้างถนน เกาหัวงงๆ
“มันขี่ยังไงล่ะเนี่ย”
ฟ้าลั่นไม่รู้จะหาวิธีไหนขี่จักรยานดี เลยตัดสินใจจูงไปท่าทางเงอะงะ บันไดปั่นจักรยานโดนขา ฟ้าลั่นโมโหเลยยกจักรยานขึ้นแบกเดินไป

เวลาผ่านไปนาน เชอรี่ยืนรออยู่ เริ่มหงุดหงิด
“ทำไมยังไม่มาอีกน่า”
เมียวดีเดินผ่านมาเห็นเชอรี่ยืนชะเง้อเหมือนรอใครอยู่ที่ประตูด้านหลัง เธอเลยแกล้งถาม
“รอใคร”
“เปล่า ไม่ได้รอใครซักหน่อย”
“แล้ว...ไอ้หมาลั่นล่ะไปไหน”
เชอรี่มีพิรุธ
“ไม่รู้...ตัวไม่ได้ติดกันซักหน่อย”
“อ๋อ”
เมียวดีแกล้งทำเป็นเดินไปแล้วก็แอบดูอยู่มุมหนึ่ง เชอรี่ทนไม่ไหวเลยเปิดประตู ออกไป เจอฟ้าลั่นจูงจักรยานเข้ามาพอดี
“พี่ฟ้าลั่น เร็วๆซิ แหมให้ไปซื้อของแค่นี้ทำไมช้าจัง อุตส่าห์ให้เอาจักรยานไป แทนที่จะรีบไปรีบมา”
“พี่ฟ้าก็รีบที่สุดแล้วนะน้องฟ้า แต่ไอ้นี่นะซิ”
“ทำไม ยางแบนเหรอถึงได้จูงมาแบบนั้น”
เชอรี่ก้มลงมองก็เห็นยางปกติ
“ก็ปกติดี แล้วทำไมถึงช้า ไปแวะที่ไหนบอกมานะ”
“โธ่...น้องฟ้า ถ้าเดินตัวเปล่า ต่อให้แบกน้องฟ้าไปด้วย ยังเร็วกว่าเอาไอ้นี่ไปเลย แต่นี้ต้องทั้งแบกทั้งจูงไอ้นี่ไปด้วยนะซิ”
“อ๋อ...ขี่ไม่เป็น...แล้วทำไมไม่บอก”
“พี่ฟ้า กลัวน้องเชอรี่เสียน้ำใจ ก็น้องเชอรี่เอามาให้แล้ว”
“โธ่...พี่ฟ้าของเชอรี่ น่ารักจริงๆ”
เชอรี่หยิกแก้มฟ้าลั่นอย่างเอ็นอยู่ เมียวดีโผล่ออกมา
“แต่เราอยากขี่เป็น มันยากมั้ยนังลำไย สอนเราขี่หน่อย”
“ไม่อยากหรอก เด็กๆมันยังขี่ได้เลย แต่ไม่สอน” เชอรี่พูดหน้าตาเฉย
“เอ็งจะอยากขี่จักรยาน ทำไมวะอีเมียว ขาเราก็มี ไม่เห็นต้องใช้ไอ้สองล้อนี่เลย” ฟ้าลั่นถาม
“หุบปากไปเลยไอ้หมา เอ็งไม่อยากขี่เป็น ก็เรื่องของเอ็ง” เมียวดีหันไปหาเชอรี่ “ถ้าสอนเรา ต่อไปเราจะไปซื้อของให้ลำไย เอ๊ย...เชอรี่เอง รับรองน่าเราจะไม่บอกคุณแม่บ้านด้วย”
เชอรี่ชักลังเล
“จริงเหรอ”
“ฮือ...แน่นอน”
“คนอย่างอีเมียว มันพูดคำไหนเป็นคำนั้นเชื่อได้แน่นอนนะน้องเชอรี่”
เชอรี่หันมามองค่อยสนใจมาหน่อย

อัญชิสากับจินนี่นั่งอยู่ที่ร้านขนมในโรงแรม เธอกินน้ำชาไปมองจินนี่ไปหาจังหวะพูด
“พาฉันมาเลี้ยงอูฟู่ขนาดนี้ มีข่าวดีอะไรจะแจ้งหรือว่าคุณทรงเผ่าเค้าขอแกแต่งงานแล้ว”
“ไม่ใช่ คือ ฉัน...เอ่อ ฉันอยากขอยืม...”
อัญชิสายังไม่ทันที่จะพูดคำว่าเงิน จินนี่ก็โวยวายขึ้นเสียก่อน
“ต๊าย...นั้นยายอ๋อนี้ อย่าหันไปนะแก ฉันไม่อยากทัก ขี้เกียจคุยด้วย”
อัญชิสามองไปเห็นเพื่อนชื่ออ๋อ เดินอยู่ด้านนอก
“ไหน อ๋อ ยายอ๋อ ฉันยังจำงานปาร์ตี้ที่บ้านพักบนเขาใหญ่ของยายอ๋อได้ ปาร์ตี้กันยันเช้าสนุกมาก ยายอ๋อก็เปิดบ้านให้เราถล่มกันเต็มที่”
“โอ๊ยนั้นนะมันเป็นอดีตชาติไปแล้ว แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้นแล้วย่ะ”
“มีเรื่องอะไรเหรอ”
“แกนะมัวแต่ยุ่งเรื่องผู้ชาย ก็เลยตกข่าวตลอด ผัวยายอ๋อนะซิไปทำท่าไหนก็ไม่รู้ธุรกิจเจ๊ง ยายอ๋อ เลยต้องขายบ้าน ขายรถมาใช้หนี้ให้ผัว แล้วก็ต้องออกมาทำงานตากหน้าเป็นแม่ค้าขายข้าวแกงบนห้าง แล้วก็เที่ยวชวนให้เพื่อนๆไปกิน ใครจะอยากไปกัน แกดูซิ กระเป๋าที่ถือก็เซิ้นเจิ้นมากๆรับไม่ได้อ่ะ”
จินนี่ยักไหล่อย่างดูถูก อัญชิสาอึ้งไป ไม่กล้าบอกเรื่องของตัวเอง จินนี่มองหน้า
“อ้าว นั่งนิ่งไปเลย องค์ลงหรือย่ะ ยายหวาน”
“เปล่าไม่มีอะไร ฉันก็นึกภาพตามที่แกเล่าให้ฟัง ก็...” อัญชิสาคิดถึงตัวเอง “น่าสงสารยายอ๋อเหมือนกันนะ”
“โอ๊ย...อย่ามาทำเป็นต่อมสงสารกำเริบเลย ก็มันทำตัวเอง...เมาท์เรื่องของเราต่อดีกว่า เรื่องที่แกพูดค้างไว้เมื่อกี้นะ แกจะยืมอะไรฉัน”
“ไม่มี ฉันหมายถึงขอบใจที่ให้ฉันยืมตัวไปเล่นละครบ้านคุณเผ่าเป็นเพื่อนฉัน เมื่อวันก่อนนะ”
“โอ๊ย...เรื่องแค่นั้นเอง จิ๊บ ๆ”
อัญชิสาไม่พูดอะไรอีก ฝืนยิ้มไป

ค่ำนั้น อัญชิสากลับเข้าบ้านมา รำพาถลามาทันที
“เป็นไงจ๊ะ หนูจินนี่ให้เป็นเช็คหรือเงินสด แล้วหนูบวกเพิ่มหรือเปล่า เผื่อจะได้เงินติดมือมานิดๆ น้อย ๆ”
“เปล่าค่ะ หนูไม่ได้พูด”
“อ้าว...ทำไมละจ๊ะลูกหวาน เพื่อนกันยืนเงินกันนิดๆ หน่อยๆ ไม่น่าเกียจหรอกน่า”
“แต่หนูอายค่ะ ถ้าเพื่อนๆ รู้ หนูจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน แล้วทำไมคุณแม่ไม่ไปยืมเพื่อนๆคุณแม่บ้างล่ะคะ ทำไมต้องให้หนูเป็นคนรับผิดชอบสิ่งที่หนูไม่ได้ทำด้วย”
รำพาไม่พอใจ
“นี่ลูกหวานย้อนแม่เหรอคะ ถ้าทำได้แม่คงไม่มาขอร้องลูก แล้วก็โดนหนูถอนหงอกแม่แบบนี้หรอก วันนี้มีคนส่งอันนี้มาหน้าบ้านเรา”
รำพายื่นห่อผ่าให้ดู อัญชิสาแกะออกเห็นเป็นมีดอีโต้วางอยู่ เธอถึงกับชะงัก ตกใจ
“ถ้าหนูหน้าบางนักไม่กล้ายืมเงินเพื่อน ก็ไม่เป็นไร งั้นก็รอให้มันมาตัดแขนแม่ไปก็แล้วกัน คราวนี้คงได้รู้กันไปทั่ว แต่ตอนนั้นหนูอาจจะต้องแบกหน้าอยู่ในสังคมคนเดียว เพราะแม่คงตายไปแล้ว”
รำพาพูดเสร็จก็เดินออกไป อัญชิสาหน้าเครียด

อัญชิสาในชุดนอนหน้าเครียด เดินพล่านไปมาว่าจะหาทางออกยังไงแล้วก็เลย ค้นของในตู้เย็น ทั้งเค้ก ทั้งช็อกโกเลต ตอนแรกก็ค่อยๆกิน แล้วก็เริ่มจับยัด เข้าไปเข้าไปเรื่อย เลอะปากไปหมด เหลือแต่จานวางเปล่าก่อนจะเปิดถังขยะ ล้วงคอตัวเองให้อาเจียรออกมา จนหมดแรงทรุดตัวกับถังขยะ เธอร้องไห้อย่างอัดอั้นใจ ซบหน้ากับเข่า นึกถึงคำพูดของแม่
‘เงินแค่นี้ ทำไมหนูไม่ยืมคุณเผ่า ครอบครัวคุณเผ่านะเค้าต้องมีอยู่แล้ว’
‘ไปยืมเค้าแล้วหนูจะเอาหน้าที่ไหนไปเจอคุณเผ่าอีกละคะ ถ้าเค้ารู้ว่าเรากลวงแบบนี้ เค้าจะอยากแต่งงานกับหนูอีกเหรอ’
‘งั้นหนูก็รีบๆ แต่งงานกับเค้าเร็วๆซิ พอเราแต่งไปแล้วยังไงเค้าก็ต้องช่วย’
อัญชิสานึกออกเงยหน้าขึ้นมาทันที
“แต่งงาน งั้นเหรอ !”

เช้าวันใหม่...เมียวดีอยู่บนรถจักรยาน เชอรี่กับ ฟ้าลั่นจับด้านท้าย
“เดี๋ยวพอฉันนับถึงสาม เธอก็ปั่นๆๆๆ ให้สุดแรงเท่านั้นเอง ง่ายจะตายเอาล่ะนะ” เชอรี่หันไปถามฟ้าลั่น “พี่ฟ้าลั่นพร้อมนะ”
“จ้ะ”
เชอรี่นับ
“1 2 3”
ขาดคำเชอรี่ก็ปล่อยมือ เมียวดี ปั่นจักรยานอย่างแรง อย่างมุ่งมั่น เชอรี่งงๆ
“เดี๋ยวๆ ทำไมมันไม่ไปข้างหน้า”
ฟ้าลั่นหลับหูหลับตาดึงเอาไว้ สุดแรง เชอรี่ตีเข้าให้
“พี่ฟ้า! บอกแล้วไงว่านับถึง 3 ฟังไม่รู้เรื่องเหรอ จับไว้ทำไมแล้วยายคุณเหมียวจะปั่นไปได้ไงล่ะ”
“อ้าว...ก็น้องเชอรี่บอกอีเมียว แต่ไม่ได้บอกให้พี่ฟ้าปล่อยมือนี่”
เชอรี่เหนื่อยใจ
“โอ๊ย...จะบ้าตาย ฉันหมายถึง พอฉันนับถึงสาม เหมียวก็ปั่นไป พี่ฟ้าก็ปล่อยมือซิ ที่นี่ เข้าใจหรือยัง”
“จ๊ะ”
ทนงยืนถือถ้วยกาแฟดูอยู่บนระเบียงบ้าน หัวเราะขำ ทรงเผ่าเข้ามา
“ขำอะไรแต่เช้าครับพ่อ”
ทนงบุ้ยใบ้ให้ดูเองที่สนาม
“แกว่า เจ้าเหมียวมันจะทำสำเร็จมั้ยวะ”
ทรงเผ่ามองตามเห็น ฟ้าลั่นกับเชอรี่ช่วยผลักจักรยานที่เมียวดีนั่งอยู่ รถไปได้หน่อยตามแรงผลัก
แล้วก็ค่อย ๆ เอนลง เพราะเมียวดียังทรงตัวไม่เป็น
“เฮ้ย...นังลำไย ไอ้หมาลั่น”
ทนงกับ ทรงเผ่ายืนมอง ค่อยๆเอนหัวตามจักรยานที่เอน ทรงเผ่าลุ้นไปด้วย
“เฮ้ยๆ”
ทรงเผ่าสะดุ้งตามเมื่อ จังหวะจักรยานล้ม กับพื้น ทนงถอนหายใจ ส่ายหน้า
“ดูท่าถ้าจะไม่รอดแน่”
“ผมก็ว่างั้นไปครับพ่อ แบบนี้ต้องถึงมือโปรเฟสชั่นนอลเสียแล้ว”
ทรงเผ่าหักมืออวด

ทรงเผ่าท่าทางทรงภูมิ เมียวดี ฟ้าลั่นและเชอรี่นั่งฟังอย่างตั้งใจ พยักหน้าตามเป็นระยะเหมือนเข้าใจ
“การขี่จักรยาน มันไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย มันเป็นเพียงแค่การบาลานซ์ร่างกายให้ได้สมดุลย์เท่านั้น สายตามุ่งตรงไปข้างหน้า สองขาออกแรงปั่นเพื่อผลักให้ล้อมันคลื่อนไป ใจกับกายต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน เข้าใจมั้ย”
ทั้งหมดพยักหน้าแข็งขัน
“ดีมาก เอาล่ะใครมีข้อสงสัยอะไรจะถาม”
ฟ้าลั่นยกมือทันที
“ไอ้ บา...บา...บาลาน ที่นายว่ามันคืออะไรนาย”
เชอรี่ถามอึ้งๆ
“มันต้องเอาจริงขนาดนั้นเลยหรือคะคุณเผ่า”
เมียวดียังงงๆ
“พูดใหม่ทั้งหมดอีกรอบได้มั้ยนาย”
ทรงเผ่าถอนหายใจ

ทรงเผ่าช่วยจับแฮนด์จักรยานของเมียวดีไว้ พาเธอจูง ขี่ไปช้าๆก่อน ฟ้าลั่นกับเชอรี่คอยลุ้น เมียวดีแอบมองทรงเผ่าที่อยู่ใกล้กันมาก รู้สึกแปลกๆนิดหน่อย ก่อนจะหันไปมองทางข้างหน้า ทรงเผ่าก็แอบหันมองเธอยิ้มให้อย่างอ่อนโยน แล้วก็รีบดึงตัวเองกลับทำเป็นเข้มเหมือนเดิม
“ออกแรงปั่นอีกหน่อยซิเมียวดี”

เวลาผ่านไป เมียวดีเริ่มปั่นได้ แต่ยังทรงตัวไม่ได้ หัวรถส่ายไปมา ทำท่าเหมือนจะล้ม ทรงเผ่าตามประกบอยู่ห่างๆ ต้องจับไว้ไม่ให้ล้ม ฟ้าลั่นลุ้นตลอดพอเมียวดีจะล้มฟ้าลั่นถือโอกาสหลับตาซบหน้ากับเชอรี่ เชอรี่ผลักหัวออกอย่างแรงด้วยความเขิน ทรงเผ่าช่วยผลักท้ายจักรยานส่งให้เมียวดี
“เอาล่ะนะ สบายๆไม่ต้องเกร็ง เธอทำได้อยู่แล้ว”
“ฮือ”
ทรงเผ่าผลักรถให้ไป เมียวดีตื่นเต้นในตอนแรก ร้องโวยวายก่อนจะรู้ว่าตัวเองปั่นต่อไปได้
“ได้แล้วนาย เราขี่ได้แล้วนาย”
ทรงเผ่ายิ้มชื่นชม
“เก่งมาเมียวดี ปั่นไปซิ อย่าหยุดนะ”
ฟ้าลั่นดีใจ
“เอ็ง เก่งมากอีเมียว...วู้”
เมียวดีหันมามอง
“แน่นอนอยู่แล้วโว้ย ไอ้หมาลั่น”
แต่พอเธอหันมามอง รถก็เริ่มหัวส่าย ทรงเผ่าตะโกนบอก
“เมียวดี อย่าหันมา มองไปข้างหน้าซิ”
เมียวดียิ่งตกใจ ปั่นเข้าไปบนถนนในบ้าน อัญชิสาเพิ่งลงจากรถมา มองไปเห็นทรงเผ่าอยู่ที่สนาม ก็เดินไปหาโบกมือทัก
“คุณเผ่า...อุ๊ย”
อัญชิสาเพิ่งเห็นว่าจักรยานเมียวดีส่ายพุ่งมาทางตัวเองก็ตกใจ เมียวดีตะโกนบอก
“หลีกไป...หลีกไป”
อัญชิสายึกยักไม่รู้จะหลบซ้ายหรือขวาดี แต่ในทีสุด ก็กระโดนหลบทันเฉียวฉิว เมียวดีเห็นต้นไม้ใหญ่อยู่ข้างหน้าก็ร้องลั่น
“อ๊าก”
ทรงเผ่าตกใจมาก
“เมียวดีระวัง”

ทุกคนตกใจ ต้นไม้สั่น ล้อจักรยานล้อหนึ่งหลุด กลิ้งผ่านไป

อ่านต่อ ตอนที่ 11
กำลังโหลดความคิดเห็น